Bible in 90 Days
19 เขาเหล่านั้นประจันหน้าข้าพเจ้าในยามวิบัติ
แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นหลักค้ำจุนของข้าพเจ้า
20 พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากบ่วงอันตราย
พระองค์ช่วยเหลือข้าพเจ้าไว้ก็เพราะพระองค์พอใจในตัวข้าพเจ้า
21 พระผู้เป็นเจ้ากระทำต่อข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
พระองค์ให้รางวัลข้าพเจ้าตามความสะอาดของมือข้าพเจ้า
22 ด้วยว่า ข้าพเจ้าเดินตามทางของพระผู้เป็นเจ้า
และไม่ได้ทำความชั่วโดยหันเหไปจากพระเจ้าของข้าพเจ้า
23 ข้าพเจ้านึกถึงคำบัญชาของพระองค์เป็นที่ตั้ง
ข้าพเจ้าไม่ได้เพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ของพระองค์
24 ข้าพเจ้าปราศจากข้อตำหนิใดๆ ณ เบื้องหน้าพระองค์
และข้าพเจ้าระวังไม่กระทำบาป
25 พระผู้เป็นเจ้าได้ให้รางวัลข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
ตามความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าต่อหน้าพระองค์
26 พระองค์แสดงความรักอันมั่นคงต่อคนที่มีความภักดี
พระองค์แสดงความไร้ข้อตำหนิของพระองค์ต่อคนที่ไร้ข้อตำหนิ
27 พระองค์แสดงความบริสุทธิ์ของพระองค์ต่อคนบริสุทธิ์
และพระองค์แสดงต่อคนคดโกงอย่างปราดเปรื่อง
28 พระองค์ช่วยคนถ่อมตัวให้รอดพ้น
และพระองค์จับจ้องที่คนใจยโสเพื่อทำให้พวกเขาเจียมตัว
29 โอ พระผู้เป็นเจ้า ด้วยว่า พระองค์เป็นดั่งตะเกียงของข้าพเจ้า
และพระผู้เป็นเจ้าทำให้ความมืดของข้าพเจ้าสว่างไสว
30 ข้าพเจ้าเหยียบย่ำกองทัพได้ก็ด้วยพระองค์
ข้าพเจ้าข้ามกำแพงได้ก็ด้วยพระเจ้า
31 พระเจ้านี้แหละ วิถีทางของพระองค์บริบูรณ์ทุกประการ
คำพูดของพระผู้เป็นเจ้าบริสุทธิ์
พระองค์เป็นโล่ป้องกันสำหรับทุกคนที่แสวงหาพระองค์เป็นที่พึ่ง
32 ใครเล่าคือพระเจ้านอกเหนือจากพระผู้เป็นเจ้า
และใครคือศิลานอกเหนือจากพระเจ้าของเรา
33 พระเจ้าเป็นที่พึ่งพิงของข้าพเจ้า
และทำให้วิถีทางของข้าพเจ้าบริบูรณ์ทุกประการ
34 พระองค์ทำให้เท้าของข้าพเจ้าเป็นดั่งเท้ากวาง
พระองค์ทำให้ข้าพเจ้ายืนในที่สูงได้
35 พระองค์ฝึกมือข้าพเจ้าให้พร้อมเพื่อการสงคราม
เพื่อแขนข้าพเจ้าจะได้น้าวคันธนูทองสัมฤทธิ์
36 และพระองค์ให้โล่แห่งความรอดพ้นแก่ข้าพเจ้า
และความช่วยเหลือของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งใหญ่
37 พระองค์ทำให้ทางเดินที่ข้าพเจ้าเหยียบก้าวไปกว้างขึ้น
เพื่อเท้าของข้าพเจ้าจะไม่ลื่นล้ม
38 ข้าพเจ้าไล่ล่าศัตรูและปราบเขาได้
ข้าพเจ้าไม่ได้หวนกลับจนกระทั่งศัตรูพินาศไป
39 ข้าพเจ้าทำให้เขาพินาศไป ข้าพเจ้าทำให้เขาทรุดตัวลงจนลุกไม่ขึ้น
เขาล้มลงอยู่ใต้เท้าของข้าพเจ้า
40 และพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าพรั่งพร้อมด้วยกำลังเพื่อศึกสงคราม
พระองค์ทำให้ฝ่ายตรงข้ามจมอยู่เบื้องล่าง
41 พระองค์ทำให้ศัตรูหันหลังหนีไปจากข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าทำให้คนที่เกลียดชังข้าพเจ้าพินาศ
42 พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครช่วยชีวิตไว้ได้
เขาร้องขอต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ไม่ตอบ
43 ข้าพเจ้าเหยียบขยี้พวกเขาจนแหลกละเอียดเป็นผงธุลีบนพื้นดิน
ข้าพเจ้าโจมตีและเหยียบย่ำพวกเขาที่ถนนดั่งโคลนตม
44 พระองค์ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากการโต้แย้งกับชนชาติของข้าพเจ้า
พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ
ชนชาติที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักก็รับใช้ข้าพเจ้า
45 ชนต่างชาติยอมสยบต่อหน้าข้าพเจ้า
ทันทีที่พวกเขาได้ยินเสียงข้าพเจ้า เขาก็เชื่อฟังข้าพเจ้า
46 คนแปลกหน้าใจเสีย
และตัวสั่นเทาออกมาจากป้อมปราการของเขา
47 พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ ให้ศิลาของข้าพเจ้าได้รับการสรรเสริญเถิด
และให้พระเจ้า ศิลาผู้ช่วยให้รอดพ้นของข้าพเจ้าได้รับการยกย่องเถิด
48 พระองค์เป็นพระเจ้าผู้แก้แค้นแทนข้าพเจ้า
และนำบรรดาชนชาติให้อยู่ใต้การปกครองของข้าพเจ้า
49 พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้มีอิสระจากศัตรู
พระองค์ยกข้าพเจ้าอยู่เหนือข้าศึก
พระองค์ให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากคนปองร้าย
50 ฉะนั้น ข้าพเจ้าจะขอบคุณพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ โอ พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์
51 พระองค์ให้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่แก่กษัตริย์ของพระองค์
และแสดงความรักอันมั่นคงแก่ผู้ได้รับการเจิมของพระองค์
แก่ดาวิดและผู้สืบเชื้อสายของท่านชั่วนิรันดร์กาล”
ถ้อยคำสุดท้ายของดาวิด
23 ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำสุดท้ายของดาวิด
“คำพยากรณ์ของดาวิดบุตรของเจสซี
คำพยากรณ์ของชายที่ได้รับการเชิดชู
ผู้ได้รับการเจิมของพระเจ้าของยาโคบ
นักแต่งเพลงสดุดีอันไพเราะของอิสราเอล
2 พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านข้าพเจ้า
สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดเป็นคำกล่าวของพระองค์
3 พระเจ้าของอิสราเอลได้กล่าว
ศิลาของอิสราเอลได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า
‘เมื่อผู้หนึ่งปกครองมนุษย์ด้วยความยุติธรรม
ปกครองด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า
4 พระองค์ทอแสงมายังมนุษย์ประดุจแสงอรุณรุ่ง
ประดุจดวงอาทิตย์ส่องแสงในยามเช้าที่ปลอดเมฆ
ประดุจฝนที่ทำให้หญ้างอกจากดิน’
5 แล้วพระเจ้าจะไม่ให้เป็นเช่นนั้นต่อพงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าหรือ
เพราะพระองค์ได้ตกลงกับข้าพเจ้าด้วยพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์
ทุกสิ่งถูกเตรียมไว้และไม่เปลี่ยนแปลง
แล้วพระองค์จะไม่ช่วยเหลือข้าพเจ้า
และให้ข้าพเจ้าได้รับตามความปรารถนาทุกประการหรือ
6 ส่วนคนเลวร้ายทั้งปวงเป็นเช่นหนามที่ถูกโยนทิ้งไป
เพราะจะใช้มือเปล่าหยิบก็ไม่ได้
7 แต่คนที่จับต้องพวกเขา
ต้องคุ้มกันตนเองด้วยเหล็กและหอก
และคนเลวร้ายถูกเผาจนวอดวายในทันทีทันใด”
ทหารกล้าของดาวิด
8 รายชื่อทหารกล้าของดาวิดคือ โยเชบบะเชเบธชาวทัคโมนีเป็นหัวหน้าของทหารกล้าทั้งสาม เขาพุ่งหอกสู้รบกับ 800 คน และฆ่าได้หมดในศึกเดียว
9 คนรองจากเขาในกลุ่มทหารกล้าทั้งสามคือ เอเลอาซาร์บุตรของโดโดชาวอาโคค เขาอยู่กับดาวิดเมื่อครั้งที่เขาทั้งหลายท้าทายชาวฟีลิสเตียที่ร่วมกันรบในสงคราม และชาวอิสราเอลก็ถอยทัพ 10 เขาลุกขึ้นสู้ชาวฟีลิสเตียจนมืออ่อนล้าและเกร็งจนติดดาบ และพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ให้ชัยชนะครั้งใหญ่ในวันนั้น พวกทหารตามเขากลับมา เพื่อริบของจากพวกที่ถูกฆ่าตาย
11 คนรองจากเขาคือ ชัมมาห์บุตรของอาเกชาวฮาราร์ พวกชาวฟีลิสเตียรวมตัวกันที่เลฮี ซึ่งมีผืนดินแห่งหนึ่งมีถั่วเลนเทิ้ลเต็มไปหมด และบรรดาทหารต่างก็หนีชาวฟีลิสเตียไป 12 แต่เขายืนหยัดอยู่บนที่ดินผืนนั้น และป้องกันที่ดินไว้ ฆ่าฟันชาวฟีลิสเตีย และพระผู้เป็นเจ้าช่วยพวกเขาด้วยชัยชนะครั้งใหญ่
13 ในระหว่างฤดูเก็บเกี่ยว 3 คนในบรรดาหัวหน้าทหารกล้า 30 คนลงมาหาดาวิดที่ถ้ำที่อดุลลาม พอดีกับที่ชาวฟีลิสเตียกลุ่มหนึ่งตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม 14 ขณะนั้นดาวิดอยู่ในที่หลบภัย และทางข้ามที่เนินเขาของชาวฟีลิสเตียก็อยู่ที่เบธเลเฮม 15 ดาวิดกล่าวด้วยความปรารถนายิ่งนักว่า “โอ อยากให้ใครสักคนเอาน้ำจากบ่อที่ข้างประตูที่เบธเลเฮมมาให้เราดื่ม” 16 ทหารกล้าทั้งสามจึงแหกค่ายของชาวฟีลิสเตีย และตักน้ำจากบ่อที่ข้างประตูที่เบธเลเฮม นำมาให้ดาวิด แต่ท่านไม่ยอมดื่มน้ำนั้น ท่านกลับเทถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า 17 และกล่าวว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีวันที่ข้าพเจ้าจะกระทำเช่นนี้ สมควรหรือที่ข้าพเจ้าจะดื่มโลหิตของพวกทหารที่เสี่ยงชีวิตของเขาไป” ฉะนั้นท่านจึงไม่ยอมดื่มน้ำนั้น นี่แหละเป็นสิ่งที่ทหารกล้าทั้งสามกระทำ
18 ฝ่ายอาบีชัยน้องชายของโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ เป็นหัวหน้าของทหารทั้งสามสิบ เขาพุ่งหอกสู้กับ 300 คน และฆ่าพวกเขาได้ ชื่อของเขาจึงเคียงคู่กับทหารทั้งสาม 19 เขาเป็นที่รู้จักมากที่สุดในหมู่ทหารทั้งสามสิบ และได้เป็นผู้บังคับกองพันทหารของกลุ่ม แต่เขามีชื่อเสียงไม่เท่าระดับของทหารทั้งสาม
20 เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดาเป็นชายผู้กล้าหาญคนหนึ่งของเมืองขับเซเอล และเป็นคนปฏิบัติการอันยิ่งใหญ่ เขาฆ่าบุตรทั้งสองของอารีเอลแห่งโมอับ และเขาลงไปฆ่าสิงโตในหลุมลึกในวันที่หิมะตกด้วย 21 เขาฆ่าชาวอียิปต์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนรูปงาม ชาวอียิปต์ถือหอก แต่เบไนยาห์ถือไม้ตะบองลงไปโจมตีเขา และยึดหอกออกจากมือของชาวอียิปต์ได้ และฆ่าเขาด้วยหอกของเขาเอง 22 เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดากระทำสิ่งเหล่านี้ ชื่อของเขาจึงเคียงคู่กับทหารกล้าทั้งสาม 23 เขาเป็นที่รู้จักในหมู่ทหารทั้งสามสิบ แต่เขามีชื่อเสียงไม่เท่าระดับของทหารทั้งสาม และดาวิดแต่งตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าองครักษ์
24 อาสาเฮลน้องชายของโยอาบเป็นหนึ่งในบรรดาทหารทั้งสามสิบ นอกจากเขาแล้วก็มี เอลฮานันบุตรของโดโดชาวเบธเลเฮม 25 ชัมมาห์แห่งฮาโรด เอลีคาแห่งฮาโรด 26 เฮเลสชาวปัลที อิราบุตรของอิกเขชแห่งเมืองเทโคอา 27 อาบีเอเซอร์แห่งเมืองอานาโธท เมบุนนัยชาวหุชาห์ 28 ศัลโมนชาวอาโคค มาหะรัยแห่งเนโทฟาห์ 29 เฮเลบบุตรของบาอานาห์แห่งเนโทฟาห์ อิททัยบุตรของรีบัยแห่งกิเบอาห์เชื้อสายของเบนยามิน 30 เบไนยาห์แห่งปิราโธน ฮิดดัยแห่งลำธารกาอัช 31 อาบีอัลโบนชาวอาร์บัท อัสมาเวทชาวบาฮารุม 32 อาลียาบาชาวชาอัลโบน บรรดาบุตรของยาเชน โยนาธาน 33 ชัมมาห์ชาวฮาราร์ อาหิอัมบุตรของชาราร์ชาวฮาราร์ 34 เอลีเฟเลทบุตรของอาหัสบัยแห่งมาอาคาห์ เอลีอัมบุตรอาหิโธเฟลแห่งกิโลห์ 35 เฮสโรชาวคาร์เมล ปารัยชาวอาราบ 36 อิกาลบุตรของนาธานแห่งโศบาห์ บานีชาวกาด 37 เศเลกชาวอัมโมน นาหะรัยแห่งเบเอโรท คนถืออาวุธของโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ 38 อิราชาวอิท กาเรบชาวอิท 39 และอุรียาห์ชาวฮิต[a] รวมทั้งหมด 37 คน
ดาวิดนับจำนวนนักรบ
24 พระผู้เป็นเจ้ากริ้วโกรธอิสราเอลอีก และพระองค์ทำให้ดาวิดกลับเป็นศัตรูกับพวกเขา และกล่าวว่า “จงไปนับจำนวนชาวอิสราเอลและยูดาห์” 2 ดังนั้นกษัตริย์กล่าวกับโยอาบผู้บังคับการกองทัพที่อยู่กับท่านว่า “จงตรวจตราเผ่าของอิสราเอลทุกเผ่า นับจำนวนนักรบตั้งแต่เมืองดานจนถึงเมืองเบเออร์เช-บา เราจะได้รู้ว่ามีจำนวนกี่คน” 3 แต่โยอาบตอบกษัตริย์ว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเพิ่มทหารมากขึ้นเป็นร้อยเท่าเถิด และขอให้เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์มีโอกาสได้เห็นเถิด แต่เหตุใดเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์จึงปรารถนาในเรื่องนี้” 4 แต่คำบัญชาของกษัตริย์เหนือกว่าโยอาบและบรรดาผู้บังคับการกองทัพ พวกเขาจึงลากษัตริย์ไป เพื่อนับจำนวนนักรบของอิสราเอล 5 หลังจากที่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปแล้ว พวกเขาก็ได้ตั้งค่ายอยู่ใกล้ๆ อาโรเออร์ ทางทิศใต้ของเมืองที่อยู่กลางหุบเขา และผ่านไปทางเมืองกาดและต่อไปจนถึงยาเซอร์ 6 และก็มาถึงกิเลอาดและคาเดชในแผ่นดินของชาวฮิต และต่อไปจนถึงดาน จากดานพวกเขาอ้อมไปยังไซดอน 7 และมายังป้อมปราการของไทระและเมืองทุกเมืองของชาวฮีวและชาวคานาอัน และไปยังเนเกบของยูดาห์ที่เบเออร์เช-บา 8 ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ไปจนทั่วแผ่นดินแล้ว ก็กลับมายังเมืองเยรูซาเล็มเมื่อเวลาผ่านไปได้ 9 เดือนกับ 20 วัน 9 และโยอาบเรียนกษัตริย์ว่า เขารวมจำนวนนักรบได้ตามนี้คือ ในอิสราเอลมีชายผู้กล้าหาญผู้รู้จักใช้ดาบ 800,000 คน และในยูดาห์มี 500,000 คน
พระผู้เป็นเจ้าลงโทษบาปของดาวิด
10 แต่หลังจากที่ดาวิดนับจำนวนนักรบได้แล้ว ท่านก็รู้สึกเสียดแทงใจ และดาวิดพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กระทำนับว่าเป็นบาปมหันต์ โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดกำจัดบาปของผู้รับใช้ของพระองค์เถิด เพราะว่าข้าพเจ้าได้กระทำไปด้วยความโง่เขลา” 11 ก่อนที่ดาวิดจะตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านกาดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้รู้ของดาวิดว่า 12 “จงไปบอกดาวิดดังนี้ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า เราเสนอ 3 สิ่งแก่เจ้า จงเลือก 1 สิ่ง แล้วเราจะกระทำต่อเจ้า’” 13 ดังนั้นกาดจึงมาหาดาวิดและเรียนท่านว่า “จะให้เกิดทุพภิกขภัยเป็นเวลา 3 ปีในแผ่นดินของท่าน หรือว่าท่านจะหลบหนีศัตรูของท่านเป็นเวลา 3 เดือนขณะที่พวกเขาไล่ล่าท่าน หรือจะให้เกิดโรคระบาดในแผ่นดินของท่านเป็นเวลา 3 วัน จงพิจารณาดูและตัดสินใจว่าจะเป็นคำตอบข้อใดที่ข้าพเจ้าจะกลับไปยังพระองค์ที่ส่งข้าพเจ้ามา” 14 ดาวิดกล่าวกับกาดว่า “เราเศร้าใจยิ่งนัก ขอให้พวกเราอยู่ในมือของพระผู้เป็นเจ้าเถิด เพราะพระองค์มีความเมตตายิ่งนัก และอย่าให้ข้าพเจ้าตกอยู่ในมือของมนุษย์”
15 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงให้เกิดโรคระบาดในอิสราเอลตั้งแต่เช้าจนครบเวลา และที่นั่นมีคนตายนับจากดานถึงเบเออร์เช-บา จำนวน 70,000 คน 16 และเมื่อทูตสวรรค์ยื่นมือไปทางเยรูซาเล็มเพื่อทำลายเมืองให้สิ้นไป พระผู้เป็นเจ้าเสียใจเพราะความวิบัติ จึงกล่าวกับทูตสวรรค์ที่กำลังทำลายพลเมืองว่า “พอแล้ว ยั้งมือของเจ้าไว้” และทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่ข้างลานนวดข้าวของอาราวนาห์ชาวเยบุส 17 และดาวิดพูดกับพระผู้เป็นเจ้าเมื่อท่านเห็นทูตสวรรค์ที่กำลังฆ่าพลเมือง ท่านพูดว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กระทำบาป และข้าพเจ้าได้กระทำด้วยความเลวร้าย แต่ว่าลูกแกะเหล่านี้ พวกเขากระทำอะไรเล่า ขอพระองค์กระทำต่อข้าพเจ้าและพงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าเถิด”
ดาวิดสร้างแท่นบูชา
18 ในวันนั้นกาดมาหาดาวิด และพูดกับท่านว่า “ท่านจงขึ้นไป และสร้างแท่นบูชาที่ลานนวดข้าวของอาราวนาห์ชาวเยบุสให้แด่พระผู้เป็นเจ้า” 19 ดังนั้นดาวิดจึงขึ้นไป ตามที่กาดมาเรียนท่าน ตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า 20 เมื่ออาราวนาห์มองดู เขาก็เห็นว่ากษัตริย์กับพวกทหารรับใช้กำลังขึ้นมาทางที่ตนอยู่ อาราวนาห์จึงออกไปแสดงความเคารพต่อกษัตริย์ และก้มหน้าลงที่พื้น 21 และอาราวนาห์ถามว่า “เหตุไฉนเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์จึงได้มาหาผู้รับใช้ของท่าน” ดาวิดตอบว่า “เรามาซื้อลานนวดข้าวจากท่าน เพื่อสร้างแท่นบูชาแด่พระผู้เป็นเจ้า เผื่อว่าภัยพิบัติในหมู่คนจะยุติลง” 22 อาราวนาห์ตอบดาวิดว่า “ขอเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์นำสิ่งอันเป็นที่น่ายินดีและไปมอบถวายเถิด มีโคสำหรับเผาเป็นของถวาย มีคราดเลื่อนและแอกโคเป็นฟืน 23 โอ กษัตริย์ อาราวนาห์ขอมอบสิ่งเหล่านี้ให้แด่กษัตริย์” อาราวนาห์พูดกับกษัตริย์ด้วยว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านรับท่านเถิด” 24 แต่กษัตริย์กล่าวกับอาราวนาห์ว่า “ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราตั้งใจจะซื้อจากท่านตามมูลค่าของมัน เราจะไม่มอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราโดยไม่เสียค่าอะไรเลย” ดังนั้นดาวิดซื้อลานนวดข้าวและโคเป็นเงิน 50 เชเขล 25 และดาวิดก็ได้สร้างแท่นบูชาแด่พระผู้เป็นเจ้า ณ ที่นั่น และได้มอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายและของถวายเพื่อสามัคคีธรรม และพระผู้เป็นเจ้าได้ตอบคำขอร้องเพื่อแผ่นดิน และภัยพิบัติในหมู่คนอิสราเอลก็ยุติลง
ดาวิดในยามชรา
1 ในยามที่กษัตริย์ดาวิดชรามากแล้ว แม้ว่าจะมีคนช่วยท่านสวมเสื้อผ้าหลายตัว แต่ท่านก็ไม่รู้สึกอุ่นขึ้น 2 ฉะนั้นบรรดาผู้รับใช้ของท่านจึงทูลว่า “ให้เสาะหาหญิงสาวสักคนหนึ่งมาให้เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์เถิด และให้เธออยู่ปรนนิบัติกษัตริย์ และคอยรับใช้ท่าน ให้เธออยู่ในอ้อมกอดของท่าน เพื่อเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์จะได้อุ่นขึ้น” 3 ดังนั้น พวกเขาจึงเฟ้นหาสาวงามทั่วแผ่นดินอิสราเอล และได้พบอาบีชากชาวชูเนม พวกเขาจึงนำเธอมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ 4 หญิงสาวผู้นี้งดงามมาก คอยรับใช้และปรนนิบัติท่าน แต่กษัตริย์ไม่มีเพศสัมพันธ์กับเธอ
อาโดนียาห์ตั้งตนเป็นกษัตริย์
5 ฝ่ายอาโดนียาห์บุตรของนางฮักกีทตั้งตัวขึ้นด้วยการกล่าวว่า “เรานี่แหละจะเป็นกษัตริย์” เขาจึงหารถศึกและทหารม้า อีกทั้งชาย 50 คนวิ่งนำหน้าเขาไป 6 บิดาของเขาไม่เคยตั้งคำถามที่จะทำให้เขาไม่พอใจ ดังเช่นว่า “ทำไมเจ้าจึงกระทำเช่นนี้เช่นนั้น” เขาเป็นคนรูปงามมาก เป็นลูกลำดับต่อจากอับซาโลม 7 เขาปรึกษากับโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ และกับอาบียาธาร์ปุโรหิต พวกเขาจึงปฏิบัติตามอาโดนียาห์ และช่วยเหลือเขา 8 แต่ศาโดกปุโรหิต[b] เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดา[c] นาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า[d] ชิเมอี เรอี และเหล่าทหารกล้าของดาวิดไม่ได้เป็นฝ่ายอาโดนียาห์
9 อาโดนียาห์ถวายแกะ โค และสัตว์อ้วนพีเป็นเครื่องสักการะที่ข้างๆ หินงู ซึ่งอยู่ติดกับเอนโรเกล เขาเชิญพี่น้องผู้ชาย บรรดาบุตรของกษัตริย์ และข้าราชสำนักของยูดาห์ทั้งปวงมา 10 แต่เขาไม่ได้เชิญทั้งนาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า หรือเบไนยาห์ หรือเหล่าทหารกล้า และซาโลมอนน้องชายของเขา
นาธานและบัทเช-บาเข้าเฝ้าดาวิด
11 ครั้นแล้วนาธานพูดกับบัทเช-บามารดาของซาโลมอนว่า “ท่านไม่ทราบหรือว่าอาโดนียาห์บุตรของนางฮักกีทได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์ และดาวิดเจ้านายของเราไม่ทราบเรื่องนี้ 12 ฉะนั้น กรุณามาเถิด ข้าพเจ้าขอแนะนำท่าน เพื่อท่านจะได้รักษาชีวิตของตัวเองและชีวิตของซาโลมอนบุตรของท่านให้รอด 13 จงไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ดาวิดทันที และถามว่า ‘เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ไม่ได้สัญญากับผู้รับใช้ของท่านดังนี้หรือว่า “ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองราชย์ต่อจากเรา และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา” แล้วเหตุใดอาโดนียาห์จึงได้เป็นกษัตริย์เล่า’ 14 และขณะที่ท่านกำลังพูดกับกษัตริย์ ข้าพเจ้าจะตามหลังท่านเข้ามา เพื่อสนับสนุนสิ่งที่ท่านพูด”
15 ดังนั้นบัทเช-บาจึงไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ที่ห้องส่วนตัว (ในเวลานั้นกษัตริย์ชรามากแล้ว และอาบีชากชาวชูเนมกำลังปรนนิบัติกษัตริย์อยู่) 16 บัทเช-บาก้มแสดงความเคารพต่อกษัตริย์ และกษัตริย์กล่าวว่า “เจ้าต้องการสิ่งใด” 17 นางพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ท่านสัญญากับผู้รับใช้ของท่านในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านดังนี้ว่า ‘ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองราชย์ต่อจากเรา และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา’ 18 แต่มาบัดนี้ ดูเถิด อาโดนียาห์ได้เป็นกษัตริย์ แม้กระทั่งเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ก็ไม่ทราบเรื่องนี้ 19 เขาได้ถวายโค สัตว์อ้วนพี และแกะมากมาย และได้เชิญบรรดาบุตรของกษัตริย์ทุกคน อาบียาธาร์ปุโรหิต และโยอาบผู้บังคับกองพันทหาร แต่เขาไม่ได้เชิญซาโลมอนผู้รับใช้ของท่าน 20 และบัดนี้เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ ชาวอิสราเอลทั้งปวงกำลังมองท่านอยู่ เพื่อให้บอกพวกเขาว่า ใครเป็นคนต่อไปหลังจากท่าน ที่จะนั่งบนบัลลังก์ของเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ 21 มิฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เมื่อเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่านแล้ว ข้าพเจ้ากับซาโลมอนบุตรของข้าพเจ้าก็จะกลายเป็นฝ่ายกบฏ”
22 ขณะที่นางกำลังพูดกับกษัตริย์ นาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าก็เข้ามา 23 มีคนแจ้งกษัตริย์ว่า “นาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” เมื่อนาธานเข้ามาอยู่ ณ เบื้องหน้ากษัตริย์ ท่านก้มหน้าลงซบพื้น 24 นาธานพูดว่า “เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ ท่านเคยกล่าวไว้หรือว่า ‘อาโดนียาห์จะครองราชย์ต่อจากเรา และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา’ 25 เพราะวันนี้เขาได้ลงไปถวายโค สัตว์อ้วนพี และแกะจำนวนมากเป็นเครื่องสักการะ และได้เชิญบรรดาบุตรของกษัตริย์ทุกคน ผู้บัญชากองทัพทั้งหลาย และอาบียาธาร์ปุโรหิต และดูเถิด พวกเขากำลังดื่มกินอยู่เบื้องหน้าอาโดนียาห์ และพูดกันว่า ‘ขอกษัตริย์อาโดนียาห์มีอายุยืนนาน’ 26 แต่เขาไม่ได้เชิญข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน ศาโดกปุโรหิต เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดา และซาโลมอนผู้รับใช้ของท่าน 27 เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ได้จัดการเรื่องดังกล่าว โดยท่านยังไม่ได้บอกให้บรรดาผู้รับใช้ของท่านให้รู้หรือว่า ใครควรจะนั่งบนบัลลังก์ของเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์เป็นคนต่อไป”
ซาโลมอนได้รับเจิมให้เป็นกษัตริย์
28 ครั้นแล้วกษัตริย์ดาวิดจึงตอบว่า “จงเรียกบัทเช-บาให้มาหาเรา” นางจึงเข้ามาเฝ้ากษัตริย์ และยืน ณ เบื้องหน้าท่าน 29 จากนั้นกษัตริย์ก็สาบานว่า “พระผู้เป็นเจ้าช่วยให้เราได้มีชีวิตพ้นจากศัตรูทุกคน ฉะนั้น ตราบที่พระองค์มีชีวิตอยู่ฉันใด 30 เราขอสาบานกับเจ้าด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลว่า ‘ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองราชย์ต่อจากเรา และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเราแทนที่เรา’ ในวันนี้เราจะกระทำตามคำกล่าวที่ว่านั้น” 31 และบัทเช-บาก็ก้มลงหน้าซบพื้นแสดงความเคารพต่อกษัตริย์ และพูดว่า “ขอให้กษัตริย์ดาวิดเจ้านายของข้าพเจ้ามีชีวิตยิ่งยืนนานเถิด”
32 กษัตริย์ดาวิดกล่าวว่า “เรียกศาโดกปุโรหิต นาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และเบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดาให้มาหาเรา” เขาเหล่านั้นจึงมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ 33 และกษัตริย์กล่าวกับพวกเขาว่า “จงเอาบรรดาผู้รับใช้ของเจ้านายของพวกท่านไป และให้ซาโลมอนบุตรของเราขึ้นขี่ล่อของเรา และนำเขาลงไปยังบ่อน้ำพุกีโฮน 34 และให้ศาโดกปุโรหิตกับนาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเจิมเขา ให้เป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลที่นั่น แล้วเป่าแตรงอน[e]พร้อมกับประกาศว่า ‘ขอกษัตริย์ซาโลมอนมีอายุยืนนาน’ 35 และพวกท่านจงตามหลังเขาขึ้นมา และให้เขามานั่งบนบัลลังก์ของเรา เพราะว่าเขาจะเป็นกษัตริย์แทนเรา เราได้แต่งตั้งเขาให้เป็นผู้ปกครองอิสราเอลและยูดาห์” 36 และเบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดาตอบกษัตริย์ว่า “อาเมน ขอให้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์กล่าวเช่นนั้นด้วยเถิด 37 ตราบที่พระผู้เป็นเจ้าได้สถิตกับเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์เช่นไร ขอให้พระองค์สถิตกับซาโลมอนเช่นนั้น และโปรดให้บัลลังก์ของซาโลมอนยิ่งใหญ่กว่าของกษัตริย์ดาวิดเจ้านายของข้าพเจ้าเถิด”
38 ดังนั้น ศาโดกปุโรหิต นาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดา ชาวเคเรธ และชาวเปเลท ต่างก็ลงไปจัดให้ซาโลมอนขึ้นขี่ล่อของกษัตริย์ดาวิด และนำท่านไปยังบ่อน้ำพุกีโฮน 39 และศาโดกปุโรหิตเอาเขาสัตว์บรรจุน้ำมันจากกระโจมมาเจิมซาโลมอน แล้วพวกเขาก็เป่าแตรงอน ประชาชนก็ร้องตะโกนเสียงดังว่า “ขอกษัตริย์ซาโลมอนมีอายุยืนนาน” 40 และประชาชนทั้งปวงก็ตามท่านขึ้นไป พลางเป่าขลุ่ย และชื่นชมยินดียิ่งนัก เสียงดังสนั่นจนพื้นดินสั่นสะเทือน
41 ขณะที่เขาเหล่านั้นกำลังจะสิ้นสุดงานเลี้ยงฉลอง อาโดนียาห์และบรรดาผู้รับเชิญทั้งปวงที่อยู่ด้วยก็ได้ยินเสียง และเมื่อโยอาบได้ยินเสียงแตรงอน เขาพูดว่า “เสียงอึกทึกในเมืองเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” 42 ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ดูเถิด โยนาธานบุตรของอาบียาธาร์ปุโรหิตก็มา อาโดนียาห์พูดว่า “เข้ามาสิ เพราะว่าท่านเป็นคนดี คงจะนำข่าวดีมา” 43 โยนาธานตอบอาโดนียาห์ว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น ด้วยว่ากษัตริย์ดาวิดเจ้านายของพวกเราได้แต่งตั้งซาโลมอนให้เป็นกษัตริย์แล้ว 44 และกษัตริย์ได้ให้ศาโดกปุโรหิต นาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดา พวกชาวเคเรธ และชาวเปเลทไปกับท่าน และพวกเขาได้ให้ท่านขี่ล่อของกษัตริย์ 45 ศาโดกปุโรหิตและนาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้เจิมท่านให้เป็นกษัตริย์ที่บ่อน้ำพุกีโฮน และทุกคนก็ได้ขึ้นไปจากที่นั่นด้วยความชื่นชมยินดี จนทั้งเมืองเกิดเสียงอึกทึก ซึ่งเป็นเสียงที่ท่านได้ยิน 46 ซาโลมอนก็นั่งบนราชบัลลังก์ 47 ยิ่งกว่านั้น บรรดาผู้รับใช้ของกษัตริย์ได้มาแสดงความยินดีกับกษัตริย์ดาวิดเจ้านายของพวกเราว่า ‘ขอพระเจ้าของท่านโปรดให้นามของซาโลมอนเป็นที่โด่งดังยิ่งกว่านามของท่าน และโปรดให้บัลลังก์ของซาโลมอนยิ่งใหญ่กว่าของท่าน’ และกษัตริย์ก็ก้มตัวลงกราบที่เตียงนอน 48 และกษัตริย์ยังกล่าวอีกว่า ‘ขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลได้รับพระพรเถิด พระองค์ได้มอบให้ผู้หนึ่งนั่งบนบัลลังก์ของเราในวันนี้ และเราก็เห็นด้วยตาของเราเอง’”
49 ครั้นแล้วบรรดาผู้รับเชิญของอาโดนียาห์ก็ตัวสั่นเทาและลุกขึ้น ต่างก็กลับไปตามทางของตน 50 อาโดนียาห์เกรงกลัวซาโลมอน เขาจึงลุกขึ้น และไปจับที่เชิงงอนของแท่นบูชา 51 และมีคนรายงานแก่กษัตริย์ซาโลมอนว่า “ดูเถิด เขาจับที่เชิงงอนที่แท่นบูชา พูดว่า ‘ให้กษัตริย์ซาโลมอนสาบานกับเราก่อนว่า ท่านจะไม่ใช้ดาบสังหารผู้รับใช้ของท่าน’” 52 ซาโลมอนกล่าวว่า “ถ้าเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนดี ผมบนศีรษะของเขาก็จะไม่ร่วงถึงพื้นดิน แต่ถ้าพบว่าเขามีความชั่วร้าย เขาก็จะต้องตาย” 53 กษัตริย์ซาโลมอนให้คนไปนำตัวเขาลงมาจากแท่นบูชา เขาจึงลงมาแสดงความเคารพต่อกษัตริย์ซาโลมอน และซาโลมอนพูดกับเขาว่า “กลับไปบ้านของพี่เถิด”
ดาวิดสั่งการกับซาโลมอน
2 เมื่อใกล้เวลาที่ดาวิดจะสิ้นชีวิต ท่านสั่งซาโลมอนบุตรของท่านว่า 2 “พ่อกำลังจะไปยังที่ที่วันหนึ่งทุกคนต้องไป เจ้าจงเข้มแข็งและแสดงความเป็นลูกผู้ชายให้ประจักษ์แจ้ง 3 และปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า ดำเนินตามวิถีทางของพระองค์ และรักษากฎเกณฑ์ของพระองค์ พระบัญญัติ คำบัญชา และคำสั่งของพระองค์ ตามที่มีบันทึกไว้ในกฎบัญญัติของโมเสส เจ้าจะได้เจริญในทุกสิ่งที่เจ้าทำและในทุกแห่งที่เจ้าไป 4 เพื่อพระผู้เป็นเจ้าจะได้ทำตามพระสัญญาที่พระองค์ได้กล่าวถึงเราว่า ‘ถ้าหากว่าบรรดาบุตรของเจ้าตั้งใจให้มั่นในวิถีทางของพวกเขา ว่าจะดำเนินชีวิตด้วยความสัตย์ ณ เบื้องหน้าเราอย่างสุดดวงใจ และสุดดวงจิต แล้วอิสราเอลก็จะไม่มีวันไร้ชายที่จะครองบัลลังก์’
5 ยิ่งกว่านั้น เจ้าก็รู้ด้วยว่า โยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ได้กระทำสิ่งใดต่อเราบ้าง เขาได้กระทำการใดๆ ต่อผู้บัญชาทั้งสองของกองทัพของอิสราเอล เขาเป็นคนฆ่าอับเนอร์บุตรเนอร์[f] และอามาสาบุตรเยเธอร์[g] คือเขาลงมือแก้แค้นจนถึงขั้นเลือดตกในยามสันติ ราวกับว่าเป็นการกระทำในยามสงคราม เข็มขัดที่เขาคาดรอบเอว และรองเท้าที่เขาสวมมีเลือดติดอยู่ด้วย 6 กระทำตามสติปัญญาที่เจ้ามี แต่อย่าปล่อยให้ศีรษะหงอกของเขาลงไปสู่แดนคนตายอย่างสันติ 7 แต่จงแสดงความกรุณาต่อบรรดาบุตรของบาร์ซิลลัยแห่งกิเลอาด และให้พวกเขาร่วมรับประทานกับคนอื่นๆ ที่โต๊ะของเจ้า เมื่อยามที่พ่อหนีอับซาโลมพี่ชายของเจ้า เขาเหล่านั้นยืนอยู่เคียงข้างพ่อ[h] 8 และจงจำไว้ว่า ชิเมอีบุตรของเก-ราชาวเบนยามินจากบาฮูริมได้สาปแช่งพ่อในวันที่พ่อไปที่มาหะนาอิม เมื่อเขาลงมาพบกับพ่อที่แม่น้ำจอร์แดน พ่อได้สัญญากับเขาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าว่า ‘เราจะไม่ฆ่าฟันเจ้าให้ตาย’[i] 9 แต่มาบัดนี้ อย่าถือว่าเขาไม่มีความผิด เจ้าเป็นคนที่มีสติปัญญา เจ้าจะรู้เองว่าควรกระทำอย่างไรต่อเขา จงทำให้ศีรษะหงอกของเขาจมในกองเลือดที่หลุมฝังศพของเขา”
ดาวิดสิ้นชีวิต
10 จากนั้นดาวิดก็สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิด 11 ท่านปกครองอิสราเอลเป็นเวลา 40 ปี คือ 7 ปีในเฮโบรน และ 33 ปีในเยรูซาเล็ม 12 ดังนั้นซาโลมอนครองบัลลังก์แทนดาวิดบิดาของท่าน และอาณาจักรของท่านได้รับการสถาปนาอย่างมั่นคง
การสถาปนาของซาโลมอน
13 ฝ่ายอาโดนียาห์บุตรของฮักกีทก็ไปเข้าเฝ้าบัทเช-บามารดาของซาโลมอน บัทเช-บาถามเขาว่า “เจ้ามาอย่างสันติหรือ” เขาตอบว่า “ใช่ มาอย่างสันติ” 14 และพูดต่ออีกว่า “ข้าพเจ้ามีบางสิ่งจะบอกท่าน” นางตอบว่า “พูดต่อไปได้” 15 เขาพูดว่า “ท่านทราบแล้วว่า อาณาจักรเป็นของข้าพเจ้า ชาวอิสราเอลทั้งมวลนับว่าข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกเขา แต่บางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไป และอาณาจักรก็ได้ตกเป็นของน้องชายของข้าพเจ้า เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าให้เป็นไปตามนั้น 16 ข้าพเจ้าขอสิ่งหนึ่งจากท่าน ขออย่าได้ปฏิเสธข้าพเจ้าเลย” นางตอบว่า “เจ้าจะขออะไร” 17 เขาพูดต่อไปว่า “กรุณาขอจากกษัตริย์ซาโลมอน ท่านจะไม่ปฏิเสธคำขอจากท่าน คือขอยกอาบีชากชาวชูเนมให้เป็นภรรยาของข้าพเจ้าเถิด” 18 บัทเช-บาตอบว่า “เอาล่ะ เราจะช่วยพูดกับกษัตริย์ให้เจ้า”
19 เมื่อบัทเช-บาไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ซาโลมอนเพื่อขอแทนอาโดนียาห์ กษัตริย์ยืนขึ้นต้อนรับนางแล้วก็โค้งคำนับ และนั่งลงบนบัลลังก์ ท่านให้คนนำที่นั่งมาให้มารดาของกษัตริย์ และนางก็นั่งทางด้านขวาของท่าน 20 นางพูดว่า “แม่มีคำขอเล็กน้อยจากลูกประการเดียว อย่าปฏิเสธแม่เลยนะ” กษัตริย์ตอบนางว่า “เชิญขอเถิด มารดาของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธท่านหรอก” 21 นางพูดว่า “ยกอาบีชากชาวชูเนม ให้เป็นภรรยาของอาโดนียาห์พี่ชายของลูกเถิด” 22 กษัตริย์ซาโลมอนตอบมารดาของท่านว่า “แล้วทำไมท่านจึงขอให้ยกอาบีชากชาวชูเนมให้แก่อาโดนียาห์ ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้ยกอาณาจักรให้เขาด้วยดีไหม ไหนๆ เขาก็เป็นพี่ชายของข้าพเจ้า ฝ่ายเขาก็มีอาบียาธาร์ปุโรหิต และโยอาบบุตรนางเศรุยาห์” 23 ครั้นแล้วกษัตริย์ซาโลมอนก็สาบานในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าว่า “ถ้าคำขอนี้ไม่ทำให้อาโดนียาห์ต้องสิ้นชีวิต ก็ขอพระเจ้ากระทำต่อข้าพเจ้าเช่นกัน หรือมิฉะนั้นก็ยิ่งกว่าด้วยซ้ำ 24 พระผู้เป็นเจ้าได้แต่งตั้งข้าพเจ้าและโปรดให้นั่งบนบัลลังก์ของดาวิดบิดาของข้าพเจ้า พระองค์ได้สถาปนาพงศ์พันธุ์ให้แก่ข้าพเจ้าตามพระสัญญา ฉะนั้นตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด อาโดนียาห์จะถูกประหารในวันนี้” 25 ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนจึงสั่งเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาให้ไปประหารชีวิตอาโดนียาห์ และเขาก็สิ้นชีวิต
26 และกษัตริย์กล่าวกับอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า “จงไปอยู่ที่อานาโธท กลับไปยังไร่นาของท่าน เพราะว่าท่านสมควรจะตาย แต่เราจะไม่ประหารท่านในเวลานี้ เป็นเพราะท่านหามหีบของพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่[j]เดินนำหน้าดาวิดบิดาของเราไป และเป็นเพราะท่านได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับบิดาของเรา” 27 ดังนั้นซาโลมอนจึงปลดอาบียาธาร์จากตำแหน่งปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นไปตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าถึงเรื่องพงศ์พันธุ์ของเอลีที่ชิโลห์[k]
28 เมื่อเรื่องที่เกิดขึ้นทราบไปถึงโยอาบผู้สนับสนุนอาโดนียาห์ แต่ไม่ได้สนับสนุนอับซาโลม โยอาบจึงหนีไปยังกระโจมของพระผู้เป็นเจ้า และจับที่เชิงงอนที่แท่นบูชา 29 ครั้นมีคนรายงานกษัตริย์ซาโลมอนว่า “โยอาบได้หนีไปที่กระโจมของพระผู้เป็นเจ้า และดูเถิด เขาอยู่ที่ข้างแท่นบูชา” ซาโลมอนสั่งเบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดาว่า “ท่านจงไปประหารเขาเสีย” 30 ดังนั้นเบไนยาห์จึงไปยังกระโจมของพระผู้เป็นเจ้า และบอกเขาว่า “กษัตริย์บัญชาว่า ‘จงออกมา’” แต่เขาพูดว่า “ไม่ไป เราจะตายที่นี่” เบไนยาห์จึงไปรายงานกษัตริย์อีกว่า “โยอาบพูดเช่นนี้ และเขาตอบข้าพเจ้าตามนี้” 31 กษัตริย์ตอบเขาว่า “จงทำตามที่เขาพูด สังหารและฝังเขาเสีย จะได้กำจัดความผิดเรื่องโลหิตที่โยอาบเป็นผู้ก่อโดยไร้สาเหตุไปเสียจากเราและจากตระกูลของเรา 32 พระผู้เป็นเจ้าจะสนองตอบการนองเลือดของเขา เพราะว่าเขาแอบทำร้ายและฆ่าชายสองคนด้วยคมดาบโดยที่ดาวิดบิดาของเราไม่ทราบ อับเนอร์บุตรของเนอร์ เป็นผู้บังคับกองพันทหารของอิสราเอล และอามาสาบุตรเยเธอร์ เป็นผู้บังคับกองพันทหารของยูดาห์ ชายทั้งสองมีความชอบธรรมมากกว่าและเป็นคนที่ดีกว่าโยอาบเสียอีก 33 ความผิดที่มีต่อโลหิตของเขาทั้งสองจึงจะตกอยู่ที่ศีรษะของโยอาบและบนศีรษะของบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเขาไปตลอดกาล ส่วนดาวิดและบรรดาผู้สืบเชื้อสายของท่าน พงศ์พันธุ์และบัลลังก์ของท่าน จะได้รับสันติภาพจากพระผู้เป็นเจ้าชั่วนิรันดร์กาล” 34 ครั้นแล้วเบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดาจึงขึ้นไปฆ่าโยอาบ และฝังเขาไว้ที่บ้านของเขาเองในถิ่นทุรกันดาร 35 กษัตริย์ให้เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดามีตำแหน่งควบคุมกองทัพแทนโยอาบ และกษัตริย์ให้ศาโดกปุโรหิตอยู่ในตำแหน่งแทนอาบียาธาร์
36 แล้วกษัตริย์ให้คนไปเรียกชิเมอีมา และกล่าวกับเขาว่า “เจ้าจงสร้างบ้านอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม จงอยู่แต่ที่นั่น และอย่าออกไปที่ไหนเลย 37 เพราะหากว่าวันใดที่เจ้าออกไปและข้ามธารน้ำขิดโรน เจ้าจงรู้ด้วยว่าเจ้าจะต้องตาย เจ้าต้องรับผิดชอบการตายของตนเอง” 38 ชิเมอีตอบกษัตริย์ว่า “สิ่งที่ท่านกล่าวนั้นดีแล้ว ผู้รับใช้ของท่านจะกระทำตามที่เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์กำหนดไว้” ดังนั้นชิเมอีอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มเป็นเวลานาน
39 แต่หลังจาก 3 ปีผ่านไป ผู้รับใช้ของชิเมอี 2 คนหลบหนีไปหาอาคีชบุตรของมาอาคาห์กษัตริย์เมืองกัท และเมื่อมีคนแจ้งชิเมอีให้ทราบว่า “ดูเถิด ผู้รับใช้ของท่านอยู่ที่เมืองกัท” 40 ชิเมอีจึงลุกขึ้นผูกอานขี่ลาไปหาอาคีชที่เมืองกัท เพื่อตามหาผู้รับใช้ของเขา ชิเมอีไปเอาตัวผู้รับใช้ของเขามาจากเมืองกัท 41 ครั้นมีคนรายงานซาโลมอนว่า ชิเมอีได้ออกจากเยรูซาเล็มไปยังเมืองกัทและกลับมาแล้ว 42 กษัตริย์ให้คนไปเรียกชิเมอีมา และกล่าวกับเขาว่า “เราไม่ได้ให้เจ้าสาบานในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า และเตือนเจ้าอย่างจริงจังหรือว่า ‘จงรู้ด้วยว่าในวันที่เจ้าออกไป ไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม เจ้าจะต้องตาย’ และเจ้าบอกเราว่า ‘สิ่งที่ท่านกล่าวนั้นดีแล้ว ข้าพเจ้าจะเชื่อฟัง’ 43 แล้วทำไมเจ้าจึงไม่รักษาคำสาบานที่ให้กับพระผู้เป็นเจ้า และคำบัญชาที่เราสั่งเจ้าไว้เล่า” 44 กษัตริย์กล่าวกับชิเมอีอีกว่า “เจ้าก็รู้แก่ใจแล้วว่า ภัยอันตรายทั้งปวงที่เจ้าได้ก่อให้เกิดกับดาวิดบิดาของเรา พระผู้เป็นเจ้าจะสนองตอบเจ้าไปตามนั้น 45 แต่กษัตริย์ซาโลมอนจะได้รับพร และบัลลังก์ของดาวิดจะได้รับการสถาปนา ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าไปตลอดกาล” 46 แล้วกษัตริย์ก็บัญชาเบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดา และเขาก็ออกไปประหารชิเมอี เขาจึงเสียชีวิต
ดังนั้นอาณาจักรได้รับการสถาปนา อยู่ในการดูแลของซาโลมอน
ซาโลมอนอธิษฐานขอสติปัญญา
3 ซาโลมอนเชื่อมความสัมพันธ์กับฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์โดยแต่งงานกับธิดาของท่าน ซาโลมอนรับเธอเข้าไปอยู่ในเมืองของดาวิดจนกระทั่งท่านสร้างวังของท่าน และพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และกำแพงรอบเมืองเยรูซาเล็มแล้วเสร็จ 2 อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังถวายเครื่องสักการะที่สถานบูชาบนภูเขาสูง เพราะยังไม่ได้สร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า
3 ซาโลมอนรักพระผู้เป็นเจ้า ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของดาวิดบิดาของท่าน เว้นแต่ว่าท่านถวายเครื่องสักการะ และเผาเครื่องหอมที่สถานบูชาบนภูเขาสูง 4 กษัตริย์ไปยังกิเบโอนเพื่อถวายเครื่องสักการะที่นั่น เพราะว่าเป็นสถานบูชาบนภูเขาสูงที่สำคัญที่สุด ซาโลมอนเคยมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย 1,000 ตัวบนแท่นบูชาที่นั่น 5 พระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่ซาโลมอนในฝันยามค่ำที่กิเบโอน พระเจ้ากล่าวว่า “เจ้าอยากจะขอสิ่งใดจากเรา” 6 ซาโลมอนตอบว่า “พระองค์ได้แสดงความรักอันยิ่งใหญ่และมั่นคงแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ บิดาของข้าพเจ้า เพราะว่าท่านดำเนินชีวิตด้วยความสัตย์ซื่อและความชอบธรรม ณ เบื้องหน้าพระองค์ และด้วยใจอันเที่ยงธรรมต่อพระองค์ และพระองค์ได้รักษาความรักอันมั่นคงและยิ่งใหญ่นี้ไว้ให้ท่าน และพระองค์ได้มอบบุตรให้ท่านคนหนึ่ง เพื่อนั่งครองบัลลังก์ในวันนี้ 7 บัดนี้ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ได้แต่งตั้งผู้รับใช้ของพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนดาวิดบิดาของข้าพเจ้า แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นแต่เพียงเด็กเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบวิธีการเข้านอกออกใน 8 และผู้รับใช้ของพระองค์อยู่ท่ามกลางประชาชนที่พระองค์เลือกไว้แล้ว เป็นชนชาติอันใหญ่ยิ่ง มีคนจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน 9 ฉะนั้น โปรดช่วยให้ผู้รับใช้ของพระองค์มีความคิดความเข้าใจเพื่อปกครองชนชาติของพระองค์ โปรดให้ข้าพเจ้ามีสติปัญญาสามารถแยกความแตกต่างระหว่างความดีและความชั่วได้อย่างชัดเจน ด้วยว่า มีใครบ้างที่มีความสามารถปกครองชนชาติอันใหญ่ยิ่งนี้ของพระองค์ได้”
10 พระผู้เป็นเจ้ายินดีมากที่ซาโลมอนขอเช่นนั้น 11 พระเจ้ากล่าวกับท่านว่า “เป็นเพราะเจ้าขอเช่นนี้ และไม่ได้ขอชีวิตยืนยาว ความมั่งคั่ง หรือชีวิตของศัตรูของเจ้า แต่ได้ขอความคิดความเข้าใจเพื่อจะได้หยั่งรู้ด้วยสติปัญญาว่า สิ่งไหนถูกต้อง 12 ดูเถิด บัดนี้เราโปรดให้เจ้าเรืองปัญญาและหยั่งรู้ในความนึกคิด ซึ่งไม่มีผู้ใดในอดีตเทียบเท่าเจ้าได้ และไม่มีผู้ใดจะมาเทียมเท่าเจ้าได้ในภายภาคหน้า 13 เราให้สิ่งที่เจ้าไม่ได้ขอด้วยคือ ความมั่งคั่งและเกียรติยศ จะไม่มีกษัตริย์อื่นใดที่จะเปรียบได้กับเจ้าตลอดชีวิตของเจ้า 14 และถ้าเจ้าดำเนินชีวิตในวิถีทางของเรา รักษากฎเกณฑ์และบัญญัติของเรา ดังที่ดาวิดบิดาของเจ้าดำเนินมา เราก็จะให้เจ้ามีอายุยืนยิ่งขึ้น”
15 ซาโลมอนตื่นขึ้น ดูเถิด เป็นสิ่งที่ท่านฝัน แล้วท่านก็มายังเมืองเยรูซาเล็ม ยืนอยู่ ณ เบื้องหน้าหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า และมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย และของถวายเพื่อสามัคคีธรรม และจัดงานเลี้ยงให้แก่บรรดาผู้รับใช้ของท่านทุกคน
ความเฉลียวฉลาดของซาโลมอน
16 มีหญิงโสเภณี 2 คนมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ และยืนอยู่ต่อหน้าท่าน 17 หญิงคนหนึ่งพูดว่า “โอ เจ้านายของข้าพเจ้า หญิงคนนี้กับข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ข้าพเจ้าได้คลอดบุตรในขณะที่นางอยู่ในบ้าน 18 วันที่สามหลังจากที่ได้คลอดบุตรแล้ว หญิงคนนี้ก็คลอดบุตรเช่นกัน และเราอยู่กันเพียงสองคน ไม่มีใครอื่นที่อยู่ในบ้านด้วย 19 พอตกค่ำ บุตรของหญิงคนนี้ก็ตายเพราะนางนอนทับอยู่ 20 และนางลุกขึ้นตอนเที่ยงคืน และขโมยบุตรที่กำลังนอนอยู่ข้างข้าพเจ้าไป ขณะที่ข้าพเจ้า คือผู้รับใช้ของท่านนอนหลับอยู่ นางวางบุตรของข้าพเจ้าเคียงข้างอกของนาง และวางบุตรที่ตายแล้วของนางไว้เคียงข้างอกข้าพเจ้า 21 ครั้นรุ่งเช้า ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นจะให้นมบุตร ดูเถิด เขาตายเสียแล้ว แต่เมื่อข้าพเจ้ามองดูบุตรอย่างชัดเจนตอนฟ้าสาง จึงเห็นว่าไม่ใช่บุตรที่ข้าพเจ้าได้คลอดมา” 22 หญิงอีกคนหนึ่งบอกว่า “ไม่ใช่ เด็กที่มีชีวิตอยู่เป็นบุตรของฉัน ส่วนเด็กที่ตายแล้วเป็นของเธอ”
แต่หญิงคนแรกยืนกรานว่า “ไม่ใช่ เด็กที่ตายแล้วเป็นของเธอ ส่วนเด็กที่มีชีวิตอยู่เป็นของฉัน” ดังนั้นหญิงทั้งสองจึงเถียงกันต่อหน้ากษัตริย์
23 กษัตริย์กล่าวว่า “คนนี้พูดว่า ‘บุตรของฉันยังมีชีวิตอยู่ ส่วนบุตรของเธอตายเสียแล้ว’ ในเวลาเดียวกัน คนนั้นก็พูดว่า ‘ไม่ใช่ บุตรของเธอตายแล้ว แต่ของฉันยังมีชีวิตอยู่’” 24 กษัตริย์จึงกล่าวว่า “เอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง” คนหนึ่งก็เอาดาบมาวางไว้ต่อหน้ากษัตริย์ 25 กษัตริย์กล่าวว่า “จงผ่าเด็กที่มีชีวิตอยู่ออกเป็น 2 ท่อน และยกให้ไปคนละท่อน” 26 ฝ่ายหญิงที่เป็นมารดาของเด็กที่มีชีวิต สงสารบุตรของนางจึงบอกกษัตริย์ว่า “โอ เจ้านายของข้าพเจ้า มอบเด็กที่มีชีวิตให้นางไปเถิด โปรดไว้ชีวิตเขาด้วย” แต่หญิงอีกคนพูดว่า “เด็กจะไม่เป็นของเธอ หรือของฉัน ผ่าเด็กออกเป็น 2 ท่อนเถิด” 27 กษัตริย์จึงออกคำสั่งว่า “คืนเด็กที่มีชีวิตให้กับนางคนแรก อย่าฆ่าเขา เพราะนางเป็นมารดาของเขา” 28 เมื่อทั่วทั้งอิสราเอลทราบเรื่องการตัดสินของกษัตริย์ พวกเขาก็รู้สึกเกรงขามยิ่งนัก เพราะต่างก็เข้าใจว่าสติปัญญาของพระเจ้าอยู่กับท่านเพื่อตัดสินด้วยความเป็นธรรม
เจ้าหน้าที่ของซาโลมอน
4 กษัตริย์ซาโลมอนปกครองทั่วทั้งอิสราเอล 2 มีเจ้าหน้าที่ชั้นสูงดังนี้คือ อาซาริยาห์บุตรศาโดกเป็นปุโรหิต 3 เอลีโฮเรฟและอาหิยาห์บุตรชิชาเป็นเลขา เยโฮชาฟัทบุตรอาหิลูดเป็นผู้บันทึกสาสน์ 4 เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาเป็นผู้บัญชาการทหาร ศาโดกและอาบียาธาร์เป็นปุโรหิต[l] 5 อาซาริยาห์บุตรนาธานเป็นผู้ควบคุมผู้ว่าราชการ ศาบุดบุตรนาธานเป็นปุโรหิตและสหายของกษัตริย์ 6 อาหิชาร์เป็นผู้ควบคุมวัง อาโดนีรามบุตรอับดาเป็นผู้ควบคุมพวกที่ถูกเกณฑ์มาให้ทำงานหนัก
7 ซาโลมอนมีผู้ว่าราชการประจำเขต 12 คนที่ควบคุมทั่วอิสราเอล เป็นผู้จัดการเรื่องอาหารสำหรับกษัตริย์และวังของท่าน แต่ละคนมีหน้าที่จัดหาอาหารเป็นเวลา 1 เดือนในแต่ละปี 8 รายชื่อของพวกเขาคือ เบนเฮอร์ ประจำแถบภูเขาเอฟราอิม 9 เบนเดเคอร์ ประจำในมาคาส ชาอัลบิม เบธเชเมช และเอโลนเบธฮานัน 10 เบนเฮเสด ประจำในอารุบโบท (โสโคห์และทั่วดินแดนเฮเฟอร์ขึ้นอยู่กับเขา) 11 เบนอาบีนาดับ ประจำในนาฟาทโดร์ทั้งหมด (เขามีทาฟัทบุตรหญิงของซาโลมอนเป็นภรรยา) 12 บาอานาบุตรอาหิลูด ประจำในทาอานาค เมกิดโด และเบธชานทั้งหมดที่อยู่ข้างศาเรธาน ใต้เมืองยิสเรเอล และตั้งแต่เบธชานถึงอาเบลเมโฮลาห์ไปจนถึงอีกฟากของโยกเมอัม 13 เบนเกเบอร์ ประจำในราโมทกิเลอาด (หมู่บ้านหลายแห่งของยาอีร์บุตรมนัสเสห์ ซึ่งอยู่ในกิเลอาดเป็นของเขา อีกทั้งอาณาเขตอาร์โกบในบาชาน ซึ่งเป็น 60 เมืองใหญ่ที่มีกำแพง และดาลประตูทองสัมฤทธิ์) 14 อาหินาดับบุตรอิดโด ประจำในมาหะนาอิม 15 อาหิมาอัส ประจำในนัฟทาลี (เขาได้บาเสมัทบุตรหญิงของซาโลมอนเป็นภรรยา) 16 บาอานาบุตรหุชัย ประจำในอาเชอร์และเบอาโลท 17 เยโฮชาฟัทบุตรปารูอาห์ ประจำในอิสสาคาร์ 18 ชิเมอีบุตรเอลา ประจำในเบนยามิน 19 เกเบอร์บุตรอุรี ประจำในแผ่นดินกิเลอาด (แผ่นดินของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ และของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน) มีผู้ว่าราชการคนเดียวที่ประจำในแผ่นดินนี้
ความมั่งคั่งและสติปัญญาของซาโลมอน
20 ยูดาห์และอิสราเอลมีคนจำนวนมากราวกับเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล เขาทั้งหลายใช้ชีวิตโดยได้ดื่มกินอย่างบริบูรณ์ และมีสันติสุข 21 ซาโลมอนปกครองทั่วอาณาจักรทั้งปวง ตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย และถึงเขตแดนอียิปต์ คนทั้งหลายนำเครื่องบรรณาการมาถวาย และรับใช้ซาโลมอนตลอดชีวิตของท่าน
22 เสบียงอาหารที่จัดหาให้ซาโลมอนในแต่ละวัน คือแป้งสาลีชั้นเยี่ยม 30 โคร์[m] และข้าวสาลีบด 60 โคร์ 23 โคอ้วนพี 10 ตัว โคจากทุ่งหญ้า 20 ตัว แกะ 100 ตัว นอกจากนี้มีกวางผู้ ละมั่ง เก้งผู้ และไก่อ้วนพีอีกด้วย 24 เพราะท่านครอบครองทั่วอาณาจักรต่างๆ ตั้งแต่ด้านตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส จากทิฟสาห์ถึงกาซา ครอบครองเหนือบรรดากษัตริย์จากทางตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และมีความสงบกับเมืองข้างเคียง 25 ยูดาห์และอิสราเอลก็อยู่อย่างปลอดภัยตลอดชีวิตของซาโลมอน ตั้งแต่เมืองดานกระทั่งถึงเมืองเบเออร์เช-บา แต่ละคนมีสวนองุ่นและต้นมะเดื่อเป็นของตนเอง 26 ซาโลมอนมีคอกม้า 40,000 คอก[n]สำหรับม้าประจำรถศึก และมีทหารม้า 12,000 คน 27 บรรดาผู้ว่าราชการประจำเขตดังกล่าวจัดหาสิ่งเหล่านี้ให้กษัตริย์ซาโลมอน และให้ทุกคนที่มารับประทานกับกษัตริย์ซาโลมอน แต่ละคนจัดหาตามเดือนของตนโดยไม่ให้สิ่งใดขาดตกบกพร่อง 28 แต่ละคนนำข้าวบาร์เลย์และฟางมาเก็บในยุ้งฉางสำหรับม้าศึกและม้าชนิดอื่นตามหน้าที่
29 และพระเจ้าประทานสติปัญญาและความเข้าใจที่ลึกซึ้งอย่างถ่องแท้แก่ซาโลมอน ท่านมีความรู้กว้างไกลสารพัดดั่งเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล 30 สติปัญญาของซาโลมอนจึงลึกล้ำกว่าสติปัญญาของชนชาวตะวันออกทุกคนและสติปัญญาของคนในอียิปต์ทั้งสิ้น 31 เพราะว่าท่านเฉลียวฉลาดกว่าชายอื่นใด ฉลาดกว่าเอธานชาวเอศราค และเฮมาน คาลโคล์ และดาร์ดาบรรดาบุตรของมาโฮล และกิตติศัพท์ของท่านเลื่องลือไปทั่วประชาชาติทั้งปวงที่อยู่รอบข้าง 32 ท่านแต่งสุภาษิต 3,000 ข้อ และท่านมีบทเพลง 1,005 บท 33 ท่านกล่าวถึงต้นไม้ตั้งแต่ไม้ซีดาร์แห่งเลบานอน จนถึงต้นหุสบซึ่งงอกออกมาจากกำแพง ท่านยังได้กล่าวถึงสัตว์ป่า นก สัตว์เลื้อยคลาน และปลาด้วย 34 มีคนจากชนชาติทั้งปวงที่บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลกส่งมา เพื่อฟังคำพูดอันกอปรด้วยสติปัญญาของซาโลมอน เพราะได้ยินคำเลื่องลือถึงสติปัญญาของท่าน
การตระเตรียมสร้างพระตำหนัก
5 เมื่อฮีรามกษัตริย์แห่งไทระทราบว่า ซาโลมอนได้รับการเจิมให้เป็นกษัตริย์แทนบิดาของท่าน ฮีรามจึงให้บรรดาผู้ส่งสาสน์ของท่านมาเข้าเฝ้าซาโลมอน เพราะว่าฮีรามมีไมตรีจิตต่อดาวิดเสมอมา 2 ซาโลมอนจึงให้คนไปบอกฮีรามว่า 3 “ท่านทราบว่า ดาวิดบิดาของเราสร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านไม่ได้ เพราะศึกสงครามที่ศัตรูคุกคามอยู่โดยรอบ จนกระทั่งพระผู้เป็นเจ้าทำให้พวกเขายอมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของท่าน 4 และบัดนี้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราได้โปรดให้เรามีความสงบสุขจากประชาชาติรอบข้าง ไม่มีทั้งศัตรูหรือวิบัติใดๆ 5 ฉะนั้นเราจึงตั้งใจจะสร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ดังที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับดาวิดบิดาของเราว่า ‘เราจะให้บุตรของเจ้านั่งบนบัลลังก์ของเจ้าแทนเจ้า เขาจะเป็นผู้ที่สร้างตำหนักเพื่อนามของเรา’ 6 ฉะนั้นบัดนี้ ขอให้ท่านสั่งตัดต้นซีดาร์แห่งเลบานอนให้เราด้วย ผู้รับใช้ของเราจะมาช่วยกันกับผู้รับใช้ของท่าน และเราจะมอบค่าจ้างให้ผู้รับใช้ของท่านตามค่าแรงที่ท่านตั้งราคาไว้ เพราะท่านก็ทราบแล้วว่า ไม่มีผู้ใดในท่ามกลางพวกเราที่ชำนาญในการตัดไม้เหมือนกับชาวไซดอน”
7 ทันทีที่ฮีรามได้ยินคำพูดของซาโลมอน ท่านก็ยินดียิ่งนักและกล่าวว่า “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าในวันนี้ เพราะพระองค์ได้มอบบุตรผู้เรืองปัญญาแก่ดาวิด เพื่อปกครองชนชาติที่ยิ่งใหญ่นี้” 8 และฮีรามให้คนไปรายงานซาโลมอนว่า “ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวที่ท่านส่งให้ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าพร้อมจะปฏิบัติตามที่ท่านต้องการในเรื่องไม้ซุงซีดาร์และไม้สน 9 พวกผู้รับใช้ของข้าพเจ้าจะนำซุงจากเลบานอนส่งเป็นแพซุงมาทางทะเล ให้ล่องไปยังสถานที่ที่ท่านกำหนด และข้าพเจ้าจะให้ส่งไม้ที่นั่น และท่านก็จะได้รับไม้ไปได้ และสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะได้รับจากท่านก็คือ เสบียงอาหารสำหรับวังของข้าพเจ้า”
10 ดังนั้นฮีรามจึงจัดการให้ตัดไม้ซีดาร์และไม้สนให้แก่ซาโลมอนตามความต้องการ 11 ในเวลาเดียวกันซาโลมอนก็ได้มอบข้าวสาลี 20,000 โคร์ เป็นอาหารสำหรับครัวเรือนของท่าน และน้ำมันบริสุทธิ์ 20,000 โคร์ ให้แก่ฮีรามเป็นประจำทุกปี 12 และพระผู้เป็นเจ้ามอบสติปัญญาแก่ซาโลมอน ดังที่พระองค์สัญญาท่านไว้ และมีสันติไมตรีระหว่างฮีรามและซาโลมอน ทั้งสองก็ได้กระทำสนธิสัญญาต่อกัน
13 กษัตริย์ซาโลมอนเกณฑ์แรงงานจากทั่วอิสราเอล นับจำนวนคนที่ถูกเกณฑ์ได้ 30,000 คน 14 ท่านใช้พวกเขาไปที่เลบานอน โดยจัดเป็นเวร 10,000 คนต่อเดือน ให้อยู่ที่เลบานอน 1 เดือน และอยู่บ้าน 2 เดือน มีอาโดนีรามเป็นผู้ควบคุมพวกที่ถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก 15 ซาโลมอนให้คนจำนวน 70,000 คนทำหน้าที่แบกหาม และ 80,000 คนสกัดหินในแถบภูเขา 16 นอกจากนี้ยังมีบรรดาหัวหน้างาน 3,300 คนของซาโลมอนที่ควบคุมงานและสั่งการกับคนทำงาน 17 กษัตริย์สั่งพวกเขาให้ขนหินก้อนใหญ่ที่มีคุณภาพสูง เพื่อวางฐานรากของพระตำหนักด้วยหินที่แต่งแล้ว 18 ดังนั้นช่างก่อสร้างของซาโลมอนและฮีราม และพวกชาวเกบาลก็ตัดและเตรียมไม้และหินเพื่อสร้างพระตำหนัก
ซาโลมอนสร้างพระตำหนัก
6 ในปีที่สี่ร้อยแปดสิบ หลังจากที่ชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์แล้ว นับเป็นปีที่สี่แห่งการปกครองอิสราเอลของซาโลมอน ในเดือนศิฟ คือเดือนที่สอง ท่านจึงเริ่มสร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 2 พระตำหนักที่กษัตริย์ซาโลมอนสร้างเพื่อพระผู้เป็นเจ้า มีความยาว 60 ศอก กว้าง 20 ศอก และสูง 30 ศอก 3 มุขที่หน้าพระตำหนักชั้นนอกของพระวิหารยาว 20 ศอก เท่ากับความกว้างของพระตำหนัก และลึกจากด้านหน้าพระตำหนัก 10 ศอก 4 ท่านให้สร้างขอบหน้าต่างเป็นส่วนเว้าเข้าไปจากกำแพงด้านนอก 5 รอบผนังด้านนอกของพระตำหนัก ท่านสร้างห้องเสริมรอบๆ พระตำหนักชั้นนอกและพระตำหนักชั้นใน มีหลายห้องที่สร้างไว้โดยรอบ 6 ห้องชั้นล่างสุดกว้าง 5 ศอก ชั้นกลางกว้าง 6 ศอก และชั้นที่สามกว้าง 7 ศอก ผนังรอบนอกของพระตำหนักมีเชิงสร้างไว้โดยรอบ เพื่อไม่ต้องสอดคานรับน้ำหนักไว้ที่ผนังพระตำหนัก
7 หินที่ใช้สร้างพระตำหนักเป็นหินที่แต่งแล้วจากเหมือง เพื่อไม่ให้มีเสียงค้อน ขวาน หรือเครื่องมือเหล็กชนิดใดในพระตำหนัก ขณะที่กำลังก่อสร้างอยู่
8 ทางเข้าชั้นล่างสุดอยู่ทางทิศใต้ของพระตำหนัก มีบันไดขึ้นไปบนชั้นกลางและชั้นที่สามได้ 9 ดังนั้นท่านสร้างพระตำหนักจนเสร็จ ท่านใช้คานและแผ่นไม้ซีดาร์กรุเพดาน 10 ห้องเสริมแต่ละชั้นที่ท่านสร้างรอบพระตำหนักมีความสูง 5 ศอก ซึ่งเชื่อมติดกับพระตำหนักด้วยไม้ซีดาร์
11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาโลมอนว่า 12 “เรื่องตำหนักที่เจ้ากำลังสร้างอยู่ ถ้าเจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา เชื่อฟังคำบัญชา และรักษาคำบัญญัติของเรา เราก็จะปฏิบัติต่อเจ้าตามสัญญาที่เราได้ให้แก่ดาวิดบิดาของเจ้า 13 และเราจะอยู่กับลูกหลานของอิสราเอล และจะไม่ทอดทิ้งอิสราเอลชนชาติของเรา”
14 ดังนั้นซาโลมอนสร้างพระตำหนักจนเสร็จ 15 ท่านให้กรุผนังข้างในพระตำหนักด้วยกระดานไม้ซีดาร์ตั้งแต่พื้นถึงเพดาน และท่านให้ใช้ไม้สนปูทับพื้นพระตำหนัก 16 ท่านสร้างด้านหลังของพระตำหนักด้วยกระดานไม้ซีดาร์สูง 20 ศอกตั้งแต่พื้นถึงเพดาน และท่านสร้างห้องนี้ให้เป็นพระตำหนักชั้นใน คืออภิสุทธิสถาน 17 พระตำหนักชั้นนอกซึ่งอยู่ด้านหน้าของพระตำหนักชั้นในยาว 40 ศอก 18 ไม้ซีดาร์ภายในพระตำหนักแกะสลักรูปน้ำเต้าและดอกไม้บาน เป็นไม้ซีดาร์ทั้งหมด โดยมองไม่เห็นหินเลย 19 ท่านเตรียมพระตำหนักชั้นในไว้ภายในพระวิหาร เพื่อเป็นที่ตั้งหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า 20 พระตำหนักชั้นในมีขนาดยาว 20 ศอก กว้าง 20 ศอก และสูง 20 ศอก และท่านให้กรุด้วยทองคำบริสุทธิ์ และหุ้มแท่นบูชาไม้ซีดาร์ด้วยทองคำเช่นกัน 21 ซาโลมอนกรุภายในพระตำหนักด้วยทองคำบริสุทธิ์ ท่านให้ใช้โซ่ทองคำขึงที่ทางเข้าพระตำหนักชั้นในซึ่งกรุด้วยทองคำ 22 ท่านให้กรุทั่วพระตำหนักด้วยทองคำ จนเสร็จบริบูรณ์ และให้ใช้ทองคำหุ้มแท่นบูชาที่อยู่ในพระตำหนักชั้นในด้วย
23 ภายในพระตำหนักชั้นใน ท่านให้ทำตัวเครูบ 2 รูปด้วยไม้มะกอก[o] แต่ละรูปสูง 10 ศอก 24 เครูบมีปีกยาวปีกละ 5 ศอก วัดจากปลายปีกข้างหนึ่งถึงปลายปีกอีกข้างหนึ่งได้ 10 ศอก 25 เครูบทั้งสองมีลักษณะและขนาดที่เท่ากัน 26 เครูบแต่ละรูปสูงเท่ากันคือ 10 ศอก 27 ท่านให้ตั้งเครูบไว้ที่ห้องในสุดของพระตำหนัก ปีกของเครูบทั้งสองกางออก ปลายปีกของเครูบทั้งสองจรดกันตรงกลางพระตำหนัก ส่วนปีกอีกข้างจรดผนัง 28 และท่านให้ใช้ทองคำหุ้มตัวเครูบ
29 ท่านให้แกะสลักผนังพระตำหนักชั้นในและพระตำหนักชั้นนอก เป็นตัวเครูบ ต้นอินทผลัม และดอกไม้บาน 30 พื้นพระตำหนักชั้นในและพระตำหนักชั้นนอกก็ให้กรุด้วยทองคำ
31 ท่านให้ทำประตูที่ทางเข้าพระตำหนักชั้นในด้วยไม้มะกอก ประตูตอนบนและวงกบประตูบรรจบกันเป็นรูปห้าเหลี่ยม 32 ท่านให้แกะสลักประตูไม้มะกอกทั้งสองเป็นรูปเครูบ ต้นอินทผลัม และดอกไม้บาน แล้วท่านก็ให้หุ้มเครูบและต้นอินทผลัมด้วยแผ่นทองคำ
33 ท่านให้ทำวงกบประตูที่ทางเข้าพระตำหนักชั้นนอกด้วยไม้มะกอกเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้วย 34 ประตูสองบานใช้ไม้สน ประตูทั้งสองบานเป็นประตูบานพับ 35 และท่านให้แกะสลักประตูเป็นเครูบ ต้นอินทผลัม และดอกไม้บาน และหุ้มรูปที่แกะสลักด้วยทองคำให้เรียบ 36 ท่านให้สร้างกำแพงล้อมลานใน ด้วยหินที่แต่งแล้วก่อขึ้น 3 ขั้นกับคานไม้ซีดาร์ 1 ขั้น
37 ในปีที่สี่ของสมัยซาโลมอน ท่านให้วางฐานรากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าในเดือนศิฟ 38 ในปีที่สิบเอ็ด พระตำหนักสร้างเสร็จในเดือนบูล คือเดือนที่แปด ตามรายละเอียดที่ระบุไว้ ใช้เวลาสร้าง 7 ปี
ซาโลมอนสร้างวังของท่าน
7 การสร้างวังของซาโลมอนใช้เวลา 13 ปีจึงเสร็จบริบูรณ์
2 ท่านสร้างตำหนักวนาลัยแห่งเลบานอน ยาว 100 ศอก กว้าง 50 ศอก และสูง 30 ศอก วังนี้ใช้เสาหลักไม้ซีดาร์ 4 แถว มีคานไม้ซีดาร์ที่ยอดเสา 3 และมีไม้กระดานซีดาร์วางทับคานไม้ที่อยู่บน 45 เสา คือแถวละ 15 เสา 4 สองกำแพงที่ขนานกันมีช่องหน้าต่างทั้งสามระดับ 5 ประตูและหน้าต่างทุกบานมีขอบตั้งฉาก หน้าต่างแต่ละบานอยู่ในระดับที่ตรงกันทั้งสามชั้น
6 ท่านให้สร้างเฉลียงอันสูงตระหง่าน ซึ่งมีความยาว 50 ศอก กว้าง 30 ศอก ส่วนหนึ่งของเฉลียงเป็นมุขที่ต่อยาวไปถึงด้านหน้า และมีผ้าระบายลงมาจากเสาหลัก
7 และท่านให้สร้างห้องโถงพระที่นั่ง ห้องโถงพิพากษา เพื่อเป็นที่พิพากษาความ ให้กรุไม้ซีดาร์ตั้งแต่พื้นห้องไปจนถึงเพดาน
8 ตำหนักที่ท่านอาศัยอยู่เป็นประจำนั้น สร้างไว้หลังห้องโถงพระที่นั่ง ให้ช่างมีฝีมือสร้างคุณภาพทัดเทียมกัน ซาโลมอนได้สร้างตำหนักอีกแห่งหนึ่งเหมือนกับห้องโถงนี้ สำหรับธิดาของฟาโรห์ ซึ่งท่านได้รับมาเป็นภรรยา
9 สิ่งก่อสร้างเหล่านี้สร้างด้วยหินคุณภาพสูง สกัดตามขนาดที่ต้องการ ใช้เลื่อยตัดให้เรียบทุกด้าน ตั้งแต่ส่วนบนสุดจรดฐานรากของตำหนัก และจากลานตำหนักจรดลานใหญ่ 10 ฐานรากทำด้วยหินคุณภาพสูงก้อนใหญ่มหึมาขนาด 8 และ 10 ศอก 11 เหนือจากฐานรากก็เป็นหินคุณภาพสูงที่ถูกสกัดตามขนาด ประกอบกับไม้ซีดาร์ 12 กำแพงที่ลานรอบนอกลานใหญ่สร้างด้วยหินที่แต่งแล้วก่อขึ้น 3 ขั้นกับคานไม้ซีดาร์ 1 ขั้น เหมือนอย่างลานในที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และมุขพระตำหนัก
เครื่องใช้ในพระตำหนัก
13 กษัตริย์ซาโลมอนใช้คนไปขอให้ฮีรามจากเมืองไทระมาเข้าเฝ้า 14 เขาเป็นบุตรของหญิงม่ายจากเผ่านัฟทาลี บิดาเป็นชายชาวเมืองไทระ ซึ่งเป็นช่างฝีมือทองสัมฤทธิ์ ฮีรามเป็นผู้มีสติปัญญา ความเข้าใจ และความชำนาญในงานทองสัมฤทธิ์ เขามาเฝ้ากษัตริย์ซาโลมอน และได้ทำงานของท่านทั้งหมด
15 เขาหล่อเสาหลักด้วยทองสัมฤทธิ์ 2 เสา แต่ละเสาสูง 18 ศอก มีเส้นรอบวง 12 ศอก เป็นเสากลวง หนาเท่าความกว้างของฝ่ามือ 16 เขาหล่อบัว 2 อันด้วยทองสัมฤทธิ์ บัวแต่ละอันสูง 5 ศอกสำหรับตั้งบนยอดเสาทั้งสอง 17 และเขาประดับบัวด้วยโซ่ถักเป็นตาข่ายคลุมยอดเสาทั้งสอง แต่ละเสาใช้โซ่ 7 เส้น 18 และเขาห้อยลูกทับทิม 2 แถวที่รอบตาข่าย เพื่อคลุมบัวที่ยอดเสา โดยทำให้เหมือนกันทั้ง 2 เสา 19 บัวที่ยอดเสาที่อยู่ในมุขเป็นรูปดอกพลับพลึง[p] สูง 4 ศอก 20 นอกจากงานตาข่ายที่คลุมบัวยอดเสาแล้ว ก็ยังมีลูกทับทิม 200 ลูกห้อยเรียงกันที่รอบเสาเหนือส่วนที่นูนออก ทั้ง 2 เสา 21 เขาตั้งเสาหลักที่มุขพระวิหาร เสาหนึ่งตั้งไว้ทางทิศใต้เรียกชื่อว่า ยาคีน[q] อีกเสาตั้งไว้ทางทิศเหนือเรียกชื่อว่า โบอาส[r] 22 บัวยอดเสาหลักเป็นรูปดอกพลับพลึง ดังนั้นงานเสาหลักก็เสร็จสิ้น
23 และเขาหล่อถังเก็บน้ำรูปทรงกลม เส้นศูนย์กลาง 10 ศอก สูง 5 ศอก เส้นรอบวง 30 ศอก 24 ใต้ขอบมีรูปน้ำเต้าเรียงที่รอบถัง 2 รอบๆ ละ 150 ลูก หล่อเป็นเนื้อเดียวกับตัวถัง 25 ถังนี้ตั้งบนหลังโค 12 ตัว ซึ่ง 3 ตัวหันไปทิศเหนือ 3 ตัวหันไปทิศตะวันตก 3 ตัวหันไปทิศใต้ และอีก 3 ตัวหันไปทิศตะวันออก โคทุกตัวหันหางไปทางศูนย์กลาง 26 ถังหนา 1 ฝ่ามือ ขอบถังทำเหมือนขอบถ้วย เหมือนดอกพลับพลึง ถังนี้จุน้ำ 2,000 บัท[s]
27 เขาสร้างแท่นทองสัมฤทธิ์ 10 แท่น แต่ละแท่นยาว 4 ศอก กว้าง 4 ศอก สูง 3 ศอก 28 เขาสร้างแท่นตามนี้คือ เป็นแผ่นกระดานสี่ด้านตั้งอยู่ในกรอบ 29 แผ่นเหล่านี้มีรูปสิงโต โค และเครูบ บนกรอบนี้ทั้งด้านบนและล่างของตัวสิงโตและโค มีรูปมาลัยสลักด้วยค้อน 30 นอกจากนี้ แต่ละแท่นก็ยังมีล้อทองสัมฤทธิ์ 4 ล้อ กับแกนทองสัมฤทธิ์ และที่มุมทั้งสี่มีฐานรองรับอ่าง ซึ่งแต่ละข้างมีรูปมาลัยหล่อติดอยู่ 31 ช่องเปิดตอนบนเป็นรูปทรงกลม สูงจากกรอบ 1 ศอก และลึกลงจากกรอบศอกครึ่ง แผ่นรองรับอ่างที่ช่องเปิดเป็นทรงสี่เหลี่ยม ไม่ใช่ทรงกลม และมีรูปแกะสลัก 32 ล้อทั้งสี่อยู่ใต้แผ่นกระดานข้างต้น แกนล้อเป็นชิ้นเดียวกับแท่น ล้อสูงศอกครึ่ง 33 ล้อทำเหมือนกับล้อรถศึก ทั้งแกน รอบนอกกงล้อ ซี่ล้อ ดุมล้อ ล้วนหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น 34 แท่นทุกแท่นมีฐานรองรับอยู่ที่มุมทั้งสี่ และฐานรองรับนี้ทำเป็นชิ้นเดียวกับแท่น 35 ตอนบนสุดของแท่นมีแถบทรงกลมสูงครึ่งศอก ฐานรองรับและแผ่นกระดานเป็นชิ้นเดียวกับแท่น 36 ฐานรองรับบางส่วนที่มองเห็นและแผ่นกระดาน ก็สลักเป็นตัวเครูบ สิงโต และต้นอินทผลัม ตามแต่จะมีที่ว่าง และมีมาลัยอยู่โดยรอบ 37 เขาหล่อแท่นตามรายละเอียดดังกล่าว 10 แท่นให้เหมือนกันหมด ทั้งรูปร่างและขนาด
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation