M’Cheyne Bible Reading Plan
ยาโคบอำลาบุตรทุกคน
49 แล้วยาโคบเรียกตัวบุตรชายทั้งหลายมาและกล่าวว่า “ทุกคนมาใกล้ๆ พ่อ พ่อจะได้บอกว่า อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
2 เข้ามาร่วมกันฟังเถิด ลูกของยาโคบเอ๋ย
จงฟังอิสราเอลบิดาของเจ้า
3 รูเบน ลูกหัวปีของพ่อ
เจ้าเป็นกำลังของพ่อ ผลแรกแห่งวัยกำยำของพ่อ
เจ้าเยี่ยมยอดและมีกำลังเหนือกว่าบุคคลอื่น
4 เชี่ยวกรากดั่งสายน้ำ แต่เจ้าจะไม่เหนือกว่าผู้ใด
เพราะเจ้าขึ้นไปยังที่นอนของบิดาของเจ้า
ที่เอนกายของพ่อ และทำให้ที่นั้นเป็นมลทิน
5 สิเมโอนและเลวีเป็นพี่น้องกัน
ดาบของพวกเขาเป็นอาวุธแห่งความรุนแรง
6 ชีวิตพ่อจะไม่ไปรวมเข้ากับกลุ่มผู้สมรู้ร่วมคิด
วิญญาณของพ่อจะไม่ไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา
เพราะพวกเขาฆ่าคนด้วยความโกรธ
และทำร้ายโคจนพิการตามใจชอบของพวกเขา
7 ความโกรธของพวกเขาจะถูกสาปแช่งเพราะร้อนแรงนัก
ความฉุนเฉียวของพวกเขาก็เช่นกันเพราะโหดร้ายเหลือ
พ่อจะกระจายพวกเขาไปทั่วดินแดนของยาโคบ
และให้พวกเขากระจัดกระจายอยู่ทั่วดินแดนอิสราเอล
8 ยูดาห์เอ๋ย[a] พี่น้องของเจ้าจะยกย่องเจ้า
ศัตรูของเจ้าจะอยู่ในเงื้อมมือของเจ้า
พี่น้องของเจ้าจะก้มลงกราบเจ้า
9 ยูดาห์เป็นดั่งสิงโตหนุ่ม
ลูกเอ๋ย เมื่อเจ้าได้เหยื่อแล้ว เจ้าก็กลับขึ้นไป
เขาหมอบและนอนลงเยี่ยงสิงโต
ดั่งสิงโตตัวเมีย ใครเล่าจะกล้าแหย่ให้ผงาดขึ้น
10 คทาจะไม่หลุดไปจากยูดาห์
และไม้อาชญาสิทธิ์จะไม่ขยับพ้นระหว่างสองเท้าของเขาอย่างไร
ชิโลห์ก็จะมาอย่างนั้น
และบรรดาชนชาติจะปฏิบัติตามคำสั่งของเขา
11 เขาผูกลาผู้ของเขาไว้ที่เถาองุ่น
ผูกลูกลาของเขาไว้ที่เถาองุ่นที่งามที่สุด
เขาซักเสื้อผ้าของเขาด้วยเหล้าองุ่น
ซักเครื่องนุ่งห่มด้วยน้ำองุ่นแดงดั่งเลือด
12 ตาขาวของเขาเป็นสีแดงด้วยเหล้าองุ่น
และฟันของเขาขาวด้วยน้ำนม
13 เศบูลุนจะอาศัยอยู่ที่ชายฝั่งทะเล
เขาจะเป็นดั่งท่าสำหรับเรือ
ชายแดนของเขาจะยื่นไปทางไซดอน
14 อิสสาคาร์เป็นเหมือนลากระดูกแกร่ง
นอนทรุดลงอยู่ระหว่างถุงบรรทุกบนหลังของมัน
15 เขาเห็นว่าเป็นสถานที่เหมาะสม เป็นที่พำนัก
และทำเลก็น่าอยู่
เขาจึงก้มลงรับภาระไว้บนบ่า
และถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก
16 ดานจะปกครองบรรดาคนของเขา
เหมือนเผ่าอื่นๆ ของอิสราเอล
17 ดานจะเป็นเสมือนงูริมทาง
งูพิษริมทางที่แว้งกัดส้นเท้าม้า
และทำให้คนขี่ตกหงายหลัง
18 โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ารอคอยที่จะรับการรอดพ้นจากพระองค์
19 กาดจะถูกพวกโจรปล้น
แต่เขาก็จะไล่ตามโจรไปจนประชิดตัว
20 อาเชอร์จะอยู่ในดินแดนอันอุดม
ได้ผลผลิตอันดีเลิศ เหมาะสำหรับกษัตริย์
21 นัฟทาลีเป็นเสมือนกวางตัวเมียที่โลดแล่นอย่างมีอิสระ
และให้กำเนิดลูกกวางตัวงาม
22 โยเซฟเป็นเสมือนเถาไม้อุดมผล
เถาไม้อุดมผลที่ข้างน้ำพุ
กิ่งก้านขยายปกคลุมทั่วกำแพง
23 นายขมังธนูโจมตีเขาอย่างดุร้าย
ยิงใส่เขา และรังควานด้วยความเคียดแค้น
24 แต่คันธนูของเขาไม่สะทกสะท้าน
มือและแขนของเขาแข็งแรงได้
โดยมือขององค์ผู้มีอานุภาพของยาโคบ
โดยผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ ศิลาของอิสราเอล
25 โดยพระเจ้าของบิดาของเจ้า ผู้ช่วยเหลือเจ้า
โดยพระเจ้า ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ
ผู้อวยพรเจ้าด้วยพระพรจากฟ้าสวรรค์เบื้องบน
พระพรจากห้วงน้ำลึกที่อยู่เบื้องล่าง
พระพรจากอกและครรภ์
26 พระพรของบิดาของเจ้าเหนือยิ่งไปกว่า
พระพรของเทือกเขาที่ตั้งอย่างถาวร
และเหนือกว่าความอุดมของเนินเขาที่ยืนยง
ขอพระพรเหล่านี้จงอยู่บนศีรษะของโยเซฟ
บนหน้าผากของผู้นำ ท่ามกลางพี่น้องของเขา
27 เบนยามินฉีกเนื้อกินอย่างสุนัขป่า
เขาเขมือบเหยื่อในยามเช้า
และแบ่งปันสิ่งที่ชิงมาได้ในยามเย็น”
28 นี่แหละคือ 12 เผ่าของอิสราเอล และเป็นสิ่งที่บิดาของพวกเขากล่าวไว้เป็นคำอวยพร เป็นพรที่เหมาะสมกับแต่ละคน 29 แล้วยาโคบสั่งพวกเขาว่า “พ่อกำลังจะไปรวมหมู่กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว จงเก็บศพพ่อไว้กับบรรพบุรุษในถ้ำที่อยู่ในทุ่งนาของเอโฟรนชาวฮิต 30 ในถ้ำที่อยู่ในทุ่งนาที่มัคเป-ลาห์ ซึ่งอยู่ใกล้มัมเรในดินแดนคานาอัน ที่อับราฮัมได้ซื้อไว้เป็นสถานบรรจุศพจากเอโฟรนชาวฮิตพร้อมกับทุ่งนา[b] 31 ที่นั่นเป็นที่ที่เขาบรรจุศพอับราฮัมและซาราห์ภรรยา ที่นั่นเป็นที่ที่เขาบรรจุศพอิสอัคและเรเบคาห์ภรรยา และที่นั่นแหละที่พ่อบรรจุศพเลอาห์ 32 เป็นทุ่งนาและถ้ำที่อยู่ในนาที่ซื้อมาจากพวกชาวฮิต” 33 ครั้นยาโคบสั่งพวกบุตรชายเสร็จแล้ว ก็ยกเท้าขึ้นบนที่นอน และหายใจเฮือกสุดท้าย และศพถูกบรรจุรวมไว้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว
การเกิดของพระเยซู
2 ในครั้งนั้นซีซาร์ออกัสตัส[a]ได้ออกคำสั่งให้ประชาชนไปจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วราชอาณาจักรโรมัน[b] 2 และเป็นครั้งแรกที่มีการจดทะเบียนขณะที่คีรินิอัสเป็นผู้ว่าราชการแคว้นซีเรีย 3 ทุกคนก็เตรียมพร้อมที่จะไปจดทะเบียนยังเมืองของตน
4 โยเซฟก็เดินทางไปเช่นกัน เขาออกจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลีไปยังเมืองของดาวิด ซึ่งเรียกว่าเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย เพราะเขาสืบเชื้อสายจากราชวงศ์ดาวิด 5 เพื่อจดทะเบียนสำมะโนครัวกับมารีย์คู่หมั้นซึ่งกำลังตั้งครรภ์อยู่ 6 ขณะที่อยู่ในเมืองนั้นมารีย์ก็ครบกำหนดคลอด 7 ทั้งสองไม่อาจหาห้องว่างได้แม้แต่ห้องเดียวจากโรงแรมทั่วไป นางได้ให้กำเนิดบุตรชายหัวปี และใช้ผ้าพันไว้แล้ววางในรางหญ้า
ทูตสวรรค์ปรากฏแก่คนเลี้ยงแกะ
8 ในแถบเดียวกันนั้นเองมีคนเลี้ยงแกะกำลังเฝ้าฝูงแกะอยู่ในทุ่งนายามราตรี 9 ในทันใดนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่คนเลี้ยงแกะเหล่านั้น แสงอันรุ่งโรจน์ของพระผู้เป็นเจ้าส่องล้อมรอบพวกเขา จึงทำให้เขาตกใจกลัวอย่างยิ่ง 10 ทูตสวรรค์กล่าวกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย เรานำข่าวอันประเสริฐที่น่ายินดียิ่งมาให้ทุกท่าน 11 ด้วยว่าวันนี้องค์ผู้ช่วยให้รอดพ้นได้กำเนิดขึ้นแล้วในเมืองของดาวิด พระองค์คือพระคริสต์[c] องค์พระผู้เป็นเจ้า 12 สัญลักษณ์สำคัญที่จะทำให้ท่านทราบได้คือ ท่านจะพบว่าทารกนั้นห่อหุ้มด้วยผ้านอนอยู่ในรางหญ้า” 13 ในทันใดนั้น ชาวสวรรค์กลุ่มใหญ่ก็ได้ปรากฏขึ้นใกล้ๆ ทูตสวรรค์องค์นั้น และได้ร่วมกล่าวสรรเสริญพระเจ้าว่า
14 “ขอพระบารมีจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด
และสันติสุขจงบังเกิดท่ามกลางมวลมนุษย์ในโลกที่พระองค์โปรด”
15 แล้วทูตสวรรค์เหล่านั้นก็จากคนเลี้ยงแกะคืนสู่สวรรค์ คนเลี้ยงแกะพูดกันเองว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นเราเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮมกันเถิด จะได้เห็นว่าสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าบอกแก่เราได้บังเกิดขึ้นจริง” 16 หมู่คนเลี้ยงแกะจึงได้รีบเดินทางมาพบกับมารีย์ โยเซฟ และทารกน้อยที่นอนอยู่ในรางหญ้า 17 เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์ก็ได้เล่าเรื่องที่ทูตสวรรค์บอกเกี่ยวกับทารกน้อยนี้ 18 ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ประหลาดใจกับเรื่องราวที่คนเลี้ยงแกะเหล่านั้นบอกแก่เขา 19 แต่ว่ามารีย์เองได้ระลึกเรื่องราวทั้งหมดไว้ในความทรงจำ และครุ่นคิดในใจ 20 และคนเลี้ยงแกะก็กลับออกไป พลางยกย่องและสรรเสริญพระเจ้าที่พวกเขาได้ยินและได้เห็นทุกสิ่ง ตามที่พวกเขาได้รับฟังคำบอกไว้
21 เมื่อครบ 8 วันก็ได้เวลาเข้าสุหนัต พระองค์ได้รับนามว่า เยซู ซึ่งเป็นชื่อที่ทูตสวรรค์ให้ไว้กับมารีย์เมื่อก่อนตั้งครรภ์
โยเซฟและมารีย์มอบพระเยซูแด่พระผู้เป็นเจ้า
22 เมื่อครบกำหนดเวลาที่จะทำพิธีชำระตัวตามหมวดกฎบัญญัติของโมเสสแล้ว[d] โยเซฟและมารีย์ก็นำพระองค์ไปยังเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อมอบแด่พระผู้เป็นเจ้า 23 ตามที่มีบันทึกไว้ในกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าว่า “บุตรชายคนแรกทุกคนจะนับว่าเป็นบุตรที่ถวายให้แด่พระผู้เป็นเจ้า”[e] 24 และเขายังได้ถวายเครื่องสักการะตามกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าอันได้แก่ “นกเขา 1 คู่ หรือนกพิราบหนุ่ม 2 ตัว”[f] 25 ในเมืองเยรูซาเล็มมีชายผู้หนึ่งชื่อ สิเมโอน ซึ่งเป็นคนที่มีความชอบธรรมทั้งยังเชื่อในพระเจ้ามาก เขารอคอยวันที่ชาวอิสราเอลจะรอดพ้น และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สถิตกับเขาด้วย 26 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เผยให้สิเมโอนทราบว่า เขาจะได้เห็นพระคริสต์ของพระผู้เป็นเจ้า ก่อนที่เขาจะตาย 27 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้นำสิเมโอนเข้าไปในพระวิหาร ขณะที่บิดามารดานำพระเยซูมาเข้าพิธีตามกฎบัญญัติ 28 สิเมโอนจึงรับพระองค์มาไว้ในอ้อมแขนและกล่าวสรรเสริญพระเจ้าว่า
29 “พระผู้เป็นเจ้าผู้สูงสุด ขอพระองค์ให้ข้าพเจ้า
ผู้เป็นผู้รับใช้ไปอย่างสันติสุขเถิด ตามที่ได้สัญญาไว้
30 เพราะว่าตาของข้าพเจ้าได้เห็นความรอดพ้นที่มาจากพระองค์
31 ซึ่งพระองค์ได้จัดเตรียมไว้ที่ตรงหน้าคนทั้งปวงแล้ว
32 เป็นแสงสว่างให้บรรดาคนนอกได้รู้เห็นชัด[g]
และเพื่อเป็นบารมีแก่อิสราเอล ซึ่งเป็นชนชาติของพระองค์”
33 บิดามารดาของพระเยซูต่างประหลาดใจเมื่อได้ยินคำที่สิเมโอนกล่าวอ้างถึงพระองค์เช่นนั้น 34 หลังจากสิเมโอนอวยพรทั้งสองแล้วก็ได้กล่าวกับมารีย์มารดาของพระองค์ว่า “ดูเถิด เด็กผู้นี้ได้รับมอบหมายให้เป็นเหตุของการล้มลงและลุกขึ้นของคนจำนวนมากในอิสราเอล และเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ผู้คนจะต่อต้าน 35 เพื่อว่าความคิดในใจของคนเป็นอันมากจะปรากฏชัด และความโศกเศร้าดั่งคมดาบจะทิ่มแทงจิตใจของท่าน มารีย์”
36 ยังมีหญิงชราผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าคนหนึ่งชื่ออันนา นางเป็นบุตรีของฟานูเอลเผ่าอาเชอร์ นางสมรสอยู่กินกับสามีได้เพียง 7 ปี 37 และก็เป็นม่ายมาจนอายุได้ 84 ปี นางไม่เคยย่างกรายออกจากพระวิหารเลย อันนาใช้เวลาทั้งกลางวันและกลางคืนนมัสการ อดอาหาร และอธิษฐาน 38 ขณะนั้นนางได้เดินเข้ามาหาและกล่าวขอบคุณพระเจ้า แล้วนางก็พูดถึงพระองค์ให้คนทั้งหลายที่เฝ้ารอการไถ่ของเยรูซาเล็มฟังด้วย
39 หลังจากเสร็จพิธีตามกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว คนทั้งสามได้เดินทางกลับมายังนาซาเร็ธเมืองของตนในแคว้นกาลิลี 40 ทารกก็ได้เจริญวัย สมบูรณ์และเปี่ยมด้วยพระปัญญา และพระคุณของพระเจ้าได้สถิตกับพระองค์ด้วย
พระเยซูไปยังพระวิหารครั้งยังเยาว์
41 โยเซฟและมารีย์ได้เดินทางไปยังเมืองเยรูซาเล็มทุกๆ ปีในเทศกาลปัสกา[h] 42 เมื่อพระเยซูอายุได้ 12 ปี ทั้งสามก็ขึ้นไปร่วมในเทศกาลตามประเพณีนิยม 43 ครั้นงานเทศกาลสิ้นสุดลง บิดามารดาของพระองค์ได้เดินทางกลับบ้าน แต่พระเยซูยังอยู่ต่อที่เมืองเยรูซาเล็ม โดยที่ทั้งสองไม่ทราบ 44 แต่คิดว่าพระองค์อาจจะเดินทางพร้อมกับหมู่คนที่เดินทางไปด้วยแล้ว ครั้นออกกันไปได้หนึ่งวัน จึงได้ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและเพื่อน 45 เมื่อไม่พบพระองค์ ทั้งสองจึงได้ย้อนกลับไปตามหาพระองค์ในเมืองเยรูซาเล็ม 46 สามวันผ่านไป จึงพบพระเยซูในพระวิหารท่ามกลางเหล่าอาจารย์ ทั้งฟังและซักถามเขาเหล่านั้น 47 ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ประหลาดใจที่พระองค์เข้าใจและตอบคำถามต่างๆ ได้ 48 เมื่อบิดามารดาเห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ มารีย์บอกพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงทำเช่นนี้ ดูเถิด พ่อแม่ต้องตามหาเจ้าด้วยความกังวล” 49 พระเยซูตอบว่า “ทำไมจึงตามหาข้าพเจ้า ท่านไม่ทราบหรือว่า ข้าพเจ้าต้องร่วมในกิจการของพระบิดาของข้าพเจ้า”[i] 50 แต่บิดามารดาก็ไม่เข้าใจคำพูดของพระองค์ 51 พระเยซูได้เดินทางกลับลงไปยังเมืองนาซาเร็ธพร้อมกับบิดามารดา และเชื่อฟังเขาทั้งสองด้วยดี แต่มารีย์ระลึกเรื่องราวทั้งหมดมาครุ่นคิดในใจ
52 พระเยซูเจริญวัยขึ้นไม่เพียงแต่ร่างกายและพระปัญญา พระองค์ยังเป็นที่พอใจของพระเจ้าและบุคคลทั่วไปด้วย
เอลีฟัสกล่าวหา: โยบไม่เกรงกลัวพระเจ้า
15 แล้วเอลีฟัสชาวเทมานตอบว่า
2 “ควรหรือที่ผู้เรืองปัญญาจะตอบด้วยความรู้ลมๆ แล้งๆ
และไม่มีความหมายใดๆ
3 ควรหรือที่เขาจะโต้เถียงด้วยคำพูดที่ไร้ประโยชน์
หรือด้วยคำพูดที่ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
4 แต่ท่านถึงกับขาดความยำเกรงพระเจ้า
และขัดขวางการอธิษฐาน ณ เบื้องหน้าพระเจ้า
5 เพราะปากของท่านแสดงให้เห็นความชั่วของท่าน
และท่านเลือกพูดแบบคนลิ้นสองแฉก
6 ปากของท่านเองที่ปรักปรำตัวเอง ไม่ใช่ฉัน
ริมฝีปากของท่านเองที่ปรักปรำท่าน
7 ท่านเป็นมนุษย์คนแรกที่เกิดมา
หรือว่าท่านเกิดก่อนที่เนินเขาถูกสร้างขึ้นมา
8 ท่านได้อยู่ฟังในที่ประชุมของพระเจ้าหรือ
และท่านผู้เดียวเท่านั้นหรือที่มีปัญญา
9 ท่านทราบอะไรที่พวกเราไม่ทราบบ้าง
มีสิ่งใดบ้างที่ท่านเข้าใจดี แต่กลับไม่แจ่มแจ้งสำหรับพวกเรา
10 ในหมู่พวกเรามีทั้งคนผมหงอกและคนสูงอายุ
และแก่กว่าบิดาของท่าน
11 พระเจ้าปลอบประโลมท่านไม่เพียงพอหรือ
และสิ่งที่พวกเราพูดดีๆ กับท่านล่ะ
12 ทำไมท่านจึงควบคุมความรู้สึกในใจของท่านไม่อยู่
และทำไมสายตาของท่านจึงเดือดดาล
13 จิตวิญญาณท่านจึงต่อต้านพระเจ้า
และคำพูดจึงได้หลุดจากปากท่านเช่นนี้
14 มนุษย์เป็นใครจึงจะบริสุทธิ์ได้จริงๆ
ผู้ที่เกิดจากผู้หญิงจะมีความชอบธรรมได้หรือ
15 ดูเถิด พระเจ้าไม่ไว้วางใจทูตสวรรค์ของพระองค์
และแม้แต่ฟ้าสวรรค์ก็ไม่บริสุทธิ์ในสายตาของพระองค์
16 คนที่น่าขยะแขยงและไร้ศีลธรรมจะบริสุทธิ์น้อยยิ่งกว่านั้นเพียงใด
เขาดื่มความชั่วเหมือนดื่มน้ำ
17 ฉันจะอธิบาย ฟังฉันสิ
และฉันจะบอกสิ่งที่ฉันได้เห็นมาแล้ว
18 (คือสิ่งที่บรรดาผู้เรืองปัญญาได้บอกไว้
โดยที่ไม่ปิดบังความรู้ที่ได้มาจากบรรพบุรุษ
19 เป็นผู้ที่ได้รับแผ่นดิน
และไม่มีชาวต่างชาติรวมอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น)
20 คนชั่วอยู่ในความเจ็บปวดตลอดชีวิตของเขา
คนโหดร้ายก็รับทุกข์นานปีเช่นกัน
21 เสียงน่ากลัวก้องอยู่ในหูของเขา
เวลาที่เขามีความสงบสุข โจรก็บุกทำร้ายเขา
22 เขาไม่เชื่อว่า เขาจะกลับออกไปจากความทุกข์ได้
และมีดาบที่รอฟาดฟันเขาอยู่
23 เขาซัดเซพเนจรหาอาหารในต่างแดน พลางกล่าวว่า
‘อยู่ไหนล่ะ’ เขารู้ว่าวันแห่งความทุกข์รอเขาอยู่
24 เขาหวาดหวั่นในความทุกข์และความเจ็บปวดรวดร้าว
สิ่งเหล่านี้โถมใส่เขาดั่งกษัตริย์ที่พร้อมออกศึก
25 เพราะเขายื่นมือคัดค้านพระเจ้า
และทำเป็นเก่งกล้าต่อองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ
26 ต่อสู้กับพระองค์อย่างดื้อรั้น
ด้วยโล่กำบังที่แข็งแกร่ง
27 เพราะเขาปกปิดหน้าตนเองด้วยไขมันของเขา
และสะสมไขมันไว้ที่บั้นเอว
28 เขาได้อาศัยอยู่ในเมืองร้าง
ในบ้านที่ไม่ควรมีใครอาศัยอยู่
ซึ่งกำลังจะพังทลายลง
29 เขาจะไม่ร่ำรวย และความมั่งมีของเขาจะไม่มั่นคง
ทรัพย์สินของเขาก็จะไม่ขยายไปทั่วโลก
30 เขาจะหนีความตายไม่พ้น
เขาเป็นดั่งต้นไม้ซึ่งจะมีเปลวไฟไหม้ที่ราก
เขาจะสิ้นชีวิตโดยลมหายใจของพระองค์
31 อย่าให้เขาไว้วางใจในสิ่งไร้ค่าด้วยการหลอกลวงตนเอง
เพราะเขาจะได้รับความไร้ค่าเป็นการตอบแทน
32 เขาจะเหี่ยวเฉาก่อนจะถึงเวลาอันสมควร
และกิ่งก้านจะไม่มีวันเขียวชอุ่ม
33 เขาจะเป็นดั่งเถาองุ่นที่สลัดลูกองุ่นทิ้งตั้งแต่ยังดิบ
และเป็นดั่งต้นมะกอกที่เหวี่ยงดอกให้ร่วงหลุดไป
34 ด้วยว่ากลุ่มชนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าจะขาดผู้สืบเชื้อสาย
ไฟจะเผาผลาญบ้านที่สร้างจากเงินสินบน
35 พวกเขาวางแผนก่อความยุ่งยากและสิ่งที่ตามมาคือทำความชั่ว
และใจที่เต็มด้วยความหลอกลวง”
เปาโลและอปอลโล
3 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่สามารถพูดกับท่านเหมือนว่าท่านเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ แต่เป็นฝ่ายเนื้อหนัง[a] เหมือนกับว่าท่านเป็นเด็กทารกในพระคริสต์ 2 ข้าพเจ้าจึงให้น้ำนมท่านดื่มแทนอาหารแข็งซึ่งท่านยังไม่พร้อมที่จะรับ แม้บัดนี้ท่านก็ยังไม่สามารถรับได้ 3 ท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ตราบที่ท่านยังมีความอิจฉาและวิวาทอยู่ จะมิเรียกว่าท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนังหรอกหรือ ท่านไม่ได้ดำเนินชีวิตอย่างมนุษย์ธรรมดาหรือ 4 เมื่อคนหนึ่งพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนของเปาโล” อีกคนพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนของอปอลโล” พวกท่านไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาหรือ
5 แท้จริงแล้วอปอลโลคือใคร และเปาโลคือใคร ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ที่ช่วยชี้นำให้ท่านเกิดความเชื่อ ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดพวกเราไว้ให้ปฏิบัติ 6 ข้าพเจ้าเป็นคนปลูกขณะที่อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เติบโต 7 ดังนั้นทั้งคนปลูกและคนรดน้ำไม่สำคัญเท่ากับพระเจ้าซึ่งเป็นผู้ทำให้เติบโต 8 คนปลูกและคนรดน้ำต่างมีจุดประสงค์เดียวกัน และแต่ละคนก็ได้รับค่าจ้างตามแรงงานของตนเอง 9 เพราะเราเป็นผู้ร่วมงานของพระเจ้า ท่านเป็นไร่นาและเป็นเรือนของพระเจ้า
10 ข้าพเจ้าได้วางฐานรากลงแล้วตามพระคุณที่พระเจ้าได้ให้ข้าพเจ้าวาง ราวกับช่างก่อสร้างผู้เชี่ยวชาญ และคนอื่นก็กำลังก่อสร้างบนฐานนั้นเช่นกัน ผู้สร้างแต่ละคนต้องระมัดระวังว่าเขาสร้างอย่างไร 11 เพราะไม่มีผู้ใดสามารถวางฐานรากอื่นได้อีก นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์ 12 บนฐานรากนี้ถ้าเราใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟางก่อลงไป 13 งานนั้นจะปรากฏผลให้เห็น เพราะว่าวันนั้นจะเป็นวันที่เปิดเผย รวมทั้งจะเผยให้เห็นด้วยไฟ และไฟก็จะทดสอบคุณภาพงานของแต่ละคน 14 ถ้าสิ่งที่สร้างไว้คงทนอยู่ได้ ผู้สร้างก็จะได้รับรางวัล 15 ถ้างานของใครมอดไหม้ลงด้วยไฟก็จะไม่ได้รับรางวัล และตัวเขาเองจะรอดได้ในสภาพของคนที่หนีรอดจากไฟเท่านั้น
16 ท่านไม่ทราบหรือว่าท่านเองเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในตัวท่าน 17 ถ้าผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทำลายเขา เพราะวิหารบริสุทธิ์ และท่านก็คือวิหารนั้น
18 อย่าให้ใครหลอกลวงตนเอง ถ้าใครในหมู่พวกท่านคิดว่าตนมีปัญญาเข้าเกณฑ์มาตรฐานของยุคนี้ ก็ปล่อยให้เขาเป็น “คนโง่” เพื่อเขาจะได้กลายเป็นคนมีปัญญา 19 เพราะปัญญาของโลกนี้ยังเป็นสิ่งโง่เขลาสำหรับพระเจ้า ตามที่มีบันทึกไว้ว่า “พระองค์ดักจับผู้มีปัญญาได้จากเล่ห์เหลี่ยมของเขาเอง”[b] 20 และ “พระผู้เป็นเจ้าทราบว่าความคิดของคนมีปัญญาไร้ประโยชน์”[c] 21 ฉะนั้นอย่าได้โอ้อวดเรื่องมนุษย์อีกเลย ทุกสิ่งเป็นของพวกท่าน 22 ไม่ว่าเปาโล อปอลโล เคฟาส โลก ชีวิต ความตาย ปัจจุบันกาล หรืออนาคตกาล ทุกสิ่งเป็นของท่าน 23 ท่านเป็นคนของพระคริสต์ และพระคริสต์เป็นของพระเจ้า
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation