Bible in 90 Days
28 เอฮูดสั่งพวกเขาว่า “ตามเรามา เพราะพระยาห์เวห์ได้มอบพวกศัตรูของพวกท่าน คือชาวโมอับไว้ในเงื้อมมือของพวกท่านแล้ว” ชาวอิสราเอลทั้งหลายจึงตามเขาไป และพวกเขาได้ยึดบริเวณน้ำตื้นที่ลุยข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเมืองโมอับได้ และไม่ให้ใครข้ามทั้งนั้น 29 ในครั้งนั้นพวกเขาได้ฆ่าชายโมอับที่เข้มแข็งและกล้าหาญไปประมาณหนึ่งหมื่นคน ไม่มีใครหนีรอดไปได้
30 ในวันนั้นชาวโมอับตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของคนอิสราเอล หลังจากนั้นแผ่นดินก็สงบสุขเป็นเวลาแปดสิบปี
ผู้นำชัมการ์
31 หลังจากเอฮูดแล้ว ก็มีชัมการ์ลูกชายอานาท เขาใช้ปฏักวัวฆ่าชาวฟีลีสเตียไปหกร้อยคน เขาก็เป็นผู้ช่วยชาวอิสราเอลคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน
เดโบราห์ผู้นำหญิง
4 เมื่อเอฮูดตาย ชาวอิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์อีก 2 พระยาห์เวห์ก็เลยขายพวกเขาให้ตกไปอยู่ในกำมือของยาบินกษัตริย์ของคานาอัน ผู้ครอบครองเมืองฮาโซร์ แม่ทัพของเขาคือสิเสรา ที่อาศัยอยู่ในเมืองฮาโรเชท-ฮาโกยิม 3 ชาวอิสราเอลก็ร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์อีก เพราะสิเสรามีรถรบเหล็กถึงเก้าร้อยคัน และเขาได้กดขี่ข่มเหงชาวอิสราเอลอย่างโหดร้ายทารุณถึงยี่สิบปี
4 เดโบราห์เป็นผู้พูดแทนพระเจ้าที่กำลังทำหน้าที่เป็นผู้นำของอิสราเอลอยู่ในเวลานั้น นางเป็นเมียของลับปิโดท 5 เดโบราห์เคยนั่งตัดสินคดีอยู่ใต้ต้นอินทผลัมของนาง ที่อยู่ระหว่างรามาห์กับเบธเอลในเขตเทือกเขาเอฟราอิม และชาวอิสราเอลก็มาหานางเพื่อให้นางตัดสินคดีให้
6 นางส่งคนไปเรียกบาราคลูกชายของอาบีโนอัม ให้มาจากเมืองคาเดชในเขตแดนของนัฟทาลี นางพูดกับเขาว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ไม่ได้สั่งท่านหรือว่า ให้ยกพลไปตั้งอยู่ที่ภูเขาทาโบร์ และเกณฑ์คนหนึ่งหมื่นคนจากเผ่านัฟทาลีและจากเผ่าเศบูลุน 7 เราจะล่อสิเสรา แม่ทัพของกองทัพยาบิน พร้อมกับรถรบ และกองทหารของเขา ให้ออกมาพบกับเจ้าที่แม่น้ำคีโชน และเราจะยกพวกเขาให้ตกอยู่ในกำมือของเจ้า”
8 บาราคจึงตอบเดโบราห์ว่า “ถ้าท่านไปกับข้า ข้าก็จะไป แต่ถ้าท่านไม่ไปกับข้า ข้าก็ไม่ไป”
9 เดโบราห์พูดว่า “ข้าจะไปกับท่านแน่ แต่บอกให้ท่านรู้ไว้ว่า ท่านจะไม่ได้รับเกียรติในทางที่ท่านจะไปนี้ เพราะพระยาห์เวห์จะทำให้สิเสราตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้หญิง” แล้วเดโบราห์จึงลุกขึ้นไปกับบาราคถึงเมืองเคเดช 10 บาราคได้รวบรวมพลจากเผ่าเศบูลุนและเผ่านัฟทาลีมาที่เคเดช เขารวบรวมได้ทั้งหมดหนึ่งหมื่นคนที่มาติดตามเขา และเดโบราห์ก็ไปกับเขาด้วย
11 มีชายคนหนึ่งชื่อเฮเบอร์ ชาวเคไนต์ เขาได้แยกตัวออกมาจากคนเคไนต์ แล้วมาตั้งค่ายอยู่ที่ต้นโอ๊กในศานันนิม ซึ่งอยู่ใกล้เมืองเคเดช เคไนต์เป็นลูกหลานของโฮบับ และโฮบับเป็นพ่อตาของโมเสส 12 มีคนบอกสิเสราว่า บาราคลูกชายของอาบีโนอัม ได้ขึ้นไปที่ภูเขาทาโบร์ 13 สิเสราจึงรวบรวมรถรบเหล็กทั้งเก้าร้อยคันของเขาและทหารทั้งหมดที่อยู่กับเขา เคลื่อนพลจากเมืองฮาโรเชท-ฮาโกยิม ไปที่แม่น้ำคีโชน
14 แล้วเดโบราห์พูดกับบาราคว่า “ลุกขึ้น เพราะวันนี้เป็นวันที่พระยาห์เวห์จะทำให้สิเสราตกอยู่ในเงื้อมมือของท่าน พระยาห์เวห์นำหน้าท่านอย่างแน่นอน” ดังนั้นบาราคจึงลงมาจากภูเขาทาโบร์และมีทหารทั้งหมื่นคนติดตามเขาไป
15 ในขณะที่บาราคเข้าโจมตีนั้น พระยาห์เวห์ได้ทำให้ฝ่ายของสิเสรารวมทั้งรถรบและกองทัพของเขาสับสนวุ่นวายใต้คมดาบของบาราค สิเสราก็ลงจากรถรบวิ่งหนีไป 16 บาราคไล่ตามรถรบและกองทัพทั้งหลายของสิเสรา ไปจนถึงฮาโรเชท-ฮาโกยิม กองทัพทั้งหมดของสิเสราถูกฆ่าตายด้วยดาบ ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
17 ส่วนสิเสราได้วิ่งหนีไปที่เต็นท์ของยาเอล เมียของเฮเบอร์คนเคไนต์ เพราะกษัตริย์ยาบินเมืองฮาโซร์เป็นพันธมิตรกับครอบครัวเฮเบอร์คนเคไนต์ 18 ยาเอลออกมาพบกับสิเสรา นางพูดกับเขาว่า “เชิญทางนี้เจ้านาย เชิญมาหาดิฉันทางนี้ ไม่ต้องกลัว” เขาจึงตรงเข้าไปหานาง เข้าไปที่เต็นท์ของนาง และนางก็เอาผ้าห่มคลุมตัวเขาไว้
19 จากนั้นสิเสราก็พูดกับยาเอลว่า “ขอน้ำให้ข้ากินหน่อย ข้าหิวน้ำ” ดังนั้นนางจึงเปิดถุงน้ำนมและให้เขาดื่ม และเอาผ้าคลุมเขาไว้ 20 เขาพูดกับนางว่า “ช่วยยืนเฝ้าที่ประตูเต็นท์หน่อย และถ้ามีใครถามว่า ‘มีใครอยู่ในนี้หรือเปล่า’ ให้บอกว่า ‘ไม่มี’”
21 แต่ยาเอลเมียของเฮเบอร์หยิบหมุดขึงเต็นท์กับค้อน แล้วค่อยๆย่องเข้าไปหาเขา และนางก็ตอกหมุดไปตรงขมับของเขา ทะลุติดดิน ในขณะที่เขากำลังหลับสนิท เพราะเหน็ดเหนื่อยมาก เขาจึงตาย 22 ทันใดนั้น บาราคที่กำลังไล่ล่าสิเสราก็มาถึง ยาเอลออกมาพบเขาและพูดกับเขาว่า “เข้ามาสิ แล้วฉันจะให้ท่านดูชายที่ท่านกำลังตามหาอยู่” เขาจึงเข้าไปในเต็นท์กับนาง และเห็นสิเสรานอนตายอยู่ที่นั่น มีหมุดปักเต็นท์ตอกอยู่ที่ขมับ
23 ดังนั้น ในวันนั้น พระเจ้าก็ได้พิชิตกษัตริย์ยาบินของคานาอันให้กับชาวอิสราเอล 24 ชาวอิสราเอลก็มีกำลังเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆเหนือกษัตริย์ยาบินของคานาอัน จนในที่สุดพวกเขาก็ได้ทำลายกษัตริย์ยาบินของคานาอันไป
บทเพลงของเดโบราห์
5 ในวันนั้น เดโบราห์และบาราคลูกชายอาบีโนอัมได้ร้องเพลงนี้
2 สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด
เพราะชาวอิสราเอลเป็นจำนวนมากได้อุทิศตัวอย่างเต็มที่
กองทัพได้อาสาสมัครเข้าร่วมรบ
3 ฟังให้ดี กษัตริย์ทั้งหลาย
สนใจหน่อย ผู้ครอบครองทั้งหลาย
ข้าจะร้องเพลง
ตัวข้าเองจะร้องเพลงให้กับพระยาห์เวห์
ข้าจะร้องเพลงไปกับเครื่องดนตรี
ให้กับพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล
4 ข้าแต่พระยาห์เวห์ เมื่อพระองค์ออกมาจากเทือกเขาเสอีร์
เมื่อพระองค์ย่างก้าวมาที่นี่จากแผ่นดินของเอโดม
แผ่นดินก็สั่นสะท้าน
ท้องฟ้าก็เทฝนลงมา
หมู่เมฆก็เทน้ำลงมา
5 ภูเขาต่างๆก็สั่นสะเทือน
ต่อหน้าพระยาห์เวห์ พระผู้นั้นของซีนาย
ต่อหน้าพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล
6 ในสมัยของชัมการ์บุตรอานาท
และในสมัยของยาเอล พวกขบวนคาราวานก็หยุดเดิน
พวกคนเดินทางก็อ้อมไปใช้เส้นหลัง
7 คนชนบทก็หวาดกลัวที่จะออกไปทำสวนทำไร่
ในอิสราเอล พวกเขาก็หลบอยู่แต่ในบ้านกัน
จนกระทั่งท่านมา เดโบราห์
จนกระทั่งท่านมาเป็นเหมือนแม่ของอิสราเอล
8 เมื่อพระเจ้าเลือกพวกผู้นำคนใหม่ขึ้นมา[a]
สงครามก็มาถึงประตูเมือง
ไม่มีโล่หรือหอกสักอันเดียว
ในหมู่ทหารอิสราเอลสี่หมื่นคน
9 ข้ารู้สึกสำนึกในบุญคุณของพวกผู้นำอิสราเอล
และคนเหล่านั้นที่อาสาไปออกรบ
สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด
10 พวกเจ้าชาวคะนาอันที่ขี่อยู่บนลาตัวเมียสีเหลืองอมแดงที่หายาก
พวกเจ้าคนร่ำรวยที่นั่งอยู่บนอานทำจากพรมอันมีค่า[b]
พวกเจ้าพ่อค้าที่เดินทางอยู่ตามถนนหลวง
ให้ทบทวนและเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้
11 ให้ฟังคำพูดของคนเหล่านั้นที่แจกน้ำอยู่แถวบริเวณที่ตักน้ำ
ที่นั่นพวกเขาบอกเล่าถึงชัยชนะทั้งหลายของพระยาห์เวห์
คือชัยชนะของชาวชนบทของพระองค์ในอิสราเอล
แล้วกองทัพของพระยาห์เวห์ก็ลงไปโจมตีประตูเมืองของศัตรู
12 เดโบราห์ ลุย ลุย
ลุย ลุย ร้องเพลงปลุกใจเถิด
ลุกขึ้น บาราคลูกของอาบีโนอัม
ไปจับตัวพวกศัตรูของท่านเถิด
13 ดังนั้นคนที่หลงเหลืออยู่ก็ลงไปสู้รบกับทหารที่เก่งกาจ
กองทัพของพระยาห์เวห์ก็ลงไปสู้รบกับพวกนักรบให้กับข้า
14 คนอิสราเอลจากเผ่าเอฟราอิมที่อาศัยอยู่ท่ามกลางคนอามาเลค[c] ก็มาด้วย
เบนยามินเอ๋ย พวกเขาเดินตามหลังท่านและทหารของท่านมา
จากตระกูลมาคีร์ก็มีพวกผู้บังคับบัญชา[d] ลงมาช่วยรบด้วย
จากเผ่าเศบูลุนก็มีพวกเจ้าหน้าที่มาด้วย
15 พวกหัวหน้าของเผ่าอิสสาคาร์ก็มาอยู่กับเดโบราห์
กองทัพจากอิสสาคาร์สนับสนุนบาราค
พวกเขาถูกส่งลงไปในหุบเขา ภายใต้คำสั่งของบาราค
พวกตระกูลแห่งเผ่ารูเบน
ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่ออกไปช่วยรบ
16 ทำไมท่านถึงได้นั่งอยู่ที่คอกแกะ
และฟังเสียงปี่ที่เขาเป่าให้ฝูงแกะฟัง
พวกตระกูลของเผ่ารูเบน
ต่อสู้ในใจว่าน่าจะออกไปช่วยรบแต่ไม่ไป
17 กิเลอาดก็พักอยู่ที่บ้านอีกฝั่งของแม่น้ำจอร์แดน
ส่วนดาน ทำไมเจ้าถึงได้รับจ้างทำงานอยู่บนเรือทั้งหลาย
ส่วนอาเชอร์ พวกเขายังคงอยู่ที่ฝั่งทะเล
พักอยู่ที่บ้านตามท่าเรือของเขา
18 แต่คนของเศบูลุนและนัฟทาลี
ได้เสี่ยงชีวิตสู้รบอยู่บนที่ราบที่ลดหลั่นลงมา
19 พวกกษัตริย์ก็มาสู้รบ
คือพวกกษัตริย์ของคานาอัน
สู้รบที่ทาอานาค ข้างลำธารเมกิดโด
แต่พวกเขาไม่ได้ปล้นเอาเงินไป
20 ดวงดาวต่อสู้จากฟากฟ้า
จากเส้นทางของพวกมัน พวกมันได้ต่อสู้กับสิเสรา
21 แม่น้ำคีโชน แม่น้ำคีโชนอันเก่าแก่นั้น[e]
ได้กวาดพวกสิเสราไปเสีย
จิตใจข้าเอ๋ย มุ่งไปอย่างฮึกเหิม[f] เถิด
22 แล้วกีบม้าก็ตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำนั้น
ม้าอันทรงพลังของสิเสราก็ยกสองเท้าหน้าขึ้นตะกายฟ้าในสนามรบ
23 ทูต[g] ของพระยาห์เวห์พูดว่า “ให้สาปแช่งเมืองเมโรส
ให้สาปแช่งอย่างขมขื่นต่อคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น
เพราะพวกเขาไม่ได้มาช่วยพระยาห์เวห์
ไม่ได้มาช่วยพระยาห์เวห์สู้รบกับพวกนักรบ
24 หญิงที่สมควรได้รับรางวัลมากที่สุดคือยาเอล
นางเป็นเมียของเฮเบอร์ชาวเคไนต์
ในพวกผู้หญิงที่อาศัยอยู่ตามเต็นท์นั้น
นางสมควรได้รับรางวัลที่สุด
25 สิเสราขอน้ำดื่ม นางก็ให้นมกับเขา
นางเอาโยเกิร์ตใส่ชามที่เหมาะสมกับพวกผู้นำให้กับเขา
26 นางเอื้อมมือซ้ายไปหยิบหมุดปักเต็นท์
และมือขวาไปหยิบค้อน
นางตอกมันเข้าไปที่หัวของสิเสรา
บี้หัวของเขาแตกเป็นชิ้นๆ
นางตีทะลุขมับของเขาไป
27 เขาล้มลงที่เท้าของยาเอล
เขานอนแผ่หลาอยู่
เขาล้มลงแทบเท้าของนาง
เขาล้มลงตายที่นั่น
28 แม่ของสิเสรา มองลอดหน้าต่างออกไป
นางมองผ่านช่องหน้าต่างแล้วร้องว่า
‘ทำไมรถรบของสิเสราถึงได้มาช้านัก
ทำไมเสียงพวกรถม้าของเขาถึงได้ล่าช้านัก’
29 เพื่อนชั้นสูงที่ฉลาดที่สุดของนางก็ตอบไป
และแม่ของสิเสราก็ตอบคำถามตัวเองไปว่า
30 ‘แน่นอน พวกเขากำลังค้นหาและแบ่งปันของที่ยึดได้กันอยู่
นักรบแต่ละคนกำลังจับหญิงคนสองคนมาข่มขืน
พวกของที่ยึดได้นั้น มีทั้งผ้าย้อมสีเป็นของสิเสรา
และผ้าที่ปักลวดลายทั้งสองหน้า’
31 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้ศัตรูของพระองค์ถูกทำลายอย่างนี้ทุกคน
แต่ขอให้พวกเพื่อนๆของพระองค์ เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ตอนที่มันโผล่ขึ้นอย่างเต็มพลังของมัน”
และแผ่นดินก็สงบสุขเป็นเวลาสี่สิบปี
ชาวมีเดียนต่อสู้กับชาวอิสราเอล
6 ชาวอิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์อีก และพระยาห์เวห์ก็ปล่อยให้พวกเขาตกไปอยู่ในกำมือของชาวมีเดียนอยู่เจ็ดปี 2 ชาวมีเดียนมีกำลังมากกว่าชาวอิสราเอล ชาวมีเดียนทำให้ชาวอิสราเอลต้องไปหาที่หลบซ่อนอยู่ตามซอกเขา ตามภูเขา ตามพวกถ้ำ และตามที่เร้นลับ 3 เมื่อไหร่ก็ตามที่ชาวอิสราเอลปลูกพืชผล ชาวมีเดียน ชาวอามาเลค หรือแม้แต่คนทางตะวันออกก็จะมาโจมตีคนอิสราเอล
4 พวกเขาจะมาตั้งค่ายอยู่บนแผ่นดินของชาวอิสราเอล และพวกเขาก็จะทำลายพืชผลตลอดทางไปจนถึงเมืองกาซา พวกเขาจะไม่เหลืออาหารไว้เลย ไม่ว่าจะเป็นแกะ วัว หรือลา 5 เพราะพวกเขาจะบุกมาพร้อมกับสัตว์เลี้ยง และครอบครัวของเขา พวกเขาจะมากันมากมายมหาศาลเหมือนฝูงตั๊กแตน นับไม่ถ้วนไม่ว่าจะเป็นคนหรืออูฐ พวกเขาจะบุกเข้ามาในแผ่นดินและทำลายมันจนหมดสิ้น
6 ชาวอิสราเอลจึงยากจนข้นแค้นเพราะชาวมีเดียน ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงร้องขอความช่วยเหลือต่อพระยาห์เวห์ 7 [h] มีอยู่ครั้งหนึ่ง ชาวอิสราเอลได้ร้องขอความช่วยเหลือต่อพระยาห์เวห์ เพราะคนมีเดียน 8 พระยาห์เวห์ได้ส่งผู้พูดแทนพระเจ้ามาให้กับคนอิสราเอล และเขาพูดกับคนอิสราเอลว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลได้พูดไว้อย่างนี้ว่า ‘เราเองได้พาเจ้าออกมาจากอียิปต์ และนำเจ้าออกมาจากการเป็นทาส 9 เราได้ช่วยให้เจ้าพ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ และพ้นจากพวกที่กดขี่ข่มเหงเจ้าที่อยู่ที่นี่ และเราก็ได้ขับไล่พวกเขาไปต่อหน้าเจ้า และยกแผ่นดินของพวกเขาให้กับเจ้า’ 10 เราได้บอกกับเจ้าว่า ‘เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า เจ้าต้องไม่ยำเกรงพวกพระต่างๆของคนอาโมไรต์ เจ้าของแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่นี้ แต่เจ้าก็ไม่ยอมเชื่อฟังเรา’”
ทูตของพระยาห์เวห์มาหากิเดโอน
11 ในเวลานั้น ทูตของพระยาห์เวห์ก็ได้มา และมานั่งอยู่ใต้ต้นโอ๊กที่โอฟราห์ ซึ่งเป็นของโยอาช ที่มาจากตระกูลอาบีเยเซอร์ ขณะนั้นลูกชายของโยอาช คือกิเดโอน กำลังนวดข้าวสาลีอยู่ในบ่อย่ำองุ่น เพื่อไม่ให้มันตกเป็นของชาวมีเดียน 12 ทูตของพระยาห์เวห์ได้มาปรากฏตัวต่อกิเดโอน และพูดกับเขาว่า “นักรบผู้กล้าหาญ พระยาห์เวห์สถิตอยู่กับท่าน”
13 กิเดโอนตอบเขาว่า “ขอโทษทีเจ้านาย ถ้าพระยาห์เวห์อยู่กับพวกเรา ทำไมถึงได้เกิดเรื่องพวกนี้กับพวกเราด้วย แล้วสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายที่พระองค์เคยทำ ที่บรรพบุรุษได้เล่าให้พวกเราฟัง หายไปไหนหมดแล้ว ไม่ใช่พระยาห์เวห์หรอกหรือ ที่นำพวกเราออกมาจากอียิปต์ แต่ตอนนี้พระองค์ได้ทอดทิ้งพวกเราเสียแล้ว และให้พวกเราตกไปอยู่ในกำมือของชาวมีเดียน”
14 แล้วพระยาห์เวห์ก็หันมาพูดกับเขาว่า “ไปสิ ไปช่วยชาวอิสราเอลด้วยกำลังที่เจ้ามีอยู่ ไปช่วยพวกเขาให้พ้นจากกำมือของชาวมีเดียน เรากำลังส่งเจ้าไป”
15 แล้วกิเดโอนก็พูดกับพระองค์ว่า “ขอโทษทีเถิดท่าน แล้วข้าพเจ้าจะไปช่วยคนอิสราเอลได้ยังไง ดูสิ ตระกูลของข้าพเจ้าก็อ่อนแอที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ และข้าพเจ้าก็เป็นคนที่กระจอกที่สุดในครอบครัวของข้าพเจ้า”
16 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับเขาว่า “แต่เราจะอยู่กับเจ้า และเจ้าจะรบชนะชาวมีเดียนทั้งหมด เหมือนรบกับคนๆเดียว”
17 แล้วกิเดโอนก็พูดกับพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์พอใจในตัวข้าพเจ้าแล้วละก็ ช่วยทำอะไรสักอย่าง เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ว่าเป็นพระองค์จริงๆที่พูดกับข้าพเจ้า 18 อย่าเพิ่งไปไหนนะ จนกว่าข้าพเจ้าจะกลับมา ข้าพเจ้าจะไปเอาเครื่องถวายมาตั้งต่อหน้าพระองค์”
พระองค์พูดว่า “เราจะอยู่ที่นี่ จนกว่าเจ้าจะกลับมา”
19 ดังนั้นกิเดโอนจึงกลับบ้าน และไปเตรียมลูกแพะตัวหนึ่ง และทำขนมปังไร้เชื้อจากแป้งสาลียี่สิบสองลิตร เขาเอาเนื้อใส่ตะกร้า เอาน้ำซุปใส่หม้อ และเขาก็เอาของพวกนี้ไปให้กับพระองค์ที่ใต้ต้นโอ๊ก 20 จากนั้นทูตของพระยาห์เวห์ก็พูดกับเขาว่า “เอาเนื้อและขนมปังไร้เชื้อวางไว้บนก้อนหินนี้ แล้วเทน้ำซุปลงไปบนของพวกนั้น” กิเดโอนก็ทำตาม
21 ทูตของพระยาห์เวห์ ก็ยื่นปลายไม้เท้าที่ถืออยู่ในมือ ไปแตะต้องเนื้อและขนมปังนั้น ไฟก็ลุกขึ้นมาจากก้อนหิน เผาเนื้อและขนมปังจนหมด จากนั้นทูตของพระยาห์เวห์ก็หายวับไป 22 กิเดโอนถึงได้รู้ว่าเขาเป็นทูตของพระยาห์เวห์ กิเดโอนจึงร้องออกมาว่า “แย่แล้ว พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เห็นทูตของพระยาห์เวห์ต่อหน้าต่อตา”
23 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดว่า “สงบสติเถิด ไม่ต้องกลัว เจ้าจะไม่ตายหรอก”
24 กิเดโอนจึงสร้างแท่นบูชาขึ้นมาให้กับพระยาห์เวห์ที่นั่น และตั้งชื่อว่า “พระยาห์เวห์คือความสงบ” จนถึงวันนี้แท่นนั้นก็ยังอยู่ที่โอฟราห์ ซึ่งเป็นของตระกูลอาบีเยเซอร์
กิเดโอนทำลายแท่นของพระบาอัล
25 ในคืนนั้นพระยาห์เวห์พูดกับกิเดโอนว่า “ไปเอาวัวตัวผู้ของพ่อเจ้าคือตัวที่สองที่มีอายุเจ็ดปีนั้น แล้วเอาไปรื้อแท่นพระบาอัลที่เป็นของพ่อเจ้าและให้โค่นเสาพระอาเชราห์[i] ที่อยู่ข้างๆแท่นนั้นด้วย 26 จากนั้นให้สร้างแท่นบูชาสำหรับพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า ไว้บนที่สูงนี้ และเอาวัวตัวที่สองนั้น ถวายเป็นเครื่องเผาบูชา ให้เอาไม้อาเชราห์ที่เจ้าจะโค่นลงมานั้นเป็นฟืน” 27 กิเดโอนก็เอาคนใช้ชายของเขามาสิบคน และทำตามที่พระยาห์เวห์ได้บอกเขาไว้ แต่เพราะเขากลัวคนในครอบครัวของเขาและชาวเมือง เขาเลยไม่กล้าทำในตอนกลางวัน จึงแอบทำในตอนกลางคืน
28 วันรุ่งขึ้น เมื่อชาวเมืองตื่นขึ้นมา พวกเขาก็เห็นแท่นพระบาอัลถูกรื้อ และเสาไม้อาเชราห์ที่อยู่ข้างๆก็ถูกโค่น และมีวัวตัวผู้ตัวที่สองนั้นถูกเผาอยู่บนแท่นบูชาที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ 29 พวกเขาจึงพูดกันว่า “ใครเป็นคนทำอย่างนี้” หลังจากการค้นหาและสอบถาม มีคนบอกพวกเขาว่า “กิเดโอนลูกชายของโยอาชเป็นคนทำ”
30 ชาวเมืองจึงพูดกับโยอาชว่า “เอาตัวลูกชายเจ้าออกมา มันจะต้องตาย เพราะมันไปรื้อแท่นบูชาพระบาอัล และโค่นเสาไม้อาเชราห์ที่อยู่ข้างๆนั้น”
31 แล้วโยอาชพูดกับคนทั้งหมดที่ยืนล้อมรอบเขาว่า “พวกท่านจะฟ้องร้องแทนพระบาอัลหรือ พวกท่านจะช่วยชีวิตพระบาอัลหรือ ใครก็ตามที่ฟ้องร้องให้กับพระบาอัล จะถูกฆ่าก่อนเช้าวันพรุ่งนี้ ถ้าพระบาอัลเป็นพระเจ้าจริง ก็ให้พระบาอัลฟ้องร้องเอาเองเถอะ เพราะมีคนไปรื้อแท่นบูชาของเขา”
32 วันนั้นโยอาชจึงตั้งชื่อใหม่ให้กิเดโอนว่า “เยรุบบาอัล”[j] เพราะเขาพูดว่า “ให้พระบาอัลฟ้องร้องเพราะกิเดโอนได้รื้อแท่นบูชาของเขาลง”
กิเดโอนรบชนะชาวมีเดียน
33 เมื่อชาวมีเดียน ชาวอามาเลค และชาวตะวันออกรวมตัวกัน ข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาตั้งค่ายอยู่ที่หุบเขายิสเรเอล 34 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้มาสวมทับกิเดโอน และเขาได้เป่าแตรเพื่อเรียกคนในตระกูลอาบีเยเซอร์ให้มาติดตามเขา 35 เขาได้ส่งพวกผู้ส่งข่าวไปทั่วเผ่ามนัสเสห์ เรียกให้คนในเผ่านี้มาติดตามเขา และเขาก็ยังส่งพวกผู้ส่งข่าวไปยังเผ่าอาเชอร์ เศบูลุน และนัฟทาลี และพวกนี้ก็ได้ขึ้นมาหากิเดโอนและคนของเขา
36 กิเดโอนพูดกับพระเจ้าว่า “ถ้ามันเป็นจริง ที่ว่าพระองค์จะช่วยกู้คนอิสราเอล ผ่านทางมือของข้าพเจ้าตามที่พระองค์บอกแล้วละก็ 37 ดูสิ ข้าพเจ้าได้วางขนแกะไว้บนลานนวดข้าว ถ้ามีน้ำค้างเปียกชุ่มแค่บนขนแกะเท่านั้น และพื้นดินส่วนอื่นๆแห้งหมด ข้าพเจ้าจะได้รู้ว่าพระองค์จะช่วยเหลือคนอิสราเอล ผ่านทางมือข้าพเจ้า ตามที่พระองค์ได้พูดไว้”
38 และมันก็เกิดขึ้นตามนั้นทุกอย่าง วันต่อมาเมื่อกิเดโอนตื่นขึ้นแต่เช้ามืด เขาบีบขนแกะ ก็ได้น้ำค้างมาเต็มชาม 39 จากนั้นกิเดโอนพูดกับพระเจ้าว่า “อย่าโกรธข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าขอพูดอีกครั้ง ขอให้ข้าพเจ้าได้ลองกับขนแกะอีกสักครั้ง คราวนี้ขอให้ขนแกะแห้ง พื้นดินส่วนอื่นๆเปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้าง” 40 ในคืนนั้นพระเจ้าก็ทำตามนั้น คือให้ขนแกะแห้งและพื้นดินเปียกไปด้วยน้ำค้าง
7 เยรุบบาอัล (ซึ่งก็คือกิเดโอน) พร้อมกับทหารทั้งหมดที่อยู่กับเขา ก็ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และไปตั้งค่ายอยู่ใกล้ๆกับตาน้ำฮาโรด ส่วนค่ายของชาวมีเดียนอยู่ทางเหนือของเขา อยู่ในหุบตรงตีนเขาโมเรห์ 2 พระยาห์เวห์พูดกับกิเดโอนว่า “ทหารที่อยู่กับเจ้ามีมากเกินกว่าที่เราจะมอบชาวมีเดียนให้อยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา ไม่อย่างนั้น คนอิสราเอลจะยกตัวขึ้นต่อหน้าเรา และพูดว่า ‘เป็นมือข้าเอง ที่ช่วยกู้ข้าไว้’
3 ดังนั้นให้ประกาศอย่างนี้กับกองทัพว่า ‘ใครก็ตามที่กลัวจนตัวสั่น ก็ให้ไปจากภูเขากิเลอาด กลับบ้านไปในเช้ามืดวันพรุ่งนี้’” แล้วก็มีทหารสองหมื่นสองพันคนกลับบ้านไป เหลืออยู่หนึ่งหมื่นคน
4 แล้วพระยาห์เวห์พูดกับกิเดโอนว่า “ยังมีทหารมากเกินไป ให้นำพวกเขาลงไปที่น้ำ และเราจะแยกพวกเขาให้กับเจ้าที่นั่น เมื่อเราบอกว่า ‘คนนี้จะไปกับเจ้า’ เขาก็จะไปกับเจ้า แต่ถ้าคนไหนที่เราบอกว่า ‘คนนี้จะไม่ไปกับเจ้า’ เขาก็จะไม่ไป”
5 จากนั้นกิเดโอนก็นำพวกเขาลงไปที่น้ำ พระยาห์เวห์พูดกับเขาว่า “คนที่ใช้ลิ้นเลียน้ำเหมือนหมา ก็ให้เจ้าแยกออกมาไว้พวกหนึ่ง และคนที่คุกเข่าลงดื่มน้ำก็แยกไว้พวกหนึ่ง”
6 จำนวนคนที่ใช้มือวักน้ำขึ้นมาเลียมีทั้งหมดสามร้อยคน ส่วนคนที่เหลือทั้งหมดคุกเข่าลงดื่มน้ำ 7 พระยาห์เวห์จึงพูดกับกิเดโอนว่า “เราจะช่วยเหลือพวกเจ้าโดยใช้คนสามร้อยคนนี้ที่เลียน้ำ และเราจะมอบคนมีเดียนไว้ในเงื้อมมือของเจ้า ส่วนคนที่เหลือทั้งหมดให้กลับบ้านไป”
8 ดังนั้นทหารสามร้อยคนนี้ก็ได้หิ้วเสบียงอาหารและถือแตรไว้ในมือ กิเดโอนสั่งชาวอิสราเอลคนอื่นที่เหลือให้กลับไปเต็นท์ของพวกเขา แต่เขาเก็บสามร้อยคนนี้ไว้กับเขา ค่ายของชาวมีเดียนอยู่ต่ำลงไปในหุบเขา 9 ในคืนนั้นพระยาห์เวห์พูดกับเขาว่า “ลุกขึ้น ลงไปโจมตีค่ายเดี๋ยวนี้ เพราะเราได้มอบมันไว้ในมือของเจ้าแล้ว 10 แต่ถ้าเจ้ากลัว ก็อย่าเพิ่งลงไปโจมตีก็ได้ แต่ให้พาปูราห์คนรับใช้ของเจ้าลงไป 11 เจ้าจะได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน หลังจากนั้นเจ้าจะได้เกิดความกล้ามากขึ้น แล้วค่อยลงไปตีค่ายนั้น” ดังนั้นกิเดโอนและปูราห์คนรับใช้ของเขา ก็ลงไปที่ค่ายที่อยู่ด้านนอกสุดของทหารที่ติดอาวุธพวกนั้น
12 ชาวมีเดียน ชาวอามาเลค และคนตะวันออกนอนอยู่ตามหุบเขา มากมายเหมือนตั๊กแตน และอูฐของพวกเขาก็มีมากจนนับไม่ถ้วนเหมือนเม็ดทรายที่ชายฝั่ง 13 เมื่อกิเดโอนมาถึงค่าย ก็มีชายคนหนึ่งกำลังเล่าความฝันของเขาให้เพื่อนฟัง เขาเล่าว่า “ข้าฝันไปว่ามีขนมปังบาร์เลย์ก้อนใหญ่ กลิ้งเข้ามาในค่ายของมีเดียน และมันก็ชนเต็นท์จนล้มลงคว่ำพังทะลายไป”
14 เพื่อนของเขาก็ตอบว่า “เรื่องนี้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากจะเป็นดาบของกิเดโอนลูกชายโยอาชชาวอิสราเอล พระเจ้าได้มอบชาวมีเดียนและทั้งกองทัพให้อยู่ในกำมือของเขาแล้ว”
15 เมื่อกิเดโอนได้ยินพวกเขาเล่าความฝันและตีความหมายของมันแล้ว เขาก็กราบลงต่อพระเจ้า จากนั้นเขาก็กลับไปที่ค่ายของอิสราเอล และพูดว่า “ลุกขึ้น เพราะพระเจ้าได้มอบกองทัพของมีเดียนไว้ในกำมือของพวกท่านแล้ว”
16 เขาแบ่งคนสามร้อยคน ออกเป็นสามกลุ่ม และให้ทุกคนถือแตรและหม้อเปล่า แล้วเอาคบเพลิงไว้ด้านใน 17 เขาพูดกับพวกทหารว่า “ให้มองผมและทำตาม เมื่อผมเข้าไปถึงค่ายด้านนอกสุด ผมทำอะไรก็ให้ทำตามนั้น 18 เมื่อผมและคนทั้งหมดที่อยู่กับผมเป่าแตรขึ้น ก็ให้พวกท่านเป่าแตรรับล้อมรอบค่าย และร้องว่า สำหรับพระยาห์เวห์และกิเดโอน”
19 ดังนั้นกิเดโอนกับทหารหนึ่งร้อยคนที่อยู่กับเขา ก็ไปถึงด้านนอกสุดของค่าย เพิ่งเลยเที่ยงคืนไป เพิ่งเปลี่ยนเวรยาม 20 กิเดโอนและคนที่อยู่กับเขาก็เป่าแตร และทุบหม้อที่อยู่ในมือพวกเขาจนแตก และทั้งสามกลุ่มก็เป่าแตร และทุบหม้อจนแตก พวกเขาถือคบเพลิงในมือซ้ายและถือแตรที่เป่าในมือขวา และต่างก็ตะโกนว่า “ดาบสำหรับพระยาห์เวห์และกิเดโอน”
21 แต่ละคนต่างยืนประจำที่ของตนรอบค่าย และพวกทหารในค่ายทั้งหมดต่างก็กระโดดขึ้นมา แล้วร้องตะโกนวิ่งหนีไป 22 เมื่อคนของกิเดโอนเป่าแตรพร้อมๆกันทั้งสามร้อยอัน พระยาห์เวห์ก็ทำให้กองทัพของมีเดียนทั้งหมดเอาดาบฆ่าฟันกันเอง พวกทหารได้หนีไปไกลถึงเบธ-ชิทธาห์ ทางไปเมืองเศเรราห์ พวกเขาหนีไปไกลจนถึงพรมแดนของเมืองอาเบล-เมโฮลาห์ ที่อยู่ใกล้กับเมืองทับบาท
23 คนอิสราเอลจากเผ่านัฟทาลี เผ่าอาเชอร์ และเผ่ามนัสเสห์ ถูกเรียกให้ไล่ตามชาวมีเดียนไป 24 กิเดโอนส่งพวกผู้ส่งข่าวไปทั่วหุบเขาเอฟราอิม ไปแจ้งว่า “ลงมาโจมตีพวกมีเดียน และให้ยึดแหล่งน้ำจากพวกเขาไปไกลถึงเบธ-บาราห์และแม่น้ำจอร์แดน” ดังนั้นทหารของเอฟราอิมทั้งหมดถูกเรียกมา และพวกเขาก็ได้ยึดแหล่งน้ำต่างๆไปไกลถึงเบธ-บาราห์และแม่น้ำจอร์แดน
25 พวกเขาจับแม่ทัพของมีเดียนได้สองคน คือโอเรบและเศเอบ พวกเขาฆ่าโอเรบที่หินแห่งโอเรบ และฆ่าเศเอบที่บ่อย่ำองุ่นแห่งเศเอบ พวกเขายังคงไล่ตามพวกมีเดียนต่อไป และได้นำหัวของโอเรบและเศเอบข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาให้กิเดโอน
8 คนเอฟราอิมพูดกับกิเดโอนว่า “ทำไมท่านถึงทำกับเราอย่างนี้ ตอนที่ท่านไปรบกับชาวมีเดียน ทำไมท่านถึงไม่เรียกเราไปด้วย” พวกเขาโต้เถียงกับกิเดโอนอย่างรุนแรง
2 กิเดโอนจึงพูดกับพวกเขาว่า “แม้แต่สิ่งเล็กน้อยที่เผ่าท่านทำนั้นก็ยังยิ่งใหญ่กว่าสิ่งทั้งหมดที่ตระกูลอาบีเยเซอร์ของผมได้ทำเสียอีก[k] สิ่งที่ผมทำตอนนี้ เปรียบเทียบกันไม่ได้เลยกับสิ่งที่พวกท่านทำไม่ใช่หรือ 3 พระเจ้ามอบโอเรบและเศเอบ แม่ทัพของมีเดียนไว้ในมือของพวกท่าน ไม่มีอะไรเลยที่ผมทำแล้วสามารถเอาไปเปรียบเทียบกับท่านได้” เมื่อกิเดโอนพูดอย่างนี้ พวกเขาก็หายโกรธกิเดโอน
กิเดโอนจับกษัตริย์ทั้งสองของมีเดียน
4 เมื่อกิเดโอนมาถึงแม่น้ำจอร์แดน เขาและพวกอีกสามร้อยคนได้ข้ามแม่น้ำไป พวกเขาเหนื่อยล้า แต่ก็ยังไล่ติดตามศัตรูไป 5 กิเดโอนพูดกับชาวสุคคทว่า “ขอขนมปังให้กับทหารที่ติดตามข้ามากินหน่อยเถอะ เพราะพวกเขาหิวจนหมดเรี่ยวแรงแล้ว ข้ากำลังไล่ตามเศบาห์และศัลมุนนา กษัตริย์ของมีเดียนอยู่”
6 แต่พวกเจ้าหน้าที่ของสุคคทพูดกับเขาว่า “เศบาห์และศัลมุนนาอยู่ในกำมือเจ้าแล้วหรือยังไง เราถึงจะต้องให้ขนมปังกับทหารของเจ้า”
7 กิเดโอนพูดว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ เมื่อไหร่ที่พระยาห์เวห์มอบเศบาห์และศัลมุนนาไว้ในมือของข้าแล้วละก็ ข้าจะกลับมาเฆี่ยนพวกเจ้าด้วยหนามจากทะเลทรายและพวกต้นหนามต่างๆ”
8 จากที่นั่น กิเดโอนได้ขึ้นไปที่เปนูเอล และเขาได้ขอพวกนั้นอย่างเดียวกัน และชาวเปนูเอลก็ตอบเขาเหมือนกับที่ชาวสุคคทตอบ 9 ดังนั้นกิเดโอนจึงพูดกับชาวเปนูเอลด้วยว่า “เมื่อข้าได้ชัยชนะกลับมา ข้าจะรื้อหอคอยนี้ลง”
10 ฝ่ายเศบาห์และศัลมุนนาได้หนีไปอาศัยอยู่ในเมืองคารโกรกับกองทัพของเขา เป็นกองทัพของชาวตะวันออกที่เหลืออยู่ประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันคน หลังจากที่ทหารหนึ่งแสนสองหมื่นคนที่ถือดาบพร้อมมือถูกฆ่าตายไปหมดแล้ว 11 กิเดโอนจึงใช้เส้นทางที่มีชื่อว่าเต็นท์ของพวกผู้อาศัย ที่อยู่ทางทิศตะวันออกของโนบาห์และโยกเบฮาห์ และเข้าจู่โจมทันที ในขณะที่กองทัพนั้นยังไม่ทันตั้งตัว
12 เศบาห์และศัลมุนนาก็หนี กิเดโอนก็ไล่ตามพวกเขาไป และจับเศบาห์และศัลมุนนา กษัตริย์ทั้งสองของมีเดียนได้ เขาทำให้ทั้งกองทัพขวัญกระเจิงไป 13 จากนั้นกิเดโอนลูกชายโยอาช ก็กลับจากการสู้รบ โดยใช้เส้นทางที่ชื่อว่า ทางผ่านของเฮเรส 14 เขาจับชายหนุ่มคนหนึ่งมา ซึ่งเป็นชาวเมืองสุคคท และสอบถามเขา ชายคนนั้นจึงจดรายชื่อของเจ้าหน้าที่และผู้อาวุโสของเมืองสุคคททั้งเจ็ดสิบเจ็ดคนให้กับกิเดโอน
15 แล้วกิเดโอนก็มาหาชาวเมืองสุคคท และพูดว่า “นี่ไง เศบาห์และศัลมุนนา คนที่พวกเจ้าได้พูดจาเยาะเย้ยถากถางข้าว่า ‘เศบาห์และศัลมุนนาอยู่ในกำมือของเจ้าแล้วหรือยังไง เราถึงจะต้องให้ขนมปังกับทหารที่เหน็ดเหนื่อยของเจ้า’” 16 กิเดโอนจึงจับผู้อาวุโสของเมือง และเอาหนามในทะเลทรายและต้นหนามต่างๆมาเฆี่ยนพวกเขาที่เป็นชาวเมืองสุคคท 17 และเขาก็ได้รื้อหอคอยเมืองเปนูเอลทิ้ง และฆ่าพวกผู้ชายของเมืองนั้น
18 เขาพูดกับเศบาห์และศัลมุนนาว่า “พวกคนที่เจ้าฆ่าที่ภูเขาทาโบร์นั้นมีรูปร่างหน้าตายังไง” พวกเขาตอบว่า “แต่ละคนดูเหมือนกับเจ้าทุกอย่าง พวกเขาดูยังกับเป็นพวกลูกๆของกษัตริย์” 19 กิเดโอนพูดว่า “พวกเขาเป็นพี่น้องท้องเดียวกับข้า พระเจ้ามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ถ้าพวกเจ้าได้ไว้ชีวิตพวกเขา ข้าก็คงไม่ฆ่าพวกเจ้าเหมือนกัน”
20 แล้วกิเดโอนก็บอกกับเยเธอร์ ลูกชายคนโตของเขาว่า “ลุกขึ้นมา ฆ่าพวกมันซะ” แต่เยเธอร์กลัวจึงไม่ยอมชักดาบออกมา เพราะเขายังเป็นเด็ก
21 แล้วเศบาห์และศัลมุนนาก็พูดว่า “เจ้าลุกขึ้นมาฆ่าพวกเราเองดีกว่า เป็นลูกผู้ชายแค่ไหนก็ดูที่กำลังนี่แหละ” กิเดโอนจึงลุกขึ้นมาฆ่าเศบาห์และศัลมุนนา และเขาก็เก็บเครื่องประดับรูปจันทร์เสี้ยวที่อยู่บนคอของพวกอูฐของพวกเขาไว้
กิเดโอนสร้างเอโฟด
22 จากนั้นชาวอิสราเอลพูดกับกิเดโอนว่า “ปกครองพวกเราเถิด ทั้งท่านและลูกหลานของท่าน เพราะท่านช่วยพวกเราให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวมีเดียน”
23 กิเดโอนพูดกับพวกเขาว่า “ผมจะไม่ปกครองอยู่เหนือพวกท่านหรอก และลูกของผมก็จะไม่ปกครองเหนือท่านด้วย พระยาห์เวห์จะปกครองเหนือพวกท่านเอง” 24 แล้วกิเดโอนก็พูดกับพวกเขาว่า “ผมอยากจะขอพวกท่านอย่างหนึ่ง ผมอยากจะได้ตุ้มหูที่พวกท่านแต่ละคนยึดมาได้” (เพราะพวกศัตรูใส่ตุ้มหูทองคำ เพราะพวกเขาเป็นชาวอิชมาเอล)
25 พวกเขาพูดว่า “ได้เลย เราจะให้สิ่งนั้นกับท่าน” แล้วพวกเขาก็ปูผ้าลงและต่างก็โยนตุ้มหูที่ยึดมาได้ลงไป 26 ตุ้มหูทองคำทั้งหมดที่เขาขอมาได้ มีน้ำหนักประมาณสิบเก้ากิโลกรัม นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับรูปจันทร์เสี้ยว จี้เพชรรูปหยดน้ำ เสื้อคลุมสีม่วงที่กษัตริย์มีเดียนสวมใส่ และสร้อยคอที่ห้อยอยู่บนพวกคออูฐของพวกเขา
27 กิเดโอนเอาทองคำเหล่านั้นมาทำเป็นเอโฟด[l] และเก็บไว้ที่เมืองของเขา คือในเมืองโอฟราห์ และชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า กลับไปนมัสการเอโฟดที่นั่น และเอโฟดนั้นก็กลายเป็นกับดักต่อกิเดโอนและครอบครัวของเขา
การตายของกิเดโอน
28 ชาวมีเดียนจึงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวอิสราเอล และพวกมีเดียนก็ไม่ได้เงยหัวขึ้นมาก่อปัญหาอีกเลย แผ่นดินจึงเกิดความสงบสุขเป็นเวลาสี่สิบปีตลอดชีวิตของกิเดโอน 29 เยรุบบาอัล (กิเดโอน) ลูกชายของโยอาชก็กลับไปอยู่ที่บ้านของเขา 30 และเขามีลูกชายทั้งหมดเจ็ดสิบคน เพราะเขามีเมียหลายคน 31 เมียน้อยของกิเดโอนที่อาศัยอยู่ในเชเคมเกิดลูกชายให้กับเขาคนหนึ่ง เขาตั้งชื่อเด็กนั้นว่า อาบีเมเลค
32 แล้วกิเดโอนลูกชายโยอาชก็ตายไปเมื่อถึงวัยอันสมควร เขาถูกฝังในสุสานของโยอาชพ่อของเขา ที่โอฟราห์ของตระกูลอาบีเยเซอร์ 33 ทันทีที่กิเดโอนตาย ชาวอิสราเอลก็หันไปนมัสการพวกพระบาอัลอีก และนับถือพระบาอัล-เบรีท[m] เป็นพระเจ้าของพวกเขา 34 ดังนั้นชาวอิสราเอลลืมพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเขา ผู้ที่ช่วยพวกเขาให้พ้นจากมือของศัตรูในทุกด้าน 35 และพวกเขาก็ไม่ได้แสดงความจงรักภักดีต่อครอบครัวของเยรุบบาอัล (กิเดโอน) เป็นการตอบแทน สำหรับสิ่งดีๆทั้งหมดที่กิเดโอนได้ทำให้กับพวกชาวอิสราเอล
อาบีเมเลคขึ้นเป็นกษัตริย์
9 อาบีเมเลคลูกชายของเยรุบบาอัล[n] ขึ้นไปเมืองเชเคม เขาไปหาพี่น้องของแม่เขา และพูดกับพวกเขาและคนทั้งตระกูลของแม่เขาว่า 2 “ช่วยไปถามพวกผู้นำทั้งหมดของเชเคมให้หน่อยว่า ‘แบบไหนจะดีกว่าสำหรับพวกท่าน ระหว่างมีลูกชายทั้งเจ็ดสิบคนของเยรุบบาอัลปกครองเหนือพวกท่าน หรือมีแค่คนคนเดียวปกครองพวกท่าน’ พวกท่านอย่าลืมนะว่า ผมเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกท่านเอง”
3 แล้วพวกพี่น้องฝ่ายแม่ของเขาก็ไปพูดเรื่องพวกนี้ทั้งหมดต่อพวกผู้นำเมืองเชเคมแทนเขา แล้วพวกผู้นำเมืองเชเคมก็ได้ตัดสินใจติดตามอาบีเมเลค เพราะพวกเขาพูดว่า “เขาเป็นญาติของพวกเรา”
4 พวกเขาจึงเอาเงินเจ็ดสิบแผ่นจากวิหารของพระบาอัล-เบรีท แล้วเอามาให้อาบีเมเลค แล้วอาบีเมเลคก็เอาเงินพวกนี้ไปจ้างพวกนักเลงให้ติดตามเขาไป 5 เขาไปบ้านพ่อเขาที่โอฟราห์ และฆ่าพี่น้องของเขาซึ่งเป็นลูกชายของเยรุบบาอัลทั้งเจ็ดสิบคนบนหินก้อนเดียว แต่โยธามลูกชายคนสุดท้องของเยรุบบาอัลรอดชีวิตไปได้ เพราะเขาไปแอบอยู่ 6 ดังนั้นพวกผู้นำทั้งหมดของเชเคมและของเบธ-มิลโลต่างก็มารวมตัวกัน และไปหาอาบีเมเลค และแต่งตั้งให้เขาเป็นกษัตริย์ ที่ต้นโอ๊กข้างเสาหินในเชเคม
เรื่องของโยธาม
7 เมื่อมีคนไปบอกโยธาม เขาก็ขึ้นไปยืนบนภูเขาเกริซิม[o] และร้องตะโกนเรียกพวกเขาและพูดว่า
“ท่านผู้นำของเมืองเชเคมทั้งหลาย ฟังผมหน่อย แล้วพระเจ้าจะฟังเสียงของพวกท่าน 8 วันหนึ่ง พวกต้นไม้ต่างๆตัดสินใจที่จะเลือกพระราชามาปกครองเหนือพวกเขา ดังนั้นพวกต้นไม้เหล่านั้น จึงไปเชิญต้นมะกอกเทศว่า ‘เชิญท่านมาเป็นพระราชาปกครองพวกเราหน่อย’ 9 แล้วต้นมะกอกเทศ ก็ตอบต้นไม้พวกนั้นไปว่า ‘จะให้ข้าหยุดผลิตน้ำมันที่มีค่า ที่พระต่างๆและมนุษย์ต่างพากันยกย่องสรรเสริญ เพื่อไปกวัดแกว่งอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆหรือ’
10 ดังนั้นต้นไม้เหล่านั้นจึงไปเชิญต้นมะเดื่อว่า ‘เชิญท่านมาเป็นพระราชาปกครองพวกเราหน่อย’ 11 แต่ต้นมะเดื่อตอบต้นไม้เหล่านั้นว่า ‘จะให้ข้าหยุดผลิตผลที่มีรสหวานและแสนดีของข้า เพื่อไปกวัดแกว่งอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆหรือ’
12 ต้นไม้เหล่านั้นจึงไปเชิญเถาองุ่นว่า ‘เชิญท่านมาเป็นพระราชาปกครองพวกเราหน่อยเถิด’ 13 แต่เถาองุ่นตอบไปว่า ‘จะให้ข้าหยุดผลิตเหล้าองุ่นของข้า ที่ทั้งพระต่างๆและมนุษย์ต่างก็ชื่นชอบ เพื่อไปกวัดแกว่งอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆหรือ’
14 ต้นไม้เหล่านั้นจึงไปเชิญต้นหนามว่า ‘เชิญท่านมาเป็นพระราชาปกครองพวกเราด้วยเถิด’ 15 ต้นไม้หนามตอบต้นไม้ต่างๆว่า ‘ถ้าพวกท่านต้องการจะแต่งตั้งข้าให้เป็นพระราชาปกครองเหนือพวกท่านจริงๆก็ให้พวกท่านเข้ามาหาที่กำบังใต้ร่มเงาของข้าเถิด แต่ถ้าพวกท่านไม่ทำอย่างนั้น ก็ขอให้ไฟออกมาจากพงหนาม เผาผลาญแม้แต่ต้นสนซีดาร์จากเลบานอน’
16 ตอนที่พวกท่านตั้งอาบีเมเลคเป็นกษัตริย์นั้น ท่านได้ทำไปด้วยความจริงใจและซื่อสัตย์หรือ สิ่งที่พวกท่านทำนั้นมันยุติธรรมกับเยรุบบาอัลและครอบครัวของเขาหรือ และพวกท่านได้ทำกับเขาสมกับความดีที่เขาได้ทำไว้หรือ 17 (เพราะพ่อของข้าได้สู้รบเพื่อพวกท่าน และเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยพวกท่านจากเงื้อมมือของชาวมีเดียน 18 แต่ในวันนี้พวกท่านได้ลุกขึ้นมาทำลายครอบครัวของพ่อข้า และได้ฆ่าลูกชายทั้งเจ็ดสิบคนของเขาบนหินก้อนเดียว และตั้งอาบีเมเลคลูกชายของทาสหญิงเป็นกษัตริย์ปกครองเหนือพวกผู้นำชาวเชเคม เพราะเขาเป็นญาติของพวกท่าน)
19 ถ้าท่านได้ทำไปด้วยความจริงใจและซื่อสัตย์ต่อเยรุบบาอัลและครอบครัวของเขาในวันนี้ ก็ขอให้มีความสุขกับอาบีเมเลค และขอให้เขามีความสุขกับพวกท่านด้วย 20 แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ขอให้ไฟออกมาจากอาบีเมเลค และเผาผลาญพวกผู้นำเมืองเชเคมและเบธ-มิลโล และขอให้ไฟออกมาจากผู้นำเชเคมและเบธ-มิลโลเผาผลาญอาบีเมเลค”
21 แล้วโยธามก็วิ่งหนีไป เขาได้ไปที่เมืองเบเออร์และอาศัยอยู่ที่นั่น เพราะเขากลัวอาบีเมเลคพี่ชายของเขา
อาบีเมเลคสู้กับชาวเชเคม
22 อาบีเมเลคปกครองชาวอิสราเอลอยู่สามปี 23 แต่พระเจ้าได้ส่งวิญญาณชั่วมาทำให้อาบีเมเลคกับพวกผู้นำชาวเชเคมเกลียดกัน และพวกผู้นำเชเคมก็ก่อการกบฏต่อเขา 24 ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะพระเจ้าต้องการให้เกิดความรุนแรงขึ้นกับพวกเขา เหมือนที่เขาทำกับลูกของเยรุบบาอัลทั้งเจ็ดสิบคนนั้น และพระเจ้าต้องการให้เลือดของทั้งเจ็ดสิบคนนั้นตกลงบนอาบีเมเลคพี่น้องของพวกเขา เพราะอาบีเมเลคเป็นคนฆ่าพี่น้องพวกนั้นของเขา และพระเจ้าต้องการให้เลือดนั้นตกกับพวกผู้นำของเชเคมด้วย เพราะมีส่วนสนับสนุนให้อาบีเมเลคฆ่าพวกพี่น้องของตัวเอง
25 ดังนั้นพวกผู้นำของเชเคม จึงได้วางคนไว้ซุ่มโจมตีอาบีเมเลคบนพวกยอดเขา และพวกเขาก็ปล้นทุกคนที่ผ่านมาทางนั้น และมีคนไปแจ้งเรื่องนี้ให้อาบีเมเลครู้ 26 เมื่อกาอัลลูกชายของเอเบคกับญาติๆของเขาย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองเชเคม พวกผู้นำของเชเคมก็ไว้ใจเขา 27 วันหนึ่งชาวเชเคมก็ออกไปในทุ่งนา แล้วไปเก็บผลองุ่นจากสวนองุ่นของพวกเขาและย่ำองุ่นเพื่อทำเหล้าองุ่น และพวกเขาก็เฉลิมฉลองกัน พวกเขาเข้าไปในวิหารของพระของพวกเขาและดื่มกินกัน และสาปแช่งอาบีเมเลค
28 กาอัลลูกชายเอเบคพูดว่า “อาบีเมเลคเป็นใครกัน เราชาวเชเคมถึงต้องไปรับใช้มัน มันเป็นลูกของเยรุบบาอัลไม่ใช่หรือ และเศบุลก็เป็นเจ้าหน้าที่ของมัน มารับใช้คนของฮาโมร์[p] พ่อของเชเคมกันดีกว่า ทำไมเราต้องไปรับใช้อาบีเมเลคด้วย 29 ถ้าคนเมืองนี้อยู่ใต้การปกครองของข้า ข้าจะถอดอาบีเมเลค” แล้วเขาก็ท้าอาบีเมเลคว่า “เตรียมกองทัพของเจ้า แล้วออกมาสู้กับข้า”
30 เศบุล เจ้าเมืองได้ยินสิ่งที่กาอัลลูกชายเอเบคพูดก็โกรธ 31 เขาจึงส่งพวกผู้ส่งข่าวไปหาอาบีเมเลคที่เมืองอารูมาห์[q] พวกเขาบอกว่า
“ดูสิ กาอัลลูกชายเอเบคและพวกญาติๆของเขาได้มาเมืองเชเคม และฟังให้ดีนะ พวกเขาได้ยุแหย่ให้ชาวเมืองต่อต้านท่าน 32 ดังนั้น ตอนนี้ ให้ท่านและกองทัพที่อยู่กับท่าน ลุกขึ้นในตอนกลางคืน และให้มานอนคอยดักซุ่มอยู่ในท้องทุ่ง 33 พอถึงตอนเช้า ทันทีที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ให้ท่านจัดแจงรีบบุกเข้าไปในเมือง และเมื่อกาอัลกับกองทัพที่อยู่กับเขา ออกมาต่อสู้กับท่าน ก็จัดการกับเขาได้ตามใจชอบเลย”
34 ดังนั้นอาบีเมเลคและกองทัพของเขาจึงลุกขึ้นในตอนกลางคืน และแบ่งออกเป็นสี่กอง ไปคอยดักซุ่มชาวเชเคมอยู่ 35 เมื่อกาอัลลูกชายเอเบคออกมายืนที่ประตูทางเข้าเมือง อาบีเมเลคและกองทัพของเขาก็ลุกขึ้นจากที่ซ่อน
36 เมื่อกาอัลเห็นกองทัพ เขาพูดกับเศบุลว่า “ดูสิ มีคนกำลังวิ่งลงมาจากยอดเขา”
เศบุลตอบเขาว่า “ท่านเห็นเงาของภูเขาเป็นคน”
37 กาอัลพูดอีกว่า “ดูสิ มีคนกำลังวิ่งลงมาจากสะดือแผ่นดิน[r] และอีกกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งมาจากต้นโอ๊กของพวกหมอดู”
38 เศบุลพูดกับเขาว่า “ปากที่ขี้คุยของท่านหายไปไหนแล้ว ท่านพูดว่าอาบีเมเลคเป็นใคร เราถึงจะต้องไปรับใช้มัน คนพวกนี้ไม่ใช่หรือ ที่ท่านเยาะเย้ย ออกไปสู้กับพวกเขาสิ”
39 ดังนั้นกาอัลจึงนำหน้าพวกผู้นำของเชเคม ออกไปต่อสู้กับอาบีเมเลค 40 อาบีเมเลคไล่ตามกาอัล และกาอัลก็หนีไปต่อหน้าเขา มีคนล้มตายเป็นจำนวนมาก ตลอดไปจนถึงประตูทางเข้าเมือง 41 ดังนั้นอาบีเมเลคจึงนั่งปกครองอยู่ที่เมืองอารูมาห์ และเศบุลก็ขับไล่กาอัลกับพวกญาติๆของเขาออกไปจากเชเคม
42 วันต่อมาชาวเมืองได้ออกไปที่ท้องทุ่ง และมีคนเอาเรื่องนี้มาบอกอาบีเมเลค 43 เขาจึงแบ่งกองทัพของเขาออกเป็นสามกลุ่ม ไปคอยแอบซุ่มอยู่ในท้องทุ่ง เมื่อเขามองเห็นชาวเมืองออกมาจากเมือง เขาก็ลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา 44 อาบีเมเลคกับทหารอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่กับเขาก็รีบบุกเข้าไป และยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าเมือง ส่วนทหารอีกสองกลุ่มก็รุกเข้าโจมตีคนทั้งหมดที่อยู่ในท้องทุ่ง
45 อาบีเมเลคได้ต่อสู้กับเมืองเชเคมตลอดทั้งวัน ในที่สุดเขาก็ยึดเมืองได้ และฆ่าคนที่อยู่ในเมืองนั้น พร้อมกับทำลายเมืองทิ้งไป และโปรยเกลือลงไป 46 เมื่อผู้นำที่อยู่ในหอคอยเชเคมได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็หนีเข้าไปอยู่ในส่วนที่แข็งแรงกว่าในวิหารของเอลเบรีท[s] 47 มีคนมาบอกอาบีเมเลคว่าพวกผู้นำของหอคอยเชเคมรวมตัวกันอยู่
48 ดังนั้นอาบีเมเลคพร้อมกับทหารที่อยู่กับเขา จึงขึ้นไปบนภูเขาศัลโมน เขาเอาพวกขวานไปด้วย และเขาก็ตัดไม้มากองหนึ่ง แล้วแบกไว้บนบ่ากลับมา เขาบอกกับทหารที่อยู่กับเขาว่า “รีบๆทำตามอย่างข้า” 49 แล้วทหารทุกคนก็ตัดไม้มาคนละกอง และตามอาบีเมเลคไป แล้วพวกเขาก็เอาไม้ไปวางพิงไว้ตรงห้องที่แข็งแรงที่สุดของวิหารของเอลเบรีท แล้วจุดไฟเผา ทำให้คนเชเคมที่อยู่ในห้องที่แข็งแรงนั้นตายกันหมด ทั้งชายและหญิงประมาณหนึ่งพันคน
50 จากนั้นอาบีเมเลคก็ไปเมืองเธเบศ และล้อมเมืองและยึดเมืองเอาไว้ได้ 51 แต่ในเมืองมีป้อมที่แข็งแรงอยู่ ชาวเมืองทั้งชายและหญิงรวมทั้งผู้นำของเมืองนั้นก็หนีกันไปอยู่ที่นั่น และปิดประตูขังตัวเองอยู่ข้างใน และพวกเขาก็ขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าของป้อม 52 อาบีเมเลคมาถึงป้อมและต่อสู้กัน และเข้าปะชิดทางเข้าของป้อมเพื่อเอาไฟเผามัน 53 แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งโยนโม่หินลงมาบนหัวของอาบีเมเลคและทำให้กะโหลกของเขาแตก
54 อาบีเมเลครีบเรียกชายหนุ่มที่ถืออาวุธของเขาเข้ามาและบอกกับชายหนุ่มนั้นว่า “ชักดาบของเจ้าออกมาฆ่าเราซะ เพื่อคนจะได้ไม่พูดถึงเราว่า ‘เขาถูกผู้หญิงฆ่าตาย’” ดังนั้นคนรับใช้หนุ่มคนนั้นของเขาก็แทงเขาและเขาก็ตาย
55 เมื่อชาวอิสราเอลเห็นว่าอาบีเมเลคตายแล้ว พวกเขาต่างก็พากันแยกย้ายกลับไปที่อยู่ของตน 56 ดังนั้นพระเจ้าได้ตอบแทนความชั่วร้ายของอาบีเมเลคที่เขาทำต่อพ่อของเขา ตอนที่ฆ่าพี่น้องทั้งเจ็ดสิบคนของเขาเอง 57 และพระเจ้าได้ตอบแทนความชั่วร้ายทั้งหมดของชาวเชเคม คำสาปแช่งของโยธามบุตรเยรุบบาอัลก็เกิดขึ้นจริง
โทลาผู้นำ
10 หลังจากอาบีเมเลคตายแล้ว โทลาก็ขึ้นมาช่วยกู้คนอิสราเอล โทลาเป็นลูกชายของปูอาห์ ปูอาห์เป็นลูกของโดโด โทลามาจากเผ่าอิสสาคาร์ เขาอาศัยอยู่ที่ชามีร์ ในแถบเทือกเขาเอฟราอิม 2 เขาเป็นผู้นำของอิสราเอลเป็นเวลายี่สิบสามปี แล้วก็ตายไป และศพของเขาถูกฝังอยู่ที่ชามีร์
ยาอีร์ผู้นำ
3 หลังจากโทลาตาย ยาอีร์ก็ขึ้นมาแทน เขาเป็นชาวกิเลอาด และเป็นผู้ตัดสินคดีให้กับอิสราเอลเป็นเวลายี่สิบสองปี 4 เขามีลูกชายสามสิบคน ลูกทั้งสามสิบคนนี้ขี่ลาสามสิบตัว และดูแลเมืองสามสิบเมือง ที่อยู่ในแผ่นดินกิเลอาด (เมืองพวกนี้มีชื่อเรียกว่า พวกหมู่บ้านของยาอีร์[t] มาจนถึงทุกวันนี้) 5 ยาอีร์ตายและถูกฝังที่เมืองคาโมน
ชาวอัมโมนต่อสู้กับชาวอิสราเอล
6 ชาวอิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาพระยาห์เวห์อีก พวกเขาไปรับใช้พระบาอัล และพระอัชทาโรท รวมทั้งไปรับใช้พระต่างๆของชาวอาราม ชาวไซดอน ชาวโมอับ ชาวอัมโมน และชาวฟีลิสเตีย พวกเขาได้ละทิ้งพระยาห์เวห์ และไม่รับใช้พระองค์ 7 พระยาห์เวห์ก็เลยโกรธพวกชาวอิสราเอล พระองค์จึงขายชาวอิสราเอลให้ไปตกอยู่ในมือของชาวฟีลิสเตียและชาวอัมโมน 8 พวกนี้จึงข่มเหงและบีบบังคับชาวอิสราเอล ตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา พวกนี้ได้ข่มเหงชาวอิสราเอลทั้งหมดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำจอร์แดน ในแผ่นดินของคนอาโมไรต์ ที่อยู่ในกิเลอาด เป็นเวลาถึงสิบแปดปี
9 และชาวอัมโมนก็ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปสู้กับชาวยูดาห์ด้วย และยังไปสู้กับชาวเบนยามิน และชาวเมืองของเอฟราอิมด้วยเหมือนกัน ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงทุกข์ร้อนอย่างหนัก 10 ชาวอิสราเอลจึงร้องต่อพระยาห์เวห์ว่า “พวกเราได้ทำบาปต่อพระองค์แล้ว ที่พวกเราได้ละทิ้งพระเจ้าของเราและไปรับใช้พระบาอัล”
11 แล้วพระยาห์เวห์ได้พูดกับชาวอิสราเอลว่า “ไม่ใช่เราหรอกหรือ ที่ได้ช่วยกู้พวกเจ้าจากชาวอียิปต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวอัมโมน และชาวฟีลิสเตีย 12 แล้วตอนที่พวกชาวไซดอน ชาวอามาเลค และชาวมาโอน ได้ข่มเหงเจ้า พวกเจ้าก็ได้ร้องขอให้เราช่วย และเราก็ได้ช่วยเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกมัน 13 แต่พวกเจ้าได้ละทิ้งเราไป และไปรับใช้พระอื่นๆ อย่างนั้นเราจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้ว 14 ไปร้องขอความช่วยเหลือจากพระพวกนั้นที่เจ้าได้เลือกสิ ให้พวกมันมาช่วยพวกเจ้า ตอนที่พวกเจ้าทุกข์ร้อนอยู่นี้” 15 ชาวอิสราเอลพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “พวกเราทำบาปไปแล้ว พระองค์จะทำอะไรกับเราก็ได้ ที่พระองค์เห็นว่าสมควร แต่ตอนนี้ ได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วยเถิด” 16 พวกเขาก็เลยเอาพระของคนต่างชาติพวกนั้นไปโยนทิ้ง และหันกลับมารับใช้พระยาห์เวห์ แล้วพระยาห์เวห์ก็ใจอ่อน ทนไม่ไหวที่จะเห็นพวกอิสราเอลต้องทนทุกข์อีกต่อไป
เยฟธาห์ผู้นำกู้ชาติ
17 พวกชาวอัมโมนถูกเรียกให้มารวมตัวกันเพื่อทำสงคราม และพวกเขาตั้งค่ายอยู่ที่กิเลอาด ส่วนชาวอิสราเอลก็รวมตัวกัน และตั้งค่ายอยู่ที่มิสปาห์ 18 พวกผู้นำของกองทัพของกิเลอาดพูดกันว่า “ใครก็ตามที่นำหน้าพวกเราเข้าสู้รบกับชาวอัมโมน เขาก็จะได้เป็นหัวหน้าของชาวกิเลอาดทั้งหมด”
11 เยฟธาห์เป็นชาวกิเลอาด เขาเป็นนักรบที่เก่งกล้า แต่เขาเป็นลูกของโสเภณี กิเลอาดเป็นพ่อของเขา
2 เมียของกิเลอาดก็เกิดลูกชายหลายคนให้กับเขา เมื่อลูกชายพวกนั้นของนางโตขึ้น พวกเขาก็ไล่เยฟธาห์ออกไป พวกเขาพูดว่า “เจ้าไม่มีส่วนในมรดกของบ้านพ่อเรา เพราะเจ้าเป็นลูกของหญิงอื่น” 3 ดังนั้นเยฟธาห์จึงหนีไปจากพี่น้องของเขา และไปอาศัยอยู่ในแผ่นดินของโทบ พวกนักเลงหัวไม้มั่วสุมอยู่กับเยฟธาห์และติดตามเขา
4 ต่อมาภายหลัง ชาวอัมโมนไปทำสงครามกับชาวอิสราเอล 5 เมื่อชาวอัมโมนไปทำสงครามกับชาวอิสราเอล พวกผู้นำอาวุโสของกิเลอาดก็มาพาเยฟธาห์ไปจากแผ่นดินโทบ 6 พวกเขาพูดกับเยฟธาห์ว่า “มาเป็นแม่ทัพให้กับพวกเราหน่อย เพื่อเราจะไปต่อสู้กับชาวอัมโมน”
7 เยฟธาห์พูดกับพวกผู้นำอาวุโสของกิเลอาดว่า “พวกท่านไม่ได้รังเกียจข้าและขับไล่ข้าออกจากบ้านของพ่อข้าหรอกหรือ แล้วท่านจะมาหาข้าทำไมเวลาที่ท่านมีปัญหา”
8 พวกผู้นำอาวุโสของกิเลอาดพูดกับเยฟธาห์ว่า “สาเหตุที่พวกเรากลับมาหาท่านในขณะนี้ ก็เพื่อให้ท่านไปกับพวกเราและไปสู้รบกับชาวอัมโมน และกลายเป็นหัวหน้าพวกเราปกครองชาวกิเลอาดทั้งหมด”
9 เยฟธาห์พูดกับพวกผู้นำอาวุโสของกิเลอาดว่า “ถ้าข้ากลับไปเพื่อสู้รบกับชาวอัมโมน และถ้าพระยาห์เวห์ยอมมอบพวกมันให้กับข้า พวกท่านจะให้ข้าเป็นหัวหน้าพวกท่านจริงหรือ”
10 พวกผู้นำอาวุโสของกิเลอาดพูดกับเยฟธาห์ว่า “พระยาห์เวห์เป็นพยาน เราจะทำตามที่ท่านพูดแน่นอน” 11 ดังนั้นเยฟธาห์จึงไปกับพวกผู้นำอาวุโสของกิเลอาด และประชาชนก็ตั้งเขาเป็นหัวหน้าและเป็นแม่ทัพของพวกเขา แล้วเยฟธาห์ก็พูดซ้ำคำพูดของเขาต่อหน้าพระยาห์เวห์ที่มิสปาห์
12 เยฟธาห์ใช้คนส่งข่าวไปถึงกษัตริย์ของชาวอัมโมนว่า “ท่านมีเรื่องอะไรกับข้าหรือ ถึงได้ยกมาต่อสู้กับแผ่นดินของข้า”
13 กษัตริย์ของชาวอัมโมนตอบคนส่งข่าวของเยฟธาห์ว่า “เพราะชาวอิสราเอลได้ยึดครองแผ่นดินของข้าทั้งหมดจากแม่น้ำอารโนน ถึงแม่น้ำยับบอก ถึงแม่น้ำจอร์แดน เมื่อพวกเขาออกมาจากอียิปต์ บัดนี้ขอท่านคืนเมืองเหล่านั้นให้กับข้าซะดีๆ” 14 (ดังนั้นผู้ส่งข่าวกลับมาหาเยฟธาห์[u]) เยฟธาห์จึงส่งคนส่งข่าวกลับไปหากษัตริย์ของชาวอัมโมนใหม่
15 เยฟธาห์แจ้งกับเขาว่า
“นี่คือสิ่งที่เยฟธาห์พูด ‘อิสราเอลไม่ได้ยึดแผ่นดินโมอับหรือแผ่นดินของชาวอัมโมน 16 เมื่อพวกอิสราเอลออกจากอียิปต์ พวกเขาได้เข้าไปในถิ่นทุรกันดารถึงทะเลแดงและมาถึงคาเดช 17 แล้วชาวอิสราเอลจึงใช้คนส่งข่าวไปยังกษัตริย์เอโดมว่า “โปรดอนุญาตให้เราผ่านแผ่นดินของท่านด้วยเถิด” แต่กษัตริย์เอโดมไม่ยอมและชาวอิสราเอลก็ได้ใช้คนส่งข่าวไปถึงกษัตริย์โมอับด้วย แต่เขาก็ไม่ยอมเหมือนกัน อิสราเอลก็เลยต้องอาศัยอยู่ที่คาเดช
18 จากนั้นชาวอิสราเอลได้เดินทางในถิ่นทุรกันดารและอ้อมแผ่นดินเอโดม และแผ่นดินโมอับ พวกเขามาทางตะวันออกของแผ่นดินโมอับ และตั้งค่ายบนฝั่งแม่น้ำอารโนน พวกเขาไม่ได้เข้าไปในเขตแดนของโมอับ เพราะมีแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ
19 ชาวอิสราเอลจึงใช้คนส่งข่าวไปถึงกษัตริย์สิโหนของคนอาโมไรต์ ผู้ครองเมืองเฮชโบนและแจ้งกับเขาว่า “โปรดอนุญาตให้เราผ่านแผ่นดินของท่านด้วยเถิด” 20 แต่สิโหนไม่ไว้ใจที่จะให้อิสราเอลผ่านเข้าไปในเขตแดนของเขา ดังนั้นเขาจึงรวบรวมประชาชนตั้งค่ายที่ยาฮาสสู้รบกับอิสราเอล
21 พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลได้มอบสิโหนและทหารทั้งหมดไว้ในมือของอิสราเอล แล้วพวกเขาก็พ่ายแพ้ ดังนั้นอิสราเอลจึงยึดครองแผ่นดินทั้งหมดที่ชาวอาโมไรต์อาศัยอยู่นั้น 22 พวกเขายึดเขตแดนทั้งหมดของอาโมไรต์ ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนไปจนถึงแม่น้ำยับบอก และตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารไปจนถึงแม่น้ำจอร์แดน
23 ในเมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอลได้ขับไล่ชาวอาโมไรต์ออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอลคนของพระองค์ แล้วท่านจะมาขับไล่ชาวอิสราเอลเพื่อยึดครองแทนหรือ 24 แน่นอนว่าท่านจะต้องครอบครองดินแดนที่พระเคโมชพระเจ้าของท่านมอบให้กับท่านแน่ อย่างนั้นพวกเราก็จะครอบครองดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ยึดมาให้กับพวกเราเหมือนกัน
25 ตัวท่านจะดีกว่ากษัตริย์บาลาคลูกชายศิปโปร์[v]แห่งเมืองโมอับหรือ กษัตริย์องค์นั้นเคยโต้แย้งหรือเคยสู้รบกับชาวอิสราเอลอย่างนั้นหรือ 26 เมื่ออิสราเอลอาศัยอยู่ในเมืองเฮชโบนและชนบทของเมืองนั้น รวมทั้งเมืองอาโรเออร์และชนบทของเมืองนั้น และเมืองต่างๆที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำอารโนนถึงสามร้อยปี ทำไมท่านไม่ยึดคืนเสียในเวลานั้น
27 ข้าไม่ได้ทำบาปต่อท่าน แต่ท่านได้ทำผิดกับข้า โดยการทำสงครามกับข้า ขอให้พระยาห์เวห์ พระผู้พิพากษาได้ตัดสินวันนี้ เรื่องระหว่างชาวอิสราเอลกับชาวอัมโมนด้วยเถิด’”
28 แต่กษัตริย์ของชาวอัมโมนไม่ฟังคำพูดของเยฟธาห์ที่เขาส่งไปให้
คำบนบานของเยฟธาห์
29 ดังนั้นพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็มาอยู่กับเยฟธาห์ เขาจึงยกพลผ่านกิเลอาดและมนัสเสห์ ผ่านมิสปาห์ในกิเลอาด และบุกไปถึงแผ่นดินของอัมโมน
30 เยฟธาห์สาบานต่อพระเจ้าว่า “ถ้าพระองค์ยอมให้ชาวอัมโมนตกอยู่ในกำมือของข้าพเจ้า 31 เมื่อข้าพเจ้ากลับมาอย่างมีชัยจากอัมโมนนั้น ข้าพเจ้าจะยกสิ่งแรกที่ออกมาจากประตูบ้านข้าพเจ้าเพื่อมาพบข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะถวายสิ่งนั้นให้กับพระยาห์เวห์เป็นเครื่องเผาบูชา”
32 แล้วเยฟธาห์ก็ยกไปสู้กับชาวอัมโมน และพระยาห์เวห์ก็มอบพวกอัมโมนไว้ในกำมือของเขา 33 เขาได้โจมตีพวกอัมโมน ตั้งแต่อาโรเออร์ ตลอดไปจนถึงเมืองมินนิท รวมยี่สิบเมือง และไกลไปจนถึงอาเบล-ครามิม ทำให้มีคนตายจำนวนมาก คนอัมโมนจึงอยู่ใต้การปกครองของอิสราเอล
34 เมื่อเยฟธาห์กลับมาที่บ้านในมิสปาห์ ลูกสาวเขาก็ออกมาต้อนรับด้วยการเล่นกลองรำมะนาและเต้นรำ นางเป็นลูกเพียงคนเดียวของเขา เขาไม่มีลูกชายหรือลูกสาวอื่นอีก 35 เมื่อเขาเห็นลูก เขาก็ฉีกเสื้อผ้าตัวเองและพูดว่า “ลูกพ่อ ลูกทำให้พ่อหมดแรง และลูกเป็นสาเหตุให้พ่อเดือดร้อน พ่อได้ให้คำมั่นสัญญาต่อพระยาห์เวห์และจะคืนคำไม่ได้”
36 เธอจึงพูดกับพ่อว่า “เมื่อพ่อสัญญาต่อพระยาห์เวห์ พ่อก็ทำกับลูกตามที่ได้สัญญาไว้เถอะ เพราะพระยาห์เวห์ช่วยกู้พ่อให้พ้นจากชาวอัมโมนพวกศัตรูของพ่อ”
37 เธอยังพูดต่อไปอีกว่า “แต่ขออย่างหนึ่ง ขอไว้ชีวิตลูกสักสองเดือน ปล่อยให้ลูกท่องไปบนภูเขาและร้องไห้กับพวกเพื่อนหญิงของลูก เพราะลูกจะไม่มีวันได้แต่งงาน”[w]
38 เขาจึงตอบว่า “ไปเถอะ” แล้วเขาก็ปล่อยให้นางไปสองเดือน เธอและเพื่อนๆก็ร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนภูเขาเพราะเธอจะไม่มีวันได้แต่งงาน
39 เมื่อครบสองเดือนเธอก็กลับมาหาพ่อ และเขาก็ทำกับลูกสาวตามที่เขาได้สาบานไว้ ขณะนั้นลูกสาวเขายังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนไหนเลย และมันได้กลายเป็นธรรมเนียมในอิสราเอล 40 ที่พวกสาวๆในอิสราเอลจะออกไประลึกถึงเรื่องราวของลูกสาวเยฟธาห์ชาวกิเลอาดปีละสี่วัน
เยฟธาห์และชาวเอฟราอิม
12 ชาวเอฟราอิมได้รวมพล แล้วข้ามไปถึงศาโฟน พวกเขาพูดกับเยฟธาห์ว่า “ทำไมท่านไปสู้รบกับคนอัมโมน แต่ไม่เรียกพวกเราไปด้วย เราจะเผาบ้านท่านเสีย”
2 เยฟธาห์ตอบพวกเขาว่า “คนอัมโมนสร้างปัญหาให้กับข้าและคนของข้ามาก ข้าได้เรียกพวกท่าน แต่พวกท่านไม่ยอมมาช่วยกู้ข้าให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกเขา 3 เมื่อข้าเห็นพวกท่านไม่ช่วยข้า ข้าก็เสี่ยงชีวิตตัวเองไปสู้รบกับชาวอัมโมน และพระยาห์เวห์ได้มอบพวกนั้นไว้ในมือข้า แล้ววันนี้พวกท่านจะมาสู้รบกับข้าทำไมกันเล่า”
4 เยฟธาห์ก็ได้รวบรวมผู้ชายทั้งหมดของกิเลอาด มาสู้รบกับเอฟราอิม เพราะชาวเอฟราอิมเหยียดหยามพวกเขาว่า “พวกแกชาวกิเลอาดก็เป็นแค่ผู้อพยพในเอฟราอิม ที่มาเกาะกินอยู่ในเขตแดนของเอฟราอิมและมนัสเสห์” แล้วคนของกิเลอาดก็มีชัยเหนือชาวเอฟราอิม
5 ชาวกิเลอาดก็เข้ายึดตรงบริเวณน้ำตื้นที่ลุยข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปได้ แล้วไม่ให้ชาวเอฟราอิมข้ามกลับไป เมื่อชาวเอฟราอิมที่รอดชีวิตพูดว่า “ขอข้าข้ามไปเถอะ” ชาวกิเลอาดก็จะถามว่า “ท่านเป็นชาวเอฟราอิมหรือเปล่า” พวกเขาก็บอกว่า “ไม่ใช่” 6 แต่ชาวกิเลอาดก็จะบอกเขาว่า ให้พูดคำว่า “ชิบโบเลท” พวกเขาก็พูดว่า “สิบโบเลท” คนเอฟราอิมจะออกเสียงคำนี้ไม่ชัดเจน ดังนั้นพวกเขาจึงถูกจับฆ่าทิ้งเสียที่บริเวณน้ำตื้นนั้น ในครั้งนี้มีชาวเอฟราอิมถูกฆ่าตายทั้งหมดสี่หมื่นสองพันคน
7 เยฟธาห์เป็นผู้นำอยู่หกปี จากนั้นเขาก็ตายและศพถูกฝังอยู่ในเมืองกิเลอาด
อิบซานผู้นำ
8 หลังจากเยฟธาห์ อิบซานจากเบธเลเฮมได้นำอิสราเอล 9 เขามีลูกชายสามสิบคน และลูกสาวสามสิบคน เขาให้ลูกทั้งหมดทั้งลูกชายและลูกสาวแต่งงานกับคนนอกตระกูล เขาเป็นผู้นำอิสราเอลอยู่เจ็ดปี 10 เมื่อเขาตาย ศพก็ถูกฝังอยู่ที่เบธเลเฮม
เอโลนผู้นำ
11 หลังจากอิบซาน เอโลนชาวเศบูลุนได้นำอิสราเอลอยู่สิบปี 12 จากนั้นเอโลนก็ตายและถูกฝังที่อัยยาโลน ในแผ่นดินของเศบูลุน
อับโดนผู้นำ
13 หลังจากเอโลน อับโดนลูกชายของฮิลเลลชาวปิราโธนได้นำอิสราเอล 14 เขามีลูกชายสี่สิบคน และหลานชายสามสิบคน พวกเขาขี่ลา[x]เจ็ดสิบตัว อับโดนเป็นผู้นำอิสราเอลอยู่แปดปี 15 จากนั้นอับโดนลูกชายฮิลเลลชาวปิราโธนก็ตาย และศพของเขาถูกฝังไว้ที่ปิราโธนในแผ่นดินเอฟราอิมในแถบเทือกเขาของชาวอามาเลค
ประวัติแซมสันผู้นำกู้ชาติ
13 ชาวอิสราเอลได้ทำชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์อีก พระองค์ก็เลยมอบพวกเขาให้ตกไปอยู่ในกำมือของชาวฟีลิสเตียสี่สิบปี
2 มีชายเผ่าดานคนหนึ่งชื่อมาโนอาห์ มาจากเมืองโศราห์ เมียของเขามีลูกไม่ได้เพราะเป็นหมัน
3 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้มาปรากฏตัวต่อหน้านางและพูดว่า “ถึงเจ้าจะเป็นหมันไม่มีลูก แต่เจ้าก็จะตั้งท้องและเกิดลูกชาย 4 ต่อจากนี้ไป เจ้าต้องระวัง อย่าดื่มเหล้าองุ่น เบียร์ รวมทั้งไม่กินของที่ทำให้เป็นมลทิน
5 จริงๆแล้วเจ้าตั้งท้องอยู่และจะคลอดลูกชาย อย่าให้มีดโกนโดนหัวของเขา เพราะเด็กคนนี้จะเป็นพวกนาศีร์[y] อุทิศให้พระเจ้าตั้งแต่ยังไม่เกิด เขาจะเป็นคนหนึ่งที่ช่วยกู้ชาวอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวฟีลิสเตีย”
6 จากนั้นนางได้ไปเล่าให้สามีฟังว่า “มีคนของพระเจ้ามาหาฉัน หน้าตาท่าทางเขาเหมือนทูตสวรรค์ของพระเจ้า น่ากลัวมาก แต่ฉันไม่ได้ถามว่าเขามาจากไหน เขาเองก็ไม่ได้บอกชื่อของเขาด้วย 7 แต่เขาพูดกับฉันว่า ‘เจ้าตั้งท้องอยู่และจะคลอดลูกชาย จากนี้ไปเจ้าต้องไม่ดื่มเหล้าองุ่น เบียร์ หรือกินของที่เป็นมลทิน เพราะว่าเด็กชายคนนี้จะมาเป็นนาศีร์ อุทิศให้กับพระเจ้าตั้งแต่อยู่ในท้องแม่จนวันตาย’”
8 แล้วมาโนอาห์ได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอโทษทีพระองค์ ขอรบกวนพระองค์ช่วยส่งชายคนนั้นมาหาพวกเราอีกครั้งเถิด แล้วให้เขาสอนพวกเราว่าจะต้องทำอะไรให้กับเด็กชายที่กำลังจะเกิดมา”
9 พระเจ้าก็ทำตามที่มาโนอาห์ขอ และทูตของพระเจ้าก็ได้มาหาภรรยาของเขาอีกครั้ง ตอนที่เธอกำลังนั่งอยู่ในท้องทุ่ง แต่ว่ามาโนอาห์สามีของนางไม่ได้อยู่กับนาง 10 เธอจึงรีบวิ่งไปบอกสามี นางบอกเขาว่า “ดูสิ ชายคนที่มาหาฉันวันก่อน ได้มาปรากฏตัวให้ฉันเห็น”
11 มาโนอาห์เลยลุกตามภรรยาไปพบทูตของพระเจ้าและพูดว่า “ท่านคือคนที่เคยพูดกับหญิงคนนี้ใช่ไหม”
ทูตของพระเจ้าตอบว่า “ใช่ เราเอง”
12 มาโนอาห์ถามว่า “เมื่อเรื่องที่ท่านพูดนั้นเกิดขึ้นจริง จะมีกฎเกณฑ์อะไรให้กับเด็กคนนี้บ้าง และงานของเขาคืออะไร”
13 ทูตของพระยาห์เวห์ตอบมาโนอาห์ว่า “เมียเจ้าจะต้องทำตามทุกอย่างที่เราได้บอกเธอไปแล้วอย่างเคร่งครัด 14 เธอจะต้องไม่กินอะไรก็ตามที่เกิดจากต้นองุ่น ไม่ดื่มเหล้าองุ่น เบียร์ หรืออะไรก็ตามที่เป็นมลทิน เธอต้องทำตามทุกอย่างที่เราได้สั่งเธอไว้แล้วอย่างเคร่งครัด”
15 แล้วมาโนอาห์ได้พูดกับทูตของพระยาห์เวห์ว่า “รอเดี๋ยวนะ เราจะไปเตรียมอาหารจากลูกแพะตัวหนึ่งให้ท่านกิน”
16 แต่ทูตของพระยาห์เวห์ตอบมาโนอาห์ว่า “ถึงเจ้าเรียกให้เรารอ เราก็จะไม่กินอาหารของเจ้าหรอก แต่ถ้าเจ้าจะจัดเครื่องเผาบูชา ก็ถวายมันให้กับพระยาห์เวห์เถิด” (เพราะมาโนอาห์ไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นทูตของพระยาห์เวห์)
17 แล้วมาโนอาห์ได้ถามทูตของพระยาห์เวห์ว่า “ท่านชื่ออะไร เพราะเมื่อเรื่องที่ท่านพูดนี้เกิดขึ้นจริง เราจะได้ให้เกียรติกับท่าน”
18 ทูตของพระยาห์เวห์ตอบเขาว่า “ท่านถามชื่อเราทำไม ชื่อของเราวิเศษเกินกว่าที่ท่านจะเข้าใจได้”
19 มาโนอาห์ก็เลยเอาแพะหนุ่มกับเครื่องบูชาจากเมล็ดพืช เผาบนหินให้กับพระยาห์เวห์ผู้ทำเรื่องวิเศษ ในขณะที่มาโนอาห์กับภรรยากำลังดูอยู่ 20 เปลวไฟได้ลุกขึ้นจากแท่นบูชา ทูตของพระยาห์เวห์ได้ลอยตามเปลวไฟที่ลุกจากแท่นบูชานั้น เมื่อมาโนอาห์และภรรยาเห็นอย่างนั้น พวกเขาจึงได้ก้มกราบลงกับพื้น 21 จากนั้นทูตของพระยาห์เวห์ก็ไม่เคยปรากฏตัวให้มาโนอาห์และภรรยาได้เห็นอีกเลย มาโนอาห์ถึงได้รู้ว่าเขาเป็นทูตของพระยาห์เวห์ 22 มาโนอาห์พูดกับภรรยาว่า “เราต้องตายแน่ เพราะเราได้เห็นพระเจ้า”
23 แต่ภรรยาของเขาตอบว่า “ถ้าพระยาห์เวห์ต้องการฆ่าเรา พระองค์คงจะไม่รับเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาจากเมล็ดพืชจากเรา และจะไม่แสดงปาฏิหาริย์ รวมทั้งบอกสิ่งต่างๆกับเราเมื่อกี้นี้”
24 นางได้คลอดลูกชาย นางให้เขาชื่อว่า “แซมสัน” เด็กก็เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆและพระยาห์เวห์ก็อวยพรเขา 25 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์เริ่มทำงานในตัวเขาที่ค่ายของคนเผ่าดาน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองโศราห์ กับเมืองเอช-ทาโอล
งานแต่งของแซมสัน
14 แซมสันลงไปที่เมืองทิมนาห์ และได้เห็นสาวชาวฟีลิสเตียคนหนึ่งในเมืองนั้น 2 เขาก็กลับมาบอกพ่อแม่ของเขาว่า “ลูกไปพบสาวชาวฟีลิสเตียในเมืองทิมนาห์ ช่วยไปขอนางมาเป็นเมียลูกหน่อย”
3 พ่อแม่ของเขาพูดว่า “ไม่มีผู้หญิงท่ามกลางพวกลูกสาวของญาติลูกแล้วหรือ หรือท่ามกลางชนเผ่าของเราแล้วหรือ ลูกถึงต้องไปหาเมียจากชาวฟีลิสเตียที่ไม่เคยเข้าพิธีขลิบ”
แซมสันพูดกับพ่อว่า “ไปขอเธอให้กับลูกเถอะ เพราะเธอเป็นที่ถูกใจลูกมาก” 4 พ่อแม่ของแซมสันไม่รู้ว่าพระยาห์เวห์ทำให้เกิดเรื่องนี้ เพราะพระองค์หาช่องที่จะสู้รบกับชาวฟีลิสเตีย ซึ่งมีอำนาจเหนือชาวอิสราเอลอยู่
5 ดังนั้นแซมสันและพ่อแม่ของเขาจึงเดินทางไปทิมนาห์ เมื่อมาถึงไร่องุ่น ทันใดนั้นมีสิงโตหนุ่มตัวหนึ่งคำรามกระโจนเข้าใส่แซมสัน 6 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็พุ่งเข้าสิงแซมสัน เขาฉีกสิงโตออกเหมือนฉีกลูกแพะด้วยมือเปล่า แต่เขาไม่ได้บอกสิ่งที่เขาทำให้พ่อแม่รู้
7 แซมสันได้ไปพูดกับหญิงคนนั้น เธอทำให้เขาถูกใจมาก 8 หลังจากนั้นไม่นาน แซมสันได้กลับมาเพื่อแต่งงานกับเธอ เขาได้แวะไปดูซากสิงโต และก็แปลกใจ เมื่อมีฝูงผึ้งอยู่ในซากสิงโตนั้นและมีน้ำผึ้งด้วย 9 เขาจึงกวาดน้ำผึ้งมาไว้ในมือเดินกินมาตามทาง จนเจอพ่อแม่ของเขา เขาจึงแบ่งให้พ่อแม่กินด้วย แต่ไม่ได้เล่าว่าเขาได้น้ำผึ้งมาจากซากสิงโต
10 พ่อของเขาได้ลงไปหาหญิงนั้น และแซมสันก็ได้จัดงานเลี้ยงใหญ่โตที่นั่น เหมือนกับที่ชายหนุ่มคนอื่นๆเขาทำกัน 11 เมื่อชาวฟีลิสเตียเห็นแซมสันจัดงานเลี้ยง พวกเขาก็ได้ส่งผู้ชายสามสิบคนมาอยู่เป็นเพื่อนเขา
12 แซมสันพูดกับชายสามสิบคนนั้นว่า “ให้ข้าเล่าปริศนาให้พวกเจ้าสักข้อหนึ่ง ถ้าพวกเจ้าตอบได้ภายในเจ็ดวันของงานเลี้ยงฉลอง ข้าจะให้เสื้อผ้าลินินสามสิบชุด และเสื้อผ้าใส่เที่ยวงานอีกสามสิบชุด 13 แต่ถ้าพวกเจ้าไม่สามารถอธิบายให้กับข้าได้ ก็ต้องให้เสื้อผ้าลินินสามสิบชุด และเสื้อใส่เที่ยวงานสามสิบชุดกับข้า” ชายเหล่านั้นก็พูดกับเขาว่า “เล่าปริศนาของเจ้าให้พวกเราฟังสิ”
14 แซมสันก็เล่าว่า
“จากตัวที่กิน มีของกินออกมา
จากตัวที่แข็งแรง มีของหวานออกมา”
แต่ผ่านไปสามวันแล้ว พวกเขาก็ยังแก้ปริศนานี้ไม่ได้
15 ในวันที่สี่[z] พวกเขาได้ไปขอร้องเมียของแซมสันว่า “ไปเกลี้ยกล่อมผัวของเธอให้แก้คำปริศนานั้นกับพวกเราซะ ไม่อย่างนั้นเราจะเผาบ้านเธอและบ้านของพ่อเธอด้วย เธอเชิญพวกเรามาเพื่อทำให้พวกเราจนลงหรือยังไง”
16 เมียของแซมสันจึงซบบนแซมสันและร้องไห้ ต่อว่าเขาว่า “เธอเกลียดฉัน เธอไม่รักฉัน เธอถึงได้ทายคำปริศนาให้กับชาวเมืองของฉัน และเธอก็ไม่เคยแก้คำปริศนานั้นให้ฉันฟัง” แซมสันตอบภรรยาว่า “ดูสิ ขนาดพ่อแม่ฉัน ฉันยังไม่บอก แล้วจะบอกเธอได้ยังไง”
17 นางก็เลยซบแซมสันร้องไห้ตลอดเจ็ดวันที่เขาเลี้ยงฉลองกัน และในวันที่เจ็ดแซมสันก็แก้ปริศนาให้เธอฟัง เพราะนางกวนใจเขาเสียเหลือเกิน และนางก็ได้อธิบายปริศนานั้นให้กับคนของนาง 18 พวกผู้ชายของเมืองนั้น ตอบกับแซมสัน ในวันที่เจ็ดก่อนที่ดวงอาทิตย์จะตกดินว่า
“จะมีอะไรหวานกว่าน้ำผึ้งหรือ
และมีอะไรแข็งแรงกว่าสิงโตหรือ”
แซมสันพูดกับพวกเขาว่า
“ถ้าเจ้าไม่ได้เอาแม่โคของเราไปไถนา
เจ้าก็คงแก้ปริศนาเราไม่ได้”
19 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้พุ่งเข้าสิงแซมสัน เขาไปที่อัชเคโลน และฆ่าชาวเมืองผู้ชายที่นั่นสามสิบคน และยึดเครื่องเทียมม้าและเอาชุดเที่ยวงานไปให้กับคนที่แก้ปริศนาของเขา เขาจึงกลับบ้านพ่อของเขาด้วยความโกรธจัด 20 และเมียของแซมสันก็ถูกยกไปให้กับเพื่อนเจ้าบ่าวแทน
แซมสันแก้แค้นชาวฟีลิสเตีย
15 หลังจากนั้น วันหนึ่งในฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลี แซมสันไปเยี่ยมภรรยาของเขา โดยเอาลูกแพะตัวหนึ่งมาฝากด้วย เขาพูดว่า “ฉันจะเข้าไปหาเมียของฉันในห้อง” แต่พ่อของนางไม่ยอมให้เข้าไป 2 และพูดว่า “เราเข้าใจจริงๆว่า เจ้าเกลียดลูกสาวของเรา เราเลยยกนางให้เพื่อนเจ้าบ่าวของเจ้าไปแล้ว น้องสาวของนางสวยกว่านางอีกนะ เอานางไปเป็นเมียแทนก็แล้วกัน”
3 แซมสันพูดกับพวกเขาว่า “คราวนี้ถ้าเราจะทำร้ายคนฟีลิสเตีย ก็โทษเราไม่ได้แล้ว”
4 แซมสันจับหมาจิ้งจอกสามร้อยตัวแล้วเอาคบเพลิงไปด้วย เขาผูกหางหมาจิ้งจอกเข้าด้วยกันเป็นคู่ๆและผูกคบเพลิงไว้ระหว่างหางของหมาจิ้งจอกทุกคู่ 5 แล้วเขาก็จุดไฟที่คบเพลิง แล้วปล่อยหมาจิ้งจอกทั้งหมดให้วิ่งเข้าไปในทุ่งนาของชาวฟีลิสเตีย มันเผาทุกอย่างจนเกลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นข้าวที่มัดอยู่เป็นฟ่อน ข้าวที่อยู่ในนา ไร่องุ่น หรือสวนมะกอก
6 ชาวฟีลิสเตียถามว่า “ใครเป็นคนทำอย่างนี้”
คนหนึ่งตอบว่า “แซมสันลูกเขยทิมนาห์ทำ เพราะพ่อตาเขาได้ยกเมียของเขาให้กับเพื่อนเจ้าบ่าว” ชาวฟีลิสเตียจึงไปเผาเมียและพ่อตาของแซมสัน
7 แซมสันพูดกับพวกเขาว่า “เมื่อพวกเจ้าทั้งหลายทำอย่างนี้ เราสาบานว่า เราจะต้องแก้แค้นพวกเจ้าก่อน เราถึงจะเลิก”
8 เขาก็ฆ่าฟันชาวฟีลิสเตียตายเป็นจำนวนมาก แล้วเขาก็ลงไปอาศัยอยู่ในถ้ำหินของเอตาม
9 ชาวฟีลิสเตียก็ขึ้นไปตั้งค่ายในเขตยูดาห์ และโจมตีเมืองเลฮี[aa] 10 ชาวยูดาห์จึงถามว่า “ทำไมพวกท่านจึงขึ้นมาสู้รบกับพวกเรา”
ชาวฟีลิสเตียก็ตอบว่า “เราขึ้นมามัดตัวแซมสัน เพื่อจัดการกับเขาเหมือนที่เขาทำกับพวกเรา”
11 คนยูดาห์สามพันคนจึงไปตามแซมสันที่ถ้ำหินเอตาม และพูดกับเขาว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าชาวฟีลิสเตียปกครองพวกเราอยู่ เห็นไหมว่าเจ้ากำลังก่อเรื่องให้กับพวกเรา”
แซมสันตอบว่า “พวกมันทำกับข้ายังไง ข้าก็จะทำกับมันอย่างนั้น”
12 ชาวยูดาห์พูดกับแซมสันว่า “พวกเรามาเพื่อมัดเจ้าส่งให้กับชาวฟีลิสเตีย”
แซมสันพูดกับพวกเขาว่า “ช่วยสัญญากับข้าหน่อยว่าพวกท่านเองจะไม่ทำอันตรายข้า”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International