Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
โฮเชยา 13:7 - อาโมส 9:10

ดังนั้นเราจึงจู่โจมเข้าใส่พวกเขาเหมือนสิงโต
เราจะซุ่มอยู่ริมทางเหมือนเสือดาว
เหมือนแม่หมีที่ถูกขโมยลูกไป
เราจะเข้าโจมตีและฉีกพวกเขาออก
เราจะเป็นดั่งราชสีห์ที่กลืนกินพวกเขา
สัตว์ป่าจะฉีกพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ

“อิสราเอลเอ๋ย เจ้าถูกทำลายล้าง
เพราะเจ้าต่อสู้เราผู้ที่ช่วยเหลือเจ้า
10 ไหนล่ะกษัตริย์ของเจ้า ผู้ที่จะช่วยเจ้าได้?
ไหนล่ะเจ้าเมืองทั้งปวง
ที่เจ้าพูดว่า
‘ให้เรามีกษัตริย์และเจ้านายเถิด’?
11 ฉะนั้นเราจึงให้กษัตริย์แก่เจ้าด้วยโทสะของเรา
และเราก็พรากเขาไปด้วยความกริ้วโกรธของเรา
12 ความผิดของเอฟราอิมถูกสะสมไว้
และบาปของเขาถูกบันทึกไว้
13 เขาเจ็บปวดเหมือนหญิงใกล้คลอด
แต่เขาเป็นเด็กไร้สติปัญญา
เมื่อถึงเวลาแล้ว
เขาก็ไม่ยอมคลอดออกมา

14 “เราจะไถ่ตัวพวกเขาจากอำนาจของแดนผู้ตาย
เราจะไถ่เขาจากความตาย
ความตายเอ๋ย ไหนล่ะพิษสงของเจ้า?
แดนผู้ตายเอ๋ย ไหนล่ะหายนะของเจ้า?

“เราจะไม่มีความเมตตาสงสารเลย
15 ถึงแม้ว่าเขารุ่งโรจน์อยู่ในหมู่พี่น้อง
แต่ลมตะวันออกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึง
พัดกระหน่ำมาจากทะเลทราย
น้ำพุของเขาจะไม่ไหล
บ่อน้ำของเขาจะเหือดแห้ง
และคลังของเขาจะถูกปล้นชิง
เอาทรัพย์สมบัติไปหมด
16 ชาวสะมาเรียต้องรับโทษความผิดของตน
เพราะพวกเขากบฏต่อพระเจ้าของพวกเขา
พวกเขาจะล้มลงด้วยดาบ
ลูกอ่อนของพวกเขาจะถูกจับฟาดกับพื้น
และหญิงมีครรภ์ของพวกเขาจะถูกผ่าท้อง”

การกลับใจใหม่ซึ่งนำพระพรมา

14 อิสราเอลเอ๋ย จงหันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าเถิด
ที่เจ้าล่มจมลงก็เพราะบาปทั้งหลายของเจ้า!
จงนำคำอ้อนวอนมาด้วย
และกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
จงทูลพระองค์ว่า
“ขอทรงอภัยบาปทั้งสิ้นของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ขอทรงรับข้าพระองค์ทั้งหลายไว้ด้วยพระคุณ
เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะถวายคำสรรเสริญจากริมฝีปากของข้าพระองค์ทั้งหลาย[a]
อัสซีเรียไม่อาจช่วยเหล่าข้าพระองค์ได้
ข้าพระองค์ทั้งหลายจะไม่พึ่งม้าศึก
จะไม่เรียกสิ่งที่มือของข้าพระองค์ทั้งหลายสร้างขึ้นนั้นว่า
‘บรรดาพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย’ อีกต่อไป
เพราะลูกกำพร้าพ่อจะพบความเมตตาสงสารในพระองค์”

“เราจะรักษาความดื้อด้านของพวกเขา
และจะรักพวกเขาอย่างเต็มที่
เพราะเราหายโกรธพวกเขาแล้ว
เราจะเป็นเหมือนน้ำค้างพร่างพรมให้อิสราเอล
เขาจะผลิบานดั่งดอกลิลลี่
เขาจะหยั่งรากลง
เหมือนสนซีดาร์แห่งเลบานอน
หน่ออ่อนของเขาจะเติบโตขึ้น
เขาจะงดงามรุ่งโรจน์เหมือนต้นมะกอก
และส่งกลิ่นหอมเหมือนสนซีดาร์แห่งเลบานอน
ผู้คนจะพักพิงในร่มเงาของเขาอีก
เขาจะเจริญงอกงามเหมือนเมล็ดข้าว
จะผลิบานเหมือนเถาองุ่น
ชื่อเสียงเลื่องลือเหมือนเหล้าองุ่นจากเลบานอน
เอฟราอิมเอ๋ย เรา[b]จะต้องเกี่ยวข้องอะไรกับรูปเคารพทั้งหลายอีก?
เราจะตอบเขาและห่วงใยดูแลเขา
เราเป็นเหมือนต้นสนเขียวชอุ่ม
เจ้าจะมีผลงอกงามเพราะเรา”

ผู้ใดเฉลียวฉลาด? ผู้นั้นจะประจักษ์สิ่งเหล่านี้
ผู้ใดมีวิจารณญาณ? ผู้นั้นจะเข้าใจ
วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนถูกต้อง
ผู้ชอบธรรมดำเนินในวิถีทางเหล่านี้
แต่ผู้กบฏต่อพระเจ้าก็สะดุดอยู่ในทางของพระองค์

พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งมีมาถึงโยเอล

บุตรเปธูเอล ความว่า

ตั๊กแตนบุก

ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย จงฟังเถิด
ประชาชนทั้งปวง จงฟังเถิด
เคยเกิดเหตุการณ์อย่างนี้บ้างไหม
ทั้งในสมัยของท่านหรือสมัยบรรพบุรุษของท่าน?
จงเล่าให้ลูกๆ ของท่านฟัง
และให้ลูกบอกหลาน
ให้หลานบอกเหลนต่อๆ กันไป
ตั๊กแตนวัยเดินกินอะไรเหลือ
ตั๊กแตนใหญ่ก็มากิน
ตั๊กแตนใหญ่กินอะไรเหลือ
ตั๊กแตนอ่อนก็มากิน
ตั๊กแตนอ่อนกินอะไรเหลือ
ตั๊กแตนอื่นๆ[c]ก็มากิน

ลุกขึ้นเถิด คนขี้เมาเอ๋ย จงร่ำไห้!
จงคร่ำครวญเถิด บรรดานักดื่มเหล้าองุ่นเอ๋ย
จงโอดครวญเพราะเหล้าใหม่
เพราะมันถูกฉวยเอาไปจากริมฝีปากของเจ้าแล้ว
กองทัพชาติหนึ่งมาบุกรุกดินแดนของข้าพเจ้า
มันมีกำลังมากและมีจำนวนนับไม่ถ้วน
ฟันของมันคมดั่งฟันของราชสีห์
เขี้ยวดั่งเขี้ยวของนางสิงห์
มันทำลายเถาองุ่น
และทำให้ต้นมะเดื่อของข้าพเจ้าป่นปี้
มันลอกเปลือกออกโยนทิ้ง
เหลือไว้แต่กิ่งก้านขาวโพลน

จงร่ำไห้ดั่งหญิงพรหมจารี[d]สวมเสื้อผ้ากระสอบ
ซึ่งคร่ำครวญถึงเจ้าบ่าว[e]ในวัยแรกรุ่นของเธอ
ธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา
สูญสิ้นไปจากพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เหล่าปุโรหิตผู้ปรนนิบัติรับใช้อยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ทุกข์
10 ท้องทุ่งย่อยยับ
พื้นดินแตกระแหง[f]
เมล็ดข้าวก็ถูกทำลาย
เหล้าองุ่นใหม่เหือดแห้ง
และไม่มีน้ำมันมะกอก

11 ชาวนาทั้งหลาย จงสิ้นหวัง
ชาวสวนองุ่น จงร่ำไห้
จงทุกข์โศกเรื่องข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์
เพราะพืชผลพินาศสิ้นจากแผ่นดิน
12 เถาองุ่นเหี่ยวเฉา
ต้นมะเดื่อแห้งเหี่ยวไป
ทั้งต้นทับทิม ต้นอินทผลัม และต้นแอปเปิ้ล
คือต้นไม้ทั้งปวงในท้องทุ่งเหี่ยวแห้ง
ความปีติแห่งมวลมนุษยชาติ
ร่วงโรยไปแน่แล้ว

เรียกร้องให้กลับใจ

13 ปุโรหิตทั้งหลายเอ๋ย จงสวมเสื้อผ้ากระสอบและไว้ทุกข์
ท่านผู้ปฏิบัติงานหน้าแท่นบูชา จงร่ำไห้
มาเถิดท่านผู้ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า
จงสวมเสื้อผ้ากระสอบไว้ตลอดคืน
เพราะธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา
ขาดไปจากพระนิเวศของพระเจ้าของท่านแล้ว
14 จงประกาศให้มีการถืออดอาหารอันบริสุทธิ์
จงเรียกประชุมอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
จงเรียกเหล่าผู้อาวุโส
และทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
ให้มายังพระนิเวศของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
และร้องทูลอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้า

15 ช่างเป็นวันที่น่ากลัวยิ่งนัก!
เพราะวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
จะมาเหมือนหายนะจากองค์ทรงฤทธิ์

16 อาหารสูญสิ้นไป
ต่อหน้าต่อตาเราแล้วไม่ใช่หรือ?
ความชื่นชมยินดีและความเปรมปรีดิ์
สูญสิ้นไปจากพระนิเวศของพระเจ้าของเราแล้วไม่ใช่หรือ?
17 เมล็ดพืชเหี่ยวเฉาคาดิน[g]
ยุ้งฉางย่อยยับปรักหักพัง
เพราะเมล็ดข้าวเหี่ยวแห้งไปหมด
18 ฝูงวัวร้องครวญครางเพียงไร!
มันเดินงุ่นง่าน
เพราะไม่มีทุ่งหญ้า
แม้แต่ฝูงแกะก็ทุกข์ทรมาน

19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์
เพราะไฟเผาผลาญทุ่งโล่งที่ใช้เลี้ยงสัตว์
เปลวไฟแผดเผาต้นไม้ทั้งปวงในท้องทุ่งวอดวาย
20 แม้แต่สัตว์ป่าก็ครวญหาพระองค์
ธารน้ำเหือดแห้งไปสิ้น
และไฟก็เผาผลาญทุ่งโล่งซึ่งใช้เลี้ยงสัตว์

กองทัพตั๊กแตน

จงเป่าแตรในศิโยน
ให้สัญญาณเตือนบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา

ประชาชนทั้งปวงจงสั่นสะท้าน
เพราะวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังมาถึงแล้ว
วันนั้นใกล้เข้ามาทุกที
เป็นวันแห่งความมืดมิดและหม่นหมอง
เป็นวันเมฆครึ้มและดำทะมึน
เหมือนแสงอรุณสาดฉายทั่วภูเขา
กองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกรยกมา
อย่างที่ไม่เคยมีในอดีต
และจะไม่มีอีกเลยในอนาคต

เบื้องหน้ามันมีไฟเผาผลาญ
เบื้องหลังมีเปลวไฟแผดกล้า
ตรงหน้ามันมีดินแดนงดงามเหมือนสวนเอเดน
คล้อยหลังมันเหลือแต่แดนร้าง
ไม่มีสิ่งใดพ้นเงื้อมมือมันไปได้
มันมีลักษณะคล้ายม้า
ขับควบมาเหมือนขบวนม้าศึก
มันโลดแล่นอยู่บนยอดเขา
เสียงดังเหมือนรถม้าศึก
ดั่งเสียงไฟแตกปะทุซึ่งเผาตอไม้
และเหมือนทัพใหญ่ยกขึ้นมารบ

ประชาชาติต่างๆ เห็นมันแล้วก็กระสับกระส่าย
ทุกคนใบหน้าซีดเผือด
มันบุกเข้ามาเหมือนนักรบ
ปีนกำแพงเหมือนทหาร
มันเดินขบวนเข้ามาเป็นแนว
ไม่มีแตกแถวเลย
มันไม่เบียดเสียดกัน
แต่ละตัวเดินตรงไปข้างหน้า
ตะลุยฝ่าเครื่องกีดขวาง
โดยไม่แตกแถว
มันรีบรุดเข้าเมือง
มันวิ่งไปตามกำแพง
ปีนเข้าไปในบ้าน
เข้าไปทางหน้าต่างเหมือนขโมย

10 โลกสั่นคลอนต่อหน้าพวกมัน
ฟ้าสวรรค์สั่นสะท้าน
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดไป
ดวงดาวอับแสง
11 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปล่งพระสุรเสียงกึกก้อง
ทรงนำกองทัพของพระองค์มา
กองกำลังของพระองค์สุดคณานับ
ผู้ที่เชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ก็มีอานุภาพมาก
วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่
และน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ใครเล่าจะทนอยู่ได้?

จงฉีกใจของเจ้า

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“บัดนี้จงกลับมาหาเราอย่างสุดใจ
ด้วยการถืออดอาหาร ร้องไห้ และคร่ำครวญ”

13 จงฉีกใจ
ไม่ใช่ฉีกเสื้อผ้า
จงหันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
เพราะพระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความเอ็นดูสงสาร
ทรงกริ้วช้าและเปี่ยมด้วยความรัก
ทรงอดพระทัยไว้ไม่ลงโทษ
14 ใครจะรู้ได้ พระองค์อาจหวนกลับมาสงสาร
และทรงอำนวยพระพร
ทรงให้มีธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา
เพื่อถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

15 จงเป่าแตรในศิโยน
จงประกาศการถืออดอาหารอันบริสุทธิ์
และเรียกชุมนุมอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
16 จงรวบรวมประชาชน
ชำระให้เป็นที่ประชุมอันบริสุทธิ์
จงประชุมผู้อาวุโส
รวบรวมเด็กๆ
แม้เด็กที่ยังกินนมแม่
ให้เจ้าบ่าวออกมาจากห้อง
และให้เจ้าสาวออกมาจากหอ
17 ให้ปุโรหิตผู้ปฏิบัติงานอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า
ร่ำไห้อยู่ระหว่างมุขพระวิหารกับแท่นบูชา
ให้พวกเขาทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสงวนประชากรของพระองค์
อย่าให้มรดกของพระองค์เป็นที่เย้ยหยัน
เป็นคำเปรียบเปรยในหมู่ประชาชาติ
อย่าให้ชนชาติทั้งหลายพูดกันว่า
‘ไหนล่ะพระเจ้าของพวกเขา?’ ”
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบ
18 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงหวงแหนดินแดนของพระองค์
และจะทรงเวทนาสงสารประชากรของพระองค์

19 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบ[h]พวกเขาว่า

“เราจะส่งเมล็ดข้าว เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมันมาให้
จนเจ้าทั้งหลายอิ่มหนำสำราญ
เราจะไม่ทำให้เจ้าตกเป็นเป้าของการเย้ยหยัน
ของประชาชาติต่างๆ อีกต่อไป

20 “เราจะขับไล่กองทัพแดนเหนือไปไกลจากเจ้า
ไสส่งเขาไปยังถิ่นที่แห้งแล้งกันดาร
ให้กองหน้าของมันลงทะเลด้านตะวันออก[i]ไป
ส่วนกองหลังลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
และส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง
โชยขึ้นมา”

พระองค์ได้ทรง[j]กระทำการยิ่งใหญ่มากอย่างแน่นอน!
21 แผ่นดินเอ๋ย อย่ากลัวเลย
จงยินดีปรีดา
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการยิ่งใหญ่มากอย่างแน่นอน!
22 สัตว์ป่าทั้งหลาย อย่ากลัวเลย
เพราะทุ่งโล่งซึ่งใช้เลี้ยงสัตว์จะกลับเขียวขจี
ต้นไม้จะผลิผล
มะเดื่อและเถาองุ่นจะออกผลงาม
23 ประชากรศิโยนเอ๋ย จงเปรมปรีดิ์
จงชื่นชมยินดีในพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน
เพราะพระองค์ได้ประทาน
สายฝนฤดูใบไม้ร่วงด้วยความชอบธรรมให้แก่ท่าน[k]
พระองค์ทรงให้ฝนตกชุก
ทั้งฝนฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิเหมือนแต่ก่อน
24 ลานนวดข้าวจะมีข้าวอยู่เต็ม
บ่อเก็บมีเหล้าองุ่นใหม่และน้ำมันมะกอกเต็มล้น

25 “เราจะชดเชยให้สำหรับช่วงปีที่ตั๊กแตนกัดกิน
ทั้งตั๊กแตนใหญ่ ตั๊กแตนอ่อน
ตั๊กแตนวัยเดิน และตั๊กแตนอื่นๆ
คือกองทัพใหญ่ที่เราส่งมายังเจ้า
26 เจ้าจะมีกินอย่างเหลือเฟือจนอิ่มหนำ
และเจ้าจะสรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
ผู้ทรงกระทำการอัศจรรย์เพื่อเจ้า
ประชากรของเราจะไม่ต้องอัปยศอดสูอีกเลย
27 แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราอยู่ในอิสราเอล
เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
ไม่มีอื่นใดอีก
ประชากรของเราจะไม่ต้องอัปยศอดสูอีก

วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า

28 “และต่อมาภายหลัง
เราจะเทวิญญาณของเราลงเหนือประชากรทั้งปวง
บุตรชายบุตรสาวของเจ้าจะเผยพระวจนะ
คนชราของเจ้าจะฝันเห็น
คนหนุ่มของเจ้าจะเห็นนิมิต
29 เมื่อถึงเวลานั้นเราจะเทวิญญาณของเรา
ลงมาเหนือผู้รับใช้ของเราทั้งชายและหญิง
30 เราจะสำแดงการอัศจรรย์ในฟ้าสวรรค์
และที่แผ่นดินโลก
มีเลือด ไฟ และกลุ่มควัน
31 ดวงอาทิตย์จะถูกเปลี่ยนเป็นความมืด
และดวงจันทร์จะกลายเป็นเลือด
ก่อนวันอันยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึง
32 และทุกคนที่ร้องออกพระนามของพระยาห์เวห์
จะได้รับการช่วยให้รอด
เพราะบนภูเขาศิโยน
และในเยรูซาเล็มจะมีการช่วยกู้
ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้
ท่ามกลางผู้รอดชีวิตอยู่
ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกไว้

ประชาชาติทั้งหลายถูกพิพากษา

“เมื่อถึงเวลานั้น
เมื่อเราฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองของยูดาห์และเยรูซาเล็ม
เราจะรวบรวมประชาชาติทั้งปวง
พาเขาลงมายังหุบเขาเยโฮชาฟัท[l]
ที่นั่นเราจะเริ่มพิพากษาพวกเขา
เรื่องประชากรอิสราเอลกรรมสิทธิ์ของเรา
เพราะพวกเขาทำให้ประชากรของเรากระจัดกระจายไปในหมู่ประชาชาติ
และแบ่งดินแดนของเรา
เขาจับสลากแบ่งประชากรของเรา
และเอาเด็กผู้ชายไปแลกหญิงโสเภณีมา
พวกเขาได้ขายเด็กผู้หญิงแลกกับเหล้าองุ่น
ที่พวกเขาจะได้ดื่ม

“นี่แน่ะไทระและไซดอนกับภูมิภาคทั้งปวงของฟีลิสเตียเอ๋ย เจ้าจะเอาเรื่องกับเราว่าอย่างไร? เจ้าจะตอบสนองสิ่งที่เราทำไปหรือ? หากเจ้าแก้แค้น เราก็จะให้กรรมที่เจ้าก่อไว้ตกอยู่แก่เจ้าเองอย่างฉับพลันทันที เพราะเจ้ายึดเอาเงินและทองคำกับสมบัติล้ำค่าของเราไปไว้ที่วิหารต่างๆ ของเจ้า เจ้าขายชนยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มให้แก่ชาวกรีกเพื่อจะได้เนรเทศพวกเขาไปไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน

“ดูเถิด เราจะกระตุ้นพวกเขาออกมาจากที่ต่างๆ ซึ่งเจ้าขายพวกเขาไป และเราจะให้กรรมที่เจ้าก่อไว้ตกอยู่แก่เจ้าเอง เราจะขายบุตรชายบุตรสาวของเจ้าให้แก่ชาวยูดาห์ ซึ่งจะขายต่อให้ชาวเสบา ชนชาติซึ่งอยู่ไกลลิบ” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

จงประกาศในหมู่ประชาชาติดังนี้ว่า
เตรียมรบเถิด!
จงปลุกใจเหล่านักรบ!
ให้พลรบทั้งปวงเข้ามาใกล้และบุกทันที
10 จงเอาผาลไถนามาตีเป็นดาบ
และตีขอลิดให้เป็นทวน
ให้คนอ่อนแอพูดว่า
“ฉันเข้มแข็ง!”
11 ประชาชาติทั้งปวงจากรอบทิศเอ๋ย
มาเร็วเถิด มาชุมนุมกันที่นั่น

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า! ขอทรงส่งนักรบของพระองค์ลงมาเถิด!

12 “จงปลุกใจประชาชาติทั้งหลาย
ให้รุดหน้ามายังหุบเขาเยโฮชาฟัท
เพราะที่นั่นเราจะนั่งลงตัดสิน
ประชาชาติทั้งปวงรอบทิศ
13 จงแกว่งเคียว
เพราะข้าวสุกพร้อมให้เกี่ยวแล้ว
มาเถิด มาย่ำองุ่น
เพราะบ่อย่ำองุ่นเต็มแล้ว
และบ่อเก็บมีเหล้าองุ่นเต็มล้น
ความชั่วร้ายของพวกเขามากมายนัก!”

14 ผู้คนมากันมืดฟ้ามัวดิน
ในหุบเขาแห่งการพิพากษา!
เพราะวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
ในหุบเขาแห่งการพิพากษา
15 ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะมืดมิดไป
และดวงดาวจะอับแสง
16 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปล่งพระสุรเสียงกึกก้องจากศิโยน
ทรงเปล่งพระสุรเสียงจากเยรูซาเล็ม
แผ่นดินและผืนฟ้าจะสั่นสะท้าน
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นที่ลี้ภัยสำหรับประชากรของพระองค์
เป็นที่มั่นสำหรับประชากรอิสราเอล

พระพรสำหรับประชากรของพระเจ้า

17 “เมื่อนั้นเจ้าจะรู้ว่าเราผู้เป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
พำนักอยู่ในศิโยนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา
เยรูซาเล็มจะบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
คนต่างชาติจะไม่มาย่ำยีมันอีก

18 “ในวันนั้นจะมีน้ำองุ่นหยดจากภูเขา
และมีน้ำนมไหลมาจากเนินเขา
ลำห้วยทั้งปวงของยูดาห์จะมีน้ำนอง
ธารน้ำพุจะไหลออกมาจากพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ให้ความชุ่มชื่นแก่หุบเขาต้นกระถินเทศ[m]
19 แต่อียิปต์จะเริศร้าง
เอโดมกลายเป็นถิ่นกันดาร
เพราะความอำมหิตที่ทำไว้กับชาวยูดาห์
พวกเขาทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องหลั่งเลือดในดินแดนนั้น
20 ยูดาห์และเยรูซาเล็มจะมีผู้อยู่อาศัย
ตลอดไปทุกชั่วอายุ
21 ความผิดที่พวกเขาทำให้โลหิตตกซึ่งเราไม่ได้อภัยให้นั้น
เราจะให้อภัย”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่ในศิโยน!

ถ้อยคำของอาโมส คนเลี้ยงแกะคนหนึ่งในเทโคอา สิ่งที่อาโมสได้เห็นเกี่ยวกับอิสราเอลสองปีก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหว เมื่อครั้งอุสซียาห์เป็นกษัตริย์ยูดาห์ และเยโรโบอัมบุตรเยโฮอาช[n]เป็นกษัตริย์อิสราเอล

อาโมสกล่าวว่า

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปล่งพระสุรเสียงกึกก้องจากศิโยน
ทรงเปล่งพระสุรเสียงจากเยรูซาเล็ม
แล้วทุ่งหญ้าของคนเลี้ยงแกะก็เหี่ยวเฉา[o]
และยอดเขาคารเมลก็เหี่ยวแห้งไป”

คำพิพากษาบรรดาเพื่อนบ้านของอิสราเอล

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากดามัสกัสทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะมันนวดกิเลอาดด้วยเลื่อน
ซึ่งมีฟันเป็นเหล็ก
เราจะส่งไฟมายังบ้านของฮาซาเอล
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของเบนฮาดัด
เราจะทลายประตูเมืองดามัสกัส
เราจะทำลายล้างกษัตริย์ซึ่งอยู่ใน[p]หุบเขาอาเวน[q]
และทำลายผู้ถือคทาในเบธเอเดน
ชาวอารัมจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่เมืองคีร์”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากกาซาทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขากวาดต้อนคนทั้งชุมชนไปเป็นเชลย
และขายให้แก่เอโดม
เราจะส่งไฟมายังกำแพงเมืองกาซา
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของมัน
เราจะทำลายกษัตริย์แห่ง[r]อัชโดด
และทำลายผู้ถือคทาในอัชเคโลน
เราจะตวัดมือฟาดเอโครน
จวบจนชาวฟีลิสเตียคนสุดท้ายตายไป”
            พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนั้น

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากไทระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขาขายเชลยทั้งชุมชนให้แก่เอโดม
ไม่คำนึงถึงสัญญาไมตรีฉันพี่น้อง
10 เราจะส่งไฟมายังกำแพงเมืองไทระ
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของมัน”

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากเอโดมทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขาถือดาบตามล่าน้องชาย
โดยไม่ปรานี[s]
เพราะโทสะของเขาพลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา
และเกรี้ยวกราดไม่ได้หยุดหย่อน
12 เราจะส่งไฟมายังเทมาน
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของโบสราห์”

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากอัมโมนทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขาผ่าท้องหญิงมีครรภ์ในกิเลอาด
เพื่อขยายเขตแดน
14 เราจะส่งไฟลงมายังกำแพงเมืองรับบาห์
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของมัน
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องคะนองศึกในวันสงคราม
ท่ามกลางสายลมปั่นป่วนในวันที่มีพายุจัด
15 กษัตริย์[t]ของอัมโมนกับเหล่าข้าราชบริพาร
จะตกเป็นเชลย”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากโมอับทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขาเผากระดูกกษัตริย์เอโดม
ราวกับจะให้เป็นปูน
เราจะส่งไฟมายังโมอับ
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของเคริโอท[u]
โมอับจะล่มจมท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องออกศึกและเสียงแตรดังสนั่น
เราจะทำลายผู้ปกครอง
และฆ่าบรรดาข้าราชบริพารไปพร้อมกับเขาด้วย”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากยูดาห์ทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขาละทิ้งบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า
และไม่ได้ประพฤติตามกฎหมายของพระองค์
เพราะพระเท็จเทียมทั้งหลายได้ชักนำพวกเขาให้หลงเตลิดไป
บรรดาพระ[v]ซึ่งบรรพบุรุษของเขาหลงตามไป
เราจะส่งไฟมายังยูดาห์
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของเยรูซาเล็ม”

คำพิพากษาอิสราเอล

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากอิสราเอลทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เขาขายผู้ชอบธรรมแลกกับเงิน
และขายคนขัดสนแลกกับรองเท้าคู่เดียว
เขาเหยียบย่ำศีรษะของผู้ยากไร้
เหมือนเดินย่ำฝุ่น
และไม่ยอมให้ความยุติธรรมแก่ผู้ถูกกดขี่
พ่อลูกเข้าหาผู้หญิงคนเดียวกัน
เป็นเหตุให้นามอันศักดิ์สิทธิ์ของเราถูกลบหลู่ดูหมิ่น
เขาเอนตัวลงนอนข้างแท่นบูชาทุกแท่น
สวมเสื้อผ้าที่ยึดมาเป็นของประกัน
และเขาดื่มเหล้าองุ่นซึ่งยึดมาเป็นค่าปรับ
ในวิหารพระของเขา

“เราได้ทำลายชาวอาโมไรต์ต่อหน้าเขา
ทั้งๆ ที่อาโมไรต์สูงตระหง่านเหมือนสนซีดาร์
และแข็งแกร่งเหมือนต้นโอ๊ก
เราทำลายผลซึ่งอยู่ข้างบน
และรากเหง้าซึ่งอยู่ข้างล่าง
10 เราพาเจ้าออกมาจากอียิปต์
และนำเจ้าผ่านถิ่นกันดารตลอดสี่สิบปี
เพื่อยกดินแดนของชาวอาโมไรต์ให้แก่เจ้า

11 “ทั้งเราได้ตั้งบุตรชายบางคนของพวกเจ้าให้เป็นผู้เผยพระวจนะ
และเลือกสรรคนหนุ่มบางคนของพวกเจ้าให้เป็นนาศีร์
นี่เป็นความจริงไม่ใช่หรือ ประชากรอิสราเอลเอ๋ย?”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
12 “แต่เจ้าก็บังคับให้นาศีร์ดื่มเหล้าองุ่น
และสั่งผู้เผยพระวจนะไม่ให้เผยพระวจนะ

13 “ฉะนั้นบัดนี้เราจะขยี้เจ้า
เหมือนเกวียนที่บรรทุกข้าวเต็มบดขยี้
14 คนที่ว่องไวจะหนีไม่พ้น
คนที่แข็งแรงจะไม่อาจฮึดสู้
และนักรบก็จะเอาชีวิตไม่รอด
15 พลธนูจะไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้
ทหารราบจะหนีไปไม่พ้น
และพลม้าจะเอาชีวิตไม่รอด
16 แม้แต่นักรบกล้าหาญที่สุด
ก็จะหนีตัวล่อนจ้อนไปในวันนั้น”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

เรียกพยานมากล่าวโทษอิสราเอล

ประชากรอิสราเอลเอ๋ย จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ต่อว่าพวกเจ้า ต่อว่าครอบครัวทั้งหมดที่เรานำออกมาจากอียิปต์ ความว่า

“เจ้าเท่านั้นที่เราได้เลือกสรรไว้
จากเผ่าพันธุ์ทั้งปวงในโลก
ฉะนั้นเราจะลงโทษเจ้า
เนื่องด้วยบาปทั้งสิ้นของเจ้า”

สองคนจะเดินไปด้วยกันได้หรือ?
หากทั้งคู่ไม่ได้ตกลงกันไว้ก่อน
เมื่อสิงโตล่าเหยื่อไม่ได้
มันจะคำรามลั่นป่าหรือ?
เมื่อมันจับสัตว์อะไรไม่ได้
มันจะร้องครวญครางอยู่ในถ้ำหรือ?
เมื่อไม่ได้วางเหยื่อล่อไว้
นกจะตกลงในกับดักซึ่งวางอยู่ที่พื้นดินได้หรือ?
หากไม่มีอะไรไปติด
กับดักจะลั่นขึ้นได้หรือ?
เมื่อเสียงแตรดังขึ้นในเมือง
ผู้คนจะไม่ตกใจหรือ?
เมื่อเกิดภัยพิบัติในเมืองใด
องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเป็นผู้บันดาลหรือ?

แน่ทีเดียว พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจะไม่ทรงกระทำสิ่งใด
โดยไม่เปิดเผยแผนการของพระองค์
ให้บรรดาผู้เผยพระวจนะซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ได้รู้

เมื่อสิงโตคำราม
ใครบ้างจะไม่กลัว?
เมื่อพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสแล้ว
ใครเล่าจะไม่เผยพระวจนะ?

จงป่าวร้องแก่ป้อมแห่งอัชโดด
และแก่ป้อมแห่งอียิปต์ว่า
“จงมาชุมนุมกันบนภูเขาของสะมาเรีย
มาดูความโกลาหลวุ่นวายในเมืองนั้น
และดูการกดขี่ข่มเหงท่ามกลางประชากรของเมืองนั้น”

10 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “บรรดาผู้สะสมของริบของปล้นไว้ในป้อมต่างๆ
ไม่รู้จักทำสิ่งที่ถูกต้อง”

11 ฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสว่า

“ศัตรูจะมาล้างผลาญแผ่นดินนั้น
เขาจะทลายที่มั่น
และปล้นป้อมปราการต่างๆ ของเจ้า”

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เหมือนคนเลี้ยงแกะช่วยแกะออกมาจากปากสิงโต
ได้แค่กระดูกขาสองชิ้นและเศษหูชิ้นเดียวฉันใด
ชาวอิสราเอลจะได้รับการช่วยเหลือแบบเดียวกันฉันนั้น
คือคนเหล่านั้นที่นั่งอยู่บนขอบเตียงของพวกเขา ในสะมาเรีย
และนั่งอยู่บนเก้าอี้ในดามัสกัส[w]

13 องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า “จงฟัง แล้วไปกล่าวโทษพงศ์พันธุ์ยาโคบว่า

14 “ในวันที่เราลงโทษอิสราเอลเพราะบาปทั้งหลายของพวกเขา
เราจะทำลายแท่นบูชาแห่งเบธเอล
เชิงงอนแท่นจะถูกเฉือนออก
และร่วงหล่นลงกับพื้น
15 เราจะทลายตำหนักฤดูหนาว
พร้อมทั้งตำหนักฤดูร้อน
บ้านต่างๆ ที่ตกแต่งด้วยงาช้างจะถูกทำลาย
คฤหาสน์ทั้งหลายจะสูญสิ้นไป”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

อิสราเอลไม่ได้หันกลับมาหาพระเจ้า

ฟังเถิด บรรดาแม่วัวแห่งบาชานบนภูเขาสะมาเรีย
คือพวกผู้หญิงที่กดขี่คนยากไร้และเหยียบย่ำคนขัดสน
คนที่พูดกับสามีว่า “ช่วยเอาเครื่องดื่มมาให้หน่อย!”
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงปฏิญาณโดยความบริสุทธิ์ของพระองค์ว่า
“เวลานั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน
เมื่อเจ้าจะถูกลากไปด้วยขอเกี่ยว
พวกสุดท้ายจะถูกลากไปด้วยเบ็ด
เจ้าแต่ละคนจะตรงออกไป
ผ่านรอยแตกของกำแพง
และเจ้าจะถูกเหวี่ยงออกไปยังฮารโมน[x]
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“จงไปยังเบธเอลและทำบาป
จงไปยังกิลกาลและทำบาปยิ่งขึ้นไปอีก
เอาเครื่องบูชาไปถวายทุกเช้า
เอาสิบลดไปถวายทุกสามปี[y]
เอาขนมปังใส่เชื้อมาเผาถวายเป็นเครื่องบูชาขอบพระคุณ
และโอ้อวดเครื่องบูชาตามความสมัครใจ
โอ้อวดเข้าไปเถิด อิสราเอลเอ๋ย
ในเมื่อเจ้ารักที่จะทำเช่นนั้น”
            พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น

“เราให้เจ้าท้องกิ่วไส้แห้ง[z]ในทุกๆ นคร
ไม่มีอาหารกินในทุกๆ เมือง
ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่ยอมกลับมาหาเรา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“เรางดให้ฝนแก่เจ้าด้วย
สามเดือนก่อนถึงฤดูเก็บเกี่ยว
เราให้ฝนตกในเมืองหนึ่ง
แต่ไม่ให้ฝนตกในอีกเมืองหนึ่ง
นาหนึ่งมีฝน
อีกนาไม่มีและข้าวจะเหี่ยวเฉาไป
ผู้คนโซซัดโซเซจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งเพื่อหาน้ำ
แต่ก็ได้ไม่พอดื่ม
ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่ยอมกลับมาหาเรา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“หลายครั้งที่เราโจมตีไร่นาและสวนองุ่นของเจ้า
ให้พืชผลถูกทำลายและขึ้นรา
มีตั๊กแตนกัดกินต้นมะเดื่อและต้นมะกอกของเจ้า
ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่ยอมกลับมาหาเรา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

10 “เราส่งภัยพิบัติต่างๆ มาท่ามกลางพวกเจ้า
เหมือนที่เราทำแก่อียิปต์
เราฆ่าหนุ่มฉกรรจ์ของเจ้าด้วยดาบ
ฆ่าพร้อมกับม้าที่เจ้ายึดมาได้
เราทำให้กลิ่นเหม็นที่ตลบไปทั้งค่ายโชยคลุ้งเข้าจมูกเจ้า
ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่ยอมกลับมาหาเรา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

11 “เราคว่ำพวกเจ้าบางคนไป
เหมือนที่เรา[aa]คว่ำโสโดมและโกโมราห์
เจ้าเหมือนดุ้นฟืนที่ถูกฉวยออกมาจากกองไฟ
ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่ยอมกลับมาหาเรา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

12 “ฉะนั้นอิสราเอลเอ๋ย เราจะทำกับเจ้าดังนี้
และเพราะเราจะทำกับเจ้าดังนี้
จงเตรียมตัวพบกับพระเจ้าของเจ้าเถิดอิสราเอลเอ๋ย”

13 พระองค์ผู้ทรงก่อร่างสร้างภูเขา
สร้างลม
และทรงสำแดงพระดำริแก่มนุษย์
พระองค์ผู้ทรงแปรเปลี่ยนรุ่งอรุณให้เป็นความมืดมิด
และทรงดำเนินอยู่บนเบื้องสูงของโลก
พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์

คร่ำครวญและเรียกให้กลับใจ

พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด เราคร่ำครวญถึงเจ้าดังนี้

“อิสราเอลพรหมจารีล้มลงเสียแล้ว
จะไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย
ต้องถูกทอดทิ้งในดินแดนของเธอเอง
และไม่มีใครช่วยพยุงขึ้นมาเลย”

พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า

“เมืองซึ่งส่งชายฉกรรจ์พันคนออกไปรบเพื่ออิสราเอล
จะเหลือกลับมาเพียงร้อยคน
ที่ส่งออกไปร้อยคน
จะเหลือกลับมาเพียงสิบคนเท่านั้น”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า

“จงแสวงหาเรา และเจ้าจะมีชีวิตอยู่
อย่าแสวงหาเบธเอล
อย่าไปที่กิลกาล
อย่าเดินทางไปยังเบเออร์เชบา
เพราะกิลกาลจะต้องตกเป็นเชลยอย่างแน่นอน
และเบธเอลจะราบเป็นหน้ากลอง”[ab]
จงแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าและเจ้าจะมีชีวิตอยู่
มิฉะนั้นแล้วพระองค์จะทรงกวาดพงศ์พันธุ์โยเซฟไป
เหมือนไฟที่เผาผลาญ
และเบธเอลจะหาใครช่วยดับไฟไม่ได้เลย

เจ้าผู้แปรเปลี่ยนความยุติธรรมเป็นความขมขื่น
ผู้เหวี่ยงความชอบธรรมลงกับพื้น

(พระองค์ผู้ทรงสร้างดาวลูกไก่และดาวไถ
ผู้ทรงผันแปรความมืดให้กลายเป็นรุ่งอรุณ
และกลางวันให้กลายเป็นกลางคืนมืดมิด
ผู้ทรงเรียกน้ำทะเลมา
และเทน้ำรดผิวโลก
ทรงพระนามว่าพระยาห์เวห์
ผู้ทรงกระหน่ำหายนะลงเหนือที่มั่น
และให้เมืองป้อมปราการพังพินาศ)

10 เจ้าเกลียดคนที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในศาล
และดูหมิ่นคนที่กล่าวความจริง

11 เจ้าเหยียบย่ำคนยากไร้
และรีดไถเอาเมล็ดข้าวจากเขา
ฉะนั้นถึงแม้เจ้าจะสร้างตึกศิลา
เจ้าก็จะไม่ได้อยู่อาศัย
ถึงแม้เจ้าปลูกสวนองุ่นงอกงาม
เจ้าก็จะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นนั้น
12 เพราะเรารู้ว่าเจ้าล่วงละเมิดมากมายเพียงใด
และบาปต่างๆ ของเจ้าใหญ่หลวงเพียงใด

เจ้ากดขี่ข่มเหงคนชอบธรรม เจ้ารับสินบน
ทั้งยังกีดกันความยุติธรรมจากคนยากไร้ในศาล
13 ฉะนั้นคนฉลาดก็นิ่งเสียในยามเช่นนี้
เพราะเป็นยุคแห่งความชั่วร้าย

14 จงแสวงหาความดี ไม่ใช่ความชั่ว
แล้วเจ้าจะมีชีวิตอยู่
แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์จะอยู่กับเจ้า
เหมือนที่เจ้าพูดว่าพระองค์ทรงอยู่กับเจ้า
15 จงเกลียดความชั่ว รักความดี
จงผดุงความยุติธรรมในศาล
บางทีพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์จะทรงเมตตา
คนที่เหลืออยู่ของโยเซฟ

16 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า

“ทุกถนนจะมีการร่ำไห้
ย่านชุมชนทุกแห่งจะมีเสียงร้องด้วยความทุกข์โศก
เขาจะเรียกชาวนามาร่วมกันร้องไห้
และเรียกคนที่ไว้ทุกข์มารวมกลุ่มกันร้องไห้คร่ำครวญ
17 จะมีการร้องไห้ในสวนองุ่นทุกแห่ง
เพราะเราจะผ่านไปท่ามกลางเจ้า”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า

18 วิบัติแก่เจ้า
ผู้ปรารถนาวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า!
เหตุใดเจ้าจึงปรารถนาวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า?
วันนั้นเป็นวันแห่งความมืด ไม่ใช่ความสว่าง
19 เหมือนคนหนีจากสิงโต
แล้วไปพบหมี
เหมือนเข้าไปในบ้าน
เอามือพิงผนัง
ก็ถูกงูกัดเอา
20 วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นวันมืดมน ไม่ใช่สว่าง
วันนั้นมืดมิด ไม่มีแสงสว่างเลยสักนิดไม่ใช่หรือ?

21 “เราเกลียด เราชิงชังเทศกาลทางศาสนาของเจ้า
เราเอือมการประชุมของพวกเจ้า
22 แม้เจ้าจะนำเครื่องเผาบูชาและเครื่องธัญบูชามาให้
เราก็จะไม่รับ
แม้เจ้านำเครื่องสันติบูชาอย่างดีมาให้
เราก็จะไม่แยแส
23 ยุติเสียงเพลงของเจ้าเถิด!
เราจะไม่ฟังเสียงบรรเลงพิณของเจ้า
24 แต่จงให้ความยุติธรรมหลั่งไหลมาเหมือนแม่น้ำ
ให้ความชอบธรรมเหมือนธารน้ำไหลไม่ขาดสาย

25 “พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ตลอดสี่สิบปีในถิ่นกันดาร
เจ้าได้ถวายเครื่องบูชาและมอบของถวายแก่เราหรือ?
26 เจ้าตั้งสถานศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ของเจ้า
ฐานของรูปเคารพของเจ้า
ดวงดาวของเทพเจ้าของเจ้า[ac]
ที่เจ้าทำขึ้นเพื่อตนเอง
27 ฉะนั้นเราจะส่งเจ้าไปเป็นเชลยในดินแดนที่ไกลจากดามัสกัสไปอีก”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระนามว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น

วิบัติแก่ผู้ที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน

วิบัติแก่เจ้าผู้ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ในศิโยน
และแก่เจ้าผู้รู้สึกปลอดภัยบนภูเขาสะมาเรีย
เจ้าผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของชาติชั้นนำ
ผู้ซึ่งประชากรอิสราเอลมาหา!
จงไปพิเคราะห์ดูคาลเนห์
แล้วไปยังฮามัทเมืองใหญ่
และลงไปยังเมืองกัทในฟีลิสเตีย
อาณาจักรเหล่านั้นดีกว่าอาณาจักรทั้งสองของเจ้าหรือ?
ดินแดนของเขาใหญ่กว่าของเจ้าหรือ?
เจ้าเลื่อนวันเลวร้ายออกไป
แต่กลับนำยุคอันน่าสยดสยองเข้ามาใกล้
เจ้านอนบนเตียงประดับงาช้าง
และเหยียดกายบนตั่ง
เจ้ากินลูกแกะชั้นดี
และลูกวัวอ้วนพี
เจ้าเล่นพิณอย่างเบิกบานใจเหมือนดาวิด
และแต่งเพลงใหม่ๆ สำหรับเครื่องดนตรี
เจ้าดื่มเหล้าองุ่นเต็มชาม
และใช้เครื่องชโลมกายชั้นดี
แต่เจ้าไม่ทุกข์โศกในความย่อยยับของโยเซฟ
ฉะนั้นเจ้าจะอยู่ในกลุ่มพวกแรกที่ตกเป็นเชลย
การเลี้ยงฉลองและการเอกเขนกของเจ้าจะจบสิ้นลง

องค์พระผู้เป็นเจ้า

พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงปฏิญาณโดยอ้างพระองค์เอง พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า

“เราชิงชังความหยิ่งผยองของยาโคบ
และเกลียดป้อมต่างๆ ของเขา
เราจะปล่อยเมืองนี้
และปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในนั้น”

หากมีชายสิบคนเหลืออยู่ในบ้านหลังหนึ่ง พวกเขาก็จะตายด้วย 10 และหากมีญาติคนหนึ่งที่จะเผาศพ จะมาแบกศพออกไปนอกบ้าน และถามผู้ที่ยังซ่อนตัวอยู่ที่นั่นว่า “มีใครอยู่กับเจ้าอีกไหม?” และเขาตอบว่า “ไม่มี” แล้วเขาก็จะพูดว่า “เงียบๆ! อย่าให้เราเอ่ยพระนามของพระยาห์เวห์”

11 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาไว้แล้ว
และจะทรงฟาดบ้านหลังใหญ่ให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ฟาดบ้านหลังเล็กให้เป็นเศษเล็กเศษน้อย

12 ม้าวิ่งบนโตรกเขาขรุขระหรือ?
คนใช้วัวไถที่นั่นหรือ?
แต่เจ้าก็เปลี่ยนความยุติธรรมให้เป็นยาพิษ
และเปลี่ยนผลแห่งความชอบธรรมให้กลายเป็นความขมขื่น
13 เจ้าผู้ยินดีในการพิชิตโลเดบาร์[ad] และพูดว่า
“เรายึดคารนาอิม[ae]ไว้ได้ด้วยกำลังของเราเองไม่ใช่หรือ?”

14 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า
“พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย
เราจะเรียกชาติหนึ่งมาสู้กับเจ้า
ซึ่งจะกดขี่ข่มเหงเจ้าตลอดทาง
ตั้งแต่เลโบฮามัท[af]ถึงหุบเขาอาราบาห์”

ตั๊กแตน ไฟ และสายดิ่ง

พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าดังนี้คือ พระองค์กำลังเตรียมฝูงตั๊กแตนจำนวนมหาศาลให้มาหลังจากเก็บเกี่ยวพืชผลส่วนของกษัตริย์แล้ว ขณะที่ผลผลิตรุ่นที่สองกำลังออกมา เมื่อตั๊กแตนเหล่านั้นกินพืชจนแผ่นดินโล่งเตียน ข้าพเจ้าก็ร้องทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตขอทรงอภัยเถิด! ยาโคบจะอยู่รอดได้อย่างไร? ในเมื่อเขาเล็กกระจ้อยร่อยเพียงนี้!”

ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงอดพระทัยไว้

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้น”

พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าดังนี้คือ พระองค์ทรงเตรียมลงทัณฑ์ด้วยไฟ มันเผาผลาญห้วงสมุทรและไหม้แผ่นดิน แล้วข้าพเจ้าจึงร้องทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตขอทรงโปรดยับยั้งไว้เถิด! ยาโคบจะอยู่รอดได้อย่างไร? ในเมื่อเขาเล็กกระจ้อยร่อยเพียงนี้!”

ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงอดพระทัยไว้

พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสว่า “เหตุการณ์นี้ก็จะไม่เกิดขึ้นเช่นกัน”

พระองค์ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าดังนี้คือ องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับยืนอยู่ข้างกำแพงที่สร้างขึ้นโดยใช้สายดิ่งวัด และมีสายดิ่งอยู่ในพระหัตถ์ และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามข้าพเจ้าว่า “อาโมส เจ้าเห็นอะไร?”

ข้าพเจ้าทูลว่า “สายดิ่งพระเจ้าข้า”

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด เรากำลังจะวางสายดิ่งในหมู่ประชากรอิสราเอลของเรา เราจะไม่ละเว้นพวกเขาอีกต่อไป

“บรรดาสถานบูชาบนที่สูงของอิสอัคจะถูกทำลายล้าง
และสถานนมัสการต่างๆ ของอิสราเอลจะถูกทำลาย
เราจะลุกขึ้นต่อสู้พงศ์พันธุ์ของเยโรโบอัมด้วยดาบของเรา”

อาโมสกับอามาซิยาห์

10 แล้วอามาซิยาห์ปุโรหิตแห่งเบธเอลได้แจ้งข่าวต่อกษัตริย์เยโรโบอัมแห่งอิสราเอลว่า “อาโมสกำลังคบคิดวางแผนร้ายต่อพระองค์ที่ใจกลางอิสราเอลนี้เอง ถ้อยคำของเขาบ่อนทำลายชาติ 11 เพราะอาโมสพูดว่า

“ ‘เยโรโบอัมจะตายด้วยดาบ
และอิสราเอลจะตกเป็นเชลยอย่างแน่นอน
ต้องไปจากบ้านเกิดเมืองนอน’ ”

12 แล้วอามาซิยาห์กล่าวกับอาโมสว่า “ออกไปนะเจ้านักทำนาย! กลับไปแผ่นดินยูดาห์เสีย ไปทำมาหากินและเผยพระวจนะที่นั่น 13 ไม่ต้องเผยพระวจนะที่เบธเอลนี้อีก เพราะที่นี่เป็นสถานนมัสการของกษัตริย์และเป็นวิหารของอาณาจักร”

14 อาโมสตอบอามาซิยาห์ว่า “เมื่อก่อนข้าพเจ้าไม่ได้เป็นผู้เผยพระวจนะหรือเป็นลูกของผู้เผยพระวจนะ ข้าพเจ้าเป็นคนเลี้ยงแกะและดูแลสวนมะเดื่อ 15 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพาข้าพเจ้ามาจากงานเลี้ยงแกะ และตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า ‘จงไปเผยพระวจนะแก่อิสราเอลประชากรของเรา’ 16 บัดนี้จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะท่านกล่าวว่า

“ ‘อย่าเผยพระวจนะแง่ร้ายต่ออิสราเอล
และหยุดเทศนาติเตียนพงศ์พันธุ์ของอิสอัค’

17 “ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ ‘ภรรยาของเจ้าจะกลายเป็นโสเภณีกลางเมือง
และบุตรชายบุตรสาวของเจ้าจะตายด้วยคมดาบ
ที่ดินของเจ้าจะถูกวัดและถูกแบ่งแยก
ตัวเจ้าเองจะตายในดินแดนต่างศาสนา[ag]
และอิสราเอลจะตกเป็นเชลยอย่างแน่นอน
ต้องไปจากบ้านเกิดเมืองนอน’ ”

กระจาดผลไม้สุก

พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นผลไม้สุกกระจาดหนึ่ง พระองค์ตรัสถามว่า “อาโมส เจ้าเห็นอะไร?”

ข้าพเจ้าทูลว่า “ผลไม้สุกงอมกระจาดหนึ่งพระเจ้าข้า”

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “วันเวลาสุกงอมแล้วสำหรับอิสราเอลประชากรของเรา เราจะไม่ละเว้นพวกเขาอีกต่อไป”

พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศว่า “ในวันนั้นบทเพลงต่างๆ ในพระวิหารจะเปลี่ยนเป็นเสียงร่ำไห้[ah] ซากศพจะเกลื่อนกลาดอยู่ทุกแห่ง! และมีแต่ความเงียบสงัด!”

ฟังเถิดเจ้าผู้เหยียบย่ำคนขัดสน
และกำจัดคนยากไร้ในดินแดน

เจ้ากล่าวว่า

“เมื่อใดหนอจะหมดวันขึ้นหนึ่งค่ำ
เราจะได้ขายข้าวเสียที
เมื่อใดหนอจะหมดวันสะบาโต
เราจะได้ขายข้าวสาลีเสียที?”
เจ้าโกงด้วยการทำให้ตาชั่งหย่อน
โก่งราคา
และโกงตาชั่ง
เจ้าซื้อคนยากไร้ด้วยเงิน
แลกคนขัดสนด้วยรองเท้าคู่เดียว
และขายข้าวสาลีปนข้าวเลว

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิญาณโดยอ้างองค์ศักดิ์สิริแห่งยาโคบว่า “เราจะไม่มีวันลืมสิ่งที่เขาทำแม้แต่อย่างเดียว

“ด้วยเหตุนี้แผ่นดินจะไม่สั่นสะท้าน
และผู้คนในนั้นจะไม่ไว้ทุกข์หรือ?
ทั่วทั้งแผ่นดินจะเอ่อท้นขึ้นเหมือนแม่น้ำไนล์
ถูกกวนให้เกิดความปั่นป่วน
แล้วก็จมลงเหมือนแม่น้ำอียิปต์”

พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศว่า

“ในวันนั้น เราจะทำให้ดวงอาทิตย์ตกตอนเที่ยงวัน
และโลกมืดมิดทั้งๆ ที่ยังกลางวันแสกๆ
10 เราจะเปลี่ยนเทศกาลทางศาสนาของเจ้าให้เป็นการไว้ทุกข์
และการร้องเพลงทั้งปวงของเจ้าให้เป็นการร่ำไห้
เราจะทำให้พวกเจ้าทุกคนสวมเสื้อผ้ากระสอบ
และโกนผม
เราจะทำให้ช่วงเวลานั้นเป็นเหมือนช่วงไว้ทุกข์ให้ลูกโทน
และให้วาระสุดท้ายเป็นดั่งวันอันขมขื่น”

11 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศว่า “วันเวลานั้นจะมาถึง
เมื่อเราจะให้เกิดการกันดารอาหารทั่วแผ่นดิน
ไม่ใช่หิวหาอาหารหรือกระหายหาน้ำ
แต่หิวกระหายอยากฟังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า
12 ผู้คนจะซมซานจากทะเลนี้ไปทะเลนั้น
และระเหเร่ร่อนจากเหนือไปตะวันออก
เสาะแสวงหาพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า
แต่พวกเขาจะไม่พบ

13 “ในวันนั้น

“หญิงสาวน่ารักและชายหนุ่มแข็งแรง
จะเป็นลมเพราะความกระหาย
14 ผู้ที่สาบานโดยอ้างรูปเคารพ[ai]อันน่าละอายของสะมาเรีย
หรือพูดว่า ‘ดานเอ๋ย พระของเจ้ามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด’
หรือ ‘เทพเจ้า[aj]แห่งเบเออร์เชบามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด’
พวกเขาจะล้มลง
และไม่ได้ลุกขึ้นมาอีกเลย”

อิสราเอลจะถูกทำลาย

ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับยืนอยู่ข้างแท่นบูชา และพระองค์ตรัสว่า

“จงฟาดยอดเสา
เพื่อให้ธรณีประตูสั่นสะเทือน
ให้พังทับประชาชนทั้งปวง
ผู้ที่เหลือรอดเราจะประหารด้วยดาบ
จะไม่มีใครหนีรอดไปได้สักคนเดียว
จะไม่มีใครหนีไปได้เลย
แม้พวกเขาจะขุดลึกลงไปถึงก้นหลุมฝังศพ
มือของเราก็จะควานลงไปดึงขึ้นมา
แม้พวกเขาปีนขึ้นถึงฟ้าสวรรค์
เราก็จะนำพวกเขาลงมา
แม้พวกเขาซ่อนตัวบนยอดเขาคารเมล
เราก็จะตามล่าจับพวกเขาลงมาจากที่นั่น
แม้พวกเขาหนีไปซ่อนที่ก้นทะเล
เราก็จะสั่งงูพิษให้กัดพวกเขา
แม้พวกเขาถูกศัตรูกวาดต้อนไปเป็นเชลย
เราก็จะสั่งให้ดาบประหารพวกเขาที่นั่น
เราจะจับตาดูพวกเขาอย่างมุ่งร้าย
ไม่ใช่ด้วยหวังดี”

องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
ผู้ทรงแตะโลกแล้ว มันก็หลอมละลาย
และชาวโลกทั้งปวงก็ไว้ทุกข์
ทั่วทั้งดินแดนเอ่อท้นขึ้นเหมือนแม่น้ำไนล์
แล้วก็จมลงเหมือนแม่น้ำอียิปต์
พระองค์ผู้ทรงสร้างที่ประทับอันสูงส่ง[ak]ไว้ในฟ้าสวรรค์
และวางฐานราก[al]ของมันไว้ที่แผ่นดินโลก
ผู้ทรงเรียกน้ำทะเลขึ้นมา
และเทมันรดผิวโลก
ทรงพระนามว่าพระยาห์เวห์

“อิสราเอลเอ๋ย สำหรับเราแล้ว
เจ้าก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากชาวคูช[am]ไม่ใช่หรือ?”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“เราไม่ได้นำอิสราเอลออกมาจากอียิปต์
นำชาวฟีลิสเตียออกจากคัฟโทร์[an]
และนำชาวอารัมออกจากคีร์หรอกหรือ?”

“แน่นอน พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต
ทรงจับตาดูอาณาจักรอันบาปหนา
เราจะทำลายมัน
จากพื้นโลก
ถึงกระนั้นเราจะไม่ทำลายพงศ์พันธุ์ยาโคบ
ลงอย่างสิ้นเชิง”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“เพราะเราจะออกคำสั่ง
และเราจะเขย่าพงศ์พันธุ์อิสราเอล
ท่ามกลางมวลประชาชาติ
เหมือนเขย่ากระด้งฝัดข้าว
แต่จะไม่มีสักเมล็ดเดียวตกถึงพื้น
10 บรรดาคนบาปในหมู่ประชากรของเรา
จะตายด้วยคมดาบ
คือคนทั้งปวงที่พูดว่า
‘ภัยพิบัติจะไม่มาเล่นงานเราหรือมาถึงเรา’

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.