Bible in 90 Days
19 เมื่อม้าของฟาโรห์พร้อมกับรถศึกและทหารม้าลงไปในทะเล พระผู้เป็นเจ้าปล่อยให้น้ำในทะเลไหลกลับท่วมพวกเขา ในขณะที่ชาวอิสราเอลเดินบนดินแห้งซึ่งอยู่กลางทะเลได้ 20 แล้วพี่สาวของอาโรนคือมิเรียมผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ก็หยิบรำมะนา และผู้หญิงทุกคนตามหลังเธอไปพร้อมกับรำมะนาเพื่อร่ายรำ 21 มิเรียมร้องเพลงให้พวกเขาฟังดังนี้
“จงร้องเพลงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า
เพราะพระองค์มีชัยชนะอันยิ่งใหญ่
พระองค์ได้โยนทั้งม้าและสารถี
ลงสู่ทะเลแล้ว”
น้ำขมที่มาราห์
22 ครั้นแล้วโมเสสก็นำชาวอิสราเอลจากทะเลแดง เข้าสู่ถิ่นทุรกันดารชูร์ เป็นเวลา 3 วันที่พวกเขาอยู่ในถิ่นทุรกันดารนั้น และไม่สามารถหาน้ำได้เลย 23 เมื่อมาถึงบริเวณที่เรียกว่ามาราห์ น้ำที่มีอยู่ก็ไม่สามารถดื่มได้เพราะมีรสขม จึงได้ชื่อว่า มาราห์[a] 24 ผู้คนจึงพากันบ่นไม่พอใจต่อว่าโมเสสว่า “พวกเราจะดื่มอะไรได้” 25 โมเสสจึงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจึงให้ท่านเห็นไม้ท่อนหนึ่ง เมื่อท่านโยนมันลงไปในน้ำ ก็ดื่มน้ำนั้นได้
พระผู้เป็นเจ้าตั้งกฎเกณฑ์และคำสั่ง แล้วพระองค์ก็ทดสอบพวกเขาที่นั่น 26 พระองค์กล่าวว่า “ถ้าพวกเจ้าเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า และประพฤติตามสิ่งที่ถูกที่ควรตามสายตาของพระองค์ และรักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ทั้งปวงของพระองค์ไว้ เราจะไม่ทำให้พวกเจ้าเป็นโรคต่างๆ เหมือนที่เราทำกับชาวอียิปต์ เพราะเราคือพระผู้เป็นเจ้า ผู้รักษาโรคของเจ้า”
27 พวกเขามาถึงเอลิมอันเป็นสถานที่ที่มีบ่อน้ำพุ 12 บ่อและต้นอินทผลัม 70 ต้น จึงตั้งค่ายอยู่ใกล้น้ำพุที่นั่น
มานาและนกกระทา
16 ชาวอิสราเอลทั้งมวลเดินทางต่อไปจากเอลิม และเมื่อถึงวันที่สิบห้าของเดือนที่สอง คือนับตั้งแต่เวลาที่พวกเขาไปจากอียิปต์ พวกเขาก็ได้มาถึงถิ่นทุรกันดารสีนซึ่งอยู่ระหว่างเอลิมและซีนาย 2 ชาวอิสราเอลทั้งมวลก็บ่นไม่พอใจต่อว่าโมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร 3 และพูดขึ้นว่า “ถ้าแม้ว่าพวกเราจะตายด้วยฝีมือของพระผู้เป็นเจ้าที่อียิปต์ เราก็ยังจะได้นั่งรับประทานเนื้อสัตว์กับขนมปังจนอิ่มหนำ แต่ท่านกลับพาพวกเราออกมาอดอยากจนตายในถิ่นทุรกันดารแห่งนี้”
4 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะโปรยขนมปังลงมาจากฟ้าดั่งเม็ดฝนให้พวกเจ้า และผู้คนจะออกไปเก็บให้พอรับประทานในแต่ละวันได้ ก็เพราะเราจะทดสอบพวกเขาดูว่าจะปฏิบัติตามกฎบัญญัติของเราหรือไม่ 5 ในวันที่หก ให้เขาเก็บและเตรียมอาหารมากกว่าวันอื่นๆ เป็นสองเท่า” 6 ดังนั้น โมเสสและอาโรนจึงบอกชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ตอนเย็นพวกท่านจะรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ที่นำท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ 7 และรุ่งเช้าท่านจะเห็นพระสง่าราศีของพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ได้ยินท่านบ่นไม่พอใจต่อว่าพระผู้เป็นเจ้า เราทั้งสองเป็นใครหรือ ท่านจึงได้บ่นต่อว่าเรา” 8 โมเสสพูดต่ออีกว่า “การที่พระผู้เป็นเจ้าให้เนื้อสัตว์แก่พวกท่านรับประทานในเวลาเย็นและขนมปังในเวลาเช้าจนอิ่มหนำ ก็เป็นเพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ยินท่านบ่นไม่พอใจต่อว่าพระองค์ เราทั้งสองเป็นใครหรือ เวลาท่านบ่นไม่พอใจก็มิใช่เป็นการต่อว่าเรา แต่เป็นการต่อว่าพระผู้เป็นเจ้า”
9 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “บอกชาวอิสราเอลทั้งมวลว่า ‘จงมาอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ได้ยินท่านบ่นไม่พอใจแล้ว’” 10 และขณะที่อาโรนกำลังพูดอยู่กับชาวอิสราเอลทั้งมวล พวกเขามองไปทางถิ่นทุรกันดาร ดูเถิด พระสง่าราศีของพระผู้เป็นเจ้าปรากฏอยู่ในเมฆ 11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 12 “เราได้ยินชาวอิสราเอลบ่นไม่พอใจ จงบอกพวกเขาว่า ‘ในเวลาโพล้เพล้พวกเจ้าจะรับประทานเนื้อสัตว์ และเวลาเช้าเจ้าจะรับประทานอาหารจนอิ่ม แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า’”
13 ครั้นพอตกเย็นจะมีนกกระทาบินลงมาอยู่เต็มค่าย และในยามเช้าน้ำค้างก็จะตกอยู่รายรอบค่าย 14 เมื่อน้ำค้างแห้งเหือดไปแล้วก็มีเกล็ดบางๆ ละเอียดราวกับน้ำค้างแข็งเกาะอยู่บนพื้นดินทั่วถิ่นทุรกันดาร 15 เมื่อชาวอิสราเอลเห็นก็พากันถามไถ่ว่า “นี่อะไร” เหตุเพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร โมเสสจึงบอกพวกเขาว่า “เป็นอาหารเกล็ดที่พระผู้เป็นเจ้าให้พวกท่านรับประทาน 16 พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ว่า ‘ทุกคนจงเก็บอาหารเกล็ดนี้ไว้ให้พอที่พวกเจ้าจะรับประทาน คือประมาณคนละ 1 โอเมอร์[b]และเก็บได้ตามจำนวนคนในกระโจมของตน’” 17 ชาวอิสราเอลทำตามคำนั้น บางคนเก็บมาก บางคนเก็บน้อย 18 แต่เมื่อเขาใช้โอเมอร์ตวงแล้ว คนที่เก็บสะสมมากไม่ได้มีเหลือเฟือ และคนที่เก็บสะสมเพียงเล็กน้อยก็ไม่ขัดสน แต่ละคนเก็บได้พอเพียงเท่าที่ตนจะรับประทาน 19 แล้วโมเสสพูดกับพวกเขาว่า “อย่าให้ใครมีอาหารเกล็ดเหลือไว้จนรุ่งเช้า” 20 แต่พวกเขาไม่ฟังโมเสส บางคนเก็บไว้จนรุ่งเช้า จึงเกิดหนอนขึ้นและส่งกลิ่นเหม็น โมเสสจึงโกรธพวกเขา 21 ทุกเช้าแต่ละคนเก็บอาหารเกล็ดมากเท่าที่ตนจะรับประทานได้ แต่เมื่อแดดร้อนจัด อาหารเกล็ดก็ละลาย
22 ในวันที่หกพวกเขาเก็บอาหารเกล็ดมากเป็นสองเท่า คือคนละ 2 โอเมอร์ แล้วบรรดาหัวหน้าของมวลชนมารายงานแก่โมเสส 23 ท่านบอกพวกเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาว่า ‘พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพักที่แท้จริง เป็นวันสะบาโตที่บริสุทธิ์สำหรับพระผู้เป็นเจ้า อะไรที่ท่านจะอบหรือต้มก็แล้วแต่ ท่านควรเก็บสิ่งที่เหลือไว้จนถึงเช้า’” 24 พวกเขาจึงเก็บอาหารเกล็ดไว้จนถึงเช้า ตามที่โมเสสสั่ง อาหารเกล็ดไม่มีกลิ่นเหม็นและไม่ขึ้นหนอน 25 โมเสสกล่าวว่า “วันนี้รับประทานอาหารเกล็ดที่เหลือเก็บไว้ เพราะเป็นวันสะบาโตสำหรับพระผู้เป็นเจ้า วันนี้ในทุ่งนาจะไม่มีอาหารเกล็ดให้พวกท่านหาอีก 26 ฉะนั้นท่านสามารถเก็บอาหารเกล็ดได้ 6 วัน ส่วนวันที่เจ็ดซึ่งเป็นสะบาโตจะไม่มีอาหารเกล็ดให้เก็บ”
27 ในวันที่เจ็ดมีบางคนออกไปเก็บอาหารอีก แต่ก็ไม่พบ 28 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะยังไม่ปฏิบัติตามคำบัญญัติและกฎบัญญัติของเราไปอีกนานแค่ไหน 29 จงใส่ใจว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ให้วันสะบาโตแก่เจ้า ฉะนั้นในวันที่หก พระองค์ให้อาหารเกล็ดแก่เจ้าพอสำหรับ 2 วัน ทุกคนในพวกเจ้าจงอยู่กับที่ของตนเอง อย่าให้ใครออกไปจากที่ของตนในวันที่เจ็ด” 30 ดังนั้นผู้คนจึงพักผ่อนในวันที่เจ็ด
31 ชาวอิสราเอลเรียกชื่ออาหารเกล็ดว่า มานา[c] ซึ่งมีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชีสีขาว รสชาติเหมือนอาหารเกล็ดกรอบผสมน้ำผึ้ง 32 โมเสสพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ว่า ‘จงเก็บมานาไว้ 1 โอเมอร์สำหรับทุกชาติพันธุ์ของเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้รู้จักอาหารเกล็ดที่เราให้พวกเจ้ารับประทานในถิ่นทุรกันดาร ในช่วงเวลาที่เราพาเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์’” 33 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “เอาภาชนะมาใส่มานา 1 โอเมอร์ แล้ววางไว้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเก็บไว้ให้ทุกชาติพันธุ์ของพวกท่าน” 34 อาโรนวางมานาไว้ที่หน้าหีบพันธสัญญาเพื่อเก็บไว้ตามคำพระผู้เป็นเจ้าที่สั่งไว้กับโมเสส 35 ชาวอิสราเอลรับประทานมานาเป็นเวลา 40 ปี จนกระทั่งเคลื่อนย้ายมาถึงดินแดนที่จะตั้งรกรากอยู่ได้ พวกเขารับประทานมานาจนเดินทางมาถึงชายแดนของดินแดนคานาอัน 36 (1 โอเมอร์ เท่ากับ หนึ่งส่วนสิบเอฟาห์)
น้ำจากก้อนหิน
17 ชาวอิสราเอลทั้งมวลโยกย้ายไปจากถิ่นทุรกันดารสีน และเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ ตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และมาตั้งค่ายที่เรฟีดิม แต่เนื่องจากที่นั่นไม่มีน้ำให้ดื่ม 2 ผู้คนจึงโต้แย้งโมเสสว่า “หาน้ำให้พวกเราดื่มสิ” โมเสสพูดว่า “ทำไมพวกท่านจึงก้าวร้าวต่อว่าเรา ทำไมท่านจึงลองดีกับพระผู้เป็นเจ้า” 3 แต่ผู้คนที่กำลังกระหายน้ำในที่นั้นพากันร้องบ่นไม่พอใจต่อว่าโมเสสว่า “ทำไมท่านจึงพาพวกเราขึ้นมาจากอียิปต์ หวังจะฆ่าเราพร้อมกับลูกหลานและฝูงปศุสัตว์ด้วยการให้อดน้ำหรือ” 4 โมเสสจึงร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไรกับคนพวกนี้ดี พวกเขาแทบจะเอาก้อนหินขว้างใส่ข้าพเจ้าอยู่แล้ว” 5 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงถือไม้เท้าที่เจ้าใช้ฟาดผิวน้ำที่แม่น้ำไนล์ แล้วเดินนำหน้าผู้คนไป พาบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลไปด้วย จงไปเถิด 6 ดูเถิด เราจะยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าที่ก้อนหินที่โฮเรบ จงฟาดไม้เท้าใส่ก้อนหินนั้น แล้วน้ำก็จะไหลออกมาจากหิน ผู้คนจะได้ดื่มน้ำได้” โมเสสทำตามนั้นต่อหน้าบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอล 7 ท่านเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า มัสสาห์ และเมรีบาห์ เนื่องจากการทุ่มเถียงของบรรดาชาวอิสราเอล และเป็นเพราะพวกเขาลองดีกับพระผู้เป็นเจ้าด้วยการพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกเราหรือเปล่า”
การสู้รบครั้งแรกของอิสราเอล
8 ชาวอามาเลขมาโจมตีชาวอิสราเอลที่เรฟีดิม 9 โมเสสพูดกับโยชูวาว่า “จงคัดพวกผู้ชายให้เราเพื่อออกไปต่อสู้กับชาวอามาเลข พรุ่งนี้เราจะยืนและถือไม้เท้าของพระเจ้าอยู่บนยอดเขา” 10 โยชูวาจึงทำตามที่โมเสสบอก และออกไปรบกับชาวอามาเลข ในขณะที่โมเสส อาโรน และฮูร์ขึ้นไปที่ยอดเขา 11 เมื่อใดก็ตามที่โมเสสยกแขนขึ้น อิสราเอลก็ชนะ และทุกครั้งที่ท่านลดแขนลง อามาเลขชนะ 12 ทำให้แขนของโมเสสเมื่อยล้า พวกเขาจึงกลิ้งก้อนหินให้โมเสสนั่ง แล้วอาโรนกับฮูร์พยุงแขนโมเสสไว้กันคนละข้าง แขนของท่านจึงตั้งขึ้นอยู่ได้จนกระทั่งตะวันลับฟ้า 13 ฉะนั้นโยชูวาจึงสามารถใช้คมดาบปราบอามาเลขและพรรคพวกได้
14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบันทึกเรื่องนี้ไว้ในหนังสือม้วนเพื่อเป็นอนุสรณ์ และอ่านให้โยชูวาฟังว่า เราจะกำจัดชาวอามาเลขให้สูญไปจากใต้ฟ้าสวรรค์” 15 แล้วโมเสสก็สร้างแท่นบูชา และเรียกชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้านิสสี[d] 16 ท่านพูดว่า “เป็นเพราะมือของพวกเขาต่อต้านบัลลังก์ของพระผู้เป็นเจ้า จึงจะมีการต่อสู้ระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับอามาเลขไปทุกชั่วอายุคน”
เยโธรกับโมเสสพบกัน
18 เยโธรปุโรหิตของมีเดียนผู้เป็นพ่อตาของโมเสสทราบเรื่องทั้งหมดที่พระเจ้ากระทำเพื่อโมเสสและอิสราเอลชนชาติของพระองค์ว่า พระผู้เป็นเจ้าได้นำอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ได้อย่างไร 2 เยโธรพ่อตาของโมเสสได้รับศิปโปราห์ภรรยาของโมเสสไว้หลังจากที่โมเสสส่งนางกลับไป 3 พร้อมกับบุตรชายของนาง 2 คน คนหนึ่งชื่อเกอร์โชม[e] เพราะโมเสสพูดว่า “เราเป็นคนต่างด้าวในที่ต่างถิ่น” 4 อีกคนชื่อเอลีเอเซอร์[f] ท่านพูดว่า “เพราะพระเจ้าของบรรพบุรุษข้าพเจ้าช่วยข้าพเจ้า และให้ข้าพเจ้าพ้นจากคมดาบของฟาโรห์” 5 เยโธรพ่อตาของโมเสสพาบุตรชายและภรรยาของโมเสสไปหาท่านที่ภูเขาของพระเจ้าในถิ่นทุรกันดารซึ่งเป็นที่ท่านตั้งค่ายอยู่ 6 เยโธรส่งคนไปบอกโมเสสว่า “เราคือเยโธรพ่อตาของท่าน กำลังมาหาท่านพร้อมกับภรรยาของท่านและบุตรทั้งสองของนาง” 7 โมเสสจึงออกไปพบพ่อตาของท่าน ก้มกราบและจูบแก้มท่าน ต่างก็ถามถึงทุกข์สุขของกันและกัน แล้วก็พากันเข้าไปในกระโจม 8 โมเสสเล่าให้พ่อตาของท่านฟังเกี่ยวกับทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำต่อฟาโรห์และชาวอียิปต์เพราะเห็นแก่ชาวอิสราเอล ความยากลำบากที่ประสบระหว่างการเดินทาง และการที่พระผู้เป็นเจ้าช่วยพวกเขาให้รอดมาได้ 9 เยโธรยินดีที่พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำสิ่งดีๆ แก่ชาวอิสราเอล เวลาที่พระองค์ช่วยพวกเขาให้รอดจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์
10 เยโธรจึงพูดว่า “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าที่ช่วยพวกท่านให้พ้นจากมือของชาวอียิปต์และฟาโรห์ 11 บัดนี้เรารู้แล้วว่าพระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่เหนือเทพเจ้าทั้งปวง เพราะพระองค์กระทำต่อพวกที่ดูหมิ่นชาวอิสราเอล” 12 เยโธรพ่อตาของโมเสสจึงนำสัตว์ที่จะเผาเป็นของถวายและเครื่องสักการะอื่นๆ มาถวายแด่พระเจ้า อาโรนมากับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลเพื่อรับประทานอาหารร่วมกับพ่อตาของโมเสส ณ เบื้องหน้าพระเจ้า
13 วันรุ่งขึ้น โมเสสทำหน้าที่ตัดสินความให้ประชาชน พวกเขาอยู่รายล้อมโมเสสตั้งแต่เช้าจรดเย็น 14 เมื่อพ่อตาของโมเสสเห็นสิ่งที่ท่านปฏิบัติต่อประชาชน จึงพูดว่า “ท่านทำอะไรให้พวกเขา แล้วเหตุใดจึงนั่งตัดสินความอยู่คนเดียว ประชาชนทั้งปวงพากันยืนรออยู่รอบข้างตั้งแต่เช้าจรดเย็น” 15 โมเสสตอบพ่อตาว่า “เพราะประชาชนมาหาข้าพเจ้าเพื่อแสวงหาความประสงค์ของพระเจ้า 16 เวลาพวกเขามีข้อโต้แย้ง เขาก็มาหาข้าพเจ้าเพื่อให้ตัดสินใจแทนเขากับเพื่อนบ้าน แล้วข้าพเจ้าบอกให้เขารู้กฎเกณฑ์และกฎบัญญัติของพระเจ้า” 17 พ่อตาของโมเสสพูดว่า “ท่านทำอย่างนี้ไม่ดี 18 ทั้งตัวท่านและประชาชนที่อยู่กับท่านจะทำให้ท่านหมดแรง เพราะงานนั้นหนักเกินไปสำหรับท่าน ท่านไม่สามารถทำตามลำพังได้ 19 บัดนี้จงฟังให้ดี เราจะให้คำแนะนำแก่ท่าน และพระเจ้าจะอยู่กับท่าน ท่านจะเป็นผู้แทนของประชาชน ณ เบื้องหน้าพระเจ้า และนำความมาให้พระเจ้าทราบ 20 ท่านจะสอนพวกเขาให้รู้กฎเกณฑ์และกฎบัญญัติ และสอนเขาให้รู้จักวิถีชีวิตและการปฏิบัติตน 21 และยิ่งกว่านั้น จงเลือกชายที่มีความสามารถจากประชาชนทั้งปวง เลือกคนที่เกรงกลัวพระเจ้า ไว้ใจได้และเกลียดสินบน คนประเภทนี้ที่ท่านควรแต่งตั้งให้เป็นผู้นำของประชาชนที่จัดออกเป็นกลุ่มๆ ละพันคนบ้าง กลุ่มละร้อย กลุ่มละห้าสิบ และกลุ่มละสิบคน 22 ปล่อยให้พวกเขาตัดสินความให้ประชาชนเป็นประจำ ให้เขาตัดสินคดีย่อยๆ กันเอง ส่วนคดีใหญ่ๆ ก็ส่งให้ท่าน งานของท่านจะได้เบาลง และให้เขาช่วยแบ่งเบาภาระของท่าน 23 ถ้าท่านทำตามนี้ และพระเจ้าสั่งให้ท่านทำ ท่านก็จะรับไหว และประชาชนเองก็จะบรรลุเป้าหมายของเขาอย่างราบรื่นเช่นกัน”
