Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
อพยพ 5

ประจันหน้ากับฟาโรห์เป็นครั้งแรก

หลังจากนั้น โมเสสและอาโรนไปหาฟาโรห์ และพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ ‘จงปล่อยชนชาติของเราไปเสีย เพื่อให้พวกเขาเลี้ยงฉลองเป็นการให้เกียรติแก่เราในถิ่นทุรกันดาร’” แต่ฟาโรห์ตอบว่า “ใครคือพระผู้เป็นเจ้าที่เราควรจะต้องเชื่อฟัง ถึงกับต้องปล่อยชาวอิสราเอลไป เราไม่รู้จักพระผู้เป็นเจ้า และยิ่งกว่านั้น เราจะไม่ปล่อยชาวอิสราเอลไปไหนทั้งนั้น” แล้วท่านทั้งสองพูดว่า “พระเจ้าของชาวฮีบรูได้ปรากฏแก่เรา โปรดปล่อยพวกเราไปเถิด ให้พวกเราเดินทาง 3 วันไปยังถิ่นทุรกันดาร และถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา มิฉะนั้นพระองค์จะให้เราพบกับโรคระบาดหรือไม่ก็คมดาบ” กษัตริย์แห่งอียิปต์กล่าวกับท่านว่า “โมเสสและอาโรน ทำไมเจ้าจึงทำให้ประชาชนละจากการทำงาน ให้เขากลับไปทำงานหนักต่อไปเถิด” ฟาโรห์กล่าวต่อไปว่า “ดูสิ เวลานี้มีประชาชนจำนวนมากในแผ่นดิน และเจ้าทำให้พวกเขาหยุดทำงานกัน” ในวันเดียวกันนั้นเอง ฟาโรห์สั่งพวกหัวหน้าคุมทาสและผู้แทนหน่วยว่า “พวกเจ้าไม่ต้องหาฟางมาให้คนพวกนี้ทำอิฐอย่างที่เคยเป็นมา ให้เขาหากันเอง ส่วนจำนวนอิฐที่พวกเขาเคยทำได้เท่าไหร่ก็ต้องให้เขาทำได้จำนวนเท่าเดิม อย่าให้ลดจำนวนลง เพราะคนพวกนี้เกียจคร้านนัก จึงได้พากันโอดครวญว่า ‘ปล่อยพวกเราไป และให้เราถวายเครื่องสักการะแด่พระเจ้าของเรา’ จงเพิ่มงานให้พวกเขาทำมากขึ้น จะได้ไม่มีเวลามาสนใจฟังเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้”

10 ดังนั้น หัวหน้าคุมทาสและผู้แทนหน่วยทั้งหลายจึงออกไปพูดกับชาวอิสราเอลว่า “ฟาโรห์สั่งว่า ‘เราจะไม่หาฟางมาให้แล้ว 11 พวกเจ้าไปหาฟางกันเอง จะไปหาได้ที่ไหนก็แล้วแต่ แต่จำนวนอิฐที่ได้อย่างน้อยต้องมีจำนวนเท่าเดิม’” 12 ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงกระจัดกระจายออกไปทั่วดินแดนอียิปต์ เพื่อรวบรวมเศษฟาง 13 หัวหน้าคุมทาสพูดเร่งรัดว่า “ทำงานประจำวันของเจ้าให้เสร็จสิ้น เหมือนตอนที่มีฟางเตรียมไว้ให้” 14 ผู้แทนหน่วยชาวอิสราเอลที่อยู่ใต้บังคับหัวหน้าทาสของฟาโรห์ถูกเฆี่ยนและถูกซักไซ้ไล่เลียงว่า “ทำไมระยะนี้เจ้าจึงไม่ทำอิฐให้เสร็จเท่ากับจำนวนที่เคยทำ”

15 ผู้แทนหน่วยชาวอิสราเอลไปร้องต่อฟาโรห์ว่า “ทำไมท่านจึงกระทำอย่างนี้กับผู้รับใช้ของท่าน 16 ไม่มีฟางให้กับผู้รับใช้ แล้วยังจะพูดกับพวกเราอีกว่า ‘ทำอิฐสิ’ ดูเถิด บรรดาผู้รับใช้ของท่านถูกเฆี่ยน ทั้งที่ความผิดอยู่ที่คนของท่านเอง” 17 แต่ฟาโรห์กล่าวว่า “พวกเจ้าเกียจคร้านเต็มประดา จึงได้พูดกันว่า ‘ปล่อยพวกเราไป และให้เราถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า 18 ไปทำงานเดี๋ยวนี้เลย เพราะไม่มีฟางจะให้พวกเจ้าแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็จะต้องทำอิฐให้ได้มากเท่าเดิม” 19 ผู้แทนหน่วยชาวอิสราเอลเห็นว่า พวกตนตกที่นั่งลำบากแล้วเมื่อได้ยินคำว่า “แต่ละวันจำนวนอิฐที่เจ้าทำจะลดลงไม่ได้” 20 ขณะที่พวกเขาออกมาจากการเข้าเฝ้าฟาโรห์ ก็พบโมเสสและอาโรนซึ่งกำลังยืนรอพวกเขาอยู่ 21 จึงพูดกับท่านทั้งสองว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้าเห็นสิ่งที่ท่านทำและตัดสินท่านทั้งสอง เพราะท่านทำให้พวกเราเป็นที่น่ารังเกียจต่อฟาโรห์และข้าราชบริพาร ท่านเป็นผู้ยื่นดาบให้พวกเขาฆ่าพวกเรา”

22 ดังนั้น โมเสสจึงกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้าอีก และถามว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ทำไมพระองค์จึงทำให้คนของพระองค์ต้องเผชิญกับความเลวร้าย ทำไมพระองค์จึงใช้ข้าพเจ้ามา 23 นับตั้งแต่ข้าพเจ้าไปหาฟาโรห์เพื่อพูดในพระนามของพระองค์ ฟาโรห์ก็ได้ทำให้คนของพระองค์ต้องเผชิญกับความเลวร้าย และพระองค์ยังไม่ได้ช่วยคนของพระองค์ให้รอดปลอดภัยเลย”

ลูกา 8

อุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ด

หลังจากนั้น พระเยซูพร้อมด้วยอัครทูตทั้งสิบสองได้เดินทางไปตามเมืองและหมู่บ้านเพื่อประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า มีผู้หญิงบางคนที่รับการรักษาหายจากพวกวิญญาณร้ายและโรคต่างๆ ด้วยคือ มารีย์ชาวมักดาลา ซึ่งมารทั้งเจ็ดได้ออกจากตัวไป โยอันนาภรรยาของคูซาผู้ดูแลผลประโยชน์ของเฮโรด ซูซานาและคนอื่นอีกจำนวนมาก ผู้หญิงเหล่านี้ได้มอบทรัพย์สินส่วนตัวของพวกนางเองเพื่อช่วยเหลือพระเยซูและเหล่าอัครทูต

ขณะที่มหาชนจากเมืองต่างๆ มาชุมนุมกัน พระเยซูกล่าวเป็นอุปมาว่า “ชาวไร่คนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืชของเขา ขณะที่เขากำลังหว่านเมล็ด บางเมล็ดตกลงตามทางแล้วก็ถูกเหยียบ พวกนกพากันจิกกินเสียหมด บางเมล็ดตกลงบนหิน พองอกขึ้นแล้วต้นก็เหี่ยวแห้งไปเพราะขาดความชื้น บางเมล็ดตกลงท่ามกลางไม้หนามที่เติบโตขึ้นและแย่งอาหารไปเสีย บางเมล็ดที่ตกบนดินดี ก็ได้งอกขึ้นและเกิดผลเป็น 100 เท่าเพิ่มขึ้นจากที่ได้หว่านไว้” เมื่อพระองค์กล่าวจบแล้วก็ประกาศขึ้นว่า “ผู้ใดมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด”

พวกสาวกของพระองค์ถามว่า คำอุปมานี้หมายความว่าอย่างไร 10 พระองค์กล่าวว่า “เราทำให้เจ้าเข้าใจถึงความลับของอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว แต่สำหรับผู้อื่น เรากล่าวเป็นอุปมาเพื่อว่า ‘แม้ว่าขณะที่กำลังดู พวกเขาก็มองไม่เห็น แม้ว่าขณะที่กำลังได้ยิน พวกเขาก็ไม่เข้าใจ’[a] 11 นี่คือความหมายของคำอุปมาที่ว่า เมล็ดพืชนั้นเป็นเสมือนคำกล่าวของพระเจ้า 12 พวกที่อยู่ตามทางคือผู้ที่ได้ยินแล้ว และพญามารก็มาปล้นคำกล่าวออกจากจิตใจของเขา เพื่อไม่ให้เชื่อและรอดพ้นได้ 13 พวกที่อยู่บนหิน คือผู้ที่เมื่อได้ยินคำกล่าวก็รับไว้ด้วยความยินดี แต่เนื่องจากเขาไม่มีรากฐานอันมั่นคง จึงเชื่อสักพักหนึ่ง พอถึงเวลาทดสอบใจก็ล้มเลิกจากความเชื่อ 14 เมล็ดที่ตกท่ามกลางไม้หนามเปรียบได้กับผู้ที่ได้ยิน แต่ขณะที่เขาดำรงชีวิตต่อไป ก็ถูกขัดขวางโดยความกังวลต่างๆ ความร่ำรวยและความสำราญ ซึ่งทำให้ไม่อาจเติบโตได้ 15 แต่เมล็ดบนดินดีเปรียบเสมือนผู้ที่บากบั่น ด้วยจิตใจอันซื่อสัตย์และดีงามเมื่อได้ยินคำกล่าว และด้วยความพากเพียรจึงบังเกิดผล

แสงสว่างจากตะเกียง

16 ไม่มีผู้ใดที่จุดตะเกียงแล้วซ่อนไว้ในโถหรือใต้เตียง แต่จะตั้งไว้บนขาตั้งตะเกียงเพื่อให้ผู้ที่เข้ามาได้เห็นแสงสว่าง 17 ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้แล้วจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่มีสิ่งใดที่เร้นลับแล้วจะไม่ถูกเปิดเผยในที่แจ้ง 18 ฉะนั้นเจ้าจงฟังให้ดี ผู้ใดก็ตามที่มีอยู่แล้วจะได้รับมากขึ้น และผู้ใดที่ไม่มี แม้ว่าสิ่งซึ่งเขาคิดว่าเขามีอยู่ก็จะถูกยึดไปจากเขาเสีย”

มารดาและน้องชายของพระเยซู

19 ขณะนั้นมารดาและพวกน้องชายของพระเยซูมาหาพระองค์ แต่ไม่อาจฝ่าฝูงชนเข้ามาได้เพราะคนแน่น 20 มีคนมาบอกพระเยซูว่า “มารดาและพวกน้องชายของท่านกำลังยืนอยู่ข้างนอกและต้องการจะมาหาท่าน”

21 พระองค์ตอบว่า “มารดาและพี่น้องของเรา คือพวกที่ฟังคำกล่าวของพระเจ้าและปฏิบัติตาม”

ห้ามคลื่นและลมให้หยุด

22 วันหนึ่ง พระเยซูกล่าวกับกลุ่มสาวกว่า “เราข้ามทะเลสาบไปอีกฟากกันเถิด” ฉะนั้นสาวกทั้งหลายก็ออกเรือไป 23 ขณะที่แล่นใบออกไป พระองค์นอนหลับอยู่ และเกิดพายุกระหน่ำในทะเลสาบ น้ำก็ท่วมลำเรือจนเข้าขั้นอันตราย 24 บรรดาสาวกจึงไปปลุกพระองค์ให้ตื่นพลางพูดว่า “นายท่าน นายท่าน พวกเรากำลังจะตายอยู่แล้ว” พระองค์ตื่นขึ้นห้ามลมและคลื่น พายุจึงหยุดและสงบเงียบลง 25 พระองค์จึงถามพวกเขาว่า “ความเชื่อของเจ้าอยู่ที่ไหน” พวกเขาถามกันและกันด้วยความตกใจและอัศจรรย์ใจว่า “แล้วท่านผู้นี้เป็นใคร จึงสั่งลมและน้ำให้เชื่อฟังได้”

ขับไล่มารพ้นจากชายผู้หนึ่ง

26 พระเยซูกับเหล่าสาวกแล่นใบไปถึงดินแดนเก-ราซา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแคว้นกาลิลี 27 เมื่อพระเยซูขึ้นฝั่ง ก็มีชายชาวเมืองเก-ราซาคนหนึ่งซึ่งมีมารสิงอยู่มาหาพระองค์ ชายคนนี้ไม่ได้สวมเสื้อตัวนอกและไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านมาเป็นเวลานานแล้ว แต่อยู่ตามถ้ำเก็บศพ 28 เมื่อเขาเห็นพระเยซู เขาก็ล้มตัวลงแทบเท้าของพระองค์ และร้องตะโกนเสียงดังว่า “พระเยซูบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด ท่านมายุ่งเกี่ยวอะไรกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอร้องท่านว่าอย่าทรมานข้าพเจ้าเลย” 29 เป็นเพราะพระเยซูได้บัญชาให้วิญญาณร้ายออกมาจากตัวของชายคนนั้น เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มันเข้ามาสิงเขา แม้มีคนคุมตัวเขา ถูกตรวนทั้งที่ข้อมือและข้อเท้า เขาก็ยังหักโซ่ตรวนได้ และมารผลักดันเขาออกไปยังที่ไม่มีผู้คน 30 พระเยซูถามเขาว่า “เจ้าชื่ออะไร” เขาตอบว่า “เลเกโอน”[b] ด้วยว่ามีมารหลายตนสิงเขาอยู่ 31 พวกมันอ้อนวอนพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำอีกมิให้ส่งมันลงขุมนรก 32 ขณะนั้นมีหมูฝูงใหญ่ที่กำลังหากินอยู่บนเชิงเขาในบริเวณใกล้ๆ นั้น พวกมารอ้อนวอนให้พระเยซูปล่อยมันไปสิงในฝูงหมู พระองค์ก็อนุญาต 33 พวกมารจึงออกมาจากร่างของชายคนนั้น แล้วเข้าสิงในตัวหมู และทั้งฝูงเตลิดลงจากหน้าผาชันสู่ทะเลสาบและจมน้ำตาย

34 พวกคนเลี้ยงหมูที่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ก็วิ่งหนีออกไปบอกเรื่องนั้นทั้งในเมืองและชนบท 35 ผู้คนจึงพากันมาดูว่าได้เกิดอะไรขึ้น เมื่อคนเหล่านั้นมาหาพระเยซู ก็พบว่า ชายผู้พ้นอำนาจมารกำลังนั่งแทบเท้าพระเยซู โดยนุ่งห่มเสื้อผ้าและมีสติดี คนเหล่านั้นจึงพากันกลัว 36 พวกที่ได้เห็นเหตุการณ์ก็เล่าให้คนอื่นๆ ฟังว่าชายที่ถูกมารสิงนั้นหายได้อย่างไร 37 ผู้คนทั้งปวงในดินแดนเก-ราซาจึงขอให้พระเยซูไปเสียให้พ้น เพราะพวกเขาหวาดกลัวยิ่งนัก พระองค์จึงลงเรือจากไป 38 ส่วนชายที่มารออกจากตัวไปแล้ว ก็ได้อ้อนวอนขอติดตามพระองค์ไปด้วย แต่พระเยซูไม่อนุญาต และกล่าวว่า 39 “จงกลับไปบ้าน และบอกผู้อื่นว่าพระเจ้าได้ช่วยเจ้ามากเพียงไร” ดังนั้นชายคนนั้นจึงจากไปเพื่อเล่าเรื่องให้คนทั่วเมืองทราบว่า พระเยซูได้ช่วยเขามากมายเพียงไร

พระเยซูผู้รักษาโรคนานาชนิด และผู้พลิกฟื้นความตาย

40 ครั้นพระเยซูกลับไป ประชาชนก็รอคอยต้อนรับพระองค์อยู่ 41 ไยรัสผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุมมาซบลงที่แทบเท้าของพระเยซู และอ้อนวอนให้พระองค์มายังบ้านของเขา 42 เพราะว่าลูกสาวคนเดียวของเขาซึ่งอายุประมาณ 12 ปีกำลังจะตาย

ครั้นพระเยซูไปกับเขา ผู้คนก็มาเบียดเสียดรายล้อมพระองค์มากมาย 43 และมีหญิงคนหนึ่งซึ่งตกโลหิตนานถึง 12 ปีโดยไม่มีใครรักษาได้ 44 เธอเข้ามาใกล้ทางเบื้องหลัง แล้วแตะที่ชายเสื้อตัวนอกของพระองค์ โลหิตที่ไหลอยู่ก็หยุดทันที 45 พระเยซูถามว่า “ใครแตะต้องตัวเรา” เมื่อไม่มีผู้ใดรับ เปโตรจึงพูดว่า “นายท่าน ผู้คนหนาแน่นเบียดเสียดท่านอยู่” 46 แต่พระเยซูกล่าวว่า “มีคนที่ได้แตะตัวเรา เพราะฤทธานุภาพได้แผ่ซ่านออกจากกายของเราไป” 47 หญิงคนนั้นเกรงว่าจะมีคนสังเกตเห็นการกระทำของเธอ จึงได้ทรุดตัวอันสั่นเทาลงแทบเท้าพระองค์ และพูดต่อหน้าผู้คนว่า เหตุใดเธอจึงแตะตัวพระองค์ และหายจากโรคทันทีได้อย่างไร 48 พระองค์จึงกล่าวกับเธอว่า “ลูกสาวเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหายจากโรค จงไปอย่างสันติสุขเถิด”

49 ขณะที่พระเยซูกำลังกล่าวอยู่ ก็มีคนมาจากบ้านของไยรัสผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุม มาบอกเขาว่า “ลูกสาวของท่านตายแล้ว อย่าได้รบกวนอาจารย์ท่านอีกเลย” 50 พระเยซูได้ยินดังนั้นจึงกล่าวกับไยรัสว่า “อย่ากลัวเลย เพียงแต่เชื่อ และเธอก็จะหายดี” 51 เมื่อพระองค์ไปถึงบ้านไยรัส ก็ไม่อนุญาตให้ใครล่วงเข้าไปด้านใน เว้นแต่เปโตร ยอห์น ยากอบ และบิดามารดาของเด็ก 52 ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังร้องไห้ฟูมฟายและร้องคร่ำครวญถึงเด็กน้อย พระเยซูกล่าวว่า “จงหยุดร้องไห้ฟูมฟายเถิด เธอไม่ตาย เพียงแค่หลับเท่านั้น” 53 ผู้คนพากันหัวเราะเยาะพระองค์เพราะรู้ว่าเธอตายแล้ว 54 แต่พระองค์จับมือเธอและกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” 55 วิญญาณของเธอก็กลับคืนสู่ร่าง แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืนทันที และพระเยซูบอกให้คนเหล่านั้นนำอาหารมาให้เธอ 56 บิดามารดาของเธอก็ประหลาดใจ และพระองค์สั่งไม่ให้เขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ใด

โยบ 22

เอลีฟัสพูด: โยบชั่วร้ายมาก

22 แล้วเอลีฟัสชาวเทมานตอบว่า

“คนจะเป็นประโยชน์อะไรสำหรับพระเจ้าได้
    จริงทีเดียว คนเฉลียวฉลาดจะเป็นประโยชน์สำหรับตนเอง
ถ้าท่านมีความชอบธรรม แล้วองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพจะชื่นชอบหรือ
    ถ้าท่านดำเนินชีวิตโดยไร้ข้อตำหนิ แล้วพระองค์จะได้รับประโยชน์อะไร

เป็นเพราะท่านยำเกรงพระองค์ พระองค์จึงตักเตือนว่ากล่าวท่าน
    และลงโทษท่านอย่างนั้นหรือ
ท่านมีความชั่วร้ายมากมิใช่หรือ
    บาปของท่านไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะท่านได้ยึดของจากพี่น้องของท่านเป็นประกัน
    และท่านยึดแม้แต่เสื้อผ้าของเขาไปจนต้องเปลือยกาย
ท่านไม่ได้ให้น้ำดื่มแก่คนที่เหนื่อยอ่อน
    และท่านกักอาหารจากผู้หิวโหย
คนมีอำนาจเป็นเจ้าของที่ดิน
    และคนสูงศักดิ์อาศัยอยู่ที่นั่น
ท่านได้ให้หญิงม่ายกลับไปมือเปล่า
    และท่านกดขี่ข่มเหงพวกเด็กกำพร้า
10 ฉะนั้น ท่านจึงติดบ่วงแร้ว
    และความกลัวทำให้ท่านหวาดหวั่นยิ่งนัก
11 ความมืดทำให้ท่านมองไม่เห็น
    และน้ำท่วมตัวท่าน

12 พระเจ้าไม่ได้อยู่ ณ ที่สูงในฟ้าสวรรค์หรือ
    ดูสิว่าหมู่ดาวอยู่สูงเพียงไร พระองค์มองลงมายังหมู่ดาวที่อยู่สูงสุด
13 แต่ท่านพูดว่า ‘พระเจ้าทราบอะไร
    พระองค์จะตัดสินความจากการมองผ่านความมืดมิดได้หรือ
14 ท่านคิดว่า เมฆมืดมิดบังพระองค์จึงทำให้พระองค์มองไม่เห็น
    และพระองค์เดินบนวิถีโค้งสุดขอบฟ้า’
15 ท่านจะดำเนินในหนทางเก่า
    ที่คนชั่วเดินมาก่อนหรือ
16 พวกเขาถูกคว้าตัวไปก่อนที่จะถึงเวลาอันควร
    รากฐานของเขาถูกพัดพาไป
17 พวกเขาพูดกับพระเจ้าว่า ‘อย่ามายุ่งกับพวกเรา’
    และ ‘องค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพจะสามารถทำอะไรเราได้’
18 พระองค์ก็ยังโปรดให้ครอบครัวเขาบริบูรณ์ด้วยสิ่งดีๆ
    แต่ฉันอยู่ห่างจากคำแนะนำของคนชั่ว
19 คนมีความชอบธรรมยินดีเมื่อเห็นคนชั่วรับโทษ
    คนไร้ความผิดหัวเราะเยาะเขา โดยพูดว่า
20 ‘ศัตรูของเราพินาศอย่างแน่นอน
    และไฟเผาผลาญทุกสิ่งที่เขามีเหลือ’
21 จงยอมอยู่ในบังคับบัญชาของพระเจ้า
    และมีสันติสุข เพื่อท่านจะได้รับความเจริญ

22 จงรับฟังคำสั่งสอนจากปากพระองค์
    และสะสมคำพูดของพระองค์ไว้ในใจท่าน
23 ถ้าท่านกลับไปหาองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ ท่านจะกลับคืนดีดังเดิม
    ถ้าท่านกำจัดความไม่ชอบธรรมไปจากกระโจมของท่าน
24 ถ้าท่านคิดเสียว่า ทองคำเป็นดั่งฝุ่น
    และทองคำแห่งโอฟีร์เป็นดั่งก้อนหินที่ธารน้ำ
25 แล้วองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพก็จะเป็นทองคำ
    เป็นเงินบริสุทธิ์ของท่าน
26 แล้วท่านจะสุขใจในองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ
    และเงยหน้าของท่านขึ้นหาพระเจ้า
27 ท่านจะอธิษฐานต่อพระองค์ และพระองค์จะได้ยินท่าน
    และท่านจะรักษาคำสาบาน
28 ท่านตัดสินใจทำอะไร ท่านก็จะประสบความสำเร็จ
    และจะมีแสงไฟส่องทางให้ท่านเดิน
29 เมื่อคนถูกเหยียดลง ท่านก็พูดว่า ‘เป็นเพราะความยโส’
    แต่พระองค์ช่วยคนถ่อมตนให้รอด
30 พระองค์ช่วยแม้แต่คนที่มีความผิดให้รอดพ้น
    และท่านจะได้รับความรอดพ้นตามความสะอาดของมือท่าน”

1 โครินธ์ 9

สิทธิ์ของอัครทูต

ข้าพเจ้าไม่มีอิสระหรือ ข้าพเจ้าไม่ใช่อัครทูตหรือ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือ พวกท่านไม่ใช่ผลงานของข้าพเจ้าในพระผู้เป็นเจ้าหรือ แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่เป็นอัครทูตในสายตาของคนอื่น แต่อย่างน้อยข้าพเจ้าก็เป็นในสายตาของท่าน พวกท่านเป็นเสมือนตราประทับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าข้าพเจ้าเป็นอัครทูตในพระผู้เป็นเจ้า

ข้าพเจ้าพูดแก้ความในกรณีที่มีคนตรวจสอบข้าพเจ้าคือ เราไม่มีสิทธิ์ดื่มกินหรือ เราไม่มีสิทธิ์พาภรรยาซึ่งเชื่อในพระเจ้าไปด้วยตามอย่างที่อัครทูตอื่นๆ และบรรดาน้องของพระเยซูเจ้า และเคฟาสก็พาไปด้วยหรือ เฉพาะข้าพเจ้าและบาร์นาบัสเท่านั้นหรือที่ต้องทำงานหาเลี้ยงชีพกันเอง ใครบ้างที่รับใช้โดยการเป็นทหารและต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเอง ใครที่ปลูกสวนองุ่นเองแล้วไม่ได้กินผล ใครที่เฝ้าดูแลฝูงแกะแล้วไม่ได้ดื่มน้ำนมจากมัน

ข้าพเจ้ากล่าวมานี้ด้วยความคิดเห็นของมนุษย์เท่านั้นหรือ กฎบัญญัติไม่ได้กล่าวเช่นเดียวกันหรือ ในหมวดกฎบัญญัติของโมเสสเขียนไว้ว่า “อย่าเอาตะกร้อครอบปากโคขณะที่มันกำลังนวดข้าวอยู่”[a] พระเจ้าเป็นห่วงใยโคหรือ 10 พระองค์กล่าวเรื่องนี้เพื่อเรามิใช่หรือ ใช่แล้ว เรื่องนี้บันทึกไว้สำหรับเรา เพราะว่าเมื่อคนไถนาและนวดข้าว เขาควรกระทำไปด้วยความหวังว่า จะได้รับส่วนแบ่งจากผลที่ได้ 11 ถ้าเราหว่านเมล็ดโดยฝ่ายวิญญาณในหมู่ท่าน แล้วเก็บเกี่ยวในด้านวัตถุจากท่านนั้น ถือว่ามากไปหรือ 12 ถ้าคนอื่นมีส่วนรับสิทธิ์นี้จากท่านแล้ว เราจะไม่มีสิทธิ์ยิ่งกว่าอีกหรือ

เราไม่ได้ใช้สิทธิ์นี้เลย แต่ในทางตรงกันข้าม คือเรายอมทนต่อทุกสิ่ง ดีกว่าที่จะถ่วงข่าวประเสริฐของพระคริสต์ไว้ 13 ท่านไม่ทราบหรือว่า บรรดาผู้ทำงานในพระวิหารได้รับอาหารจากพระวิหาร และบรรดาผู้รับใช้ที่แท่นบูชาได้รับส่วนจากสิ่งที่ถวายบนแท่นบูชา 14 ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งให้ผู้ประกาศข่าวประเสริฐได้รับการเลี้ยงชีพจากข่าวประเสริฐนั้นด้วย

15 แต่ข้าพเจ้ายังไม่ได้ใช้สิทธิ์เหล่านี้ และข้าพเจ้าได้เขียนเรื่องนี้มาโดยไม่ได้หวังที่จะให้ท่านปฏิบัติต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายอมตายเสียดีกว่า ที่จะให้ใครมายับยั้งเหตุผลของการโอ้อวดของข้าพเจ้า 16 แม้เวลาที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถโอ้อวดได้ เพราะจำเป็นต้องประกาศ วิบัติจงเกิดแก่ข้าพเจ้า ถ้าหากข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐนี้ 17 ถ้าข้าพเจ้าประกาศด้วยใจสมัคร ข้าพเจ้าก็มีรางวัล ถ้าไม่ใช่ด้วยใจสมัคร ข้าพเจ้าก็ยังมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ 18 แล้วรางวัลของข้าพเจ้าคืออะไร ก็คือเมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าไม่คิดค่าจ้าง เพื่อจะไม่ใช้สิทธิ์ที่พึงได้รับจากการประกาศอย่างเต็มที่

19 แม้ว่าข้าพเจ้าจะมีอิสระไม่ต้องขึ้นกับใคร แต่ข้าพเจ้ายอมตัวเป็นทาสรับใช้ทุกคน เพื่อชนะใจคนจำนวนมากเท่าที่จะมากได้ 20 กับชาวยิวข้าพเจ้าก็เป็นเช่นชาวยิวเพื่อที่จะชนะใจชาวยิว กับบรรดาผู้อยู่ใต้กฎบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้กฎบัญญัติ (แม้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ใต้กฎบัญญัติ) เพื่อชนะใจบรรดาผู้อยู่ใต้กฎบัญญัติ 21 กับคนไม่มีกฎบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนไม่มีกฎบัญญัติ (แม้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้อยู่นอกกฎบัญญัติของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าอยู่ใต้กฎบัญญัติของพระคริสต์) เพื่อที่จะชนะใจพวกที่ไม่มีกฎบัญญัติ 22 และในหมู่คนอ่อนแอ ข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอ เพื่อจะชนะใจคนอ่อนแอ ข้าพเจ้าได้กลายเป็นเหมือนคนทุกประเภทต่อคนทั้งปวง เพื่อให้บางคนรอดพ้นไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม 23 ข้าพเจ้าปฏิบัติทุกสิ่งเพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐ เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนรับพระพรนั้น

24 ท่านไม่ทราบหรือว่า ในการแข่งขัน นักวิ่งทุกคนวิ่ง แต่มีเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัล ดังนั้นจงวิ่งเพื่อชิงชัยให้สำเร็จ 25 ทุกคนที่เข้าแข่งขันต้องผ่านการฝึกที่เข้มงวด เขาทำเพื่อให้ได้มงกุฎอันไม่ยั่งยืน แต่เราทำเพื่อให้ได้มงกุฎอันยั่งยืนตลอดกาล 26 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่วิ่งโดยไร้จุดหมาย และไม่ต่อสู้แบบนักมวยชกลม 27 แต่ข้าพเจ้าฝึกฝนและควบคุมตัวเองอย่างหนัก เพื่อว่าหลังจากข้าพเจ้าประกาศแก่คนอื่นแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่เป็นผู้หมดสิทธิ์ในการแข่งขัน

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation