Bible in 90 Days
เอลีชากระทำสิ่งมหัศจรรย์
38 เอลีชาเดินทางมายังกิลกาลอีก ช่วงเวลานั้น เกิดทุพภิกขภัยขึ้นในแผ่นดิน และขณะที่กลุ่มผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ากำลังนั่งอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านบอกคนรับใช้ว่า “จงตั้งหม้อใบใหญ่ไว้ และต้มสตูให้กลุ่มผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า” 39 ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้หนึ่งออกไปเก็บสมุนไพรในทุ่งนา และเขาเจอเถาไม้ป่า จึงเก็บน้ำเต้าป่านั้นห่อไว้ในเสื้อจนเต็ม และกลับไปหั่นใส่หม้อสตูโดยไม่ทราบว่าเถานั้นคืออะไร 40 จากนั้นก็ตักให้คนเหล่านั้นรับประทาน แต่ขณะที่พวกเขากำลังรับประทานสตู ก็ร้องเอะอะขึ้นว่า “โอ คนของพระเจ้า ใครรับประทานสตูนี้ต้องตายแน่” และพวกเขาก็รับประทานต่อไม่ได้ 41 ท่านพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็เอาแป้งสาลีมา” ท่านใส่แป้งลงในหม้อ และพูดว่า “ตักให้พวกเขารับประทานเถอะ” จากนั้นไม่มีอันตรายใดๆ มาจากหม้อนั้นอีกเลย
42 มีชายผู้หนึ่งมาจากเมืองบาอัลชาลิชาห์ เขานำขนมปังบาร์เลย์ 20 ก้อนที่ทำจากเมล็ดที่เพิ่งเก็บเกี่ยวได้ในปีนั้น และธัญพืชใหม่ ใส่กระสอบมาให้คนของพระเจ้า และเอลีชาพูดว่า “เอาไปให้กลุ่มผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ารับประทานกัน” 43 แต่ผู้รับใช้ของท่านพูดว่า “ข้าพเจ้าจะเอาไปให้ชายทั้ง 100 คนกินเพียงพอได้อย่างไร” ท่านจึงพูดซ้ำอีกว่า “เอาไปให้พวกเขารับประทานกัน เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘พวกเขาจะรับประทาน และยังจะมีเหลืออีก’” 44 ดังนั้นเขาจึงเอาไปวางไว้ต่อหน้าพวกเขา และพวกเขาก็รับประทาน และยังมีเหลืออีก ตามคำของพระผู้เป็นเจ้า
นาอามานหายจากโรคเรื้อน
5 นาอามานผู้บังคับกองพันทหารของกษัตริย์แห่งอารัม[a] เป็นผู้ที่เจ้านายนับถือและพอใจมาก เป็นเพราะเขา พระผู้เป็นเจ้าจึงให้อารัมสู้รบชนะ เขาเป็นนักรบผู้เก่งกล้า แต่เป็นโรคเรื้อน[b] 2 ครั้งหนึ่งอารัมสู้รบกับอิสราเอล ชาวอารัมได้จับตัวเด็กหญิงคนหนึ่งมาจากดินแดนอิสราเอล และเธอมารับใช้ภรรยาของนาอามาน 3 วันหนึ่งเธอพูดกับนายหญิงของเธอว่า “หนูอยากให้เจ้านายได้ไปพบกับผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ที่อาศัยอยู่ในสะมาเรีย ท่านจะรักษาเจ้านายให้หายจากโรคได้” 4 ครั้นนาอามานได้ยินเช่นนั้น เขาจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์และเล่าถึงสิ่งที่เด็กผู้หญิงพูด 5 กษัตริย์แห่งอารัมกล่าวว่า “เจ้าไปเถิด และเราจะส่งสาสน์ไปยังกษัตริย์แห่งอิสราเอล”
เขาจึงไป และนำเงิน 10 ตะลันต์[c] ทองคำ 6,000 เชเขล[d] และเสื้อใหม่ 10 ตัวไปด้วย 6 และเขานำสาสน์ไปยื่นให้กษัตริย์แห่งอิสราเอล มีใจความว่า “เมื่อสาสน์นี้ถึงมือท่าน ขอให้ท่านทราบด้วยว่า ข้าพเจ้าให้นาอามานผู้รับใช้ของเรามาหาท่าน เพื่อเขาจะได้รับการรักษาให้หายจากโรคเรื้อน” 7 เมื่อกษัตริย์แห่งอิสราเอลอ่านสาสน์แล้ว ท่านก็ฉีกเสื้อของท่าน และพูดว่า “เราเป็นพระเจ้าหรือ จะได้ฆ่าคนหรือทำให้คนมีชีวิตขึ้นมาได้ ชายผู้นี้ถึงได้ขอให้เรารักษาคนๆ หนึ่งให้หายจากโรคเรื้อน เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ท่านพยายามจะหาเรื่องวิวาทกับเรา”
8 เมื่อเอลีชาคนของพระเจ้าทราบว่ากษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ฉีกเสื้อของท่าน ท่านจึงใช้คนไปทูลกษัตริย์ว่า “ทำไมท่านจึงฉีกเสื้อของท่าน โปรดให้เขามาหาข้าพเจ้าเถิด เพื่อเขาจะได้ทราบว่า มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าในอิสราเอล” 9 นาอามานจึงไปพร้อมกับม้าและรถศึกของท่าน และไปยืนที่ประตูบ้านของเอลีชา 10 เอลีชาใช้ผู้ส่งข่าวไปบอกท่านว่า “จงไปชำระตัวในแม่น้ำจอร์แดน 7 ครั้ง แล้วผิวหนังของท่านก็จะกลับเป็นปกติ ท่านจะสะอาด” 11 แต่นาอามานเดินจากไปด้วยความโกรธ และพูดว่า “ดูสิ เราคิดว่าท่านจะออกมาพบเรา และยืนร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน โบกมือที่ผิวหนัง และรักษาเราให้หายจากโรคเรื้อน 12 แม่น้ำอาบานาและฟาร์ปาร์ที่เมืองดามัสกัสไม่ดีกว่าน้ำที่อิสราเอลหรือ เราจะไม่สะอาดหรือถ้าเราชำระตัวที่นั่น” แล้วท่านก็หันหลังกลับด้วยความเกรี้ยวกราด 13 แต่บรรดาคนรับใช้ของท่านเข้ามาใกล้ และพูดกับท่านว่า “ท่านพ่อ ถ้าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าบอกให้ท่านกระทำสิ่งอันยิ่งใหญ่ แล้วท่านจะไม่ทำหรือ ท่านผู้นั้นพูดแล้วมิใช่หรือว่า ‘จงไปชำระตัว แล้วท่านก็จะสะอาด’” 14 ดังนั้นเขาจึงไปจุ่มตัวลงในแม่น้ำจอร์แดน ตามที่คนของพระเจ้าบอก และผิวหนังของเขาก็กลับคืนเหมือนผิวเด็ก และท่านก็สะอาด
ความโลภและโทษทัณฑ์ของเกหะซี
15 เขากลับไปหาคนของพระเจ้า พร้อมกับคนของเขา นาอามานมายืนตรงหน้าท่าน และพูดว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าทราบว่าทั้งโลกนี้ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากในอิสราเอล ขอโปรดรับของกำนัลจากผู้รับใช้ของท่านเถิด” 16 แต่ท่านตอบว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด เรายืนอยู่ ณ เบื้องหน้าพระองค์ เราจะไม่รับสิ่งใด” เขาคะยั้นคะยอให้ท่านรับของ แต่ท่านก็ปฏิเสธ 17 นาอามานจึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น อย่างน้อยก็ขอให้ผู้รับใช้ของท่านได้บรรทุกดินไปกับล่อสัก 2 ตัว เพราะตั้งแต่นี้ไป ผู้รับใช้ของท่านจะไม่มอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายหรือเครื่องสักการะแด่เทพเจ้าใด ยกเว้นถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น 18 มีสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าขอให้พระผู้เป็นเจ้าอภัยผู้รับใช้ของท่านในวันข้างหน้าคือ เวลากษัตริย์ขึ้นไปนมัสการที่วิหารของเทพเจ้าริมโมน[e] ท่านจะพิงแขนของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจำต้องก้มตัวลงที่วิหารของเทพเจ้าริมโมน ขอพระผู้เป็นเจ้าอภัยผู้รับใช้ของท่านในเรื่องนี้” 19 ท่านตอบว่า “จงไปอย่างสันติสุขเถิด”
แต่เมื่อนาอามานออกเดินทางไปได้เพียงระยะหนึ่ง 20 เกหะซีคนรับใช้ของเอลีชาคนของพระเจ้าพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้าปล่อยให้นาอามานชาวอารัมคนนี้ไป โดยไม่รับสิ่งใดที่เขานำมาให้ ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด ข้าพเจ้าจะวิ่งตามเขาไป เพื่อรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากเขาให้ได้” 21 ดังนั้นเกหะซีจึงตามนาอามานไป เมื่อนาอามานเห็นว่ามีคนวิ่งตามเขามา เขาก็ลงจากรถศึกมาพบกับเขา และถามว่า “ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีหรือ” 22 เขาตอบว่า “ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เจ้านายของข้าพเจ้าใช้ข้าพเจ้ามาบอกว่า ‘สมาชิก 2 คนของกลุ่มผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า เพิ่งมาถึงจากแถบภูเขาแห่งเอฟราอิม ขอท่านมอบเงิน 1 ตะลันต์ และเสื้อใหม่สัก 2 ตัวด้วยเถิด’” 23 นาอามานตอบว่า “ช่วยรับไป 2 ตะลันต์” และเขาก็คะยั้นคะยอเขา ใส่เงิน 2 ตะลันต์ลงในกระเป๋า 2 ใบ พร้อมกับเสื้อใหม่ 2 ตัว ให้คนรับใช้ 2 คนของเขาแบกนำหน้าเกหะซีกลับไป 24 เมื่อเกหะซีมาถึงภูเขา เขาก็รับเอาถุงไปจากคนรับใช้ทั้งสอง และเก็บไว้ในบ้าน เขาบอกลากับชายทั้งสอง และให้เขากลับไป 25 จากนั้นเขากลับเข้าไปในบ้าน และยืนตรงหน้าเจ้านายของเขา และเอลีชาพูดกับเขาว่า “เกหะซี เจ้าไปไหนมา” เขาตอบว่า “ผู้รับใช้ของท่านไม่ได้ไปไหน” 26 แต่ท่านพูดกับเขาว่า “วิญญาณของเราไม่อยู่ที่นั่นด้วยหรือ เมื่อชายคนนั้นกลับลงมาจากรถศึก เพื่อพบกับเจ้า เป็นเวลาเหมาะสมแล้วหรือ ที่จะรับเงินและเสื้อ สวนมะกอก สวนองุ่น ฝูงแพะแกะและโค คนรับใช้ชายและหญิง 27 ฉะนั้น โรคเรื้อนของนาอามานจะติดอยู่ที่เจ้าและบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้าไปตลอดกาล” แล้วเกหะซีก็เดินจากไป กลายเป็นคนโรคเรื้อน ตัวด่างขาวราวกับหิมะ
หัวขวานลอยน้ำ
6 กลุ่มผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดกับเอลีชาว่า “เห็นไหมว่า สถานที่ซึ่งพวกเราอาศัยอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านนั้นเล็กเกินไปสำหรับพวกเรา 2 เราไปที่แม่น้ำจอร์แดนกันเถิด พวกเราจะหาไม้ซุงกันคนละต้น และสร้างที่อยู่เพื่ออาศัยอยู่กันที่นั่น” ท่านตอบว่า “ไปสิ” 3 คนหนึ่งพูดว่า “ขอให้ท่านไปด้วยกันกับผู้รับใช้ของท่าน” ท่านตอบว่า “เราจะไป” 4 ท่านจึงไปกับพวกเขา เมื่อมาถึงแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาก็โค่นต้นไม้ 5 แต่ขณะที่คนหนึ่งกำลังโค่นซุง หัวขวานของเขาก็ตกลงในน้ำ เขาร้องขึ้นว่า “แย่แล้ว เจ้านายของข้าพเจ้า เป็นขวานที่เราขอยืมมาเสียด้วย” 6 และคนของพระเจ้าพูดว่า “มันตกที่ไหนล่ะ” เมื่อเขาชี้ให้เห็นว่าที่ไหน ท่านก็ตัดไม้ท่อนหนึ่ง และโยนลงไปที่นั่น ท่านก็ทำให้เหล็กลอยน้ำได้ 7 ท่านพูดว่า “หยิบขึ้นมา” เขาก็ยื่นมือไปจับหัวขวานขึ้นมา
ม้าและรถศึกไฟ
8 เมื่อกษัตริย์แห่งอารัมโจมตีอิสราเอล ท่านได้ปรึกษาหารือกับบรรดาข้าราชการ และกล่าวว่า “เราจะตั้งค่ายของเราที่นี่ที่นั่น” 9 แต่คนของพระเจ้าใช้คนไปแจ้งกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ท่านควรระวังที่จะไม่ผ่านไปทางนี้ เพราะว่าชาวอารัมกำลังจะไปที่นั่น” 10 กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนั้น คนของพระเจ้าเตือนกษัตริย์อยู่เป็นประจำ และกษัตริย์ได้รับความปลอดภัยเสมอ
11 เรื่องนี้ทำให้กษัตริย์แห่งอารัมวุ่นวายใจมาก จึงเรียกข้าราชการมา และพูดกับพวกเขาว่า “บอกได้ไหมว่าใครในพวกของเราที่เป็นฝ่ายกษัตริย์แห่งอิสราเอล” 12 หนึ่งในกลุ่มข้าราชการตอบว่า “โอ เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ ไม่มีผู้ใดหรอก นอกจากเอลีชา ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าที่อยู่ในอิสราเอล เป็นผู้ทูลกษัตริย์แห่งอิสราเอลให้ทราบว่า ท่านกล่าวสิ่งใดบ้าง แม้จะเป็นคำที่กล่าวในห้องนอนของท่าน” 13 ท่านพูดว่า “ไปดูซิว่า เขาอยู่ที่ไหน เราจะได้ให้คนไปจับตัวเขามา” มีคนทูลท่านว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในโดธาน” 14 ดังนั้น ท่านจึงส่งกองทัพใหญ่ไปกับม้าและรถศึก ไปถึงในเวลากลางคืน แล้วพวกเขาก็ล้อมเมืองไว้
15 เมื่อคนรับใช้ของคนของพระเจ้าลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เขาก็ออกไปข้างนอก ดูเถิด กองทัพทหารกับม้าและรถศึกล้อมเมืองไว้ คนรับใช้พูดว่า “แย่แล้ว เจ้านายของข้าพเจ้า เราจะทำอย่างไรดี” 16 ท่านตอบว่า “อย่ากลัวเลย เพราะว่าคนของพวกเรามีมากกว่าคนของพวกเขา” 17 เอลีชาจึงอธิษฐานว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดเปิดตาให้เขามองเห็นด้วยเถิด” ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงเปิดตาของคนรับใช้หนุ่ม และเขาก็เห็น ดูเถิด ภูเขาเต็มไปด้วยม้าและรถศึกเพลิงล้อมรอบเอลีชา 18 เมื่อชาวอารัมลงมาโจมตี เอลีชาอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอพระองค์ทำให้คนเหล่านี้ตาบอดไปเถิด” ดังนั้นพระองค์ทำให้คนเหล่านั้นตาบอดไป ดังที่เอลีชาอธิษฐานขอ 19 และเอลีชาพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้ามาผิดทางแล้ว ที่นี่ไม่ใช่เมือง จงตามข้าไป และข้าจะพาพวกเจ้าไปพบคนที่เจ้ากำลังตามหา” และท่านก็นำพวกเขาไปสะมาเรีย
20 ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในสะมาเรีย เอลีชาพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดเปิดตาให้ชายเหล่านี้มองเห็นด้วยเถิด” ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าเปิดตาของพวกเขา และพวกเขาก็มองเห็น ดูเถิด พวกเขาอยู่ที่ใจกลางเมืองสะมาเรีย 21 ทันทีที่กษัตริย์แห่งอิสราเอลเห็นพวกเขา ท่านพูดกับเอลีชาว่า “บิดาของเรา ท่านจะให้เราฆ่าพวกเขาไหม จะให้เราฆ่าพวกเขาไหม” 22 ท่านตอบว่า “อย่าฆ่าพวกเขา ท่านจะใช้ดาบและธนูฆ่าคนที่ท่านจับตัวมาเป็นเชลยหรือ เอาอาหารและน้ำมาให้พวกเขาดื่มกิน และปล่อยเขากลับไปหาเจ้านายของเขาเถิด” 23 ท่านจึงเตรียมการเลี้ยงใหญ่ เมื่อพวกเขารับประทานและดื่มจนเมามายแล้ว ท่านก็ปล่อยพวกเขากลับไปหานายของพวกเขา ต่อจากนั้นชาวอารัมก็ไม่ได้มาโจมตีแผ่นดินอิสราเอลอีกเลย
เบนฮาดัดโจมตีสะมาเรีย
24 หลังจากนั้น เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมก็ได้รวบรวมกำลังทหารทั้งกองทัพ และไปล้อมเมืองสะมาเรีย 25 เกิดทุพภิกขภัยที่ร้ายแรงในสะมาเรีย ช่วงเวลาที่พวกเขาล้อมเมืองนั้น แม้แต่หัวลาหัวหนึ่งก็ขายได้เป็นเงิน 80 เชเขล และมูลนกหนึ่งส่วนสี่คัฟ[f]ก็ยังขายได้เป็นเงิน 5 เชเขล 26 ขณะที่กษัตริย์แห่งอิสราเอลเดินผ่านไปบนกำแพงเมือง หญิงผู้หนึ่งส่งเสียงร้องกับท่านว่า “เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ โปรดช่วยด้วย” 27 ท่านตอบว่า “ถ้าพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ช่วยเจ้า แล้วเราจะช่วยเจ้าได้อย่างไร จากลานนวดข้าวน่ะหรือ หรือว่าจากที่สกัดเหล้าองุ่น” 28 และกษัตริย์ถามนางว่า “เจ้ามีปัญหาอะไร” นางตอบว่า “หญิงคนนี้บอกข้าพเจ้าว่า ‘ยกลูกชายของเธอให้พวกเรากินในวันนี้ และเราจะกินลูกชายของฉันในวันรุ่งขึ้น’ 29 พวกเราจึงได้ต้มลูกชายของข้าพเจ้ากิน พอวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าพูดกับนางว่า ‘ยกลูกชายของเธอให้พวกเรากินสิ’ แต่ว่านางกลับซ่อนตัวลูกชายของนาง” 30 เมื่อกษัตริย์ได้ยินเรื่องเล่าของหญิงคนนั้น ท่านก็ฉีกเสื้อของท่าน ขณะนั้นท่านกำลังผ่านไปบนกำแพงเมือง ประชาชนก็มองเห็น ดูเถิด เสื้อตัวในที่ท่านสวมเป็นผ้ากระสอบ 31 และท่านกล่าวว่า “ขอคนของพระเจ้ากระทำต่อเราเช่นเดียวกัน หรือไม่ก็ยิ่งกว่า ถ้าหากว่าศีรษะของเอลีชาบุตรชาฟัทไม่หลุดจากบ่าในวันนี้”
32 ขณะนั้นเอลีชากำลังนั่งอยู่ที่บ้านท่าน และบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ก็นั่งอยู่ด้วย ฝ่ายกษัตริย์ก็ได้ใช้ผู้ส่งสาสน์ให้ไปเรียกท่านมา แต่ก่อนที่เขาจะมาถึง เอลีชาพูดกับหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ว่า “ท่านเห็นไหมว่า ผู้สังหารท่านนี้ใช้คนมาตัดหัวเรา ดูเอาก็แล้วกัน เมื่อผู้ส่งสาสน์มาถึง จงปิดประตู และอย่าปล่อยให้เขาเข้ามา เสียงฝีเท้าของเจ้านายของเขาต้องตามหลังเขามาอย่างแน่นอน” 33 ขณะที่ท่านกำลังพูดอยู่ ผู้ส่งสาสน์มาถึงท่านและพูดว่า “เราจะรอรับความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าต่อไปทำไม ในเมื่อความทุกข์ร้อนนี้มาจากพระองค์”
7 เอลีชาพูดว่า “ขอท่านฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ ที่ประตูเมืองสะมาเรีย แป้งสาลีชั้นเยี่ยม 1 สอาห์[g]จะขายได้ราคาเพียงเชเขลเดียว และข้าวบาร์เลย์ 2 สอาห์ ก็ขายเพียงเชเขลเดียว” 2 และนายทหารคนสนิทของกษัตริย์พูดกับคนของพระเจ้าว่า “แม้หากว่าพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นผู้เปิดประตูน้ำในฟ้าสวรรค์ ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้น” แต่ท่านกล่าวว่า “ท่านจะเห็นด้วยตาของท่านเอง แต่ท่านก็จะไม่ได้กินอาหารพวกนั้นเลย”
ชาวอารัมหลบหนี
3 ที่ประตูเมือง มีชายโรคเรื้อน 4 คนพูดกันว่า “เราจะนั่งกันอยู่ที่นี่ไปจนตายทำไม 4 ถ้าเราพูดว่า ‘เราเข้าไปในเมืองกัน’ ในเมืองเกิดทุพภิกขภัย และพวกเราจะตายที่นั่น และถ้าเรานั่งกันอยู่ที่นี่ เราก็ตายเหมือนกัน มาเถิด เราไปที่ค่ายของชาวอารัมกัน ถ้าพวกเขาไว้ชีวิตเรา เราก็จะรอดชีวิต และถ้าพวกเขาฆ่าเรา เราก็ตายอย่างเดียว” 5 ดังนั้นเวลาพลบค่ำ พวกเขาจึงพากันไปที่ค่ายของชาวอารัม ทันทีที่ถึงค่ายของชาวอารัม ดูเถิด ไม่มีใครสักคน 6 เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้กองทัพของชาวอารัมได้ยินเสียงรถศึกและม้า เป็นเสียงกองทัพใหญ่ จนพวกเขาพูดกันว่า “ดูเถิด กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้จ้างบรรดากษัตริย์ของชาวฮิตและอียิปต์มาโจมตีพวกเรา” 7 ดังนั้น พวกเขาจึงหลบหนีไปในตอนพลบค่ำ และทิ้งกระโจม ม้า และลาของตน ทิ้งค่ายไว้อย่างนั้น และหนีเพื่อเอาชีวิตรอด 8 เมื่อคนโรคเรื้อนเหล่านั้นมาถึงค่าย พวกเขาก็เข้าไปดื่มกินในกระโจม และขนเงิน ทองคำ และเสื้อผ้าไปซ่อน แล้วก็กลับไปขนของออกมาจากกระโจมอื่นอีก และเอาของไปซ่อน
9 ครั้นแล้วพวกเขาพูดกันว่า “พวกเราไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง วันนี้เป็นวันที่มีข่าวดี ถ้าหากว่าพวกเราเก็บเรื่องเงียบไว้และรอจนกระทั่งรุ่งเช้า เราคงจะต้องถูกลงโทษ ฉะนั้นไปกันเดี๋ยวนี้เลย เราไปแจ้งที่วังของกษัตริย์กันเถิด” 10 ดังนั้นพวกเขาจึงไปเรียกนายประตูเมือง และบอกเขาว่า “พวกเราไปยังค่ายของชาวอารัม ดูเถิด เราไม่เห็นหรือได้ยินเสียงใครที่นั่นเลย ไม่มีใครนอกจากม้าและลาที่ผูกไว้ และกระโจมก็กางอยู่อย่างนั้น” 11 และพวกนายประตูก็ประกาศเสียงดังที่วังของกษัตริย์ให้ทราบเรื่อง 12 กษัตริย์ลุกขึ้นกลางดึก และกล่าวแก่เหล่าข้าราชการว่า “เราจะบอกให้ท่านรู้ว่าชาวอารัมได้วางแผนจะทำอะไรกับพวกเรา พวกเขารู้ว่าพวกเรากำลังหิวโหย จึงได้ออกจากค่ายเพื่อไปซ่อนตัวที่กลางทุ่ง โดยคิดว่า ‘เมื่อพวกเขาออกมาจากเมือง เราก็จะจับพวกเขาทั้งเป็น และยึดเมืองไว้’” 13 ข้าราชการของท่านคนหนึ่งทูลว่า “เอาอย่างนี้ ให้เราส่งผู้ชายขี่ม้า 5 ตัวที่เหลืออยู่ออกไป ถ้าพวกเขาถูกจับฆ่า มันก็ร้ายพอๆ กับการที่คนอิสราเอลที่กำลังรอความตายอยู่ในเมือง เราส่งพวกเขาไปแล้วดูว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น” 14 ดังนั้นผู้ชายบางคนถูกเลือกให้ไปกับรถศึกและม้า กษัตริย์ใช้พวกเขาให้ตามไปสำรวจดูกองทัพของชาวอารัม ท่านสั่งว่า “จงไปดูว่าเป็นอย่างไร” 15 พวกเขาก็ตามไปดูถึงแม่น้ำจอร์แดน ดูเถิด ชาวอารัมหนีไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงได้โยนเสื้อผ้าและสัมภาระทิ้งระหว่างทางขณะที่ออกไป ผู้สืบข่าวก็กลับมารายงานแก่กษัตริย์
16 และประชาชนก็ออกไปปล้นระดมค่ายของชาวอารัม ดังนั้นแป้งสาลีชั้นเยี่ยมขายได้เพียงเชเขลเดียว และข้าวบาร์เลย์ 2 สอาห์ ก็ขายได้เชเขลเดียว ตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 17 กษัตริย์ได้แต่งตั้งให้นายทหารคนสนิทของท่านรับผิดชอบดูแลประตูเมือง เขาถูกประชาชนเหยียบตายที่ประตูเมือง ตามที่คนของพระเจ้าได้พูดไว้ เมื่อครั้งที่กษัตริย์ลงมาพบกับท่าน 18 เมื่อคนของพระเจ้าได้ทูลกษัตริย์ว่า “พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ ที่ประตูเมืองสะมาเรีย ข้าวบาร์เลย์ 2 สอาห์จะขายได้เพียงเชเขลเดียว และแป้งสาลีชั้นเยี่ยม 1 สอาห์ก็ขายได้เชเขลเดียว” 19 นายทหารคนสนิทผู้นั้นตอบคนของพระเจ้าว่า “แม้หากว่าพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นผู้เปิดประตูน้ำในฟ้าสวรรค์ ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้น” และท่านกล่าวว่า “ท่านจะเห็นด้วยตาของท่านเอง แต่ท่านก็จะไม่ได้กินอาหารพวกนั้นเลย” 20 และเรื่องนั้นก็เกิดขึ้นกับเขา เพราะว่าประชาชนเหยียบเขาตายที่ประตูเมือง
ชาวชูเนมได้ที่ดินกลับคืน
8 ก่อนหน้านี้ เอลีชาได้บอกหญิงคนที่ท่านช่วยให้บุตรชายมีชีวิตคืนมาว่า “ไปเถิด จงพาทั้งครัวเรือนของเจ้าเดินทางไป และไปหาที่อาศัยเท่าที่ท่านจะอยู่ได้ เพราะพระผู้เป็นเจ้าสั่งให้เกิดทุพภิกขภัยในแผ่นดิน ยาวนานถึง 7 ปี”[h] 2 หญิงคนนั้นจึงเดินทางไป และทำตามคำของคนของพระเจ้า นางไปกับครัวเรือนของนาง และอาศัยอยู่ในแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย 7 ปี 3 ปลายปีที่เจ็ด เมื่อนางกลับมาจากแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย นางก็ไปร้องทุกข์ต่อกษัตริย์เรื่องบ้านและที่ดินของนาง 4 ฝ่ายกษัตริย์ก็กำลังพูดอยู่กับเกหะซีคนรับใช้ของคนของพระเจ้าว่า “จงเล่าเรื่องอัศจรรย์ต่างๆ ที่เอลีชาได้กระทำให้เราฟัง” 5 ขณะที่เขากำลังทูลกษัตริย์ว่า เอลีชาทำให้คนตายมีชีวิตขึ้นได้อย่างไร ดูเถิด หญิงที่ท่านช่วยให้บุตรชายมีชีวิตคืนมา ก็มาร้องทุกข์ต่อกษัตริย์เรื่องบ้านและที่ดินของนาง และเกหะซีทูลว่า “โอ เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ หญิงคนนี้แหละ นี่ก็คือบุตรชายของนางที่เอลีชาช่วยให้มีชีวิตคืนมา” 6 เมื่อกษัตริย์ถามหญิงผู้นั้น นางก็ทูลเรื่องราวให้ท่านฟัง ดังนั้นกษัตริย์จึงมอบหมายให้ขันทีคนหนึ่งช่วยนาง และกำชับว่า “จงไปนำทุกสิ่งกลับคืนมาให้นาง รวมถึงผลิตผลที่ได้จากนา นับตั้งแต่วันที่นางจากไปจนถึงบัดนี้”
ฮาซาเอลประหารเบนฮาดัด
7 ฝ่ายเอลีชาก็มายังเมืองดามัสกัส เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมป่วยอยู่ มีคนทูลให้ท่านทราบว่า “คนของพระเจ้าได้มาถึงที่นี่” 8 กษัตริย์กล่าวกับฮาซาเอลว่า “เจ้าจงไปพบกับคนของพระเจ้า แล้วเอาของกำนัลไปด้วย และถามพระผู้เป็นเจ้าผ่านท่านว่า ‘เราจะหายจากโรคนี้ไหม’” 9 ฮาซาเอลจึงไปพบกับเอลีชา โดยนำสินค้าชั้นเยี่ยมจากดามัสกัสเป็นของกำนัลบรรทุกอูฐไป 40 ตัว เมื่อมาถึงก็ได้ยืนต่อหน้าท่าน และพูดว่า “เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมผู้เคารพนับถือท่าน ใช้ข้าพเจ้ามาหาท่าน เพื่อถามว่า ‘เราจะหายจากโรคนี้ไหม’” 10 เอลีชาตอบเขาว่า “จงไปบอกท่านว่า ‘ท่านจะหายจากโรคนี้อย่างแน่นอน’ แต่พระผู้เป็นเจ้าบอกให้เราทราบแล้วว่า ท่านจะสิ้นชีวิตอย่างแน่นอน” 11 ท่านจ้องดูฮาซาเอลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จนกระทั่งฮาซาเอลรู้สึกอึดอัดใจ แล้วคนของพระเจ้าก็ร้องไห้ 12 ฮาซาเอลถามว่า “ทำไมเจ้านายของข้าพเจ้าจึงร้องไห้” ท่านตอบว่า “เพราะเรารู้ถึงความเลวร้ายที่เจ้าจะกระทำต่อชาวอิสราเอล เจ้าจะเอาไฟเผาเมืองต่างๆ ที่พวกเขาคุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง เจ้าจะใช้ดาบฆ่าคนหนุ่มๆ และเด็กๆ ถูกเหวี่ยงกระดูกหักตาย และฟันท้องของหญิงมีครรภ์” 13 ฮาซาเอลพูดว่า “ข้ารับใช้อย่างข้าพเจ้าเป็นเพียงคนต่ำต้อย แล้วจะกระทำการครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างไร” เอลีชาตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้าบอกให้เราทราบแล้วว่า เจ้าจะเป็นกษัตริย์ปกครองอารัม” 14 แล้วเขาก็จากเอลีชา และกลับไปหานายของเขา กษัตริย์ถามเขาว่า “เอลีชาพูดอะไรกับเจ้า” เขาตอบว่า “เอลีชากล่าวว่า ท่านจะหายป่วยแน่” 15 แต่พอวันรุ่งขึ้น เขาใช้ผ้าคลุมเตียงจุ่มน้ำ และคลุมไว้ที่หน้าเบนฮาดัดจนสิ้นชีวิต และฮาซาเอลก็ขึ้นมาเป็นกษัตริย์แทน
เยโฮรัมครองราชย์ในยูดาห์
16 ในปีที่ห้าของโยรัมบุตรอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล เยโฮรัมบุตรเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็เริ่มครองราชย์ 17 ท่านมีอายุ 32 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 8 ปีในเยรูซาเล็ม 18 และท่านดำเนินชีวิตตามแบบอย่างบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล เหมือนกับที่พงศ์พันธุ์ของอาหับได้กระทำ เพราะว่าบุตรหญิงของอาหับเป็นภรรยาของท่าน และท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า 19 ถึงกระนั้นพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ต้องการทำลายยูดาห์ เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ ในเมื่อพระองค์ได้สัญญาว่าจะมอบผู้สืบเชื้อสายให้แก่ท่าน และแก่บุตรหลานของท่านตลอดไป[i]
20 ในรัชสมัยของเยโฮรัม เอโดมขัดขืนต่อการปกครองของยูดาห์ และแต่งตั้งกษัตริย์ปกครองพวกของตน 21 ครั้นแล้วเยโฮรัมจึงยกทัพไปยังศาอีร์พร้อมกับขบวนรถศึกของท่าน ชาวเอโดมก็ยกทัพมาล้อมท่าน แต่ท่านและผู้บัญชาการรถศึกตีฝ่าชาวเอโดมออกไปได้ในเวลากลางคืน และพวกทหารของท่านก็หนีกลับบ้านไป 22 ดังนั้นเอโดมไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของยูดาห์มาจนถึงทุกวันนี้ ในเวลาเดียวกันลิบนาห์ก็ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองเช่นกัน 23 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยโฮรัม และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 24 เยโฮรัมสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิด และอาหัสยาห์บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
อาหัสยาห์ครองราชย์ในยูดาห์
25 ในปีที่สิบสองของโยรัมบุตรอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล อาหัสยาห์บุตรเยโฮรัมกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็เริ่มครองราชย์ 26 อาหัสยาห์มีอายุ 22 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 1 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อ อาธาลิยาห์ นางเป็นหลานสาวของอมรีกษัตริย์แห่งอิสราเอล 27 ท่านดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพงศ์พันธุ์ของอาหับ และกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่พงศ์พันธุ์ของอาหับได้กระทำ เพราะว่าท่านเป็นบุตรเขยในพงศ์พันธุ์ของอาหับ
28 ท่านไปกับโยรัมบุตรอาหับ เพื่อทำสงครามต่อสู้กับฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัมที่ราโมทกิเลอาด ชาวอารัมทำให้โยรัมได้รับบาดเจ็บ 29 กษัตริย์โยรัมกลับไปรับการรักษาที่ยิสเรเอล เพราะชาวอารัมทำให้ท่านบาดเจ็บที่รามาห์เมื่อต่อสู้กับฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัม และอาหัสยาห์บุตรเยโฮรัมกษัตริย์แห่งยูดาห์จึงไปเยี่ยมโยรัมบุตรอาหับที่ยิสเรเอล เพราะท่านป่วย
เยฮูรับการเจิมเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล
9 เอลีชาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเรียกชายคนหนึ่งในกลุ่มผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ามา และบอกเขาว่า “จงเตรียมตัวให้พร้อม เอาผอบน้ำมันนี้ติดมือไปที่ราโมทกิเลอาด 2 เมื่อเจ้าไปถึง ก็ให้ถามหาเยฮูบุตรเยโฮชาฟัทผู้เป็นบุตรของนิมชี และจงไปหาเขา ขอให้เขาปลีกตัวออกมาจากเพื่อนๆ และพาเขาเข้าไปในห้องชั้นใน 3 แล้วเทผอบน้ำมันบนศีรษะของเขา พูดกับเขาว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘เราเจิมเจ้าให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล’ จากนั้นก็รีบเดินหนีออกไป อย่ารีรอ”
4 ดังนั้น ชายหนุ่มผู้รับใช้ของผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าจึงเดินทางไปยังราโมทกิเลอาด 5 เมื่อไปถึง ดูเถิด บรรดาผู้บังคับกองพันทหารกำลังประชุมกันอยู่ เขาพูดว่า “โอ ท่านผู้บังคับบัญชา ข้าพเจ้ามีข้อความมาส่งให้ท่าน” เยฮูถามว่า “ถึงใครในพวกเรา” เขาตอบว่า “โอ ท่านผู้บังคับบัญชา ข้อความนั้นมีมาถึงท่าน” 6 ท่านจึงลุกขึ้นและเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มจึงเทน้ำมันบนศีรษะของเขา และพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า ‘เราเจิมเจ้าให้เป็นกษัตริย์ปกครองชนชาติของพระผู้เป็นเจ้า คือปกครองอิสราเอล 7 และเจ้าจงทำลายพงศ์พันธุ์ของอาหับนายของเจ้า เพื่อเราจะสนองตอบที่นางเยเซเบลได้สังหารบรรดาผู้รับใช้ คือผู้เผยคำกล่าวของเรา และสังหารผู้รับใช้ทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้า 8 ด้วยว่า ทั้งพงศ์พันธุ์ของอาหับจะต้องพินาศไป และเราจะกำจัดผู้ชายของอาหับทุกคน ไม่ว่าทาสหรืออิสระในอิสราเอล 9 และเราจะทำให้พงศ์พันธุ์ของอาหับเป็นเหมือนกับพงศ์พันธุ์ของเยโรโบอัมบุตรเนบัท และเหมือนกับพงศ์พันธุ์ของบาอาชาบุตรอาหิยาห์ 10 และพวกสุนัขจะกินร่างของเยเซเบล ในเขตพื้นที่ของยิสเรเอล จะไม่มีใครฝังศพของนาง’” ครั้นแล้วเขาก็เปิดประตูหนีไป
11 เมื่อเยฮูกลับออกไปหาบรรดาผู้รับใช้ของเจ้านายของท่าน พวกเขาถามท่านว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ ทำไมคนวิกลจริตนั่นจึงมาหาท่าน” ท่านตอบว่า “พวกท่านก็ทราบดีว่า คนประเภทนั้นพูดเรื่องอะไรบ้าง” 12 พวกเขาพูดว่า “ไม่จริง บอกพวกเรามาเถอะ” เยฮูตอบว่า “เขาพูดกับเราว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘เราเจิมเจ้าให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล’” 13 ในทันใดนั้น พวกเขาทุกคนต่างก็ปลดเสื้อผ้าของตนออก และปูไว้ที่ขั้นบันไดใต้เท้าท่าน และเป่าแตรงอน[j]ประกาศว่า “เยฮูเป็นกษัตริย์”
เยฮูลอบสังหารโยรัมและอาหัสยาห์
14 เยฮูบุตรเยโฮชาฟัทผู้เป็นบุตรของนิมชีจึงคิดกบฏต่อโยรัม (ฝ่ายโยรัมกับชาวอิสราเอลทั้งปวงก็ได้เฝ้าระวังอยู่ที่ราโมทกิเลอาดเนื่องจากการโจมตีของฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัม 15 แต่กษัตริย์โยรัมได้กลับมาพักฟื้นที่ยิสเรเอลหลังจากที่ต้องบาดเจ็บเพราะชาวอารัม) ดังนั้นเยฮูพูดว่า “ถ้าเป็นความประสงค์ของพวกท่าน ก็อย่าปล่อยให้ผู้ใดเล็ดลอดออกไปจากราโมทกิเลอาด และไปส่งข่าวที่ยิสเรเอล” 16 แล้วเยฮูก็ขึ้นรถศึกไปยังยิสเรเอล เพราะว่าโยรัมนอนป่วยอยู่ที่นั่น และอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ลงมาเยี่ยมโยรัม
17 ทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่บนหอคอยที่ยิสเรเอลเห็นเยฮูกับพรรคพวกกำลังมา จึงพูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นคนพวกหนึ่ง” โยรัมพูดว่า “ใช้ทหารม้าออกไปพบพวกเขา และถามเขาว่า ‘ท่านมาอย่างสันติหรือ’” 18 ดังนั้นทหารม้าจึงออกไปพบท่าน และถามว่า “กษัตริย์ถามดังนี้ว่า ‘ท่านมาอย่างสันติหรือ’” เยฮูถามว่า “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติเล่า ไปข้างหลังโน่น ขี่ม้าตามหลังเรามา” ทหารยามรายงานว่า “ผู้สื่อสาสน์ไปถึงพวกเขาแล้ว แต่เขาไม่กลับมา” 19 ดังนั้น ท่านจึงให้ทหารม้าคนที่สองไป ซึ่งเมื่อไปถึงก็ถามว่า “กษัตริย์ถามดังนี้ว่า ‘ท่านมาอย่างสันติหรือ’” เยฮูตอบว่า “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติเล่า ไปข้างหลังโน่น ขี่ม้าตามหลังเรามา” 20 ทหารยามรายงานอีกว่า “เขาไปถึงพวกนั้นแล้ว แต่เขาไม่กลับมา และการขับรถศึกดูเหมือนวิธีการขับของเยฮูบุตรของนิมชี เพราะเขาขับอย่างบ้าระห่ำ”
21 โยรัมพูดว่า “เตรียมให้พร้อม” พวกเขาเตรียมรถศึกให้พร้อม และโยรัมกษัตริย์แห่งอิสราเอลกับอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ต่างก็ขับรถศึกของตนออกไปเพื่อปะทะกับเยฮู และได้พบกันในบริเวณที่ดินของนาโบทชาวยิสเรเอล 22 เมื่อโยรัมเห็นเยฮู ท่านถามว่า “เยฮู ท่านมาอย่างสันติหรือ” ท่านตอบว่า “จะมีสันติอย่างไรได้ ตราบที่ยังมีการบูชารูปเคารพและการใช้วิทยาคมของเยเซเบลมารดาของท่านมากมายเช่นนี้” 23 โยรัมก็เบี่ยงบังเหียนไปมาและหนีไป ขณะที่บอกอาหัสยาห์ว่า “อาหัสยาห์ พวกนี้ทรยศเรา” 24 เยฮูโก่งคันธนูอย่างสุดกำลัง และยิงโยรัมระหว่างอก ลูกธนูปักที่หัวใจ ท่านจึงล้มลงในรถศึก 25 เยฮูสั่งบิดคาร์ผู้บังคับการรถศึกของท่านว่า “เอาศพของท่านไปทิ้งในทุ่งนาของนาโบทชาวยิสเรเอล จำได้ไหม เมื่อคราวที่เจ้ากับเราขี่ม้าเคียงกันอยู่ข้างหลังอาหับบิดาของท่าน พระผู้เป็นเจ้าพยากรณ์เรื่องนี้เกี่ยวกับท่าน 26 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘เมื่อวานเท่าที่เราเห็นนาโบทและบรรดาบุตรของเขาถูกสังหารเช่นไร เราก็จะตอบสนองแก่อาหับบนที่ดินแห่งนี้’ ฉะนั้นจงเอาศพของท่านไปทิ้งบนที่ดินนี้ ตามคำของพระผู้เป็นเจ้า”[k]
27 เมื่ออาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์เห็นเหตุการณ์ ท่านก็หนีไปทางทิศที่จะไปยังเบธฮักกาน เยฮูจึงตามล่าไป และพูดว่า “ยิงท่านด้วยอีกคน” พวกเขาจึงยิงท่านขณะที่อยู่ในรถศึกตรงทางที่จะไปยังกูร์ ซึ่งอยู่ใกล้กับอิบเลอัม ท่านหนีไปจนถึงเมืองเมกิดโด และสิ้นชีวิตที่นั่น 28 ทหารรับใช้นำศพของท่านขึ้นรถศึกไปยังเมืองเยรูซาเล็ม และบรรจุศพท่านในที่เก็บศพกับบรรพบุรุษของท่านในเมืองของดาวิด
29 ในปีที่สิบเอ็ดของโยรัมบุตรอาหับ อาหัสยาห์เริ่มครองราชย์ที่ยูดาห์
เยฮูประหารเยเซเบล
30 เมื่อเยฮูไปยังยิสเรเอล เยเซเบลก็ทราบเรื่อง นางจึงเขียนตาและตกแต่งผม และมองออกไปทางหน้าต่าง 31 และขณะที่เยฮูเข้าประตูเมือง นางถามว่า “เจ้าก็เหมือนศิมรีผู้สังหารนายตนเอง เจ้ามาอย่างสันติหรือ”[l] 32 ท่านเงยหน้าขึ้น มองดูที่หน้าต่าง และพูดว่า “ใครเป็นฝ่ายเรา มีใครบ้าง” ขันทีสองสามคนมองดูท่าน 33 ท่านจึงสั่งว่า “โยนตัวนางลงมา” ดังนั้นพวกเขาจึงโยนตัวนางลงมา เลือดนางสาดกระเด็นถูกกำแพงและฝูงม้า และม้าทั้งหลายก็เหยียบย่ำร่างของนาง 34 และท่านเข้าไปข้างใน ดื่มและรับประทาน ท่านพูดว่า “จงจัดการกับหญิงที่ถูกแช่งสาปคนนี้ เอานางไปฝัง เพราะนางเป็นบุตรหญิงของกษัตริย์” 35 แต่เมื่อพวกเขาจะไปฝังศพของนาง พวกเขาก็ไม่พบร่างของนาง นอกจากส่วนที่เหลืออยู่คือกะโหลกศีรษะ เท้า และอุ้งมือของนาง 36 เมื่อพวกเขากลับมาแจ้งให้ท่านทราบ ท่านพูดว่า “นี่คือคำของพระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์กล่าวผ่านเอลียาห์ชาวทิชบีผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘สุนัขจะกินเนื้อเยเซเบลในที่ดินของยิสเรเอล’[m] 37 ศพของเยเซเบลจะเป็นเหมือนมูลสัตว์ในทุ่งนาบนที่ดินของยิสเรเอล จึงไม่มีผู้ใดพูดได้ว่า ‘นี่คือเยเซเบล’”
เยฮูสังหารลูกหลานของอาหับ
10 อาหับมีบุตรชาย 70 คนในสะมาเรีย เยฮูจึงเขียนสาสน์ส่งไปยังสะมาเรีย ไปถึงบรรดาผู้ปกครองยิสเรเอล หัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ และผู้ดูแลบุตรของอาหับ มีใจความว่า 2 “ทันทีที่สาสน์นี้ถึงมือพวกท่าน บรรดาบุตรของเจ้านายของพวกท่านก็อยู่กับท่าน ท่านมีรถศึกและม้า เมืองที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมทั้งอาวุธยุทธภัณฑ์ 3 จงเลือกสรรบุตรของเจ้านายของท่านที่เก่งและเหมาะสมที่สุด และแต่งตั้งเขาขึ้นครองบัลลังก์บิดาของเขา เพื่อต่อสู้รักษาพงศ์พันธุ์ของเจ้านายท่าน” 4 แต่พวกเขาหวั่นกลัวยิ่งนัก และพูดว่า “ดูเถิด กษัตริย์ทั้งสองก่อนหน้านี้ยังยืนหยัดต่อสู้กับเขาไม่ไหว แล้วพวกเราจะยืนหยัดอยู่ได้อย่างไร” 5 ดังนั้น ผู้บริหารวัง ผู้จัดการดูแลเมือง บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ และผู้ดูแลบุตร จึงให้คนไปแจ้งเยฮูว่า “พวกเราเป็นผู้รับใช้ของท่าน และเราจะทำทุกสิ่งที่ท่านสั่ง พวกเราจะไม่แต่งตั้งผู้ใดให้เป็นกษัตริย์ ขอท่านกระทำสิ่งที่ท่านเห็นว่าดีที่สุดในสายตาของท่าน” 6 ท่านจึงเขียนสาสน์ฉบับที่สอง มีใจความว่า “ถ้าท่านเป็นฝ่ายเรา และถ้าท่านพร้อมที่จะเชื่อฟังเรา ก็จงนำศีรษะของบรรดาบุตรของเจ้านายของท่านมา เมื่อท่านมาหาเราที่ยิสเรเอลในวันพรุ่งนี้ เวลานี้” ฝ่ายบุตร 70 คนของกษัตริย์อยู่ภายใต้การดูแลของบรรดาผู้เป็นใหญ่ประจำเมืองนั้น 7 และทันทีที่สาสน์ถึงมือพวกเขา เขาก็จับบุตรทั้ง 70 คนของกษัตริย์ฆ่าเสีย และเอาศีรษะใส่ตะกร้าส่งไปให้เยฮูที่ยิสเรเอล 8 เมื่อผู้สื่อสาสน์มาแจ้งท่านว่า “พวกเขานำศีรษะบุตรของกษัตริย์มาแล้ว” ท่านบอกว่า “เอาไปกองไว้เป็น 2 กองที่ทางเข้าประตูเมืองจนถึงรุ่งเช้า” 9 ครั้นรุ่งเช้า ท่านออกไปยืนต่อหน้าประชาชน และพูดว่า “เราเป็นคนที่คิดกบฏต่อเจ้านายของเรา และฆ่าท่านเสีย ซึ่งพวกท่านไม่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนั้น แต่ใครฆ่าคนเหล่านี้ 10 ขอให้ท่านทราบว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นกับพงศ์พันธุ์ของอาหับตามคำของพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้กระทำตามที่พระองค์กล่าวผ่านเอลียาห์ผู้รับใช้ของพระองค์”[n] 11 เยฮูได้ฆ่าคนทั้งปวงของพงศ์พันธุ์อาหับที่เหลืออยู่ในยิสเรเอล รวมทั้งพวกหัวหน้า เพื่อนสนิท และปุโรหิตของท่าน จนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
12 ครั้นแล้วท่านก็เดินทางเพื่อจะไปยังสะมาเรีย ในระหว่างทางที่ไป ขณะอยู่ที่เบธเอเขดของผู้เลี้ยงแกะ 13 เยฮูพบกับบรรดาญาติของอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และถามว่า “ท่านเป็นใคร” พวกเขาตอบว่า “พวกเราเป็นญาติของอาหัสยาห์ เราลงมาเยี่ยมเยียนเจ้าชายทั้งปวงและบรรดาบุตรของมารดากษัตริย์” 14 ท่านพูดว่า “จับตัวไปทั้งเป็น” และพวกเขาจับไปทั้งเป็น และก็ได้ฆ่าพวกเขาที่บ่อที่เบธเอเขด รวมได้ 42 คน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว
15 เมื่อท่านไปจากที่นั่นแล้ว ท่านพบเยโฮนาดับบุตรเรคาบที่กำลังมาหาท่าน ท่านทักทายและถามเขาว่า “จิตใจของท่านซื่อตรงต่อเรา เหมือนที่เราซื่อตรงต่อท่านไหม” เยโฮนาดับตอบว่า “ซื่อตรงสิ” เยฮูพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ยื่นมือมาให้เรา” เขาก็ยื่นมือให้ และเยฮูดึงเขาขึ้นรถศึก 16 ท่านพูดว่า “มากับเรา และมาดูความรู้สึกอันแรงกล้าของเราที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า” ท่านจึงให้เขาขึ้นขี่ในรถศึกของท่าน 17 เมื่อท่านมาถึงสะมาเรีย ท่านก็ฆ่าทุกคนในพงศ์พันธุ์ของอาหับที่เหลืออยู่ทั้งหมดในสะมาเรีย ตามคำที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่เอลียาห์
เยฮูสังหารบรรดาผู้เผยคำกล่าวของเทพเจ้าบาอัล
18 เยฮูเรียกประชาชนทั้งปวงมาประชุม และพูดว่า “อาหับบูชาเทพเจ้าบาอัล[o]เพียงเล็กน้อย แต่เยฮูจะบูชาให้มาก 19 ฉะนั้นจงไปเรียกบรรดาผู้เผยคำกล่าวของเทพเจ้าบาอัลมาหาเรา รวมทั้งผู้นมัสการและปุโรหิตทุกคนของเทพเจ้าบาอัล อย่าให้ผู้ใดขาดหายไป เพราะว่าเรามีเครื่องสักการะใหญ่จะมอบให้แก่เทพเจ้าบาอัล ใครที่พลาดโอกาสนี้จะไม่รอดชีวิตแน่” แต่นี่คือแผนลวงของเยฮู เพื่อกำจัดพวกที่นมัสการเทพเจ้าบาอัล 20 และเยฮูสั่งว่า “จงเตรียมการประชุมอันบริสุทธิ์ให้แก่เทพเจ้าบาอัล” ดังนั้นประชาชนจึงประกาศวันประชุม 21 เยฮูให้ชาวอิสราเอลทราบทั่วหน้ากัน ทุกคนที่นมัสการเทพเจ้าบาอัลก็มากันถ้วนหน้า ไม่มีใครสักคนที่พลาดงานนี้ พวกเขาพากันเข้าไปในวิหารของเทพเจ้าบาอัล จนผู้คนเต็มวิหารจากด้านหนึ่งจรดอีกด้านหนึ่ง 22 ท่านพูดกับคนที่ดูแลเครื่องแต่งกายว่า “จงนำชุดเฉพาะสำหรับผู้นมัสการเทพเจ้าบาอัลออกมาให้พวกเขาทุกคน” เขาจึงนำชุดเฉพาะออกมาให้พวกเขา 23 จากนั้นเยฮูกับเยโฮนาดับบุตรเรคาบก็เข้าไปในวิหารของเทพเจ้าบาอัล และท่านบอกบรรดาผู้นมัสการเทพเจ้าบาอัลว่า “จงตรวจดูให้ดีว่า ไม่มีผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในที่นี่ในหมู่พวกท่าน มีแต่ผู้นมัสการเทพเจ้าบาอัลเท่านั้น” 24 แล้วท่านกับเยโฮนาดับก็เข้าไปถวายเครื่องบูชาและสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย
โดยเยฮูได้สั่งชาย 80 คนยืนประจำอยู่ที่นอกวิหาร และสั่งว่า “ผู้ใดที่ปล่อยให้คนหนึ่งคนใดที่เรามอบไว้ในมือเจ้าหนีออกมาได้ ก็จะต้องชดเชยด้วยชีวิตของตนเอง” 25 ดังนั้น ทันทีที่ท่านมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายเสร็จสิ้นแล้ว เยฮูสั่งทหารคุ้มกันและพวกนายทหารว่า “เข้าไปข้างใน และสังหารพวกเขาทุกคน อย่าปล่อยให้ผู้ใดหนีออกมาได้แม้แต่คนเดียว” พวกเขาจึงใช้ดาบฆ่าฟันคนเหล่านั้น ทหารคุ้มกันและพวกนายทหารลากศพออกไปทิ้งข้างนอก แล้วก็เข้าไปในห้องที่อยู่ด้านในของวิหารของเทพเจ้าบาอัล 26 พวกเขาแบกเสาออกมาจากวิหารของเทพเจ้าบาอัล และเผาทิ้งเสีย 27 พวกเขาทำลายเสาและวิหารของเทพเจ้าบาอัล และทำให้เป็นส้วมสาธารณะมาจนถึงทุกวันนี้
เยฮูครองราชย์ในอิสราเอล
28 เท่ากับว่า เยฮูได้กำจัดการนมัสการเทพเจ้าบาอัลไปจากอิสราเอลแล้ว 29 แต่เยฮูยังกระทำบาปตามอย่างเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งนำให้อิสราเอลกระทำบาป นั่นคือรูปลูกโคทองคำที่อยู่ในเมืองเบธเอลและเมืองดาน[p] 30 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยฮูว่า “เป็นเพราะว่า เจ้าได้ปฏิบัติสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเราเป็นอย่างดี และได้กระทำต่อพงศ์พันธุ์ของอาหับตามทุกสิ่งที่เราประสงค์ เราจะให้บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า 4 ชั่วอายุได้นั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล” 31 แต่เยฮูกลับไม่ระมัดระวังที่จะดำเนินชีวิตตามกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลอย่างสุดจิตสุดใจ ท่านกระทำบาปตามอย่างเยโรโบอัม ซึ่งนำให้อิสราเอลกระทำบาป
32 ในครั้งนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงเริ่มตัดทอนอาณาเขตบางส่วนของอิสราเอลออก ฮาซาเอลโจมตีชนะทุกเขตแดนของอิสราเอล 33 ตั้งแต่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน แผ่นดินทั้งหมดของกิเลอาด (อาณาเขตที่เป็นของชาวกาด ชาวรูเบน และชาวมนัสเสห์) ตั้งแต่อาโรเออร์ซึ่งอยู่ข้างลุ่มน้ำอาร์โนน คือกิเลอาดและบาชาน 34 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยฮู ทุกสิ่งที่ท่านกระทำ และความสำเร็จด้านยุทธการ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ 35 ดังนั้นเยฮูสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองสะมาเรีย และเยโฮอาหาสบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน 36 เยฮูเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลเป็นเวลา 28 ปีในสะมาเรีย
อาธาลิยาห์ครองราชย์ในยูดาห์
11 เมื่ออาธาลิยาห์มารดาของอาหัสยาห์เห็นว่าบุตรของนางสิ้นชีวิตแล้ว นางก็เริ่มตามฆ่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ทุกคน 2 แต่เยโฮเช-บาบุตรหญิงของกษัตริย์เยโฮรัม น้องสาวของอาหัสยาห์ ได้ลักพาโยอาชบุตรชายของอาหัสยาห์ออกมา เพื่อไม่ให้ถูกฆ่าไปพร้อมกับบุตรคนอื่นๆ ของกษัตริย์ นางซ่อนโยอาชกับพี่เลี้ยงไว้ในห้องนอน ให้พ้นจากอาธาลิยาห์ที่ต้องการจะเอาชีวิตท่าน 3 โยอาชอยู่กับนางเป็นเวลา 6 ปี โดยถูกซ่อนอยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ในขณะที่อาธาลิยาห์ปกครองแผ่นดิน
โยอาชครองราชย์ในยูดาห์
4 แต่ในปีที่เจ็ด เยโฮยาดาให้ไปนำบรรดาผู้บัญชากองร้อยของชาวเคเรท และทหารคุ้มกัน เพื่อมาพบท่านที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และท่านทำสนธิสัญญากับพวกเขา และให้สาบานในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และให้พวกเขาได้พบกับราชบุตร 5 และท่านสั่งพวกเขาว่า “สิ่งที่ท่านควรปฏิบัติก็คือ ให้หนึ่งในสามของพวกท่านมาเริ่มเข้าเวรในวันสะบาโต พวกท่านกลุ่มนี้จะคุ้มกันวังของกษัตริย์ 6 อีกหนึ่งในสามของพวกท่านจะประจำอยู่ที่ประตูสูร์ และอีกหนึ่งในสามจะคุ้มกันอยู่ที่ทางเข้าประตูเมืองเป็นแรงหนุนให้กับทหารคุ้มกัน พวกท่านจะต้องคุ้มกันวัง 7 พวกท่าน 2 กลุ่มที่ไม่เข้าเวรในวันสะบาโต จะต้องคุ้มกันพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อความปลอดภัยของกษัตริย์ 8 พวกท่านต้องประจำการอยู่รอบข้างกษัตริย์ แต่ละคนถืออาวุธไว้พร้อม และใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ตัวท่าน จะต้องถูกฆ่า พวกท่านจงอยู่ใกล้ชิดกษัตริย์ ไม่ว่าท่านจะไปที่ใดก็ตาม”
9 บรรดาผู้บัญชากองร้อยปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เยโฮยาดาปุโรหิตสั่ง และแต่ละกลุ่มก็ได้นำคนของตนมาหาเยโฮยาดาปุโรหิต ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่จะออกเวรหรือที่จะเข้าเวรในวันสะบาโต 10 ปุโรหิตมอบหอกและโล่ที่เป็นของกษัตริย์ดาวิด ซึ่งเก็บไว้ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าให้แก่บรรดาผู้บัญชากองร้อย 11 พวกทหารคุ้มกันแต่ละคนถืออาวุธไว้พร้อม ตั้งแต่ด้านใต้จรดด้านเหนือของพระตำหนัก รอบแท่นบูชาและพระตำหนัก เพื่อความปลอดภัยของกษัตริย์ 12 แล้วปุโรหิตก็นำบุตรของกษัตริย์ออกมา สวมมงกุฎ และมอบพันธสัญญาให้แก่ท่าน และพวกเขาประกาศให้ท่านเป็นกษัตริย์ และเจิมท่าน แล้วพวกเขาก็ปรบมือและกล่าวว่า “ขอกษัตริย์มีอายุยืนนาน”
13 เมื่ออาธาลิยาห์ได้ยินเสียงทหารคุ้มกันและประชาชน นางจึงออกไปหาประชาชนที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 14 เมื่อนางมองดู ก็เห็นกษัตริย์ยืนอยู่ที่ข้างเสาพระตำหนักตามธรรมเนียม บรรดาผู้บัญชากองร้อยและผู้เป่าแตรยาว[q]ยืนอยู่ข้างๆ และประชาชนทั้งปวงของแผ่นดินกำลังร่าเริงและเป่าแตรยาว อาธาลิยาห์ก็ฉีกเสื้อของตน และร้องว่า “กบฏ กบฏ” 15 เยโฮยาดาปุโรหิตสั่งบรรดาผู้บัญชากองร้อยที่ควบคุมกำลังกองทัพว่า “นำนางออกมาระหว่างแถวทหาร และผู้ใดที่ตามนางไป ก็ฆ่าเสียด้วยคมดาบ” เพราะปุโรหิตพูดว่า “อย่าฆ่านางในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า” 16 ดังนั้นพวกเขาจึงจับกุมนาง และนางออกไปทางสำหรับม้าผ่าน ที่ประตูทางเข้าวังของกษัตริย์ และนางก็ถูกประหารชีวิต
17 เยโฮยาดาทำพันธสัญญาระหว่างพระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์ และประชาชนว่า ให้พวกเขาเป็นชนชาติของพระผู้เป็นเจ้า และสัญญาระหว่างกษัตริย์กับประชาชน 18 ครั้นแล้ว ทุกคนในแผ่นดินก็เข้าไปทลายวิหารเทพเจ้าบาอัลลง พวกเขาทุบแท่นบูชาและเทวรูปบาอัลจนแตกเป็นชิ้นๆ และฆ่ามัทธานปุโรหิตของเทพเจ้าบาอัลที่หน้าแท่นบูชา แล้วเยโฮยาดาปุโรหิตก็กำหนดให้มียามเฝ้าพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 19 ท่านให้บรรดาผู้บัญชากองร้อย ชาวเคเรท ทหารคุ้มกัน และประชาชนทั้งปวงของแผ่นดิน ร่วมกันเชิญกษัตริย์ลงมาจากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เดินเข้าทางประตูทหารคุ้มกัน ไปยังวังของกษัตริย์ และนั่งบนบัลลังก์ 20 ดังนั้นประชาชนทั้งปวงของแผ่นดินต่างยินดี และบ้านเมืองนั้นก็สงบสุขหลังจากที่อาธาลิยาห์ถูกดาบสังหารที่วังของกษัตริย์
โยอาชครองราชย์ในยูดาห์
21 โยอาชมีอายุ 7 ปี เมื่อท่านเริ่มเป็นกษัตริย์
12 ในปีที่เจ็ดของเยฮู โยอาชก็เริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 40 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อศิบียาห์แห่งเบเออร์เช-บา 2 โยอาชกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า ตลอดทั้งชีวิตของท่าน เพราะเยโฮยาดาปุโรหิตสั่งสอนท่าน 3 แต่สถานบูชาบนภูเขาสูงยังไม่ถูกกำจัดไป และประชาชนยังมอบเครื่องสักการะและเผาเครื่องหอมที่สถานบูชาบนภูเขาสูง
โยอาชปฏิสังขรณ์พระตำหนัก
4 โยอาชบอกบรรดาปุโรหิตว่า “เงินถวายสำหรับเครื่องใช้ที่บริสุทธิ์ที่มอบให้พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าทั้งหมด เงินภาษีพระตำหนักที่เก็บได้จากทุกคน[r] เงินจากการตีราคาของแต่ละคน[s] และเงินที่ถวายด้วยใจสมัคร 5 จงให้ปุโรหิตใช้เงินที่มาจากผู้อุทิศ เพื่อซ่อมแซมพระตำหนักเท่าที่เห็นสมควรว่าจำเป็นต้องซ่อม” 6 แต่เมื่อถึงปีที่ยี่สิบสามของกษัตริย์โยอาช บรรดาปุโรหิตก็ไม่ได้ซ่อมแซมพระตำหนักเลย 7 ฉะนั้นโยอาชจึงเรียกเยโฮยาดาปุโรหิตและปุโรหิตอื่นๆ มาและสั่งว่า “ทำไมพวกท่านจึงไม่ซ่อมแซมพระตำหนัก ฉะนั้นไม่ต้องรับเงินจากผู้อุทิศอีก แต่จงเอาไปใช้ในการซ่อมพระตำหนัก” 8 ดังนั้น บรรดาปุโรหิตจึงเห็นด้วยที่พวกเขาไม่ควรรับเงินจากประชาชนอีก และพวกเขาจะไม่เป็นฝ่ายจัดการเรื่องการซ่อมแซมพระตำหนัก
9 และเยโฮยาดาปุโรหิตเอาหีบใบหนึ่งมาเจาะรูที่ฝา และตั้งหีบไว้ที่ข้างแท่นบูชา ทางด้านขวาของผู้ที่เข้าพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และบรรดาปุโรหิตที่มีหน้าที่เฝ้าพระตำหนักตรงทางเข้า ก็เป็นผู้เก็บเงินทั้งหมดที่นำเข้ามาให้พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 10 เมื่อใดที่พวกเขาเห็นว่าในหีบมีเงินมาก เลขาของกษัตริย์และหัวหน้ามหาปุโรหิตก็จะมาเก็บและนับเงินที่ได้ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 11 และจะมอบเงินที่ชั่งแล้วให้แก่บรรดาหัวหน้าคุมงานพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และจ่ายค่าแรงให้แก่ช่างไม้และช่างก่อสร้างที่ซ่อมแซมพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 12 และจ่ายค่าแรงให้แก่ช่างก่ออิฐ และช่างสกัดหิน รวมทั้งค่าซื้อไม้และหินที่แต่งแล้วที่ใช้ซ่อมแซมพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และค่าใช้จ่ายอื่นๆ 13 แต่เงินที่อุทิศให้พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้นำไปใช้ในการหล่ออ่างเงิน กรรไกรตัดไส้ดวงประทีป ถ้วย แตรยาว ภาชนะเงินหรือทองคำใดๆ 14 เพราะเป็นค่าใช้จ่ายให้แก่พวกช่างที่ซ่อมแซมพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 15 และไม่มีการถามไถ่เรื่องบัญชีจากผู้คุมงานที่จ่ายพวกช่าง เพราะพวกเขาสุจริตในเรื่องนั้น 16 ส่วนเงินจากของถวายเพื่อไถ่โทษ และเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาปนั้น ไม่ได้นำมาใช้ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เพราะเป็นส่วนของปุโรหิต
17 ในครั้งนั้นฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัมได้โจมตีเมืองกัท และยึดเมืองได้ แต่เมื่อฮาซาเอลตัดสินใจไปโจมตีเมืองเยรูซาเล็ม 18 โยอาชกษัตริย์แห่งยูดาห์นำของถวายบริสุทธิ์ทุกชิ้นที่บรรพบุรุษของท่าน คือเยโฮชาฟัท เยโฮรัม และอาหัสยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ถวาย รวมกับของถวายบริสุทธิ์ของท่าน และทองคำที่พบในคลังพระตำหนักและวัง และส่งไปเป็นของกำนัลแก่ฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัม ดังนั้นฮาซาเอลจึงถอยทัพไปจากเยรูซาเล็ม
โยอาชสิ้นชีวิต
19 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของโยอาช และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 20 บรรดาข้าราชการของท่านคบคิดทำร้ายและสังหารโยอาชในบ้านที่มิลโล ทางที่ลงไปยังสิลลา 21 ข้าราชการที่สังหารท่าน คือโยซาคาร์บุตรชิเมอัท และเยโฮซาบาดบุตรโชเมอร์ โยอาชจึงได้สิ้นชีวิต และพวกเขาบรรจุศพไว้กับบรรพบุรุษของท่านในเมืองของดาวิด และอามาซิยาห์บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
เยโฮอาหาสครองราชย์ในอิสราเอล
13 ในปีที่ยี่สิบสามของโยอาชบุตรของอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เยโฮอาหาสบุตรของเยฮูเริ่มปกครองอิสราเอลในสะมาเรีย และท่านครองราชย์เป็นเวลา 17 ปี 2 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และกระทำบาปทำนองเดียวกับเยโรโบอัมบุตรเนบัท ที่เป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป ท่านไม่ได้ละเว้นจากการกระทำบาป 3 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงโกรธกริ้วอิสราเอลมาก และพระองค์มอบพวกเขาไว้ในมือของฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัม และในมือของเบนฮาดัดบุตรของฮาซาเอล 4 เยโฮอาหาสจึงวิงวอนขอพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าก็ฟังเสียงของท่าน เพราะพระองค์เห็นการถูกบีบบังคับของอิสราเอล ว่ากษัตริย์แห่งอารัมบีบบังคับพวกเขาอย่างไร 5 (ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงมอบผู้ช่วยให้พ้นภัยผู้หนึ่งแก่อิสราเอล เพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวอารัม และชาวอิสราเอลก็อาศัยอยู่ในบ้านของตนดังเดิม 6 อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ละเว้นจากการกระทำบาปของพงศ์พันธุ์เยโรโบอัม อันเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป และยังปฏิบัติต่อไป และเทวรูปอาเชราห์[t]ก็ยังอยู่ในสะมาเรีย) 7 กองทัพของเยโฮอาหาสที่เหลืออยู่มีทหารม้าไม่เกิน 50 คน รถศึก 10 คัน และทหารราบ 10,000 คน เพราะกษัตริย์แห่งอารัมได้ทำลายกองทัพไปเสียเกือบหมด เหยียบย่ำพวกเขาให้เป็นเหมือนฝุ่นที่เกิดจากการนวดข้าว 8 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยโฮอาหาส และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ รวมทั้งความสำเร็จด้านยุทธการ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ 9 เยโฮอาหาสจึงสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองสะมาเรีย และเยโฮอาชบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
เยโฮอาชครองราชย์ในอิสราเอล
10 ในปีที่สามสิบเจ็ดของโยอาชกษัตริย์แห่งยูดาห์ เยโฮอาชบุตรเยโฮอาหาสเริ่มปกครองอิสราเอลในสะมาเรีย ท่านครองราชย์เป็นเวลา 16 ปี 11 ท่านด้วยที่กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และไม่ได้ละเว้นจากบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป แต่กลับดำเนินรอยตาม 12 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยโฮอาช และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ รวมทั้งความสำเร็จที่ท่านต่อสู้อามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ 13 เยโฮอาชจึงสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน และเยโรโบอัม[u]นั่งบนบัลลังก์ของท่าน เยโฮอาชถูกบรรจุศพในสะมาเรียกับบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล
เอลีชาสิ้นชีวิต
14 เมื่อเอลีชาล้มป่วยใกล้สิ้นชีวิต เยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลไปเยี่ยม และร้องไห้ต่อหน้าท่าน และกล่าวว่า “บิดาของเรา บิดาของเรา รถศึกและทหารม้าของอิสราเอล” 15 เอลีชาบอกท่านว่า “เอาคันธนูและลูกธนูมา” ท่านจึงเอาคันธนูและลูกธนูมา 16 และท่านบอกกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “หยิบคันธนูสิ” ท่านก็หยิบคันธนู และเอลีชาก็วางมือทั้งสองของท่านบนมือกษัตริย์ 17 และเอลีชาบอกว่า “จงเปิดหน้าต่างด้านตะวันออก” ท่านก็เปิดหน้าต่าง แล้วเอลีชาบอกว่า “ยิง” ท่านก็ยิง เอลีชาพูดว่า “ลูกธนูแห่งชัยชนะของพระผู้เป็นเจ้า ลูกธนูแห่งชัยชนะต่ออารัม เพราะว่าท่านจะต่อสู้ชาวอารัมในอาเฟก จนกระทั่งพวกเขาพ่ายแพ้ไป” 18 และท่านพูดว่า “เอาลูกธนูมา” และท่านก็เอาลูกธนูมา และท่านบอกกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ใช้ธนูตีพื้น” และท่านก็ตีพื้น 3 ครั้ง แล้วก็หยุดตี 19 ครั้นแล้ว คนของพระเจ้าก็โกรธกษัตริย์ และพูดว่า “ท่านควรจะตีพื้น 5 หรือ 6 ครั้ง แล้วท่านก็จะปะทะกับอารัมได้ จนกระทั่งท่านทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ไป แต่บัดนี้ ท่านจะปะทะกับอารัมเพียง 3 ครั้ง”
20 แล้วเอลีชาก็สิ้นชีวิต และร่างก็ถูกบรรจุไว้ ช่วงนั้นมีกลุ่มโจรชาวโมอับที่มักจะบุกรุกแผ่นดินในฤดูใบไม้ผลิของแต่ละปี 21 ครั้งหนึ่ง ชาวอิสราเอลกำลังฝังศพของชายคนหนึ่ง ดูเถิด พวกเขาเห็นกลุ่มโจรก่อกวน จึงรีบโยนศพนั้นลงไปในที่เก็บศพของเอลีชา และทันทีที่ร่างของชายผู้นั้นแตะกระดูกของเอลีชา เขากลับมีชีวิตขึ้นอีกและลุกขึ้นยืนได้
22 ฝ่ายฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัมก็บีบบังคับอิสราเอลตลอดสมัยที่เยโฮอาหาสครองราชย์ 23 แต่พระผู้เป็นเจ้ามีความกรุณาต่อพวกเขา สงสารและช่วยพวกเขา เพราะพันธสัญญาที่พระองค์ทำไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ[v] และจะไม่ทำลายพวกเขา หรือกำจัดให้พ้นจากหน้าของพระองค์แม้จนถึงบัดนี้
24 เมื่อฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัมสิ้นชีวิต เบนฮาดัดบุตรของท่านขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 25 เยโฮอาชบุตรเยโฮอาหาสยึดเมืองต่างๆ ของอิสราเอลกลับมาจากเบนฮาดัดบุตรฮาซาเอล ซึ่งเป็นเมืองที่ฮาซาเอลได้มาจากการสู้รบกับเยโฮอาหาสบิดาของท่าน เยโฮอาชรบชนะเบนฮาดัด 3 ครั้ง
อามาซิยาห์ครองราชย์ในยูดาห์
14 ในปีที่สองของเยโฮอาชบุตรเยโฮอาหาสกษัตริย์แห่งอิสราเอล อามาซิยาห์บุตรโยอาชกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็เริ่มครองราชย์ 2 ท่านมีอายุ 25 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 29 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อเยโฮอัดดีนจากเยรูซาเล็ม 3 ท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า แต่ก็ยังไม่เทียบเท่ากับดาวิดบรรพบุรุษของท่าน ท่านกระทำทุกสิ่งเหมือนกับที่โยอาชบิดาของท่านได้กระทำ 4 แต่สถานบูชาบนภูเขาสูงยังไม่ถูกกำจัดไป และประชาชนยังมอบเครื่องสักการะและเผาเครื่องหอมที่สถานบูชาบนภูเขาสูง 5 และทันทีที่อำนาจของกษัตริย์เป็นของท่านอย่างบริบูรณ์แล้ว ท่านก็ได้สั่งฆ่าบรรดาเจ้าหน้าที่ชั้นสูงที่ได้สังหารกษัตริย์ผู้เป็นบิดาของท่าน 6 แต่ท่านไม่ได้ฆ่าพวกลูกๆ ของฆาตกร ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือแห่งกฎบัญญัติของโมเสส ที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาว่า “อย่าให้บิดาตายแทนบุตรของเขา และอย่าให้บุตรตายแทนบิดาเช่นกัน แต่ละคนต้องตายเพราะบาปของตนเอง”[w]
7 ท่านฆ่าชาวเอโดม 10,000 คนในหุบเขาเกลือ และยึดเมืองเส-ลาไว้ เรียกชื่อเมืองว่า โยกเธเอล ซึ่งเป็นชื่อมาจนถึงทุกวันนี้
8 ครั้นแล้ว อามาซิยาห์ใช้ผู้ถือสาสน์ไปยังเยโฮอาชบุตรเยโฮอาหาสผู้เป็นบุตรของเยฮู กษัตริย์แห่งอิสราเอล มีใจความว่า “มาเถิด เรามาเผชิญหน้ากัน” 9 เยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลส่งสาสน์ไปยังอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “พันธุ์ไม้หนามบนภูเขาเลบานอนส่งสาสน์ไปยังไม้ซีดาร์บนภูเขาเลบานอนว่า ‘ยกบุตรหญิงของท่านให้เป็นภรรยาบุตรของเราเถิด’ และสัตว์ป่าแห่งเลบานอนผ่านมา และเหยียบย่ำพันธุ์ไม้หนามเสีย 10 ท่านได้ตีเอโดมจนพ่ายแพ้ไป จิตใจของท่านจึงหยิ่งผยองนัก จงพอใจกับกิตติศัพท์ของท่าน และท่านอยู่กับบ้านจะดีกว่า ทำไมท่านจึงจะก่อเรื่องจนถึงกับทำให้ตัวเองล้มลง ทั้งท่านและยูดาห์ด้วย”
11 แต่อามาซิยาห์ก็ไม่ฟัง ดังนั้นเยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงขึ้นไป ท่านและอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ประจันหน้ากันในสงครามที่เมืองเบธเชเมช ซึ่งเป็นของยูดาห์ 12 และยูดาห์ถูกอิสราเอลตีพ่ายไป ทุกคนเตลิดหนีกลับบ้านของตนไป 13 เยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลจับตัวอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์บุตรโยอาชผู้เป็นบุตรของอาหัสยาห์ ที่เมืองเบธเชเมช และเยโฮอาชไปยังเยรูซาเล็ม และทลายกำแพงเมืองลง 400 ศอก ตั้งแต่ประตูเอฟราอิมไปจนถึงประตูมุม 14 และท่านยึดทองคำและเงินทั้งหมด รวมทั้งภาชนะทุกชิ้นที่พบในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และคลังของกษัตริย์ และได้จับตัวประกันไปด้วย จากนั้นท่านก็กลับไปยังสะมาเรีย
15 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยโฮอาช และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ รวมทั้งความสำเร็จที่ท่านต่อสู้อามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ 16 เยโฮอาชจึงสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในสะมาเรียกับบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล และเยโรโบอัมบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
17 อามาซิยาห์บุตรของโยอาชกษัตริย์แห่งยูดาห์มีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 15 ปี หลังจากเยโฮอาชบุตรของเยโฮอาหาสกษัตริย์แห่งอิสราเอลสิ้นชีวิต 18 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นที่อามาซิยาห์กระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 19 มีคนกบฏต่ออามาซิยาห์ในเยรูซาเล็ม ท่านจึงหนีไปยังลาคีช แต่พวกกบฏไล่ตามท่านไปที่ลาคีช และสังหารท่านที่นั่น 20 เขานำท่านมาบนหลังม้า ศพถูกบรรจุไว้ในเยรูซาเล็มกับบรรพบุรุษในเมืองของดาวิด 21 ประชาชนทั้งปวงของยูดาห์แต่งตั้งอุสซียาห์[x] ผู้มีอายุ 16 ปี ให้เป็นกษัตริย์แทนอามาซิยาห์ผู้เป็นบิดา 22 หลังจากที่บิดาของท่านสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่านแล้ว ท่านก็ฟื้นฟูสภาพเมืองเอลัทใหม่เพื่อแผ่นดินยูดาห์
เยโรโบอัมที่สองครองราชย์ในอิสราเอล
23 ในปีที่สิบห้าของอามาซิยาห์บุตรของโยอาชกษัตริย์แห่งยูดาห์ เยโรโบอัมบุตรเยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็เริ่มครองราชย์ในสะมาเรีย ท่านครองราชย์เป็นเวลา 41 ปี 24 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และไม่ได้ละเว้นจากบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป 25 ท่านฟื้นฟูเขตแดนของอิสราเอล ตั้งแต่เลโบฮามัทจนถึงทะเลอาราบาห์ ตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล พระองค์กล่าวผ่านโยนาห์[y] ผู้รับใช้ของพระองค์ ท่านเป็นบุตรของอามิททัย และเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าจากกัทเฮเฟอร์ 26 พระผู้เป็นเจ้าเห็นว่าอิสราเอลมีความทุกข์ทรมานยิ่งนัก ดูเหมือนว่าไม่มีใครเหลืออยู่เลยที่จะช่วยอิสราเอลได้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นทาสหรืออิสระก็ตาม 27 แต่พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้กล่าวว่า พระองค์จะลบชื่ออิสราเอลไปเสียจากใต้ฟ้า ดังนั้นพระองค์จึงช่วยพวกเขาด้วยมือของเยโรโบอัมบุตรเยโฮอาช
28 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยโรโบอัม และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ รวมทั้งความสำเร็จที่ท่านต่อสู้และฟื้นฟูดามัสกัสและฮามัทให้แก่ยูดาห์ในอิสราเอล ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ 29 เยโรโบอัมสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่านคือบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล และเศคาริยาห์บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
อุสซียาห์ครองราชย์ในยูดาห์
15 ในปีที่ยี่สิบเจ็ดของเยโรโบอัมกษัตริย์แห่งอิสราเอล อุสซียาห์บุตรอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์เริ่มครองราชย์ 2 ท่านมีอายุ 16 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 52 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาชื่อเยโคลียาห์จากเยรูซาเล็ม 3 ท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่อามาซิยาห์บิดาของท่านได้กระทำ 4 แต่สถานบูชาบนภูเขาสูงยังไม่ถูกกำจัดไป และประชาชนยังมอบเครื่องสักการะและเผาเครื่องหอมที่สถานบูชาบนภูเขาสูง 5 พระผู้เป็นเจ้าทำให้กษัตริย์รับโทษ ท่านจึงเป็นโรคเรื้อนจนถึงวันที่ท่านสิ้นชีวิต ซึ่งทำให้ท่านต้องแยกไปอาศัยอยู่ต่างหาก และโยธามบุตรของกษัตริย์เป็นผู้ควบคุมดูแลวัง และปกครองประชาชนในแผ่นดิน 6 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของอุสซียาห์ และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 7 อุสซียาห์สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้กับบรรพบุรุษในเมืองของดาวิด และโยธามบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
เศคาริยาห์ครองราชย์ในอิสราเอล
8 ในปีที่สามสิบแปดของอุสซียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เศคาริยาห์บุตรเยโรโบอัมปกครองอิสราเอลในสะมาเรียเป็นเวลา 6 เดือน 9 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และไม่ได้ละเว้นจากบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป 10 ชัลลูมบุตรยาเบชเป็นกบฏ และสังหารท่านต่อหน้าประชาชน และครองราชย์แทนท่าน 11 ดูเถิด กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเศคาริยาห์ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ 12 (สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวกับเยฮูคือ “บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า 4 ชั่วอายุจะได้นั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล” แล้วก็เกิดขึ้นตามนั้น[z])
ชัลลูมครองราชย์ในอิสราเอล
13 ชัลลูมบุตรยาเบชเริ่มเป็นกษัตริย์ในปีที่สามสิบเก้าของอุสซียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และท่านครองราชย์ในสะมาเรีย 1 เดือน 14 เมนาเฮมบุตรกาดีออกจากเมืองทีรซาห์ ไปยังสะมาเรีย และสังหารชัลลูมบุตรยาเบชที่สะมาเรีย และครองราชย์แทนท่าน 15 ดูเถิด กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของชัลลูม และการกบฏของท่าน ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล 16 ในคราวนั้น เมนาเฮมโจมตีทิฟสาห์และกำจัดทุกคนที่อยู่ในเมือง รวมทั้งอาณาบริเวณนับจากทีรซาห์ออกไป เพราะพวกเขาไม่ยอมเปิดทางให้ท่าน ท่านจึงโจมตี และฟันท้องหญิงมีครรภ์ทุกคนในเมือง
เมนาเฮมครองราชย์ในอิสราเอล
17 ในปีที่สามสิบเก้าของอุสซียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เมนาเฮมบุตรกาดีเริ่มปกครองอิสราเอล และครองราชย์ 10 ปีในสะมาเรีย 18 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และไม่ได้ละเว้นจากบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัมบุตรเนบัทตลอดชีวิตของท่าน ซึ่งเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป 19 ปูลกษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาโจมตีแผ่นดิน และเมนาเฮมมอบเงิน 1,000 ตะลันต์[aa]ให้แก่ปูล เพื่อให้ท่านช่วยรักษาอำนาจให้อยู่ในราชอาณาจักรของท่าน 20 เมนาเฮมสั่งให้เก็บเงินจากผู้มั่งมีของอิสราเอล แต่ละคนต้องมอบเงิน 50 เชเขลให้แก่กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย ดังนั้นกษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงยกทัพกลับ และออกไปจากแผ่นดิน 21 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเมนาเฮม และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ 22 เมนาเฮมสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน และเปคาหิยาห์บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
เปคาหิยาห์ครองราชย์ในอิสราเอล
23 ในปีที่ห้าสิบของอุสซียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เปคาหิยาห์บุตรเมนาเฮมเริ่มปกครองอิสราเอลในสะมาเรีย ท่านครองราชย์สองปี 24 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และไม่ได้ละเว้นจากบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัมบุตรเนบัทตลอดชีวิตของท่าน ซึ่งเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป 25 เปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ เป็นแม่ทัพของเปคาหิยาห์ ร่วมเป็นกบฏกับชายชาวกิเลอาด 50 คน และสังหารเปคาหิยาห์ที่สะมาเรีย ในป้อมปราการของวังกษัตริย์ อาร์โกบและอารีเอห์[ab] ท่านสังหารเปคาหิยาห์ แล้วครองราชย์แทนท่าน 26 ดูเถิด กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเปคาหิยาห์ และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation