Bible in 90 Days
ส่วนแบ่งสำหรับยูดาห์
15 ส่วนแบ่งสำหรับเผ่าของชาวยูดาห์ตามแต่ละครอบครัว ไปทางทิศใต้จนถึงเขตแดนของเอโดม และถิ่นทุรกันดารศินซึ่งเป็นจุดใต้สุด 2 และเขตแดนทิศใต้ตั้งต้นจากปลายทะเลเกลือ ทางอ่าวที่หันไปยังทิศใต้ 3 และเบนไปทางทิศใต้ขึ้นเนินสูงอัครับบิม ผ่านต่อไปถึงศิน และขึ้นไปทางใต้ของคาเดชบาร์เนีย ข้ามไปยังเฮสโรน ขึ้นไปถึงอัดดาร์ เลี้ยวไปถึงคาร์คา 4 ผ่านต่อไปถึงอัสโมน ยื่นออกไปที่ข้างธารน้ำอียิปต์ และสุดลงที่ทะเล นี่แหละเป็นเขตแดนของพวกท่านทางทิศใต้ 5 เขตแดนทางทิศตะวันออกคือทะเลเกลือถึงปากแม่น้ำจอร์แดน เขตแดนทางทิศเหนือตั้งต้นจากอ่าวทะเลที่ปากแม่น้ำจอร์แดน 6 และขึ้นไปที่เบธโฮกลาห์ ผ่านต่อไปทางเหนือของเบธอาราบาห์ ขึ้นไปจนถึงก้อนหินโบฮันบุตรรูเบน 7 และเขตแดนเลยขึ้นไปจนถึงเดบีร์จากหุบเขาอาโคร์ และเลี้ยวไปทางทิศเหนือหันไปทางกิลกาลซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเนินอาดุมมิมซึ่งอยู่ทางด้านใต้ของหุบเขา และผ่านต่อไปถึงน้ำพุเอนเชเมช และสุดลงที่เอนโรเกล 8 และเขตแดนเลยขึ้นไปที่ข้างหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนมถึงทางลาดขึ้นของชาวเยบุส (คือเยรูซาเล็ม) และเขตแดนเลยขึ้นไปยังยอดภูเขาที่ตั้งพิงหุบเขาฮินโนมทางทิศตะวันตก ซึ่งอยู่ที่ด้านเหนือสุดของหุบเขาเรฟาอิม 9 แล้วเขตแดนยื่นไปจากยอดภูเขานั้น จนถึงน้ำพุเนฟโทอาห์ และจากที่นั้นไปจนถึงเมืองแห่งภูเขาเอโฟรน และเขตแดนโค้งไปจนถึงบาอาลาห์ (คือคีริยาทเยอาริม) 10 และเขตแดนวนไปทางทิศตะวันตกของบาอาลาห์จนถึงภูเขาเสอีร์ เลยไปจนถึงด้านเหนือของภูเขาเยอาริม (คือเคสะโลน) และลงไปถึงเมืองเบธเชเมช และเลยเรียบเคียงเมืองทิมนาห์ 11 เขตแดนยื่นออกไปถึงขอบเขาซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเอโครน แล้วเขตแดนโค้งไปรอบๆ จนถึงชิกเคโรน และข้ามไปยังภูเขาบาอาลาห์ และยื่นออกไปถึงยับเนเอล แล้วเขตแดนสิ้นสุดลงที่ทะเล 12 และเขตแดนทางทิศตะวันตกคือทะเลใหญ่รวมถึงฝั่งชายทะเล นี่คือเขตแดนรอบๆ ชาวยูดาห์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา
13 ตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อโยชูวา ท่านก็ได้มอบส่วนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางชาวยูดาห์ให้คาเลบบุตรเยฟุนเนห์ ส่วนนั้นคือคีริยาทอาร์บา คือเฮโบรน (อาร์บาเป็นบิดาของอานาค) 14 และคาเลบขับไล่บุตร 3 คนของอานาคออกไปคือ เชชัย อาหิมาน และทัลมัย บรรดาผู้สืบเชื้อสายของอานาค 15 และเขาขึ้นไปจากที่นั่นเพื่อสู้รบกับผู้อยู่อาศัยของเมืองเดบีร์ ก่อนหน้านั้นเมืองเดบีร์ชื่อ คีริยาทเสเฟอร์ 16 และคาเลบพูดว่า “ผู้ใดโจมตีและยึดคีริยาทเสเฟอร์ได้ เราจะยกอัคสาห์บุตรสาวของเราให้เป็นภรรยา” 17 โอทนีเอลบุตรของเคนัสผู้เป็นน้องคาเลบยึดเมืองไว้ได้ เขาจึงยกอัคสาห์บุตรหญิงของเขาให้เป็นภรรยา 18 เมื่อนางไปหาโอทนีเอล นางก็จูงใจเขาเพื่อจะขอทุ่งนาแห่งหนึ่งจากบิดาของนาง นางลงจากลา คาเลบจึงถามนางว่า “เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ” 19 นางพูดว่า “ขอพรให้ลูก ในเมื่อท่านได้ให้ดินแดนเนเกบแก่ลูกแล้ว ก็ให้น้ำพุแก่ลูกด้วยเถิด” แล้วเขาก็ยกน้ำพุที่อยู่ด้านบนและด้านล่างให้นางไป
20 ต่อไปนี้เป็นมรดกสำหรับเผ่าชาวยูดาห์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา 21 เมืองต่างๆ ที่เป็นของเผ่าชาวยูดาห์ในแถบเนเกบซึ่งหันไปทางเขตแดนเอโดม ได้แก่เมืองขับเซเอล เอเดอร์ และยากูร์ 22 คีนาห์ ดีโมนาห์ อาดาดาห์ 23 เคเดช ฮาโซร์ อิทนาน 24 ศิฟ เทเลม เบอาโลท 25 ฮาโซร์ฮาดัททาห์ เคริโอทเฮสโรน (คือฮาโซร์) 26 อามัม เช-มา โมลาดาห์ 27 ฮาซาร์กัดดาห์ เฮชโมน เบธปาเลท 28 ฮาซาร์ชูอาล เบเออร์เช-บา บิซิโอธิยาห์ 29 บาอาลาห์ อิยิม เอเซม 30 เอลโทลัด เคสีล โฮร์มาห์ 31 ศิกลาก มัดมันนาห์ สันสันนาห์ 32 เลบาโอท ชิลฮิม อายิน และริมโมน รวมทั้งหมดเป็น 29 เมือง มีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
33 และบริเวณที่ลุ่มมีเมืองเอชทาโอล โศราห์ อัชนาห์ 34 ศาโนอาห์ เอนกันนิม ทัปปูวาห์ เอนาม 35 ยาร์มูท อดุลลาม โสโคห์ อาเซคาห์ 36 ชาอาราอิม อดีธาอิม เกเดราห์ เกเดโรธิอิม รวมเป็น 14 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
37 เมืองเศนัน ฮดัสสาห์ มิกดัลกาด 38 ดิเลอัน มิสเปห์ โยกเธเอล 39 ลาคีช โบสคาท เอกโลน 40 คับโบน ลามัม คิทลิช 41 เกเดโรท เบธดาโกน นาอามาห์ และมักเคดาห์ รวมเป็น 16 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
42 ลิบนาห์ เอเธอร์ อาชาน 43 อิฟทาห์ อัชนาห์ เนซีบ 44 เคอีลาห์ อัคซีบ มาเรชาห์ รวมเป็น 9 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
45 เอโครน รวมเมืองย่อยและหมู่บ้านในเมืองนั้น 46 จากเอโครนจนถึงทะเล กับทุกสิ่งที่อยู่ติดกับอัชโดด และมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
47 อัชโดดอีกทั้งเมืองย่อยและหมู่บ้านในเมือง กาซาอีกทั้งเมืองย่อยและหมู่บ้านในเมือง จนถึงธารน้ำของอียิปต์ และทะเลใหญ่กับฝั่งชายทะเล
48 และในแถบภูเขาคือ ชามีร์ ยาททีร์ โสโคห์ 49 ดานนาห์ คีริยาทสันนาห์ (คือเดบีร์) 50 อานาบ เอชเทโมห์ อานิม 51 โกเชน โฮโลน กิโลห์ รวมเป็น 11 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
52 อาหรับ ดูมาห์ เอชาน 53 ยานิม เบธทัปปูวาห์ อาเฟคาห์ 54 ฮุมทาห์ คีริยาทอาร์บา (คือเฮโบรน) และศิโยร์ รวมเป็น 9 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
55 มาโอน คาร์เมล ศิฟ ยุทธาห์ 56 ยิสเรเอล โยกเดอัม ศาโนอาห์ 57 คายิน กิเบอาห์ และทิมนาห์ รวมเป็น 10 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
58 ฮัลฮูล เบธซูร์ เกโดร์ 59 มาอาราท เบธาโนท และเอลเทโคน รวมเป็น 6 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
60 คีริยาทบาอัล (คือคีริยาทเยอาริม) และรับบาห์ รวมเป็น 2 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
61 ในถิ่นทุรกันดารคือ เบธอาราบาห์ มิดดีน เสคะคาห์ 62 นิบชาน เมืองเกลือ และเอนเกดี รวมเป็น 6 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
63 แต่ชาวยูดาห์ไม่สามารถขับไล่ชาวเยบุสซึ่งเป็นผู้อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม ชาวเยบุสอาศัยอยู่ที่นั่นกับชาวยูดาห์มาจนถึงทุกวันนี้
ส่วนแบ่งสำหรับเอฟราอิมและมนัสเสห์
16 ส่วนแบ่งสำหรับลูกหลานโยเซฟเริ่มที่จอร์แดนใกล้กับเยรีโค ทางทิศตะวันออกของน้ำพุเยรีโค เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร จากเยรีโคขึ้นไปในแถบภูเขา จนถึงเบธเอล 2 และจากเบธเอล ต่อไปยังลูส ผ่านต่อไปถึงอาทาโรทซึ่งเป็นอาณาเขตของชาวอาร์คี 3 แล้วลงไปทางทิศตะวันตก จนถึงอาณาเขตของชาวยาเฟล็ท และไกลต่อไปอีกจนถึงอาณาเขตด้านล่างของเบธโฮโรน และถึงเกเซอร์ ไปสิ้นสุดลงที่ทะเล
4 มนัสเสห์และเอฟราอิมลูกหลานของโยเซฟได้รับเป็นมรดก
5 ของบรรดาครอบครัวของชาวเอฟราอิมได้รับอาณาเขตดังต่อไปนี้ เขตแดนมรดกของพวกเขาทางทิศตะวันออกคือ อาทาโรทอัดดาร์ ไปไกลถึงด้านบนของเบธโฮโรน 6 และเขตแดนจากที่นั่น ไปจนถึงทะเล ทางทิศเหนือคือ มิคเมธัท และทางทิศตะวันออกเขตแดนวกไปทางทาอานัทชิโลห์ และผ่านพ้นเมืองนี้ทางด้านตะวันออก ไปจนถึงยาโนอาห์ 7 แล้วลงไปจากยาโนอาห์ ถึงอาทาโรท และนาอาราห์ จนจรดเยรีโค และสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน 8 จากทัปปูวาห์เขตแดนไปทางทิศตะวันตก จนถึงธารน้ำคานาห์ และสิ้นสุดลงที่ทะเล นี่เป็นมรดกของเผ่าชาวเอฟราอิม ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา 9 รวมเมืองย่อยและหมู่บ้านในเมืองนั้นที่แยกไว้สำหรับชาวเอฟราอิม ซึ่งก็อยู่ในเขตที่เป็นมรดกของชาวมนัสเสห์ 10 อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้ขับไล่ชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเกเซอร์ ฉะนั้นชาวคานาอันได้อาศัยอยู่ในหมู่เอฟราอิมมาจนถึงทุกวันนี้ แต่พวกเขาถูกเกณฑ์ให้มาทำงานหนัก
17 ชาวมนัสเสห์ได้รับส่วนแบ่ง เพราะเป็นบุตรหัวปีของโยเซฟ มาคีร์บุตรหัวปีของมนัสเสห์ และเป็นบิดาของกิเลอาด ได้รับกิเลอาดและบาชาน เพราะเป็นนักรบ 2 ชาวมนัสเสห์ที่เหลืออยู่ได้รับส่วนแบ่งกันตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา ได้แก่อาบีเอเซอร์ เฮเลค อัสรีเอล เชเคม เฮเฟอร์ และเชมิดา ชายเหล่านี้เป็นผู้สืบเชื้อสายของมนัสเสห์บุตรของโยเซฟ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา
3 ฝ่ายเศโลเฟหัดผู้เป็นบุตรของเฮเฟอร์ บุตรของกิเลอาด บุตรของมาคีร์ บุตรของมนัสเสห์ ไม่มีบุตรชาย มีแต่บุตรหญิง ตามชื่อต่อไปนี้คือ มาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์ 4 พวกนางไปหาเอเลอาซาร์ปุโรหิตกับโยชูวาบุตรของนูน และบรรดาผู้นำ แล้วพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสสให้มอบมรดกแก่พวกเราร่วมกับพี่น้องของเราด้วย”[a] ฉะนั้นท่านจึงมอบมรดกให้พวกนางร่วมกับพี่น้องของบิดาของนาง ตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 5 ส่วนแบ่ง 10 ส่วนจึงตกเป็นของมนัสเสห์ นอกเหนือจากดินแดนกิเลอาดและบาชานซึ่งอยู่อีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน 6 เพราะว่าบรรดาบุตรหญิงของมนัสเสห์ได้รับมรดกร่วมกับบรรดาบุตรชายของเขาด้วย ดินแดนกิเลอาดเป็นของชาวมนัสเสห์ที่เหลืออยู่
7 อาณาเขตของมนัสเสห์เริ่มจากอาเชอร์จนถึงมิคเมธัทซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเชเคม แล้วเขตแดนต่อไปทางทิศใต้จนถึงที่อยู่อาศัยของชาวเอนทัปปูวาห์ 8 ดินแดนทัปปูวาห์เป็นของมนัสเสห์ แต่ตัวเมืองทัปปูวาห์ที่ตรงเขตแดนของมนัสเสห์เป็นของชาวเอฟราอิม 9 และเขตแดนลงไปถึงธารน้ำคานาห์ เมืองเหล่านี้ที่อยู่ทางทิศใต้ของธารน้ำ ท่ามกลางเมืองต่างๆ ของมนัสเสห์เป็นของเอฟราอิม และเขตแดนของมนัสเสห์อยู่ทางด้านเหนือของธารน้ำ และสิ้นสุดลงที่ทะเล 10 ดินแดนทางด้านใต้เป็นของเอฟราอิม ดินแดนทางด้านเหนือเป็นของมนัสเสห์ โดยมีทะเลเป็นเส้นแบ่งเขต ทางเหนือจรดอาเชอร์ ทางทิศตะวันออกจรดอิสสาคาร์ 11 มนัสเสห์ได้บางส่วนที่เป็นของอิสสาคาร์และอาเชอร์ด้วยคือ เมืองเบธชาน อิบเลอัม และผู้อยู่อาศัยของโดร์ และผู้อยู่อาศัยของเอนโดร์ และผู้อยู่อาศัยของทาอานาค และผู้อยู่อาศัยของเมกิดโด มีหมู่บ้านรวมอยู่ในเมืองเหล่านี้ด้วย เมืองที่สามคือนาฟาท 12 แต่ชาวมนัสเสห์ก็ไม่สามารถยึดเมืองเหล่านี้เป็นเจ้าของได้ เพราะว่าชาวคานาอันยืนกรานจะอาศัยอยู่ในถิ่นฐานนั้น 13 เมื่อชาวอิสราเอลเข้มแข็งขึ้น ก็ได้เกณฑ์ชาวคานาอันให้มาทำงานหนัก แต่ไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด
14 ลูกหลานของโยเซฟพูดกับโยชูวาว่า “ทำไมท่านจึงให้ส่วนแบ่งที่ดินแก่เราเพียงผืนเดียว ให้เป็นมรดกแก่เราส่วนเดียว พวกเรามีคนจำนวนมาก และพระผู้เป็นเจ้าก็ได้ให้พรแก่พวกเราจนกระทั่งบัดนี้” 15 โยชูวาตอบพวกเขาว่า “ถ้าพวกท่านมีมาก ก็จงขึ้นไปในป่าเอง ไปถางพื้นดินเอาเองในดินแดนของชาวเปริสและชาวเรฟา ในเมื่อแถบภูเขาเอฟราอิมแคบเกินไปสำหรับท่าน” 16 ลูกหลานของโยเซฟพูดว่า “แถบภูเขาไม่พอสำหรับพวกเรา แต่ชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในที่ราบมีรถศึกทำด้วยเหล็ก ทั้งพวกที่อยู่ในเบธชานกับหมู่บ้าน และพวกที่อยู่ในหุบเขายิสเรเอล” 17 และโยชูวาพูดกับตระกูลของโยเซฟคือเอฟราอิมและมนัสเสห์ว่า “ท่านมีคนมากมายและมีกำลังมากด้วย ใช่ว่าท่านจะมีส่วนแบ่งเพียงผืนเดียวเท่านั้น 18 แต่แถบภูเขาจะเป็นของท่านด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นป่า ท่านจะถางป่าและยึดเป็นเจ้าของได้ไกลจนสุดเขตแดน เพราะว่าท่านจะขับไล่ชาวคานาอันออกไป แม้ว่าพวกเขาจะมีรถศึกทำด้วยเหล็ก และเข้มแข็ง”
ส่วนแบ่งของดินแดนที่เหลือ
18 แล้วมวลชนชาวอิสราเอลทั้งปวงก็มาประชุมกันที่ชิโลห์ และตั้งกระโจมที่นัดหมายกันที่นั่น แผ่นดินถูกควบคุมอยู่ต่อหน้าพวกเขา
2 ยังมีชาวอิสราเอลอีก 7 เผ่าที่ยังไม่ได้รับมอบส่วนแบ่งจากมรดก 3 ดังนั้น โยชูวาพูดกับชาวอิสราเอลว่า “พวกท่านจะผลัดวันไปอีกนานเพียงไร กว่าท่านจะเข้าไปยึดครองแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านได้มอบให้ท่านแล้ว 4 จงเลือกสรรชาย 3 คนจากแต่ละเผ่า แล้วเราจะส่งเขาออกไปตรวจดูดินแดนให้ทั่วและจงเขียนรายละเอียดไว้ เพื่อแบ่งมรดกของพวกเขา เสร็จแล้วมาหาเรา 5 พวกเขาจะแบ่งดินแดนออกเป็น 7 ส่วน ยูดาห์จะอยู่ในอาณาเขตเดิมทางทิศใต้ ตระกูลของโยเซฟจะอยู่ในอาณาเขตทางทิศเหนือ 6 และพวกท่านจงเขียนรายละเอียดของแผ่นดินเป็น 7 ส่วน และนำข้อความมาให้เราที่นี่ แล้วเราจะจับฉลากให้พวกท่านที่นี่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเรา 7 ชาวเลวีไม่มีส่วนแบ่งร่วมกับพวกท่าน เพราะตำแหน่งปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้าเป็นมรดกของพวกเขา กาดกับรูเบนและครึ่งหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์ได้รับมรดกของพวกเขาแล้วที่โพ้นแม่น้ำจอร์แดนทางฟากตะวันออก ตามที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้ามอบให้”
8 ดังนั้น ชายเหล่านั้นจึงพากันออกเดินทางไป และโยชูวาก็กำชับคนที่ไปให้เขียนรายละเอียดของแผ่นดินว่า “จงท่องไปให้ทั่วแผ่นดิน เขียนรายละเอียด และกลับมาหาเรา แล้วเราจะจับฉลากให้พวกท่านที่นี่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่ชิโลห์” 9 ชายเหล่านั้นไปยังแผ่นดินตรวจตราจนทั่ว และเขียนรายละเอียดของเมืองเป็น 7 ส่วนลงในหนังสือม้วน แล้วไปหาโยชูวาที่ค่ายที่ชิโลห์ 10 และโยชูวาจับฉลากให้พวกเขาที่ชิโลห์ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า โยชูวาแบ่งเขตแดนให้แก่ชาวอิสราเอลตามส่วนแบ่งของแต่ละเผ่า
มรดกสำหรับเบนยามิน
11 ฉลากสำหรับเผ่าที่เป็นลูกหลานของเบนยามิน ตามแต่ละครอบครัวในเผ่านั้น เป็นอาณาเขตที่อยู่ระหว่างลูกหลานของยูดาห์และลูกหลานของโยเซฟ 12 เขตแดนทางทิศเหนือเริ่มที่แม่น้ำจอร์แดน และเขตแดนเลยขึ้นไปบนไหล่เขาเหนือเยรีโค และผ่านขึ้นไปในแถบภูเขาทางทิศตะวันตก สิ้นสุดลงที่ถิ่นทุรกันดารเบธอาเวน 13 จากที่นั่น เขตแดนผ่านลงไปทางใต้ในแนวที่จะไปเมืองลูสถึงไหล่เขาที่ลูส (คือเบธเอล) แล้วเขตแดนต่อลงไปถึงอาทาโรทอัดดาร์ บนภูเขาที่ตั้งอยู่ใต้สุดของเบธโฮโรน 14 แล้วเขตแดนยื่นต่อไปอีกทิศหนึ่ง เลี้ยวไปทางทิศตะวันตก หันลงไปทางใต้จากภูเขาที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ซึ่งตรงข้ามกับเบธโฮโรน และสิ้นสุดลงที่คีริยาทบาอัล (คือคีริยาทเยอาริม) อันเป็นเมืองที่เป็นของลูกหลานยูดาห์ นี่เป็นเขตทางด้านตะวันตก 15 ส่วนด้านใต้เริ่มที่ชานเมืองคีริยาทเยอาริม เขตแดนเริ่มจากที่นั่น ไปจนถึงเอโฟรน ถึงน้ำพุเนฟโทอาห์ 16 และเขตแดนต่อลงไปถึงริมภูเขาที่หันไปทางหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนมซึ่งอยู่ปลายด้านเหนือของหุบเขาเรฟาอิม และต่อลงไปในหุบเขาฮินโนมที่อยู่ทางทิศใต้ไหล่เขาของชาวเยบุส และลงไปถึงเอนโรเกล 17 แล้วโค้งขึ้นไปทางทิศเหนือจนถึงเอนเชเมช จากที่นั่นก็ไปจนถึงเกลีโลทซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเนินอาดุมมิม และลงไปยังก้อนหินโบฮันบุตรรูเบน 18 และผ่านต่อไปทางเหนือของไหล่เขาเบธอาราบาห์ ลงไปจนถึงอาราบาห์ 19 และเขตแดนผ่านขึ้นไปทางทิศเหนือของไหล่เขาที่เบธโฮกลาห์ สิ้นสุดลงที่อ่าวด้านเหนือของทะเลเกลือ ที่ด้านใต้สุดของแม่น้ำจอร์แดน นี่แหละเป็นเขตแดนทางใต้ 20 แม่น้ำจอร์แดนเป็นเขตแดนทางด้านตะวันออก นี่เป็นมรดกสำหรับลูกหลานของเบนยามิน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา ได้ตามเขตแดนที่ระบุไว้ทุกด้าน
21 ส่วนเมืองต่างๆ ที่เป็นของเผ่าของลูกหลานเบนยามิน ตามแต่ละครอบครัว มีดังนี้คือ เยรีโค เบธโฮกลาห์ เอเมคเคซีส 22 เบธอาราบาห์ เศ-มาราอิม เบธเอล 23 อัฟวิม ปาราห์ โอฟราห์ 24 เคฟาร์ฮาอัมโมนัย โอฟนี เก-บา รวมเป็น 12 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย 25 กิเบโอน รามาห์ เบเอโรท 26 มิสเปห์ เคฟีราห์ โมซาห์ 27 เรเคม อิรเปเอล ทาระลาห์ 28 เศ-ลา หะเอเลฟ เยบุส (คือเยรูซาเล็ม) กิเบอาห์ และคีริยาทเยอาริม รวมเป็น 14 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย นี่เป็นมรดกของลูกหลานเบนยามิน ตามแต่ละครอบครัวในเผ่า
มรดกสำหรับสิเมโอน
19 ฉลากที่สองออกมาเป็นของสิเมโอน สำหรับเผ่าที่เป็นลูกหลานของสิเมโอน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา มรดกของเขาอยู่ท่ามกลางมรดกของลูกหลานยูดาห์ 2 มรดกที่ได้รับคือ เบเออร์เช-บา เชบะ โมลาดาห์ 3 ฮาซาร์ชูอาล บาลาห์ เอเซม 4 เอลโทลัด เบธูล โฮร์มาห์ 5 ศิกลาก เบธมาร์คาโบท ฮาซาร์สูสาห์ 6 เบธเลบาโอท และชารุเฮน รวมเป็น 13 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย 7 อายิน ริมโมน เอเธอร์ อาชาน รวมเป็น 4 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย 8 รวมทั้งหมู่บ้านทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเมืองเหล่านี้ ไกลออกไปจนถึงบาอาลัทเบเออร์ รามาห์ที่เนเกบ นี่เป็นมรดกสำหรับเผ่าของลูกหลานสิเมโอน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา 9 มรดกของลูกหลานสิเมโอนเป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตที่เป็นของลูกหลานยูดาห์ เพราะว่าส่วนแบ่งของลูกหลานยูดาห์ขนาดใหญ่เกินไปสำหรับพวกเขา ลูกหลานสิเมโอนจึงได้รับมรดกที่อยู่ท่ามกลางมรดกของพวกเขา
มรดกสำหรับเศบูลุน
10 ฉลากที่สามออกมาเป็นของลูกหลานของเศบูลุน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา และมรดกของเขาไปไกลถึงสาริด 11 และเขตแดนของพวกเขาขึ้นไปทางทิศตะวันตก เลยไปจนถึงมาเรอัล และไปจรดดับเบเชทและธารน้ำที่อยู่ทางทิศตะวันออกของโยกเนอัม 12 จากสาริดเลี้ยวไปทางด้านตะวันออก คือทางที่ดวงอาทิตย์ขึ้น จนถึงเขตแดนของคิสโลททาโบร์ และต่อไปถึงดาเบรัทขึ้นไปยังยาเฟีย 13 จากนั้นผ่านต่อไปทางทิศตะวันออก คือทางที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงกัทเฮเฟอร์ และเอทคาซิน ออกมาที่ริมโมนแล้วก็หันไปทางเนอาห์ 14 ทางทิศเหนือ เขตแดนเลี้ยวไปทางฮันนาโธน และสิ้นสุดลงที่หุบเขาอิฟทาห์เอล 15 และเมืองขัทตาท นาหะลาล ชิมโรน อิดาลาห์ และเบธเลเฮม รวมเป็น 12 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย 16 เมืองเหล่านี้ซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วยคือ มรดกสำหรับลูกหลานของเศบูลุน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา
มรดกสำหรับอิสสาคาร์
17 ฉลากที่สี่ออกมาเป็นของอิสสาคาร์ สำหรับลูกหลานของอิสสาคาร์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา 18 อาณาเขตของพวกเขามียิสเรเอล เคสุลโลท ชูเนม 19 ฮาฟาราอิม ชิโยน อานาหะราท 20 รับบีท คีชิโอน เอเบส 21 เรเมท เอนกันนิม เอนหัดดาห์ เบธปัสเซส 22 เขตแดนจรดเมืองทาโบร์ ชาหะซุมาห์ เบธเชเมชด้วย และสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน รวมเป็น 16 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย 23 เมืองและหมู่บ้านเหล่านี้เป็นมรดกสำหรับเผ่าของลูกหลานอิสสาคาร์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา
มรดกสำหรับอาเชอร์
24 ฉลากที่ห้าออกมาเป็นของเผ่าที่เป็นลูกหลานของอาเชอร์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา 25 อาณาเขตของเขามี เฮลขัท ฮาลี เบเทน อัคชาฟ 26 อาลัมเมเลค อามาด และมิชอาล ทางทิศตะวันตกจรดคาร์เมล และชิโหร์ลิบนาท 27 แล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันออก ไปถึงเบธดาโกน จรดเศบูลุนและหุบเขาอิฟทาห์เอล ไปทางทิศเหนือถึงเบธเอเมคและเนอีเอล และไปทางทิศเดิมจนถึงคาบูล 28 เอโบรน เรโหบ ฮัมโมน คานาห์ ไกลจนถึงมหาไซดอน 29 และเขตแดนเลี้ยวกลับไปทางรามาห์ ไปจนถึงไทระซึ่งเป็นเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง และเขตแดนเลี้ยวไปทางโฮสาห์ และสิ้นสุดลงที่ทะเล ข้างอาณาเขตอัคซีบ 30 อุมมาห์ อาเฟก และเรโหบ รวมเป็น 22 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย 31 เมืองและหมู่บ้านเหล่านี้เป็นมรดกสำหรับเผ่าที่เป็นลูกหลานของอาเชอร์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา
มรดกสำหรับนัฟทาลี
32 ฉลากที่หกออกมาเป็นของลูกหลานของนัฟทาลี ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา 33 และเขตแดนของเขาเริ่มจากเฮเลฟจากต้นโอ๊กในศานันนิม และอาดามีเนเขบ และยับเนเอล ไกลจนถึงลัคคูม และสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน 34 และเขตแดนเลี้ยวไปทางทิศตะวันตก ไปถึงอัสโนททาโบร์ และต่อไปจนถึงหุกกอก จรดเศบูลุนทางทิศใต้ อาเชอร์ทางทิศตะวันตก และยูดาห์ทางทิศตะวันออกที่แม่น้ำจอร์แดน 35 เมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่งคือ ศิดดิม เศอร์ ฮัมมัท รัคคัท คินเนเรท 36 อาดามาห์ รามาห์ ฮาโซร์ 37 เคเดช เอเดรอี เอนฮาโซร์ 38 ยิโรน มิกดัลเอล โฮเรม เบธานาท และเบธเชเมช รวมเป็น 19 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย 39 เมืองและหมู่บ้านเหล่านี้เป็นมรดกสำหรับเผ่าที่เป็นลูกหลานของนัฟทาลี ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา
มรดกสำหรับดาน
40 ฉลากที่เจ็ดออกมาเป็นของเผ่าที่เป็นลูกหลานของดาน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา 41 อาณาเขตที่เป็นมรดกของเผ่ามี โศราห์ เอชทาโอล อิร์เชเมช 42 ชาอาลับบิน อัยยาโลน ยิทลาห์ 43 เอโลน ทิมนาห์ เอโครน 44 เอลเทเคห์ กิบเบโธน บาอาลัท 45 เยฮุด เบเนเบราค กัทริมโมน 46 เมยาร์โคน และรัคโคน และอาณาเขตแถวยัฟฟาด้วย 47 เมื่อลูกหลานของดานสูญเสียอาณาเขตของเขาไป พวกเขาก็ขึ้นไปต่อสู้กับเมืองเลเชม เมื่อตีเมืองได้และใช้ดาบฆ่าฟันแล้ว จึงยึดครองเมืองและตั้งรกรากที่นั่น ตั้งชื่อดานแทนชื่อเมืองเลเชม ตามชื่อของดานบรรพบุรุษของพวกเขา 48 เมืองและหมู่บ้านเหล่านี้เป็นมรดกสำหรับเผ่าที่เป็นลูกหลานของดาน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา
มรดกสำหรับโยชูวา
49 เมื่อแบ่งดินแดนและยกอาณาเขตให้เป็นมรดกเสร็จแล้ว ชาวอิสราเอลก็มอบมรดกบางส่วนที่เป็นของตนให้แก่โยชูวาบุตรของนูน 50 พวกเขามอบเมืองที่โยชูวาขอ คือทิมนาทเสราห์ในแถบภูเขาของเอฟราอิม ตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และท่านก็สร้างเมืองขึ้นใหม่และตั้งรกรากอยู่ที่นั่น
51 เอเลอาซาร์ปุโรหิต โยชูวาบุตรของนูน และบรรดาหัวหน้าบรรพบุรุษของเผ่าชาวอิสราเอลใช้การจับฉลากแบ่งมรดกดังกล่าวที่ชิโลห์ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า ที่ทางเข้ากระโจมที่นัดหมาย แล้วการแบ่งมรดกก็เสร็จสิ้น
เมืองลี้ภัย
20 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า 2 “จงพูดกับชาวอิสราเอลว่า ‘จงกำหนดเมืองลี้ภัยขึ้น ตามที่เราได้สั่งเจ้าโดยผ่านทางโมเสสว่า[b] 3 ฆาตกรใดที่ฆ่าคนโดยไม่มีเจตนาหรือโดยบังเอิญจะได้หลบหนีไปที่นั่นได้ เมืองเหล่านั้นจะเป็นที่สำหรับลี้ภัยจากผู้ตามล่า 4 เขาจะหลบหนีไปยังเมืองลี้ภัยแห่งใดแห่งหนึ่ง และยืนที่ทางเข้าประตูเมือง และอธิบายกรณีของเขาแก่บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของเมืองนั้น แล้วเขาเหล่านั้นจะพาเขาเข้าไปในเมืองเพื่อให้ที่อยู่แก่เขา และเขาจะอยู่ที่นั่น 5 และถ้าผู้ตามล่าติดตามไปฆ่าเขา พวกเขาก็จะไม่มอบตัวฆาตกรให้ เพราะว่าเขาฆ่าเพื่อนบ้านของเขาโดยบังเอิญและไม่เคยเกลียดชังเขามาก่อน 6 และเขาจะอยู่ที่เมืองนั้นจนกว่าจะยืนต่อหน้ามวลชนเพื่อการพิพากษาก่อน และจนกว่าหัวหน้ามหาปุโรหิตในเวลานั้นเสียชีวิตแล้ว และฆาตกรจึงจะกลับไปบ้านเมืองของตนได้ ไปยังเมืองที่เขาจากมา’”
7 ดังนั้น ชาวอิสราเอลจึงเลือกเมืองเคเดชในกาลิลีซึ่งอยู่ในแถบภูเขาของนัฟทาลี และเมืองเชเคมซึ่งอยู่ในแถบภูเขาของเอฟราอิม และเมืองคีริยาทอาร์บา (คือเมืองเฮโบรน) ในแถบภูเขาของยูดาห์ 8 และที่โพ้นแม่น้ำจอร์แดนทางด้านตะวันออกของเมืองเยรีโค พวกเขาเลือกเมืองเบเซอร์ในถิ่นทุรกันดารบนที่ราบสูง จากเผ่ารูเบน และเมืองราโมทในกิเลอาด จากเผ่ากาด และเมืองโกลานในบาชาน จากเผ่ามนัสเสห์ 9 เมืองดังกล่าวถูกแบ่งให้แก่ชาวอิสราเอลทั้งปวงและแก่คนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่ในหมู่พวกเขา ถ้าผู้ใดฆ่าคนโดยไม่มีเจตนาก็สามารถหลบหนีไปที่นั่นได้ เพื่อเขาไม่ต้องตายด้วยมือของผู้ตามล่า หลังจากนั้นเขาจึงจะยืนสู้คดีต่อหน้ามวลชน
เมืองและทุ่งหญ้าแบ่งให้แก่ชาวเลวี
21 ครั้นแล้ว บรรดาหัวหน้าบรรพบุรุษของชาวเลวีจึงมาหาเอเลอาซาร์ปุโรหิตและโยชูวาบุตรของนูน และหัวหน้าบรรพบุรุษของเผ่าชาวอิสราเอล 2 และพวกเขาพูดกับท่านเหล่านั้นที่ชิโลห์ในแผ่นดินคานาอันว่า “พระผู้เป็นเจ้ามีบัญชาผ่านทางโมเสสว่า พวกเราจะได้เมืองอันเป็นที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งทุ่งหญ้าสำหรับสัตว์เลี้ยงของเรา”[c] 3 ฉะนั้นชาวอิสราเอลมอบเมืองและทุ่งหญ้าดังต่อไปนี้จากมรดกของตนเองให้แก่ชาวเลวีตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า
4 ฉลากออกมาเป็นของครอบครัวชาวโคฮาท ดังนั้นชาวเลวีที่เป็นผู้สืบเชื้อสายของอาโรนปุโรหิตจึงได้รับ 13 เมืองเป็นส่วนแบ่งจากเผ่ายูดาห์ สิเมโอน และเบนยามิน
5 ส่วนชาวโคฮาทคนอื่นๆ ได้รับ 10 เมืองเป็นส่วนแบ่งจากครอบครัวของเผ่าเอฟราอิม เผ่าดาน และจากครึ่งเผ่าของมนัสเสห์
6 ชาวเกอร์โชนได้รับ 13 เมืองเป็นส่วนแบ่งจากครอบครัวของเผ่าอิสสาคาร์ เผ่าอาเชอร์ เผ่านัฟทาลี และจากครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ในบาชาน
7 ชาวเมรารีตามแต่ละครอบครัวของพวกเขาได้รับ 12 เมืองจากเผ่ารูเบน เผ่ากาด และเผ่าเศบูลุน
8 ชาวอิสราเอลมอบเมืองดังกล่าวพร้อมทั้งทุ่งหญ้าตามส่วนแบ่งให้แก่ชาวเลวี ตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาผ่านทางโมเสส
9 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อเมืองที่ได้รับจากเผ่าชาวยูดาห์และชาวสิเมโอน 10 ซึ่งมอบให้แก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของอาโรนซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาครอบครัวชาวโคฮาทที่เป็นชาวเลวี เพราะว่าฉลากแรกตกเป็นของพวกเขา 11 เขามอบคีริยาทอาร์บาให้แก่พวกเขา (อาร์บาเป็นบิดาของอานาค) คือเมืองเฮโบรนในแถบภูเขาของยูดาห์พร้อมทั้งทุ่งหญ้าโดยรอบ 12 และยกทุ่งนากับหมู่บ้านที่รอบเมืองให้แก่คาเลบบุตรเยฟุนเนห์ครอบครอง[d]
13 และบรรดาผู้สืบเชื้อสายของอาโรนปุโรหิตได้รับเฮโบรนเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับฆาตกร พร้อมทั้งทุ่งหญ้า ลิบนาห์พร้อมทั้งทุ่งหญ้า 14 ยาททีร์พร้อมทั้งทุ่งหญ้า เอชเทโมอาพร้อมทั้งทุ่งหญ้า 15 โฮโลนพร้อมทั้งทุ่งหญ้า เดบีร์พร้อมทั้งทุ่งหญ้า 16 อายินพร้อมทั้งทุ่งหญ้า ยุทธาห์พร้อมทั้งทุ่งหญ้า เบธเชเมชพร้อมทั้งทุ่งหญ้า รวมเป็น 9 เมืองจาก 2 เผ่าดังกล่าว
17 เมืองที่ได้รับจากเผ่าเบนยามินคือ กิเบโอนพร้อมทั้งทุ่งหญ้า เก-บาพร้อมทั้งทุ่งหญ้า 18 อานาโธทพร้อมทั้งทุ่งหญ้า อัลโมนพร้อมทั้งทุ่งหญ้า รวมเป็น 4 เมือง
19 เมืองที่เป็นของบรรดาปุโรหิตคือผู้สืบเชื้อสายของอาโรนรวมได้ 13 เมืองพร้อมทั้งทุ่งหญ้าด้วย
20 บรรดาครอบครัวชาวโคฮาทที่เหลือที่เป็นชาวเลวีได้รับเมืองจากเผ่าเอฟราอิม
21 เขาให้เมืองเชเคมเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับฆาตกร พร้อมทั้งทุ่งหญ้าในแถบภูเขาของเอฟราอิม เกเซอร์พร้อมทั้งทุ่งหญ้า 22 ขิบซาอิมพร้อมทั้งทุ่งหญ้า เบธโฮโรนพร้อมทั้งทุ่งหญ้า รวมเป็น 4 เมือง 23 จากเผ่าดานมีเอลเทเคห์พร้อมทั้งทุ่งหญ้า กิบเบโธนพร้อมทั้งทุ่งหญ้า 24 อัยยาโลนพร้อมทั้งทุ่งหญ้า กัทริมโมนพร้อมทั้งทุ่งหญ้า รวมเป็น 4 เมือง 25 จากครึ่งเผ่าของมนัสเสห์มีทาอานาคพร้อมทั้งทุ่งหญ้า กัทริมโมนพร้อมทั้งทุ่งหญ้า รวมเป็น 2 เมือง 26 เมืองที่เป็นของบรรดาครอบครัวของชาวโคฮาทที่เหลืออยู่นั้นรวมได้ 10 เมืองพร้อมทั้งทุ่งหญ้าด้วย
27 เมืองที่ชาวเกอร์โชนซึ่งเป็นครอบครัวหนึ่งของชาวเลวีได้รับจากครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ คือโกลานในบาชานพร้อมทั้งทุ่งหญ้าเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับฆาตกร และเบเอชเทราห์พร้อมทั้งทุ่งหญ้า รวมเป็น 2 เมือง 28 จากเผ่าอิสสาคาร์มี คีชิโอนพร้อมทั้งทุ่งหญ้า ดาเบรัทพร้อมทั้งทุ่งหญ้า 29 ยาร์มูทพร้อมทั้งทุ่งหญ้า เอนกันนิมพร้อมทั้งทุ่งหญ้า รวมเป็น 4 เมือง 30 จากเผ่าอาเชอร์มี มิชอาลพร้อมทั้งทุ่งหญ้า อับโดนพร้อมทั้งทุ่งหญ้า 31 เฮลขัทพร้อมทั้งทุ่งหญ้า เรโหบพร้อมทั้งทุ่งหญ้า รวมเป็น 4 เมือง 32 จากเผ่านัฟทาลีมี เคเดชในกาลิลีพร้อมทั้งทุ่งหญ้าเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับฆาตกร ฮัมโมทโดร์พร้อมทั้งทุ่งหญ้า คาร์ทานพร้อมทั้งทุ่งหญ้า รวมเป็น 3 เมือง
33 เมืองของหลายครอบครัวของชาวเกอร์โชนรวมได้ 13 เมืองพร้อมทั้งทุ่งหญ้าด้วย
34 เมืองที่บรรดาครอบครัวเมรารีซึ่งเป็นชาวเลวีที่เหลืออยู่ได้รับจากเผ่าเศบูลุนคือ โยกเนอัมพร้อมทั้งทุ่งหญ้า คาร์ทาห์พร้อมทั้งทุ่งหญ้า 35 ดิมนาห์พร้อมทั้งทุ่งหญ้า นาหะลาลพร้อมทั้งทุ่งหญ้า รวมเป็น 4 เมือง 36 จากเผ่ารูเบนมี เบเซอร์พร้อมทั้งทุ่งหญ้า ยาฮาสพร้อมทั้งทุ่งหญ้า 37 เคเดโมทพร้อมทั้งทุ่งหญ้า เมฟาอาทพร้อมทั้งทุ่งหญ้า รวมเป็น 4 เมือง 38 จากเผ่ากาดมี ราโมทในกิเลอาดพร้อมทั้งทุ่งหญ้าเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับฆาตกร มาหะนาอิมพร้อมทั้งทุ่งหญ้า 39 เฮชโบนพร้อมทั้งทุ่งหญ้า ยาเซอร์พร้อมทั้งทุ่งหญ้า รวมทั้งหมด 4 เมือง 40 ส่วนแบ่งสำหรับหลายครอบครัวของชาวเมรารีคือบรรดาครอบครัวของชาวเลวีที่เหลืออยู่ รวมได้ 12 เมือง
41 เมืองของชาวเลวีอยู่ท่ามกลางอาณาเขตของชาวอิสราเอลซึ่งรวมได้ 48 เมืองพร้อมทั้งทุ่งหญ้า 42 เมืองเหล่านี้แต่ละเมืองมีทุ่งหญ้าล้อมรอบ
43 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ามอบแผ่นดินทั้งหมดแก่ชาวอิสราเอลดังที่พระองค์ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขา เขาทั้งหลายก็ได้ยึดครองไว้ และตั้งรกรากกันอยู่ที่นั่น[e] 44 และพระผู้เป็นเจ้าให้พวกเขาได้หยุดพักจากการสู้รบรอบด้านของแผ่นดิน ดังที่พระองค์ได้ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา ไม่มีศัตรูสักคนเดียวที่ยืนหยัดต่อสู้เขาได้ เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าได้มอบบรรดาศัตรูทั้งปวงไว้ในมือของพวกเขา 45 ไม่มีคำสัญญาอันดีใดๆ ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ให้แก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล แล้วจะไม่เป็นจริง คือทุกสิ่งเกิดขึ้นตามนั้น
เผ่าทางฟากตะวันออกกลับไปบ้าน
22 ในเวลานั้น โยชูวาเรียกชาวรูเบน ชาวกาด และครึ่งเผ่าของชาวมนัสเสห์มา 2 และพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านได้ปฏิบัติทุกสิ่งตามที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าบัญชาไว้ และได้เชื่อฟังทุกสิ่งที่เราบัญชาด้วย 3 พวกท่านไม่เคยทอดทิ้งพี่น้องของท่านเลยแม้จนถึงทุกวันนี้ และดำเนินการของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างระมัดระวัง 4 บัดนี้ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้ให้พี่น้องของท่านได้หยุดพักแล้ว ตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับพวกเขา ฉะนั้นท่านกลับไปยังกระโจมของพวกท่านเถิด ไปยังดินแดนที่ท่านมีสิทธิเป็นเจ้าของ ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าได้มอบแก่ท่านที่อีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน[f] 5 ท่านเพียงระมัดระวังที่จะรักษาพระบัญญัติและหนังสือแห่งกฎบัญญัติที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าบัญชาไว้กับท่าน คือรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่าน และดำเนินชีวิตในทุกวิถีทางของพระองค์ และปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ ผูกพันกับพระองค์ และรับใช้พระองค์อย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิตของพวกท่าน” 6 แล้วโยชูวาก็อวยพรพวกเขาและให้กลับบ้านไป พวกเขาจึงกลับไปยังกระโจมของตน
7 โมเสสได้มอบดินแดนในบาชานให้แก่ครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ และอีกครึ่งเผ่าได้รับดินแดนที่โยชูวามอบให้ อันเป็นดินแดนที่ติดกับพี่น้องของพวกเขาที่ฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน และเมื่อโยชูวาให้พวกเขากลับไปบ้าน และอวยพรพวกเขา 8 ท่านพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านจงกลับไปยังกระโจมของท่านพร้อมกับสมบัติอันมั่งคั่งและฝูงปศุสัตว์มากมาย เงินและทองคำ ทองสัมฤทธิ์และเหล็ก เสื้อผ้ามากมาย จงแบ่งสิ่งที่ยึดได้จากศัตรูให้แก่พี่น้องของท่าน” 9 ดังนั้น ชาวรูเบน ชาวกาด และครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ก็กลับบ้านไป แยกไปจากชาวอิสราเอลที่ชิโลห์ซึ่งอยู่ในดินแดนคานาอัน เพื่อไปยังดินแดนกิเลอาด ซึ่งเป็นดินแดนของพวกเขาเองที่ได้รับเป็นเจ้าของตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านทางโมเสส
แท่นบูชาทางฟากตะวันออก
10 เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงเกลีโลทย่านแม่น้ำจอร์แดนที่อยู่ในดินแดนคานาอันแล้ว ชาวรูเบน ชาวกาด และครึ่งเผ่าของชาวมนัสเสห์จึงสร้างแท่นบูชาขนาดมหึมาที่นั่น ใกล้กับแม่น้ำจอร์แดน 11 และชาวอิสราเอลได้ยินมาว่า “ดูเถิด ชาวรูเบน ชาวกาด และครึ่งเผ่าของชาวมนัสเสห์ได้สร้างแท่นบูชาที่ชายแดนของดินแดนคานาอัน ที่เกลีโลทย่านแม่น้ำจอร์แดน บนฟากที่เป็นของชาวอิสราเอล” 12 และเมื่อชาวอิสราเอลได้ยินเช่นนั้น มวลชนชาวอิสราเอลทั้งปวงก็มาประชุมกันที่ชิโลห์เพื่อทำสงครามกับเขา
13 ดังนั้น ชาวอิสราเอลจึงให้ฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ปุโรหิตไปหาชาวรูเบน ชาวกาด และครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ในดินแดนกิเลอาด 14 นอกจากฟีเนหัสแล้ว มีหัวหน้า 10 คน คนหนึ่งจากแต่ละเผ่าของอิสราเอล แต่ละคนเป็นหัวหน้าครอบครัวท่ามกลางตระกูลของอิสราเอล 15 พวกเขามายังชาวรูเบน ชาวกาด และครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ในดินแดนกิเลอาด และพูดว่า 16 “มวลชนทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘ท่านกระทำสิ่งที่ไร้ความภักดีอะไรเช่นนี้ต่อพระเจ้าของอิสราเอล วันนี้ท่านเลิกติดตามพระผู้เป็นเจ้า ท่านสร้างแท่นบูชาให้แก่ตนเองในวันนี้เท่ากับเป็นการขัดขืนพระผู้เป็นเจ้า 17 พวกเรากระทำบาปที่เปโอร์ไม่พอหรือ บาปที่เรายังชำระตัวเองไม่สะอาดด้วยซ้ำ และภัยพิบัติที่เกิดแก่มวลชนของพระผู้เป็นเจ้า[g] 18 แล้ววันนี้ท่านด้วยหรือที่จะต้องเลิกติดตามพระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่าท่านขัดขืนพระผู้เป็นเจ้าในวันนี้ พรุ่งนี้พระองค์ก็จะโกรธกริ้วต่อมวลชนของอิสราเอลทั้งปวง 19 แต่บัดนี้ ถ้าแผ่นดินที่ท่านเป็นเจ้าของนั้นเป็นมลทิน ก็จงข้ามเข้าไปในแผ่นดินที่กระโจมที่พำนักของพระผู้เป็นเจ้าตั้งอยู่ และหาที่แห่งหนึ่งให้ตัวท่านเองในท่ามกลางพวกเรา ขอเพียงท่านอย่าขัดขืนพระผู้เป็นเจ้า หรือทำให้เรามีความผิดเพราะท่านสร้างแท่นบูชาให้ตัวท่านเอง ซึ่งนอกเหนือไปจากแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราเลย 20 อาคานบุตรของเศรัคมิใช่หรือที่ขาดความภักดีในเรื่องสิ่งที่ถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า และความเกรี้ยวโกรธของพระองค์ตกอยู่กับมวลชนอิสราเอลทั้งหมด จึงไม่ใช่เพียงแต่ตัวเขาเท่านั้นที่พินาศเพราะบาปของเขา’”[h]
21 แล้วชาวรูเบน ชาวกาด และครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ก็ตอบบรรดาหัวหน้าตระกูลของอิสราเอล 22 “พระเจ้าผู้กอปรด้วยอานุภาพคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้กอปรด้วยอานุภาพคือพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทราบ และขอให้อิสราเอลทราบด้วย ถ้าหากว่าเป็นการขัดขืนหรือขาดความภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็อย่าไว้ชีวิตพวกเราเลย 23 ที่ว่าสร้างแท่นบูชาเพื่อเลิกติดตามพระผู้เป็นเจ้า หรือถ้าพวกเราสร้างไว้เพื่อมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย หรือเครื่องธัญญบูชา หรือของถวายเพื่อสามัคคีธรรมบนแท่นบูชา ก็ขอให้พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ลงโทษเราเอง 24 ไม่ใช่เลย แต่พวกเราสร้างไว้เนื่องจากเกรงว่า ในภายภาคหน้าลูกหลานของท่านอาจจะพูดกับลูกหลานของเราว่า ‘พวกท่านเกี่ยวโยงกับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลอย่างไร 25 เพราะว่า พระผู้เป็นเจ้าใช้แม่น้ำจอร์แดนเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างเรากับพวกท่าน ท่านชาวรูเบนและชาวกาด พวกท่านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระผู้เป็นเจ้าแต่อย่างใด’ ดังนั้นลูกหลานของท่านอาจจะทำให้ลูกหลานของเราหยุดนมัสการพระผู้เป็นเจ้า 26 ฉะนั้นพวกเราจึงพูดกันว่า ‘เวลานี้พวกเรามาสร้างแท่นบูชากันเถิด ไม่ใช่เป็นที่เผาสัตว์เพื่อเป็นของถวายหรือเป็นเครื่องสักการะ 27 แต่เพื่อเป็นพยานระหว่างเรากับพวกท่าน และระหว่างคนในรุ่นต่อๆ ไปหลังจากพวกเรา ว่าเรานมัสการพระผู้เป็นเจ้าด้วยสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย ด้วยเครื่องสักการะ และของถวายเพื่อสามัคคีธรรม เพื่อลูกหลานของพวกท่านจะไม่พูดกับลูกหลานของเราในภายภาคหน้าว่า “พวกท่านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระผู้เป็นเจ้าแต่อย่างใด”’ 28 และพวกเราคิดไว้ว่า ถ้ามีคนพูดกับเราหรือกับผู้สืบเชื้อสายของเราในภายภาคหน้า เราก็จะตอบได้ว่า ‘ดูเถิด แท่นบูชาจำลองของพระผู้เป็นเจ้าที่บรรพบุรุษของพวกเราสร้างนั้น ไม่ใช่เป็นที่เผาสัตว์เพื่อเป็นของถวายหรือเป็นเครื่องสักการะ แต่เป็นพยานระหว่างเรากับพวกท่าน’ 29 ไม่มีวันที่เราจะขัดขืนพระผู้เป็นเจ้าและจะเลิกติดตามพระผู้เป็นเจ้าในวันนี้ แล้วจะสร้างแท่นบูชาเพื่อเป็นที่เผาสัตว์เป็นของถวาย เพื่อมอบเครื่องธัญญบูชา หรือเครื่องสักการะ ซึ่งนอกเหนือไปจากแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราซึ่งตั้งอยู่ที่เบื้องหน้ากระโจมที่พำนักของพระองค์”
30 ครั้นฟีเนหัสปุโรหิตกับบรรดาหัวหน้ามวลชน และบรรดาหัวหน้าตระกูลของอิสราเอลที่อยู่ที่นั่นได้ยินสิ่งที่ชาวรูเบน ชาวกาด และชาวมนัสเสห์พูด พวกเขาจึงเห็นดีด้วย 31 ฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ปุโรหิตพูดกับชาวรูเบน ชาวกาด และชาวมนัสเสห์ว่า “วันนี้พวกเราทราบแล้วว่า พระผู้เป็นเจ้าอยู่ท่ามกลางพวกเรา เพราะว่าพวกท่านไม่ได้กระทำสิ่งที่ไร้ความภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า และท่านได้ทำให้ชาวอิสราเอลพ้นจากการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้า”
32 ฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ปุโรหิต และบรรดาหัวหน้าก็จากชาวรูเบนและชาวกาดที่อยู่ในดินแดนกิเลอาดไป เพื่อไปยังชาวอิสราเอลที่ดินแดนคานาอัน เพื่อเล่าเรื่องให้พวกเขาฟัง 33 ชาวอิสราเอลเห็นดีด้วยกับรายงานนั้น ชาวอิสราเอลก็สรรเสริญพระเจ้า และไม่ได้พูดถึงเรื่องที่จะทำสงคราม เพื่อทำให้ดินแดนอันเป็นรกรากของชาวรูเบนและชาวกาดพินาศ 34 ชาวรูเบนและชาวกาดเรียกแท่นบูชาว่า พยาน เพราะเป็นพยานระหว่างพวกเราว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้า
โยชูวากล่าวสุนทรพจน์กับบรรดาหัวหน้า
23 ต่อจากนั้นเป็นเวลานาน ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ให้อิสราเอลได้หยุดพักจากศัตรูรอบด้าน โยชูวาชราลงและมีอายุมาก 2 โยชูวาเรียกอิสราเอลมาหมด คือบรรดาผู้ใหญ่และหัวหน้า ผู้ตัดสินความและเจ้าหน้าที่ และพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “ข้าพเจ้าชราและมีอายุมากแล้ว 3 ท่านได้เห็นทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกระทำต่อประชาชาติเหล่านี้เพื่อพวกท่านแล้ว เพราะว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นผู้ต่อสู้เพื่อพวกท่าน 4 ดูเถิด ข้าพเจ้าได้แบ่งบรรดาประชาชาติที่ยังเหลืออยู่อีก ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนจนถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตกให้เป็นมรดกแก่เผ่าของท่าน เช่นเดียวกับประชาชาติทั้งปวงที่ข้าพเจ้ารบชนะแล้ว 5 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่านจะผลักดันพวกเขาออกไปต่อหน้าพวกท่าน และจะขับไล่เขาออกไปให้พ้นหน้าท่าน แล้วพวกท่านจะครอบครองดินแดนของเขา ตามคำของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่าน 6 ฉะนั้นจงเข้มแข็งและระมัดระวังปฏิบัติตามที่มีบันทึกในหนังสือกฎบัญญัติของโมเสสทุกประการ ไม่หันเหไปจากกฎบัญญัติ 7 เพื่อท่านจะไม่ข้องแวะกับประชาชาติเหล่านี้ที่ยังอยู่ท่ามกลางท่าน อย่าอธิษฐานต่อเทพเจ้าของพวกเขา หรือสาบานในนามเทพเจ้าของเขา หรือรับใช้และก้มกราบเทพเจ้าเหล่านั้น 8 แต่ท่านจงผูกพันกับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเหมือนกับที่ท่านปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ 9 เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ขับไล่บรรดาประชาชาติที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งออกไปให้พ้นหน้าพวกท่าน ส่วนท่านเองก็ไม่มีผู้ใดสามารถยืนต่อต้านได้จนถึงทุกวันนี้ 10 พวกท่านคนเดียวทำให้ 1,000 คนเตลิดหนีไป เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่านต่อสู้เพื่อท่าน ตามคำสัญญาของพระองค์ 11 ฉะนั้นจงระมัดระวังว่าท่านรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่าน 12 เพราะว่าถ้าท่านหันไปผูกพันกับประชาชาติเหล่านี้ที่หลงเหลืออยู่ท่ามกลางพวกท่าน และแต่งงานกับพวกเขา ทำให้พวกท่านต้องผูกพันเกี่ยวข้องกับพวกเขา และพวกเขาต้องผูกพันเกี่ยวข้องกับพวกท่าน 13 จงทราบไว้เถิดว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่านจะไม่ขับไล่ประชาชาติเหล่านี้ออกไปให้พ้นหน้าพวกท่านอีกต่อไป แต่พวกเขาจะนำความลำบากและเป็นบ่วงแร้วให้แก่ท่าน จะเป็นดั่งแซ่หวดหลังและหนามยอกตาท่าน จนกว่าพวกท่านจะพินาศไปเสียจากผืนดินที่ดีแผ่นนี้ที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่านได้มอบแก่ท่าน
14 ดูเถิด บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังจะไปตามทางของแผ่นดินโลก และท่านทุกคนทราบอยู่ในจิตและในใจของท่านว่า ไม่มีสิ่งดีอันใดที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่านให้สัญญาเกี่ยวกับท่าน แล้วจะไม่เป็นจริง คือทุกสิ่งเกิดขึ้นตามนั้นเพื่อท่าน ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เป็นจริง 15 สิ่งดีทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่านให้สัญญาเกี่ยวกับท่าน แล้วเกิดขึ้นจริงเพื่อท่านฉันใด พระผู้เป็นเจ้าจะให้สิ่งร้ายๆ บังเกิดกับท่าน จนกระทั่งพระองค์ได้กำจัดพวกท่านออกไปเสียจากแผ่นดินที่ดีผืนนี้ที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่านได้มอบให้แก่ท่านฉันนั้น 16 ถ้าพวกท่านละเมิดพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่าน ซึ่งพระองค์บัญชาท่าน และท่านไปบูชาเทพเจ้าใดๆ และก้มลงกราบด้วย และพระผู้เป็นเจ้าจะกริ้วท่านมาก แล้วพวกท่านจะตายจากผืนดินที่ดีแผ่นนี้ที่พระองค์ได้มอบแก่ท่านไปอย่างรวดเร็ว”
พันธสัญญาที่เชเคม
24 โยชูวาเรียกประชุมทุกเผ่าของอิสราเอลที่เชเคม และเรียกบรรดาผู้ใหญ่ หัวหน้า ผู้ตัดสินความ และเจ้าหน้าที่ของอิสราเอลมา และเขาทั้งหลายแสดงตัว ณ เบื้องหน้าพระเจ้า 2 โยชูวาพูดกับทุกคนว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ‘เมื่อกาลก่อน บรรพบุรุษของพวกเจ้า รวมทั้งเทราห์บิดาของอับราฮัมและนาโฮร์อาศัยอยู่ที่โพ้นแม่น้ำยูเฟรติส[i] และเขาเหล่านั้นบูชาเทพเจ้าอื่นๆ 3 เราจึงได้ให้อับราฮัมบิดาของเจ้าออกมาจากโพ้นแม่น้ำ และนำเขาผ่านทั่วแผ่นดินคานาอันมา ให้เขามีผู้สืบเชื้อสายมากมาย เราให้อิสอัคแก่เขา 4 เราให้ยาโคบและเอซาวแก่อิสอัค และเราให้เอซาวเป็นเจ้าของดินแดนแถบภูเขาเสอีร์ ส่วนยาโคบกับลูกหลานของเขาลงไปยังประเทศอียิปต์ 5 จากนั้นเราใช้โมเสสและอาโรนไป และเราทำให้ชาวอียิปต์ประสบภัยพิบัติที่เกิดขึ้นที่นั่น แล้วเราก็นำพวกเจ้าออกมา
6 เรานำบรรพบุรุษของพวกเจ้าออกมาจากอียิปต์ และพวกเขามาถึงทะเล ชาวอียิปต์พร้อมกับรถศึกและทหารม้าตามล่าบรรพบุรุษของพวกเจ้าไปจนถึงทะเลแดง 7 เมื่อพวกเขาร้องขอให้พระผู้เป็นเจ้าช่วยเหลือ พระองค์ก็ทำให้เกิดความมืดระหว่างพวกเจ้าและชาวอียิปต์ พระองค์ทำให้น้ำไหลท่วมตัวพวกเขาจนมิด พวกเจ้าเห็นด้วยตาของเจ้าเองว่าเราได้กระทำอะไรต่อชาวอียิปต์ แล้วพวกเจ้าก็อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลานาน 8 เรานำพวกเจ้าออกมายังแผ่นดินของชาวอาโมร์ที่อาศัยอยู่ที่ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาต่อสู้กับเจ้า แต่เราก็มอบเขาไว้ในมือของพวกเจ้า เราทำให้เขาพินาศไปต่อหน้าพวกเจ้า แล้วเจ้าจึงได้ยึดครองแผ่นดิน 9 และบาลาคบุตรศิปโปร์กษัตริย์แห่งโมอับลุกขึ้นต่อสู้กับอิสราเอล เขาขอให้บาลาอัมบุตรเบโอร์ไปสาปแช่งพวกเจ้า 10 แต่เราไม่ฟังบาลาอัม เขาจึงอวยพรพวกเจ้า ฉะนั้นเราจึงช่วยพวกเจ้าให้หลุดพ้นจากมือของเขา[j] 11 พวกเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังเยรีโค และเหล่าหัวหน้าของเยรีโคต่อสู้กับพวกเจ้า และอีกทั้งชาวอาโมร์ ชาวเปริส ชาวคานาอัน ชาวฮิต ชาวเกอร์กาช ชาวฮีว และชาวเยบุสด้วย และเรามอบเขาเหล่านั้นไว้ในมือของพวกเจ้า 12 และเราส่งฝูงแตนไปล่วงหน้าเจ้า ขับไล่กษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมร์ไปให้พ้นทางเจ้า มิใช่ด้วยดาบหรือธนูของเจ้า[k] 13 เราให้แผ่นดินแก่เจ้า ซึ่งไม่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของเจ้าเอง เราให้เมืองที่เจ้าไม่ได้สร้างขึ้นเอง และพวกเจ้าก็อาศัยอยู่ได้ เจ้ากินผลจากสวนองุ่นและสวนมะกอกที่พวกเจ้าไม่ได้ปลูกเอง’
14 บัดนี้จงเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า และรับใช้พระองค์ด้วยใจจริงและความภักดี จงกำจัดบรรดาเทวรูปที่บรรพบุรุษของพวกท่านรับใช้ที่โพ้นแม่น้ำและในประเทศอียิปต์ และจงรับใช้พระผู้เป็นเจ้า 15 และถ้าท่านเห็นว่าการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าเป็นสิ่งไม่ดี ท่านก็จงเลือกในวันนี้ว่า ท่านจะรับใช้ผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าที่บรรพบุรุษของท่านรับใช้ที่โพ้นแม่น้ำ หรือบรรดาเทพเจ้าของชาวอาโมร์ในแผ่นดินที่ท่านอาศัยอยู่ แต่สำหรับข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า พวกเราจะรับใช้พระผู้เป็นเจ้า”
16 แล้วประชาชนตอบว่า “ไม่มีวันที่เราจะทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า เพื่อไปรับใช้เทพเจ้าอื่นๆ 17 เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราเป็นผู้นำพวกเราและบรรพบุรุษของเราขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ ออกมาจากเรือนทาส พระองค์แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ให้พวกเราเห็น และคุ้มครองเรามาโดยตลอดทางและในท่ามกลางชนชาติทั้งปวงที่เราเดินทางผ่านมา 18 และพระผู้เป็นเจ้าขับไล่ชนชาติทั้งปวงไปให้พ้นหน้าพวกเรา คือชาวอาโมร์ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดิน ฉะนั้นพวกเราจะรับใช้พระผู้เป็นเจ้าด้วย เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าของเรา”
19 แต่โยชูวาพูดกับประชาชนว่า “ท่านไม่สามารถรับใช้พระผู้เป็นเจ้าได้ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าบริสุทธิ์ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้หวงแหน พระองค์จะไม่ยกโทษการล่วงละเมิดหรือบาปของพวกท่าน 20 ถ้าท่านทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า และไปบูชาบรรดาเทพเจ้าต่างชาติ พระองค์ก็จะหันกลับและให้สิ่งร้ายๆ เกิดขึ้นกับท่าน และเผาผลาญท่านเสีย แม้ว่าพระองค์ได้กระทำดีต่อท่านมาแล้วก็ตาม” 21 และประชาชนพูดกับโยชูวาว่า “เราไม่เป็นเช่นนั้น แต่เราจะรับใช้พระผู้เป็นเจ้า” 22 แล้วโยชูวาพูดกับประชาชนว่า “พวกท่านให้คำพยานด้วยตนเองว่า ท่านได้เลือกพระผู้เป็นเจ้าเพื่อรับใช้พระองค์” และเขาทั้งหลายพูดว่า “พวกเราเป็นพยาน” 23 ท่านพูดว่า “ฉะนั้นแล้ว ท่านจงกำจัดเทวรูปของชาวต่างชาติที่อยู่ในหมู่พวกท่านเสีย และน้อมใจของท่านเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล” 24 และประชาชนพูดกับโยชูวาว่า “พวกเราจะรับใช้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา และเราจะเชื่อฟังพระองค์” 25 ดังนั้น โยชูวาจึงทำพันธสัญญากับประชาชนในวันนั้น และวางกฎเกณฑ์และข้อกำหนดให้พวกเขาที่เชเคม 26 โยชูวาเขียนคำเหล่านี้ลงในหนังสือกฎบัญญัติของพระเจ้า และท่านเอาก้อนหินใหญ่ตั้งไว้ใต้ต้นโอ๊กที่อยู่ข้างที่พำนักของพระผู้เป็นเจ้า 27 และโยชูวาพูดกับประชาชนทั้งปวงว่า “ดูเถิด หินก้อนนี้จะเป็นพยานให้แก่พวกเรา เนื่องจากได้ยินทุกคำของพระผู้เป็นเจ้าที่กล่าวแก่พวกเราแล้ว ฉะนั้นหินก้อนนี้จะเป็นพยานท่ามกลางพวกท่าน เกรงว่าพวกท่านไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าของท่าน” 28 ดังนั้น โยชูวาจึงให้ประชาชนกลับไป แต่ละคนไปยังดินแดนที่ตนได้รับเป็นมรดก
โยชูวาสิ้นชีวิต
29 หลังจากนั้น โยชูวาบุตรของนูนผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าก็สิ้นชีวิต มีอายุ 110 ปี 30 เขาทั้งหลายฝังท่านไว้ในดินแดนที่ท่านได้รับเป็นมรดกที่ทิมนาทเสราห์ ซึ่งอยู่ในแถบภูเขาแห่งเอฟราอิม ทางทิศเหนือของภูเขากาอัช
31 อิสราเอลรับใช้พระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิตของโยชูวา และตลอดชีวิตของบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ที่มีอายุยืนกว่าโยชูวา และมีประสบการณ์กับทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากระทำเพื่ออิสราเอล
32 กระดูกของโยเซฟที่ชาวอิสราเอลนำขึ้นมาจากอียิปต์นั้น พวกเขาก็ฝังไว้ที่เชเคม บนผืนดินที่ยาโคบซื้อไว้จากบรรดาบุตรของฮาโมร์บิดาของเชเคม เป็นจำนวน 100 เหรียญเงิน[l] ที่ดินนี้ตกเป็นมรดกของบรรดาผู้สืบเชื้อสายของโยเซฟ
33 และเอเลอาซาร์บุตรของอาโรนก็สิ้นชีวิต และเขาทั้งหลายฝังท่านไว้ที่กิเบอาห์ซึ่งอยู่ในแถบภูเขาแห่งเอฟราอิม และมอบไว้ให้แก่ฟีเนหัสบุตรของท่าน
การสู้รบอันต่อเนื่องกับชาวคานาอัน
1 หลังจากที่โยชูวาเสียชีวิตไปแล้ว ชาวอิสราเอลถามพระผู้เป็นเจ้าว่า “ใครจะนำหน้าพวกเราขึ้นไปสู้รบกับชาวคานาอัน” 2 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ยูดาห์จะขึ้นไป ดูเถิด เราได้มอบแผ่นดินนั้นไว้ในมือของเขาแล้ว” 3 ยูดาห์จึงพูดกับสิเมโอนพี่ของเขาว่า “ขึ้นไปกับเราเถิด เราจะได้เข้าไปในพรมแดนที่แบ่งให้เราไว้แล้ว พวกเราจะได้สู้รบกับชาวคานาอัน แล้วเราก็จะไปกับท่าน เข้าไปในพรมแดนที่แบ่งให้ท่านไว้แล้วเช่นกัน” ดังนั้นสิเมโอนจึงไปกับเขา 4 ครั้นแล้วยูดาห์ก็ขึ้นไป พระผู้เป็นเจ้ามอบชาวคานาอันและชาวเปริสไว้ในมือของพวกเขา และฆ่าคนจำนวน 10,000 คนที่เบเซก 5 พวกเขาพบอาโดนีเบเซกที่เบเซก และสู้รบกับเขาที่นั่น ฆ่าชาวคานาอันและชาวเปริส 6 ส่วนอาโดนีเบเซกหนีไป แต่พวกเขาก็ตามล่าและจับตัวเขาไว้ได้ เขาจึงถูกตัดนิ้วหัวแม่มือและหัวแม่เท้า 7 แล้วอาโดนีเบเซกพูดว่า “บรรดากษัตริย์ 70 ท่านถูกตัดนิ้วหัวแม่มือและหัวแม่เท้า เคยเก็บเศษอาหารใต้โต๊ะของเรา สิ่งที่เราได้กระทำไปแล้ว พระเจ้าก็กระทำตอบกลับคืนแก่เรา” แล้วพวกเขาก็นำตัวเขาไปยังเยรูซาเล็ม และเขาก็สิ้นชีวิตที่นั่น
8 ชาวยูดาห์โจมตีเยรูซาเล็มและยึดไว้ได้ จากนั้นก็ฆ่าชาวเมืองด้วยคมดาบและเผาเมืองเสีย 9 ต่อมาชาวยูดาห์ก็ลงไปสู้รบกับชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในแถบภูเขา ในเนเกบ และที่ลุ่ม 10 ยูดาห์ไปสู้รบกับชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเฮโบรน (ชื่อเก่าของเฮโบรนคือ คีริยาทอาร์บาห์) และได้ฆ่าเชชัย อาหิมาน และทัลมัย
11 และเขาไปจากที่นั่นเพื่อสู้รบกับผู้อยู่อาศัยของเมืองเดบีร์ ก่อนหน้านั้นเมืองเดบีร์ชื่อ คีริยาทเสเฟอร์ 12 และคาเลบพูดว่า “ผู้ใดโจมตีและยึดคีริยาทเสเฟอร์ได้ เราจะยกอัคสาห์บุตรสาวของเราให้เป็นภรรยา” 13 โอทนีเอลบุตรของเคนัสผู้เป็นน้องคาเลบยึดเมืองไว้ได้ เขาจึงยกอัคสาห์บุตรหญิงของเขาให้เป็นภรรยา 14 เมื่อนางไปหาโอทนีเอล นางก็จูงใจเขาเพื่อจะขอทุ่งนาแห่งหนึ่งจากบิดาของนาง นางลงจากลา คาเลบจึงถามนางว่า “เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ” 15 นางพูดว่า “ขอพรให้ลูก ในเมื่อท่านได้ให้ดินแดนเนเกบแก่ลูกแล้ว ก็ให้น้ำพุแก่ลูกด้วยเถิด” แล้วเขาก็ยกน้ำพุที่อยู่ด้านบนและด้านล่างให้นางไป
16 บรรดาผู้สืบเชื้อสายของพ่อตาโมเสสคือชาวเคน ก็ได้พากันขึ้นไปกับชาวยูดาห์จากเมืองแห่งต้นอินทผลัม เข้าไปยังถิ่นทุรกันดารยูดาห์ซึ่งอยู่ในเนเกบใกล้อาราด และได้ไปตั้งรกรากอยู่กับชาวเมืองนั้น 17 ยูดาห์กับสิเมโอนพี่ชายของเขาไปร่วมกันฆ่าชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองเศฟัท และมอบให้เป็นดั่งของถวาย ฉะนั้นเมืองนั้นจึงชื่อโฮร์มาห์ 18 ยูดาห์ยึดเมืองกาซา อัชเคโลนและเอโครน พร้อมทั้งอาณาเขตโดยรอบเมืองเหล่านี้ 19 พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับยูดาห์ เขาได้ยึดครองดินแดนในแถบภูเขา แต่ไม่สามารถขับไล่ชาวเมืองที่อยู่ในที่ราบให้ออกไปได้ เหตุเพราะพวกเขามีรถศึกที่ทำด้วยเหล็ก 20 เมืองเฮโบรนถูกยกให้เป็นของคาเลบตามที่โมเสสกล่าวไว้ แล้วท่านได้ขับไล่บุตรชายทั้งสามของอานาคออกไปจากที่นั่น 21 แต่ชาวเบนยามินไม่ได้ขับไล่ชาวเยบุสที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มออกไป ฉะนั้นชาวเยบุสจึงได้อาศัยอยู่กับชาวเบนยามินในเยรูซาเล็มมาจนถึงทุกวันนี้
22 พงศ์พันธุ์ของโยเซฟได้ขึ้นไปต่อสู้กับเมืองเบธเอลด้วย พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกเขา 23 พงศ์พันธุ์ของโยเซฟได้ไปสำรวจเบธเอล (แต่เดิมเมืองนี้ชื่อ ลูส) 24 พวกสอดแนมเหล่านั้นเห็นชายผู้หนึ่งกำลังออกมาจากเมือง จึงพูดกับเขาว่า “ช่วยบอกทางเข้าไปในเมืองให้พวกเราด้วย แล้วเราจะเมตตาเจ้า” 25 ชายผู้นั้นก็ได้ชี้ทางเข้าไปในเมืองให้ แล้วพวกเขาฆ่าฟันคนทั้งเมือง แต่ปล่อยให้ชายคนนั้นกับครอบครัวไป 26 ชายคนนั้นได้เข้าไปในดินแดนของชาวฮิตและสร้างเมือง เรียกชื่อเมืองว่า ลูส ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มาจนถึงทุกวันนี้
ชัยชนะที่ไม่เด็ดขาด
27 มนัสเสห์ไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองเบธชาน ชาวเมืองทาอานาค ชาวเมืองโดร์ ชาวเมืองอิบเลอัม และชาวเมืองเมกิดโด แม้แต่ตามหมู่บ้านของเมืองดังกล่าวก็ไม่ได้ขับไล่ผู้คนออกไป เพราะว่าชาวคานาอันยังขัดขืนอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นต่อไป 28 เมื่อชาวอิสราเอลมีกำลังมากขึ้นก็เกณฑ์ชาวคานาอันมาทำงานหนัก แต่ก็ไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด
29 เอฟราอิมไม่ได้ขับไล่ชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ ฉะนั้นชาวคานาอันก็ยังอาศัยอยู่ในเกเซอร์ในหมู่พวกเขา
30 เศบูลุนไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองคิทโรนและชาวเมืองนาหะโลลออกไป ฉะนั้นชาวคานาอันยังอาศัยอยู่ในหมู่พวกเขา แต่ก็ถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก
31 อาเชอร์ไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองอัคโค ชาวเมืองไซดอน ชาวเมืองอัคลาบ ชาวเมืองอัคซีบ ชาวเมืองเฮลบาห์ ชาวเมืองอาเฟก และชาวเมืองเรโหบ 32 ฉะนั้นชาวอาเชอร์ก็ได้อาศัยอยู่ในหมู่ชาวคานาอันซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนั้น เนื่องจากที่ไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไป
33 นัฟทาลีไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองเบธเชเมช และชาวเมืองเบธานาท ฉะนั้นพวกเขาจึงได้อาศัยอยู่ในหมู่ชาวคานาอันซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนั้น แต่ชาวเมืองเบธเชเมชและเบธานาทก็ยังถูกเกณฑ์มาทำงานหนักให้พวกเขา
34 ชาวอาโมร์บังคับชาวดานให้กลับไปในดินแดนแถบภูเขา ไม่ปล่อยให้ลงมายังที่ราบ 35 ชาวอาโมร์ยังขัดขืนอาศัยอยู่ที่ภูเขาเฮเรส ในเมืองอัยยาโลน และในเมืองชาอัลบิม แต่พงศ์พันธุ์ของโยเซฟมีกำลังเหนือกว่า ชาวอาโมร์จึงถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก 36 อาณาเขตของชาวอาโมร์เริ่มจากเนินสูงอัครับบิม จากเส-ลาและเลยขึ้นไปอีก
อิสราเอลไม่เชื่อฟัง
2 บัดนี้ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าขึ้นไปจากกิลกาลถึงโบคิม และกล่าวว่า “เราได้นำพวกเจ้าขึ้นมาจากประเทศอียิปต์ และให้เข้าไปในแผ่นดินที่เราได้ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่เหล่าบรรพบุรุษของเจ้า เราได้กล่าวไว้ว่า ‘เราจะไม่มีวันยกเลิกพันธสัญญากับเจ้า 2 และเจ้าจะต้องไม่ทำพันธสัญญากับผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนี้ เจ้าต้องทำลายแท่นบูชาของพวกเขา’ แต่พวกเจ้าไม่ได้เชื่อฟังเรา เจ้าทำอะไรลงไป 3 บัดนี้เราบอกให้เจ้ารู้ว่า เราจะไม่ขับไล่พวกเขาออกไปให้พ้นหน้าเจ้า แต่พวกเขากลับจะเป็นหอกข้างแคร่ของเจ้า และบรรดาเทพเจ้าของพวกเขาจะนำความลำบากมาให้เจ้า” 4 ทันทีที่ทูตสวรรค์กล่าวแก่ชาวอิสราเอลทั้งปวงจบ พวกเขาก็ส่งเสียงร้องไห้ 5 แล้วเรียกชื่อสถานที่แห่งนั้นว่า โบคิม พวกเขาถวายเครื่องสักการะที่นั่นแด่พระผู้เป็นเจ้า
โยชูวาสิ้นชีวิต
6 ครั้นโยชูวาปล่อยให้ชาวอิสราเอลไปแล้ว ทุกคนต่างก็ไปยึดครองแผ่นดินเป็นมรดกของตนเอง 7 ประชาชนรับใช้พระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิตของโยชูวา และตลอดชีวิตของบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ที่มีอายุยืนกว่าโยชูวา และได้เห็นทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากระทำเพื่ออิสราเอล 8 โยชูวาบุตรของนูน เป็นผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า ได้เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 110 ปี 9 เขาทั้งหลายก็ฝังท่านไว้ในบริเวณที่ดินที่เป็นมรดกของท่านที่ทิมนาทเฮเรส ในแถบภูเขาเอฟราอิม ทางด้านเหนือของภูเขากาอัช 10 ทุกคนในรุ่นนั้นด้วยที่ถูกบรรจุศพรวมไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาที่ล่วงลับไปแล้ว หลังจากนั้นรุ่นถัดไปก็เติบใหญ่ตามมา เป็นรุ่นที่ไม่รู้จักพระผู้เป็นเจ้าและสิ่งที่พระองค์ได้กระทำเพื่ออิสราเอล
ความไม่ภักดีของอิสราเอล
11 ชาวอิสราเอลกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และบูชาเทวรูปบาอัล 12 พวกเขาทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา และนำพวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ พวกเขาติดตามและก้มกราบบรรดาเทพเจ้า ซึ่งเป็นเทพเจ้าของชนชาติอื่นที่อยู่รอบข้างเขา นับว่าเป็นการยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้า 13 พวกเขาทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า แล้วไปบูชาพวกเทวรูปบาอัลและอัชโทเรท 14 อิสราเอลยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์มอบพวกเขาไว้ในมือของพวกผู้ร้ายที่เข้ามาปล้นระดม และพระองค์ขายพวกเขาให้แก่บรรดาศัตรูที่อยู่รอบข้างจนเขาไม่สามารถยืนหยัดต่อศัตรูของเขาได้ 15 เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาออกศึก มือของพระผู้เป็นเจ้าก็ต่อต้านเขาและทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้เตือนและสัญญาไว้ พวกเขาจึงตกอยู่ในความทุกข์หนักยิ่งนัก
พระผู้เป็นเจ้ากำหนดผู้วินิจฉัย
16 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าจึงกำหนดบรรดาผู้วินิจฉัยขึ้น เพื่อช่วยชาวอิสราเอลให้รอดจากเงื้อมมือของพวกโจร 17 แม้กระนั้น พวกเขาก็ยังไม่เชื่อฟังบรรดาผู้วินิจฉัย เพราะได้ติดตามและก้มกราบบรรดาเทพเจ้า เป็นการประพฤติดั่งหญิงแพศยา ต่อจากนั้นไม่นานนัก พวกเขาก็ได้หันเหไปจากวิถีชีวิตของเหล่าบรรพบุรุษที่ได้เชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพวกเขาเองไม่กระทำตาม 18 เมื่อใดก็ตามที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดบรรดาผู้วินิจฉัยให้พวกเขา พระผู้เป็นเจ้าก็อยู่กับผู้วินิจฉัย และพระองค์ช่วยพวกเขาให้รอดจากมือของศัตรูจนตลอดชีวิตของผู้วินิจฉัย เพราะพระผู้เป็นเจ้าสงสารเวลาพวกเขาคร่ำครวญเมื่อได้รับความทุกข์และถูกบีบบังคับ 19 แต่เมื่อใดที่ผู้วินิจฉัยสิ้นชีวิต พวกเขาก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมและเสื่อมทรามยิ่งกว่าบรรพบุรุษของตน เขาหันไปเชื่อบรรดาเทพเจ้า บูชาและกราบไหว้สิ่งเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้ละเว้นจากการปฏิบัติและยังหัวรั้นในวิถีทางของตน 20 ดังนั้น ความโกรธของพระผู้เป็นเจ้าจึงมุ่งไปที่ชาวอิสราเอล พระองค์จึงกล่าวว่า “เป็นเพราะประชาชาตินี้ได้กระทำบาปต่อบัญญัติของเรา ซึ่งเราได้บัญชาบรรพบุรุษของเขาไว้ และไม่ได้เชื่อฟังเรา 21 โยชูวาปล่อยให้บรรดาประชาชาติอยู่ต่อในแผ่นดินเวลาที่เขาสิ้นชีวิต เราก็จะให้พวกเขาอยู่ต่อไปอีก เพราะเราจะไม่ขับไล่พวกเขาออกไปให้พ้นหน้าชาวอิสราเอลอีกต่อไปแล้ว 22 เราจะใช้พวกเขาเป็นการทดสอบชาวอิสราเอล และดูว่าเขาจะปฏิบัติตามวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าและดำเนินตามที่บรรพบุรุษของพวกเขากระทำหรือไม่” 23 ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงปล่อยให้ประชาชาติเหล่านั้นอยู่ต่อไป พระองค์ไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไปทันที และพระองค์ไม่ได้มอบพวกเขาไว้ในมือของโยชูวา
3 บรรดาประชาชาติที่พระผู้เป็นเจ้าปล่อยไว้ เพื่อใช้พวกเขาเป็นการทดสอบชาวอิสราเอลที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในสงครามที่คานาอัน 2 เพียงเพื่อใช้เป็นการสอนเรื่องการสงครามแก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของอิสราเอลที่ยังไม่เคยสู้รบในสงครามมาก่อน 3 ชาติเหล่านี้คือ ผู้ปกครองทั้งห้าของชาวฟีลิสเตีย ชาวคานาอันทั้งหมด ชาวไซดอน และชาวฮีวที่อาศัยอยู่บนภูเขาเลบานอน จากภูเขาบาอัลเฮอร์โมนจนถึงเลโบฮามัท 4 เขาเหล่านั้นอยู่ต่อไปเพื่อทดสอบชาวอิสราเอลว่า พวกเขาจะเชื่อฟังคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้ให้แก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาผ่านทางโมเสสหรือไม่ 5 ฉะนั้นชาวอิสราเอลได้อาศัยอยู่ท่ามกลางชาวคานาอัน ชาวฮิต ชาวอาโมร์ ชาวเปริส ชาวฮีว และชาวเยบุส 6 และแต่งงานกับพวกบุตรหญิงของชนชาติเหล่านี้ อีกทั้งยกบุตรหญิงของตนให้พวกบุตรชายของเขาด้วย และบูชาบรรดาเทพเจ้าของพวกเขา
โอทนีเอล
7 ชาวอิสราเอลกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาลืมพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขา และไปบูชาพวกเทวรูปบาอัลและอาเชราห์ 8 พระผู้เป็นเจ้ากริ้วอิสราเอลมาก พระองค์จึงมอบพวกเขาไว้ในมือของคูชันริชาธาอิมกษัตริย์แห่งอารัมนาหะราอิม[m] และชาวอิสราเอลอยู่ภายใต้การควบคุมของคูชันริชาธาอิมเป็นเวลา 8 ปี 9 แต่เมื่อชาวอิสราเอลร้องทุกข์ต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าก็ได้กำหนดผู้ช่วยให้พ้นภัยผู้หนึ่งให้กับพวกเขา คนนั้นคือโอทนีเอลบุตรของเคนัสผู้เป็นน้องคาเลบ 10 พระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้วินิจฉัยของอิสราเอล และสู้รบในสงคราม พระผู้เป็นเจ้ามอบคูชันริชาธาอิมกษัตริย์แห่งอารัม[n]ไว้ในมือของโอทนีเอลและเขาก็รบชนะคูชันริชาธาอิม 11 ดังนั้นแผ่นดินจึงอยู่ในความสงบเป็นเวลา 40 ปี หลังจากนั้นโอทนีเอลบุตรของเคนัสก็สิ้นชีวิต
เอฮูด
12 ต่อมาชาวอิสราเอลก็ได้กระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าอีก พระผู้เป็นเจ้าจึงเสริมกำลังให้เอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล เนื่องจากพวกเขาได้กระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า 13 เอกโลนได้รับความร่วมมือจากชาวอัมโมนและชาวอามาเลข และตีอิสราเอลจนพ่ายแพ้ไป พวกเขายึดครองเมืองแห่งต้นอินทผลัม 14 ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของเอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับเป็นเวลา 18 ปี
15 ครั้นแล้วชาวอิสราเอลร้องทุกข์ต่อพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าก็กำหนดผู้ช่วยให้พ้นภัยผู้หนึ่งให้กับพวกเขา เขาคือเอฮูดบุตรของเก-ราชาวเบนยามิน เป็นคนถนัดมือซ้าย ชาวอิสราเอลส่งของกำนัลไปกับเขาเพื่อมอบให้เอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับ 16 เอฮูดทำดาบสองคมเล่มหนึ่งยาวประมาณ 1 ศอก และสะพายไว้ใต้เสื้อที่ต้นขาขวา 17 เขามอบของกำนัลแก่เอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับซึ่งเป็นคนอ้วนมาก 18 เมื่อเอฮูดมอบของกำนัลเรียบร้อยแล้ว เขาก็ส่งคนที่ขนของกำนัลมาให้กลับไปก่อน 19 ส่วนเขาเองย้อนกลับมายังรูปเคารพที่อยู่ใกล้กิลกาลเขากล่าวว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพเจ้ามีข่าวลับจะแจ้งให้ท่านทราบ” กษัตริย์ออกคำสั่งว่า “เงียบก่อน” และบรรดาผู้รับใช้ทุกคนก็ออกไปจากห้อง 20 เอฮูดจึงเข้าไปหากษัตริย์ที่กำลังนั่งอยู่เพียงลำพังในห้องเย็นใต้หลังคา เอฮูดพูดว่า “ข้าพเจ้ามีข่าวสารจากพระเจ้าถึงท่าน” ท่านจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง 21 แล้วเอฮูดใช้มือซ้ายเอื้อมเอาดาบจากต้นขาขวาแทงเข้าที่หน้าท้องของกษัตริย์ 22 ด้ามดาบเลื่อนตามเข้าไปด้วย ไขมันหุ้มดาบไว้ เพราะเขาไม่ได้ดึงดาบออกจากหน้าท้อง และไส้ก็ไหลออกมา 23 ครั้นแล้วเอฮูดก็ออกไปที่เฉลียง ปิดประตูห้องใต้หลังคาและลั่นกุญแจไว้
24 เมื่อเอฮูดไปแล้ว พวกผู้รับใช้มา เมื่อเห็นว่าประตูห้องใต้หลังคาถูกลั่นกุญแจไว้ ก็คิดกันว่า “ท่านคงต้องอยู่ในห้องสุขาที่ห้องเย็นอย่างแน่นอน” 25 เมื่อพวกเขารออยู่เป็นนานจนรู้สึกเอะใจ แต่ในเมื่อเขายังไม่เปิดประตูห้องใต้หลังคา พวกเขาจึงเปิดกุญแจประตู จึงพบว่าเจ้านายของพวกเขานอนสิ้นชีวิตอยู่บนพื้น
26 เอฮูดหนีไปได้ขณะที่เขาเหล่านั้นยังชักช้าอยู่ เขาหนีเลยเขตที่มีรูปเคารพข้ามไปเสอีราห์ 27 เมื่อเขามาถึงที่หมาย เขาก็เป่าแตรงอน[o]ในแถบภูเขาแห่งเอฟราอิม แล้วชาวอิสราเอลจึงลงจากแถบภูเขาไปกับเขา ยกให้เขาเป็นผู้นำของพวกเขา
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation