Bible in 90 Days
การสร้างสรรพสิ่ง
1 ในปฐมกาล พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 2 แผ่นดินโลกยังไม่เป็นรูปเป็นร่างอีกทั้งยังว่างเปล่า มีเพียงความมืดปกคลุมอยู่เหนือพื้นผิวห้วงน้ำลึก พระวิญญาณพระเจ้าสถิตเหนือผิวน้ำ
3 แล้วพระเจ้ากล่าวว่า “ความสว่างจงเกิดขึ้นเถิด” ความสว่างจึงบังเกิดขึ้น 4 พระเจ้าเห็นว่าความสว่างนั้นดี พระองค์จึงแยกความสว่างออกจากความมืด 5 พระเจ้าเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และเรียกความมืดว่า คืน เกิดเป็นเวลาเย็นและเวลาเช้าขึ้นเป็นวันแรก
6 แล้วพระเจ้ากล่าวว่า “จงมีโดมกว้างใหญ่ที่แยกห้วงน้ำออกเป็นสองส่วน” 7 พระเจ้าได้สร้างโดมกว้างใหญ่ที่แยกระหว่างห้วงน้ำที่อยู่ใต้โดมกว้างใหญ่และห้วงน้ำที่อยู่เหนือโดมกว้างใหญ่ แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น 8 และพระเจ้าเรียกโดมกว้างใหญ่นั้นว่า ฟ้า จึงเกิดเป็นเวลาเย็นและเวลาเช้าขึ้นเป็นวันที่สอง
9 แล้วพระเจ้ากล่าวว่า “ห้วงน้ำใต้ฟ้าจงรวมตัวเข้าในที่เดียวกัน และให้พื้นดินแห้งปรากฏขึ้น” แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น 10 พระเจ้าเรียกพื้นที่แห้งว่า แผ่นดิน และพระองค์เรียกห้วงน้ำที่รวมตัวกันอยู่ว่า ทะเล และพระเจ้าเห็นว่าดี
11 ครั้นแล้วพระเจ้ากล่าวว่า “แผ่นดินจงผลิตพืชพรรณไม้ อันได้แก่ธัญพืช และบรรดาต้นไม้ซึ่งให้ผลที่มีเมล็ดหลากชนิดบนแผ่นดิน” แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น 12 ดังนั้น แผ่นดินก็ผลิตพืชพรรณไม้ อันได้แก่ธัญพืชทุกชนิด และต้นไม้ซึ่งให้ผลที่มีเมล็ดตามแต่ละชนิด และพระเจ้าเห็นว่าดี 13 ฉะนั้นจึงเกิดเป็นเวลาเย็นและเวลาเช้าขึ้นเป็นวันที่สาม
14 แล้วพระเจ้ากล่าวว่า “ให้ดวงไฟสว่างทั้งหลายบังเกิดขึ้นในโดมกว้างใหญ่ของท้องฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน และให้ดวงไฟสว่างเหล่านั้นเป็นเครื่องหมายกำหนดฤดูกาล วัน และปี 15 และให้เป็นดวงไฟสว่างในโดมกว้างใหญ่ของท้องฟ้า เพื่อส่องแสงสว่างแก่แผ่นดินโลก” แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น 16 พระเจ้าได้สร้างดวงไฟสว่างใหญ่สองดวง ดวงที่ใหญ่กว่าให้ทำงานควบคุมเวลากลางวัน และดวงที่เล็กกว่าให้ทำงานควบคุมเวลากลางคืน พระองค์สร้างดวงดาวทั้งหลายขึ้นด้วย 17 แล้วพระเจ้าก็ได้วางดวงไฟสว่างเหล่านั้นไว้บนโดมกว้างใหญ่ของท้องฟ้า เพื่อส่องแสงสว่างแก่แผ่นดินโลก 18 เพื่อควบคุมกลางวันและกลางคืน และเพื่อแยกความสว่างออกจากความมืด และพระเจ้าเห็นว่าดี 19 ฉะนั้นจึงเกิดเป็นเวลาเย็นและเวลาเช้าขึ้นเป็นวันที่สี่
20 แล้วพระเจ้ากล่าวว่า “ให้สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นในท้องทะเล และแหวกว่ายอยู่เป็นฝูง หมู่นกโบยบินอยู่เหนือแผ่นดินโลก โผผินไปในโดมกว้างใหญ่ของท้องฟ้า” 21 ฉะนั้น พระเจ้าจึงสร้างฝูงสัตว์ทะเลขนาดมหึมาและสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เคลื่อนไหวได้อยู่ในน้ำเป็นฝูง รวมถึงนกมีปีกทุกชนิดด้วย และพระเจ้าเห็นว่าดี 22 พระเจ้าได้ให้พรแก่สัตว์ทั้งปวงโดยกล่าวว่า “จงแพร่พันธุ์ให้ทวีจำนวนขึ้นจนเต็มท้องทะเล หมู่นกจงทวีคูณขึ้นในโลก” 23 ฉะนั้นจึงเกิดเป็นเวลาเย็นและเวลาเช้าขึ้นเป็นวันที่ห้า
24 แล้วพระเจ้าก็กล่าวขึ้นอีกว่า “ให้สิ่งมีชีวิตทุกๆ ชนิดบังเกิดขึ้นบนแผ่นดินโลก อันได้แก่สัตว์เลี้ยง สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าชนิดต่างๆ” แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น 25 พระเจ้าได้สร้างสัตว์ป่าชนิดต่างๆ มากมายคือ สัตว์เลี้ยงทุกชนิด สัตว์เลื้อยคลานบนดินชนิดต่างๆ และพระเจ้าเห็นว่าดี
26 ครั้นแล้วพระเจ้าก็กล่าวว่า “เรามาสร้างมนุษย์[a]ตามภาพลักษณ์ของเรากันเถิด ให้มีคุณลักษณะเหมือนเรา และให้พวกเขาควบคุมดูแลปลาในท้องทะเล นกในอากาศ และสัตว์เลี้ยง รวมทั้งควบคุมทั่วทั้งแผ่นดินโลกและบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานบนพื้นดิน”
27 ฉะนั้น พระเจ้าจึงสร้างมนุษย์ขึ้นตามภาพลักษณ์ของพระองค์
พระองค์สร้างมนุษย์ขึ้นตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า
พระองค์ได้สร้างทั้งชายและหญิง[b]
28 พระเจ้าให้พรแก่พวกเขา โดยได้กล่าวกับพวกเขาว่า “จงเกิดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ทวีคนขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก และจงมีอำนาจเหนือแผ่นดินโลก ควบคุมปลาในท้องทะเล หมู่นกในอากาศ และควบคุมสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวทั้งหลายบนพื้นดิน” 29 แล้วพระเจ้าได้กล่าวต่อไปอีกว่า “ดูเถิด เราได้ให้ธัญพืชที่อยู่บนพื้นแผ่นดินโลกทุกชนิดแก่พวกเจ้า รวมถึงต้นไม้ซึ่งให้ผลที่มีเมล็ดทุกชนิดแก่เจ้า เพื่อจะได้ใช้เป็นอาหาร 30 สำหรับสัตว์ป่าทั้งปวงบนแผ่นดินโลก นกในอากาศทุกตัว สัตว์ทุกชนิดที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินโลก รวมทั้งสรรพสิ่งที่มีลมหายใจ เรามอบพืชใบเขียวทั้งปวงไว้ให้เป็นอาหาร” แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น 31 พระเจ้าเห็นทุกสิ่งที่พระองค์สร้างไว้แล้ว ดูเถิด ทุกสิ่งวิเศษสุด เกิดเป็นเวลาเย็นและเวลาเช้าขึ้นเป็นวันที่หก
2 ฉะนั้น ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก อีกทั้งทุกสิ่งที่อาศัยอยู่ในที่เหล่านั้นได้ถูกสร้างจนสำเร็จทั้งสิ้น
วันที่เจ็ด พระเจ้าหยุดพัก
2 เมื่อถึงวันที่เจ็ด พระเจ้าก็เสร็จสิ้นจากการงานของพระองค์ ดังนั้นในวันที่เจ็ดพระองค์จึงหยุดพักจากการงานทั้งสิ้นที่ได้กระทำ 3 แล้วพระเจ้าก็อวยพรวันที่เจ็ด และตั้งให้เป็นวันบริสุทธิ์ เพราะเป็นวันที่พระเจ้าหยุดพักจากการงานสร้างสรรค์ทั้งสิ้นของพระองค์
อาดัมกับเอวา
4 ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกถูกสร้างสรรค์ขึ้นตามลำดับดังนี้ ในวันที่พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าสร้างแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์
5 ยามที่แผ่นดินโลกยังไม่มีพันธุ์ไม้เขียวชอุ่มอยู่ตามทุ่งนา อีกทั้งผักหญ้าในทุ่งก็ยังไม่งอก เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้ายังไม่ได้บันดาลให้ฝนตกบนแผ่นดินโลก และยังไม่มีผู้ใดทำไร่พรวนดิน 6 มีแต่ละอองน้ำพุ่งขึ้นจากแผ่นดินและรดทั่วพื้นดิน 7 ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าก็ปั้นมนุษย์[c]ขึ้นจากธุลีดิน แล้วพระองค์ได้ระบายลมหายใจแห่งชีวิตผ่านทางจมูกของเขา และมนุษย์ผู้นั้นก็มีชีวิตขึ้นมา 8 แล้วพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดนทางทิศตะวันออก พระองค์มอบหมายให้มนุษย์ซึ่งพระองค์ปั้นไว้อยู่ที่นั่น 9 และพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าให้ต้นไม้ทุกประเภทที่สวยงามและมีผลใช้เป็นอาหารได้งอกขึ้นจากดิน ที่กลางสวนมีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่ง[d] และต้นไม้แห่งความรู้ในสิ่งดีและชั่ว
10 มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลมาจากเอเดนและหล่อเลี้ยงสวนนั้น และจากนั้นก็แยกออกเป็นแม่น้ำ 4 สาย 11 แม่น้ำสายแรกชื่อพิโชน ไหลอยู่โดยรอบแผ่นดินของฮาวิลาห์ ที่นั่นมีแร่ทองคำ 12 ทองคำจากดินแดนนั้นเป็นทองนพคุณ มียางไม้หอมและพลอยหลากสีด้วย 13 แม่น้ำสายที่สองชื่อกีโฮน ไหลอยู่โดยรอบแผ่นดินของคูช 14 แม่น้ำสายที่สามชื่อไทกริส ไหลไปทางทิศตะวันออกของอัชชูร์ และแม่น้ำสายที่สี่ชื่อยูเฟรติส
15 พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าได้ให้มนุษย์ผู้นั้นอาศัยอยู่ในสวนเอเดน เพื่อทำไร่และดูแลรักษาสวน 16 แล้วพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าก็ได้สั่งมนุษย์นั้นว่า “เจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนได้โดยไม่ต้องลังเลใจ 17 แต่จงอย่ากินผลจากต้นไม้แห่งความรู้ในสิ่งดีและชั่ว เพราะในวันที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน”
18 แล้วพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้ากล่าวว่า “ไม่ดีเลยถ้ามนุษย์นี้จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เราจะสร้างผู้ช่วยที่เหมาะสมให้เขา” 19 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าจึงได้ปั้นสัตว์ป่าทุกชนิดที่อยู่ในทุ่ง และนกในอากาศทุกชนิดขึ้นจากดิน แล้วพามาให้มนุษย์นั้นดูว่าจะเรียกมันว่าอะไร เมื่อมนุษย์เรียกชื่อสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดแล้ว ชื่อของมันก็เป็นไปตามนั้น 20 มนุษย์ผู้นั้นตั้งชื่อสัตว์เลี้ยงทั้งหมด อีกทั้งนกในอากาศ และสัตว์ป่าทุกชนิดในทุ่ง แต่ก็ยังไม่มีผู้ช่วยที่เหมาะสมสำหรับอาดัม 21 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าจึงทำให้เขาหลับสนิท และขณะที่หลับอยู่นั้นเอง พระองค์ได้ชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา และปิดเนื้อให้สนิทดังเดิม 22 ซี่โครงที่พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าได้ชักออกมานั้น ก็เอามาสร้างเป็นหญิงผู้หนึ่ง และนำมาให้มนุษย์ผู้นั้น
23 ครั้นแล้วมนุษย์จึงกล่าวว่า
“ในที่สุด นี่คือกระดูกจากกระดูกของเรา
และเนื้อจากเนื้อของเรา
เราจะเรียกนี่ว่า ‘หญิง’[e]
เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งที่มาจากชาย”
24 ด้วยเหตุนี้ ผู้ชายจะจากบิดาและมารดาของเขาไป และผูกพันอยู่กับภรรยาของตน และเขาทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกัน[f] 25 ชายคนนั้นกับภรรยาของเขาต่างเปลือยกายและไร้ความเขินอายต่อกัน
การพลาดครั้งแรกของมนุษย์
3 งูนั้นเจ้าเล่ห์กว่าสัตว์ป่าอื่นที่อยู่ในทุ่งที่พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าได้สร้างไว้
งูพูดกับหญิงนั้นว่า “จริงหรือที่พระเจ้าพูดว่า ‘อย่ากินผลไม้ที่มาจากต้นไม้ใดๆ ในสวน’” 2 หญิงนั้นจึงพูดกับงูว่า “เรากินผลจากต้นไม้ทั้งหลายในสวนได้ 3 แต่ต้นที่อยู่กลางสวน พระเจ้ากล่าวว่า ‘เจ้าอย่ากินผลจากต้นนั้น และอย่าแตะต้องมันด้วย มิฉะนั้นเจ้าจะตาย’” 4 แต่งูพูดกับหญิงนั้นว่า “เจ้าจะไม่ตายหรอก 5 พระเจ้าทราบว่าวันใดที่พวกเจ้ากินผลไม้จากต้นนั้นแล้ว ตาของพวกเจ้าจะมองเห็นความเป็นจริง และเจ้าจะเป็นเหมือนกับพระเจ้า คือรู้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว” 6 เมื่อหญิงนั้นเห็นว่าผลจากต้นนั้นกินเป็นอาหารได้ แถมยังดูน่ากิน และเป็นต้นที่ชวนให้อยากได้ เพื่อทำให้ตนฉลาดรอบรู้ นางจึงเด็ดผลจากต้นนั้นกิน แล้วนำไปให้สามี และเขาก็กิน 7 ครั้นแล้วตาของคนทั้งสองก็เห็นความเป็นจริง เห็นว่ากายของตัวเองเปลือยอยู่ จึงนำใบมะเดื่อมากลัดโยงเข้าด้วยกันไว้ที่เอวเพื่อปกปิดร่างของตน
8 แล้วสองคนได้ยินเสียงย่างเท้าของพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าในสวน ขณะที่สายลมกำลังพัดผ่านในเย็นวันนั้น ชายผู้นั้นกับภรรยาพากันซ่อนตัวในหมู่ต้นไม้ในสวน ไม่ให้พระองค์เห็นตัว 9 แต่พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าเรียกเขาโดยกล่าวว่า “เจ้าอยู่ไหน” 10 เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงพระองค์ในสวน และข้าพเจ้ากลัว เพราะว่ากายของข้าพเจ้าเปลือย ข้าพเจ้าจึงซ่อนตัวอยู่” 11 พระองค์กล่าวว่า “ใครบอกเจ้าว่ากายของเจ้าเปลือย เจ้ากินผลไม้จากต้นไม้ที่เราสั่งห้ามใช่ไหม” 12 ชายนั้นพูดว่า “หญิงที่พระองค์มอบให้เพื่ออยู่กับข้าพเจ้า เอาผลจากต้นไม้มาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็รับประทาน” 13 แล้วพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าจึงกล่าวกับหญิงนั้นว่า “เจ้าทำอะไรลงไป” หญิงผู้นั้นพูดว่า “งูตัวนั้นลวงหลอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงรับประทาน”
14 พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าจึงพูดกับงูว่า
“ในจำนวนพวกสัตว์เลี้ยง
และสัตว์ป่าทั้งปวงในทุ่ง
เจ้านั่นเองที่จะถูกสาปแช่ง
เพราะการกระทำของเจ้าครั้งนี้
เจ้าจะต้องใช้ท้องเลื้อยคลานไป
และต้องกินดินไปตลอดชีวิตของเจ้า
15 เราจะทำให้เจ้าและหญิงผู้นั้นเป็นคู่อริกัน
แม้เชื้อสายของเจ้าและเชื้อสายของนางก็เช่นกัน
เขาจะทำให้หัวของเจ้าฟกช้ำ
และเจ้าจะฉกส้นเท้าของเขา”
16 พระองค์กล่าวกับหญิงนั้นว่า
“เราจะทวีความลำบากของเจ้าให้มากขึ้นยามมีครรภ์
รวมถึงความเจ็บปวดยามคลอดลูก
แม้กระนั้นเจ้ายังจะปรารถนาในสามีของเจ้า
และเขาจะเป็นใหญ่เหนือเจ้า”
17 แล้วพระองค์ก็กล่าวกับอาดัมว่า “เพราะเจ้าฟังเสียงภรรยาของเจ้า และกินผลจากต้นที่เราสั่งห้ามไว้ว่า ‘เจ้าอย่ากินจากต้นนั้น’
เป็นเพราะเจ้า พื้นดินจึงถูกสาปแช่ง
เจ้าต้องตรากตรำหากินจากพื้นดิน
จนตลอดชีวิตของเจ้า
18 พื้นดินจะทำให้เจ้าต้องเผชิญกับพุ่มไม้หนาม
และพืชพันธุ์ไม้มีหนาม
และต้องกินพืชในทุ่ง
19 กว่าจะได้กิน เจ้าจะต้อง
ทำงานหนักอาบเหงื่อต่างน้ำ
จนกว่าจะกลับคืนเป็นดิน
เพราะเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงธุลี
และเจ้าจะต้องกลับไปเป็นผงธุลี”
20 อาดัมตั้งชื่อภรรยาของเขาว่า เอวา เพราะว่านางเป็นมารดาของมนุษยชาติทั้งปวง 21 และพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าได้ทำเสื้อขึ้นจากหนังสัตว์สำหรับอาดัมและภรรยาของเขา และพระองค์สวมเสื้อให้กับเขาทั้งสอง
22 และพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้ากล่าวว่า “ดูเถิด มนุษย์นั้นกลายมาเป็นเหมือนพวกเราแล้ว คือมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เกรงว่าพวกเขาจะยื่นมือไปเด็ดจากต้นไม้แห่งชีวิตกินเสีย แล้วจะมีชีวิตตลอดไปชั่วนิรันดร์” 23 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าจึงให้เขาออกไปจากสวนเอเดน ไปทำไร่พรวนดินซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าใช้ปั้นตัวเขาขึ้นมาแต่แรก 24 ครั้นพระองค์ขับไล่ชายคนนั้นออกไปแล้ว พระองค์ก็ให้ตัวเครูบ[g]และดาบเพลิงที่เคลื่อนไหวได้รอบทิศทางมาประจำอยู่ในทิศตะวันออกของสวนเอเดน เพื่อเฝ้าทางเข้าสู่ต้นไม้แห่งชีวิต
คาอินและอาเบล
4 อาดัมสมสู่อยู่กับเอวาภรรยาของตน แล้วนางก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชื่อคาอิน นางพูดว่า “ฉันมีบุตรชายได้เพราะพระผู้เป็นเจ้าช่วยเหลือ” 2 ต่อมานางได้คลอดบุตรชายเป็นน้องของคาอินชื่ออาเบล อาเบลเป็นคนเลี้ยงฝูงแกะ ส่วนคาอินเป็นคนทำไร่พรวนดิน 3 วันเวลาล่วงไป คาอินนำผลที่ได้จากไร่นาเป็นของถวายสำหรับพระผู้เป็นเจ้า 4 ส่วนอาเบลนำลูกแกะตัวแรกจากฝูงของเขามา และนำส่วนดีที่สุดอันเป็นไขมันของแกะมาให้ พระผู้เป็นเจ้าพอใจอาเบลกับของถวายของเขา 5 แต่พระองค์กลับไม่พอใจคาอินกับของถวาย ฉะนั้นคาอินจึงเดือดดาลมาก และหน้าตาก็หม่นหมอง 6 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับคาอินว่า “ทำไมเจ้าจึงเดือดดาล ทำไมหน้าตาของเจ้าจึงหม่นหมองเช่นนั้น 7 ถ้าเจ้าทำดี แล้วเราจะไม่รับเจ้าเช่นนั้นหรือ แต่ถ้าเจ้าทำไม่ดี บาปก็กำลังรอตะครุบเจ้าอยู่ที่ประตู มันต้องการตัวเจ้า เจ้าจะต้องเอาชนะมันให้ได้”
8 คาอินพูดกับอาเบลน้องชายของตนว่า “เราออกไปที่ทุ่งกันเถิด” เมื่อเขาทั้งสองอยู่ในทุ่ง คาอินโถมตัวเข้าใส่อาเบลน้องชายของตน และฆ่าเขาเสีย 9 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับคาอินว่า “อาเบลน้องชายของเจ้าอยู่ไหน” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ ข้าพเจ้ามีหน้าที่ดูแลน้องหรือ” 10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เจ้าทำอะไรลงไป เลือดของน้องชายเจ้ากำลังฟ้องร้องขึ้นมาจากพื้นดิน 11 และบัดนี้เจ้าได้ถูกสาปแช่งจากแผ่นดินที่ซึมซับรับเอาเลือดของน้องชายเจ้า ที่หลั่งออกมาเพราะมือของเจ้าเอง 12 เวลาเจ้าทำไร่พรวนดิน พืชผลจะไม่ให้ผลแก่เจ้าอีกต่อไป เจ้าจะหลบหนีและซัดเซพเนจรไปในโลก” 13 คาอินพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “โทษของข้าพเจ้าสาหัสเกินที่ข้าพเจ้าจะรับได้ 14 ดูเถิด วันนี้พระองค์ขับไล่ข้าพเจ้าออกจากแผ่นดิน ข้าพเจ้าก็ต้องไปให้พ้นหน้าพระองค์ ข้าพเจ้าจะหลบหนีและซัดเซพเนจรไปในโลก ใครก็ตามที่พบข้าพเจ้าจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย” 15 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเขาว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ถ้าใครฆ่าคาอิน เขาจะได้รับโทษคืน 7 เท่าเป็นการแก้แค้น” แล้วพระผู้เป็นเจ้าทำเครื่องหมายไว้ที่ตัวคาอิน เพื่อว่าเวลาผู้ใดพบกับเขา จะได้ไม่ฆ่าเขา 16 คาอินก็ไปจนพ้นหน้าพระผู้เป็นเจ้า แล้วไปอาศัยอยู่ที่ดินแดนแห่งโนดทางทิศตะวันออกของเอเดน
การเริ่มของวัฒนธรรม
17 คาอินสมสู่อยู่กับภรรยาของตน นางตั้งครรภ์และคลอดบุตรชื่อเอโนค เขาสร้างเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง และตั้งชื่อเมืองตามชื่อของบุตรชายคือ เอโนค 18 เอโนคมีบุตรชื่ออิราด และอิราดเป็นบิดาของเมหุยาเอล เมหุยาเอลเป็นบิดาของเมธูชาเอล เมธูชาเอลเป็นบิดาของลาเมค 19 ลาเมคมีภรรยา 2 คน คนหนึ่งชื่ออาดาห์ อีกคนหนึ่งชื่อศิลลาห์ 20 อาดาห์คลอดบุตรชื่อยาบาล ซึ่งเป็นบิดาของกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในกระโจมและเป็นเจ้าของปศุสัตว์ 21 เขามีน้องชายชื่อยูบาล ยูบาลเป็นบรรพบุรุษของบรรดาผู้เล่นพิณสิบสายและปี่ 22 ส่วนศิลลาห์คลอดบุตรชายเช่นกัน ชื่อทูบัลคาอินเป็นช่างตีเหล็กและทองสัมฤทธิ์ซึ่งใช้ประดิษฐ์เครื่องมือสารพัดชนิด น้องสาวของเขาชื่อนาอามาห์
23 ลาเมคพูดกับภรรยาของตนว่า
“อาดาห์และศิลลาห์ จงฟังเสียงของเรา
ภรรยาลาเมคเอ๋ย จงเงี่ยหูฟังเราไว้
เราได้ฆ่าชายคนหนึ่งที่ทำให้เราบาดเจ็บ
เด็กหนุ่มที่ขูดข่วนให้เราฟกช้ำ
24 ถ้ามีการแก้แค้นให้คาอินเป็น 7 เท่า
การแก้แค้นให้ลาเมคจะเป็น 77 เท่า”
25 อาดัมสมสู่อยู่กับภรรยาของตนเรื่อยมา นางคลอดบุตรชายและตั้งชื่อเขาว่า เสท เพราะนางพูดว่า “พระเจ้าได้ให้ลูกอีกคนแทนอาเบล เพราะคาอินฆ่าเขา” 26 เสทได้บุตรชายคนหนึ่ง และตั้งชื่อเขาว่า เอโนช ในเวลานั้นมนุษย์เริ่มร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า
เชื้อสายของอาดัม
5 บันทึกต่อไปนี้เป็นการลำดับเชื้อสายของอาดัม ในวันที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้น พระองค์สร้างเขาขึ้นตามคุณลักษณะของพระเจ้า 2 พระองค์สร้างทั้งชายและหญิง พระองค์ให้พรแก่พวกเขา และเรียกพวกเขาว่า มนุษย์ 3 เมื่ออาดัมมีอายุได้ 130 ปี ก็มีบุตรชายคนหนึ่งตามคุณลักษณะและภาพลักษณ์ของเขาเอง และตั้งชื่อเขาว่า เสท 4 หลังจากเสทเกิดแล้ว อาดัมมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 800 ปี และมีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 5 อาดัมมีอายุยืนถึง 930 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต
6 เมื่อเสทมีอายุได้ 105 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือเอโนช 7 หลังจากเอโนชเกิด เสทมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 807 ปี และมีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 8 เสทมีอายุยืนถึง 912 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต
9 เมื่อเอโนชมีอายุได้ 90 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือเคนัน 10 หลังจากเคนันเกิด เอโนชมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 815 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 11 ก่อนสิ้นชีวิตเอโนชมีอายุยืนถึง 905 ปี
12 เมื่อเคนันมีอายุได้ 70 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือมาหะลาเลล 13 หลังจากมาหะลาเลลเกิด เคนันมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 840 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 14 เคนันมีอายุยืนถึง 910 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต
15 เมื่อมาหะลาเลลมีอายุได้ 65 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือยาเรด 16 หลังจากยาเรดเกิด มาหะลาเลลมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 830 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 17 มาหะลาเลลมีอายุยืนถึง 895 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต
18 เมื่อยาเรดมีอายุได้ 162 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือเอโนค 19 หลังจากเอโนคเกิด ยาเรดมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 800 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 20 ยาเรดมีอายุยืนถึง 962 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต
21 เมื่อเอโนคมีอายุได้ 65 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือเมธูเสลาห์ 22 เอโนคดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า หลังจากเมธูเสลาห์เกิด เอโนคมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 300 ปี มีบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคน 23 เอโนคมีอายุยืนถึง 365 ปี 24 เอโนคดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า และไม่มีใครเห็นหน้าเขาอีกเลย เพราะว่าพระเจ้ารับตัวเขาไป
25 เมื่อเมธูเสลาห์มีอายุได้ 187 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือลาเมค 26 หลังจากลาเมคเกิด เมธูเสลาห์มีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 782 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 27 เมธูเสลาห์มีอายุยืนถึง 969 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต
28 เมื่อลาเมคมีอายุได้ 182 ปี ก็มีบุตรชายกำเนิดแก่เขาคนหนึ่ง 29 และตั้งชื่อเขาว่า โนอาห์ พลางพูดว่า “พื้นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้สาปแช่งไว้เป็นเหตุให้เราต้องตรากตรำทำงาน และลูกคนนี้จะเป็นผู้แบ่งเบาภาระของเรา” 30 หลังจากโนอาห์เกิด ลาเมคมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 595 ปี และมีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 31 ลาเมคมีอายุยืนถึง 777 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต
32 เมื่อโนอาห์มีอายุได้ 500 ปี ก็มีบุตรชายกำเนิดแก่เขาคือเชม ฮามและยาเฟท
ความชั่วของมนุษยชาติ
6 เมื่อจำนวนมนุษย์เริ่มทวีขึ้นบนแผ่นดิน และให้กำเนิดบุตรหญิง 2 บรรดาบุตรชายของพระเจ้าเห็นว่าพวกบุตรหญิงของมนุษย์งามนัก จึงเลือกไว้เป็นภรรยา 3 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “วิญญาณของเรามิได้ดำรงอยู่ในมนุษย์ตลอดกาล เพราะมนุษย์เป็นก็เพียงเนื้อหนัง และจะมีอายุเพียง 120 ปี” 4 ในสมัยนั้นมีพวกเนฟิลอยู่บนแผ่นดินโลกแล้ว[h] ซึ่งต่อมาภายหลังก็ยังคงมีอยู่ เวลาบรรดาบุตรของพระเจ้าไปหลับนอนอยู่กับพวกบุตรหญิงของมนุษย์ พวกเขาก็ให้กำเนิดลูกหลานที่เป็นวีรบุรุษมีชื่อเสียงมาแต่ครั้งโบราณกาล
5 พระผู้เป็นเจ้าได้เห็นความชั่วมากมายในตัวมนุษย์บนแผ่นดินโลก และล้วนแต่มีใจคิดมุ่งร้ายอยู่ตลอดเวลา 6 พระผู้เป็นเจ้ารู้สึกเสียใจที่ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาบนแผ่นดินโลก พระองค์เศร้าใจยิ่งนัก 7 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวว่า “เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราได้สร้าง ทั้งมนุษย์ สัตว์ สัตว์เลื้อยคลาน และนกในอากาศให้สิ้นไปจากแผ่นดินโลก เพราะเราเสียใจที่เราได้สร้างพวกเขาขึ้นมา” 8 แต่โนอาห์เป็นผู้ที่โปรดปรานในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า
โนอาห์เป็นที่พอใจของพระเจ้า
9 การลำดับเชื้อสายของโนอาห์เป็นดังนี้ โนอาห์เป็นผู้มีความชอบธรรม และไร้ข้อตำหนิตลอดทั้งชีวิต โนอาห์ดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า 10 โนอาห์มีบุตรชาย 3 คนชื่อ เชม ฮาม และยาเฟท
11 แต่ว่าแผ่นดินโลกได้เสื่อมศีลธรรมลงในสายตาของพระเจ้า และเต็มด้วยความป่าเถื่อน 12 และพระเจ้ามองเห็นว่าคนบนแผ่นดินโลกไร้ศีลธรรม เพราะมนุษย์ทั้งปวงบนโลกล้วนแต่ประพฤติผิดศีลธรรม 13 พระเจ้ากล่าวกับโนอาห์ว่า “เราตัดสินใจจะทำให้ชีวิตของมนุษย์ทุกคนจบสิ้นลง เพราะมนุษย์ทำให้แผ่นดินโลกเต็มด้วยความป่าเถื่อน คอยดูเถิด เราจะทำลายพวกเขาจนหมดสิ้นไปจากแผ่นดินโลก 14 เจ้าจงต่อเรือใหญ่ด้วยไม้สนโกเฟอร์ให้ตัวเอง ภายในก็กั้นเป็นห้องๆ และใช้ชันยาเรือทั้งข้างในและข้างนอก 15 จงสร้างเรือตามนี้เถิด ให้เรือมีความยาว 300 ศอก กว้าง 50 ศอก และสูง 30 ศอก 16 ทำหลังคาเรือโดยมีช่องว่างลงมาจรดผนังตอนบนสุด 1 ศอก และตั้งประตูเรือที่ด้านข้าง มีชั้นล่าง ชั้นกลาง และชั้นบน 17 คอยดูเถิด เรานี่แหละจะบันดาลให้น้ำท่วมแผ่นดินโลก เพื่อทำลายร่างของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่มีลมหายใจทั่วทั้งโลก ทุกสิ่งที่อยู่บนแผ่นดินโลกจะตาย 18 แต่เราจะทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า และเจ้าจะเข้าไปในเรือใหญ่ ตัวเจ้าเองพร้อมกับบุตรชายของเจ้า ภรรยาของเจ้า และบุตรสะใภ้ของเจ้า 19 เจ้าจงพาสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเข้าไปในเรือ ชนิดละคู่ ทั้งตัวผู้และตัวเมียเพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่กับเจ้า 20 นกทุกชนิด สัตว์ทุกชนิด สัตว์เลื้อยคลานบนพื้นดินทุกชนิด ชนิดละคู่จะมาหาเจ้า เพื่อให้เจ้าดูแลให้มีชีวิตอยู่รอด 21 และจงสะสมของกินทุกชนิดสำหรับตัวเจ้า เพื่อใช้เป็นอาหารของเจ้าและของพวกสัตว์ด้วย” 22 โนอาห์กระทำตามนั้น เขาทำทุกสิ่งที่พระเจ้าสั่งเขา
น้ำท่วมครั้งใหญ่
7 ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโนอาห์ว่า “จงเข้าไปในเรือใหญ่ ทั้งตัวเจ้าและทุกคนในครอบครัว เพราะเราเห็นแล้วว่า จากบรรดาผู้คนสมัยนี้ เจ้าเป็นคนที่มีความชอบธรรมในสายตาของเรา 2 จงเอาสัตว์ที่สะอาดชนิดละ 7 คู่ ทั้งตัวผู้และคู่ของมันเอง และสัตว์ที่มีมลทิน[i]ชนิดละคู่ ทั้งตัวผู้และคู่ของมันเองไปกับเจ้า 3 อีกทั้งนกในอากาศด้วย ตัวผู้และตัวเมียชนิดละ 7 คู่ เพื่อให้มีชีวิตคงไว้สืบพันธุ์ต่อไปทั่วทั้งแผ่นดินโลก 4 เพราะว่าอีก 7 วัน เราจะให้ฝนตกบนแผ่นดินโลก 40 วัน 40 คืน และเราจะกวาดล้างสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งที่เราได้สร้างไว้ ให้สิ้นไปจากแผ่นดิน” 5 แล้วโนอาห์ก็ทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาทุกประการ
6 เวลาที่น้ำท่วมแผ่นดินโลก โนอาห์มีอายุได้ 600 ปี 7 โนอาห์กับบุตรชาย ภรรยาของเขากับบุตรสะใภ้เข้าไปในเรือใหญ่ด้วยกัน เพื่อให้พ้นจากภัยน้ำท่วม 8 บรรดาสัตว์ที่สะอาด และสัตว์ที่มีมลทิน พวกนกและทุกสิ่งที่เลื้อยคลานบนดิน 9 เดินกันเป็นคู่ ทั้งตัวผู้และตัวเมียต่างก็เข้าไปในเรือใหญ่กับโนอาห์ ตามที่พระเจ้าได้บัญชาโนอาห์ไว้ 10 หลังจากนั้น 7 วันน้ำก็เริ่มท่วมแผ่นดินโลก
11 เมื่อโนอาห์อายุได้ 600 ปี ในวันที่สิบเจ็ดของเดือนที่สอง วันนั้นเอง บ่อน้ำพุทุกแห่งทะลักออกมาจากห้วงน้ำลึก และประตูน้ำในฟ้าสวรรค์ก็เปิดออก 12 แล้วฝนก็ตกลงบนแผ่นดินโลกตลอด 40 วัน 40 คืน 13 ในวันเดียวกันนั้นเอง โนอาห์กับเชม ฮาม และยาเฟท บุตรชายของเขา รวมทั้งภรรยาของโนอาห์และบุตรสะใภ้ทั้งสามก็เข้าไปในเรือใหญ่ด้วยกัน 14 ทั้งพวกเขาและสัตว์ป่าทั้งหมดตามชนิดของมัน สัตว์เลี้ยงทั้งหมดตามชนิดของมัน ทุกสิ่งที่เลื้อยคลานบนดินตามชนิดของมัน นกทั้งหลายตามชนิดของมันคือ นกทุกชนิด 15 สัตว์ที่มีชีวิตที่มีลมหายใจเดินกันเป็นคู่ๆ เข้าไปหาโนอาห์ในเรือใหญ่ 16 พวกที่ได้เข้าไปเป็นสัตว์ที่มีชีวิตตัวผู้และตัวเมีย พวกมันเข้าไปตามที่พระเจ้าได้บัญชาเขาไว้ ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ปิดประตูให้โนอาห์
17 น้ำท่วมแผ่นดินโลกตลอด 40 วัน ระดับน้ำก็เพิ่มขึ้น ทำให้เรือใหญ่ลอยสูงเหนือแผ่นดินโลก 18 น้ำปริมาณมหาศาลเพิ่มขึ้นมา และได้ท่วมแผ่นดินโลกสูงขึ้นทุกที เรือใหญ่จึงลอยอยู่บนผิวน้ำ 19 และน้ำปริมาณมหาศาล ได้ท่วมแผ่นดินโลกจนท่วมเทือกเขาสูงทุกแห่งที่อยู่ใต้ฟ้าจนมิด 20 น้ำท่วมเหนือเทือกเขา ระดับน้ำสูงเกินยอดเขาขึ้นไปอีกประมาณ 15 ศอก 21 และสิ่งมีชีวิตที่เคยเคลื่อนไหวบนแผ่นดินโลกก็ตายสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนก สัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า สิ่งที่เลื้อยคลานบนดิน และมนุษย์ทุกคน 22 ทุกสิ่งที่หายใจเข้าออกทางจมูกในยามอาศัยอยู่บนพื้นที่แห้งล้วนตายหมด 23 พระองค์กวาดล้างสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งที่อยู่บนพื้นดิน ทั้งมนุษย์ สัตว์ สัตว์เลื้อยคลาน และนกในอากาศ สิ่งเหล่านี้ถูกกวาดล้างไปจากแผ่นดินโลก จะมีเหลืออยู่ก็แต่โนอาห์และทุกชีวิตที่อยู่กับเขาในเรือใหญ่ 24 น้ำปริมาณมหาศาลท่วมจนมิดแผ่นดินโลกนานถึง 150 วัน
น้ำหยุดท่วม
8 แต่ว่าพระเจ้าระลึกถึงโนอาห์ สัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยงทั้งปวงที่อยู่กับเขาในเรือใหญ่ จึงทำให้เกิดลมพัดบนแผ่นดินโลก และระดับน้ำก็ลดลง 2 บ่อน้ำพุแห่งห้วงน้ำลึกและประตูน้ำในฟ้าสวรรค์ถูกปิด ฝนจากท้องฟ้าก็หยุด 3 น้ำบนแผ่นดินโลกก็ลดระดับลงไปเรื่อยๆ หลังจาก 150 วันแล้ว ระดับน้ำก็ลดต่ำลง 4 ในวันที่สิบเจ็ดของเดือนที่เจ็ด เรือใหญ่ได้ลอยไปเกยตื้นอยู่บนเทือกเขาอารารัต[j] 5 น้ำลดระดับลงไปเรื่อยๆ จนถึงเดือนที่สิบ วันแรกของเดือนที่สิบ ยอดเขาเริ่มโผล่ให้เห็น
6 สี่สิบวันต่อมา โนอาห์เปิดหน้าต่างเรือใหญ่ที่เขาทำไว้ 7 และปล่อยอีกาตัวหนึ่งออกไป มันบินไปมาจนกระทั่งน้ำแห้งไปจากแผ่นดินโลก 8 แล้วโนอาห์ก็ปล่อยนกพิราบตัวหนึ่งให้ออกไป เพื่อดูว่าน้ำลดถึงผิวดินแล้วหรือยัง 9 แต่นกพิราบไม่มีที่เกาะ จึงบินกลับมาหาเขาที่เรือใหญ่ เพราะว่าน้ำยังท่วมทั่วผิวแผ่นดินโลกอยู่ ดังนั้นเขาจึงยื่นมือให้นกเกาะและนำกลับเข้ามาอยู่ในเรือใหญ่กับเขาอีก 10 เขารอต่อไปอีก 7 วัน จึงได้ปล่อยให้นกพิราบบินออกไปจากเรือใหญ่อีกครั้ง 11 และนกก็กลับมาหาเขาในเวลาเย็น ดูเถิด มันคาบใบมะกอกเขียวสดที่จิกมาได้ โนอาห์จึงทราบว่าน้ำได้ลดลงจากแผ่นดินแล้ว 12 เขารอต่อไปอีก 7 วัน ครั้งนี้เมื่อเขาปล่อยนกพิราบออกไป มันไม่ได้บินกลับมาหาเขาอีกเลย
13 โนอาห์อายุได้ 601 ปี ในวันแรกของเดือนที่หนึ่ง น้ำได้แห้งเหือดไปจากแผ่นดินโลก โนอาห์จึงเปิดช่องหลังคาเรือใหญ่ออกและสังเกตเห็นว่าผิวดินแห้งแล้ว 14 วันที่ยี่สิบเจ็ดของเดือนที่สอง แผ่นดินโลกแห้งสนิท 15 แล้วพระเจ้ากล่าวกับโนอาห์ว่า 16 “จงออกไปจากเรือใหญ่ เจ้าจงให้ภรรยาของเจ้า บุตรชายและบุตรสะใภ้ของเจ้าไปกับเจ้า 17 พาสัตว์ป่าทั้งปวงที่อยู่กับเจ้าไปด้วย สัตว์ที่มีชีวิตอย่างพวกนก สัตว์เลี้ยง และสัตว์เลื้อยคลานที่สามารถเลื้อยได้บนดิน เพื่อจะได้แพร่พันธุ์ออกไปบนแผ่นดินโลก ให้มีลูกดกเพื่อทวีจำนวนขึ้นบนแผ่นดิน” 18 แล้วโนอาห์ก็ออกไป บุตรชาย ภรรยา และบุตรสะใภ้ก็ตามเขาไปด้วย 19 สัตว์ป่าทั้งหมด สัตว์เลื้อยคลาน นกทุกชนิด และทุกสิ่งที่คลานบนดินก็ออกไปจากเรือใหญ่เป็นหมู่ตามชนิดของมัน
สัญญาของพระเจ้าที่มีต่อโนอาห์
20 ครั้นแล้ว โนอาห์ก็สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า และเลือกเอาสัตว์ที่สะอาดบางตัวในกลุ่มสัตว์เลี้ยงและนก ไปเผาที่แท่นบูชาเป็นของถวาย 21 เมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้กลิ่นหอมอันน่าพอใจ พระผู้เป็นเจ้าคิดว่า “เราจะไม่สาปแช่งพื้นดินเพราะมนุษย์อีก ถึงแม้ว่ามนุษย์มีจิตใจชั่วร้ายตั้งแต่เยาว์วัย และเราจะไม่ทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเหมือนกับที่เราได้ทำไปแล้วอีก 22 ตราบที่แผ่นดินโลกยังคงอยู่ ฤดูกาล เช่นฤดูหว่านเมล็ดกับฤดูเก็บเกี่ยว วันเวลาที่เหน็บหนาวและร้อนระอุ ฤดูร้อนกับฤดูหนาว วันและคืน ก็จะไม่มีวันหยุดลง”
พันธสัญญาที่พระเจ้าทำกับโนอาห์
9 แล้วพระเจ้าก็อวยพรโนอาห์กับบุตรของเขา และกล่าวว่า “จงเกิดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ทวีขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก 2 สัตว์ป่าในโลก นกในอากาศ สัตว์เลื้อยคลานบนดิน และปลาในทะเลทุกตัวจะกลัวและยำเกรงพวกเจ้า และจะอยู่ใต้อำนาจของเจ้าด้วย 3 ทุกสิ่งที่มีชีวิตและเคลื่อนไหวได้มีไว้ให้เจ้ากินเป็นอาหาร เช่นเดียวกับพืชผักที่เราให้ เราให้ทุกสิ่งแก่เจ้าแล้ว 4 มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าไม่ควรกิน คือเนื้อสัตว์ที่ยังมีเลือดคั่งค้างอยู่ เพราะเลือดคือชีวิต 5 เลือดของเจ้าคือชีวิตของเจ้า เป็นธุระของเราที่จะต้องจัดการคือ เราจะคิดบัญชีกับสัตว์ป่าทุกตัวที่ฆ่ามนุษย์ เราจะคิดบัญชีกับคนที่ฆ่าเอาชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
6 ใครก็ตามที่ทำให้มนุษย์ต้องหลั่งเลือด
เลือดของเขาก็ต้องหลั่งออกโดยมนุษย์เช่นกัน
เพราะว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์
ตามคุณลักษณะของพระองค์เอง
7 จงเกิดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ทวีขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก”
8 แล้วพระเจ้ากล่าวกับโนอาห์และบุตรของเขาว่า 9 “ดูเถิด เราทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้าและกับผู้สืบเชื้อสายของเจ้าต่อจากเจ้าไปอีก 10 และกับสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งที่อยู่กับเจ้า ได้แก่ นก สัตว์เลี้ยง และสัตว์ป่าทั้งปวงในโลกที่อยู่และออกมาจากเรือใหญ่พร้อมกับเจ้า 11 เราทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้าไว้ว่า เราจะไม่ทำให้สิ่งมีชีวิตถูกน้ำท่วมตายทั้งหมดอีก และจะไม่มีวันที่น้ำจะท่วมทำลายแผ่นดินโลกอีก” 12 และพระเจ้ากล่าวว่า “นี่คือสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาที่เราทำไว้ระหว่างเรากับเจ้าและกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่กับเจ้าตราบจนถึงทุกชาติพันธุ์ 13 เราวางรุ้งของเราไว้บนเมฆ ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับแผ่นดินโลก 14 ยามใดที่เมฆปกคลุมเหนือแผ่นดินโลก และรุ้งปรากฏบนเมฆ 15 เราก็จะระลึกถึงพันธสัญญาของเราซึ่งมีไว้ระหว่างเรากับเจ้าและสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และน้ำจะไม่ท่วมจนถึงขั้นทำลายทุกชีวิตอีกเลย 16 เวลารุ้งปรากฏบนเมฆ เรามองดูรุ้ง และจะระลึกถึงพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์ระหว่างพระเจ้ากับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่บนแผ่นดินโลก” 17 พระเจ้ากล่าวกับโนอาห์ว่า “นี่คือสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้ระหว่างเรากับสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่อยู่บนแผ่นดินโลก”
บุตรของโนอาห์
18 บรรดาบุตรของโนอาห์ที่ออกไปจากเรือใหญ่คือเชม ฮาม และยาเฟท ฮามเป็นบิดาของคานาอัน 19 บุตร 3 คนของโนอาห์นี้แหละที่เป็นบรรพบุรุษของปวงชนทั้งหลายในโลก
20 โนอาห์เป็นชาวไร่และได้ทำสวนองุ่น 21 เขาดื่มเหล้าองุ่นจนเมามาย นอนเปลือยกายอยู่ในกระโจมของเขา 22 ครั้นฮามบิดาของคานาอันเห็นว่าบิดาของตนเปลือยกายอยู่จึงบอกพี่น้องทั้งสองของเขาที่อยู่ข้างนอก 23 เชมกับยาเฟทจึงหยิบผ้าผืนหนึ่งคลุมเข้าที่ไหล่ของตน แล้วเดินหันหลังไปห่มร่างบิดาที่เปลือยอยู่ ทั้งสองไม่ได้หันกลับไปดูจึงไม่เห็นร่างเปลือยของบิดา
24 เมื่อโนอาห์สร่างเมา เขาทราบว่าบุตรชายคนเล็กทำอะไรต่อเขา 25 เขาพูดว่า
“ขอสาปแช่งคานาอัน
ให้เขาเป็นทาสที่ต่ำต้อยที่สุด
ในบรรดาทาสแก่พี่น้องของเขาเอง”
26 แล้วเขาก็พูดต่อไปอีกว่า
“สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเชม
และให้คานาอันเป็นทาสของเขา
27 ขอให้พระเจ้าขยายเขตแดนแก่ยาเฟท[k]
และให้เขาไปอาศัยในกระโจมของเชม
และคานาอันจงเป็นทาสของเขา”
28 หลังจากน้ำท่วมครั้งนั้น โนอาห์มีชีวิตอยู่ต่ออีก 350 ปี 29 เมื่อสิ้นชีวิตโนอาห์มีอายุยืนถึง 950 ปี
ต้นตระกูลของบรรดาประชาชาติ
10 ลำดับเชื้อสายของบรรดาบุตรของโนอาห์มีดังนี้คือ เชม ฮาม และยาเฟท หลังจากน้ำท่วมครั้งนั้นแล้ว ทั้งสามต่างมีบุตรชายหลายคน
2 ยาเฟทมีบุตรชื่อ โกเมอร์ มาโกก มาดัย ยาวาน ทูบัล เมเชค และทิราส 3 โกเมอร์มีบุตรชื่อ อัชเคนัส รีฟาท และโทการ์มาห์ 4 ยาวานมีบุตรชื่อ เอลีชาห์ ทาร์ชิช คิทธิม และโดดานิม 5 เชื้อสายจากคนเหล่านี้มีต้นกำเนิดจากแถบชายฝั่งทะเลของบรรดาประชาชาติ แล้วขยายถิ่นฐานออกไปในดินแดนของตน ต่างก็มีภาษาของตนเอง แยกออกเป็นครอบครัวต่างๆ และประชาชาติของพวกเขา
6 ฮามมีบุตรชื่อ คูช อียิปต์ พูต และคานาอัน 7 คูชมีบุตรชื่อ เส-บา ฮาวิลาห์ สับทาห์ ราอามาห์ และสับเท-คา ราอามาห์มีบุตรชื่อ เช-บา และเดดาน 8 คูชเป็นบิดาของนิมโรดซึ่งเป็นนักรบผู้เก่งกล้าคนแรกในแผ่นดินโลก 9 นิมโรดเป็นนายพรานผู้เก่งกล้าในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า ถึงกับมีคำกล่าวกันว่า “เหมือนกับนิมโรดนายพรานผู้เก่งกล้าในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า” 10 ในระยะแรกเริ่ม อาณาจักรของเขามีเพียงเมืองบาเบล เอเรก อัคคัด และคาลเนห์ ซึ่งอยู่ในดินแดนชินาร์[l] 11 จากนั้นก็ขยายไปในดินแดนอัชชูร์ และสร้างเมืองนีนะเวห์ เมืองเรโหโบทอีร์ เมืองคาลาห์ 12 และเมืองเรเสนซึ่งอยู่ระหว่างเมืองนีนะเวห์กับเมืองคาลาห์อันเป็นเมืองใหญ่ 13 อียิปต์เป็นบิดาของชาวลูด อานาม เลหาบ นัฟทูฮ์ 14 ปัทรุส คัสลูฮ์ (ต้นกำเนิดของชาวฟีลิสเตีย) และชาวคัฟโทร์
15 คานาอันเป็นบิดาของไซดอนผู้เป็นบุตรหัวปี คนต่อไปชื่อเฮท 16 ชาวเยบุส ชาวอาโมร์ ชาวเกอร์กาช 17 ชาวฮีว ชาวอาร์คี ชาวสินี 18 ชาวอาร์วัด ชาวเศมาร์ และชาวฮามัท หลังจากนั้นบรรดาครอบครัวของชาวคานาอันก็ขยายถิ่นฐานออกไป 19 เขตแดนของชาวคานาอันเริ่มจากเมืองไซดอนลงไปทิศทางเมืองเก-ราร์จนถึงเมืองกาซา และไปทิศทางเมืองโสโดม โกโมราห์ อัดมาห์ เศโบยิมจนถึงเมืองลาชา 20 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายของฮาม ตามครอบครัว ภาษา ดินแดน และประชาชาติของพวกเขา
21 เชมพี่ชายคนโตของยาเฟทมีบุตรชายด้วย ซึ่งเป็นต้นตระกูลของบุตรชายทั้งปวงของเอเบอร์ 22 เชมมีบุตรชื่อ เอลาม อัชชูร์ อาร์ปัคชาด ลูด และอารัม 23 อารัมมีบุตรชื่อ อูส ฮูล เกเธอร์ และมัช 24 อาร์ปัคชาดเป็นบิดาของเชลาห์ และเชลาห์มีบุตรชื่อเอเบอร์ 25 เอเบอร์มีบุตร 2 คน คนหนึ่งชื่อเปเลก[m] เป็นเพราะว่าในสมัยของเขามีการแบ่งแยกดินแดนกัน และน้องชายของเขาชื่อโยกทาน 26 โยกทานเป็นบิดาของอัลโมดัด เชเลฟ ฮาซาร์มาเวท เยราห์ 27 ฮาโดรัม อุซาล ดิคลาห์ 28 โอบาล อาบีมาเอล เช-บา 29 โอฟีร์ ฮาวิลาห์ โยบับ คนเหล่านี้เป็นบุตรของโยกทาน 30 อาณาเขตที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็เริ่มจากเมืองเม-ชาไปทางเสฟาร์ ที่ภูเขาด้านตะวันออก 31 คนเหล่านี้เป็นบุตรของเชม ตามครอบครัว ภาษา ดินแดน และประชาชาติของพวกเขา
32 นี่คือบรรดาครอบครัวของบุตรชายของโนอาห์ ตามลำดับเชื้อสาย และประชาชาติของพวกเขา บรรดาประชาชาติก็ได้ขยายถิ่นฐานออกไปทั่วแผ่นดินโลก หลังเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนั้น
หอบาเบล
11 ในครั้งนั้น มนุษย์พูดภาษาเดียวกัน ใช้คำๆ เดียวกัน 2 ต่อมาผู้คนย้ายถิ่นฐานจากทางทิศตะวันออก มาพบที่ราบในดินแดนชินาร์ และได้ตั้งรกรากอยู่ที่นั่น 3 พวกเขาพูดกันว่า “มาเถิด เรามาทำอิฐกัน แล้วเผาให้แข็ง” และพวกเขาก็มีอิฐใช้แทนหิน และยางมะตอยใช้แทนปูนสอ 4 แล้วพวกเขาก็พูดว่า “มาเถิด เรามาสร้างเมืองของพวกเราเอง ก่อหอคอยให้ยอดสูงระฟ้า สร้างชื่อเสียงให้ตัวเราเอง และเราจะได้ไม่ต้องระเหเร่ร่อนไปทั่วแผ่นดินโลก” 5 แล้วพระผู้เป็นเจ้าลงมาดูเมืองและหอคอยที่บรรดาบุตรของมนุษย์ได้สร้างไว้ 6 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ดูเถิด พวกเขาเป็นชนชาติเดียวกัน ใช้ภาษาเดียว นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เขาจะกระทำกัน มาบัดนี้ ไม่มีสิ่งใดจะยับยั้งพวกเขาไว้ได้หากว่าเขาประสงค์จะทำ 7 มาเถิด เราลงไปทำให้ภาษาที่นั่นสับสน เขาจะได้ไม่เข้าใจกันและกันอีกต่อไป” 8 ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าทำให้พวกเขาระเหเร่ร่อนออกจากที่นั่นไปจนทั่วแผ่นดินโลก พวกเขาจึงหยุดสร้างเมืองนั้น 9 ฉะนั้นชื่อของเมืองนั้นคือ บาเบล เนื่องจากเป็นที่ที่พระผู้เป็นเจ้าทำให้ภาษาของคนทั้งโลกสับสน และพระผู้เป็นเจ้าทำให้พวกเขาต้องระเหเร่ร่อนจากที่นั่นไปจนทั่วแผ่นดินโลก
ลำดับเชื้อสายของเชม
10 นี่คือลำดับเชื้อสายของเชม 2 ปีหลังจากน้ำท่วม เชมมีอายุได้ 100 ปี ก็มีบุตรชายคนหนึ่งชื่ออาร์ปัคชาด 11 หลังจากอาร์ปัคชาดเกิดแล้ว เชมมีอายุอยู่ต่อไปอีก 500 ปี และมีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน
12 เมื่ออาร์ปัคชาดมีอายุได้ 35 ปี ก็มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อเชลาห์ 13 หลังจากเชลาห์เกิดแล้ว อาร์ปัคชาดมีอายุอยู่ต่อไปอีก 403 ปี และมีทั้งบุตรชายบุตรหญิงอื่นๆ ต่อมาอีก
14 เมื่อเชลาห์มีอายุได้ 30 ปี ก็มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อเอเบอร์ 15 หลังจากเอเบอร์เกิดแล้วเชลาห์มีอายุอยู่ต่อไปอีก 403 ปี และมีทั้งบุตรชายบุตรหญิงอื่นๆ ต่อมาอีก
16 เมื่อเอเบอร์มีอายุได้ 34 ปี ก็มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อเปเลก 17 หลังจากเปเลกเกิดแล้วเอเบอร์มีอายุอยู่ต่อไปอีก 430 ปี และมีทั้งบุตรชายบุตรหญิงอื่นๆ ต่อมาอีก
18 เมื่อเปเลกมีอายุได้ 30 ปี ก็มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อเรอู 19 หลังจากเรอูเกิดแล้วเปเลกมีอายุอยู่ต่อไปอีก 209 ปี และมีทั้งบุตรชายบุตรหญิงอื่นๆ ต่อมาอีก
20 เมื่อเรอูมีอายุได้ 32 ปี ก็มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อเสรุก 21 หลังจากเสรุกเกิดแล้วเรอูมีอายุอยู่ต่อไปอีก 207 ปี และมีทั้งบุตรชายบุตรหญิงอื่นๆ ต่อมาอีก
22 เมื่อเสรุกมีอายุได้ 30 ปี ก็มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อนาโฮร์ 23 หลังจากนาโฮร์เกิดแล้วเสรุกมีอายุอยู่ต่อไปอีก 200 ปี และมีทั้งบุตรชายบุตรหญิงอื่นๆ ต่อมาอีก
24 เมื่อนาโฮร์มีอายุได้ 29 ปี ก็มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อเทราห์ 25 หลังจากเทราห์เกิดแล้วนาโฮร์มีอายุอยู่ต่อไปอีก 119 ปี และมีทั้งบุตรชายบุตรหญิงอื่นๆ ต่อมาอีก
26 เมื่อเทราห์มีอายุได้ 70 ปี ก็มีบุตรชายชื่ออับราม นาโฮร์ และฮาราน
27 ลำดับเชื้อสายบรรดาบุตรของเทราห์มีดังนี้คือ เทราห์เป็นบิดาของอับราม นาโฮร์ และฮาราน ฮารานเป็นบิดาของโลท 28 ฮารานเสียชีวิตบนแผ่นดินของญาติพี่น้องของตนก่อนเทราห์ผู้เป็นบิดา คือที่เมืองเออร์ของชาวเคลเดีย 29 อับรามและนาโฮร์ต่างก็ได้ภรรยา ภรรยาของอับรามชื่อซาราย ภรรยาของนาโฮร์ชื่อมิลคาห์ซึ่งเป็นบุตรหญิงของฮาราน ฮารานเป็นบิดาของมิลคาห์และอิสคาห์ 30 ซารายเป็นหมัน จึงไม่มีบุตร
31 เทราห์พาอับรามบุตรชายของตนกับโลทหลานชายผู้เป็นบุตรของฮาราน อีกทั้งซารายบุตรสะใภ้ของตนซึ่งเป็นภรรยาของอับราม ออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดียเพื่อไปยังแผ่นดินคานาอัน แต่เมื่อมาถึงเมืองฮารานแล้ว ก็ได้ตั้งรกรากอยู่ที่นั่น 32 เมื่อมีอายุได้ 205 ปี เทราห์ก็เสียชีวิตในเมืองฮาราน
พระเจ้าบัญชาอับราม
12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอับรามว่า “เจ้าจงไปจากดินแดนของเจ้า จากญาติพี่น้องและครัวเรือนของบิดาของเจ้า มุ่งหน้าไปสู่ดินแดนที่เราจะชี้ให้เจ้าดู[n] 2 เราจะให้ประชาชาติหนึ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมาจากตัวเจ้า และเราจะให้พรแก่เจ้า เราจะทำให้ชื่อของเจ้าเป็นที่รู้จักแพร่หลายออกไป และเจ้าจะเป็นผู้ที่ทำให้ผู้อื่นได้รับพร 3 เราจะอวยพรบรรดาผู้ที่อวยพรเจ้า และเราจะสาปแช่งคนที่สาปแช่งเจ้า และมนุษย์ทั้งปวงในโลกจะได้รับพรโดยผ่านเจ้า”[o]
4 ครั้นแล้วอับรามก็ออกเดินทางไป ตามที่พระผู้เป็นเจ้าบอกไว้ โลทก็ร่วมทางไปกับท่านด้วย ขณะที่อับรามออกเดินทางไปจากเมืองฮารานท่านมีอายุได้ 75 ปี 5 อับรามพาซารายภรรยาของตน กับโลทบุตรของน้องชายและทรัพย์สิ่งของที่ได้สะสมไว้ รวมทั้งบรรดาผู้คนที่มีอยู่จากเมืองฮาราน ออกเดินทางเพื่อไปยังแผ่นดินคานาอัน จนได้มาถึงยังที่หมายคือแผ่นดินคานาอัน 6 อับรามเดินทางผ่านเข้าไปในแผ่นดินนั้นจนถึงสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองเชเคมคือ ที่ต้นโอ๊กแห่งโมเรห์ เป็นแผ่นดินที่ชาวคานาอันอาศัยอยู่ในเวลานั้น 7 พระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่อับราม และกล่าวว่า “เราจะให้ดินแดนนี้แก่ผู้สืบเชื้อสายของเจ้า” ดังนั้นท่านจึงสร้างแท่นบูชาที่นั่นถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าผู้ปรากฏแก่ท่าน 8 จากนั้นมา อับรามก็ย้ายจากที่นั้นไปตั้งกระโจมทางภูเขาซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของเมืองเบธเอล โดยมีเมืองเบธเอลอยู่ทางตะวันตกและเมืองอัยอยู่ทางตะวันออก ณ ที่แห่งนั้นท่านได้สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า และร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า 9 จากนั้นอับรามก็ออกเดินทางต่อไป โดยมุ่งหน้าไปทางเนเกบ
อับรามที่ประเทศอียิปต์
10 เกิดทุพภิกขภัยขึ้นในแผ่นดิน อับรามจึงลงไปยังประเทศอียิปต์ เพื่ออาศัยอยู่ชั่วคราว เพราะอดอยากยิ่งนัก 11 เมื่อใกล้จะถึงเขตแดนอียิปต์ อับรามได้พูดกับซารายภรรยาของท่านว่า “ฉันรู้ว่าเจ้าเป็นหญิงรูปงาม 12 เมื่อชาวอียิปต์เห็นเจ้า ก็จะพูดกันว่า ‘นี่เป็นภรรยาของเขา’ แล้วพวกเขาก็จะฆ่าฉัน แต่จะไว้ชีวิตเจ้า 13 ฉะนั้นจงบอกว่า เจ้าเป็นน้องสาวของฉัน แล้วทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีสำหรับฉัน เพราะเขาเห็นแก่เจ้า ฉันจะรอดชีวิตได้ก็เพราะเจ้า” 14 เมื่ออับรามเข้าไปในอียิปต์ ชาวอียิปต์เห็นว่านางงดงามมาก 15 และเมื่อข้าราชบริพารชั้นสูงของฟาโรห์เห็นนาง ก็ชมเชยนางให้ฟาโรห์ฟัง นางจึงถูกพาตัวไปยังวังของฟาโรห์ 16 ฟาโรห์จึงดีต่ออับรามก็เพื่อซาราย อับรามจึงได้ฝูงแพะแกะ โค ลาตัวผู้ บ่าวรับใช้ชายและหญิง ลาตัวเมีย และอูฐ
17 แต่พระผู้เป็นเจ้าให้ฟาโรห์และคนในวังมีความทุกข์คือ ประสบภัยพิบัติร้ายแรง เหตุเพราะนางซารายภรรยาของอับราม 18 แล้วฟาโรห์ก็เรียกอับรามมาหา และกล่าวว่า “เจ้าทำอะไรกับเรา ทำไมเจ้าจึงไม่บอกเราว่านางเป็นภรรยาของเจ้า 19 ทำไมเจ้าจึงบอกว่า ‘นางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า’ หวังจะให้เรารับตัวนางไว้เป็นภรรยาของเราหรือ นี่ภรรยาของเจ้า เอาตัวนางไป แล้วจงไปเสีย” 20 ฟาโรห์ได้สั่งคนรับใช้เรื่องอับราม พวกเขาจึงให้อับรามกับภรรยาเดินทางกันออกไปพร้อมด้วยทุกสิ่งที่ท่านครอบครอง
อับรามและโลทแยกทางกัน
13 ดังนั้น อับรามกับภรรยาจึงนำทรัพย์สิ่งของที่มีออกเดินทางไปจากประเทศอียิปต์ ขึ้นไปจนถึงเนเกบ โดยได้พาโลทไปด้วย
2 ในเวลานั้นอับรามมั่งคั่งบริบูรณ์ด้วยปศุสัตว์ เงิน และทอง 3 แล้วก็ได้เดินทางจากเนเกบต่อไปจนถึงเมืองเบธเอล ไปยังที่ที่เคยตั้งกระโจมไว้ในตอนแรกคือ ระหว่างเมืองเบธเอลกับเมืองอัย 4 และไปยังสถานที่ซึ่งท่านได้สร้างแท่นบูชาเป็นครั้งแรก ท่านร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ณ ที่นั้น 5 ส่วนโลทซึ่งไปกับอับราม ก็ได้พาฝูงแพะแกะ โค และกระโจมไปด้วย 6 ดังนั้น ผืนแผ่นดินจึงไม่กว้างขวางพอที่จะให้เขาทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกัน เพราะต่างก็มีทรัพย์สิน สิ่งของมากมายจนไม่อาจอยู่ร่วมกัน 7 คนเลี้ยงสัตว์ของอับรามและของโลทจึงเกิดทะเลาะวิวาทกัน ในเวลานั้นมีชาวคานาอันและชาวเปริสอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นด้วย
8 อับรามจึงพูดกับโลทว่า “อย่าให้มีการทะเลาะวิวาทระหว่างเจ้ากับเรา และระหว่างคนเลี้ยงสัตว์ของเราทั้งสองฝ่ายเลย เพราะเราต่างก็เป็นญาติพี่น้องกัน 9 มีที่ดินทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเจ้ามิใช่หรือ เราต่างแยกกันอยู่เถิด ถ้าเจ้าเลือกทางซ้าย เราก็จะไปทางขวา หรือถ้าเจ้าเลือกทางขวา เราก็จะไปทางซ้าย” 10 โลทจึงเงยหน้าขึ้นมองไปตามทิศที่มุ่งสู่เมืองโศอาร์ และเห็นว่าที่ราบแถบแม่น้ำจอร์แดนมีน้ำท่วมถึงทุกแห่งหนเหมือนกับสวนของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับพื้นที่ของประเทศอียิปต์ ในเวลานั้นพระผู้เป็นเจ้ายังไม่ได้ทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ 11 ดังนั้นโลทจึงเลือกที่ลุ่มแถบแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมดสำหรับตนเอง โลทออกเดินทางไปทางทิศตะวันออก แล้วทั้งสองก็แยกทางกันไป 12 อับรามตั้งรกรากอยู่ในแผ่นดินของคานาอัน ในขณะที่โลทตั้งรกรากอยู่ท่ามกลางเมืองต่างๆ ในบริเวณที่ลุ่ม และตั้งกระโจมของเขาไกลจนถึงเมืองโสโดม 13 ชาวเมืองโสโดมเลวทรามมาก เป็นคนบาปกระทำผิดต่อพระผู้เป็นเจ้า
14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอับรามหลังจากโลทได้แยกทางไปจากท่านแล้วว่า “เจ้าจงเงยหน้าขึ้น และมองดูจากที่ที่เจ้าอยู่ มองไปทางเหนือและทางใต้ ทางตะวันออกและทางตะวันตก 15 เพราะเราจะให้แผ่นดินที่เจ้ามองเห็นแก่เจ้าและแก่ผู้สืบเชื้อสายของเจ้าไปตลอดกาล 16 เราจะให้เจ้ามีทายาทมากมายดั่งฝุ่นผงบนแผ่นดิน เพื่อว่าถ้ามีใครนับฝุ่นผงบนแผ่นดินได้ถ้วน จำนวนทายาทของเจ้าก็จะนับได้ถ้วนเช่นกัน 17 ไปเถิด ก้าวเท้าไปตามความยาวและความกว้างของแผ่นดิน เพราะเราจะยกแผ่นดินนี้ให้แก่เจ้า”
18 ดังนั้น อับรามจึงย้ายกระโจมของท่าน มาตั้งรกรากอยู่ข้างสวนโอ๊กของมัมเรที่อยู่ในเฮโบรน ครั้นแล้วจึงสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า
อับรามช่วยโลท
14 ในสมัยอัมราเฟลกษัตริย์แห่งชินาร์ อารีโอคกษัตริย์แห่งเอลลาสาร์ เคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์แห่งเอลาม และทิดาลกษัตริย์แห่งโกยิม 2 กษัตริย์เหล่านี้ทำสงครามสู้รบกับเบ-รากษัตริย์เมืองโสโดม บิร์ชากษัตริย์เมืองโกโมราห์ ชินาบกษัตริย์เมืองอัดมาห์ เชเมเบอร์กษัตริย์เมืองเศโบยิม และกษัตริย์เมืองเบ-ลา (คือโศอาร์) 3 กษัตริย์ทั้งห้านี้ได้รวมทัพกัน ณ หุบเขาสิดดิม (คือทะเลเกลือ) 4 พวกเขารับใช้อยู่ภายใต้การควบคุมของเคโดร์ลาโอเมอร์เป็นเวลา 12 ปี และกลับขัดขืนในปีที่สิบสาม 5 ในปีที่สิบสี่ เคโดร์ลาโอเมอร์มากับบรรดากษัตริย์พันธมิตรรบชนะพวกเรฟา[p]ที่อัชทาโรทคาร์นาอิม ศูซที่ฮาม พวกเอมที่ชาเวห์-คีริยาทาอิม 6 และพวกโฮรีในเทือกเขาเสอีร์ ไปจนถึงเอลปารานบริเวณเขตแดนถิ่นทุรกันดาร 7 ครั้นแล้วพวกเขาก็หวนกลับมายังเอนมิชปัท (คือคาเดช) และมีชัยชนะเหนือดินแดนทั้งหมดของชาวอามาเลข และชาวอาโมร์ที่มีรกรากอยู่ที่ฮาซาโซนทามาร์
8 แล้วกษัตริย์เมืองโสโดม กษัตริย์เมืองโกโมราห์ กษัตริย์เมืองอัดมาห์ กษัตริย์เมืองเศโบยิม และกษัตริย์เมืองเบ-ลา (คือโศอาร์) พากันออกไปต่อสู้ ณ ที่หุบเขาสิดดิม 9 กับเคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์แห่งเอลาม ทิดาลกษัตริย์แห่งโกยิม อัมราเฟลกษัตริย์แห่งชินาร์ และอารีโอคกษัตริย์แห่งเอลลาสาร์ กษัตริย์ทั้งสี่เข้าประจันกับกษัตริย์ทั้งห้า 10 ด้วยว่าหุบเขาสิดดิมประกอบด้วยบ่อยางมะตอยกระจายอยู่รายรอบ เมื่อบรรดากษัตริย์เมืองโสโดมและโกโมราห์หนีเตลิดไป จึงทำให้ตกลงในบ่อ และบ้างก็หนีเตลิดไปยังภูเขา 11 ดังนั้นฝ่ายศัตรูจึงริบทรัพย์สิ่งของทั้งหมดรวมทั้งเสบียงของชาวโสโดมและโกโมราห์ ก่อนจะเคลื่อนขบวนไป 12 โลทบุตรของน้องชายอับรามที่ตั้งรกรากอยู่ที่เมืองโสโดมก็ถูกจับตัวไปพร้อมด้วยทรัพย์สินของเขา
13 แต่กลับมีคนๆ หนึ่งหนีรอดมาได้ เขาจึงนำเรื่องไปบอกกับอับรามชาวฮีบรูผู้อาศัยอยู่ข้างสวนโอ๊กที่เป็นของมัมเรชาวอาโมร์ มัมเรกับญาติพี่น้องของเขาคือเอชโคล์และอาเนอร์เป็นพันธมิตรของอับราม 14 เมื่ออับรามได้ยินว่าญาติของตนถูกจับตัวไปเป็นเชลย จึงเลือกกองกำลังจากผู้ภักดีที่เกิดในบ้านของอับรามเองจำนวน 318 คน ติดตามไล่ล่าไปจนถึงเมืองดาน 15 ท่านแยกกองกำลังออกเป็นกลุ่มๆ โจมตีศัตรูในเวลากลางคืนจนพ่ายแพ้ไป และไล่ตามพวกเขาไปจนถึงโฮบาห์เหนือเมืองดามัสกัส 16 แล้วท่านก็ได้ขนทรัพย์สิ่งของทั้งหมดกลับคืนมาได้ พร้อมด้วยโลทญาติของตนรวมทั้งทรัพย์สินต่างๆ ของเขาด้วย รวมทั้งผู้หญิงและคนอื่นๆ
17 หลังจากกลับมาจากการรบชนะเคโดร์ลาโอเมอร์และบรรดากษัตริย์อื่นๆ แล้ว กษัตริย์เมืองโสโดมออกไปพบกับท่าน ณ หุบเขาชาเวห์ (คือหุบเขาของกษัตริย์)
18 เมลคีเซเดคกษัตริย์เมืองซาเล็ม[q]เป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ได้นำขนมปังและเหล้าองุ่นมาให้ 19 และอวยพรอับรามโดยกล่าวว่า
“ขอให้อับรามได้รับพรจากพระเจ้าผู้สูงสุด
องค์ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
20 และสรรเสริญพระเจ้าผู้สูงสุด
ผู้ได้ทำให้พวกศัตรูตกอยู่ในเงื้อมมือของท่าน”
ครั้นแล้วอับรามก็ถวายหนึ่งในสิบส่วนของจำนวนที่ได้มาจากการสู้รบให้แก่ท่าน[r]
21 แล้วกษัตริย์เมืองโสโดมได้พูดกับอับรามว่า “ท่านคืนคนให้กับเรา แต่ท่านจงเก็บข้าวของเอาไว้เถิด” 22 แต่อับรามพูดกับกษัตริย์เมืองโสโดมว่า “ข้าพเจ้าได้สาบานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้สูงสุดผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกแล้วว่า 23 ข้าพเจ้าจะไม่รับสิ่งใดๆ แม้แต่ของเล็กน้อยดังเช่นเส้นด้ายหรือเชือกผูกรองเท้า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ท่านเป็นเจ้าของ เพราะท่านอาจจะพูดได้ว่า ‘เราทำให้อับรามมั่งมี’ 24 ข้าพเจ้าจะไม่รับอะไร นอกเสียจากสิ่งที่พวกชายหนุ่มดื่มกินไปแล้ว และส่วนแบ่งที่ฝ่ายพันธมิตรของข้าพเจ้าคืออาเนอร์ เอชโคล์ และมัมเรควรได้รับ”
พันธสัญญาที่พระเจ้าทำกับอับราม
15 หลังจากนั้นต่อมาพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอับรามในภาพนิมิตว่า “อย่ากลัวเลย อับราม เราเป็นผู้คุ้มครองดั่งโล่ป้องกันเจ้า รางวัลของเจ้าจะยิ่งใหญ่มาก” 2 แต่อับรามพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์จะให้อะไรแก่ข้าพเจ้า ในเมื่อข้าพเจ้าไม่มีลูกเลย และผู้จะรับมรดกต่อจากข้าพเจ้าคือเอลีเอเซอร์จากดามัสกัส” 3 และอับรามพูดว่า “ดูเถิด พระองค์ยังไม่ได้มอบผู้สืบเชื้อสายแก่ข้าพเจ้าเลย และทาสผู้รับใช้ที่เกิดในบ้านข้าพเจ้าก็จะเป็นผู้รับมรดกของข้าพเจ้าไป” 4 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอับรามว่า “คนๆ นั้นจะไม่รับมรดก แต่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าต่างหากที่จะรับมรดกของเจ้า” 5 พระองค์พาท่านออกไปข้างนอกและกล่าวว่า “จงมองขึ้นไปยังท้องฟ้า นับจำนวนดวงดาวดูว่า เจ้านับมันได้หรือเปล่า” แล้วพระองค์กล่าวต่อไปว่า “ผู้สืบเชื้อสายของเจ้าจะมากมายเช่นนั้น” 6 แล้วท่านก็เชื่อพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จึงนับว่าท่านเป็นผู้มีความชอบธรรม[s]
7 และพระองค์กล่าวกับท่านว่า “เราคือพระผู้เป็นเจ้า ผู้นำเจ้ามาจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย เพื่อมอบดินแดนนี้ให้เจ้าครอบครอง” 8 แต่ท่านพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าจะทราบได้อย่างไรว่า ข้าพเจ้าจะได้ครอบครองดินแดนนี้” 9 พระองค์กล่าวกับท่านว่า “จงนำลูกโคตัวเมียและแพะตัวเมียอายุ 3 ปีอย่างละตัว แกะตัวผู้อายุ 3 ปี 1 ตัว นกเขาและนกพิราบอย่างละตัวมาให้เรา” 10 ท่านจึงนำสัตว์เหล่านี้มาถวายแด่พระองค์ ผ่าซีกสัตว์แต่ละตัว และวางไว้ข้างละซีกเป็น 2 แถว แต่ท่านไม่ได้ผ่าตัวนกเป็น 2 ซีก 11 เมื่อฝูงแร้งบินลงบนซากสัตว์ อับรามก็ไล่เตลิดไป
12 ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังตก อับรามนอนหลับสนิทอยู่ ทันใดนั้นท่านรู้สึกครั่นคร้ามยิ่งนัก 13 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอับรามว่า “จงรู้ไว้ว่า เชื้อสายของเจ้าจะไปอาศัยอยู่ชั่วคราวในดินแดนของชาติอื่น และจะต้องตกเป็นทาสถูกกดขี่ข่มเหงเป็นเวลา 400 ปี 14 อย่างไรก็ดีเราจะลงโทษประชาชาติที่ใช้เขาเยี่ยงทาส และในภายหลังพวกเขาจะอพยพออกมาพร้อมกับทรัพย์สินมากมาย[t] 15 สำหรับตัวเจ้าเอง เจ้าจะสิ้นชีวิตอย่างสันติ ร่างของเจ้าจะถูกบรรจุก็เมื่อตอนแก่เฒ่า 16 แล้วพวกเขาจะกลับมาที่นี่เมื่อถึง 4 ชั่วอายุคน เพราะต้องรอคอยจนความชั่วของชาวอาโมร์พุ่งถึงขีดสุดเสียก่อน”
17 ครั้นดวงอาทิตย์ตกและมืดมาก ดูเถิด มีควันไฟจากเตาผิงและคบเพลิงที่ลุกโพลงลามเลียไประหว่างซีกสัตว์พวกนั้น 18 ในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าได้ทำพันธสัญญากับอับราม โดยกล่าวว่า “เราให้แผ่นดินนี้กับบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า ตั้งแต่แม่น้ำของอียิปต์ถึงแม่น้ำใหญ่คือ แม่น้ำยูเฟรติส 19 ของชาวเคน ชาวเคนัส ชาวขัดโมน 20 ชาวฮิต ชาวเปริส ชาวเรฟา 21 ชาวอาโมร์ ชาวคานาอัน ชาวเกอร์กาช และชาวเยบุส”
กำเนิดอิชมาเอล
16 ฝ่ายนางซารายภรรยาของอับรามไม่มีบุตรให้ท่าน นางมีหญิงรับใช้ชาวอียิปต์คนหนึ่งชื่อฮาการ์ 2 นางพูดกับอับรามว่า “ได้โปรดเถิด พระผู้เป็นเจ้าได้กันไม่ให้ฉันมีลูก จงรับคนรับใช้ของฉันไว้เถิด ฉันอาจจะมีลูกโดยผ่านนางก็ได้” และอับรามเชื่อตามที่นางซารายพูด 3 ดังนั้น หลังจากอับรามตั้งรกรากอยู่ในแผ่นดินคานาอันได้ 10 ปี นางซารายภรรยาของอับรามยกฮาการ์หญิงรับใช้ชาวอียิปต์ของนางให้เป็นภรรยาอีกคนหนึ่งของอับราม 4 ท่านจึงข้องเกี่ยวกับนางฮาการ์ในฐานะภรรยา แล้วนางก็ตั้งครรภ์ เมื่อนางฮาการ์รู้ว่าตนเองตั้งครรภ์แล้ว นางก็มองนายสาวของตนด้วยสายตาดูหมิ่น 5 นางซารายพูดกับอับรามว่า “เป็นความผิดของท่านที่ทำให้ฉันถูกกระทำอย่างร้ายกาจ ฉันยกคนรับใช้ของฉันให้ท่านโอบกอด เมื่อนางรู้ว่าตนตั้งครรภ์ นางก็มองฉันด้วยสายตาดูหมิ่น ขอให้พระผู้เป็นเจ้าตัดสินระหว่างท่านกับฉัน” 6 แต่อับรามพูดกับนางซารายว่า “ดูเถิด คนรับใช้ของเจ้าอยู่ในอำนาจเจ้าเอง เจ้าทำอย่างไรกับนางก็แล้วแต่จะเห็นชอบ” ดังนั้นนางซารายจึงร้ายกับนางฮาการ์จนนางต้องหนีไป
7 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าพบนางที่บ่อน้ำพุแห่งหนึ่งในถิ่นทุรกันดาร ใกล้น้ำพุทางไปเมืองชูร์ 8 จึงกล่าวกับฮาการ์ว่า “ฮาการ์คนรับใช้ของซาราย เจ้ามาจากไหน และเจ้ากำลังจะไปไหน” นางพูดว่า “ข้าพเจ้ากำลังหนีซารายนายหญิงของข้าพเจ้า” 9 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับนางว่า “จงกลับไปหานายหญิงของเจ้า และยินยอมอยู่ใต้คำสั่งของนางเถิด” 10 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับนางด้วยว่า “เราจะทำให้ผู้สืบเชื้อสายของเจ้ามีเพิ่มมากขึ้นจนนับไม่ถ้วน”
11 แล้วทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับนางว่า
“ดูเถิด เจ้าอุ้มท้องอยู่
เจ้าจะได้บุตรชาย
จงตั้งชื่อเขาว่า อิชมาเอล[u]
เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงร้องอันระทมทุกข์ของเจ้า
12 อิชมาเอลจะเป็นดั่งลาป่า
เขาจะต่อต้านทุกคน
ในขณะที่ทุกคนก็จะต่อต้านเขา
และเขาจะใช้ชีวิตในแนวทางตรงกันข้าม
กับญาติพี่น้องทั้งปวง”
13 ดังนั้นนางจึงร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้าผู้กล่าวกับนาง นางร้องขึ้นว่า “พระองค์เป็นพระเจ้าผู้มองเห็น” เพราะนางพูดว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้าแล้วจริงๆ และยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ” 14 ด้วยเหตุนี้บ่อน้ำพุนั้นจึงมีชื่อว่า เบเออลาไฮรอย[v] ซึ่งอยู่ระหว่างคาเดชกับเมืองเบเรด
15 ฮาการ์ให้กำเนิดบุตรชายแก่อับราม และอับรามตั้งชื่อบุตรชายที่ฮาการ์ให้กำเนิดว่า อิชมาเอล 16 เมื่อฮาการ์ให้กำเนิดอิชมาเอลแก่อับราม ท่านมีอายุ 86 ปี
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation