Bible in 90 Days
1 พระดำรัสที่ผู้เผยพระวจนะฮาบากุกได้รับ
คำร้องทุกข์ของฮาบากุก
2 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์จะต้องร้องทูลขอความช่วยเหลือนานเพียงใด
พระองค์จึงจะทรงสดับฟัง?
หรืออีกนานเพียงใดที่ต้องร้องต่อพระองค์ว่า “โหดร้าย!”
แต่พระองค์ไม่ทรงมาช่วย?
3 เหตุใดพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์มองดูความอยุติธรรม?
เหตุใดพระองค์ทรงทนต่อความผิด?
ความพินาศและความโหดร้ายอยู่ต่อหน้าต่อตาข้าพระองค์
มีการต่อสู้และแก่งแย่งกันมากมาย
4 ฉะนั้นกฎหมายจึงเป็นอัมพาต
และความยุติธรรมไม่ปรากฏ
คนชั่วล้อมกรอบคนชอบธรรม
จนความยุติธรรมถูกบิดเบือนไป
คำตอบขององค์พระผู้เป็นเจ้า
5 พระเจ้าตรัสว่า
“จงมองและคอยเฝ้าดูชนชาติต่างๆ
แล้วจงประหลาดใจอย่างที่สุด
เพราะเรากำลังจะทำบางสิ่งในสมัยของเจ้า
ซึ่งถึงแม้มีใครบอก
เจ้าก็จะไม่เชื่อ
6 เรากำลังจะให้ชาวบาบิโลน[a]มีอำนาจขึ้นมา
พวกเขาเป็นชนชาติที่โหดร้ายและเลือดร้อน
ซึ่งกรีธาทัพไปทั่วโลก
เพื่อยึดครองดินแดนที่ไม่ใช่ของตน
7 พวกเขาเป็นชนชาติที่ใครๆ ก็ขยาดและหวาดกลัว
พวกเขาถือเอาตนเองเป็นกฎหมาย
แสวงหาเกียรติยศให้ตนเอง
8 ม้าของเขาปราดเปรียวยิ่งกว่าเสือดาว
ดุร้ายยิ่งกว่าหมาป่ายามพลบค่ำ
กองทหารม้าของเขาควบตะบึงมา
พลม้าของเขามาจากแดนไกล
พวกเขาเหินมาดุจนกอินทรีโฉบมาขย้ำเหยื่อ
9 พวกเขาทุกคนมุ่งก่อความรุนแรง
ฝูงชน[b]ของพวกเขารุกเข้ามาเหมือนพายุทะเลทราย
และกวาดต้อนเชลยไปเหมือนเม็ดทราย
10 เขาเย้ยหยันกษัตริย์
และเสียดสีเจ้าบ้านผ่านเมือง
พวกเขาหัวเราะเยาะเมืองที่มีป้อมปราการทั้งปวง
พวกเขาก่อเชิงเทินดินและเข้ายึดเมือง
11 แล้วพวกเขาก็กรีธาทัพผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนลม แล้วมุ่งหน้าต่อไป
พวกเขาเป็นคนผิด ซึ่งถือพละกำลังของตนเป็นพระเจ้า”
คำร้องทุกข์ครั้งที่สองของฮาบากุก
12 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาลไม่ใช่หรือ?
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ องค์บริสุทธิ์ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายจะไม่ตาย
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งพวกเขาให้ดำเนินการตามคำพิพากษา
ข้าแต่องค์พระศิลา พระองค์ทรงบัญชาให้พวกเขามาลงโทษ
13 พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์เกินกว่าจะมองดูความชั่ว
พระองค์ไม่ทรงสามารถทนต่อความผิดได้
แล้วเหตุใดพระองค์ทรงทนต่อคนทรยศ?
เหตุใดพระองค์ทรงเงียบอยู่
ขณะที่คนชั่วร้ายกลืนกินคนที่ชอบธรรมกว่าตัวเขา?
14 พระองค์ทรงทำให้มนุษย์เป็นเหมือนปลาในทะเล
เหมือนบรรดาสัตว์ในทะเลที่ไม่มีใครปกครอง
15 ศัตรูผู้ชั่วร้ายได้เกี่ยวพวกเขาขึ้นมาด้วยเบ็ด
จับพวกเขาด้วยแห
และรวบรวมพวกเขาขึ้นมาด้วยอวน
ดังนั้นศัตรูผู้นั้นจึงปีติยินดี
16 ฉะนั้นเขาจึงถวายเครื่องบูชาแก่แหของเขา
และเผาเครื่องหอมแก่อวนของตน
เพราะแหของเขาทำให้เขาอยู่อย่างหรูหรา
และสำราญกับอาหารที่เลือกสรรมาแล้วอย่างดีเลิศ
17 แล้วเขาจะแกะสิ่งที่จับได้ออกมาจากแห
ทำลายชาติต่างๆ อย่างไร้ความเมตตาต่อไปหรือ?
2 ข้าพเจ้าจะยืนเฝ้ายาม
และประจำการบนเชิงเทิน
ข้าพเจ้าจะคอยดูว่าพระองค์จะตรัสประการใดแก่ข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าจะตอบคำร้องทุกข์นี้อย่างไร[c]
คำตอบขององค์พระผู้เป็นเจ้า
2 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า
“จงเขียนสิ่งที่เราเปิดเผยแก่เจ้า
ให้เห็นชัดเจนบนแผ่นจารึก
เพื่อว่าทุกคนที่อ่านจะเข้าใจได้ทันที[d]
3 เพราะสิ่งที่เราจะเปิดเผยแก่เจ้านั้นยังรอกำหนดเวลาอยู่
เป็นเรื่องวาระสุดท้าย
และจะพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่เรื่องเท็จ
แม้จะเนิ่นช้าอยู่ ก็จงอดใจรอ
มันจะมาถึงอย่างแน่นอนและจะไม่ล่าช้า[e]
4 “ดูเถิด เขาผยองขึ้น
ความปรารถนาของเขาไม่ถูกทำนองคลองธรรม
แต่คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ[f]ของเขา
5 อันที่จริงเหล้าองุ่นทรยศเขา
เขาหยิ่งผยองและไม่เคยพักสงบ
เพราะเขาตะกละเหมือนหลุมฝังศพ
และเหมือนความตายซึ่งไม่เคยอิ่ม
เขารวบรวมประชาชาติมาเป็นของตน
และจับชนชาติทั้งปวงมาเป็นเชลย
6 “คนเหล่านั้นทั้งหมดจะไม่ร้องยั่วเย้าเขาด้วยคำเยาะเย้ยและคำสบประมาทหรอกหรือว่า
“ ‘วิบัติแก่เขาผู้เอาของที่ขโมยมากองสุมไว้
และทำให้ตนเองร่ำรวยโดยการขู่กรรโชก!
สิ่งนี้จะต้องดำเนินไปอีกนานเพียงใด?’
7 เจ้าหนี้ของเจ้าจะไม่ลุกฮือขึ้นในทันทีทันใดหรือ?
เขาจะไม่ตื่นขึ้นและทำให้เจ้าตัวสั่นงันงกหรือ?
เมื่อนั้นเจ้าจะตกเป็นเหยื่อของเขา
8 เพราะเจ้าได้ปล้นชิงมาหลายชาติ
ชนชาติที่เหลืออยู่จะปล้นเจ้า
เพราะเจ้าทำให้คนต้องหลั่งเลือด
เจ้าได้ทำลายดินแดนและเมืองต่างๆ ตลอดจนทุกคนในนั้น
9 “วิบัติแก่เขาผู้สร้างอาณาจักรของตนด้วยสิ่งที่ได้มาอย่างอยุติธรรม
เพื่อสร้างรังไว้บนที่สูง
เพื่อหนีจากเงื้อมมือแห่งหายนะ!
10 เจ้าวางแผนให้หลายชนชาติถูกทำลาย
ก่อความอัปยศแก่เรือนของเจ้าเองและทำให้ชีวิตของตนเองต้องเสียไป
11 ก้อนหินที่ผนังจะส่งเสียงร้อง
และไม้ขื่อไม้คานก็จะส่งเสียงสะท้อน
12 “วิบัติแก่ผู้สร้างนครด้วยการนองเลือด
และตั้งเมืองด้วยอาชญากรรม!
13 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ได้ทรงตัดสินพระทัยไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า
การลงแรงทำงานของชนชาตินั้นก็เป็นเพียงเชื้อไฟ
การตรากตรำจนสิ้นแรงของชนชาติต่างๆ ก็สูญเปล่า?
14 เพราะโลกจะเต็มไปด้วยความรู้ถึงพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ดั่งห้วงนํ้าทั้งหลายที่ปกคลุมท้องทะเล
15 “วิบัติแก่ผู้ที่ให้เหล้าองุ่นเพื่อนบ้านดื่ม
เทเหล้าจากถุงหนังให้เขาจนเมามาย
เพื่อจะได้จ้องดูร่างเปลือยเปล่าของเขา
16 เจ้าจะเต็มไปด้วยความอับอายแทนที่จะได้เกียรติยศ
บัดนี้ถึงคราวของเจ้า! จงดื่มสิ และเจ้าจะถูกเปิดเผยความเปลือยเปล่า[g]!
ถ้วยจากพระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเวียนมาถึงเจ้า
แล้วความอัปยศอดสูจะบดบังเกียรติยศของเจ้า
17 ความโหดร้ายที่เจ้าทำไว้แก่เลบานอนจะล้มล้างเจ้า
และการที่เจ้าทำลายล้างสัตว์ต่างๆ จะทำให้เจ้าหวาดกลัว
เพราะเจ้าทำให้คนต้องหลั่งเลือด
เจ้าได้ทำลายดินแดนและเมืองต่างๆ ตลอดจนทุกคนในนั้น
18 “รูปเคารพมีคุณค่าอะไรในเมื่อมนุษย์เป็นผู้แกะสลักมันขึ้น?
หรือรูปที่สอนความเท็จนั้นมีคุณค่าอะไร?
เพราะผู้ที่สร้างรูปนั้นขึ้นก็วางใจในสิ่งที่ตนสร้าง
เขาสร้างรูปเคารพที่พูดไม่ได้
19 วิบัติแก่ผู้ที่กล่าวกับไม้ว่า ‘จงมีชีวิตขึ้นมาเถิด!’
หรือกล่าวแก่หินไร้ชีวิตว่า ‘จงตื่นขึ้นมาเถิด!’
มันจะให้คำแนะนำได้หรือ?
เขาหุ้มมันด้วยทองและเงิน
มันไม่มีลมหายใจ”
20 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับในพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
ให้ทั้งโลกจงเงียบอยู่ต่อหน้าพระองค์
คำอธิษฐานของฮาบากุก
3 คำอธิษฐานของผู้เผยพระวจนะฮาบากุก ท่วงทำนองชิกิโอโนท[h]
2 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ยืนอยู่ด้วยความครั่นคร้ามยำเกรงในพระราชกิจของพระองค์
ขอทรงรื้อฟื้นพระราชกิจเหล่านั้นในยุคของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ขอทรงให้ทราบทั่วกันในสมัยของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ในพระพิโรธขอทรงระลึกถึงพระเมตตา
3 พระเจ้าเสด็จจากเทมาน
องค์บริสุทธิ์เสด็จจากภูเขาปาราน
เสลาห์[i]
พระเกียรติสิริของพระองค์ปกคลุมฟ้าสวรรค์
และโลกนี้เต็มด้วยคำสรรเสริญพระองค์
4 สง่าราศีของพระองค์ประดุจรุ่งอรุณ
มีรังสีส่องแวบวาบมาจากพระหัตถ์
ซึ่งซ่อนฤทธานุภาพของพระองค์ไว้
5 โรคระบาดนำเสด็จพระองค์
ภัยพิบัติตามย่างพระบาทของพระองค์มา
6 เมื่อพระองค์ประทับยืน โลกก็สั่นสะเทือน
เมื่อพระองค์ทอดพระเนตร ประชาชาติทั้งหลายก็สั่นสะท้าน
ภูเขาดึกดำบรรพ์ทั้งหลายพังทลายลง
เนินเขาเก่าแก่ทั้งหลายทรุดลง
ทางของพระองค์ยั่งยืนนิรันดร์
7 ข้าพระองค์เห็นเต็นท์ของชาวคูชันตกอยู่ในความทุกข์ยาก
และที่อาศัยของชาวมีเดียนก็ตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน
8 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงกริ้วแม่น้ำหรือ?
พระองค์ทรงพระพิโรธลำธารหรือ?
เมื่อพระองค์ทรงม้า
และรถม้าศึกแห่งชัยชนะ
พระองค์ทรงเกรี้ยวกราดต่อทะเลหรือ?
9 พระองค์ทรงหยิบคันธนูออกมา
พระองค์ทรงเรียกหาลูกศรมามากมาย
เสลาห์
พระองค์ทรงแยกแผ่นดินด้วยแม่น้ำ
10 ภูเขาทั้งหลายเห็นพระองค์และบิดตัวไปมา
กระแสน้ำโถมซัดไป
ห้วงลึกคำรามลั่น
และซัดคลื่นเป็นระลอกสูง
11 ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หยุดนิ่งอยู่ในฟ้าสวรรค์
เมื่อลูกศรที่พุ่งทะยานของพระองค์ส่องประกาย
เมื่อหอกของพระองค์ส่องประกายราวกับฟ้าแลบ
12 พระองค์ทรงย่างเหยียบไปทั่วโลกด้วยพระพิโรธ
และทรงเหยียบย่ำประชาชาติทั้งหลายด้วยความกริ้ว
13 พระองค์เสด็จออกมากอบกู้ประชากรของพระองค์
เพื่อช่วยผู้ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ให้รอด
พระองค์ทรงบดขยี้ผู้นำของดินแดนแห่งความชั่วร้าย
พระองค์ทรงทำให้เขาเปลือยเปล่าตั้งแต่หัวจรดเท้า
เสลาห์
14 พระองค์จะทรงใช้หอกของเขาเองแทงศีรษะของเขา
เมื่อเหล่านักรบของเขาบุกมาเพื่อตีข้าพระองค์ทั้งหลายให้กระจัดกระจาย
ยิ้มเยาะราวกับจะเข้ามากัดกิน
คนน่าเวทนาซึ่งซุ่มซ่อนตัวอยู่
15 พระองค์ทรงย่ำทะเลด้วยฝูงม้าของพระองค์
ทำให้ห้วงน้ำใหญ่ปั่นป่วน
16 ข้าพระองค์ได้ยินแล้วใจก็เต้นระรัว
เสียงนั้นทำให้ริมฝีปากของข้าพระองค์สั่นระริก
ความเสื่อมสลายก็คืบคลานเข้ามาในกระดูกของข้าพระองค์
และขาของข้าพระองค์ก็สั่นเทา
ถึงกระนั้นข้าพระองค์จะอดทนรอคอยวันแห่งหายนะ
ให้มาถึงชนชาติที่รุกรานเรา
17 แม้ต้นมะเดื่อไม่ผลิดอก
และเถาองุ่นไม่มีผล
แม้ต้นมะกอกไม่ให้ผล
และท้องทุ่งไม่ให้พืชพันธุ์ธัญญาหาร
แม้ไม่มีแกะในคอก
และไม่มีวัวในโรง
18 กระนั้นข้าพเจ้าจะชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าจะเบิกบานใจในพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า
19 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงทำให้เท้าของข้าพเจ้าเหมือนเท้ากวาง
พระองค์ทรงช่วยให้ข้าพเจ้าขึ้นไปบนที่สูง
สำหรับผู้อำนวยเพลงใช้กับเครื่องสายของข้าพเจ้า
1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งมาถึงเศฟันยาห์ ผู้เป็นบุตรของคูชี ผู้เป็นบุตรของเกดาลิยาห์ ผู้เป็นบุตรของอามาริยาห์ ผู้เป็นบุตรของเฮเซคียาห์ในรัชกาลโยสิยาห์โอรสกษัตริย์อาโมนแห่งยูดาห์ ความว่า
คำเตือนเกี่ยวกับหายนะที่จะมาถึง
2 “เราจะกวาดล้างทุกสิ่ง
ไปจากพื้นโลก”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
3 “เราจะกวาดล้างทั้งคนและสัตว์ออกไป
ตลอดจนนกในอากาศ
และปลาในทะเล
คนชั่วจะเหลืออยู่แค่กองปรักหักพัง[j]
เมื่อเรากำจัดมนุษย์จากพื้นโลก”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
กล่าวโทษยูดาห์
4 “เราจะเหยียดมือออกต่อสู้ยูดาห์
และชาวเยรูซาเล็มทั้งปวง
เราจะกำจัดคนของพระบาอัลทุกคนที่เหลืออยู่ให้หมดไปจากที่นี่
คือลบชื่อบรรดาปุโรหิตผู้ไม่นับถือพระเจ้า และผู้ฝักใฝ่รูปเคารพทิ้งไป
5 ได้แก่บรรดาผู้หมอบกราบอยู่บนดาดฟ้า
เพื่อนมัสการหมู่ดาว
บรรดาผู้หมอบกราบลงและสาบานโดยอ้างองค์พระผู้เป็นเจ้า
และอ้างพระโมเลค[k]ด้วย
6 บรรดาผู้เลิกติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่ได้แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือทูลถามจากพระองค์
7 จงสงบนิ่งต่อหน้าพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต
เพราะวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงจัดเตรียมเครื่องบูชา
และทรงชำระแขกรับเชิญของพระองค์ให้บริสุทธิ์
8 ในวันถวายเครื่องบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น
เราจะลงโทษบรรดาเจ้านาย
และโอรสของกษัตริย์
และลงโทษคนทั้งปวง
ที่ปฏิบัติตามธรรมเนียมของคนต่างชาติ
9 ในวันนั้นเราจะลงโทษ
คนทั้งปวงที่ไม่เหยียบธรณีประตู[l]
ผู้ทำให้บ้านเจ้านาย[m]ของพวกตน
เต็มไปด้วยความทารุณและการหลอกลวง”
10 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “ในวันนั้น
จะมีเสียงร้องดังขึ้นจากประตูปลา
มีเสียงร่ำไห้จากย่านใหม่
และมีเสียงครึกโครมดังจากเนินเขาต่างๆ
11 จงร้องไห้เถิด เจ้าผู้อาศัยในย่านตลาด
พ่อค้าทั้งปวงของเจ้าจะถูกกวาดล้างไป
เหล่านักค้าขายจะถูกทำลายย่อยยับไป
12 ในครั้งนั้นเราจะถือตะเกียงส่องหาทั่วเยรูซาเล็ม
และลงโทษบรรดาคนที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน
ผู้เป็นเหมือนเหล้าองุ่นที่ปล่อยไว้จนตกตะกอน
ผู้คิดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า
จะไม่ทำอะไร ไม่ว่าดีหรือร้าย’
13 ทรัพย์สมบัติของพวกเขาจะถูกปล้นชิง
บ้านเรือนของพวกเขาจะถูกพังลง
พวกเขาจะสร้างเรือน
แต่ไม่ได้อยู่อาศัย
พวกเขาจะทำสวนองุ่น
แต่ไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่น
วันยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
14 “วันยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
จวนจะถึงอยู่แล้ว
จงฟังเถิด! เสียงร้องในวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ขมขื่น
มีเสียงโห่ร้องของนักรบที่นั่น
15 วันนั้นจะเป็นวันแห่งพระพิโรธ
วันแห่งความทุกข์เข็ญและความเจ็บปวด
วันแห่งความเดือดร้อนลำเค็ญและย่อยยับ
วันแห่งความมืดมิดและหม่นหมอง
วันแห่งเมฆครึ้มและดำทะมึน
16 วันแห่งเสียงแตรและเสียงโห่ร้องออกศึก
สู้รบกับเมืองป้อมปราการ
และกับหอคอยทุกมุมเมือง
17 เราจะนำความทุกข์มาสู่ประชากร
เขาจะเดินคลำไปเหมือนคนตาบอด
เพราะเขาได้ทำบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
เลือดของเขาจะไหลนองทั่วแผ่นดิน
และอวัยวะภายในของเขาเน่าเปื่อย
18 เงินและทองของเขา
ช่วยอะไรไม่ได้
ในวันแห่งพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า
โลกทั้งโลกจะไหม้เป็นจุณ
ด้วยไฟแห่งความหึงหวงของพระองค์
เพราะพระองค์จะทรงทำให้สิ่งมีชีวิตทุกอย่างในโลก
ถึงจุดจบอย่างฉับพลัน”
2 จงรวมตัวกัน รวมตัวกันเถิด
ชนชาติน่าอับอายเอ๋ย
2 ก่อนที่กำหนดเวลาจะมาถึง
และวันนั้นกระหน่ำเข้ามาเหมือนลมพัดแกลบ
ก่อนที่ความเกรี้ยวกราดขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึงเจ้า
ก่อนวันแห่งพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะลงมาเหนือเจ้า
3 จงแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด บรรดาผู้ถ่อมใจของแผ่นดิน
ผู้ทำตามพระบัญชาของพระองค์
จงเสาะหาความชอบธรรมและแสวงหาความถ่อมใจ
เผื่อบางทีเจ้าจะได้ที่พักพิง
ในวันแห่งพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า
กล่าวโทษฟีลิสเตีย
4 กาซาจะถูกทิ้งร้าง
และอัชเคโลนจะถูกปล่อยให้ปรักหักพัง
ยามเที่ยงวันอัชโดดจะถูกกวาดล้างจนว่างเปล่า
และเอโครนถูกถอนราก
5 ชาวเคเรธีเอ๋ย
วิบัติแก่เจ้าผู้อาศัยอยู่ริมทะเล
คานาอันดินแดนแห่งชาวฟีลิสเตียเอ๋ย
พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวโทษเจ้าว่า
“เราจะทำลายเจ้า
ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว”
6 ดินแดนริมทะเลซึ่งชาวเคเรธี[n]อาศัยอยู่
จะเป็นที่สำหรับคนเลี้ยงแกะและเป็นที่สำหรับคอกแกะ
7 ดินแดนนั้นจะตกเป็นของชนหยิบมือที่เหลือของยูดาห์
ที่นั่นพวกเขาจะพบทุ่งหญ้า
ยามเย็นเขาจะนอนลง
ในบ้านเรือนของอัชเคโลน
พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาจะทรงดูแลเขา
และให้เขาคืนสู่สภาพดีอีกครั้ง[o]
กล่าวโทษโมอับและอัมโมน
8 “เราได้ยินคำสบประมาทของโมอับ
และคำถากถางของชาวอัมโมน
พวกเขาสบประมาทประชากรของเรา
และข่มขู่เอาดินแดนของพวกเขา”
9 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลประกาศว่า
“ฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด
โมอับจะเป็นเหมือนโสโดม
และชาวอัมโมนจะเป็นเหมือนโกโมราห์อย่างแน่นอนฉันนั้น
เป็นแหล่งวัชพืชและแอ่งเกลือ
เป็นแดนทิ้งร้างตลอดไป
ประชากรของเราที่เหลืออยู่จะปล้นพวกเขา
และชนชาติของเราที่รอดชีวิตจะครอบครองดินแดนของพวกเขา”
10 นี่เป็นผลตอบแทนความหยิ่งจองหองของพวกเขา
ตอบแทนที่พวกเขาสบประมาทและเย้ยหยันประชากรของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
11 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้พวกเขากลัว
เมื่อพระองค์ทรงทำลายพระทั้งปวงของดินแดนนั้น
ประชาชาติต่างๆ ที่อยู่ชายฝั่งทะเลทุกแห่ง
จะนมัสการพระองค์ในดินแดนของตน
กล่าวโทษคูช
12 “ชาวคูช[p]ทั้งหลายเอ๋ย เจ้าก็เช่นกัน
จะถูกประหารด้วยดาบของเรา”
กล่าวโทษอัสซีเรีย
13 พระองค์จะทรงเหยียดพระหัตถ์ออกต่อสู้กับดินแดนฝ่ายเหนือ
และทรงทำลายอัสซีเรีย
ทิ้งกรุงนีนะเวห์ให้ร้างเปล่า
และแห้งแล้งกันดารดั่งทะเลทราย
14 ฝูงแพะแกะและฝูงสัตว์จะอาศัยที่นั่น
รวมทั้งสิงสาราสัตว์ทุกชนิด
นกกระทุง นกเค้า
จะเกาะอยู่ที่ซากเสาของเมืองนั้น
เสียงร้องของมันดังก้องผ่านหน้าต่าง
ตามทางจะมีกองเศษหินเศษปูน
คานไม้สนซีดาร์จะถูกทิ้งไว้กลางแจ้ง
15 นี่แหละนครเจ้าสำราญ
ซึ่งอยู่มาอย่างปลอดภัย
มันบอกตัวเองว่า
“นี่แหละเรา ไม่มีใครนอกจากเรา”
แล้วมันก็พินาศย่อยยับขนาดไหน
เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า!
คนทั้งปวงที่ผ่านไปมาก็เย้ยหยัน
และเขย่ากำปั้น
อนาคตของเยรูซาเล็ม
3 วิบัติแก่กรุงของผู้กดขี่ข่มเหง
ซึ่งมักกบฏและมีมลทิน!
2 มันไม่ยอมฟังใคร
ไม่ยอมรับการปรับปรุงแก้ไข
ไม่วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า
และไม่ยอมเข้ามาใกล้พระเจ้าของตน
3 ข้าราชการของกรุงนี้เป็นเหมือนสิงโตที่ร้องคำราม
ผู้ครอบครองของกรุงนี้ก็เป็นดั่งสุนัขป่ายามเย็น
ซึ่งไม่เหลืออะไรไว้ถึงเช้า
4 ส่วนบรรดาผู้เผยพระวจนะก็เย่อหยิ่ง
พวกเขาเป็นคนทรยศ
เหล่าปุโรหิตลบหลู่สถานนมัสการ
และย่ำยีพระบัญญัติ
5 องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ประทับอยู่ในกรุงนั้นทรงชอบธรรม
พระองค์ไม่ได้ทรงทำผิดเลย
ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงอำนวยความยุติธรรม
และทุกๆ วันใหม่พระองค์ไม่เคยหยุดยั้งที่จะทำเช่นนั้น
ถึงกระนั้นคนอธรรมก็ไม่รู้จักละอาย
6 “เราได้กำจัดประชาชาติทั้งหลายเสีย
ที่มั่นของเขาถูกทำลายล้าง
เราทำให้ถนนหนทางของเขาร้างเปล่า
ไม่มีใครผ่านไปมา
เมืองต่างๆ ของเขาถูกทำลาย
ไม่มีใครเหลืออยู่เลย ไม่เหลือสักคน
7 เราได้กล่าวแก่กรุงนั้นว่า
‘แน่ทีเดียว เจ้าจะเกรงกลัวเรา
และยอมรับการแก้ไขปรับปรุง!’
แล้วที่อยู่ของเขาจะได้ไม่ถูกทำลาย
และโทษทัณฑ์ของเราจะได้ไม่มาถึงเขาทั้งหมด
แต่เขาก็ยังคงกระเหี้ยนกระหือรือ
ที่จะประพฤติเสื่อมทรามเหมือนที่เคยทำมาทุกอย่าง”
8 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“ฉะนั้นคอยดูเถิด
ในวันนั้นเราจะยืนขึ้นเป็นพยาน[q]
เราได้ตัดสินใจที่จะรวบรวมชนชาติ
และอาณาจักรต่างๆ
แล้วระบายโทสะอันรุนแรงทั้งปวง
เหนือพวกเขา
โลกทั้งโลกจะไหม้เป็นจุณ
ด้วยไฟแห่งความโกรธอันเนื่องจากความหึงหวงของเรา
9 “แล้วเราจะชำระริมฝีปากของชนชาติทั้งหลาย
เพื่อพวกเขาทั้งปวงจะร้องทูลพระนามพระยาห์เวห์
และเคียงบ่าเคียงไหล่กันปรนนิบัติพระองค์
10 ผู้ที่นมัสการเรา ประชากรของเราที่กระจัดกระจายไป
จะนำเครื่องบูชา
จากฟากข้างโน้นของแม่น้ำแห่งคูช[r]มาถวายเรา
11 ในวันนั้นเจ้าจะไม่ต้องอับอาย
เนื่องด้วยความผิดทั้งปวงที่เจ้าทำไว้ต่อเรา
เพราะเราจะขจัดบรรดาคนที่ชื่นชมความจองหองของตน
ให้ออกไปจากกรุงนี้
เจ้าจะไม่หยิ่งผยองอีกต่อไป
บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา
12 แต่กระนั้นเราจะเหลือ
คนที่ถ่อมสุภาพและอ่อนโยนไว้
ซึ่งวางใจในพระนามพระยาห์เวห์
13 ชนหยิบมือที่เหลือของอิสราเอลจะไม่ทำผิด
พวกเขาจะไม่พูดโกหก
หรือล่อลวง
เขาจะดำเนินชีวิตเป็นปกติสุข
และไม่มีใครทำให้เขาหวาดกลัวอีกต่อไป”
14 ธิดาแห่งศิโยน[s]เอ๋ย จงร้องเพลงเถิด
อิสราเอลเอ๋ย จงโห่ร้องให้กึกก้อง
จงเปรมปรีดิ์และชื่นชมยินดีด้วยสุดใจของเจ้าเถิด
ธิดาแห่งเยรูซาเล็ม[t]เอ๋ย
15 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับโทษทัณฑ์ของเจ้าไปแล้ว
ทรงให้ศัตรูของเจ้าหันกลับไป
พระยาห์เวห์องค์กษัตริย์แห่งอิสราเอลสถิตกับเจ้า
เจ้าจะไม่หวั่นเกรงอันตรายใดๆ อีกเลย
16 ในวันนั้นผู้คนจะกล่าวแก่เยรูซาเล็มว่า
“ศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย
อย่าให้มือของเจ้าอ่อนเปลี้ย
17 พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้า
พระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจที่จะช่วยเจ้า
พระองค์จะทรงปิติยินดีในตัวเจ้า
จะทรงปลอบเจ้าด้วยความรักของพระองค์
และจะทรงร้องเพลงเพราะชื่นชมยินดีในตัวเจ้า”
18 “เราจะขจัดความเศร้าโศก
ที่เจ้าไม่ได้ร่วมเทศกาลต่างๆ ตามกำหนดของเจ้าออกไป
สิ่งนี้เป็นภาระและคำประณามสำหรับเจ้า[u]
19 ในครั้งนั้นเราจะจัดการทุกคน
ที่กดขี่ข่มเหงเจ้า
เราจะช่วยบรรดาคนง่อยเปลี้ย
และรวบรวมผู้ที่ถูกทำให้กระจัดกระจายไป
เราจะให้เขามีเกียรติและเป็นที่ยกย่อง
ในทุกดินแดนที่พวกเขาต้องอับอาย
20 ในครั้งนั้นเราจะรวบรวมเจ้า
ในครั้งนั้นเราจะพาเจ้ากลับบ้าน
เราจะให้เจ้ามีเกียรติและเป็นที่ยกย่อง
ในหมู่ประชาชาติทั้งปวงของแผ่นดินโลก
เมื่อเราให้เจ้ากลับสู่สภาพดี[v]
ต่อหน้าต่อตาเจ้า”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น
การทรงเรียกให้สร้างพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า
1 ในวันที่หนึ่งเดือนที่หกปีที่สองแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศรุบบาเบลผู้ว่าการของยูดาห์บุตรเชอัลทิเอล และมหาปุโรหิตโยชูวา[w]บุตรเยโฮซาดักโดยตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะฮักกัยความว่า
2 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “ประชากรเหล่านี้พูดว่า ‘ยังไม่ถึงเวลาที่จะสร้างพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ ”
3 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะฮักกัยว่า 4 “ถึงเวลาแล้วหรือที่พวกเจ้าเองอาศัยในบ้านซึ่งกรุไม้อย่างดี ในขณะที่พระนิเวศนี้ยังเป็นซากปรักหักพัง?”
5 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “จงใคร่ครวญวิถีทางของเจ้าให้ดี 6 เจ้าปลูกมากแต่เก็บเกี่ยวน้อยนิด เจ้ากินแต่ไม่เคยอิ่ม เจ้าดื่มแต่ก็ไม่เคยสิ้นความกระหาย เจ้านุ่งห่มแต่ไม่อบอุ่น เจ้าได้ค่าแรงแต่ก็เอามาใส่ในกระเป๋าเงินที่รั่ว”
7 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “จงใคร่ครวญวิถีทางของเจ้าให้ดี 8 จงขึ้นไปบนภูเขาและตัดไม้ลงมาสร้างพระนิเวศ เพื่อเราจะได้พึงพอใจและได้รับเกียรติ” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น 9 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า “เจ้าหวังมาก แต่ดูสิ ได้มาเพียงนิดเดียว สิ่งที่เจ้านำกลับมาบ้าน เราก็เป่ามันทิ้งไปเสีย ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะพระนิเวศของเรายังคงเป็นซากปรักหักพัง ในขณะที่เจ้าแต่ละคนสาละวนอยู่กับบ้านเรือนของตัวเอง 10 ฉะนั้นเป็นเพราะพวกเจ้า ฟ้าสวรรค์จึงยั้งหยาดน้ำค้างไว้ และโลกก็ไม่ยอมผลิพืชผล 11 เราสั่งให้เกิดความแห้งแล้งขาดแคลนทั่วท้องนาป่าเขาแก่เมล็ดข้าว เหล้าองุ่นใหม่ น้ำมัน และพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งหลาย ทั้งแก่ผู้คนและฝูงสัตว์ และแก่สิ่งที่เจ้าหยาดเหงื่อลงแรงไป”
12 แล้วเศรุบบาเบลบุตรเชอัลทิเอล มหาปุโรหิตโยชูวาบุตรเยโฮซาดัก และประชาชนทั้งหมดซึ่งยังเหลืออยู่ที่นั่น ก็เชื่อฟังพระดำรัสของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาและถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะฮักกัย เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาได้ส่งเขามา และประชาชนก็ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า
13 แล้วฮักกัยทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็แจ้งพระดำรัสนี้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าแก่ประชาชนว่า “เราอยู่กับเจ้า” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 14 ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดลใจเศรุบบาเบลผู้ว่าการของยูดาห์บุตรเชอัลทิเอล และดลใจมหาปุโรหิตโยชูวาบุตรเยโฮซาดัก ตลอดจนดลใจประชาชนที่เหลืออยู่ทั้งหมด ให้พากันเริ่มสร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์พระเจ้าของพวกเขา 15 ในวันที่ยี่สิบสี่เดือนที่หก
สง่าราศีของพระนิเวศใหม่ที่ทรงสัญญาไว้
ปีที่สองแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส 2 1 ในวันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนที่เจ็ด องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะฮักกัยว่า 2 “จงกล่าวแก่เศรุบบาเบลผู้ว่าการของยูดาห์บุตรเชอัลทิเอล มหาปุโรหิตโยชูวาบุตรเยโฮซาดัก และประชาชนที่เหลืออยู่ จงถามพวกเขาว่า 3 ‘ใครบ้างในพวกเจ้าที่เหลืออยู่ที่เคยเห็นความโอ่อ่าตระการแต่เดิมของนิเวศนี้? บัดนี้เจ้าเห็นเป็นอย่างไร? รู้สึกว่าเทียบกันไม่ได้เลยใช่ไหม? 4 แต่บัดนี้จงเข้มแข็งเถิด เศรุบบาเบลเอ๋ย’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘จงเข้มแข็งเถิด มหาปุโรหิตโยชูวาบุตรเยโฮซาดักเอ๋ย จงเข้มแข็งเถิด ประชาชนทั้งปวงในดินแดนนี้’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น ‘และจงทำงานไปเถิด เพราะเราอยู่กับเจ้า’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น 5 ‘ตามที่เราได้ทำพันธสัญญาไว้กับเจ้าเมื่อเจ้าออกมาจากอียิปต์ และจิตวิญญาณของเรายังคงอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า อย่ากลัวเลย’
6 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘อีกสักหน่อยหนึ่ง เราจะเขย่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทะเล และผืนแผ่นดินอีกครั้ง 7 เราจะเขย่ามวลประชาชาติและสิ่งที่ประชาชาติทั้งหลายพึงปรารถนาจะหลั่งไหลมา และเราจะทำให้นิเวศนี้เปี่ยมด้วยสง่าราศี’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น 8 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า ‘เงินและทองเป็นของเรา 9 สง่าราศีของนิเวศปัจจุบันจะรุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศเดิม’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น ‘และเราจะให้สันติสุขแก่สถานที่นี้’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น”
พระพรแก่ผู้ที่มีมลทิน
10 ในวันที่ยี่สิบสี่เดือนที่เก้าปีที่สองแห่งรัชกาลดาริอัส พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงผู้เผยพระวจนะฮักกัยว่า 11 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘จงถามปุโรหิตดูเถิดว่าบทบัญญัติระบุไว้อย่างไร 12 หากผู้หนึ่งผู้ใดห่อเนื้อบริสุทธิ์ไว้กับเสื้อคลุม แล้วห่อเนื้อนั้นไปถูกขนมปังหรือแกง เหล้าองุ่น น้ำมันหรืออาหารอื่นๆ สิ่งนั้นจะพลอยบริสุทธิ์ไปด้วยหรือไม่?’ ”
บรรดาปุโรหิตตอบว่า “ไม่”
13 แล้วฮักกัยกล่าวว่า “หากผู้ใดเป็นมลทินเพราะไปแตะร่างผู้ตาย แล้วไปแตะสิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งนั้นจะเป็นมลทินหรือไม่?”
บรรดาปุโรหิตตอบว่า “สิ่งนั้นจะเป็นมลทิน”
14 ฮักกัยจึงกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘ประชากรและประชาชาตินี้ก็เป็นเช่นนั้นในสายตาของเรา ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใดหรือถวายอะไร ล้วนแต่เป็นมลทินทั้งสิ้น
15 “ ‘บัดนี้จงตรึกตรองเรื่องนี้ให้ดี นับตั้งแต่วันนี้ไป[x] จงพิจารณาว่าสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไรก่อนหน้าที่จะวางศิลาฐานรากของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า 16 เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดมายังกองข้าวโดยหวังว่าจะได้ข้าวยี่สิบถัง กลับมีเพียงสิบถัง เมื่อผู้ใดมายังบ่อเก็บเหล้าองุ่นโดยหวังว่าจะตักได้ห้าสิบถัง ก็มีเพียงยี่สิบถัง 17 เราทำลายสิ่งทั้งปวงที่เจ้าลงแรงทำขึ้นโดยตัวทำลาย เชื้อรา และลูกเห็บ ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่ยอมกลับมาหาเรา’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 18 ‘นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่วันที่ยี่สิบสี่เดือนที่เก้านี้ จงตรึกตรองถึงวันที่วางฐานรากของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงใคร่ครวญว่า 19 มีเมล็ดพืชใดๆ เหลืออยู่ในยุ้งฉางบ้าง? จวบจนบัดนี้เถาองุ่น มะเดื่อ ทับทิม และต้นมะกอกไม่ได้ผลิผลเลย
“ ‘นับตั้งแต่วันนี้ไปเราจะอวยพรเจ้า’ ”
เศรุบบาเบลเป็นแหวนตราขององค์พระผู้เป็นเจ้า
20 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงฮักกัยเป็นครั้งที่สองในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนนั้นว่า 21 “จงบอกเศรุบบาเบลผู้ว่าการของยูดาห์ว่า เราจะเขย่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 22 เราจะคว่ำราชบัลลังก์และขยี้อำนาจของบรรดาอาณาจักรต่างชาติ เราจะคว่ำรถม้าศึกและพลขับ ม้าศึกและคนขี่ม้าของพวกเขาจะล้มลง ต่างล้มลงด้วยดาบของพี่น้องของเขา
23 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า ‘ในวันนั้นเราจะรับเจ้า เศรุบบาเบลบุตรเชอัลทิเอลผู้รับใช้ของเรา’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น ‘และเราจะทำให้เจ้าเป็นดั่งแหวนตราของเราเพราะเราได้เลือกสรรเจ้า’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น”
เรียกร้องให้กลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
1 ในเดือนที่แปดของปีที่สองแห่งรัชกาลดาริอัส พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงผู้เผยพระวจนะเศคาริยาห์บุตรเบเรคิยาห์บุตรอิดโดว่า
2 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธบรรพบุรุษของพวกเจ้ายิ่งนัก 3 ฉะนั้นจงบอกเหล่าประชากรดังนี้ว่า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘จงกลับมาหาเรา’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า ‘แล้วเราจะกลับมาหาพวกเจ้า’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น 4 อย่าเป็นเหมือนบรรพบุรุษของพวกเจ้า ซึ่งบรรดาผู้เผยพระวจนะแต่ก่อนเคยประกาศดังนี้ว่า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘จงหันจากวิถีและความประพฤติอันชั่วช้าของพวกเจ้า’ แต่พวกเขาไม่ได้ฟังหรือใส่ใจเราเลย องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 5 บัดนี้บรรพบุรุษของพวกเจ้าไปไหนเสียแล้ว? และบรรดาผู้เผยพระวจนะมีชีวิตยืนยงตลอดกาลหรือ? 6 แต่ถ้อยคำและกฎหมายซึ่งเราสั่งเหล่าผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเราก็เป็นจริงกับบรรพบุรุษของพวกเจ้าไม่ใช่หรือ?
“แล้วเขาเหล่านั้นก็สำนึกผิดและกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ทรงทำกับเราอย่างสาสมกับวิถีและความประพฤติของเราตามที่พระองค์ทรงตัดสินพระทัยไว้แล้ว’ ”
ชายผู้อยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียว
7 ในวันที่ยี่สิบสี่เดือนเชบัท คือเดือนที่สิบเอ็ดของปีที่สองแห่งรัชกาลดาริอัส พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงผู้เผยพระวจนะเศคาริยาห์บุตรเบเรคิยาห์บุตรอิดโด
8 ยามค่ำคืนข้าพเจ้าเห็นนิมิตตรงหน้าข้าพเจ้า มีชายคนหนึ่งขี่ม้าสีแดง! เขายืนอยู่ในหมู่ต้นน้ำมันเขียวในลำห้วย ข้างหลังเขามีม้าสีแดง ม้าสีน้ำตาล และม้าสีขาว
9 ข้าพเจ้าถามว่า “ท่านเจ้าข้า สิ่งเหล่านี้คืออะไร?”
ทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าตอบว่า “เราจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าคืออะไร”
10 แล้วชายคนที่ยืนในหมู่ต้นน้ำมันเขียวอธิบายว่า “พวกเขาคือผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งไปทั่วโลก”
11 แล้วพวกเขามารายงานทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งยืนอยู่กลางหมู่ต้นน้ำมันเขียวว่า “เราได้ไปทั่วโลก และพบว่าทั่วโลกก็พักสงบอยู่”
12 แล้วทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระองค์จะทรงยับยั้งพระเมตตาจากเยรูซาเล็มและหัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์ไปนานสักเท่าใด? ทรงพระพิโรธมาเจ็ดสิบปีแล้ว” 13 ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสถ้อยคำที่อ่อนโยนและถ้อยคำปลอบใจกับทูตสวรรค์นั้นซึ่งสนทนากับข้าพเจ้า
14 แล้วทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “จงประกาศถ้อยคำเหล่านี้ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘เราหวงแหนเยรูซาเล็มและศิโยน 15 แต่เราโกรธยิ่งนักที่ชนชาติต่างๆ รู้สึกมั่นคงปลอดภัย เราโกรธนิดเดียว แต่พวกเขาทำให้ย่อยยับเกินขนาด’
16 “ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราจะหันกลับมาหาเยรูซาเล็มด้วยความเมตตา และพระนิเวศของเราจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ที่นั่น และสายวัดจะถูกดึงออกวัดทั่วเยรูซาเล็ม’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น
17 “จงประกาศต่อไปว่า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘เมืองต่างๆ ของเราจะเจริญรุ่งเรืองอย่างล้นเหลืออีกครั้ง และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปลอบโยนศิโยนและเลือกสรรเยรูซาเล็มอีกครั้ง’ ”
เขาสัตว์สี่อันและช่างฝีมือสี่คน
18 แล้วข้าพเจ้าเงยหน้า เห็นเขาสัตว์สี่อันอยู่ตรงหน้า! 19 ข้าพเจ้าจึงถามทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าว่า “สิ่งเหล่านี้คืออะไร?”
เขาตอบว่า “สิ่งเหล่านี้คือเขาสัตว์ซึ่งทำให้ยูดาห์ อิสราเอล และเยรูซาเล็มกระจัดกระจาย”
20 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นช่างฝีมือสี่คน 21 ข้าพเจ้าจึงถามว่า “คนเหล่านี้มาทำอะไร?”
เขาตอบว่า “สิ่งเหล่านี้คือเขาสัตว์ซึ่งทำให้ยูดาห์กระจัดกระจายจนไม่มีใครโงหัวขึ้นมาได้ แต่ช่างฝีมือเหล่านี้มาเพื่อทำให้เขาสัตว์ทั้งหลายหวาดกลัว และทำลายเขาสัตว์ของประชาชาติทั้งหลายที่ได้ชูเขาของตนขึ้น ทำให้ประชากรยูดาห์กระจัดกระจายไป”
ชายที่ถือสายวัด
2 แล้วข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้น เห็นชายคนหนึ่งถือสายวัดอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า! 2 ข้าพเจ้าถามว่า “ท่านจะไปไหน?”
เขาตอบว่า “ไปวัดกรุงเยรูซาเล็มดูว่ากว้างยาวแค่ไหน”
3 แล้วทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าก็จากไป มีทูตสวรรค์อีกองค์มาพบทูตองค์นั้น 4 และกล่าวกับเขาว่า “วิ่งไปบอกชายหนุ่มผู้นั้นเถิดว่า ‘เยรูซาเล็มจะมีผู้คนและฝูงสัตว์อาศัยอยู่แน่นหนา จนทำกำแพงล้อมไว้ไม่ได้ 5 และเราเองจะเป็นกำแพงไฟล้อมกรุงเยรูซาเล็ม และเป็นสง่าราศีในกรุงนั้น’ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น”
6 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “มาเถิด! มาเถิด! จงหนีไปจากดินแดนภาคเหนือเพราะเราได้ทำให้เจ้ากระจัดกระจายไปกับลมทั้งสี่แห่งฟ้าสวรรค์” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
7 “มาเถิดศิโยนเอ๋ย จงหนีเถิด เจ้าทั้งหลายผู้เป็นเชลยอยู่ในบาบิโลน[y]!” 8 เพราะพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนี้ว่า “หลังจากพระองค์ประทานเกียรติแก่เรา และทรงใช้เรามาต่อสู้กับชนชาติทั้งหลายที่มาปล้นเจ้า เพราะผู้ใดแตะต้องเจ้าก็แตะต้องแก้วพระเนตรของพระองค์ 9 แน่นอนเราจะเงื้อมือขึ้นฟาดพวกเขา เพื่อทาสของพวกเขาจะปล้นพวกเขา แล้วเจ้าจะรู้ว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ทรงใช้เรามา
10 “ธิดาแห่งศิโยน[z]เอ๋ย จงโห่ร้องยินดีเถิด เพราะเรากำลังจะมา และเราจะอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 11 “ชนชาติมากมายจะร่วมอยู่ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าในวันนั้น และจะเป็นประชากรของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า และพวกเจ้าจะรู้ว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ทรงใช้เรามาหาพวกเจ้า 12 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้ยูดาห์เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนของพระองค์ในดินแดนบริสุทธิ์ และจะทรงเลือกสรรเยรูซาเล็มอีกครั้ง 13 มวลมนุษยชาติเอ๋ย จงนิ่งสงบต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์เสด็จขึ้นจากที่ประทับอันบริสุทธิ์แล้ว”
เครื่องแต่งกายสะอาดสำหรับมหาปุโรหิต
3 แล้วทูตองค์นั้นได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นมหาปุโรหิตโยชูวา[aa]ยืนอยู่ต่อหน้าทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้า และซาตาน[ab]ยืนอยู่ขวามือของเขาเพื่อกล่าวหาเขา 2 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับซาตานว่า “ซาตาน! องค์พระผู้เป็นเจ้าตำหนิเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เลือกสรรเยรูซาเล็มตำหนิเจ้า! ชายผู้นี้เป็นดุ้นฟืนติดไฟที่ถูกดึงออกจากไฟไม่ใช่หรือ?”
3 โยชูวานั้นสวมเสื้อผ้าสกปรกยืนอยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์องค์นั้น 4 ทูตนั้นกล่าวแก่บรรดาผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาว่า “ถอดเสื้อผ้าสกปรกของเขาออกเถิด”
แล้วกล่าวกับโยชูวาว่า “ดูเถิด เราได้ปลดเปลื้องบาปของเจ้าออกไปแล้ว และเราจะให้เจ้าสวมเสื้อผ้างดงาม”
5 ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “ขอให้เอาผ้าโพกศีรษะที่สะอาดมาโพกให้เขา” แล้วพวกเขาก็โพกศีรษะโยชูวาด้วยผ้าสะอาดและแต่งกายให้ขณะที่ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ายืนอยู่ใกล้ๆ
6 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกำชับโยชูวาว่า 7 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘หากเจ้าดำเนินในวิถีทางของเรา และรักษากฎเกณฑ์ของเรา เจ้าจะได้ปกครองนิเวศของเรา รวมทั้งลานวิหารของเรา เราจะให้เจ้าดำเนินอยู่ต่อหน้าเราร่วมกับคนเหล่านี้ที่ยืนอยู่ที่นี่
8 “ ‘ฟังเถิด มหาปุโรหิตโยชูวาและเพื่อนร่วมงานซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเจ้า พวกเจ้าผู้เป็นคนซึ่งเป็นสัญลักษณ์บ่งถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราจะนำผู้รับใช้ของเรามาคือ “กิ่ง” 9 จงดูศิลาที่เราตั้งไว้ตรงหน้าโยชูวาเถิด! ศิลาก้อนเดียวมีเจ็ดเหลี่ยม[ac] และเราจะสลักคำจารึกบนศิลานั้น’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘และเราจะขจัดบาปของดินแดนนี้ภายในวันเดียว
10 “ ‘ในวันนั้น พวกเจ้าแต่ละคนจะเชิญเพื่อนบ้านมานั่งใต้เถาองุ่นและต้นมะเดื่อของตน’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น”
คันประทีปทองคำและต้นมะกอกเทศสองต้น
4 แล้วทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้ากลับมาปลุกข้าพเจ้า เหมือนปลุกให้ตื่นจากหลับ 2 ทูตนั้นถามข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นอะไร?”
ข้าพเจ้าตอบว่า “เห็นคันประทีปทองคำ มีชามน้ำมันอยู่บนยอด และมีตะเกียงเจ็ดดวง โดยมีท่อตะเกียงเจ็ดท่อส่งน้ำมันไปจุดตะเกียง 3 มีต้นมะกอกเทศสองต้นอยู่ใกล้คันประทีปนั้น ต้นหนึ่งอยู่ทางขวาของชามน้ำมันและอีกต้นอยู่ทางซ้าย”
4 ข้าพเจ้าถามทูตที่สนทนากับข้าพเจ้าว่า “ท่านเจ้าข้า สิ่งเหล่านั้นคืออะไร?”
5 ทูตนั้นย้อนถามว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร?”
ข้าพเจ้าตอบว่า “ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ทราบ”
6 ทูตนั้นจึงกล่าวว่า “ก่อนอื่นเจ้าจงแจ้งเศรุบบาเบลถึงพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีมาถึงเขาว่า ‘ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์อำนาจ แต่โดยวิญญาณของเรา’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น
7 “ภูเขาที่ยิ่งใหญ่เอ๋ย เจ้ามีอะไรดี[ad]? ต่อหน้าเศรุบบาเบลเจ้าจะราบเป็นหน้ากลอง แล้วเขาจะนำศิลามุมเอกมาสถาปนาในพระวิหารท่ามกลางเสียงโห่ร้องว่า ‘ขอพระเจ้าทรงอวยพรพระวิหาร! ขอพระเจ้าทรงอวยพรพระวิหาร!’ ”
8 แล้วมีพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า 9 “เศรุบบาเบลได้ลงมือวางฐานรากของพระวิหารแห่งนี้ และมือของเขาจะสร้างจนสำเร็จ แล้วเจ้าจะรู้ว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ได้ทรงส่งเรามาหาพวกเจ้า
10 “ใครบังอาจดูถูกสิ่งเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในวันนี้? เพราะพระเนตรทั้งเจ็ดขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งมองไปทั่วพิภพจะชื่นชมยินดีเมื่อเห็นศิลามุมเอกที่คัดสรร[ae]อยู่ในมือเศรุบบาเบล[af]”
11 แล้วข้าพเจ้าจึงถามทูตองค์นั้นว่า “ต้นมะกอกเทศทั้งสองต้นที่ขนาบด้านซ้ายและขวาของคันประทีปหมายถึงอะไร?”
12 และข้าพเจ้าถามอีกว่า “กิ่งมะกอกเทศทั้งสองกิ่งที่อยู่ข้างๆ ท่อทองคำทั้งสองซึ่งส่งน้ำมันสีทองไปยังตะเกียงหมายถึงอะไร?”
13 ทูตนั้นตอบว่า “เจ้าไม่รู้ความหมายของสิ่งเหล่านี้หรือ?”
ข้าพเจ้าตอบว่า “ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ทราบ”
14 ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้หมายถึงบุคคลทั้งสองที่ได้รับการเจิมตั้งให้[ag]ทำหน้าที่รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลก”
หนังสือม้วนบินได้
5 ข้าพเจ้ามองดูอีกครั้งก็เห็นหนังสือม้วนบินไป
2 ทูตองค์นั้นถามข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นอะไร?”
ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนบินอยู่ ยาว 20 ศอก กว้าง 10 ศอก[ah]”
3 แล้วทูตนั้นบอกข้าพเจ้าว่า “นี่เป็นคำสาปแช่งซึ่งไปทั่วดินแดน ตามที่มีข้อความระบุไว้ด้านหนึ่งว่าขโมยทุกคนจะถูกขับไล่ออกไป และอีกด้านหนึ่งระบุว่าทุกคนที่สาบานเท็จจะถูกขับไล่ออกไปด้วย 4 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า ‘เราจะส่งคำสาปแช่งนี้ออกไปและมันจะเข้าไปในบ้านของขโมยและคนที่สาบานเท็จในนามของเรา คำสาปแช่งนี้จะอยู่เหนือบ้านของคนเหล่านั้นและทำลายบ้านนั้นลงทั้งไม้และหิน’ ”
ผู้หญิงในถังตวง
5 แล้วทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้านั้นออกมากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “มองไปเถิด ดูว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น”
6 ข้าพเจ้าก็ถามว่า “นั่นคืออะไร?”
ทูตนั้นตอบว่า “มันคือถังตวง[ai]” เขากล่าวต่อไปว่า “ถังนี้จุความชั่วช้า[aj]ของประชาชนทั่วทั้งแผ่นดิน”
7 แล้วฝาตะกั่วของถังก็ถูกยกขึ้น ในถังนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่! 8 ทูตนั้นกล่าวว่า “นี่คือความชั่วร้าย” แล้วก็ผลักหญิงนั้นลงไปในถังตามเดิมและดันฝาตะกั่วปิดปากถัง
9 แล้วข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นและเห็นผู้หญิงสองคนมีปีกเหมือนนกกระสา บินตรงมาหาเรา พวกนางมายกถังนั้นบินทะยานขึ้นไปในอากาศ
10 ข้าพเจ้าถามทูตที่สนทนากับข้าพเจ้าว่า “หญิงทั้งสองจะเอาถังไปที่ไหน?”
11 ทูตสวรรค์ตอบว่า “ไปยังดินแดนบาบิโลน[ak] เพื่อสร้างบ้านหลังหนึ่งให้ เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็จะวางถังนั้นเก็บเข้าที่”
รถรบทั้งสี่
6 ข้าพเจ้าเงยหน้าเห็นรถม้าศึกสี่คันตรงหน้า แล่นออกมาจากระหว่างภูเขาทองสัมฤทธิ์สองลูก 2 รถม้าศึกคันแรกเทียมม้าแดง คันที่สองเทียมม้าดำ 3 คันที่สามเทียมม้าขาว คันที่สี่เทียมม้าด่าง ทั้งสี่ล้วนทรงอานุภาพ 4 ข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าว่า “ท่านเจ้าข้า สิ่งเหล่านี้คืออะไร?”
5 ทูตนั้นตอบว่า “เหล่านี้คือวิญญาณ[al]ทั้งสี่แห่งฟ้าสวรรค์ ซึ่งออกมาจากเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งมวลพิภพ 6 คันที่เทียมม้าดำจะไปยังดินแดนภาคเหนือ คันที่เทียมม้าขาวไปทางตะวันตก[am] และคันที่เทียมม้าด่างไปทางใต้”
7 เมื่อม้าทรงอานุภาพเหล่านั้นออกมา พวกมันกระตือรือร้นอยากจะไปทั่วโลก ทูตสวรรค์กล่าวว่า “จงไปทั่วโลก!” แล้วพวกมันก็ออกไปทั่วโลก
8 แล้วทูตนั้นร้องบอกข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด พวกที่ไปยังดินแดนภาคเหนือนั้นทำให้พระวิญญาณของเรา[an]สงบนิ่งในดินแดนภาคเหนือ”
มงกุฎสำหรับโยชูวา
9 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า 10 “จงรับเงินและทองคำจากเฮลดัย โทบียาห์ และเยดายาห์เชลยจากบาบิโลนที่เพิ่งมาถึงนั้น นำไปยังบ้านของโยสิยาห์บุตรเศฟันยาห์ในวันนั้น 11 นำเงินและทองคำนั้นไปทำมงกุฎ และสวมให้มหาปุโรหิตโยชูวาบุตรเยโฮซาดัก 12 บอกเขาว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘นี่คือผู้ที่ได้ชื่อว่า “กิ่ง” เขาจะแตกกิ่งก้านสาขาจากที่ของเขาและสร้างวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า 13 เขาคือผู้ที่จะสร้างพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะได้รับเกียรติบารมีเป็นอาภรณ์และนั่งบนบัลลังก์ทำหน้าที่ปกครอง และเขาจะเป็นทั้งกษัตริย์และปุโรหิตอย่างกลมกลืน’ 14 แล้วเก็บมงกุฎนั้นไว้ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อเป็นการระลึกถึงเฮลดัย[ao] โทบียาห์ เยดายาห์ และโยสิยาห์[ap]บุตรของเศฟันยาห์ 15 บรรดาผู้อยู่ในถิ่นไกลจะมาช่วยสร้างพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเจ้าจะรู้ว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ได้ใช้เรามาหาเจ้า การนี้จะเกิดขึ้นหากเจ้ามุ่งมั่นเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า”
ความยุติธรรมและความเมตตา ไม่ใช่การอดอาหาร
7 ในวันที่สี่เดือนคิสเลฟอันเป็นเดือนที่เก้าของปีที่สี่แห่งรัชกาลดาริอัส พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศคาริยาห์ 2 ชาวเบธเอลได้ส่งชาเรเซอร์และเรเกมเมเลคกับพรรคพวกมาทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า 3 โดยให้มาถามปุโรหิตที่พระนิเวศของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์และบรรดาผู้เผยพระวจนะว่า “ข้าพเจ้าควรไว้ทุกข์และถืออดอาหารในเดือนที่ห้าเหมือนที่ได้ทำมาตลอดหลายปีหรือไม่?”
4 แล้วมีพระดำรัสของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์มาถึงข้าพเจ้าว่า 5 “จงถามประชาชนทั้งปวงและบรรดาปุโรหิตว่า ‘ตลอดเจ็ดสิบปีมานี้ เมื่อเจ้าถืออดอาหารและทูลอ้อนวอนในเดือนที่ห้าและในเดือนที่เจ็ดนั้น เจ้าถืออดอาหารเพื่อเราจริงหรือ? 6 และเมื่อเจ้ากินดื่ม เจ้าก็ฉลองเพื่อตัวเองไม่ใช่หรือ? 7 เมื่อครั้งเยรูซาเล็มและหัวเมืองทั้งหลายโดยรอบยังรุ่งเรืองและสงบสุข เนเกบและเชิงเขาตะวันตกยังมีผู้คนตั้งรกรากอยู่ ก็มีพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเตือนไว้อย่างนี้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะคนก่อนๆ ไม่ใช่หรือ?’ ”
8 แล้วมีพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศคาริยาห์อีกว่า 9 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘จงผดุงความยุติธรรมที่แท้จริง แสดงความเมตตาเห็นอกเห็นใจต่อกัน 10 อย่ากดขี่ข่มเหงแม่ม่ายหรือลูกกำพร้าพ่อ คนต่างด้าวหรือผู้ยากไร้ อย่าให้ท่านมีใจคิดร้ายต่อกัน’
11 “แต่พวกเขาก็ไม่ยอมใส่ใจฟัง เขาอุดหูและหันหลังให้เราอย่างดื้อด้าน 12 เขาทำใจให้แข็งกระด้างดั่งหินเหล็กไฟ และไม่ยอมฟังบทบัญญัติหรือถ้อยคำที่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์มีมาถึงพวกเขาโดยพระวิญญาณของพระองค์ผ่านทางผู้เผยพระวจนะคนก่อนๆ ฉะนั้นพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์จึงทรงพระพิโรธยิ่งนัก
13 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘เมื่อเราร้องเรียก พวกเขาไม่ฟัง ฉะนั้นเมื่อพวกเขาร้องเรียก เราก็จะไม่ฟัง 14 เราใช้พายุหมุนทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปเป็นคนแปลกถิ่นในหมู่ชนชาติต่างๆ ดินแดนของเขาจะถูกทิ้งร้างอยู่ข้างหลัง ไม่มีใครผ่านไปมา เขาทำให้ดินแดนอันน่าอภิรมย์กลับเริศร้างไปเช่นนี้’ ”
องค์พระผู้เป็นเจ้า
8 อีกครั้งหนึ่งมีพระดำรัสของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์มาถึงข้าพเจ้าว่า 2 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “เราหวงแหนศิโยนยิ่งนัก เราหวงแหนด้วยใจที่รุ่มร้อน”
3 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “เราจะกลับมาหาศิโยน มาอยู่ในเยรูซาเล็ม แล้วเยรูซาเล็มจะได้ชื่อว่า ‘นครแห่งความจริง’ และภูเขาของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์จะได้ชื่อว่า ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์’ ”
4 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “ตามถนนหนทางในเยรูซาเล็มจะกลับมีชายหญิงที่แก่หง่อม ถือไม้เท้านั่งอยู่เหมือนแต่ก่อน 5 ตามท้องถนนก็มีเด็กชายหญิงวิ่งเล่นอยู่”
6 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “มันอาจดูเป็นไปไม่ได้สำหรับชนหยิบมือที่เหลืออยู่นี้ แต่สำหรับเราแล้วมันจะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือ?” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น
7 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “เราจะช่วยประชากรของเราจากประเทศต่างๆ ทางตะวันออกและตะวันตก 8 เราจะพาพวกเขากลับมาอยู่ที่เยรูซาเล็ม เขาจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าผู้ซื่อสัตย์และชอบธรรมของเขา”
9 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “พวกเจ้าซึ่งบัดนี้ฟังถ้อยคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะซึ่งอยู่ด้วยเมื่อครั้งวางฐานรากพระนิเวศของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ จงให้มือของเจ้าเข้มแข็งเพื่อสร้างพระวิหารให้สำเร็จ 10 ก่อนหน้านั้นไม่มีค่าจ้างให้คนหรือสัตว์ ผู้คนที่สัญจรไปมาเพื่อค้าขายก็ไม่ปลอดภัยจากศัตรู เพราะเราทำให้เพื่อนบ้านทุกคนเป็นศัตรูกัน 11 แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่ทำกับชนหยิบมือที่เหลืออยู่เหมือนในอดีต” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น
12 “เมล็ดจะงอกงาม เถาองุ่นจะออกผล ผืนแผ่นดินจะให้พืชผล และฟ้าจะหยาดน้ำค้างลงมา เราจะมอบสิ่งทั้งปวงนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของชนหยิบมือที่เหลืออยู่ 13 ยูดาห์และอิสราเอลเอ๋ย เจ้าเคยเป็นที่สาปแช่งในหมู่ชนชาติทั้งหลายนั้นอย่างไร เราจะช่วยเจ้าและเจ้าจะเป็นพระพรอย่างนั้น อย่ากลัวเลย แต่จงให้มือของเจ้าเข้มแข็ง”
14 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “ตามที่เราเคยตัดสินใจนำภัยพิบัติมายังเจ้าและไม่ปรานีเจ้า ตอนที่บรรพบุรุษของเจ้าทำให้เราโกรธ” พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น 15 “แต่บัดนี้เราตัดสินใจจะทำดีต่อเยรูซาเล็มและยูดาห์อีก ฉะนั้นอย่ากลัวเลย 16 เจ้าจงทำอย่างนี้คือ จงพูดความจริงต่อกัน จงตัดสินความในศาลอย่างถูกต้องและเที่ยงธรรม 17 อย่าคิดร้ายต่อเพื่อนบ้าน และอย่าชอบสาบานเท็จ เพราะเราเกลียดชังสิ่งทั้งปวงนี้” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
18 อีกครั้งหนึ่งมีพระดำรัสของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์มาถึงข้าพเจ้า 19 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “การถืออดอาหารในเดือนที่สี่ เดือนที่ห้า เดือนที่เจ็ด และเดือนที่สิบ จะเป็นเวลาแห่งความชื่นชมยินดีและเปรมปรีดิ์ และเป็นเทศกาลแห่งความสุขสำหรับยูดาห์ ฉะนั้นจงรักความจริงและสันติภาพ”
20 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “ชนชาติต่างๆ และคนที่อาศัยอยู่ในนครต่างๆ หลายแห่งยังจะมา 21 ชาวเมืองหนึ่งจะไปชวนอีกเมืองหนึ่งว่า ‘ให้เราไปทูลอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าเดี๋ยวนี้ ไปแสวงหาพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์กันเถิด เราเองก็จะไปด้วย’ 22 ชนชาติทั้งหลายและชาติมหาอำนาจต่างๆ จะมายังเยรูซาเล็มเพื่อแสวงหาพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์และอ้อนวอนพระองค์”
23 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อถึงเวลานั้นชายสิบคนจากทุกชาติทุกภาษาจะยึดชายเสื้อคลุมของชาวยิวคนหนึ่งไว้และกล่าวว่า ‘ขอเราไปกับท่านเถิด เพราะเราได้ยินมาว่าพระเจ้าสถิตกับท่าน’ ”
การพิพากษาศัตรูของอิสราเอล
9 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ประณามดินแดนหัดราก
และดามัสกัส
เพราะตาของมนุษย์และอิสราเอลทุกเผ่า
จับจ้องที่องค์พระผู้เป็นเจ้า[aq]
2 และทรงประณามฮามัทซึ่งอยู่ใกล้ดามัสกัส
และประณามไทระกับไซดอนด้วย ถึงแม้ว่าพวกเขาช่ำชองนัก
3 ไทระสร้างปราการป้องกันเมือง
สะสมเงินไว้มากมายเหมือนธุลี
และมีทองมากมายเหมือนฝุ่นตามถนน
4 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงริบทรัพย์สมบัติของเมืองนั้นไป
และทำลายอำนาจทางทะเลของมัน
และเผาผลาญมันด้วยไฟ
5 อัชเคโลนจะเห็นแล้วหวาดกลัว
กาซาจะทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
เอโครนก็เช่นกันเพราะความหวังของมันอับเฉา
กาซาจะสูญเสียกษัตริย์
และอัชเคโลนจะถูกทิ้งร้าง
6 ชนต่างชาติจะครอบครองอัชโดด
และเราจะกำจัดความหยิ่งผยองของชาวฟีลิสเตีย
7 เราจะเอาเลือดออกจากปากของพวกเขา
และเอาอาหารต้องห้ามออกจากซี่ฟันของพวกเขา
บรรดาผู้เหลือรอดอยู่จะเป็นของพระเจ้าของเรา
และจะกลายเป็นผู้นำในยูดาห์
และเอโครนจะเป็นเหมือนชาวเยบุส
8 แต่เราจะปกป้องนิเวศของเรา
จากกองกำลังที่มาปล้นชิง
ผู้กดขี่จะไม่มาย่ำยีบีฑาประชากรของเราอีก
เพราะบัดนี้เรากำลังจับตาดูอยู่
การเสด็จมาของกษัตริย์ศิโยน
9 ธิดาแห่งศิโยน[ar]เอ๋ย! จงชื่นชมยินดีเหลือล้น
ธิดาแห่งเยรูซาเล็ม[as]เอ๋ย! จงโห่ร้อง
ดูเถิด กษัตริย์ของเจ้าเสด็จมาหาเจ้า
ทรงชอบธรรมและนำความรอดมา
ทรงอ่อนโยนและประทับมาบนหลังลา
ทรงลูกลาเสด็จมา
10 เราจะกำจัดรถม้าศึกจากเอฟราอิม
และม้าศึกจากเยรูซาเล็ม
ลูกธนูในการรบจะถูกหักทิ้ง
พระองค์จะประกาศสันติภาพแก่นานาประชาชาติ
ทรงขยายอาณาจักรจากทะเลจดทะเล
และจากแม่น้ำยูเฟรติสจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก[at]
11 ส่วนเจ้า เนื่องด้วยโลหิตแห่งพันธสัญญาของเราซึ่งให้ไว้แก่เจ้า
เราจะปลดปล่อยนักโทษของเจ้าจากเหวลึกที่ไร้น้ำ
12 นักโทษผู้มีความหวังเอ๋ย จงกลับมายังป้อมปราการของเจ้า
บัดนี้เองเราประกาศว่าเราจะฟื้นฟูเจ้าขึ้นมาเป็นสองเท่า
13 เราจะโก่งยูดาห์เหมือนโก่งธนู
และให้เอฟราอิมเป็นลูกธนูเต็มแล่ง
ศิโยนเอ๋ย เราจะกระตุ้นลูกๆ ของเจ้า
มาสู้กับลูกๆ ของกรีซ
และทำให้เจ้าเป็นเหมือนดาบในมือนักรบ
องค์พระผู้เป็นเจ้า
14 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปรากฏเหนือพวกเขา
ลูกศรของพระองค์จะเปล่งประกายดั่งสายฟ้า
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจะทรงเป่าแตร
พระองค์จะทรงยาตราออกมาในพายุแห่งทิศใต้
15 และพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์จะทรงปกป้องพวกเขาไว้
พวกเขาจะทำลายล้าง
และพิชิตศึกด้วยสลิง
พวกเขาจะดื่มและโห่ร้องเหมือนดื่มเหล้าองุ่น
พวกเขาจะเต็มเปี่ยมเหมือนชาม
ซึ่งใช้ในการประพรม[au]มุมแท่นบูชา
16 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาจะทรงช่วยพวกเขาในวันนั้น
ในฐานะกลุ่มประชากรของพระองค์
พวกเขาจะรุ่งโรจน์ในแผ่นดินของพระองค์
เหมือนเพชรประดับมงกุฎ
17 พวกเขาจะงดงามน่าชมยิ่งนัก!
ธัญพืชจะทำให้คนหนุ่มเติบโต
และเหล้าองุ่นใหม่จะทำให้หญิงสาวเจริญวัย
พระเจ้าจะทรงดูแลยูดาห์
10 จงทูลขอฝนในฤดูใบไม้ผลิจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้านี่แหละเป็นผู้สร้างเมฆและพายุ
พระองค์ประทานสายฝนแก่มนุษย์
และพืชพันธุ์ธัญญาหารแก่ทุกคน
2 เทวรูปต่างๆ ให้คำตอบหลอกลวง
หมอดูเห็นนิมิตจอมปลอม
เขาเล่าความฝันเท็จ
และให้คำปลอบใจอันเปล่าประโยชน์
ฉะนั้นประชาชนจึงหลงเตลิดไปเหมือนแกะ
ถูกข่มเหงรังแกเพราะไม่มีคนเลี้ยง
3 “เราโกรธบรรดาคนเลี้ยงแกะยิ่งนัก
และจะลงโทษบรรดาผู้นำ
เพราะพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์จะทรงดูแล
ฝูงแกะของพระองค์ คือพงศ์พันธุ์ยูดาห์
และทรงทำให้พวกเขาเหมือนม้าศึกทะนงองอาจในสงคราม
4 ศิลามุมเอกจะมาจากยูดาห์
อีกทั้งหมุดเต็นท์
ธนูศึก
และผู้ปกครองทุกคน
5 เขาทั้งปวงจะเป็นนักรบเกรียงไกร
ย่ำไปบนถนนโคลนเลนในสงคราม
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกเขา
พวกเขาจะต่อสู้และพิชิตพลม้า
6 “เราจะทำให้พงศ์พันธุ์ยูดาห์เข้มแข็งขึ้น
และช่วยเหลือพงศ์พันธุ์โยเซฟ
เราจะกู้พวกเขากลับคืนมา
เพราะเราสงสารพวกเขา
พวกเขาจะเป็นเหมือน
คนที่ไม่เคยถูกเราทอดทิ้งเลย
เพราะเราเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา
เราจะตอบพวกเขา
7 ชาวเอฟราอิมจะเป็นดั่งนักรบเกรียงไกร
จิตใจของพวกเขาจะเปรมปรีดิ์เหมือนได้ดื่มเหล้าองุ่น
ลูกหลานของพวกเขาจะเห็นแล้วชื่นชมยินดียิ่งนัก
จิตใจของพวกเขาจะชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า
8 เราจะให้สัญญาณ
และรวบรวมพวกเขามา
แน่นอนเราจะไถ่พวกเขา
พวกเขาจะมีจำนวนมากมายเหมือนแต่ก่อน
9 แม้ว่าเราทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปในหมู่ชนชาติต่างๆ
แต่ในแดนไกลโพ้นพวกเขาจะระลึกถึงเรา
พวกเขากับลูกหลานจะอยู่รอด
และพวกเขาจะกลับมา
10 เราจะพาพวกเขากลับมาจากอียิปต์
รวบรวมกลับมาจากอัสซีเรีย
เราจะนำพวกเขามายังกิเลอาดและเลบานอน
และจะไม่มีที่เพียงพอสำหรับทุกคน
11 พวกเขาจะข้ามทะเลแห่งความเดือดร้อน
ทะเลอันปั่นป่วนจะยอมสยบ
และบรรดาห้วงลึกแห่งแม่น้ำไนล์จะเหือดแห้ง
ความหยิ่งผยองของอัสซีเรียจะถูกปราบราบคาบ
และคทาแห่งอียิปต์จะสูญสิ้นไป
12 เราจะทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า
และพวกเขาจะดำเนินในพระนามของพระองค์”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.