Bible in 90 Days
7 ดังนั้น เราจะเข้าถึงตัวพวกเขาอย่างสิงห์
เราจะคอยซุ่มที่ข้างทางอย่างเสือดาว
8 เราจะกระโจนใส่พวกเขาอย่างแม่หมีที่ลูกหมีถูกขโมย
เราจะฉีกอกพวกเขา
เราจะเขมือบกินพวกเขาอย่างสิงห์
เหมือนสัตว์ป่าที่ฉีกพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ
9 โอ อิสราเอลเอ๋ย เจ้าจะถูกทำลาย
เพราะเจ้าไม่ยอมรับเรา
ไม่ยอมรับผู้ที่จะช่วยเจ้า
10 บัดนี้กษัตริย์ของเจ้า
ซึ่งจะช่วยเจ้าให้รอดพ้นในเมืองทั้งหลายของเจ้าอยู่ที่ไหน
บรรดาผู้นำของเจ้าอยู่ที่ไหน
พวกที่เจ้าพูดถึงดังนี้ว่า
‘ให้ข้าพเจ้าได้มีกษัตริย์และผู้นำเถิด’
11 เรามอบกษัตริย์ผู้หนึ่งให้ด้วยความโกรธของเรา
และเราพรากเขาไปด้วยการลงโทษของเรา
12 ความชั่วของเอฟราอิมถูกเก็บสะสม
บาปของเขาถูกบันทึกเก็บไว้
13 ความเจ็บปวดเหมือนผู้หญิงในยามคลอดลูกจะเกิดขึ้นกับเขา
แต่เขาเป็นบุตรชายที่ขาดสติปัญญา
เมื่อถึงกำหนดเวลาคลอด
เขาไม่ปรากฏตัวที่จุดกำเนิด
14 เราควรจะไถ่พวกเขาคืนจากอำนาจของแดนคนตายหรือไม่
เราควรจะไถ่พวกเขาให้กลับมาจากความตายหรือไม่
ความตายเอ๋ย ภัยพิบัติของเจ้าอยู่ที่ไหน
แดนคนตายเอ๋ย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน[a]
ความเมตตาจะถูกซ่อนเร้นไปจากสายตาของเรา
15 แม้ว่าเขาจะรุ่งเรืองในหมู่พี่น้องของเขา
ลมทะเลทรายซึ่งเป็นลมของพระผู้เป็นเจ้าจะพัดมา
พัดจากถิ่นทุรกันดาร
และแหล่งน้ำของเขาจะแห้งเหือดลง
บ่อน้ำพุของเขาจะแห้งระแหง
สิ่งมีค่าทั้งสิ้นจะถูกปล้นไปจาก
แหล่งเก็บสมบัติของเขา
16 สะมาเรียจะแบกความผิดของพวกเขา
เพราะพวกเขาได้ขัดขืนต่อพระเจ้า
และจะล้มตายด้วยดาบ
ลูกน้อยของพวกเขาจะถูกทำร้ายอย่างเหี้ยมโหด
และบรรดาผู้หญิงมีครรภ์ของพวกเขาจะถูกฟันที่ท้อง”
วิงวอนเพื่อขอกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า
14 โอ อิสราเอลเอ๋ย จงกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน
เพราะท่านได้สะดุดเนื่องจากความชั่วของท่าน
2 จงกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า
พร้อมกับคำพูด
และพูดกับพระองค์ดังนี้ว่า
“ขอพระองค์ยกโทษบาปทั้งสิ้นของพวกเรา
และกรุณายอมรับพวกเรา
และเราทั้งหลายจะให้คำสัญญาด้วยปาก
3 อัสซีเรียจะไม่ช่วยพวกเราให้รอดพ้น
เราทั้งหลายจะไม่ขี่ม้าศึก
และจะไม่พูดกับสิ่งที่เราทำขึ้นด้วยมือของพวกเราว่า
‘พระเจ้าของพวกเรา’ อีกต่อไป
เพราะพระองค์มีเมตตาต่อเด็กกำพร้า”
4 “เราจะรักษาพวกเขาให้หายจากการขาดความเชื่อ
เราจะรักพวกเขาอย่างไม่มีขอบเขต
เพราะความโกรธของเราได้หันไปจากพวกเขาแล้ว
5 เราจะเป็นเหมือนหยดน้ำค้างให้แก่อิสราเอล
เขาจะผลิดอกเหมือนดอกไม้ป่า
เขาจะหยั่งรากเหมือนต้นไม้แห่งเลบานอน
6 รากของเขาจะแผ่ออกไป
ความงามของเขาจะเป็นอย่างต้นมะกอก
และส่งกลิ่นหอมเหมือนไม้ซีดาห์แห่งเลบานอน
7 พวกเขาจะกลับมาและอาศัยอยู่ในร่มเงาของเรา
พวกเขาจะงอกงามเหมือนธัญพืช
พวกเขาจะผลิดอกเหมือนเถาองุ่น
ความเลื่องลือของพวกเขาจะเป็นเหมือนเหล้าองุ่นแห่งเลบานอน
8 โอ เอฟราอิมเอ๋ย เราต้องทำอย่างไรกับพวกรูปเคารพอีก
เรานั่นแหละที่ให้คำตอบและเฝ้าดูแลเขา
เราเป็นเหมือนต้นสนที่เขียวชอุ่ม
ผลของเจ้ามาจากเรา”
9 ใครก็ตามที่มีสติปัญญา ก็ให้เขาเข้าใจสิ่งเหล่านี้
ใครก็ตามที่หยั่งรู้ ก็ให้เขารู้เรื่องเหล่านี้
เพราะวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าถูกต้อง
และบรรดาผู้มีความชอบธรรมดำเนินในทางนั้น
แต่บรรดาผู้ที่ล่วงละเมิดกลับสะดุดในทางนั้น
ตั๊กแตนคุกคาม
1 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยเอลบุตรของเปธุเอลว่า
2 บรรดาผู้อาวุโสเอ๋ย จงฟังเรื่องนี้
บรรดาผู้อยู่อาศัยทั้งปวงของแผ่นดินจงเงี่ยหูฟัง
เคยมีอะไรเช่นนี้เกิดขึ้นในสมัยของพวกท่าน
หรือในสมัยของบรรพบุรุษของท่านไหม
3 จงบอกกับลูกๆ ของพวกท่าน
และให้ลูกๆ ของพวกท่านบอกกับลูกๆ ของพวกเขา
และให้ลูกๆ ของพวกเขาบอกกับคนยุคต่อๆ ไป
4 ตั๊กแตนตัวโตเกือบเต็มวัยกินสิ่งใดเหลือ
ตั๊กแตนตัวเต็มวัยก็จะกินสิ่งนั้น
ตั๊กแตนตัวเต็มวัยกินสิ่งใดเหลือ
ตั๊กแตนตัวอ่อนระยะแรกก็จะกินสิ่งนั้น
ตั๊กแตนตัวอ่อนระยะแรกกินสิ่งใดเหลือ
ตั๊กแตนตัวอ่อนระยะสองก็จะกินสิ่งนั้น
5 พวกท่านขี้เมา จงตื่นขึ้นและร้องรำพัน
พวกท่านนักดื่มเหล้าองุ่น ทุกคนจงร้องรำพัน
เพราะเหล้าองุ่นหวาน
เพราะมันถูกยื้อไปจากปากของพวกท่าน
6 เพราะประชาชาติได้รุกล้ำแผ่นดินของข้าพเจ้า
ซึ่งมีกำลังมากและมีจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน
มีฟันเหมือนฟันสิงโต
มีเขี้ยวเหมือนเขี้ยวสิงโตตัวเมีย
7 มันได้ทำลายเถาองุ่นของข้าพเจ้าจนยับเยิน
และต้นมะเดื่อของข้าพเจ้าเสียหาย
มันทึ้งกาบไม้ และโยนทิ้ง
มีแต่กิ่งก้านที่มันเหลือทิ้งไว้
8 จงร้องรำพันอย่างพรหมจาริณีที่สวมผ้ากระสอบ
เพื่อคู่หมั้นในวัยสาวของนาง
9 ไม่มีการถวายเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชา
ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
บรรดาปุโรหิตจึงร้องรำพัน
คือบรรดาผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า
10 ไร่นาเสียหาย
พื้นดินคร่ำครวญ
เพราะธัญพืชถูกทำลาย
เหล้าองุ่นแห้งเหือด
น้ำมันแห้งสนิท
11 พวกท่านที่เป็นชาวไร่ จงอับอาย
พวกท่านที่ดูแลเถาองุ่น จงร้องไห้ฟูมฟาย
เพราะข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์
เพราะการเก็บเกี่ยวไร่นาล้มเหลว
12 เถาองุ่นแห้งเหี่ยว
ต้นมะเดื่อเหี่ยวเฉา
ทับทิม ต้นอินทผลัม และแอปเปิ้ล
ต้นไม้ทุกต้นในไร่นาแห้งเหี่ยว
และความยินดีก็เหือดหาย
ไปจากลูกๆ ของมนุษย์
การเรียกให้สารภาพ
13 บรรดาปุโรหิตเอ๋ย จงสวมผ้ากระสอบและร้องไห้ฟูมฟาย
บรรดาผู้รับใช้ที่แท่นบูชาเอ๋ย จงร้องรำพัน
ไปเถิด และจงสวมผ้ากระสอบตลอดทั้งคืน
บรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้าของข้าพเจ้า
เพราะงดการถวายเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชา
ในพระตำหนักของพระเจ้าของพวกท่าน
14 จงประกาศให้มีการอดอาหาร
ให้มีการประชุมอันบริสุทธิ์
จงให้บรรดาผู้อาวุโส
และผู้อยู่อาศัยทั้งปวงของแผ่นดิน
มาร่วมกันที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่าน
และส่งเสียงร้องต่อพระผู้เป็นเจ้า
15 วิบัติในวันนั้น
เพราะวันของพระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
วันนั้นจะมาเหมือนกับความพินาศ
จากองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ
16 อาหารขาดแคลนอย่างที่เราเห็น
อีกทั้งความยินดีและรื่นเริงใจ
ก็ถูกระงับไปเสียจากพระตำหนัก
ของพระเจ้าของพวกเรามิใช่หรือ
17 เมล็ดพืชเหี่ยวแห้งอยู่ใต้ก้อนดิน
แหล่งเก็บธัญพืชเป็นที่รกร้าง
โรงสีถูกพังลง
เพราะธัญพืชแห้งเหี่ยว
18 สัตว์เลี้ยงโอดครวญอะไรเช่นนี้
ฝูงโคงงงัน
เพราะไม่มีทุ่งหญ้าสำหรับพวกมัน
แม้แต่ฝูงแกะก็ยังลำบาก
19 โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระองค์
เพราะไฟได้เผาไหม้ทุ่งหญ้าในถิ่นทุรกันดาร
เปลวไฟได้ลุกไหม้ต้นไม้ในทุ่งทั้งหมด
20 พวกสัตว์ป่าก็กระเสือกกระสนหาพระองค์เช่นกัน
เพราะธารน้ำแห้งเหือดหมดแล้ว
และไฟได้เผาผลาญทุ่งหญ้า
ในถิ่นทุรกันดาร
วันของพระผู้เป็นเจ้า
2 จงเป่าแตรงอนในศิโยน
ส่งสัญญาณบนภูเขาอันบริสุทธิ์ของเรา
ให้บรรดาผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินตัวสั่นเทา
เพราะวันของพระผู้เป็นเจ้าจะมาถึง ซึ่งใกล้เข้ามาแล้ว
2 วันแห่งความมืดและความมืดมน
วันแห่งเมฆหมอกและดำอับแสง
กองทัพใหญ่อันแข็งแกร่งกองหนึ่งเดินทัพมา
เหมือนกับความมืดสลัวที่แผ่ปกเทือกเขา
อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
และจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไป
จนตลอดทุกชั่วอายุคน
3 ไฟเผาผลาญที่เบื้องหน้าพวกเขา
และเปลวไฟลุกที่เบื้องหลังพวกเขา
แผ่นดินที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาเป็นเหมือนสวนเอเดน
แต่ที่เบื้องหลังของพวกเขาเป็นถิ่นทุรกันดารอันรกร้าง
และไม่มีสิ่งใดหนีพ้นไปจากกองทัพนั้นได้
4 พวกเขามีลักษณะเหมือนม้า
และวิ่งเหมือนกับม้าศึก
5 เหมือนรถศึกกระหึ่ม
พวกเขากระโจนถึงยอดภูเขา
เหมือนเสียงไฟที่ลุกไหม้
ผลาญกองฟาง
เหมือนกองทัพอันแข็งแกร่ง
ตั้งแนวรบต่อสู้
6 บรรดาชนชาติหวั่นหวาดต่อหน้าพวกเขา
ทุกคนหน้าซีดเผือด
7 พวกเขาคุกคามอย่างนักรบเก่งกล้า
ปีนป่ายกำแพงอย่างพลทหาร
พวกเขาเดินเป็นขบวนโดยไม่ขยับ
ออกจากเส้นทางของเขา
8 พวกเขาไม่ผลักดันกันเอง
แต่เดินในเส้นทางของตน
พวกเขาโถมใส่กำลังที่รุกล้ำ
และไม่มีใครกีดขวางพวกเขาได้
9 พวกเขากระโจนใส่ตัวเมือง
และวิ่งบนกำแพง
พวกเขาปีนขึ้นบ้าน
และเข้าไปทางหน้าต่างเหมือนขโมย
10 แผ่นดินโลกโยกคลอนต่อหน้าพวกเขา
ฟ้าสวรรค์สั่นสะเทือน
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดลง
และดวงดาวไม่ส่องแสง
11 พระผู้เป็นเจ้าส่งเสียงอันกึกก้องของพระองค์
ข้างหน้ากองทัพของพระองค์
เพราะกำลังทหารของพระองค์มากยิ่งนัก
และบรรดาผู้ที่กระทำตามคำบัญชาของพระองค์เป็นพวกที่แข็งแกร่ง
เพราะวันของพระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่
และน่าเกรงขามยิ่งนัก
ใครจะสามารถทนได้
กลับมาหาพระผู้เป็นเจ้า
12 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
“แม้เวลานี้ พวกเจ้าก็จงกลับมาหาเราด้วยสุดจิตสุดใจ
ด้วยการอดอาหาร ด้วยการร้องรำพัน และด้วยการร้องคร่ำครวญ
13 อย่าฉีกเสื้อผ้าของตนเพื่อแสดงว่าสำนึกผิด
แต่จงฉีกใจของพวกเจ้า”
จงกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่าน
เพราะพระองค์มีพระคุณและความสงสาร
ไม่โกรธง่าย และบริบูรณ์ด้วยความรักอันมั่นคง
และพระองค์เปลี่ยนความตั้งใจและไม่ให้ความวิบัติเกิดขึ้น
14 ใครจะทราบได้ พระองค์อาจจะเปลี่ยนใจและสงสาร
ทั้งประทานพรไว้เบื้องหลัง
เป็นเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชา
สำหรับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่าน
15 จงเป่าแตรงอนในศิโยน
จงประกาศให้มีการอดอาหาร
ให้มีการประชุมอันบริสุทธิ์
16 รวบรวมประชาชน
ชำระที่ประชุมให้บริสุทธิ์
เรียกประชุมบรรดาผู้อาวุโส
รวบรวมเด็กๆ
แม้จะเป็นเด็กอ่อนที่ยังไม่หย่านม
ให้เจ้าบ่าวออกไปจากห้อง
และเจ้าสาวออกไปจากห้องหอของตน
17 ให้บรรดาปุโรหิต บรรดาผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า
ร้องไห้ระหว่างห้องมุขและแท่นบูชา
และพูดดังนี้ว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์ไว้ชีวิตชนชาติของพระองค์เถิด
และอย่าทำให้ผู้สืบมรดกของพระองค์เป็นที่ดูหมิ่น
เป็นดั่งคำเปรียบเปรยในสุภาษิตท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
ทำไมพวกเขาจึงจะพูดในท่ามกลางบรรดาชนชาติดังนี้ว่า
‘พระเจ้าของพวกเขาอยู่ที่ไหน’”
พระผู้เป็นเจ้าสงสาร
18 แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็เกิดหวงแหนแผ่นดินของพระองค์
และสงสารชนชาติของพระองค์
19 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวตอบชนชาติของพระองค์ดังนี้
“ดูเถิด เรากำลังส่งธัญพืช เหล้าองุ่น และน้ำมันมาให้พวกเจ้า
และพวกเจ้าจะอิ่มหนำ
และเราจะไม่ทำให้พวกเจ้าเป็นที่ดูหมิ่น
ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
20 เราจะขับไล่พวกที่อยู่ทางทิศเหนือไปให้ไกลจากพวกเจ้า
และผลักดันให้เข้าไปในแผ่นดินที่แห้งผากและรกร้างว่างเปล่า
ด้านหน้าของเขาจะลงไปสู่ทะเลทางตะวันออก
และด้านหลังสุดของเขาจะลงไปสู่ทะเลทางตะวันตก
กลิ่นเหม็นและความน่ารังเกียจของเขาจะโชยคลุ้งขึ้นมา”
เพราะพระองค์ได้กระทำสิ่งอันยิ่งใหญ่
21 โอ แผ่นดินเอ๋ย อย่ากลัวเลย
จงดีใจและยินดี
ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าได้กระทำสิ่งอันยิ่งใหญ่
22 อย่ากลัวเลย พวกเจ้าที่เป็นสัตว์ป่าของไร่นา
เพราะทุ่งหญ้าของถิ่นทุรกันดารเขียวชอุ่ม
ต้นไม้ออกผล
ต้นมะเดื่อและเถาองุ่นมีลูกดก
23 โอ พงศ์พันธุ์ศิโยนเอ๋ย
จงดีใจและยินดีในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่าน
ด้วยว่าพระองค์ได้ให้ฝนหลั่งในต้นฤดูเพราะความชอบธรรมของพวกท่าน
พระองค์ได้หลั่งฝนบนพวกท่านอย่างชุ่มฉ่ำ
ทั้งฝนในต้นและปลายฤดู เหมือนเมื่อก่อน
24 ลานนวดข้าวจะเต็มด้วยธัญพืช
ถังเหล้าองุ่นจะเปี่ยมล้นด้วยเหล้าองุ่นใหม่และน้ำมัน
25 “เราจะชดใช้สิ่งที่ตั๊กแตนตัวเต็มวัย
ตัวอ่อนระยะแรก ตัวอ่อนระยะสอง
และตั๊กแตนตัวโตเกือบเต็มวัยกินไปแล้วนานนับปี คืนให้แก่พวกเจ้า
กองทัพใหญ่ของเราซึ่งเราได้ส่งไปในท่ามกลางพวกเจ้า
26 พวกเจ้าจะมีรับประทานอย่างอุดมสมบูรณ์จนเป็นที่พอใจ
และสรรเสริญพระนามพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า
พระองค์ได้กระทำสิ่งอัศจรรย์ให้แก่พวกเจ้า
ชนชาติของเราจะไม่มีวันประสบกับความอับอายอีก
27 พวกเจ้าจะรู้ว่า เราอยู่ในท่ามกลางอิสราเอล
และเราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า
คือไม่มีผู้ใดอื่น
ชนชาติของเราจะไม่มีวันประสบกับความอับอายอีก
พระผู้เป็นเจ้าจะหลั่งพระวิญญาณ
28 และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้นคือ
เราจะหลั่งวิญญาณของเราสู่มนุษย์ทั้งหลาย
บุตรชายบุตรหญิงของเจ้าจะเผยคำกล่าวของพระเจ้า
ผู้เฒ่าจะฝันเห็น
และคนหนุ่มจะเห็นภาพนิมิตต่างๆ
29 แม้แต่บรรดาผู้รับใช้ชายและหญิง
เราก็จะหลั่งวิญญาณของเราสู่พวกเขาในวันนั้น
30 และเราจะแสดงสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ในท้องฟ้าและบนแผ่นดินโลก เลือด ไฟ และกลุ่มควัน 31 ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นความมืด ดวงจันทร์จะกลายเป็นเลือดก่อนการกลับมาของพระผู้เป็นเจ้า ในวันอันยิ่งใหญ่และน่าหวาดหวั่น 32 และสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ทุกคนที่ร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจะรอดพ้น[b] ด้วยว่าที่ภูเขาศิโยนและในเยรูซาเล็มจะมีบรรดาผู้ที่หนีรอด และในบรรดาผู้ที่รอดชีวิตจะเป็นบรรดาผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเรียก อย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแล้ว
พระผู้เป็นเจ้าประกาศโทษบรรดาประชาชาติ
3 ดูเถิด ด้วยว่าในวันนั้นและเวลานั้น เมื่อเราให้ความอุดมสมบูรณ์ของยูดาห์และเยรูซาเล็มคืนสู่สภาพเดิม 2 เราจะรวบรวมประชาชาติทั้งปวง และนำพวกเขาลงมายังหุบเขาเยโฮชาฟัท[c]และเราจะกล่าวโทษเขาทั้งหลายที่นั่น เพื่อชนชาติของเราและอิสราเอลผู้สืบมรดกของเรา เพราะพวกเขาได้ทำให้ชนชาติของเรากระจัดกระจายไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และแบ่งแยกแผ่นดินของเรา 3 พวกเขาจับฉลากเป็นการตัดสินเลือกชนชาติของเราไป และได้ขายเด็กผู้ชายเพื่อแลกกับหญิงโสเภณี และได้ขายเด็กผู้หญิงเพื่อแลกกับเหล้าองุ่นเป็นเครื่องดื่ม
4 โอ ไทระ ไซดอน และทั่วทุกแคว้นในฟีลิสเตียเอ๋ย พวกเจ้าต่อต้านเราเรื่องอะไรกัน พวกเจ้ากำลังกระทำกลับคืนให้กับเราเพราะอะไรหรือ ถ้าพวกเจ้าจะจ่ายคืนให้กับเรา เราจะจ่ายกลับคืนบนหัวของเจ้าเองอย่างไม่รอช้าและรวดเร็ว 5 เพราะพวกเจ้าได้เอาเงินและทองคำของเราไป และได้ขนของล้ำค่าและดีที่สุดของเราไปยังวิหารของเจ้า 6 พวกเจ้าขายชาวยูดาห์และเยรูซาเล็มให้แก่ชาวกรีก เพื่อย้ายพวกเขาไปให้ไกลจากถิ่นฐานของพวกเขา 7 ดูเถิด เราจะกระตุ้นพวกเขาให้กลับออกมาจากที่ซึ่งเจ้าขายพวกเขาไป และเราจะจ่ายกลับคืนบนหัวของเจ้าเอง 8 เราจะขายบรรดาบุตรชายและบุตรสาวของเจ้าให้ตกอยู่ในมือของชาวยูดาห์ และพวกเขาจะขายต่อให้แก่ชาวเช-บา ซึ่งเป็นประชาชาติที่อยู่ห่างไกล” ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแล้ว
9 จงประกาศเรื่องดังกล่าวแก่บรรดาประชาชาติ
จงกระชับเครื่องอาวุธของท่าน
กระตุ้นทหารกล้า
ให้บรรดานักรบเดินทัพเข้ามาใกล้
ให้พวกเขาขึ้นมา
10 จงตีใบมีดคันไถให้เป็นดาบ
และเครื่องมือลิดกิ่งไม้ให้เป็นหอก
ให้คนที่อ่อนแอพูดดังนี้ว่า
“ฉันเป็นคนเข้มแข็ง”
11 ประชาชาติทั้งปวงเอ๋ย
พวกท่านจงมาโดยเร็ว
และรวมตัวกันอยู่ที่นั่น
โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์ทำให้บรรดานักรบของพระองค์พ่ายแพ้เถิด
12 ให้บรรดาประชาชาติกระตุ้นตัวเอง
และขึ้นมายังหุบเขาเยโฮชาฟัท
เพราะ ณ ที่นั้นเราจะนั่งตัดสินความ
ประชาชาติทั้งปวงที่อยู่รอบข้าง
13 จงใช้เคียวเกี่ยว
เพราะได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว
มาเหยียบย่ำผลองุ่นเถิด
เพราะเครื่องสกัดเต็มแล้ว
และถังเหล้าองุ่นเปี่ยมล้น
ความชั่วร้ายของพวกเขามีมากยิ่งนัก
14 ฝูงชนจำนวนมาก ฝูงชนจำนวนมาก
ในหุบเขาแห่งการตัดสินใจ
เพราะวันของพระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
ในหุบเขาแห่งการตัดสินใจ
15 ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดลง
และดวงดาวไม่ส่องแสง
16 พระผู้เป็นเจ้าจะเปล่งเสียงดั่งสิงห์คำรามจากศิโยน
และส่งเสียงของพระองค์จากเยรูซาเล็ม
ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกสั่นสะเทือนและสั่นไหว
แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นที่พึ่งพิงของชนชาติของพระองค์
เป็นหลักยึดอันมั่นคงของชาวอิสราเอล
อนาคตอันสุกใสของยูดาห์
17 “เพื่อพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า
ผู้พำนักในศิโยน ภูเขาอันบริสุทธิ์ของเรา
และเยรูซาเล็มจะบริสุทธิ์
และบรรดาชาวต่างชาติจะไม่บุกรุกที่นั่นอีกต่อไป
18 และในวันนั้น เทือกเขาจะหยดเหล้าองุ่นใหม่
และเนินเขาจะอุดมด้วยน้ำนม
และธารน้ำทุกแห่งในหุบเขาของยูดาห์
จะมีน้ำไหลริน
และน้ำพุจะไหลออกจากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
และจะรดหุบเขาชิทธีม
19 อียิปต์จะกลายเป็นที่รกร้าง
และเอโดมจะเป็นถิ่นทุรกันดารที่รกร้าง
เนื่องจากพวกเขากระทำความรุนแรงต่อชาวยูดาห์
และได้ฆ่าคนไร้ความผิดในแผ่นดินของพวกเขา
20 แต่ยูดาห์จะมีผู้อยู่อาศัยไปตลอดกาล
และเยรูซาเล็มจะมีเช่นกันตลอดทุกชั่วอายุคน
21 เราจะไม่ปล่อยมือเปื้อนเลือด
ที่เรายังไม่ได้แก้แค้น
ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าพำนักในศิโยน”
1 ข้อความบันทึกของอาโมส ผู้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะจากเมืองเทโคอา[d] ท่านเห็นภาพนิมิตเกี่ยวกับอิสราเอล 2 ปีก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหว ในสมัยของอุสซียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และในสมัยของเยโรโบอัมบุตรเยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอล[e]
กล่าวโทษเพื่อนบ้านของอิสราเอล
2 ท่านพูดดังนี้ว่า
“พระผู้เป็นเจ้าเปล่งเสียงดั่งสิงห์คำรามจากศิโยน
เปล่งเสียงของพระองค์จากเยรูซาเล็ม
ทุ่งหญ้าของบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะเหี่ยวแห้ง
และยอดภูเขาคาร์เมลแห้งผาก”
3 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
“ชาวดามัสกัสกระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราจะไม่เปลี่ยนใจในการลงโทษ
เพราะพวกเขาเหยียบย่ำชาวกิเลอาด
ด้วยคราดหนามเหล็ก
4 ฉะนั้น เราจะให้ไฟไหม้วังของฮาซาเอล
ไฟจะเผาไหม้ป้อมปราการของเบนฮาดัด[f]
5 เราจะพังดาลประตูของดามัสกัส
เราจะกำจัดผู้ครองราชย์ไปจากหุบเขาอาเวน
และผู้ถือคทาจากเบธเอเดน
แล้วประชาชนของอารัม[g]จะลี้ภัยไปที่ดินแดนคีร์”
พระผู้เป็นเจ้ากล่าว
6 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
“กาซากระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราจะไม่เปลี่ยนใจในการลงโทษ
เพราะเมืองนั้นจับคนหลายกลุ่มไปเป็นเชลย
และมอบให้แก่เอโดม
7 ฉะนั้น เราจะให้ไฟไหม้กำแพงเมืองกาซา
ไฟจะเผาไหม้ป้อมปราการเมือง
8 เราจะกำจัดผู้ครองราชย์ไปจากอัชโดด
และผู้ถือคทาจากอัชเคโลน
เราจะปะทะกับเอโครน
จนชาวฟีลิสเตียที่ยังมีชีวิตอยู่จะพินาศ”
พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าว
9 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
“ไทระกระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราจะไม่เปลี่ยนใจในการลงโทษ
เพราะเมืองนั้นจับคนหลายกลุ่มไปเป็นเชลยและมอบให้แก่เอโดม
โดยไม่นึกถึงสัญญาพันธมิตรฉันพี่น้องที่มีต่อกัน
10 ฉะนั้น เราจะให้ไฟไหม้กำแพงเมืองไทระ
ไฟจะเผาไหม้ป้อมปราการเมือง”
11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
“เอโดมกระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราจะไม่เปลี่ยนใจในการลงโทษ
เพราะพวกเขาใช้ดาบไล่ล่าพี่น้องของเขา
และไร้ความเมตตา
ความโกรธของเขาพลุ่งพล่านอย่างไม่จบสิ้น
และฉุนเฉียวไม่หยุดหย่อน
12 ฉะนั้น เราจะให้ไฟไหม้เมืองเทมาน
ไฟจะเผาไหม้ป้อมปราการของโบสราห์”
13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
“ชาวอัมโมนกระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราจะไม่เปลี่ยนใจในการลงโทษ
เพราะพวกเขาฟันท้องบรรดาหญิงมีครรภ์ของเมืองกิเลอาด
ในเวลาที่เขาขยายเขตแดน
14 ฉะนั้น เราจะจุดไฟให้ลุกกำแพงเมืองรับบาห์
ไฟจะเผาไหม้ป้อมปราการเมืองรับบาห์
เสียงตะโกนในวันออกศึก
พร้อมทั้งพายุกล้าในวันที่มีพายุหมุน
15 กษัตริย์ของพวกเขาจะถูกเนรเทศ
พร้อมกับบรรดาผู้นำของเขา”
พระผู้เป็นเจ้ากล่าว
2 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
“โมอับกระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราจะไม่เปลี่ยนใจในการลงโทษ
เพราะพวกเขาเผากระดูกของกษัตริย์
แห่งเอโดมจนเป็นผงปูน
2 เราจะให้ไฟไหม้โมอับ
ไฟจะเผาไหม้ป้อมปราการของเคริโอท
โมอับจะสิ้นชีวิตในท่ามกลางเสียงชุลมุน
เสียงตะโกนและเสียงแตรงอน
3 เราจะกำจัดผู้ครองราชย์ของโมอับ
และฆ่าบรรดาผู้นำทั้งปวงพร้อมกับเขา”
พระผู้เป็นเจ้ากล่าว
กล่าวโทษยูดาห์
4 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
“ยูดาห์กระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราจะไม่เปลี่ยนใจในการลงโทษ
เพราะพวกเขาได้ดูหมิ่นกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า
และไม่รักษากฎเกณฑ์ของพระองค์
เพราะพวกเขาถูกชักนำให้หลงผิดด้วยสิ่งจอมปลอม
อย่างที่บรรพบุรุษของพวกเขาติดตามมาแล้ว
5 เราจะให้ไฟไหม้ยูดาห์
ไฟจะเผาไหม้ป้อมปราการของเยรูซาเล็ม”
กล่าวโทษอิสราเอล
6 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
“อิสราเอลกระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราจะไม่เปลี่ยนใจในการลงโทษ
เพราะพวกเขาขายผู้มีความชอบธรรมเพื่อแลกกับเงิน
และขายผู้ยากไร้เพื่อแลกกับรองเท้าเพียงคู่เดียว
7 พวกเขาเหยียบย่ำศีรษะของผู้ขัดสน
อย่างกับฝุ่นผงบนพื้นดิน
และไม่ยอมให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกข่มเหง
ทั้งผู้ชายและพ่อของเขานอนกับหญิงสาวคนเดียวกัน
ทำให้นามอันบริสุทธิ์ของเราเป็นที่ดูหมิ่น
8 พวกเขานอนที่ข้างแท่นบูชาทุกแห่ง
เขานอนบนเสื้อผ้าซึ่งเป็นของประกันที่เขาริบได้มาจากผู้ยากไร้[h]
พวกเขาดื่มเหล้าองุ่นที่ปรับมาได้
ในตำหนักของเทพเจ้าของพวกเขา
9 เรานั่นแหละที่ทำให้ชาวอัมโมนพินาศ
แม้เขาจะสูงใหญ่ดั่งต้นซีดาร์
และแข็งแกร่งดั่งต้นโอ๊ก
เราทำลายผลที่เบื้องบน
และรากที่เบื้องล่างของเขา
10 เรานำพวกเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์
และเราได้นำพวกเจ้าในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี
เพื่อให้พวกเจ้าเป็นเจ้าของแผ่นดินของชาวอัมโมน
11 เรากำหนดบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าขึ้นจากพวกลูกหลานของเจ้า
และกำหนดชาวนาศีร์[i]ขึ้นจากบรรดาชายหนุ่มของพวกเจ้า
โอ ชาวอิสราเอลเอ๋ย นั่นเป็นความจริงมิใช่หรือ”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
12 “แต่พวกเจ้าทำให้ชาวนาศีร์ดื่มเหล้าองุ่น
และสั่งบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า จงอย่าเผยคำกล่าว
13 ฉะนั้น บัดนี้เราจะบดขยี้พวกเจ้า
เหมือนกับเกวียนที่บรรทุกข้าวบดขยี้
14 ผู้ที่ว่องไวจะหนีไม่รอด
ผู้ที่แข็งแรงจะหมดเรี่ยวแรง
และนักรบจะเอาชีวิตไม่รอด
15 นายขมังธนูจะไม่สามารถยืนหยัดได้
ทหารที่ขาว่องไวจะหนีไปไหนไม่ได้
และทหารม้าจะเอาชีวิตไม่รอด
16 แม้บรรดานักรบผู้กล้าหาญ
ก็จะล่อนจ้อนเผ่นหนีในวันนั้น”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
ความผิดของอิสราเอลและการลงโทษ
3 โอ ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวคัดค้านพวกท่าน คัดค้านครอบครัวทั้งหมดที่พระองค์ได้นำออกจากแผ่นดินอียิปต์
2 “จากบรรดาครอบครัวทั้งปวงบนแผ่นดินโลก
มีพวกเจ้าเท่านั้นที่เราเลือกไว้แล้ว
ฉะนั้น เราจะลงโทษพวกเจ้า
เพราะบาปทั้งสิ้นของเจ้า”
3 คนสองคนเดินไปด้วยกันได้หรือ
นอกจากว่า เขาจะตกลงกันก่อน
4 สิงโตจะคำรามในป่าหรือ
เมื่อมันไม่มีเหยื่อ
แล้วมันจะทำเสียงขู่ในถ้ำของมันหรือ
เมื่อมันจับอะไรไม่ได้
5 นกติดกับดักที่พื้นดิน
เมื่อไม่มีบ่วงแร้วที่วางไว้หรือ
กับดักกระเด้งขึ้นจากพื้นดิน
เมื่อไม่มีอะไรจะจับหรือ
6 เมื่อแตรงอนส่งเสียงในเมือง
ประชาชนจะไม่หวาดกลัวหรือ
ความวิบัติเกิดขึ้นกับเมืองได้หรือ
ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่เป็นผู้กระทำ
7 ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ไม่ทำสิ่งใด
โดยไม่เผยความลับให้แก่บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า
ให้ผู้รับใช้ของพระองค์ทราบ
8 เมื่อสิงโตคำรามแล้ว
ใครจะไม่กลัว
เมื่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้กล่าวแล้ว
ใครจะทำสิ่งใดได้นอกจากจะเผยความ
9 “จงประกาศแก่ป้อมปราการในอัชโดด
และแก่ป้อมปราการในแผ่นดินอียิปต์ว่า
จงเรียกประชุมให้พร้อมหน้าบนเทือกเขาของสะมาเรีย[j]
และดูความชุลมุนในเมือง
และการข่มเหงเกิดขึ้นท่ามกลางประชาชน”
10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“พวกเขาไม่รู้จักทำสิ่งที่ถูกต้อง
สิ่งที่สะสมไว้ในป้อมปราการของพวกเขาคือ
การกระทำที่รุนแรงและเสียหายยับเยิน”
11 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า
“ศัตรูจะล้อมแผ่นดิน
และจะทำลายผู้คุ้มกันให้พ่ายแพ้
และป้อมปราการของเจ้าจะถูกปล้น”
12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “ผู้เลี้ยงดูฝูงแกะคว้ากระดูกขา 2 ท่อนหรือติ่งหูให้รอดจากปากสิงโตไว้ได้ฉันใด ชาวอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในสะมาเรียก็จะเอาตัวรอดได้ฉันนั้น คือคนนั่งที่มุมเตียงและบนผ้าคลุมเตียงจากดามัสกัส”
13 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้
“พวกเจ้าจงฟัง
และเป็นพยานฟ้องพงศ์พันธุ์ยาโคบว่า
14 ในวันที่เราลงโทษอิสราเอลเพราะบาปของเขา
เราจะทำลายแท่นบูชาที่เบธเอล[k]
เชิงงอนรูปเขาสัตว์ของแท่นบูชาจะถูกตัด
และตกลงบนพื้นดิน
15 เราจะพังบ้านฤดูหนาว
พร้อมกับบ้านฤดูร้อนลง
บ้านที่ตกแต่งด้วยงาช้างจะถูกพังทลายลง
บ้านหรูๆ ทั้งหลายจะพังพินาศ”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
4 “จงฟังเถิด พวกเจ้าที่เป็นโคตัวเมียของบาชานบนภูเขาสะมาเรีย
พวกเจ้ากดขี่ข่มเหงผู้ขัดสน และเหยียบย่ำผู้ยากไร้
และสั่งบรรดาสามีว่า ‘ไปเอาเหล้ามาให้เราดื่ม’”
2 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ปฏิญาณด้วยความบริสุทธิ์ของพระองค์ดังนี้
“ดูเถิด จะถึงวันนั้น
เมื่อพวกเขาจะลากตัวเจ้าไปด้วยขอเกี่ยว
และแม้คนสุดท้ายก็จะถูกลากไปด้วยเบ็ดตกปลา
3 และพวกเจ้าจะออกไปทางช่องกำแพงแตก
แต่ละคนวิ่งตรงไปล่วงหน้านาง
และเจ้าจะถูกเหวี่ยงออกไปยังภูเขาฮาร์โมน”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
4 “พวกเจ้าไปยังเบธเอลและกระทำบาป
ไปยังกิลกาลและกระทำบาปมากยิ่งขึ้น
นำเครื่องสักการะของเจ้ามาให้ทุกเช้า
นำหนึ่งในสิบมาให้ทุกๆ 3 วัน
5 และมอบเครื่องสักการะแห่งการขอบคุณที่มีเชื้อยีสต์ผสม
และโอ้อวดเครื่องสักการะด้วยความสมัครใจของเจ้า
ชาวอิสราเอลเอ๋ย พวกเจ้าโอ้อวดในเรื่องเหล่านี้
เพราะนั่นเป็นสิ่งที่พวกเจ้ารักที่จะทำ”
พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศ
อิสราเอลยังไม่หันกลับมาหาพระเจ้า
6 “เราทำให้พวกเจ้าไม่มีอาหารเข้าปากในทุกๆ เมือง
และเกิดความอดอยากทุกแห่งหน
พวกเจ้าก็ยังไม่หันกลับมาหาเรา”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
7 “อีกสามเดือนกว่าจะถึงเวลาเก็บเกี่ยว
แต่เราก็ทำให้ฝนไม่ตก
เราจะส่งฝนให้กับเมืองๆ หนึ่ง
และไม่ส่งให้อีกเมืองหนึ่ง
ทุ่งนาแห่งหนึ่งจะมีฝนตก
และทุ่งนาที่ไม่ได้รับฝนก็จะแห้งผาก
8 ดังนั้น ชาวเมืองสองสามเมืองจะร่อนเร่ไปยังเมืองหนึ่ง
เพื่อหาน้ำดื่ม แต่ก็ไม่ฉ่ำใจ
แต่พวกเจ้าก็ยังไม่หันกลับมาหาเรา”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
9 “หลายครั้งที่เราทำให้มีลมร้อนแห้ง
มีเชื้อราในไร่นาและไร่องุ่นของพวกเจ้า
ฝูงตั๊กแตนกัดกินต้นมะเดื่อและต้นมะกอกของพวกเจ้า
แต่พวกเจ้าก็ยังไม่หันกลับมาหาเรา”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
10 “เราส่งภัยพิบัติมาท่ามกลางพวกเจ้า
อย่างที่เราทำต่ออียิปต์
เราทำให้บรรดาชายหนุ่มของพวกเจ้าตายด้วยคมดาบ
และให้ม้าถูกยึดไป
และเราทำให้เจ้าสูดกลิ่นเหม็นศพจากค่ายของเจ้า
แต่เจ้าก็ยังไม่หันกลับมาหาเรา”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
11 “เราให้พวกเจ้าบางคนพบกับความพินาศ
อย่างที่เราทำต่อโสโดมและโกโมราห์[l]
พวกเจ้าเป็นเหมือนกับกิ่งไม้ที่ถูกไฟเผาที่ถูกคว้าออกจากกองไฟ
แต่พวกเจ้าก็ยังไม่หันกลับมาหาเรา”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
12 “ฉะนั้น อิสราเอลเอ๋ย เราจะกระทำต่อเจ้าอย่างนี้
และเพราะว่าเราจะกระทำต่อเจ้าอย่างนี้
จงเตรียมตัวไปพบกับพระเจ้าของเจ้าเถิด อิสราเอลเอ๋ย”
13 พระองค์เป็นผู้ปั้นเทือกเขา
และสร้างลมขึ้นมา
และเผยความนึกคิดของพระองค์ให้แก่มนุษย์
พระองค์ทำให้อรุณรุ่งเป็นความมืด
และเดินย่ำบนที่สูงแห่งแผ่นดินโลก
พระองค์มีพระนามว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา
แสวงหาพระผู้เป็นเจ้า และจะมีชีวิต
5 โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเสียงร้องคร่ำครวญของข้าพเจ้าถึงความตายของท่าน
2 “อิสราเอลผู้บริสุทธิ์ถล่มลง
จะไม่มีวันลุกขึ้นได้อีก
ถูกทอดทิ้งในแผ่นดินของนางเอง
และจะไม่มีใครพยุงนางให้ลุกขึ้น”
3 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้
“เมืองที่มีทหารเดินหน้าออกไปนับพัน
จะมีชีวิตทหารเหลืออยู่เพียงนับร้อย
และเมืองที่มีทหารนับร้อย
จะมีชีวิตทหารเหลืออยู่เพียงนับสิบในพงศ์พันธุ์อิสราเอล”
4 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอลดังนี้
“จงแสวงหาเรา และจะมีชีวิต
5 อย่าแสวงหาเบธเอล
อย่าไปยังกิลกาล
อย่าเดินทางไปยังเบเออร์เช-บา
เพราะกิลกาลจะต้องถูกเนรเทศ
และเบธเอลจะไม่มีอะไรเหลือเลย”
6 จงแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า และจะมีชีวิต
มิฉะนั้นพระองค์จะเผาผลาญพงศ์พันธุ์โยเซฟอย่างเพลิงไฟ
ไฟจะเผาไหม้
และเบธเอลจะไม่มีใครช่วยดับได้
7 พวกท่านที่แปรความยุติธรรมให้เป็นความขมขื่น
และเหวี่ยงความชอบธรรมลงบนพื้นดิน
8 พระองค์ผู้สร้างดาวลูกไก่และดาวไถ[m]
และทำความมืดให้เป็นรุ่งอรุณ
และทำกลางวันให้เป็นกลางคืน
พระองค์ผู้รวบรวมน้ำในทะเล
และเทลงบนพื้นดิน
พระนามของพระองค์คือ พระผู้เป็นเจ้า
9 พระองค์ทำหลักยึดอันแข็งแกร่งให้พินาศในพริบตา
และทำให้ป้อมปราการพังทลายลง
10 พวกเขาเกลียดผู้ที่ทักท้วงความไม่เป็นธรรมในที่ตัดสินความ
และพวกเขาดูหมิ่นผู้ที่พูดความจริง
11 ฉะนั้น เมื่อพวกท่านเหยียบย่ำผู้ขัดสน
และยึดผลที่ได้จากไร่ไปจากเขา
แม้พวกท่านสร้างบ้านหรูด้วยหินสกัดแล้ว
แต่ท่านก็จะไม่ได้อาศัยอยู่
แม้พวกท่านปลูกสวนองุ่นที่งาม
แต่ท่านก็จะไม่ได้ดื่มเหล้าจากผลองุ่น
12 เพราะข้าพเจ้ารู้ว่า พวกท่านล่วงละเมิดเพียงไร
และบาปของพวกท่านใหญ่ยิ่งนัก
พวกท่านทำให้ผู้มีความชอบธรรมต้องเดือดร้อน
พวกท่านรับสินบน
และห้ามไม่ให้ผู้ยากไร้ได้รับความเป็นธรรมในที่ตัดสินความ
13 ฉะนั้น ผู้ฉลาดรอบคอบจะนิ่งเงียบในเวลาเช่นนี้
เพราะเป็นกาลวิบัติ
14 จงแสวงหาความดี ไม่ใช่ความชั่ว
เพื่อพวกท่านจะมีชีวิต
และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธาจะอยู่กับพวกท่าน
อย่างที่ท่านยืนยัน
15 จงเกลียดชังความชั่ว และรักความดี
และเสริมสร้างความเป็นธรรมในการตัดสินความ
เผื่อว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา
จะมีเมตตาต่อบรรดาผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของโยเซฟ
16 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
“จะมีการร้องไห้ฟูมฟายตามถนนหนทาง
และพวกเขาจะพูดกันด้วยความปวดร้าวที่ลานชุมนุมว่า ‘โธ่เอ๋ย โธ่เอ๋ย’
พวกเขาจะเรียกชาวไร่ให้มาร้องรำพัน
และให้บรรดาผู้รับจ้างร้องคร่ำครวญมาเพื่อร้องไห้ฟูมฟาย
17 และจะมีการร้องไห้ฟูมฟายในไร่องุ่น
เพราะเราจะมาลงโทษในหมู่พวกเจ้า”
พระผู้เป็นเจ้ากล่าว
อิสราเอลวางใจในสิ่งที่ผิด
18 วิบัติแก่พวกท่านที่รอคอย
วันที่พระผู้เป็นเจ้าจะมา
ทำไมพวกท่านจึงรอคอยวันที่พระผู้เป็นเจ้าจะมา
วันนั้นจะเป็นวันแห่งความมืดมน ไม่ใช่ความสว่าง
19 วันนั้นจะเป็นเหมือนกับคนที่หนีจากสิงโต
แต่จะไปปะกับหมี
จะเป็นเหมือนกับวันที่เขาถึงบ้าน
และเอามือพิงกำแพง
แล้วก็ถูกงูกัด
20 วันที่พระผู้เป็นเจ้าจะมาจะเป็นวันแห่งความมืดมน ไม่ใช่ความสว่างมิใช่หรือ
มืดมนจนไม่มีแม้แต่วี่แววของความสว่างเลย
21 “เราเกลียดและขยะแขยงเทศกาลฉลองทางศาสนาของพวกเจ้า
เราทนต่อการนัดประชุมของพวกเจ้าไม่ได้
22 ถึงแม้ว่าพวกเจ้านำสัตว์ที่เผาเป็นของถวายและเครื่องธัญญบูชามาให้เรา
เราจะไม่รับ
แม้ว่าพวกเจ้านำของถวายเพื่อสามัคคีธรรมที่ดีที่สุด
เราจะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น
23 จงหยุดส่งเสียงร้องเพลงให้เราฟัง
เราจะไม่ฟังทำนองจากพิณเล็กของเจ้า
24 จงให้ความเป็นธรรมหลั่งออกมาอย่างสายน้ำ
และความชอบธรรมหลั่งอย่างธารน้ำที่ไหลไม่ขาดสาย
25 โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย พวกเจ้านำเครื่องสักการะและของถวายมาให้เราในช่วงเวลา 40 ปีในถิ่นทุรกันดารอย่างนั้นหรือ 26 พวกเจ้าได้ยกหามเพิงของกษัตริย์ของเจ้า และฐานรูปเคารพของเจ้า และดาวเทพเจ้าที่เจ้าทำขึ้นเอง 27 ฉะนั้นเราจะให้เจ้าถูกเนรเทศเลยเขตดามัสกัสไป”[n] พระผู้เป็นเจ้ากล่าว พระองค์มีพระนามว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา
วิบัติแก่บรรดาผู้ที่นิ่งนอนใจในศิโยน
6 วิบัติแก่บรรดาผู้ที่นิ่งนอนใจในศิโยน
และแก่บรรดาผู้ที่รู้สึกปลอดภัยบนภูเขาในสะมาเรีย
แก่บรรดาผู้มีชื่อเสียง และเป็นที่หนึ่งของบรรดาประชาชาติ
ซึ่งพงศ์พันธุ์อิสราเอลมาขอความช่วยเหลือ
2 จงไปดูเมืองคาลเนห์
จากนั่นก็ไปยังฮามัทเมืองอันยิ่งใหญ่
และลงไปยังเมืองกัทในฟีลิสเตีย
สามเมืองนี้มั่งคั่งกว่าอาณาจักรทั้งสองของพวกท่านหรือ
แผ่นดินของพวกเขากว้างใหญ่กว่าของพวกท่านหรือ
3 พวกท่านผลัดวันแห่งความทุกข์ยากให้ไกลออกไป
และเปิดทางให้กับการปกครองที่ชั่วร้ายเร็วยิ่งขึ้น
4 วิบัติเกิดแก่พวกท่านที่นอนบนเตียงงาช้าง
และยืดกายบนเตียง
ท่านรับประทานเนื้อแกะจากฝูง
และเนื้อลูกโคตัวผู้จากคอก
5 พวกท่านดีดพิณเล็กอย่างดาวิด
และแต่งเพลงร้องขึ้นเอง
6 พวกท่านดื่มเหล้าองุ่นเป็นไห
และเจิมตัวเองด้วยน้ำมันชนิดดีที่สุด
แต่ไม่เศร้าใจกับความหายนะของพงศ์พันธุ์โยเซฟ
7 ฉะนั้น บัดนี้พวกท่านจะเป็นพวกแรกที่จะถูกเนรเทศ
การเลี้ยงฉลองและความสุขสบายจะจบสิ้นลง
8 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ปฏิญาณโดยพระองค์เอง พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้
“เราชิงชังความหยิ่งยโสของยาโคบ
และเกลียดป้อมปราการของเขา
เราจะยกเมืองและทุกสิ่งในนั้น
ให้แก่ศัตรูไป”
9 ถ้าบ้านใดบ้านหนึ่งมีคน 10 คนอยู่ในบ้าน พวกเขาก็จะตายเช่นกัน 10 และถ้าญาติคนหนึ่งที่จะเป็นผู้ทำศพมาหามพวกเขาออกไปจากบ้าน จะตะโกนถามว่า “ยังมีผู้ใดอยู่ในบ้านหรือไม่” ถ้ามีคนตอบว่า “ไม่มี” ญาติคนนั้นจะพูดว่า “เงียบไว้ พวกเราต้องไม่เอ่ยพระนามของพระผู้เป็นเจ้า”
11 ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าออกคำสั่ง
พระองค์จะพังบ้านหลังใหญ่ให้ทลายลง
และหลังเล็กก็จะถูกพังจนแหลกละเอียด
12 ม้าวิ่งตามโขดหินได้อย่างนั้นหรือ
จะให้โคไถนาที่นั่นได้หรือ
แต่พวกท่านได้ทำให้ความเป็นธรรมกลายเป็นยาพิษ
และผลแห่งความชอบธรรมกลายเป็นความขมขื่น
13 พวกท่านดีใจที่ชนะเมืองโลเดบาร์
และพูดดังนี้ว่า “พวกเราได้ยึดคาร์นาอิม
ด้วยกำลังของเราเองมิใช่หรือ”
14 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้
“โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะทำให้ประชาชาติหนึ่งมาโจมตีพวกเจ้า
และจะกดขี่ข่มเหงพวกเจ้าตั้งแต่เลโบฮามัท
ไปจนถึงธารน้ำในหุบเขาอาราบาห์”
เตือนด้วยภาพนิมิต
7 นี่คือภาพที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ให้ข้าพเจ้าแลเห็น พระองค์บันดาลให้มีฝูงตั๊กแตนขึ้นมาขณะที่หญ้าเพิ่งจะเริ่มงอกครั้งต่อไป ดูเถิด เป็นหญ้าที่งอกครั้งต่อไปหลังจากที่ให้ตัดหญ้าของกษัตริย์แล้ว[o] 2 เมื่อฝูงตั๊กแตนกัดกินหญ้าบนแผ่นดินจนเกลี้ยงแล้ว ข้าพเจ้าพูดว่า
“โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ โปรดยกโทษด้วยเถิด
พงศ์พันธุ์ยาโคบจะรอดได้อย่างไร
เขาเป็นเพียงชนกลุ่มน้อย”
3 พระผู้เป็นเจ้าเปลี่ยนใจในเรื่องนี้
พระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวดังนี้ว่า
“จะไม่ให้เป็นไปตามนั้น”
4 นี่คือภาพที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ให้ข้าพเจ้าแลเห็น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กำลังจะลงโทษด้วยไฟ ซึ่งทำให้ห้วงน้ำลึกเหือดแห้งและลามไหม้ถึงพื้นแผ่นดิน 5 ข้าพเจ้าจึงพูดดังนี้ว่า
“โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ โปรดหยุดกระทำเถิด
พงศ์พันธุ์ยาโคบจะรอดได้อย่างไร
เขาเป็นเพียงชนกลุ่มน้อย”
6 พระผู้เป็นเจ้าเปลี่ยนใจในเรื่องนี้
พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จึงกล่าวดังนี้ว่า
“จะไม่ให้เป็นไปตามนั้นก็แล้วกัน”
7 นี่คือภาพที่พระองค์ให้ข้าพเจ้าแลเห็น พระผู้เป็นเจ้ายืนข้างกำแพงที่ใช้สายดิ่งในการก่อสร้าง และสายดิ่งอยู่ในมือของพระองค์ 8 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “อาโมส เจ้ามองเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “สายดิ่ง” พระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวดังนี้
“ดูเถิด เรากำลังตั้งสายดิ่งเป็นมาตรฐานการวัด
ท่ามกลางอิสราเอลชนชาติของเรา
เราจะไม่ปล่อยพวกเขาไว้อีกต่อไป
9 สถานบูชาบนภูเขาสูงของอิสอัคจะถูกทำลาย
และสถานที่บูชาต่างๆ ของอิสราเอลจะถูกพังทลายสิ้น
และเราจะทำให้พงศ์พันธุ์ของกษัตริย์เยโรโบอัมแพ้สงคราม”
อาโมสถูกกล่าวหา
10 อามาซิยาห์ปุโรหิตของเบธเอลจึงส่งสาสน์ถึงกษัตริย์เยโรโบอัมกษัตริย์ของอิสราเอล มีใจความดังนี้ว่า “อาโมสได้วางแผนที่จะทำร้ายท่านในท่ามกลางพงศ์พันธุ์อิสราเอล แผ่นดินไม่สามารถทนต่อคำพูดของเขาได้ 11 เพราะอาโมสได้พูดไว้ว่า
‘เยโรโบอัมจะตายด้วยคมดาบ
และอิสราเอลจะถูกเนรเทศ
ไปจากแผ่นดินของตน’”
12 อามาซิยาห์พูดกับอาโมสดังนี้ว่า “โอ ผู้รู้จงไป หนีไปยังแผ่นดินแห่งยูดาห์ ไปหาอาหารรับประทาน และเผยคำกล่าวที่นั่นได้แล้ว 13 อย่าเผยคำกล่าวในเบธเอลอีกต่อไป เพราะที่นี่เป็นสถานที่พำนักของกษัตริย์ และเป็นวิหารของอาณาจักร”
14 อาโมสตอบอามาซิยาห์ดังนี้ว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และไม่ใช่บุตรของผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเช่นกัน แต่ข้าพเจ้าเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ และข้าพเจ้าดูแลต้นมะเดื่อ 15 แต่พระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้าเลิกเฝ้าฝูงแกะ และกล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า ‘จงไปเผยคำกล่าวแก่อิสราเอลชนชาติของเรา’ 16 บัดนี้ จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า ท่านพูดว่า
‘อย่าเผยคำกล่าวต่อต้านอิสราเอล
และหยุดเทศนาต่อว่าพงศ์พันธุ์อิสอัค’
17 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
‘ภรรยาของเจ้าจะเป็นโสเภณีในเมือง
บรรดาบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้าจะตายด้วยคมดาบ
แผ่นดินของเจ้าจะถูกแบ่งแยกด้วยสายดิ่ง
ตัวเจ้าเองจะตายในแผ่นดินที่เป็นมลทิน
และอิสราเอลจะถูกเนรเทศไปจากแผ่นดินอย่างแน่นอน’”
จะถึงวันที่ร้องคร่ำครวญอย่างขมขื่น
8 นี่คือภาพที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ให้ข้าพเจ้าแลเห็น ตะกร้าผลไม้สุก 1 ตะกร้า 2 พระองค์กล่าวดังนี้ว่า “อาโมส เจ้ามองเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ตะกร้าผลไม้สุก” และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า
“การสิ้นสุดได้มาถึงอิสราเอล ชนชาติของเราแล้ว
เราจะไม่ปล่อยพวกเขาไว้อีกต่อไป
3 ในวันนั้น เพลงในวิหาร
จะกลายเป็นการร้องไห้ฟูมฟาย”
พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้
“มีร่างคนตายมากมาย
พวกเขาถูกโยนไว้เกลื่อนกลาด
จงเงียบเถิด”
4 ฉะนั้น จงฟังเถิด พวกท่านที่เหยียบย่ำผู้ยากไร้
และทำให้ผู้ถูกข่มเหงของแผ่นดินจบชีวิตลง
5 พวกท่านคิดในใจดังนี้ว่า
“เมื่อไหร่ยามข้างขึ้นจะผ่านพ้นไปเสียที
พวกเราจะได้ขายธัญพืช
และเมื่อไหร่วันสะบาโตจะผ่านพ้นไปเสียที
พวกเราจะได้ประกาศขายข้าวสาลี
เพื่อพวกเราจะได้ลดปริมาณน้ำหนักเอฟาห์[p]ให้น้อยลง
เพิ่มราคาเชเขล[q]ให้มากขึ้น
และโกงด้วยตาชั่งที่ไม่เที่ยงตรง
6 เพื่อเราจะได้ซื้อผู้ขัดสนด้วยเงิน
และซื้อผู้ยากไร้ด้วยรองเท้าคู่เดียว
และขายได้แม้แต่เศษข้าวสาลี”
7 พระผู้เป็นเจ้าปฏิญาณด้วยความภูมิใจของยาโคบ[r]ดังนี้ว่า
“เราจะไม่มีวันลืมการกระทำของพวกเขาอย่างแน่นอน
8 แผ่นดินจะไม่สั่นสะเทือนเพราะเหตุนี้หรือ
ทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินจะไม่ร้องคร่ำครวญหรือ
ทั้งแผ่นดินจะเอ่อขึ้นอย่างแม่น้ำไนล์
และจะถูกซัดและจมดิ่งลงอีกอย่างแม่น้ำของอียิปต์”
9 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้
“ในวันนั้น เราจะทำให้ดวงอาทิตย์ตกเวลาเที่ยงวัน
และทำให้โลกมืดลงในเวลากลางวัน
10 เราจะทำให้งานฉลองเทศกาลกลับกลายเป็นการร้องคร่ำครวญ
และการร้องเพลงของพวกเจ้ากลับกลายเป็นการร้องรำพัน
เราจะให้พวกเจ้าทุกคนคาดเอวด้วยผ้ากระสอบ
และให้ศีรษะของพวกเจ้าทุกคนล้าน
เราจะทำให้เวลานั้นเป็นเหมือนการร้องคร่ำครวญถึงบุตรชายเพียงคนเดียว
และจบสิ้นด้วยวันอันขมขื่น”
11 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้
“ดูเถิด วันเวลาดังกล่าวกำลังจะมาถึง
เมื่อเราจะก่อให้เกิดการอดอยากทั่วทั้งแผ่นดิน
ไม่ใช่อดอยากอาหารหรือกระหายน้ำ
แต่จะอดอยากเรื่องการได้ยินคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
12 ผู้คนจะเร่ร่อนจากทะเลแห่งหนึ่งจรดทะเลอีกแห่งหนึ่ง
และจากทิศเหนือจนถึงทิศตะวันออก
พวกเขาจะวิ่งไปมาเพื่อแสวงหาคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
แต่พวกเขาก็จะไม่พบ
13 ในวันนั้น พรหมจาริณีรูปงามและชายหนุ่มร่างกำยำ
จะสลบจากการกระหายน้ำ
14 บรรดาผู้ที่สาบานด้วยรูปเคารพ
ที่น่าอับอายของสะมาเรีย
หรือผู้ที่พูดว่า ‘โอ เมืองดานเอ๋ย
ตราบที่เทพเจ้าของเจ้ามีชีวิตอยู่’
หรือพูดว่า ‘ตราบที่เทพเจ้าของเบเออร์เช-บามีชีวิตอยู่’
พวกเขาจะล้มลงและไม่มีวันลุกขึ้นอีก”
ความพินาศของอิสราเอล
9 ข้าพเจ้ามองเห็นพระผู้เป็นเจ้ายืนที่ข้างแท่นบูชา และพระองค์กล่าวดังนี้
“จงฟาดรูปบัวทรงกลมที่ยอดวิหาร
ซึ่งจะทำให้ธรณีประตูสั่นสะเทือน
และให้ตกใส่ศีรษะของทุกคนจนแตกละเอียด
เราจะกำจัดคนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยคมดาบ
ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะหนีไปได้
ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะรอดชีวิตได้
2 ถ้าหากว่าพวกเขาจะขุดลงไปยังแดนคนตาย
มือของเราก็จะกำจัดพวกเขาเอง
ถ้าพวกเขาจะปีนขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์
เราก็จะฉุดพวกเขาลงมาจากที่นั่น
3 ถ้าหากว่าพวกเขาจะหลบซ่อนตัวบนยอดภูเขาคาร์เมล
เราก็จะหาพวกเขาที่นั่นจนพบและเอาตัวลงมา
และถ้าพวกเขาจะหลบซ่อนที่ก้นทะเลให้พ้นสายตาของเรา
เราก็จะสั่งงูทะเลให้ฉกกัดพวกเขา
4 และถ้าหากว่าพวกเขาถูกพวกศัตรูจับตัวไปเป็นเชลย
เราก็จะสั่งดาบที่นั่นให้ฆ่าพวกเขา
และเราจะคอยจับตาดูว่า
พวกเขาจะประสบกับภัยอันตราย
ไม่ใช่ความปลอดภัย”
5 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ยิ่งใหญ่
พระองค์แตะแผ่นดินโลก มันก็หลอมละลาย
และทุกคนที่อาศัยอยู่ในนั้นก็คร่ำครวญ
และทุกคนจะเอ่อขึ้นอย่างแม่น้ำไนล์
และจะลดลงอีกอย่างแม่น้ำไนล์ของอียิปต์
6 พระองค์สร้างสถานที่อยู่เบื้องสูงในฟ้าสวรรค์
และวางฐานรากบนแผ่นดินโลก
พระองค์เรียกน้ำทะเลมา
แล้วเทน้ำลงบนพื้นดิน
พระนามของพระองค์คือ พระผู้เป็นเจ้า
7 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
“โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย
เราเห็นว่าพวกเจ้าเป็นเหมือนชาวคูช
เราได้นำอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์มิใช่หรือ
และชาวฟีลิสเตียจากคัฟโทร์
และชาวอารัมจากเมืองคีร์มิใช่หรือ
8 ดูเถิด เราผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
จับตาดูอาณาจักรที่ชั่วโฉด
และเราจะทำลายล้างไปเสียจากพื้นโลก
แต่เราจะไม่ทำลายพงศ์พันธุ์ยาโคบให้หมดสิ้นไป”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
9 “เพราะเราจะบัญชา
และฝัดร่อนพงศ์พันธุ์อิสราเอล
ในท่ามกลางประชาชาติทั้งปวง
เหมือนเขย่าด้วยตะแกรง
แต่ไม่มีหินสักก้อนที่จะลอดหลุด
และตกลงบนพื้นดินได้
10 คนบาปทั้งปวงของชนชาติเรา
จะตายด้วยคมดาบ
ทุกคนที่พูดว่า
‘ความชั่วร้ายจะไม่เกิดขึ้นกับเรา
หรือเข้าใกล้ถึงตัวเราหรอก’
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation