Bible in 90 Days
พระดำรัสเกี่ยวกับโมอับ(A)
48 พระดำรัสของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
พระเจ้าแห่งอิสราเอลเกี่ยวกับโมอับความว่า
“วิบัติแก่เนโบ เพราะมันจะถูกทำลาย
คีริยาธาอิมจะอัปยศอดสูและถูกยึด
ป้อมที่มั่น[a]จะอัปยศอดสูและพังทลาย
2 โมอับจะไม่เป็นที่ยกย่องอีกแล้ว
ในเฮชโบน[b]ผู้คนจะวางแผนโค่นล้มโมอับว่า
‘มาเถิด ให้เราทำให้ชนชาตินี้สิ้นไป’
มัดเมน[c]เอ๋ย เจ้าเองก็จะถูกทำให้เงียบงันเช่นกัน
ดาบจะตามล่าเจ้า
3 ฟังเสียงร้องจากโฮโรนาอิมสิ
เสียงห้ำหั่น และเสียงเข้าทำลายล้างขนานใหญ่
4 โมอับจะแหลกลาญ
บรรดาลูกน้อยของเธอร้องเสียงดัง[d]
5 พวกเขาขึ้นไปตามทางสู่ลูฮิท
ร้องไห้อย่างขมขื่นขณะเดินไป
ตามเส้นทางสู่โฮโรนาอิม
ได้ยินเสียงร้องโหยหวนเพราะถูกทำลาย
6 หนีเร็ว! จงหนีเอาชีวิตรอดเถิด
จงเป็นเหมือนพุ่มไม้[e]ในถิ่นกันดารเถิด
7 เพราะเจ้าวางใจในทรัพย์สมบัติและความสามารถของตนเอง
เจ้าจึงจะตกเป็นเชลยด้วย
และพระเคโมชจะถูกเนรเทศไปต่างแดน
พร้อมกับบรรดาปุโรหิตและเหล่าขุนนางของตน
8 ผู้ทำลายจะมาต่อสู้ทุกเมือง
และไม่มีสักเมืองเดียวรอดไปได้
หุบเขาและที่ราบสูงจะถูกทำลาย
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว
9 จงเอาเกลือใส่โมอับเถิด
เพราะมันจะร้างเปล่า[f]
หัวเมืองต่างๆ จะถูกทิ้งร้าง
ไม่มีคนอยู่อาศัย
10 “คำสาปแช่งตกอยู่แก่ผู้เฉื่อยช้าในการทำงานที่องค์พระผู้เป็นเจ้ามอบหมายให้!
คำสาปแช่งมีแก่ผู้เก็บดาบไว้ ไม่ยอมทำให้เลือดชโลมดิน!
11 “โมอับอยู่สงบมาตั้งแต่เยาว์วัย
เหมือนเหล้าองุ่นที่ทิ้งไว้ทั้งตะกอน
ไม่มีการเปลี่ยนถ่ายใส่ไหใหม่
ไม่เคยตกเป็นเชลย
ฉะนั้นรสชาติจึงคงเดิม
และกลิ่นก็ไม่เปลี่ยน
12 แต่วันเวลาจะมาถึง”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“เมื่อเราจะส่งคนมาเทโมอับ
ออกจากไห
พวกเขาจะเทโมอับออกจนเกลี้ยง
แล้วทุบไหแตกเป็นเสี่ยงๆ
13 เมื่อนั้นโมอับจะอับอายขายหน้าเพราะพระเคโมช
เหมือนที่วงศ์วานอิสราเอลอับอายขายหน้า
เมื่อวางใจในเบธเอล
14 “เจ้าพูดออกมาได้อย่างไรว่า ‘เราเป็นนักรบ
เป็นผู้แกล้วกล้าในสงคราม’?
15 โมอับจะถูกทำลาย และหัวเมืองต่างๆ จะถูกย่ำยี
ชายหนุ่มชั้นยอดของโมอับจะถูกประหาร”
องค์กษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น
16 “โมอับจวนจะล่มแล้ว
ความย่อยยับของมันจะมาถึงอย่างรวดเร็ว
17 บรรดาผู้อยู่รายรอบโมอับ จงไว้อาลัยให้มัน
บรรดาผู้รู้ถึงชื่อเสียงของโมอับ
กล่าวว่า ‘คทาเกรียงไกรแหลกลาญถึงเพียงนี้หนอ
ไม้เท้าอันทรงสง่าราศีแตกหักถึงเพียงนี้!’
18 “ชาวดีโบนเอ๋ย
จงลงจากที่สูงศักดิ์ของเจ้า
มานั่งบนพื้นดินแตกระแหงเถิด
เพราะผู้ที่ทำลายล้างโมอับ
จะมาเล่นงานเจ้า
และจะทำลายเมืองป้อมปราการต่างๆ ของเจ้า
19 ชาวเมืองอาโรเออร์
จงออกมายืนดูริมถนน
จงถามชายหญิงที่กำลังหนีจ้าละหวั่นว่า
‘เกิดอะไรขึ้น?’
20 โมอับขายหน้าเพราะมันถูกขยี้แหลกลาญ
จงร้องไห้คร่ำครวญเถิด!
จงป่าวร้องริมแม่น้ำอารโนนว่า
โมอับถูกทำลายแล้ว
21 การพิพากษาลงโทษมาถึงที่ราบสูงแล้ว
ถึงโฮโลน ยาซาห์ และเมฟาอาท
22 ถึงดีโบน เนโบ และเบธดิบลาธาอิม
23 ถึงคีริยาธาอิม เบธกามุล และเบธเมโอน
24 ถึงเคริโอท และโบสราห์
ถึงหัวเมืองทั้งปวงของโมอับทั้งใกล้และไกล
25 พลัง[g]ของโมอับถูกตัดขาดเสียแล้ว
และแขนของมันก็ถูกหัก”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
26 “จงทำให้โมอับมึนเมา
เพราะมันลบหลู่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ให้โมอับเกลือกกลิ้งอยู่ในอาเจียนของตน
ให้มันเป็นเป้าของการเย้ยหยัน
27 อิสราเอลก็เป็นเป้าให้เจ้าเยาะเย้ยแล้วไม่ใช่หรือ?
อิสราเอลตกอยู่ในหมู่โจร
ให้เจ้าส่ายหน้าเย้ยหยัน
ทุกครั้งที่เอ่ยถึงไม่ใช่หรือ?
28 ทิ้งเมืองไปอยู่ตามซอกหินเถิด
ชาวโมอับทั้งหลาย
จงเป็นดั่งนกพิราบ
ซึ่งทำรังไว้ที่ปากถ้ำ
29 “เราได้ยินถึงความหยิ่งทะนงของโมอับ
ความอวดดี ความจองหอง
ความลำพอง และความเย่อหยิ่ง
และความฮึกเหิมในใจของโมอับ
30 เรารู้ความกำเริบเสิบสานของมันซึ่งเปล่าประโยชน์”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“และคำคุยโวของโมอับก็ไร้สาระ
31 ฉะนั้นเราจึงร่ำไห้ให้กับโมอับ
เราร้องไห้เพื่อโมอับทั้งปวง
เราคร่ำครวญให้ผู้คนของคีร์หะเรเสท
32 เถาองุ่นแห่งสิบมาห์เอ๋ย
เราร่ำไห้ให้เจ้าดังที่ยาเซอร์ร่ำไห้
กิ่งก้านสาขาของเจ้าแผ่ขยายไปไกลถึงทะเล
ทอดไปไกลถึงทะเลแห่งยาเซอร์
ผู้ทำลายได้จู่โจม
เถาองุ่นและผลไม้สุกของเจ้าแล้ว
33 ความสุขยินดีสูญสิ้นไป
จากเรือกสวนและท้องทุ่งของโมอับ
เราทำให้น้ำองุ่นหยุดไหลจากบ่อย่ำองุ่นเสียแล้ว
ไม่มีคนย่ำองุ่นพร้อมเสียงโห่ร้องยินดีอีกต่อไป
เสียงโห่ร้องที่มี
ไม่ใช่เสียงร่าเริงยินดี
34 “เสียงร่ำไห้ของพวกเขาดังขึ้น
จากเฮชโบนถึงเอเลอาเลห์และยาฮาส
จากโศอาร์ไปไกลถึงโฮโรนาอิมและเอกลัทเชลิชิยาห์
เพราะแม้แต่ห้วงน้ำแห่งนิมริมก็เหือดแห้ง
35 เราจะนำจุดจบ
มาสู่ผู้ถวายเครื่องบูชาในสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย
และเผาเครื่องหอมบูชาเทพเจ้าต่างๆ ของตนในโมอับ”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
36 “ฉะนั้นจิตใจของเราคร่ำครวญถึงโมอับเหมือนเสียงขลุ่ย
เสียงอ้อยส้อยเหมือนเสียงขลุ่ยเพื่อผู้คนแห่งคีร์หะเรเสท
ทรัพย์สมบัติที่พวกเขาได้มาก็สูญสิ้นไป
37 ทุกศีรษะถูกโกนโล้นเตียน
ทุกหนวดเคราถูกโกนเกลี้ยง
ทุกมือถูกกรีด
ทุกเอวคาดผ้ากระสอบ
38 ทุกหลังคาเรือนในโมอับ
และตามทางแยกสาธารณะ
มีแต่การไว้ทุกข์
เพราะเราทุบโมอับทิ้ง
เหมือนตุ่มไหที่ไม่มีใครต้องการ”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
39 “มันแหลกป่นปี้เพียงไร ดูพวกเขาร่ำไห้สิ
ดูสิว่าโมอับหันกลับด้วยความอัปยศอดสูเพียงไร!
โมอับกลายเป็นเป้าให้เย้ยหยัน
เป็นที่สยดสยองของบรรดาผู้ที่อยู่รายรอบ”
40 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“ดูเถิด! อินทรีตัวหนึ่งกำลังโฉบลงมา
กางปีกเหนือโมอับ
41 นครต่างๆ[h]และที่มั่นทั้งหลาย
จะถูกยึด
ในวันนั้นจิตใจของนักรบแห่งโมอับ
จะเหมือนจิตใจของผู้หญิงที่กำลังคลอดลูก
42 โมอับจะถูกทำลายสิ้นชาติ
เพราะลบหลู่องค์พระผู้เป็นเจ้า
43 ประชากรโมอับเอ๋ย
ความสยดสยอง หลุมพราง และกับดักรอคอยเจ้าอยู่”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
44 “ผู้ใดหนีเตลิดจากความสยดสยอง
จะตกในหลุมพราง
ผู้ใดปีนออกมาจากหลุมพราง
จะตกลงในกับดัก
เพราะเราจะนำปีแห่งการลงโทษ
มาเหนือโมอับ”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
45 “ผู้ลี้ภัยยืนอยู่ในร่มเงาของเฮชโบน
อย่างสิ้นเนื้อประดาตัว
เพราะมีไฟออกจากเฮชโบน
เปลวไฟแรงกล้าจากกลางสิโหน
เผาผลาญหน้าผากของโมอับ
เผากะโหลกศีรษะของนักคุยโวเสียงขรม
46 วิบัติแก่เจ้า โมอับเอ๋ย!
ไพร่พลของพระเคโมชถูกทำลายล้าง
บรรดาลูกชายลูกสาวของเจ้า
ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย
47 “ถึงกระนั้น ในภายภาคหน้า
เราจะให้โมอับกลับสู่สภาพดี”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
คำพิพากษาโทษโมอับจบลงเพียงเท่านี้
พระดำรัสเกี่ยวกับอัมโมน
49 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับชาวอัมโมนความว่า
“อิสราเอลไม่มีบุตรชายหรือ?
นางไม่มีทายาทหรือ?
ก็แล้วเหตุใดพระโมเลค[i]จึงเข้ายึดครองกาด?
เหตุใดชนชาติของเขาจึงเข้ามาอาศัยในเมืองต่างๆ ของกาด?
2 แต่วันเวลานั้นจะมาถึง”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“เมื่อเราจะโห่ร้องออกศึก
สู้กับรับบาห์ของชาวอัมโมน
มันจะกลายเป็นซากปรักหักพัง
และหมู่บ้านต่างๆ โดยรอบจะถูกเผา
แล้วอิสราเอลจะขับไล่
ชนชาติที่ได้ขับไล่ตนออกมา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น
3 “เฮชโบนเอ๋ย จงร่ำไห้เถิด เพราะอัยถูกทำลายแล้ว!
ชาวรับบาห์เอ๋ย ร้องออกมาเถิด
จงสวมเสื้อผ้ากระสอบและร่ำไห้เถิด
และวิ่งพล่านไปมาภายในกำแพง
เพราะพระโมเลคจะถูกเนรเทศ
ไปพร้อมกับบรรดาปุโรหิตและเหล่าขุนนางของตน
4 เหตุใดเจ้าจึงโอ้อวดถึงบรรดาหุบเขาของเจ้า
โอ้อวดว่าบรรดาหุบเขาของเจ้าอุดมสมบูรณ์นัก?
ธิดาผู้ไม่ซื่อสัตย์เอ๋ย
เจ้าไว้วางใจในทรัพย์สมบัติของเจ้าและคุยโอ่ว่า
‘ใครจะมาโจมตีเราได้?’
5 เราจะนำความสยดสยอง
จากประเทศเพื่อนบ้านทั้งปวงมายังเจ้า”
องค์พระผู้เป็นเจ้าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า
“พวกเจ้าทุกคนจะถูกขับไล่ออกไป
และจะไม่มีใครรวบรวมบรรดาผู้ลี้ภัยได้
6 “แต่ภายหลังเราจะให้ชาวอัมโมนกลับสู่สภาพดี”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
พระดำรัสเกี่ยวกับเอโดม(B)
7 พระดำรัสของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
เกี่ยวกับเอโดมความว่า
“ในเทมานไม่มีสติปัญญาอีกแล้วหรือ?
คำปรึกษาหารือสูญสิ้นไปจากคนชาญฉลาดแล้วหรือ?
สติปัญญาของเขาเน่าเปื่อยไปหมดแล้วหรือ?
8 ชาวเดดานเอ๋ย
จงหันหนีไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำลึก
เพราะเราจะนำหายนะมาสู่เอซาว
ในเวลาที่เราจะลงโทษเขา
9 หากคนเก็บองุ่นมาหาเจ้า
เขาจะไม่เหลือไว้บ้างนิดหน่อยหรือ?
หากขโมยมาในยามค่ำคืน
เขาจะไม่ขโมยไปเพียงเท่าที่เขาอยากได้หรือ?
10 แต่เราจะกวาดล้างดินแดนของเอซาวจนโล่งเตียน
เราจะเผยที่ซ่อนของเขา
จนเขาไม่สามารถหลบซ่อนได้
ลูกหลาน ญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านของเขาจะพินาศ
และเอซาวเองก็จะสูญสิ้น
11 ทิ้งลูกกำพร้าของเจ้าไว้เถิด เราจะคุ้มครองชีวิตของพวกเขา
แม่ม่ายของเจ้าก็พึ่งพาเราได้”
12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “หากผู้ที่ไม่สมควรรับโทษยังต้องดื่มจากถ้วยแห่งโทษทัณฑ์ แล้วเจ้าจะลอยนวลพ้นโทษไปได้หรือ? เจ้าจะไม่พ้นโทษไปได้หรอก เจ้าก็ต้องดื่มด้วย” 13 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เราปฏิญาณโดยอ้างตัวเราเองว่า โบสราห์จะกลายเป็นซากปรักหักพัง เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์และติเตียนสาปแช่ง หัวเมืองทั้งปวงของมันจะเป็นซากปรักหักพังตลอดไป”
14 ข้าพเจ้าได้ยินพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า
มีทูตคนหนึ่งถูกส่งออกไปยังประชาชาติต่างๆ เพื่อแจ้งว่า
“จงรวมกำลังกันไปบุกโจมตีเมืองนั้น!
ยกทัพไปรบเถิด!”
15 “บัดนี้เราจะทำให้เจ้าเล็กกระจ้อยร่อยในหมู่ประชาชาติ
เป็นที่เหยียดหยามในหมู่ผู้คน
16 ความสยดสยองที่เจ้าคิดขึ้น
และความหยิ่งผยองในใจได้หลอกลวงเจ้า
เจ้าผู้อาศัยอยู่ในซอกหิน
ผู้ครอบครองยอดเขา
แม้เจ้าจะสร้างรังไว้สูงเหมือนรังนกอินทรี
เราก็จะฉุดเจ้าให้ตกลงมา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
17 “เอโดมจะกลายเป็นเป้าของความสยดสยอง
บรรดาคนที่ผ่านไปมาจะตกตะลึงและจะเยาะเย้ยถากถาง
เนื่องด้วยบาดแผลทั้งสิ้นของมัน”
18 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“โสโดมและโกโมราห์ถูกทำลาย
พร้อมทั้งเมืองใกล้เคียงฉันใด
เอโดมก็จะไม่มีใครอยู่
ไม่มีใครอาศัยอีกต่อไปฉันนั้น
19 “ดุจสิงโตพุ่งออกมาจากพงไพรแห่งจอร์แดน
สู่ทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์
เราจะขับไล่เอโดมออกจากดินแดนของมันในชั่วพริบตา
ใครคือผู้ที่เราเลือกสรรแต่งตั้งเพื่อการนี้?
ใครจะเสมอเหมือนเราและใครจะท้าทายเราได้?
และคนเลี้ยงแกะหน้าไหนจะต้านทานเราได้?”
20 ฉะนั้นจงฟังแผนการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะจัดการกับเอโดม
สิ่งที่พระองค์ทรงดำริไว้ต่อสู้ผู้ที่อาศัยอยู่ในเทมาน
ลูกอ่อนในฝูงจะถูกลากไป
พระองค์จะทรงทำลายล้างทุ่งหญ้าของพวกเขาเพราะตัวพวกเขา
21 ทั่วโลกจะสั่นสะท้านเมื่อได้ยินเสียงเอโดมล่มสลาย
เสียงร้องของชาวเอโดมจะดังไปถึงทะเลแดง[j]
22 ดูเถิด! นกอินทรีตัวหนึ่งจะบินร่อนและโฉบลงมา
คลี่ปีกเหนือโบสราห์
วันนั้นจิตใจของนักรบเอโดม
จะเหมือนจิตใจของผู้หญิงที่กำลังคลอดลูก
พระดำรัสเกี่ยวกับดามัสกัส
23 พระดำรัสเกี่ยวกับดามัสกัสความว่า
“ฮามัทและอารปัดท้อแท้หดหู่
เพราะได้ยินข่าวร้าย
จิตใจของเขาจึงระย่อ
ทุรนทุรายเหมือน[k]ทะเลปั่นป่วน
24 ดามัสกัสก็หมดแรง
เขาหันหนี
และหวาดหวั่นจับใจ
ความทุกข์ทรมานร้าวรานจู่โจมจับหัวใจ
เจ็บปวดรวดร้าวดั่งผู้หญิงที่กำลังคลอดลูก
25 นครเลื่องชื่อซึ่งเราปีติยินดี
ถูกทอดทิ้งแล้วไม่ใช่หรือ?
26 แน่นอน หนุ่มฉกรรจ์ของกรุงนั้นจะล้มลงกลางถนน
ทหารทุกคนจะถูกสยบในวันนั้น”
พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น
27 “เราจะจุดไฟเผากำแพงดามัสกัส
มันจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของเบนฮาดัด”
พระดำรัสเกี่ยวกับเคดาร์และฮาโซร์
28 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับเคดาร์และอาณาจักรต่างๆ ของฮาโซร์ซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนได้บุกโจมตีความว่า
“จงลุกขึ้น บุกเข้าโจมตีเคดาร์
และทำลายล้างชาวถิ่นตะวันออก
29 เต็นท์และฝูงสัตว์ของเขาจะถูกยึดไป
ที่พักพิงของเขาจะถูกริบไป
พร้อมกับอูฐและข้าวของทั้งปวง
ผู้คนจะร้องบอกพวกเขาว่า
‘ความสยดสยองอยู่รอบด้าน!’
30 “ชนชาวฮาโซร์เอ๋ย จงหนีเร็ว!
ไปซ่อนตัวในถ้ำลึกเถิด”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนได้วางแผนต่อสู้เจ้า
และคิดเล่นงานเจ้า”
31 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“จงลุกขึ้นโจมตีประชาชาติ
ซึ่งเอกเขนกเอ้อระเหยอยู่อย่างมั่นใจ
ชนชาติซึ่งไม่มีประตูเมือง ไม่มีดาลประตู
อาศัยอยู่โดดเดี่ยวลำพัง
32 อูฐของพวกเขาจะกลายเป็นของปล้น
สัตว์ฝูงใหญ่ของพวกเขาจะกลายเป็นของริบ
เราจะทำให้คนที่อยู่ห่างไกล[l]กระจัดกระจายไปกับสายลม
และจะนำภัยพิบัติรอบด้านมายังพวกเขา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
33 “ฮาโซร์จะกลายเป็นถิ่นหมาใน
เป็นที่ถูกทิ้งร้างตลอดกาล
ไม่มีคนอยู่ที่นั่น
ไม่มีใครอาศัยที่นั่น”
พระดำรัสเกี่ยวกับเอลาม
34 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับเอลามซึ่งมีมาถึงผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ในต้นรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ความว่า
35 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า
“ดูเถิด เราจะหักธนูของเอลาม
ขุมกำลังของเขา
36 เราจะนำลมทั้งสี่จากย่านทั้งสี่ของฟ้าสวรรค์
มาเล่นงานคนเอลาม
เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปตามลมทั้งสี่
ไม่มีชาติไหนที่เอลาม
ไม่ได้ตกเป็นเชลย
37 เราจะทำให้เอลามแหลกป่นปี้ต่อหน้าศัตรู
ต่อหน้าคนที่หมายเอาชีวิตของเขา
เราจะนำภัยพิบัติ
และโทสะเกรี้ยวกราดลงมาเหนือเขา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“เราจะใช้ดาบตามล่าพวกเขา
จนกว่าพวกเขาจะถึงจุดจบ
38 เราจะตั้งบัลลังก์ของเราไว้ในเอลาม
และทำลายกษัตริย์กับเหล่าขุนนาง”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
39 “แต่ในภายภาคหน้า
เราจะให้เอลามกลับสู่สภาพดี”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
พระดำรัสเกี่ยวกับบาบิโลน(C)
50 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์เกี่ยวกับบาบิโลนและดินแดนของชาวบาบิโลน[m]ความว่า
2 “จงป่าวร้องและประกาศในหมู่ประชาชาติ
จงชูธงขึ้นประกาศออกไป
อย่าปิดบังเลย แต่จงกล่าวว่า
‘บาบิโลนจะถูกยึด
เบลจะอับอายขายหน้า
มาร์ดุคจะหวาดหวั่นขวัญผวา
เทวรูปของบาบิโลนจะอัปยศอดสู
และอกสั่นขวัญแขวน’
3 ชนชาติหนึ่งจากทางเหนือจะมาโจมตีบาบิโลน
ทำให้ดินแดนนั้นถูกทิ้งร้าง
ไม่มีใครอาศัยอยู่
ทั้งคนและสัตว์จะหนีเตลิดไปหมด”
4 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“ในเวลานั้น ชนอิสราเอลและยูดาห์
จะร่วมกันแสวงหาพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเขาด้วยน้ำตานองหน้า
5 พวกเขาจะถามทาง
และมุ่งหน้ามายังศิโยน
พวกเขาจะเข้ามาผูกพันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
โดยพันธสัญญานิรันดร์
ซึ่งจะไม่ถูกลืมเลือน
6 “ประชากรของเราเป็นแกะหลงทาง
คนเลี้ยงของพวกเขาได้พาพวกเขาให้หลงเตลิดไป
และเป็นเหตุให้พวกเขาร่อนเร่อยู่บนภูเขา
พวกเขาซัดเซพเนจรไปเหนือภูเขาและเนินเขา
และลืมถิ่นที่พำนักของตน
7 ผู้ใดพบพวกเขาก็ขย้ำกิน
ศัตรูของพวกเขากล่าวว่า ‘เราไม่ผิด
เพราะพวกเขาทำบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นทุ่งหญ้าที่แท้จริงของพวกเขา
องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นความหวังของบรรพบุรุษของพวกเขา’
8 “จงหนีจากบาบิโลน
จงออกจากดินแดนของชาวบาบิโลนเถิด
และจงเป็นเหมือนแพะนำฝูง
9 เพราะเราจะเร่งเร้ากองทัพพันธมิตรของชนชาติใหญ่ๆ จากทางเหนือ
มาสู้รบกับบาบิโลน
พวกเขาจะเข้าประจำที่ต่อสู้กับมัน
บาบิโลนจะถูกยึดโดยคนจากทางเหนือ
ลูกศรของพวกเขาเหมือนนักรบชำนาญศึก
ออกรบคราใดไม่เคยกลับไปมือเปล่า
10 ดังนั้นบาบิโลนจะถูกปล้น
และโจรทุกคนได้ของมากมาย”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
11 “เพราะเจ้าผู้ปล้นกรรมสิทธิ์ของเรา
กระหยิ่มลิงโลด
เพราะเจ้าร่าเริงอย่างวัวสาวย่ำนวดเมล็ดข้าว
และส่งเสียงร้องอย่างม้าตัวผู้
12 มารดาของเจ้าจะอับอายขายหน้ายิ่งนัก
ผู้ให้กำเนิดเจ้าจะอัปยศอดสู
กลายเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุดในหมู่ประชาชาติ
เป็นถิ่นกันดาร เป็นทะเลทรายอันแห้งผาก
13 เนื่องด้วยพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า
บาบิโลนจะกลายเป็นถิ่นร้างไม่มีคนอยู่อาศัย
ทุกคนที่ผ่านไปมาจะตะลึงและเย้ยหยัน
เนื่องจากบาดแผลทั้งหมดของมัน
14 “พวกเจ้าผู้โก่งธนู
จงเข้าประจำที่ล้อมรอบบาบิโลน
ระดมยิงมัน! ไม่ต้องออมลูกศร
เพราะมันได้ทำบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
15 จงโห่ร้องเข้าใส่บาบิโลนทุกด้าน!
มันยอมแพ้ หอคอยต่างๆ พังทลาย
กำแพงพังลง
เพราะนี่เป็นการแก้แค้นขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จงแก้แค้นบาบิโลน
จงทำกับบาบิโลนเหมือนที่มันเคยทำแก่ชาติอื่นๆ
16 จงตัดผู้หว่าน
และผู้เก็บเกี่ยวซึ่งถือเคียวออกจากบาบิโลน
ให้ทุกคนกลับไปหาพี่น้องร่วมชาติของตน
ให้ทุกคนหนีไปยังบ้านเกิดเมืองนอน
เพราะดาบของผู้กดขี่ข่มเหง
17 “อิสราเอลเป็นฝูงแกะที่กระจัดกระจาย
ซึ่งสิงโตได้ไล่หนีกระเจิง
รายแรกที่ขย้ำเขา
คือกษัตริย์อัสซีเรีย
ล่าสุดผู้ที่บดขยี้กระดูกของเขา
คือกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน”
18 ฉะนั้นพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า
“เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและดินแดนของเขา
เหมือนที่เราได้ลงโทษกษัตริย์อัสซีเรีย
19 ส่วนอิสราเอล เราจะนำพวกเขากลับคืนสู่ทุ่งหญ้าของเขาเอง
พวกเขาจะกินหญ้าบนภูเขาคารเมลและบาชาน
พวกเขาจะอิ่มเอม
บนภูเขาเอฟราอิมและในกิเลอาด”
20 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“ในครั้งนั้น
จะมีการเสาะหาความผิดของอิสราเอล
แต่ไม่พบเลย
และจะมีการเสาะหาบาปทั้งหลายของยูดาห์
แต่ไม่พบเลย
เพราะเราจะอภัยโทษชนหยิบมือที่เหลือซึ่งเราไว้ชีวิต
21 “จงโจมตีดินแดนเมราธาอิม
และผู้คนในเปโขด
ตามล่า ฆ่าทิ้ง และทำลายล้าง[n]ให้หมด”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“จงทำทุกสิ่งตามที่เราสั่งไว้
22 มีเสียงโห่ร้องออกศึกในดินแดน
เสียงหายนะใหญ่หลวง!
23 ค้อนซึ่งทุบโลกทั้งโลก
ก็แหลกลาญป่นปี้
บาบิโลนถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิง
ในหมู่ประชาชาติ!
24 บาบิโลนเอ๋ย เราวางกับดักเจ้าไว้
และเจ้าก็ติดกับก่อนจะรู้ตัว
เจ้าถูกจับได้
เพราะเจ้าต่อสู้ขัดขืนองค์พระผู้เป็นเจ้า
25 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเปิดคลังสรรพาวุธของพระองค์
และนำอาวุธแห่งพระพิโรธออกมา
เพราะพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดทรงมีพระราชกิจที่จะกระทำ
ในดินแดนของชาวบาบิโลน
26 จงยกกำลังต่อสู้บาบิโลนจากแดนไกล
จงทำลายยุ้งฉางของมันเสีย
จงกองมันไว้เหมือนกองเมล็ดข้าว
จงทำลายล้างมันอย่างสิ้นเชิง
และอย่าให้มีใครหลงเหลืออยู่
27 จงฆ่าวัวหนุ่มของมันให้หมด
ต้อนพวกมันไปโรงเชือด!
วิบัติแก่พวกเขา! เพราะถึงเวลาของพวกเขาแล้ว
เวลาที่พวกเขาจะถูกลงโทษ
28 จงฟังเสียงผู้ลี้ภัยและผู้อพยพจากบาบิโลน
ที่ป่าวร้องในศิโยน
ว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ทรงแก้แค้นอย่างไร
ทรงแก้แค้นให้พระวิหารของพระองค์อย่างไร
29 “จงเรียกพลธนูมาต่อสู้กับบาบิโลน
บรรดาผู้โก่งคันศร
จงมาตั้งค่ายล้อมบาบิโลนไว้
อย่าให้มีใครหนีรอดไปได้
จงตอบแทนมันให้สาสม
จงทำกับมันเหมือนที่มันเคยทำไว้
เพราะบาบิโลนได้ลบหลู่พระยาห์เวห์
องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
30 ฉะนั้นชายหนุ่มของบาบิโลนจะล้มลงกลางถนน
และทหารทุกคนจะถูกทำให้เงียบเสียงในวันนั้น”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
31 “ดูเถิด เราสู้กับเจ้า คนหยิ่งจองหองเอ๋ย”
องค์พระผู้เป็นเจ้าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น
“เพราะวันเวลาของเจ้านั้นได้มาถึงแล้ว
เวลาที่เจ้าจะถูกลงโทษ
32 คนหยิ่งจองหองจะสะดุดล้มลง
และจะไม่มีใครช่วยพยุงเขาขึ้นมา
เราจะจุดไฟในเมืองต่างๆ ของบาบิโลน
ไฟนี้จะเผาผลาญทุกคนที่อยู่รอบเมือง”
33 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า
“ชาวอิสราเอลถูกกดขี่ข่มเหง
และชาวยูดาห์ก็เช่นกัน
บรรดาคนที่จับเขาไปเป็นเชลยก็กุมตัวเขาไว้แน่น
ไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาไป
34 แต่พระผู้ไถ่ของพวกเขานั้นเข้มแข็ง
พระนามของพระองค์คือ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
พระองค์จะทรงแก้คดีของเขาอย่างแข็งขัน
เพื่อจะทรงนำการพักสงบมาสู่ดินแดนของพวกเขา
และนำความวุ่นวายมายังชาวบาบิโลน”
35 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“ให้ดาบฟาดฟันชาวบาบิโลน
ฟาดฟันผู้คนในบาบิโลน
และให้ดาบฟาดฟันขุนนางและปราชญ์ของบาบิโลน!
36 ให้ดาบฟาดฟันผู้เผยพระวจนะเท็จ!
พวกเขาจะกลายเป็นคนโง่เขลา
ให้ดาบฟาดฟันนักรบ!
พวกเขาจะเต็มไปด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
37 ให้ดาบฟาดฟันเหล่าม้าและรถม้าศึก
และฟาดฟันคนต่างชาติทั้งปวงในกองทัพของเขา!
พวกเขาจะกลายเป็นเหมือนผู้หญิง
ให้ดาบฟาดฟันทรัพย์สมบัติของบาบิโลน!
สิ่งเหล่านั้นจะถูกปล้นชิง
38 ให้ความแห้งแล้งมาเหนือ[o]ห้วงน้ำทั้งหลายของมัน!
พวกมันจะได้เหือดแห้ง
เพราะดินแดนนั้นเต็มไปด้วยรูปเคารพ
และผู้คนก็คลั่งไคล้ไปกับพระต่างๆ
39 “สัตว์ทะเลทรายและสุนัขจิ้งจอกจะอาศัยอยู่ที่นั่น
และนกเค้าแมวจะอยู่ที่นั่น
จะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่อีก
ตลอดทุกชั่วอายุ
40 ดังที่พระเจ้าได้ล้มล้างเมืองโสโดมและโกโมราห์
พร้อมทั้งเมืองใกล้เคียง”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“ดังนั้นจะไม่มีใครอยู่ที่นั่น
จะไม่มีผู้ใดตั้งถิ่นฐานในเมืองนั้น
41 “ดูเถิด กองทัพจะมาจากทางเหนือ
ชนชาติยิ่งใหญ่และกษัตริย์หลายองค์
กำลังถูกเร่งเร้าจากทุกมุมโลก
42 พวกเขามีทั้งธนูและหอก
โหดเหี้ยมและไร้ความเมตตา
เสียงควบม้าของพวกเขา
เหมือนเสียงทะเลคำราม
พวกเขายกกระบวนทัพมาเพื่อโจมตีเจ้า
ธิดาแห่งบาบิโลน[p]เอ๋ย
43 กษัตริย์บาบิโลนได้ยินรายงานข่าว
พระหัตถ์ก็หมดแรง
ความทุกข์ร้าวรานจู่โจมจับพระทัย
เจ็บปวดรวดร้าวดั่งผู้หญิงที่กำลังคลอดลูก
44 เราจะขับไล่บาบิโลนออกจากดินแดน
ในชั่วพริบตา
ดุจสิงโตออกมาจากพงไพรแห่งจอร์แดนสู่ทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์
ใครคือผู้ที่เราเลือกสรรแต่งตั้งเพื่อการนี้?
ผู้ใดเสมอเหมือนเราและใครจะท้าทายเราได้?
คนเลี้ยงแกะหน้าไหนจะยืนต้านทานเราได้?”
45 ฉะนั้นจงฟังแผนการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะจัดการกับบาบิโลน
สิ่งที่พระองค์ทรงดำริไว้สำหรับดินแดนของชาวบาบิโลน
ลูกอ่อนในฝูงจะถูกลากไป
พระองค์จะทรงทำลายทุ่งหญ้าของพวกเขาจนหมดสิ้น เพราะตัวพวกเขาเอง
46 ทั่วโลกจะสั่นสะท้าน เมื่อได้ยินเสียงบาบิโลนล่มสลาย
เสียงร้องของชาวบาบิโลนจะดังก้องในหมู่ประชาชาติ
51 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“ดูเถิด เราจะดลใจผู้ทำลายล้าง
มาสู้กับบาบิโลนและชาวเลบคามาย[q]
2 เราจะส่งคนต่างชาติมายังบาบิโลน
เพื่อฝัดร่อนและล้างผลาญดินแดนนั้น
พวกเขาจะมาสู้รบกับบาบิโลนทุกด้าน
ในวันแห่งหายนะของบาบิโลน
3 อย่าให้พลธนูโก่งธนูได้
และอย่าให้เขาหยิบเสื้อเกราะมาสวมทัน
อย่าไว้ชีวิตชายหนุ่มของดินแดนนั้น
จงทำลาย[r]ทั้งกองทัพให้สิ้นไป
4 พวกเขาจะล้มตายในบาบิโลน[s]
บาดเจ็บสาหัสตามถนนหนทาง
5 เพราะพระเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
ไม่ได้ทรงทอดทิ้งอิสราเอลและยูดาห์
แม้ดินแดนของเขา[t]จะเต็มไปด้วยความผิด
ต่อหน้าองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
6 “จงหนีจากบาบิโลน!
จงหนีเอาชีวิตรอดเถิด!
อย่าพลอยถูกทำลายเพราะบาปของมัน
ถึงเวลาการแก้แค้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว
พระองค์จะทรงกระทำแก่บาบิโลนให้สาสม
7 บาบิโลนเป็นถ้วยทองคำในพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
บาบิโลนทำให้ทั้งโลกเมามาย
ชนชาติทั้งหลายได้ดื่มเหล้าองุ่นของบาบิโลน
บัดนี้พวกเขาจึงคลุ้มคลั่งไป
8 บาบิโลนจะล่มจมอย่างฉับพลัน แล้วก็แหลกลาญ
จงร่ำไห้ให้กับมัน!
เอายามาบำบัดความเจ็บปวดให้บาบิโลนสิ
เผื่อว่ามันจะหาย
9 “ ‘เราน่าจะรักษาบาบิโลนให้หาย
แต่มันก็ไม่ยอมหาย
ให้เราทิ้งบาบิโลน และต่างคนต่างกลับไปยังดินแดนของตน
เพราะโทษทัณฑ์ของบาบิโลนสูงเสียดฟ้า
สูงเทียมเมฆ’
10 “ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ความเป็นธรรมแก่เราแล้ว
มาเถิด ให้เราบอกกล่าวในศิโยน
ถึงสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ทรงกระทำ’
11 “จงลับลูกศรให้แหลมคม
จงหยิบโล่ขึ้นเตรียมพร้อม
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเร่งเร้าเหล่ากษัตริย์แห่งมีเดีย
เพราะทรงตั้งใจจะทำลายบาบิโลน
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแก้แค้น
แก้แค้นให้พระวิหารของพระองค์
12 จงชูธงขึ้นประชิดกำแพงของบาบิโลน!
จงเสริมกำลังผู้รักษาการณ์
จงวางยามประจำ
จงเตรียมกองซุ่มโจมตีไว้!
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้สำเร็จตามที่ทรงมุ่งหมายไว้
ตามประกาศิตเกี่ยวกับชาวบาบิโลน
13 เจ้าผู้อาศัยริมห้วงน้ำทั้งหลาย
และมีทรัพย์สมบัติมั่งคั่ง
ถึงจุดจบของเจ้าแล้ว
ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะถูกตัดขาด
14 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ได้ปฏิญาณไว้โดยอ้างพระองค์เองว่า
แน่นอน เราจะให้ผู้คนเนืองแน่นดินแดนของเจ้าเหมือนตั๊กแตนฝูงมหึมา
และพวกเขาจะโห่ร้องมีชัยเหนือเจ้า
15 “พระองค์ทรงสร้างโลกโดยฤทธานุภาพ
ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยพระปรีชาญาณ
และทรงคลี่ฟ้าสวรรค์ออกด้วยความเข้าใจ
16 เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียง ห้วงน้ำในฟ้าสวรรค์ก็ร้องคำราม
พระองค์ทรงให้เมฆลอยขึ้นจากสุดปลายแผ่นดินโลก
ทรงส่งฟ้าแลบให้มากับฝน
และทรงนำกระแสลมออกมาจากคลัง
17 “ทุกคนก็สิ้นคิดและขาดความรู้
ช่างทองทุกคนอับอายขายหน้าเพราะรูปเคารพของตน
เทวรูปของเขาเป็นสิ่งจอมปลอม
พวกมันไม่มีลมหายใจ
18 มันเป็นของไร้ค่า เป็นสิ่งที่น่าเยาะเย้ย
เมื่อถึงเวลาพิพากษา มันก็พินาศ
19 แต่พระองค์ผู้มีกรรมสิทธิ์เหนือยาโคบไม่เหมือนเทวรูปเหล่านี้
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่ง
รวมทั้งเผ่าที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
20 “เจ้าเป็นตะบองรบ
เป็นอาวุธสำหรับทำสงครามของเรา
ซึ่งเราใช้เจ้าทุบบรรดาประชาชาติ
เราใช้เจ้าทำลายอาณาจักรต่างๆ
21 เราใช้เจ้าทุบม้าและพลม้า
เราใช้เจ้าทุบรถม้าศึกและพลขับ
22 เราใช้เจ้าทุบผู้ชายและผู้หญิง
เราใช้เจ้าทุบคนแก่และเด็ก
เราใช้เจ้าทุบชายหนุ่มและหญิงสาว
23 เราใช้เจ้าทุบคนเลี้ยงแกะและฝูงแกะ
เราใช้เจ้าทุบชาวนาและวัว
เราใช้เจ้าทุบผู้ว่าการและขุนนางทั้งหลาย
24 “เราจะตอบสนองบาบิโลนและคนทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในบาบิโลน[u]ต่อหน้าต่อตาเจ้าเพราะความผิดทั้งหมดที่เขาทำในศิโยน” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
25 “เราเป็นศัตรูกับเจ้า เจ้าภูเขาผู้ทำลายล้างเอ๋ย
เจ้าผู้ผลาญทำลายทั้งโลก”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“เราจะเหยียดมือออกสู้กับเจ้า
จะกลิ้งเจ้าลงจากหน้าผา
และเผาเจ้าให้วอดวาย
26 จะไม่มีการสกัดหินจากเจ้าไปเป็นศิลาหัวมุม
หรือทำเป็นฐานราก
เพราะเจ้าจะถูกทิ้งร้างตลอดไป”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
27 “จงชูธงขึ้นในดินแดนนั้น!
จงเป่าแตรในหมู่ประชาชาติ
จงเตรียมชนชาติต่างๆ ไว้สู้รบกับมัน
จงเรียกอาณาจักรเหล่านี้มาสู้กับมัน
คือเรียกอารารัต มินนี และอัชเคนัส
จงตั้งแม่ทัพขึ้นสู้รบกับดินแดนนั้น
จงส่งฝูงม้ามาให้เนืองแน่นเหมือนฝูงตั๊กแตน
28 จงเตรียมประชาชาติทั้งหลายมาสู้รบกับบาบิโลน
ได้แก่บรรดากษัตริย์มีเดีย
ผู้ว่าการและขุนนางทั้งปวง
ตลอดจนประเทศทั้งปวงใต้อาณัติ
29 แผ่นดินก็สั่นสะท้านและทุรนทุราย
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนยันที่จะทำกับบาบิโลนตามที่ทรงตั้งพระทัยไว้
คือทำให้ดินแดนบาบิโลนถูกทิ้งร้าง
ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่
30 นักรบของบาบิโลนหยุดต่อสู้
หมกตัวอยู่ในที่มั่น
พลังของพวกเขาหมดสิ้นไป
เขากลายเป็นเหมือนผู้หญิง
ที่อยู่อาศัยในบาบิโลนถูกวางเพลิง
ลูกกรงประตูเมืองต่างๆ หักพัง
31 นักวิ่งไล่ตามกันไป
ผู้สื่อสารไล่ตามกันไป
เพื่อไปรายงานกษัตริย์บาบิโลนว่า
ทั้งกรุงถูกยึดไปแล้ว
32 ท่าข้ามแม่น้ำถูกยึด
เครื่องกีดขวางถูกเผา
และเหล่าทหารก็ตกใจกลัว”
33 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า
“ธิดาแห่งบาบิโลน[v]เหมือนลานนวดข้าว
เมื่อถึงเวลาก็ถูกเหยียบย่ำ
ไม่ช้าก็จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวบาบิโลน”
34 “กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนได้ขย้ำเรา
พระองค์ได้เหวี่ยงเราลงสู่ความสับสน
พระองค์ได้ทรงทำให้เรากลายเป็นไหเปล่า
พระองค์ได้ทรงกลืนเราเหมือนงูพิษ
กินสิ่งโอชะของเราจนเต็มท้อง
แล้วสำรอกเราออกมา
35 ขอให้ความอำมหิตที่เรากับลูกหลานได้รับนั้นตกอยู่กับบาบิโลนเถิด”
ชาวศิโยนกล่าวดังนั้น
เยรูซาเล็มกล่าวว่า
“ขอให้คนที่อาศัยอยู่ในบาบิโลนชดใช้ที่ทำให้เราสูญเสียเลือดเนื้อ”
36 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสว่า
“ดูเถิด เราจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้า
และแก้แค้นให้เจ้า
เราจะทำให้ทะเล
และธารน้ำของบาบิโลนเหือดแห้ง
37 บาบิโลนจะเป็นซากปรักหักพัง
เป็นที่อยู่ของหมาใน
เป็นเป้าของความสยดสยองและการดูหมิ่น
เป็นที่ซึ่งไม่มีผู้ใดอยู่อาศัย
38 มวลประชากรของบาบิโลนร้องคำรามเหมือนสิงโตหนุ่ม
ครวญครางเหมือนลูกสิงห์
39 แต่ขณะที่พวกเขาถูกเร่งเร้า
เราจะจัดงานเลี้ยงให้พวกเขา
และทำให้พวกเขามึนเมา
เพื่อพวกเขาจะหัวเราะลั่น
แล้วก็หลับใหลไม่ตื่นตลอดกาล”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
40 “เราจะปราบเขาลง
เหมือนแพะแกะที่ถูกต้อนไปฆ่า
41 “เชชัค[w]จะถูกพิชิต
เมืองซึ่งเป็นที่โอ้อวดของทั่วโลกจะถูกยึด!
บาบิโลนจะเป็นที่สยดสยองยิ่งนัก
ในหมู่ประชาชาติ!
42 ทะเลจะซัดท่วมบาบิโลน
คลื่นคำรามของมันจะกลบบาบิโลนจนมิด
43 เมืองต่างๆ ของบาบิโลนจะถูกทิ้งร้าง
เป็นถิ่นกันดารแห้งแล้ง
เป็นแผ่นดินซึ่งไม่มีใครอยู่อาศัย
ไม่มีใครสัญจรผ่าน
44 เราจะลงโทษพระเบลในบาบิโลน
ทำให้เขาคายสิ่งที่กลืนลงไปออกมา
ชนชาติทั้งหลายจะไม่หลั่งไหลมาหาพระเบลอีกต่อไป
และกำแพงของบาบิโลนจะพังทลาย
45 “ประชากรของเราเอ๋ย จงออกมาจากบาบิโลน
จงหนีเอาชีวิตรอดเถิด!
จงหนีให้พ้นจากพระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้า
46 อย่าเสียขวัญหรือหวาดหวั่น
เมื่อได้ยินข่าวลือในดินแดนนั้น
ปีนี้ลือกันว่าอย่างนี้ ปีหน้าลือกันว่าอย่างนั้น
ข่าวลือเรื่องการนองเลือดในแผ่นดิน
และเรื่องนักปกครองต่อสู้กัน
47 เพราะเวลานั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน
เวลาที่เราจะลงโทษรูปเคารพทั้งหลายของบาบิโลน
ดินแดนบาบิโลนทั้งหมดจะอับอายขายหน้า
และบรรดาผู้ถูกฆ่าจะนอนตายอยู่ในนั้น
48 แล้วฟ้าสวรรค์กับแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งในนั้น
จะโห่ร้องยินดีเหนือบาบิโลน
เพราะบรรดาผู้ทำลายจากทางเหนือ
จะมาโจมตีบาบิโลน”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
49 “บาบิโลนจะต้องล่มจมเพราะชนอิสราเอลที่ถูกฆ่า
เช่นเดียวกับคนทั่วโลกที่ถูกฆ่า
ที่ต้องล้มตายเพราะบาบิโลน
50 พวกเจ้าผู้หนีรอดจากคมดาบ
จงไปเสีย อย่ามัวร่ำไรอยู่!
ในแดนไกลโพ้น จงระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า
และคิดถึงเยรูซาเล็ม”
51 “เราอับอายขายหน้า
เพราะเราถูกสบประมาท
และความอัปยศกลบหน้าเรา
เพราะคนต่างชาติเข้ามาในที่บริสุทธิ์
ของพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
52 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่วันเวลาจะมาถึง
เมื่อเราจะลงโทษรูปเคารพต่างๆ ของบาบิโลน
และทั่วดินแดนบาบิโลน
จะครวญครางเพราะความย่อยยับ
53 ถึงแม้ว่าบาบิโลนสูงเทียมฟ้า
และเสริมป้อมปราการให้แข็งแกร่ง
เราก็จะส่งผู้ทำลายมารบกับมัน”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
54 “เสียงร้องดังมาจากบาบิโลน
เสียงหายนะใหญ่หลวง
ดังมาจากดินแดนของชาวบาบิโลน
55 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำลายล้างบาบิโลน
จะทรงสยบเสียงอึกทึกน่ารำคาญของมัน
คลื่นศัตรูจะรุกเข้ามาเหมือนห้วงน้ำใหญ่
เสียงสนั่นของเขาจะดังก้อง
56 ผู้ทำลายจะมาสู้กับบาบิโลน
นักรบของบาบิโลนจะถูกจับเป็นเชลย
ธนูของเขาจะถูกหักทิ้ง
เพราะพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งการตอบสนอง
พระองค์จะทรงตอบสนองอย่างสาสม
57 เราจะทำให้เหล่าขุนนางและปราชญ์ของบาบิโลนมึนเมา
ตลอดจนผู้ว่าการ นายทหารและนักรบทั้งหลาย
พวกเขาจะหลับใหลและไม่ตื่นอีกเลยตลอดกาล”
องค์กษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น
58 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า
“กำแพงหนาของบาบิโลนจะถูกทลายราบ
และประตูสูงของมันจะถูกเผา
ประชาชาติทั้งหลายจะเหนื่อยเปล่า
สิ่งที่ได้ลงแรงไว้จะกลายเป็นเพียงเชื้อไฟ”
59 ทั้งหมดนี้เป็นเนื้อความซึ่งเยเรมีย์สั่งไว้กับผู้ดูแลแขวงชื่อเสไรอาห์บุตรเนริยาห์บุตรมาอาเสอาห์ เมื่อเขาไปยังบาบิโลนพร้อมกับกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ในปีที่สี่แห่งรัชกาลของพระองค์ 60 เยเรมีย์บันทึกเกี่ยวกับภัยพิบัติทั้งปวงซึ่งจะเกิดขึ้นกับบาบิโลนไว้ในหนังสือม้วนทั้งหมดซึ่งบันทึกมาข้างต้นเกี่ยวกับบาบิโลน 61 เยเรมีย์กล่าวกับเสไรอาห์ว่า “เมื่อท่านไปถึงบาบิโลน จงอ่านออกเสียงข้อความทั้งหมดนี้ 62 แล้วจงกล่าวว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้ตรัสไว้ว่าจะทรงทำลายสถานที่นี้จนไม่มีทั้งคนและสัตว์อาศัยอยู่ในดินแดนนี้เลย มันจะถูกทิ้งร้างตลอดกาล’ 63 เมื่อท่านอ่านจบแล้ว จงเอาหนังสือม้วนนี้ผูกเข้ากับก้อนหินแล้วเหวี่ยงลงในแม่น้ำยูเฟรติส 64 จากนั้นจงกล่าวว่า ‘เช่นนี้แหละ บาบิโลนจะจมลง ไม่ได้ผุดไม่ได้โผล่อีกเลย เพราะภัยพิบัติซึ่งเราจะนำมายังบาบิโลนและพลเมืองของบาบิโลนจะล้มตาย’ ”
ถ้อยคำของเยเรมีย์จบลงเพียงเท่านี้
กรุงเยรูซาเล็มแตก(D)
52 เมื่อเศเดคียาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์มีพระชนมายุ 21 พรรษาและทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสิบเอ็ดปี ราชมารดาคือฮามุทาลธิดาของเยเรมีย์จากลิบนาห์ 2 เศเดคียาห์ทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า เหมือนที่เยโฮยาคิมได้ทรงทำ 3 เนื่องด้วยพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จึงเกิดขึ้นกับกรุงเยรูซาเล็มและยูดาห์ และในที่สุดพระองค์ทรงเหวี่ยงพวกเขาพ้นจากพระพักตร์ของพระองค์
ครั้งนั้นเศเดคียาห์ทรงกบฏต่อกษัตริย์บาบิโลน
4 ฉะนั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนทรงกรีธาทัพหลวงมารบกับกรุงเยรูซาเล็มในวันที่สิบเดือนที่สิบของปีที่เก้าแห่งรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์ พวกเขาตั้งค่ายอยู่นอกเมือง แล้วสร้างเชิงเทินล้อมเมืองไว้ 5 กรุงเยรูซาเล็มถูกล้อมอยู่จนถึงปีที่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลเศเดคียาห์
6 เมื่อถึงวันที่เก้าของเดือนที่สี่ กรุงนี้ก็กันดารอาหารอย่างหนักจนไม่มีอาหารรับประทานเลย 7 แล้วกำแพงเมืองก็ถูกพังลง ทั้งกองทัพก็หนีไปในเวลากลางคืน ผ่านประตูระหว่างกำแพงสองชั้นใกล้ราชอุทยาน แม้ว่าชาวบาบิโลน[x]ล้อมเมืองอยู่ พวกเขาหนีไปยังอาราบาห์[y] 8 แต่กองทัพบาบิโลนไล่ล่ากษัตริย์เศเดคียาห์และมาทันพระองค์ในที่ราบเยรีโค ส่วนทหารทั้งปวงของเศเดคียาห์แตกหนีกันไปคนละทิศคนละทาง 9 และพระองค์ทรงถูกจับกุม
พระองค์ทรงถูกคุมตัวมาเข้าเฝ้ากษัตริย์บาบิโลนที่ริบลาห์ในเขตฮามัทและรับการตัดสินโทษ 10 ที่ริบลาห์นี้ กษัตริย์บาบิโลนทรงประหารบรรดาโอรสของเศเดคียาห์ต่อหน้าต่อตาพระองค์ และประหารขุนนางทั้งปวงของยูดาห์ 11 แล้วควักพระเนตรของเศเดคียาห์ออกทั้งสองข้าง จองจำพระองค์ด้วยโซ่ตรวนทองสัมฤทธิ์ และคุมตัวไปขังไว้ในคุกในบาบิโลน จวบจนวันที่เศเดคียาห์สิ้นพระชนม์
12 ในวันที่สิบเดือนที่ห้าของปีที่สิบเก้าแห่งรัชกาลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ผู้รับใช้กษัตริย์บาบิโลนได้มายังกรุงเยรูซาเล็ม 13 เขาจุดไฟเผาพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระราชวัง และบ้านเรือนทุกหลังในเยรูซาเล็ม รวมทั้งอาคารทุกแห่ง 14 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์สั่งการให้กองทัพบาบิโลนทั้งหมดทลายกำแพงรอบกรุงเยรูซาเล็ม 15 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์กวาดต้อนประชาชนที่ยากจนข้นแค้นที่สุดบางคน ผู้คนที่ยังอยู่ในกรุงนั้น และช่างฝีมือ[z]ต่างๆ ที่เหลือ รวมทั้งผู้ที่ออกไปสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์บาบิโลน 16 แต่เนบูซาระดานทิ้งประชากรคนอื่นๆ ที่ยากจนข้นแค้นของดินแดนนั้นไว้ให้ทำสวนองุ่นและทำไร่ไถนา
17 ชาวบาบิโลนทุบเสาหานทองสัมฤทธิ์ทั้งสอง แท่นเคลื่อนที่ และขันสาครทองสัมฤทธิ์ที่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า และนำทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดไปยังบาบิโลน 18 พวกเขายังได้นำหม้อ ทัพพี กรรไกรตัดไส้ตะเกียง ชามประพรม จานชาม และเครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดที่ใช้ในพระวิหารไปด้วย 19 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ยังได้ริบสิ่งของทั้งหมดที่ทำด้วยทองคำหรือเงินบริสุทธิ์ไป ไม่ว่าจะเป็นอ่าง กระถางไฟ ชามประพรม หม้อ คันประทีป และจานชามซึ่งใช้ในการถวายเครื่องดื่มบูชา
20 ทองสัมฤทธิ์ที่ได้จากเสาหานทั้งสองต้น ขันสาคร วัวทองสัมฤทธิ์สิบสองตัวรองรับอ่าง แท่นเคลื่อนที่ซึ่งกษัตริย์โซโลมอนทรงสร้างขึ้นเพื่อพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นมีปริมาณมากเกินกว่าจะชั่งน้ำหนักได้ 21 เสาแต่ละต้นสูง 18 ศอก และมีเส้นรอบวง 12 ศอก หนา 4 นิ้วมือ[aa] ภายในกลวง 22 หัวเสาซึ่งอยู่บนยอดเสามีความสูง 5 ศอก[ab] ประดับด้วยตาข่ายและผลทับทิมทองสัมฤทธิ์โดยรอบ เหมือนกันทั้งสองเสา 23 รอบๆ มีผลทับทิม 96 ผล จำนวนผลทับทิมที่อยู่เหนือตาข่ายซึ่งล้อมรอบนั้นมี 100 ผล
24 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้จับตัวเสไรอาห์หัวหน้าปุโรหิต เศฟันยาห์รองหัวหน้าปุโรหิต และนายประตูสามคนไว้ 25 ในหมู่คนที่ยังคงอยู่ในกรุงนั้น เขาได้นำตัวแม่ทัพและราชมนตรีเจ็ดคน ราชเลขาผู้เป็นหัวหน้ากองเกณฑ์พลและคนของเขาอีกหกสิบคนซึ่งพบอยู่ในกรุงนั้นมาเป็นเชลยด้วย 26 ผู้บัญชาการเนบูซาระดานได้นำคนเหล่านี้ทั้งหมดไปเข้าเฝ้ากษัตริย์บาบิโลนที่ริบลาห์ 27 กษัตริย์ก็ให้ประหารคนเหล่านี้ที่ริบลาห์ในเขตฮามัท ดังนั้นยูดาห์จึงตกเป็นเชลย ต้องถูกพรากจากดินแดนของตน 28 จำนวนประชาชนซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กวาดต้อนไปเป็นเชลยมีดังนี้
ในปีที่เจ็ด ชาวยิวถูกกวาดต้อนไป 3,023 คน
29 ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลเนบูคัดเนสซาร์ คนจากเยรูซาเล็มถูกกวาดต้อนไป 832 คน
30 ในปีที่ยี่สิบสามแห่งรัชกาลเดียวกัน
เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์กวาดต้อนชาวยิวไป 745 คน
รวมชาวยิวที่ถูกกวาดต้อนไปทั้งสิ้น 4,600 คน
เยโฮยาคีนได้รับการปลดปล่อย
31 ในปีที่สามสิบเจ็ดของการที่กษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์ตกเป็นเชลย ซึ่งเป็นปีที่เอวิลเมโรดัก[ac]ขึ้นเป็นกษัตริย์บาบิโลน พระองค์ทรงปล่อยกษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์ออกจากคุกในวันที่ยี่สิบห้าเดือนที่สิบสอง 32 พระองค์ตรัสกับเยโฮยาคีนอย่างอ่อนโยนและให้ประทับนั่งในตำแหน่งที่มีเกียรติกว่ากษัตริย์อื่นๆ ที่ถูกจับมาเป็นเชลยในบาบิโลน 33 ฉะนั้นเยโฮยาคีนจึงได้ทรงถอดชุดนักโทษออกและได้ทรงร่วมโต๊ะเสวยกับกษัตริย์เป็นประจำตลอดพระชนม์ชีพ 34 กษัตริย์บาบิโลนยังได้ประทานเบี้ยเลี้ยงประจำวันแก่เยโฮยาคีนตลอดพระชนม์ชีพจวบจนวันที่เยโฮยาคีนสิ้นพระชนม์
[ad]1 โอ กรุงที่เคยมีพลเมืองหนาแน่น
กลับอ้างว้างเสียแล้ว!
กรุงที่เคยยิ่งใหญ่ในหมู่ประชาชาติ
กลับเป็นเหมือนหญิงม่ายเสียแล้ว!
กรุงซึ่งเคยเป็นราชินีในหมู่แว่นแคว้นต่างๆ
กลับตกเป็นทาสเสียแล้ว
2 ยามค่ำคืนเธอร่ำไห้อย่างขมขื่น
น้ำตาไหลอาบแก้ม
ในบรรดาคนรักของเธอ
ไม่มีสักคนที่ปลอบโยนเธอ
สหายทั้งปวงก็ทรยศเธอ
พวกเขากลับกลายเป็นศัตรูของเธอ
3 หลังจากทุกข์ลำเค็ญและกรำงานหนัก
ยูดาห์ก็ตกเป็นเชลย
เธอไปอยู่ท่ามกลางประชาชาติต่างๆ
ไม่พบที่พักพิง
บรรดาผู้ตามล่าเธอก็ไล่ทันเธอ
ในยามที่เธอทุกข์เข็ญ
4 ถนนหนทางสู่ศิโยนคร่ำครวญหวนไห้
เพราะไม่มีใครมางานเทศกาลตามกำหนด
ประตูเมืองทั้งหมดก็เริศร้าง
บรรดาปุโรหิตของเธอทอดถอนใจ
บรรดาหญิงสาวของเธอก็โศกเศร้า
ตัวเธอเองก็ทุกข์ทรมานขมขื่น
5 ศัตรูของเธอกลับกลายเป็นนาย
อริทั้งหลายของเธอเบิกบานสำราญใจ
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำความทุกข์ระทมมาให้เธอ
เพราะบาปมากมายของเธอ
ลูกเล็กเด็กแดงของเธอ
ตกไปเป็นเชลยต่อหน้าศัตรู
6 ความโอ่อ่าตระการทั้งปวง
พรากไปจากธิดาแห่งศิโยน[ae]เสียแล้ว
เจ้านายของเธอเป็นเหมือนกวาง
ที่หาทุ่งหญ้าไม่ได้
ต้องหนีไปต่อหน้านักล่า
อย่างอ่อนแรง
7 ในยามทุกข์ลำเค็ญและต้องระหกระเหิน
เยรูซาเล็มก็หวนระลึกถึงสิ่งเลอเลิศ
ที่เธอเคยมีในวันเก่าก่อน
เมื่อพลเมืองของเธอตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู
ไม่มีใครช่วยเหลือเธอ
เหล่าศัตรูมองดูเธอ
และหัวเราะเยาะความย่อยยับของเธอ
8 เยรูซาเล็มได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวง
ดังนั้นเธอจึงแปดเปื้อนมลทิน
บรรดาคนที่เคยยกย่องเธอก็เหยียดหยามเธอ
เพราะเห็นความเปลือยเปล่าของเธอ
เธอเองสะอื้นไห้
และหันหน้าหนี
9 ความโสโครกฝังแน่นในอาภรณ์ของเธอ
เธอไม่ใส่ใจอนาคตของเธอ
ความล่มจมของเธอน่าใจหาย
ไม่มีใครปลอบโยนเธอ
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรความทุกข์ลำเค็ญของข้าพระองค์
เพราะศัตรูชนะเสียแล้ว”
10 ศัตรูฉวยสิ่งล้ำค่า
ของเธอไปหมด
เธอเห็นคนต่างชาติบุกเข้ามา
ในสถานนมัสการของเธอ
ล้วนแต่เป็นชนชาติต่างๆ ซึ่งพระองค์สั่งห้าม
ไม่ให้เข้ามาท่ามกลางชุมนุมประชากรของพระองค์
11 พลเมืองของเธอสะอื้นไห้
ขณะเสาะหาอาหาร
เอาของมีค่าออกมาแลกอาหาร
เพื่อประทังชีวิต
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรและทรงใคร่ครวญดูเถิด
เพราะข้าพระองค์ถูกเหยียดหยาม”
12 “พวกท่านที่ผ่านไปผ่านมา ไม่รู้สึกรู้สาอะไรบ้างเลยหรือ?
จงมองไปรอบๆ เถิด
มีความทุกข์ใดบ้างเหมือนทุกข์
ที่เกิดแก่ข้าพเจ้า
ทุกข์ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลแก่ข้าพเจ้าในวันแห่งพระพิโรธอันรุนแรง?
13 “พระองค์ทรงส่งไฟลงมาจากเบื้องบน
ไฟนั้นแผดเผาอยู่ในกระดูกของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงวางตาข่ายดักเท้าของข้าพเจ้า
และทำให้ข้าพเจ้าหันกลับ
พระองค์ทรงทิ้งข้าพเจ้าไว้
ให้ระบมไข้และอ่อนระโหยโรยแรงวันยังค่ำ
14 “พระองค์ทรงถักบาปของข้าพเจ้า
เป็นเชือกมัดข้าพเจ้าเข้ากับแอกของการเป็นเชลย[af]
บาปเหล่านั้นอยู่ที่คอของข้าพเจ้า
และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้กำลังวังชาของข้าพเจ้าเหือดหาย
พระองค์ทรงมอบข้าพเจ้าไว้ในมือของคนเหล่านั้น
ซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจต่อกรได้
15 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทอดทิ้งนักรบทั้งปวง
ที่อยู่ท่ามกลางข้าพเจ้า
พระองค์ทรงระดมพลมาต่อสู้ข้าพเจ้า
เพื่อ[ag]บดขยี้พวกคนหนุ่มของข้าพเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเหยียบย่ำธิดาพรหมจารีแห่งยูดาห์[ah]
ดั่งองุ่นในบ่อย่ำองุ่น
16 “ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงร่ำไห้
น้ำตาหลั่งริน
ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ คอยปลอบโยน
ไม่มีใครช่วยกู้ดวงวิญญาณของข้าพเจ้า
ลูกๆ ของข้าพเจ้าสิ้นเนื้อประดาตัว
เพราะศัตรูชนะเขา”
17 ศิโยนยื่นมือออก
แต่ไม่มีใครปลอบโยนเธอ
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชายาโคบไว้แล้วว่า
ให้เพื่อนบ้านของเขากลายเป็นศัตรู
เยรูซาเล็มกลายเป็น
ของโสโครกในหมู่พวกเขา
18 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชอบธรรม
กระนั้นข้าพเจ้าก็กบฏต่อพระบัญชาของพระองค์
ฟังเถิด ประชาชาติทั้งปวง
จงมองดูความทุกข์ลำเค็ญของข้าพเจ้า
คนหนุ่มสาวของข้าพเจ้า
ตกไปเป็นเชลย
19 “ข้าพเจ้าร้องเรียกบรรดาพันธมิตรของข้าพเจ้า
แต่พวกเขาก็ทรยศหักหลังข้าพเจ้า
บรรดาปุโรหิตและผู้อาวุโสทั้งหลายของข้าพเจ้า
พินาศย่อยยับในกรุง
ขณะพวกเขาค้นหาอาหาร
เพื่อประทังชีวิต
20 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรเถิด
ว่าข้าพระองค์ทุกข์ยากมากเพียงไร!
จิตใจร้อนรุ่ม ดวงใจสับสนวุ่นวายอยู่ภายใน
เพราะข้าพระองค์ได้กบฏอย่างที่สุด
นอกบ้านมีแต่คมดาบคร่าชีวิตลูกหลาน
ในบ้านมีแต่ความตาย
21 “ผู้คนได้ยินเสียงครวญครางของข้าพระองค์
แต่ไม่มีใครปลอบโยนข้าพระองค์
ศัตรูทั้งปวงได้ยินถึงความทุกข์ยากลำเค็ญของข้าพระองค์
ก็กระหยิ่มลิงโลดในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำ
ขอทรงนำวันนั้นที่ทรงประกาศไว้มาถึง
เพื่อพวกเขาจะได้เป็นเหมือนข้าพระองค์
22 “ขอให้ความชั่วร้ายของพวกเขามาอยู่ต่อหน้าพระองค์
ขอทรงจัดการกับพวกเขา
อย่างที่พระองค์ได้ทรงจัดการกับข้าพระองค์
เพราะบาปทั้งสิ้นของข้าพระองค์
เสียงครวญครางของข้าพระองค์มากมายนัก
และดวงใจของข้าพระองค์อ่อนระโหยไป”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.