24 โมเสสฟังพ่อตาของท่านแล้วก็ทำตามทุกสิ่ง 25 โมเสสเลือกชายชาวอิสราเอลที่มีความสามารถ แต่งตั้งให้เป็นผู้นำของประชาชนที่จัดออกเป็นกลุ่มๆ ละพันคนบ้าง กลุ่มละร้อย กลุ่มละห้าสิบ และกลุ่มละสิบคน 26 พวกเขาตัดสินความให้ประชาชนเป็นประจำ และส่งคดีใหญ่ๆ มาให้โมเสสตัดสิน ส่วนคดีย่อยก็ตัดสินกันเอง 27 ครั้นแล้วโมเสสก็ร่ำลาพ่อตา และเยโธรก็เดินทางกลับบ้านไป
ที่ภูเขาซีนาย
19 หลังจากชาวอิสราเอลออกเดินทางจากแผ่นดินอียิปต์ไปแล้ว เมื่อถึงวันแรกของเดือนที่สาม พวกเขาก็มาถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย 2 เมื่อชาวอิสราเอลเดินทางออกจากเรฟีดิมมาจนถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย พวกเขาก็ได้ตั้งค่ายอยู่ที่เชิงเขาในถิ่นทุรกันดาร 3 โมเสสขึ้นไปพบกับพระเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าก็เปล่งเสียงจากภูเขาเรียกท่าน และกล่าวว่า “จงบอกครอบครัวของยาโคบ และจงบอกชาวอิสราเอลว่า 4 เจ้าได้เห็นสิ่งที่เรากระทำต่อชาวอียิปต์ และเราประคับประคองเจ้าไว้ดั่งอยู่บนปีกนกอินทรีได้อย่างไร จนกระทั่งนำเจ้าออกมาอยู่กับเราที่นี่ 5 บัดนี้ถ้าพวกเจ้าเชื่อฟังเสียงเราและรักษาพันธสัญญาของเรา เจ้าก็จะเป็นสมบัติอันมีค่าของเราท่ามกลางชนชาติทั้งปวง ด้วยเหตุว่าโลกทั้งโลกเป็นของเรา 6 และพวกเจ้าจะเป็นอาณาจักรแห่งปุโรหิตทั้งหลาย และเป็นประชาชาติที่บริสุทธิ์ นี่คือสิ่งที่เจ้าจะต้องพูดกับชาวอิสราเอล”
7 ดังนั้น โมเสสจึงเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของประชาชน และบอกเรื่องที่พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งท่านไว้ 8 แล้วประชาชนต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวว่า “เราจะทำทุกสิ่งตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้” โมเสสจึงรายงานกับพระผู้เป็นเจ้าตามคำพูดของประชาชน 9 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะมาพบกับเจ้าท่ามกลางเมฆหนาทึบ เพื่อให้ประชาชนได้ยินเสียงที่เราพูดกับเจ้า ตั้งแต่นี้ไปเขาจะเชื่อเจ้าด้วย”
โมเสสจึงบอกประชาชนตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ 10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกให้ประชาชนชำระตัวให้บริสุทธิ์ทั้งวันนี้และพรุ่งนี้ และพวกเขาต้องซักเสื้อผ้า 11 จงเตรียมให้พร้อมภายในวันที่สาม เพราะวันที่สามพระผู้เป็นเจ้าจะลงมาที่ภูเขาซีนายต่อหน้าประชาชนทั้งปวง 12 เจ้าต้องกำหนดเขตแก่ประชาชนโดยรอบบริเวณและบอกว่า ‘อย่าขึ้นไปบนภูเขาหรือแม้แต่จะแตะต้องเชิงเขา ใครที่แตะต้องภูเขาจะต้องตาย 13 เขาจะถูกหินขว้างจนตายหรือไม่ก็ถูกยิงด้วยธนู และก็อย่าให้ใครถูกต้องตัวคนนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์ที่แตะต้องเชิงเขา ก็อย่าให้มีชีวิตอยู่เลย’ แต่เมื่อได้ยินเสียงแตรงอน[g]เป่ายาวๆ ก็ให้พวกเขาขึ้นมาบนภูเขา” 14 โมเสสจึงลงจากภูเขาไปหาประชาชน บอกให้พวกเขาชำระตัวให้บริสุทธิ์และซักเสื้อผ้าด้วย 15 ท่านพูดกับประชาชนว่า “จงเตรียมตัวให้พร้อมในวันที่สาม จงอยู่ห่างผู้หญิงเข้าไว้”
16 เช้าของวันที่สามก็เกิดฟ้าแลบฟ้าร้อง มีเมฆหนาก้อนหนึ่งปกคลุมอยู่บริเวณภูเขา เสียงแตรงอนดังกึกก้องจนทำให้ประชาชนทั้งปวงที่อยู่ในค่ายหวาดกลัว 17 โมเสสพาประชาชนออกจากค่ายเพื่อไปพบกับพระเจ้า และพวกเขาก็ยืนกันอยู่ที่เชิงเขา 18 ภูเขาซีนายทั้งลูกมืดครึ้มด้วยหมอกควัน เพราะพระผู้เป็นเจ้าลงมาอยู่ที่นั่นในรูปลักษณ์ของเปลวไฟ ควันพลุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาผิง และภูเขาทั้งลูกก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง 19 ขณะที่เสียงแตรงอนดังขึ้นเรื่อยๆ โมเสสพูดและพระเจ้าตอบท่านเป็นเสียงฟ้าร้อง 20 พระผู้เป็นเจ้าลงมายังภูเขาซีนาย ณ ที่ยอดเขา และพระผู้เป็นเจ้าเรียกโมเสสขึ้นไปที่ยอดภูเขา โมเสสก็ขึ้นไป
21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ลงไปเตือนประชาชนว่าอย่าล้ำเขตเข้ามาจ้องดูพระผู้เป็นเจ้า มิฉะนั้นพวกเขาจะพากันตายหลายคน 22 แล้วให้บรรดาปุโรหิตที่เข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้าชำระตัวให้บริสุทธิ์ด้วย มิฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษพวกเขา” 23 โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “ประชาชนจะขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้ เพราะพระองค์กำชับไว้แล้วว่า ‘จงกำหนดเขตรอบภูเขาให้เป็นที่บริสุทธิ์’” 24 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ลงไปเถิด แล้วพาอาโรนขึ้นมากับเจ้าด้วย แต่อย่าให้บรรดาปุโรหิตและประชาชนล้ำเขตขึ้นมาถึงพระผู้เป็นเจ้า มิฉะนั้นเราจะลงโทษพวกเขา” 25 ดังนั้น โมเสสจึงลงไปบอกประชาชน
พระบัญญัติสิบประการ
20 พระเจ้ากล่าวตามคำพูดดังนี้ว่า
2 “เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า คือผู้ที่นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากบ้านเรือนแห่งความเป็นทาส
3 นอกจากเราแล้ว เจ้าจงอย่านมัสการเทพเจ้าใดๆ
4 อย่าสร้างรูปเคารพหรือสิ่งใดที่มีลักษณะเหมือนสิ่งที่อยู่ในสวรรค์เบื้องบน หรืออยู่ในโลกเบื้องล่าง หรืออยู่ในน้ำใต้โลกให้แก่ตนเอง 5 อย่าก้มกราบหรือบูชาสิ่งเหล่านั้น เพราะเราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า พระเจ้าผู้หวงแหน เราจะทำให้บาปของบิดาตกทอดถึงบุตรของเขาต่อเนื่องไปจน 3 และ 4 ชั่วอายุของผู้ที่เกลียดชังเรา 6 แต่เราจะแสดงความรักอันมั่นคงนับพันๆ ชั่วอายุของผู้ที่รักเราและปฏิบัติตามบัญญัติของเรา
7 อย่าใช้ชื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าในทางที่ผิด เพราะพระองค์จะถือโทษต่อคนที่นำชื่อของพระองค์ไปใช้ในทางที่ผิด
8 จงระลึกถึงวันสะบาโตโดยนับว่าเป็นวันบริสุทธิ์ 9 เจ้าจะลงแรงทำงานทั้งสิ้นของเจ้า 6 วัน 10 แต่วันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโตสำหรับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า เจ้าอย่าทำงานใดๆ ในวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวเจ้า บุตรชายบุตรหญิง ผู้รับใช้ชายและหญิง หรือแม้แต่สัตว์ใช้งานของเจ้า และคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในเมืองของเจ้า 11 เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าได้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทะเลและทุกสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้นในเวลา 6 วัน แล้วพระองค์พักผ่อนในวันที่เจ็ด ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าให้พรวันสะบาโตและทำให้เป็นวันบริสุทธิ์
12 จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้มีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้ามอบให้แก่เจ้า[h]
13 อย่าฆ่าคน
14 อย่าผิดประเวณี
15 อย่าขโมย
16 อย่าเป็นพยานเท็จกล่าวหาเพื่อนบ้านของเจ้า[i]
17 อย่าโลภ[j]อยากได้บ้านเรือนของเพื่อนบ้านเจ้า อย่าโลภอยากได้ภรรยาของเพื่อนบ้านเจ้า หรือผู้รับใช้ชายและหญิงของเขา โคหรือลาของเขา หรืออะไรก็ตามที่เป็นของเพื่อนบ้านของเจ้า”
18 เมื่อประชาชนเห็นฟ้าร้อง ฟ้าแลบและได้ยินเสียงแตรงอน อีกทั้งเห็นควันพลุ่งขึ้นจากภูเขา พวกเขาก็กลัวจนตัวสั่นและยืนอยู่ห่างๆ 19 พลางพูดกับโมเสสว่า “ท่านพูดกับเราเถิด เราจะฟัง แต่อย่าให้พระเจ้าพูดกับเราโดยตรงเลย เพราะเกรงว่าพวกเราจะถึงกาลวิบัติ” 20 โมเสสพูดกับประชาชนว่า “อย่ากลัวเลย เพราะพระเจ้ามาทดสอบท่าน เพื่อท่านจะได้ยำเกรงพระองค์ และไม่ทำบาป” 21 ประชาชนยืนอยู่ห่างๆ ในขณะที่โมเสสเดินเข้าไปใกล้ความมืดมิดที่พระเจ้าสถิต
รูปเคารพและแท่นบูชา
22 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “เจ้าจงพูดกับชาวอิสราเอลว่า ‘พวกเจ้าเองเห็นแล้วว่า เราได้พูดกับเจ้าจากท้องฟ้า 23 อย่าหล่อเทวรูปเงินขึ้นมาเทียบเคียงข้างเรา และอย่าหล่อเทวรูปทองคำให้ตนเองเช่นกัน 24 แต่จงใช้ดินก่อเป็นแท่นบูชาสำหรับเรา และถวายเครื่องสักการะด้วยแกะและโคที่จะเผาเป็นของถวายและเนื้อสัตว์ที่เป็นของถวายเพื่อสามัคคีธรรม ที่ใดก็ตามที่เราหมายจะให้เจ้าระลึกถึงชื่อของเรา เราก็จะมาหาเจ้าและอวยพรเจ้า 25 และถ้าเจ้าจะใช้หินก่อเป็นแท่นบูชาสำหรับเรา เจ้าก็อย่าสร้างขึ้นจากหินที่แต่งแล้ว เพราะหากว่าเจ้าใช้เครื่องมือแต่งหิน เท่ากับเจ้าทำให้หินเป็นมลทิน 26 และอย่าขึ้นสู่แท่นบูชาของเราทางขั้นบันได เพราะคนจะเห็นกายของเจ้าที่ไม่ปกปิดให้มิดชิด’
21 ต่อไปนี้เป็นคำสั่งที่เจ้าจะต้องแจ้งให้พวกเขารู้ 2 เวลาเจ้าซื้อทาสชาวฮีบรู เขาจะรับใช้ได้นานถึง 6 ปี แต่พอปีที่เจ็ด เขาจะเป็นอิสระโดยไม่ต้องจ่ายค่าไถ่ถอนอะไรเลย 3 ถ้าเขามาเพียงลำพัง เขาก็ไปเพียงลำพังคนเดียว แต่ถ้าเขามากับภรรยา เขาก็ควรพาภรรยาไปด้วย 4 ถ้านายของเขาหาภรรยาให้เขา และนางมีบุตรชายบุตรหญิงกับเขา ทั้งภรรยาและลูกๆ ของนางจะต้องเป็นของนาย และเขาจะต้องไปเพียงลำพัง 5 ถ้าทาสผู้นั้นบอกว่า ‘ข้าพเจ้ารักนาย ภรรยาและลูกๆ ของข้าพเจ้า และไม่ต้องการมีอิสระ’ 6 นายของเขาจะต้องให้เขาไปหาพระเจ้า ให้เขาไปที่ประตูหรือวงกบประตู นายของเขาจะเจาะหูเขาข้างหนึ่งด้วยเหล็กแหลม แล้วเขาจะรับใช้นายของเขาไปตลอดชีวิต
7 ถ้าชายใดขายบุตรหญิงของตนเป็นทาส เธอจะไม่ได้รับการปลดปล่อยให้มีอิสระเหมือนทาสชาย 8 ถ้านายไม่พอใจจะรับเธอไว้เป็นภรรยา เขาก็จะต้องให้บิดาซื้อเธอกลับไป เขาจะไม่มีสิทธิ์ขายเธอให้กับชนชาติอื่น เพราะเขาไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่เธอ 9 ถ้าเขาตกลงใจจะให้เธอเป็นของบุตรชายของเขา เขาจะต้องปฏิบัติต่อเธอเสมอด้วยบุตรหญิง 10 ถ้าเขามีภรรยาเพิ่มขึ้นอีก ก็ต้องไม่ลดจำนวนอาหาร เสื้อผ้าหรือสิทธิ์ของภรรยาคนเก่าให้น้อยลง 11 ถ้าหากว่าเขาไม่ปฏิบัติทั้ง 3 ข้อนี้ต่อเธอ เธอจะเป็นอิสระโดยไม่ต้องเสียเงิน
การทำร้ายผู้อื่น
12 ใครก็ตามที่ทุบตีผู้อื่นจนตายต้องรับโทษถึงตาย 13 แต่ถ้าเขาไม่ได้ตั้งใจทำ และพระเจ้าปล่อยให้เกิดขึ้น เราก็จะเลือกที่แห่งหนึ่งเพื่อให้เขาหลบหนีไปอยู่ได้ 14 แต่ถ้าผู้ใดทำร้ายผู้อื่นโดยจงใจฆ่าให้ตาย เจ้าจะลากตัวเขาไปจากแท่นบูชาของเรา ให้เขาต้องโทษถึงตายได้
15 ใครก็ตามที่ทุบตีบิดามารดาของตนต้องรับโทษถึงตาย
16 ใครก็ตามที่ลักตัวคนไปขายหรือถูกจับได้ว่า คนที่ถูกลักไปอยู่ด้วยกับเขา เขาจะต้องรับโทษถึงตาย
17 ใครก็ตามที่สาปแช่งบิดามารดาของตนจะได้รับโทษถึงตาย[k]
18 ถ้าคนวิวาทกัน คนใดคนหนึ่งขว้างก้อนหินหรือชกอีกคนด้วยหมัดจนบาดเจ็บสาหัส แต่ยังไม่ถึงตาย 19 ถ้าเขายังลุกขึ้นยันไม้เท้าเดินไปมาได้อีก คนที่ทุบตีเขาก็จะพ้นโทษ แต่จะต้องชดใช้ค่าป่วยการและเป็นธุระจนกว่าเขาจะหายดี
20 หากชายใดทุบตีทาสชายและทาสหญิงของตนด้วยไม้จนตายคามือ เขาจะต้องถูกลงโทษ 21 แต่ถ้าทาสนั้นมีชีวิตอยู่ได้ต่ออีกวันสองวัน เขาจะไม่ถูกลงโทษ เพราะทาสเป็นสมบัติของเขา
22 ถ้าผู้ชายต่อสู้กัน แล้วหญิงมีครรภ์ต้องแท้งลูกด้วยเหตุจากถูกลูกหลง แต่ไม่ได้มีรอยบาดเจ็บอื่นใด คนที่ทำให้นางแท้งต้องถูกปรับตามแต่สามีของหญิงผู้นั้นจะเรียกร้อง เขาจะต้องจ่ายตามที่ผู้ตัดสินความเห็นสมควร 23 แต่ถ้านางเกิดบาดเจ็บสาหัส เจ้าจะต้องทดแทนชีวิตด้วยชีวิต 24 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน[l] มือต่อมือ เท้าต่อเท้า 25 รอยไหม้ต่อรอยไหม้ บาดแผลต่อบาดแผล รอยช้ำต่อรอยช้ำ
26 ถ้าชายใดชกต่อยที่นัยน์ตาของทาสชายหรือทาสหญิงของตนจนนัยน์ตาบอด เขาจะต้องปล่อยทาสให้มีอิสระเป็นการชดใช้ตา 27 ถ้าเขาทำให้ทาสต้องฟันหลุด ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ตาม เขาจะต้องปล่อยทาสไปให้มีอิสระเป็นการชดใช้ฟัน
28 ถ้าโคขวิดชายหรือหญิงจนตาย โคตัวนั้นต้องถูกหินขว้าง แล้วห้ามรับประทานเนื้อของมัน เจ้าของโคก็จะไม่ถูกลงโทษ 29 แต่ถ้าโคตัวนั้นเคยขวิดคนมาก่อน และมีการเตือนเจ้าของแล้ว แต่เขาไม่ขังมันไว้ เมื่อมันขวิดชายหรือหญิงคนใดจนตาย มันก็ต้องถูกหินขว้าง รวมทั้งเจ้าของก็ต้องได้รับโทษถึงตายด้วย 30 ถ้าเขาถูกเรียกร้องให้ชดใช้เป็นเงิน เขาจะต้องแลกชีวิตคืนด้วยการจ่ายเงินตามคำเรียกร้อง 31 ถ้าโคตัวนั้นขวิดลูกชายหรือลูกหญิง มันก็รับโทษตามกฎเดียวกันนี้ 32 ถ้าโคขวิดทาสชายหรือหญิง เจ้าของโคต้องจ่ายเหรียญเงินหนัก 30 เชเขล[m]แก่นายของทาส แล้วโคก็จะถูกหินขว้างตาย
33 ถ้าชายใดเปิดบ่อทิ้งไว้หรือขุดบ่อแล้วไม่ปิดปากบ่อ เมื่อโคหรือลาตกลงไปในนั้น 34 เจ้าของบ่อต้องจ่ายค่าเสียหายแก่เจ้าของสัตว์ และสัตว์ที่ตายก็ตกเป็นของเขา
35 ถ้าโคของชายคนหนึ่งทำร้ายโคของอีกคนหนึ่งจนตาย ทั้ง 2 คนต้องขายโคที่เป็นอยู่ แล้วแบ่งเงินกัน ส่วนโคที่ตายแล้วก็แบ่งเนื้อกัน 36 แต่ถ้ารู้ว่าโคนั้นเคยขวิดอะไรมาก่อน และเจ้าของไม่ได้ขังมันไว้ ค่าเสียหายที่เขาจะต้องใช้คือโคเป็นๆ ส่วนสัตว์ที่ตายแล้วก็ตกเป็นของเขา
กฎเกณฑ์เกี่ยวกับสิ่งที่มีเจ้าของ
22 ถ้าผู้ใดขโมยโคหรือแกะไปฆ่าหรือขาย เขาจะต้องชดใช้ด้วยโค 5 ตัวแทนโคที่ขโมยไป 1 ตัว และแกะ 4 ตัวแทนแพะแกะที่ถูกขโมย 1 ตัว 2 ถ้าขโมยถูกจับได้ขณะบุกรุกขึ้นบ้านและถูกซ้อมตาย ผู้ทุบตีจะไม่มีความผิด 3 แต่ถ้าเกิดเรื่องหลังจากดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ผู้ที่ทำให้เขาตายจะเป็นฝ่ายผิด ขโมยจะต้องจ่ายค่าเสียหายโดยเด็ดขาด แต่ถ้าเขาไม่มีให้ เขาต้องขายตัวเองเป็นค่าเสียหายเพื่อชดใช้ของที่ตนขโมย 4 ถ้าพบว่าสัตว์ที่ถูกขโมยมีชีวิตและยังอยู่กับเขา ไม่ว่าจะเป็นโค ลา หรือแกะก็ตาม เขาจะต้องจ่ายคืนเป็นสองเท่า
5 ถ้าผู้ใดให้ฝูงสัตว์เล็มหญ้าในนาหรือสวนองุ่น โดยปล่อยให้มันหลงเข้าไปเล็มหญ้าในที่นาของคนอื่น เขาจะต้องยกผลผลิตที่ดีที่สุดจากทุ่งนาหรือสวนองุ่นของตนให้เป็นการชดใช้
6 ถ้าเกิดไฟไหม้ลุกลามทั่วกอหนาม จนทำให้กองฟาง นาข้าวหรือทั้งไร่นาถูกเผาผลาญ คนที่จุดไฟจะต้องจ่ายค่าเสียหาย
7 ถ้าผู้ใดขอให้เพื่อนบ้านของตนช่วยเก็บเงินหรือสิ่งของมีค่าไว้ แล้วสิ่งเหล่านั้นถูกขโมยไปจากบ้านของเขา ถ้าขโมยถูกจับได้ก็ต้องจ่ายคืนเป็นสองเท่า 8 แต่ถ้าจับขโมยไม่ได้ เจ้าของบ้านจะถูกนำตัวมา ณ เบื้องหน้าพระเจ้า[n] เพื่อชี้ให้เห็นว่าเขาเป็นคนหยิบของจากเพื่อนบ้านไปหรือไม่ 9 เพราะการล่วงละเมิดในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นโค ลา แพะแกะ เสื้อผ้า หรือสิ่งใดก็ตามที่หายไปโดยมีผู้หนึ่งอ้างว่า ‘นี่เป็นของเรา’ คู่กรณีจะต้องมา ณ เบื้องหน้าพระเจ้า คนที่พระเจ้าตัดสินว่าผิดจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่เพื่อนบ้านของเขาเป็นสองเท่า
10 ถ้าผู้ใดขอให้เพื่อนบ้านของตนเลี้ยงลา โค แพะแกะ หรือสัตว์เลี้ยงใดๆ แล้วถ้าสัตว์ตาย บาดเจ็บหรือถูกต้อนหนีไปโดยไม่มีใครเห็น 11 เรื่องระหว่างคนทั้งสองต้องจบสิ้นลงที่คำสาบาน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้เห็นว่าเขาได้ขโมยของจากเพื่อนบ้านไปหรือไม่ และเจ้าของสัตว์จะรับคำสาบาน และอีกฝ่ายก็ไม่ต้องชดใช้ 12 แต่ถ้าถูกขโมยไปจริง ผู้นั้นจะต้องชดใช้ให้แก่เจ้าของสัตว์ 13 ถ้าถูกสัตว์ป่าฆ่าตาย ก็ต้องเอาหลักฐานมาให้ดู และไม่จำเป็นต้องชดใช้แต่อย่างใด
14 ถ้าใครขอยืมสิ่งใดจากเพื่อนบ้าน และถ้ามันเกิดบาดเจ็บหรือตายในระหว่างที่เจ้าของไม่อยู่ด้วย คนนั้นต้องชดใช้คืนเท่าเดิม 15 ถ้าเจ้าของอยู่ด้วย เขาก็ไม่ต้องชดใช้ แต่ถ้าสัตว์นั้นเช่ามา ผู้นั้นก็เสียเพียงค่าเช่า
การรับผิดชอบต่อสังคม
16 ถ้าพรหมจาริณีซึ่งเดิมมิได้หมั้นหมายอยู่กับผู้ใด แล้วเธอถูกชายคนหนึ่งล่อลวงไปทำมิดีมิร้าย ชายนั้นจะต้องจ่ายค่าสินสอด และรับเธอไว้เป็นภรรยา 17 ถ้าบิดาของเธอยืนกรานปฏิเสธที่จะยกเธอให้เขา เขาจะต้องจ่ายเงินในจำนวนที่เท่ากับค่าสินสอดสำหรับพรหมจาริณี
18 เจ้าไม่ควรให้หญิงใดที่ใช้วิทยาคมมีชีวิตอยู่
19 ใครก็ตามที่มีเพศสัมพันธ์กับสัตว์จะต้องรับโทษถึงตาย
20 ใครก็ตามที่ถวายเครื่องสักการะแก่พวกเทพเจ้า ซึ่งไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้า เขาจะต้องถูกกำหนดให้พินาศ
21 เจ้าอย่ากระทำการอันไม่สมควรต่อคนต่างด้าวหรือบีบบังคับเขา เพราะพวกเจ้าล้วนเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์ 22 เจ้าอย่าเอาเปรียบหญิงม่ายหรือเด็กกำพร้าคนใด 23 ถ้าเจ้าเอาเปรียบพวกเขา แล้วเขาร้องเรียกถึงเรา เราย่อมได้ยินเสียงร้องของเขาอย่างแน่นอน 24 ความกริ้วของเราจะพลุ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถฆ่าเจ้าด้วยคมดาบ ภรรยาของเจ้าจะกลายเป็นม่าย และลูกๆ ของเจ้าจะกำพร้าพ่อ
25 ถ้าเจ้าให้ผู้ยากไร้ในหมู่ชนชาติของเรายืมเงิน เจ้าจะต้องไม่ทำตัวเป็นเจ้าหนี้ และไม่เค้นเอาดอกเบี้ยจากเขา 26 ถ้าเจ้ายึดเสื้อคลุมของเพื่อนบ้านไว้เป็นของประกัน เจ้าจะต้องคืนให้เขาก่อนตะวันตกดิน 27 เพราะนั่นเป็นเครื่องนุ่งห่มชิ้นเดียวของเขา มันเป็นเครื่องนุ่งห่มสำหรับกายของเขา แล้วเขาจะใช้อะไรนุ่งนอน ถ้าเขาร้องเรียกถึงเรา เราย่อมได้ยิน เพราะเรามีเมตตา
28 อย่าพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าหรือสาปแช่งบุคคลชั้นปกครอง
29 อย่าตระหนี่ผลผลิตอันอุดมที่ได้จากธัญพืช เหล้าองุ่นและน้ำมันมะกอก จงถวายบุตรชายคนแรกให้แก่เรา 30 จงทำเช่นเดียวกันกับฝูงโค และแพะแกะของเจ้าด้วย คือปล่อยให้อยู่กับแม่ของมัน 7 วัน แล้วจึงถวายให้เราในวันที่แปด
31 พวกเจ้าจงเป็นคนบริสุทธิ์เพื่อเรา ดังนั้นอย่ารับประทานเนื้อที่ถูกสัตว์ป่าขย้ำตายในทุ่งนา แต่จงทิ้งให้สุนัขกิน[o]
กฎแห่งความเป็นธรรมและเมตตา
23 อย่ากล่าวเท็จต่อๆ กันไป และอย่าช่วยเหลือผู้มีความผิดด้วยการเป็นพยานเท็จ 2 อย่ากระทำชั่วตามคนส่วนใหญ่ และจงอย่าเป็นพยานในคดีความที่มีการฟ้องร้อง เพื่อเข้าข้างคนส่วนใหญ่ ซึ่งถือว่าบิดเบือนความเป็นธรรม 3 อย่าโน้มเอียงเข้าข้างคนยากไร้ในยามฟ้องร้อง
4 ถ้าเจ้าพบโคหรือลาของศัตรูโดยบังเอิญ เจ้าต้องนำมันมาคืนให้เขา 5 ถ้าเจ้าเห็นลาแบกของหนักล้มทรุดลง และเจ้าของลาคือคนที่เกลียดเจ้า เจ้าก็ต้องช่วยลาของเขาให้ลุกขึ้น
6 อย่าปฏิเสธความเป็นธรรมที่คนยากไร้ควรได้รับในกรณีฟ้องร้อง 7 อย่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกล่าวหาผิดๆ อย่าทำให้ผู้ไร้ความผิดหรือผู้มีความชอบธรรมต้องรับโทษถึงตาย เพราะเราจะไม่ปล่อยคนชั่วให้รอดมือไปได้ 8 อย่ารับสินบน เพราะการรับสินบนทำให้คนตาดีกลายเป็นคนตาบอด และพลิกคดีของผู้ปราศจากความผิดได้
9 อย่าข่มเหงคนต่างด้าว เจ้ารู้ใจคนต่างด้าวอย่างลึกซึ้ง เพราะเจ้าเองก็เคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์
กฎของวันสะบาโต
10 เจ้าหว่านพืชและเก็บเกี่ยวได้ผลเป็นเวลา 6 ปี 11 แต่ในปีที่เจ็ดเจ้าต้องปล่อยที่นาทิ้งไว้ ให้บรรดาผู้ยากไร้เก็บรับประทานของในนาได้ เศษที่พวกเขาเหลือไว้ก็ให้สัตว์ป่ากิน สวนองุ่นและสวนมะกอกเจ้าก็จงทำเช่นนั้นเหมือนกัน
12 จงทำการงานของเจ้า 6 วัน แต่เจ้าจงหยุดพักในวันที่เจ็ด เพื่อโคและลาของเจ้าได้หยุดพัก ทาสที่กำเนิดในครัวเรือนของเจ้าและชาวต่างด้าวจะได้มีเวลาหายใจบ้าง
13 เจ้าจงทำตามทุกสิ่งที่เราบอกไว้ให้ดี อย่าอธิษฐานต่อเทพเจ้าใดๆ หรือแม้แต่จะเอ่ยชื่อก็อย่าทำ
งานเทศกาลประจำปีทั้งสาม
14 เจ้าจงฉลองงานเทศกาลเพื่อเป็นเกียรติแก่เราปีละ 3 ครั้ง 15 เจ้าจงฉลองเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ ตามที่เราสั่งเจ้าคือ รับประทานขนมปังไร้เชื้อในระยะ 7 วันตามเวลาที่กำหนดไว้ในเดือนอาบีบ เพราะเจ้าออกจากอียิปต์ในเดือนนั้น อย่าให้ใครมาอยู่เบื้องหน้าเราโดยมือเปล่า 16 เจ้าจงใช้ผลแรกที่เก็บเกี่ยวได้จากนาของเจ้า เพื่อฉลองเทศกาลเก็บเกี่ยวธัญพืช[p] จงฉลองเทศกาลเก็บรวมตอนปลายปี คือเวลาที่เจ้ารวบรวมผลผลิตทั้งหมดที่ได้จากแรงงานที่ไร่นาของเจ้า 17 ชายทุกคนในพวกเจ้าต้องมา ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ปีละ 3 ครั้ง
18 อย่าถวายเลือดสัตว์จากเครื่องสักการะของเราปนกับสิ่งใดที่มีเชื้อยีสต์ หรือปล่อยให้มีไขมันจากงานเทศกาลของเราเหลืออยู่จนถึงรุ่งเช้า
19 จงนำผลแรกที่พิเศษสุดจากนาที่เจ้าเก็บเกี่ยวได้มายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า
อย่าต้มลูกแพะในน้ำนมของแม่มัน[q]
ทูตสวรรค์ของพระเจ้าเตรียมทาง
20 ดูเถิด เราส่งทูตสวรรค์ผู้หนึ่งไปล่วงหน้าเจ้าเพื่อปกปักรักษาเจ้าเวลาเดินทาง และนำเจ้าไปยังที่ที่เราได้เตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว 21 จงตั้งใจและเชื่อฟังเขา อย่าขัดขืนต่อเขา เพราะเขาจะไม่ยกโทษการล่วงละเมิดของพวกเจ้า เพราะเขามีสิทธิอำนาจในนามของเรา
22 แต่ถ้าเจ้าตั้งใจเชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี และกระทำตามทุกสิ่งที่เราพูด เราก็จะเป็นศัตรูกับเหล่าศัตรูของเจ้า และเป็นปฏิปักษ์กับบรรดาปฏิปักษ์ของเจ้า
23 เมื่อทูตสวรรค์ของเราไปล่วงหน้าเจ้าและนำเจ้าไปยังชาวอาโมร์ ชาวฮิต ชาวเปริส ชาวคานาอัน ชาวฮีว และชาวเยบุส เราจะทำให้พวกเขาสาบสูญไป 24 อย่าก้มกราบหรือนมัสการบรรดาเทพเจ้าของพวกเขา หรือปฏิบัติตามอย่างพวกเขา แต่เจ้าจงทำลายรูปเคารพให้หมดสิ้นและทุบแผ่นหินที่ตั้งอยู่ให้แตกเป็นเสี่ยงๆ 25 เจ้าจงนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า แล้วเราจะอวยพรเจ้าผ่านอาหารและน้ำของเจ้า และจะทำให้พวกเจ้าพ้นจากโรคภัยด้วย 26 จะไม่มีผู้ใดแท้งลูกหรือเป็นหมันในแผ่นดินของเจ้า และจะให้เจ้ามีอายุยืน 27 เราจะทำให้ชนชาติทั้งปวงที่เป็นปฏิปักษ์กับเจ้าเกิดพรั่นพรึงขึ้นมา เราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้าสับสนและหันหลังเตลิดไป 28 เราจะส่งฝูงแตนไปล่วงหน้าเจ้า เพื่อไล่ชาวฮีว ชาวคานาอันและชาวฮิตไปให้พ้นทางของเจ้า 29 เราจะไม่ไล่พวกเขาให้พ้นทางในระยะเวลาปีเดียว เพราะเกรงว่าแผ่นดินจะกลายเป็นที่ร้าง และจำนวนสัตว์ป่าก็จะมีมากกว่าพวกเจ้า 30 เราจะไล่พวกเขาให้พ้นทางเจ้าทีละน้อย จนกระทั่งพวกเจ้าทวีจำนวนมากขึ้นจนเป็นเจ้าของดินแดน 31 แล้วเราจะกำหนดเขตแดนจากทะเลแดงจนถึงทะเลของชาวฟีลิสเตีย และจากถิ่นทุรกันดารจรดแม่น้ำยูเฟรติส เพราะเราจะทำให้ผู้อยู่อาศัยในดินแดนตกอยู่ในมือของพวกเจ้า และเจ้าจะขับไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าเจ้า 32 อย่าทำพันธสัญญากับพวกเขาหรือบรรดาเทพเจ้าของเขา 33 อย่ายอมให้พวกเขาอาศัยอยู่ในดินแดนของเจ้า เกรงว่าเขาจะเป็นเหตุให้พวกเจ้ากระทำผิดต่อเรา เพราะถ้าหากว่าเจ้าบูชาบรรดาเทพเจ้าของพวกเขา เจ้าก็จะติดบ่วงแร้วอย่างแน่นอน”
ประทับตราพันธสัญญา
24 พระองค์กล่าวกับโมเสสว่า “ตัวเจ้ากับอาโรนจงขึ้นมาหาพระผู้เป็นเจ้า พร้อมทั้งนาดับ อาบีฮู และบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 70 คนของอิสราเอล และกราบนมัสการอยู่ห่างๆ 2 โมเสสผู้เดียวที่จะเข้ามาใกล้พระผู้เป็นเจ้า ส่วนคนอื่นๆ อย่าเข้ามาใกล้ และอย่าให้ประชาชนขึ้นมากับโมเสสเลย”
3 โมเสสไปบอกประชาชนถึงคำสั่งทุกประการและทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าว ประชาชนตอบเป็นเสียงเดียวว่า “พวกเราจะทำตามทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าว” 4 โมเสสเขียนบันทึกทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ ท่านลุกขึ้นแต่เช้าตรู่เพื่อสร้างแท่นบูชาที่เชิงเขา และก่อเสาหินขึ้น 12 ต้น ตามจำนวน 12 เผ่าของอิสราเอล 5 ครั้นแล้วท่านก็ให้ชายหนุ่มชาวอิสราเอลไปมอบสัตว์ที่จะเผาเป็นของถวาย และมอบโคตัวผู้เป็นของถวายเพื่อสามัคคีธรรมแด่พระผู้เป็นเจ้า 6 โมเสสเทเลือดสัตว์ครึ่งหนึ่งลงในอ่าง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งท่านสาดลงที่แท่นบูชา 7 แล้วหยิบพันธสัญญาเล่มที่เขียนไว้ เพื่ออ่านให้ประชาชนฟัง พวกเขาพูดว่า “เราจะเชื่อฟังและจะทำทุกอย่างตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าว” 8 โมเสสจึงประพรมเลือดสัตว์ที่ตัวประชาชนและกล่าวว่า “นี่คือเลือดแห่งพันธสัญญาซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทำไว้กับพวกท่านตามทุกสิ่งที่พระองค์กล่าว”
9 ครั้นแล้ว โมเสส อาโรน นาดับ อาบีฮู และบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 70 คนของอิสราเอลก็ขึ้นเขาไป 10 แล้วพวกเขาก็มองเห็นพระเจ้าของอิสราเอล บริเวณพื้นที่พระองค์ยืนอยู่เป็นดั่งนิลสีครามและสุกใสเหมือนฟ้าสวรรค์ 11 พระองค์ไม่ได้ทำอันตรายบรรดาผู้นำของอิสราเอลแต่อย่างใด พวกเขาเห็นพระเจ้าและยังได้ดื่มกินด้วย
12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ขึ้นมาพบเราบนภูเขาและรออยู่ที่นั่น เราจะให้แผ่นศิลาที่เราเขียนสั่งพวกเขาเกี่ยวกับกฎบัญญัติและคำบัญญัติไว้กับเจ้า” 13 โมเสสจึงลุกขึ้นพร้อมกับโยชูวาผู้ช่วยคนสำคัญของท่าน แล้วโมเสสขึ้นไปบนภูเขาของพระเจ้า 14 ท่านพูดกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ว่า “ท่านรอเราอยู่ที่นี่เถิด จนกว่าเราจะกลับมาหาท่าน อาโรนและฮูร์ก็อยู่กับท่าน ถ้าใครมีปัญหาก็ให้เขาไปหาทั้ง 2 คนได้”
15 โมเสสขึ้นภูเขาไป มีเมฆปกคลุมภูเขา 16 พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าสถิตบนภูเขาซีนาย เมฆปกคลุมภูเขาอยู่ 6 วัน พอวันที่เจ็ดพระองค์เรียกโมเสสจากก้อนเมฆ 17 บัดนี้พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่สายตาประชาชนชาวอิสราเอลดั่งเปลวไฟลุกโพลงที่ยอดภูเขา 18 โมเสสเดินเข้าไปในก้อนเมฆ ขึ้นเขาไป ท่านอยู่บนภูเขา 40 วัน 40 คืน
เครื่องสักการะบูชาที่กระโจม
25 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 2 “จงไปบอกชาวอิสราเอลให้นำของถวายมาให้เรา เจ้าจะรับของถวายจากทุกคนที่จะให้เราด้วยใจจริง 3 ของถวายที่เจ้าจะรับจากพวกเขาคือ ทองคำ เงิน และทองสัมฤทธิ์ 4 ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด ผ้าป่านทอเนื้อดี และขนแพะ 5 หนังแกะตัวผู้ย้อมแดง หนังปลาโลมา ไม้สีเสียด 6 น้ำมันสำหรับจุดดวงประทีป เครื่องเทศสำหรับน้ำมันเจิม และสำหรับเครื่องหอม 7 พลอยหลากสี และเพชรพลอยสำหรับประดับชุดคลุมและทับทรวง 8 ให้พวกเขาสร้างที่พำนักให้เรา เราจะได้อยู่ท่ามกลางพวกเขา 9 พวกเจ้าจงสร้างตามที่เราบอกทุกประการ ทั้งในเรื่องแบบของกระโจมที่พำนักและเครื่องใช้ทุกชิ้น
หีบพันธสัญญา
10 ให้พวกเขาสร้างหีบขึ้นใบหนึ่งด้วยไม้สีเสียด ให้ได้ความยาว 2 ศอกคืบ กว้างศอกคืบ และสูงศอกคืบ 11 จงกรุภายในและภายนอกหีบด้วยแผ่นทองคำบริสุทธิ์ และจงหล่อขอบทองคำรอบหีบ 12 จงหล่อห่วงทองคำ 4 อันติดไว้ที่หีบทั้ง 4 มุม ด้านละ 2 อัน 13 จงทำคานหามด้วยไม้สีเสียด และหุ้มคานด้วยทองคำ 14 สอดคานเข้าที่ห่วงซึ่งติดอยู่ข้างหีบทั้ง 2 ด้าน สำหรับใช้ยกหาม 15 ให้คานหามสอดไว้ที่ห่วงข้างหีบ ไม่ต้องดึงออกจากห่วง 16 พันธสัญญาที่เราจะให้แก่เจ้า เจ้าก็จงเก็บไว้ในหีบใบนั้น
17 จงหล่อฝาหีบแห่งการชดใช้บาปด้วยทองคำบริสุทธิ์ ให้มีขนาดยาว 2 ศอกคืบ กว้างศอกคืบ 18 จงขึ้นรูปเครูบ[r]ทองคำ 2 ตัวด้วยค้อน แล้วตั้งไว้บนปลายฝาหีบแห่งการชดใช้บาปข้างละตัว 19 จงขึ้นรูปเครูบ 2 ตัว ตั้งไว้บนปลายฝาหีบข้างละตัว โดยที่เครูบทั้งสองเชื่อมติดกับฝาหีบแห่งการชดใช้บาป 20 เครูบทั้งสองกางปีกขึ้นโน้ม ปกป้องฝาหีบด้วยปีก หันหน้าเข้าหากัน และต่างก็ก้มหน้าเข้าหาฝาหีบ 21 จงวางฝาหีบไว้บนหีบพันธสัญญา และเจ้าจงเก็บพันธสัญญาที่เราจะให้แก่เจ้าไว้ในหีบใบนั้น 22 เราจะพบกับเจ้าที่นั่น เราจะพูดกับเจ้าในทุกเรื่องที่เราบัญชาประชาชนชาวอิสราเอล ณ เบื้องบนของฝาหีบ ตรงระหว่างเครูบ 2 ตัวบนหีบพันธสัญญา
โต๊ะ
23 เจ้าจงสร้างโต๊ะด้วยไม้สีเสียด มีความยาว 2 ศอก กว้าง 1 ศอก และสูงศอกคืบ 24 จงหุ้มโต๊ะด้วยทองคำบริสุทธิ์ มีขอบทองคำโดยรอบ 25 ตีกรอบหนา 1 ฝ่ามือโดยรอบ และหล่อขอบทองคำรอบกรอบ 26 เจ้าจงตีห่วงทองคำ 4 อัน และติดห่วงไว้ที่มุมใกล้ขาทั้งสี่ 27 ติดห่วงนั้นไว้ใกล้กรอบ เพื่อสอดคานหามโต๊ะ 28 จงสร้างคานหามด้วยไม้สีเสียด และหุ้มคานด้วยทองคำ ใช้สำหรับหามโต๊ะ 29 เจ้าจงตีจานและถาด โถ และหล่ออ่างน้ำสำหรับรินเครื่องบูชา ทำสิ่งเหล่านี้ด้วยทองคำบริสุทธิ์ 30 เจ้าจงวางขนมปังอันบริสุทธิ์ไว้บนโต๊ะ ณ เบื้องหน้าเราเสมอไป
คันประทีป
31 จงตีคันประทีปด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งเชิงและก้านคันประทีปขึ้นรูปด้วยค้อน ถ้วยน้ำมันขนาดย่อมที่ติดกับก้าน กระเปาะที่ก้นดอกและกลีบดอกให้ทำเป็นชิ้นเดียวกัน 32 คันประทีปมี 6 ก้านยื่นออกทางด้านข้าง ด้านหนึ่งมี 3 ก้าน และอีกด้านหนึ่งมี 3 ก้าน 33 แต่ละก้านมีดอกอัลมอนด์จำลอง 3 ดอกที่มีทั้งกระเปาะและกลีบดอกซึ่งเป็นเหมือนถ้วยขนาดย่อม ทั้ง 6 ก้านยื่นจากคันประทีป 34 และที่คันประทีปก็มีถ้วยขนาดย่อมทำเป็นดอกอัลมอนด์จำลอง 4 ดอก มีทั้งกระเปาะและกลีบดอก 35 ให้ดอกพร้อมกระเปาะของมันตั้งอยู่ที่โคนก้านทั้ง 6 ก้านที่ยื่นจากคันประทีป 36 เชื่อมกระเปาะ ก้าน และคันประทีปให้เป็นชิ้นเดียวกันด้วยทองคำบริสุทธิ์ โดยขึ้นรูปด้วยค้อน 37 จงติดดวงประทีป 7 ดวงไว้ที่คันประทีป และจัดให้ดวงประทีปส่องแสงออกทางด้านหน้า 38 กรรไกรตัดไส้ดวงประทีปและถาดที่ใช้เก็บถ่านร้อนควรตีด้วยทองคำบริสุทธิ์ 39 จงตีคันประทีปและภาชนะทุกชิ้นดังกล่าวด้วยทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ตะลันต์[s] 40 จงแน่ใจว่าเจ้าต้องทำทุกสิ่งตามแบบที่แสดงให้เห็นบนภูเขา
กระโจมที่พำนัก
26 เจ้าจงสร้างกระโจมที่พำนักโดยให้มีม่าน 10 ผืนซึ่งเย็บด้วยผ้าป่านทอเนื้อดี ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด จงปักภาพเครูบให้งดงามด้วยช่างผู้ชำนาญ 2 ผ้าม่านมีขนาดเท่ากันทุกผืนคือ ยาว 28 ศอก และกว้าง 4 ศอก 3 เย็บม่าน 5 ผืนให้ติดกันตามความกว้าง อีก 5 ผืนก็เย็บแบบเดียวกัน 4 เย็บหูม่านด้วยผ้าสีน้ำเงิน ติดไว้ที่ข้างหนึ่งของม่านนอกสุดชุดที่หนึ่ง ส่วนชุดที่สอง ก็จงเย็บแบบเดียวกัน 5 ม่านแต่ละชุดควรมีหูม่าน 50 อันติดไว้ที่ความกว้างของม่าน ชุดที่สอง ก็ควรมี 50 หูติดไว้เช่นกัน ด้านที่มีหูม่านควรอยู่ตรงข้ามกัน 6 แล้วตีขอเกี่ยวด้วยทองคำ 50 อัน เกี่ยวม่าน 2 ชุดให้ติดกันเป็นผ้าคลุมผืนเดียวของกระโจมที่พำนัก
7 จงเย็บม่านขนแพะ 11 ผืนเป็นที่คลุมกระโจมที่พำนัก 8 เย็บม่าน 11 ผืนขนาดเท่ากันทุกผืน ให้ได้ความยาว 30 ศอก และกว้าง 4 ศอก 9 เย็บม่าน 5 ผืนให้ติดกัน ส่วนอีก 6 ผืนก็เย็บให้ติดกันเป็นอีก 1 ชุด แล้วทบม่านผืนที่หกไว้ศอกหนึ่งไว้ที่หน้ากระโจม 10 จงเย็บหูม่าน 50 อันติดไว้ที่ด้านหนึ่งของม่านด้านนอกสุดชุดที่หนึ่ง ส่วนอีก 50 อันติดไว้ที่ด้านของม่านชุดที่สอง
11 จงตีขอเกี่ยวด้วยทองสัมฤทธิ์ 50 อัน และเกี่ยวไว้ที่หูม่าน เพื่อกระชับกับกระโจมให้แน่น 12 ส่วนความยาวม่านในกระโจมที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ก็ปล่อยให้ระพื้นที่ด้านหลังกระโจมที่พำนัก 13 ม่านกระโจมยาวกว่าม่านผ้าป่านด้านละ 1 ศอก ทำให้ห้อยที่ด้านข้างกระโจมที่พำนักและคลุมมิดได้ทั้ง 2 ข้าง 14 จงเย็บที่คลุมกระโจมด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมแดง และใช้อีกผืนคลุมทับด้วยหนังปลาโลมา
15 จงสร้างกรอบไม้สีเสียดให้เป็นโครงกระโจมที่พำนักสำหรับค้ำม่าน 16 ให้แต่ละกรอบสูง 10 ศอก กว้างศอกครึ่ง 17 แต่ละกรอบมีเดือย 2 อันอยู่ตอนล่างสำหรับติดเข้ากับฐาน สร้างกรอบกระโจมที่พำนักให้เหมือนกันหมดทุกกรอบ 18 สร้างกรอบ 20 อันสำหรับด้านใต้ของกระโจมที่พำนัก 19 และเจ้าจงหล่อฐานเงิน 40 อันรองรับกรอบ 20 อัน ให้ฐาน 2 อันรองรับกรอบ 1 อัน สำหรับรองรับเดือยทั้งสอง 20 ด้านที่สองของกระโจมที่พำนักคือด้านเหนือ ก็สร้างกรอบ 20 อัน 21 และฐานเงินอีก 40 อัน ให้ฐาน 2 อันรองรับกรอบ 1 อัน 22 จงสร้างกรอบ 6 อันสำหรับด้านท้ายกระโจมที่พำนักที่หันไปทางทิศตะวันตก 23 สร้างกรอบอีก 2 อันสำหรับมุมที่ท้ายกระโจมที่พำนัก 24 ให้กรอบทั้งสองนี้ตั้งขนานคู่กันตั้งแต่พื้นจรดยอด เป็นเสมือนกรอบเดียวกัน ทั้ง 2 มุมให้ทำเหมือนกันตามนี้ 25 ฉะนั้นจะมีกรอบ 8 อัน และฐานเงิน 16 อัน ฐาน 2 อันต่อกรอบ 1 อัน
26 จงสร้างคานด้วยไม้สีเสียด 5 ตัวสำหรับกรอบทางด้านหนึ่งของกระโจมที่พำนัก 27 คานอีก 5 ตัวสำหรับกรอบอีกด้านหนึ่งของกระโจมที่พำนัก และคาน 5 ตัวสำหรับกรอบที่ด้านข้างของกระโจมที่พำนักสำหรับด้านหลังทางทิศตะวันตก 28 คานตัวกลางที่รับน้ำหนักตอนกลางของกรอบจะต้องให้ยาวตลอดจากปลายด้านหนึ่งจรดอีกด้านหนึ่ง 29 จงหุ้มกรอบไม้สีเสียดด้วยทองคำ และตีห่วงทองคำสำหรับร้อยคานที่จะหุ้มด้วยทองคำเช่นกัน 30 เจ้าจงสร้างกระโจมที่พำนักขึ้นตามแบบที่แสดงให้เห็นที่ภูเขา
31 จงเย็บม่านกั้นผืนหนึ่ง โดยใช้ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด และผ้าป่านทอเนื้อดี ภาพเครูบก็ให้ปักให้งดงามด้วยช่างผู้ชำนาญ 32 แล้วเจ้าจงแขวนไว้ด้วยขอเกี่ยวทองคำบนเสาหลักทั้งสี่ที่เป็นไม้สีเสียดหุ้มทองคำซึ่งตั้งบนฐานเงิน 33 และเจ้าจงแขวนม่านกั้นผืนนี้ที่ใต้ขอเกี่ยวจากเพดาน และจงวางหีบพันธสัญญาภายในบริเวณม่านกั้น ม่านกั้นนี้แยกระหว่างวิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถาน 34 จงวางฝาหีบแห่งการชดใช้บาปไว้บนหีบพันธสัญญาในอภิสุทธิสถาน 35 จงวางโต๊ะไว้นอกม่านกั้น วางคันประทีปไว้ที่ด้านทิศใต้ของกระโจมที่พำนักตรงข้ามกับโต๊ะ วางโต๊ะไว้ทางทิศเหนือ
36 เจ้าจงเย็บม่านบังตาขึ้นผืนหนึ่งสำหรับประตูทางเข้ากระโจมด้วยด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด และผ้าป่านทอเนื้อดีปักลวดลาย 37 เจ้าจงสร้างเสาหลัก 5 ต้นด้วยไม้สีเสียดแล้วหุ้มทองคำ ที่ม่านนั้นให้มีขอเกี่ยวทองคำ และจงหล่อฐาน 5 อันด้วยทองสัมฤทธิ์รองรับเสา
แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์
27 เจ้าจงสร้างแท่นบูชาด้วยไม้สีเสียดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีขนาดยาว 5 ศอก กว้าง 5 ศอก และสูง 3 ศอก 2 เชิงงอนเป็นรูปเขาสัตว์ที่มุมทั้งสี่ทำเป็นชิ้นเดียวกันกับตัวแท่น แล้วหุ้มแท่นด้วยทองสัมฤทธิ์ 3 จงหล่อหม้อรองรับขี้เถ้า ทัพพี อ่างน้ำ ส้อม และถาดเก็บถ่านร้อน จงผลิตเครื่องอุปกรณ์ทุกชิ้นจากทองสัมฤทธิ์ 4 จงตีตะแกรงกับห่วง 4 อันจากทองสัมฤทธิ์ โดยให้ห้อยห่วงแต่ละอันติดไว้ที่มุมทั้งสี่ 5 เจ้าจงติดตะแกรงไว้ต่ำลงจากขอบแท่น โดยห้อยลงมาอยู่ระดับครึ่งหนึ่งของความสูงของแท่น 6 แล้วสร้างคานหามสำหรับแท่นบูชาด้วยไม้สีเสียดหุ้มทองสัมฤทธิ์ 7 สอดไม้คานไว้ในห่วง ไม้แต่ละชิ้นก็จะอยู่ในตำแหน่งด้านข้างของแท่นบูชาขณะหาม 8 ใช้ไม้กระดานทำแท่นเป็นลักษณะกล่องเปิดโล่ง รายละเอียดตามที่ได้แจ้งแก่เจ้าแล้วที่ภูเขา จงทำไปตามนั้น
ลานรอบกระโจมที่พำนัก
9 เจ้าจงสร้างลานรอบกระโจมที่พำนัก ทางด้านทิศใต้ให้แขวนผ้าป่านทอเนื้อดียาว 100 ศอก 10 ใช้เสาหลัก 20 ต้นกับฐานทองสัมฤทธิ์ 20 อัน ส่วนขอเกี่ยวและราวตีด้วยเงิน 11 ทางด้านเหนือให้ทำเหมือนกันคือแขวนผ้าป่านยาว 100 ศอก เสาหลัก 20 ต้นกับฐานทองสัมฤทธิ์ 20 อัน ส่วนขอเกี่ยวและราวตีด้วยเงิน 12 สำหรับลานที่ด้านตะวันตกให้แขวนผ้ากว้าง 50 ศอกตามความกว้างของลาน และใช้เสาหลัก 10 ต้นกับฐาน 10 อัน 13 ลานด้านหน้าทางทิศตะวันออกมีความกว้าง 50 ศอก 14 ผ้าแขวนสำหรับด้านหนึ่งของประตูมีขนาด 15 ศอก มีเสาหลัก 3 ต้นพร้อมด้วยฐาน 3 อัน 15 อีกด้านก็มีผ้าแขวนขนาด 15 ศอก กับเสาหลัก 3 ต้นและฐาน 3 อันเช่นกัน 16 ประตูทางเข้าลานให้ใช้ม่านบังตายาว 20 ศอก ทอจากด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด และผ้าป่านทอเนื้อดีปักลวดลาย แขวนบนราวที่เชื่อมระหว่างเสาหลัก 4 ต้นและฐาน 4 อัน 17 เสาหลักทุกต้นรอบลานให้มีราวและขอเกี่ยวตีด้วยเงิน ฐานหล่อจากทองสัมฤทธิ์ 18 สร้างลานให้มีความยาว 100 ศอก กว้าง 50 ศอก และสูง 5 ศอก ม่านทอจากผ้าป่านเนื้อดี และฐานทองสัมฤทธิ์ 19 เครื่องใช้ทุกชิ้นที่ใช้ประกอบพิธีในกระโจมที่พำนัก หมุดทุกตัวและหมุดทั้งหมดที่ใช้บนลานให้ตีด้วยทองสัมฤทธิ์
น้ำมันสำหรับดวงประทีป
20 จงบัญชาชาวอิสราเอลให้นำน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์สกัดแล้ว มาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อให้ไฟจุดดวงประทีปต่อเนื่องโดยไม่ขาด 21 ภายในกระโจมที่นัดหมาย ณ บริเวณนอกม่านกั้นที่อยู่หน้าหีบพันธสัญญา อาโรนและบรรดาบุตรจะต้องดูแลดวงประทีปให้จุดอยู่ตั้งแต่เย็นจนถึงรุ่งเช้า ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และจงให้ชาวอิสราเอลถือเป็นกฎเกณฑ์ของทุกชาติพันธุ์ของพวกเจ้าไปตลอดกาล
เครื่องแต่งกายของปุโรหิต
28 ให้คนพาอาโรนพี่ชายของเจ้าพร้อมกับบรรดาบุตรของเขาคือ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ แยกพวกเขาออกจากหมู่ชนชาวอิสราเอลและให้มาอยู่ใกล้เจ้า เพื่อเป็นปุโรหิตรับใช้เรา 2 เจ้าจงจัดหาเครื่องแต่งกายอันบริสุทธิ์ งดงาม และสมเกียรติให้อาโรนพี่ชายของเจ้า 3 เจ้าจงบอกกับทุกคนที่มีความชำนาญและเป็นคนที่เราได้มอบจิตวิญญาณอันพรั่งพร้อมด้วยสติปัญญา เพื่อให้พวกเขาตัดเย็บเครื่องแต่งกายให้อาโรน ถวายตัวเขาให้รับตำแหน่งปุโรหิตสำหรับเรา 4 ให้พวกเขาจัดหาเครื่องแต่งกายตามนี้คือ ทับทรวง ชุดคลุม เสื้อคลุมยาว เสื้อยาวชั้นในปักลวดลาย ผ้าโพกศีรษะ และผ้าคาดเอว พวกเขาต้องจัดเตรียมเครื่องแต่งกายอันบริสุทธิ์ให้อาโรนพี่ชายของเจ้าและบรรดาบุตรของเขาเพื่อรับใช้เราเช่นปุโรหิต 5 ให้พวกเขาตัดเย็บเครื่องแต่งกายนั้นด้วยด้ายทอง ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด อีกทั้งผ้าป่านทอเนื้อดี
ชุดคลุม
6 ให้พวกเขาเย็บชุดคลุมด้วยด้ายทอง ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด และผ้าป่านทอเนื้อดีปักอย่างงดงามด้วยช่างผู้ชำนาญ 7 ติดแถบผ้าพาดบ่า 2 ชิ้นกับขอบชุดคลุมให้เป็นผืนเดียวกัน 8 ตอนบนเป็นผ้าคาดเอวซึ่งทอด้วยฝีมือชั้นดีสำหรับสวมให้กระชับกับชุดคลุม ใช้ผ้าและด้ายชนิดเดียวกันกับชุดคลุม ใช้ด้ายทอง ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด อีกทั้งผ้าป่านทอเนื้อดี 9 เจ้าจงสลักชื่อของบรรดาบุตรของอิสราเอลไว้บนแผ่นพลอยหลากสีจำนวน 2 แผ่น 10 แผ่นที่หนึ่งสลักชื่อ 6 ชื่อ อีก 6 ชื่อที่เหลือบนศิลาอีกแผ่น ให้เรียงตามลำดับอายุ 11 ให้ช่างแกะสลักเพชรสลักชื่อของบรรดาบุตรของอิสราเอลที่หน้าพลอย 2 แผ่นนี้ดังเช่นสลักตราประทับ และทำกรอบทองคำฉลุลวดลายโปร่งล้อมแผ่นพลอย 12 จงติดแผ่นพลอยดังกล่าวไว้ที่แถบผ้าพาดบ่าที่เชื่อมอยู่กับชุดคลุม เป็นดั่งพลอยแห่งการรำลึกถึงพงศ์พันธุ์อิสราเอล และอาโรนจะแบกชื่อพวกเขาไว้บนบ่าทั้งสอง ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ 13 เจ้าจงตีกรอบทองคำฉลุลวดลายโปร่ง 14 ตีสร้อยทองคำบริสุทธิ์ถักเป็นเกลียว 2 เส้น แล้วจงติดสร้อยทองไว้กับกรอบทองคำ
ทับทรวง
15 เจ้าจงตัดเย็บทับทรวงแห่งการตัดสินใจ 1 ผืนด้วยช่างผู้ชำนาญ ทำให้งดงามเหมือนกับที่ตัดเย็บชุดคลุม ด้วยด้ายทอง ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด อีกทั้งผ้าป่านทอเนื้อดี 16 ทับทรวงเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และพับทบเป็น 2 ชั้น ความยาว 1 คืบและกว้าง 1 คืบ 17 เจ้าจงฝังเพชรพลอย 4 แถวที่ทับทรวง แถวแรกเป็นทับทิม บุษราคัม และแก้วผลึกสีเขียวปนน้ำเงิน 18 แถวที่สองฝังพลอยสีฟ้า นิลสีคราม และเพชร 19 แถวที่สามฝังแก้วผลึกสีส้มปนแดง โมรา และพลอยสีม่วง 20 และแถวที่สี่ฝังโกเมน พลอยหลากสี และมณีสีเขียว จงฝังเพชรพลอยเหล่านี้ลงในกรอบทองคำฉลุลวดลายโปร่ง 21 ต้องมีเพชรพลอย 12 เม็ด แต่ละเม็ดสลักชื่อบุตรแต่ละคนของอิสราเอล สลักชื่อทุกชื่อดังเช่นสลักตราประทับ เป็นชื่อสำหรับ 12 เผ่า 22 เจ้าจงตีสายคล้องถักเป็นเกลียวด้วยทองคำบริสุทธิ์สำหรับโยงติดกับทับทรวง 23 และตีห่วงทองคำ 2 อันติดไว้ที่ทับทรวงทั้ง 2 มุม 24 จงติดสายคล้องทองคำทั้งสองไว้กับห่วง 2 อันที่มุมของทับทรวง 25 ปลายสายคล้องอีก 2 ข้างให้โยงไว้กับกรอบฉลุลวดลายโปร่งที่ด้านหน้าซึ่งติดอยู่กับแถบผ้าพาดบ่าที่เชื่อมกับชุดคลุม 26 เจ้าจงตีห่วงทองคำ 2 อันติดเข้ากับมุมล่างทั้งสองของทับทรวงที่ริมด้านในที่ติดกับชุดคลุม 27 ตีห่วงทองคำ 2 อันติดไว้ที่ด้านหน้าตอนล่างของแถบผ้าพาดบ่าที่ติดกับขอบชุดคลุมเหนือผ้าคาดเอวที่ทอขึ้นอย่างงดงาม 28 จงผูกห่วงที่ทับทรวงให้ติดกับห่วงที่ชุดคลุมด้วยสายเกลียวสีน้ำเงิน เพื่อให้ทับทรวงโยงติดกับผ้าคาดเอว และไม่หลุดจากชุดคลุม 29 ดังนั้น อาโรนจึงมีชื่อของบรรดาบุตรของอิสราเอลอยู่บนทับทรวงแห่งการตัดสินใจแนบอยู่กับใจเวลาเขาเข้าไปในวิสุทธิสถาน เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าเสมอไป 30 เจ้าจงแนบอูริมและทูมมิม[t]ไว้กับทับทรวงแห่งการตัดสินใจ เพื่อให้แนบใจของอาโรนเวลาเขาเข้าไปอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า การปฏิบัติเช่นนี้ทำให้อาโรนระลึกอยู่ในใจของเขาเสมอว่า เขามอบการตัดสินใจสำหรับชาวอิสราเอลไว้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า
เสื้อคลุมยาวใต้ชุดคลุม
31 เจ้าจงเย็บเสื้อคลุมยาวจากผ้าสีน้ำเงินสำหรับสวมไว้ใต้ชุดคลุม 32 เป็นเสื้อสวมหัว ขลิบรอบคอเสื้อด้วยผ้าทอเช่นเดียวกับเสื้อสวมชั้นใน เพื่อกันการขาดรุ่ย 33 โดยรอบชายเสื้อคลุมให้ใช้ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสดทำเป็นรูปทับทิม ติดลูกพรวนทองคำไว้ระหว่างลูกทับทิม 34 คือติดลูกพรวนทองคำ 1 ลูกสลับกันไปกับลูกทับทิม 1 ลูกโดยรอบชายเสื้อคลุม 35 อาโรนจะสวมเสื้อตัวนี้ในเวลาปฏิบัติงาน และเสียงลูกพรวนทองคำจะดังขณะที่เขาเข้าไปในวิสุทธิสถาน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และขณะที่เขาเดินออกมา เพื่อว่าเขาจะไม่ตายในสถานที่นั้น
36 เจ้าจงตีแผ่นทองคำบริสุทธิ์ และสลักด้วยคำว่า ‘บริสุทธิ์สำหรับพระผู้เป็นเจ้า’ ดังเช่นสลักตราประทับ 37 แล้วเจ้าจงผูกสายเกลียวสีน้ำเงินที่แผ่นทองคำให้ติดกับด้านหน้าของผ้าโพกศีรษะ 38 แผ่นทองคำที่อยู่ที่หน้าผากของอาโรน เสมือนหนึ่งอาโรนได้แบกความผิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับของถวายอันบริสุทธิ์ซึ่งชาวอิสราเอลมอบให้ แผ่นทองคำจะอยู่ที่หน้าผากของเขาเสมอไป และพระผู้เป็นเจ้าได้รับของถวายจากเขา
39 เจ้าจงเย็บเสื้อยาวชั้นในด้วยผ้าป่านเนื้อดีปักลวดลาย เย็บผ้าโพกศีรษะด้วยผ้าป่านเนื้อดี และเย็บผ้าคาดเอวปักลวดลาย
40 เจ้าจงเย็บเสื้อยาวชั้นใน ผ้าคาดเอว และผ้าโพกศีรษะสำหรับบุตรอาโรน เจ้าจงจัดทำให้งดงามและสมเกียรติ 41 เจ้าจงให้อาโรนพี่ชายของเจ้า และบุตรชายของเขาสวมเครื่องแต่งกายดังกล่าว ชโลมน้ำมันและแต่งตั้งพวกเขา อีกทั้งทำให้บริสุทธิ์ ให้เป็นปุโรหิตรับใช้เรา 42 เจ้าจงตัดเย็บกางเกงชั้นในด้วยผ้าป่านเพื่อปกปิดผิวกายของพวกเขาตั้งแต่เอวถึงขาอ่อน 43 อาโรนและบุตรของเขาต้องสวมกางเกงชั้นในเวลาเข้าไปในกระโจมที่นัดหมาย หรือเวลาที่พวกเขาเข้าใกล้แท่นบูชาเวลาปฏิบัติงานในวิสุทธิสถาน เพื่อไม่ให้พวกเขามีความผิดและตาย จงถือเป็นกฎเกณฑ์สำหรับเขาและผู้สืบเชื้อสายสืบต่อจากเขาตลอดไป
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation