Bible in 90 Days
โลกเกลียดชังผู้ที่ติดตามพระเยซู
18 ถ้าโลกนี้เกลียดชังเจ้า ก็จงรู้เถิดว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อนที่จะเกลียดชังเจ้า 19 ถ้าเจ้าเป็นคนของโลกนี้ โลกจะรักเจ้าซึ่งเป็นคนของโลก แต่เจ้าไม่ใช่คนของโลกนี้เพราะเราได้เลือกให้เจ้าออกมาจากโลก ฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังเจ้า 20 จงจำคำที่เรากล่าวไว้กับเจ้าว่า ‘ทาสรับใช้ไม่ยิ่งใหญ่กว่านายของเขา’ ถ้าคนของโลกกดขี่ข่มเหงเราแล้ว เขาก็จะกดขี่ข่มเหงเจ้าด้วย ถ้าพวกเขาปฏิบัติตามคำของเราแล้ว เขาก็จะปฏิบัติตามคำของเจ้าด้วย 21 สิ่งที่พวกเขาจะกระทำต่อเจ้าเป็นเพราะชื่อของเรา เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ส่งเรามา 22 ถ้าเราไม่ได้พูดกับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่มีบาป แต่บัดนี้เขาเหล่านั้นไม่มีข้ออ้างในเรื่องบาปของเขา 23 ผู้ที่เกลียดชังเรา ก็เกลียดชังพระบิดาของเราด้วย 24 ถ้าเราไม่ได้กระทำสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่มีใครเคยทำในหมู่เขา พวกเขาก็จะไม่มีบาป แต่บัดนี้เขาเหล่านั้นได้เห็นและเกลียดชังทั้งเราและพระบิดาของเรา 25 เพื่อให้เป็นไปตามที่เขียนไว้ในกฎบัญญัติของพวกเขาว่า ‘พวกเขาเกลียดชังข้าพเจ้าอย่างไร้สาเหตุ’[a]
26 เราจะส่งองค์ผู้ช่วยจากพระบิดามายังพวกเจ้า องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณแห่งความจริงที่มาจากพระบิดา พระองค์มาเพื่อจะยืนยันในเรื่องที่เกี่ยวกับเรา 27 และเจ้าจะร่วมยืนยันด้วย เพราะเจ้าได้อยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว
16 เราบอกถึงสิ่งเหล่านี้กับเจ้าเพื่อเจ้าจะได้ไม่หลงผิด 2 ผู้คนจะขับไล่เจ้าออกจากศาลาที่ประชุม แต่จะถึงเวลาซึ่งใครก็ตามที่ฆ่าเจ้าตายจะคิดว่า สิ่งที่เขากระทำไปเป็นการรับใช้พระเจ้า 3 พวกเขาจะทำดังนั้นเพราะไม่รู้จักพระบิดาและไม่รู้จักเรา 4 แต่เราบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เพื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้วเจ้าจะจำได้ว่าเราบอกไว้แล้ว แม้ว่าไม่ได้บอกแต่แรกเพราะเรายังอยู่กับเจ้า
พระวิญญาณบริสุทธิ์ปฏิบัติงาน
5 บัดนี้เรากำลังจะไปหาพระองค์ผู้ส่งเรามา แต่ไม่มีพวกเจ้าสักคนเลยที่ถามเราว่า ‘จะไปไหน’ 6 เป็นเพราะเราได้บอกเจ้าแล้วเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ จิตใจของเจ้าจึงเต็มด้วยความเศร้า 7 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า การที่เราจากไปก็เพื่อประโยชน์ของเจ้า ถ้าเราไม่จากไป องค์ผู้ช่วยจะไม่มาหาเจ้า แต่ถ้าเราไป เราจะส่งพระองค์มาหาเจ้า 8 เมื่อพระองค์มา พระองค์ก็จะพิสูจน์ให้โลกเห็นในเรื่องบาป เรื่องความชอบธรรม และการพิพากษาโลก 9 เรื่องบาปก็คือ พวกเขาไม่เชื่อในเรา 10 เรื่องความชอบธรรมก็เพราะเรากำลังจะไปหาพระบิดา และพวกเจ้าจะไม่เห็นเราอีก 11 และเรื่องการพิพากษาโลก เพราะผู้ครองโลกนี้ได้ถูกกล่าวโทษแล้ว
12 มีอีกหลายสิ่งที่เราจะบอกเจ้า แต่เจ้าจะทนรับไม่ได้ในเวลานี้ 13 เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงมา พระองค์จะนำพวกเจ้าสู่ความจริงทั้งสิ้น พระองค์จะไม่พูดตามใจของพระองค์เอง แต่จะพูดตามที่พระองค์ได้ยิน พระองค์จะแจ้งให้เจ้ารู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น 14 พระองค์จะให้พระบารมีแก่เรา เพราะว่าสิ่งที่พระองค์ได้ยินจากเรา พระองค์ก็จะให้พวกเจ้าทราบ 15 ทุกสิ่งที่พระบิดามีอยู่เป็นของเรา ฉะนั้นเราพูดได้ว่า สิ่งที่พระวิญญาณได้ยินจากเรา พระองค์ก็จะให้พวกเจ้าทราบ
ความเศร้ากลับกลายเป็นความยินดี
16 อีกเพียงประเดี๋ยวหนึ่งพวกเจ้าก็จะไม่เห็นเราอีก และอีกเพียงประเดี๋ยวหนึ่งพวกเจ้าก็จะได้เห็นเราอีก” 17 สาวกบางคนของพระองค์พูดโต้ตอบกันว่า “สิ่งที่พระองค์กำลังบอกพวกเราคืออะไร ‘เพียงประเดี๋ยวหนึ่งพวกเจ้าจะไม่เห็นเรา และอีกประเดี๋ยวหนึ่งพวกเจ้าก็จะได้เห็นเราอีก’ และ ‘เพราะเราไปหาพระบิดา’” 18 ดังนั้นพวกเขาจึงพูดว่า “สิ่งที่พระองค์พูดคืออะไร ‘เพียงประเดี๋ยวหนึ่ง’ เราไม่ทราบว่าพระองค์พูดถึงอะไร” 19 พระเยซูทราบว่าบรรดาสาวกปรารถนาที่จะถามพระองค์ พระองค์จึงกล่าวกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าถามกันไปมาในเรื่องที่เราพูดหรือว่า ‘เพียงประเดี๋ยวหนึ่งพวกเจ้าจะไม่เห็นเราอีก และอีกเพียงประเดี๋ยวหนึ่งพวกเจ้าก็จะได้เห็นเราอีก’ 20 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ขณะที่พวกเจ้าร้องไห้และคร่ำครวญ โลกก็จะชื่นชมยินดี เจ้าจะมีความเศร้า แต่ความเศร้าของเจ้าก็จะกลับกลายเป็นความยินดี 21 เมื่อไรก็ตามที่ผู้หญิงจะคลอดบุตร นางมีความทุกข์ก็เพราะถึงกำหนด แต่เมื่อนางคลอดแล้วก็ไม่คิดถึงความเจ็บปวดอีกเลย เพราะยินดีที่ลูกได้เกิดมาในโลกแล้ว 22 บัดนี้พวกเจ้ามีความเศร้า แต่เราจะเห็นพวกเจ้าอีก และใจของเจ้าจะชื่นชมยินดี ไม่มีผู้ใดเอาความยินดีไปจากเจ้าได้ 23 ในวันนั้นพวกเจ้าจะไม่ถามเราอีก เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ถ้าเจ้าจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะมอบสิ่งนั้นให้แก่เจ้า 24 จนบัดนี้พวกเจ้ายังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วเจ้าจะได้รับ เพื่อความชื่นชมยินดีของเจ้าจะได้เต็มเปี่ยม
25 เราได้พูดถึงสิ่งเหล่านี้กับเจ้าเป็นความเปรียบ จะถึงเวลาที่เราไม่ต้องพูดกับพวกเจ้าเป็นความเปรียบอีกต่อไปแล้ว และบอกเรื่องของพระบิดาอย่างแจ่มแจ้งได้ 26 ในวันนั้นพวกเจ้าจะขอในนามของเรา และไม่ได้หมายความว่าเราจะขอจากพระบิดาให้เจ้า 27 ด้วยว่าพระบิดาเองรักพวกเจ้า เพราะเจ้ารักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระบิดา 28 เรามาจากพระบิดาและเข้ามาในโลก และบัดนี้เรากำลังจะจากโลกนี้ไปหาพระบิดา”
29 บรรดาสาวกของพระองค์พูดว่า “ดูเถิด บัดนี้พระองค์กล่าวอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ได้กล่าวเป็นความเปรียบ 30 บัดนี้พวกเราเห็นแล้วว่าพระองค์ทราบถึงทุกสิ่ง และไม่จำเป็นต้องมีผู้ใดซักถามพระองค์ ด้วยเหตุนี้พวกเราเชื่อว่าพระองค์มาจากพระเจ้า” 31 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “บัดนี้พวกเจ้าเชื่อแล้วหรือ 32 ดูเถิด จวนจะถึงเวลา และในที่สุดก็ถึงเวลาแล้วที่พวกเจ้าจะต้องกระจัดกระจายไปยังบ้านของตน และทิ้งเราไว้เพียงลำพัง แต่อย่างไรก็ตามเราไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เพราะว่าพระบิดาอยู่กับเรา 33 เราพูดถึงสิ่งเหล่านี้กับเจ้าเพื่อเจ้าจะได้มีสันติสุขในเรา พวกเจ้าจะประสบกับความทุกข์ยากในโลกนี้ แต่จงทำใจให้กล้าหาญเถิด เรามีชัยชนะต่อโลกแล้ว”
คำอธิษฐานของพระเยซู
17 หลังจากที่พระเยซูได้พูดถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็เงยหน้าขึ้นสู่สวรรค์และกล่าวว่า “พระบิดา ถึงเวลาแล้ว ขอพระบารมีของพระองค์จงมีแด่พระบุตรของพระองค์เถิด เพื่อพระบุตรจะได้มอบพระบารมีให้แด่พระองค์ 2 พระองค์ได้ให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจเหนือมนุษย์ทั้งปวง เพื่อจะได้มอบชีวิตอันเป็นนิรันดร์แก่ทุกคนที่พระองค์ได้ให้แก่พระบุตร 3 ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ คือพวกเขาจะได้รู้จักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าที่แท้จริง และพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ได้ส่งมา 4 ข้าพเจ้าได้ให้พระบารมีแด่พระองค์ในโลก ด้วยเหตุว่าข้าพเจ้าได้ทำงานที่พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้าทำเสร็จบริบูรณ์แล้ว 5 พระบิดา บัดนี้ขอพระองค์โปรดให้ข้าพเจ้าได้รับพระบารมีร่วมกับพระองค์ ซึ่งเป็นพระบารมีที่ข้าพเจ้าเคยมีร่วมกับพระองค์ ก่อนที่โลกนี้จะมีมาด้วยเถิด
6 ข้าพเจ้าเปิดเผยพระนามของพระองค์ แก่คนที่พระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า ซึ่งมาจากโลกนี้ เขาเหล่านั้นเป็นคนของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า และเขาก็ได้เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์แล้ว 7 บัดนี้พวกเขาทราบแล้ว ว่าทุกสิ่งซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้ามาจากพระองค์ 8 เพราะว่าคำสั่งสอนที่พระองค์ให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ให้แก่พวกเขา และพวกเขาก็ได้รับแล้ว และเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่า ข้าพเจ้ามาจากพระองค์ และเชื่อว่าพระองค์ส่งข้าพเจ้ามา 9 ข้าพเจ้าขอร้องเพื่อพวกเขา มิใช่เพื่อโลกนี้ แต่เพื่อบรรดาคนที่พระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า เพราะพวกเขาเป็นคนของพระองค์ 10 ทุกสิ่งที่เป็นของข้าพเจ้า ก็เป็นของพระองค์ และสิ่งที่เป็นของพระองค์ก็เป็นของข้าพเจ้าเช่นกัน ข้าพเจ้าได้รับบารมีผ่านเขาเหล่านั้น 11 ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในโลกต่อไปแล้ว แต่พวกเขาเองยังคงอยู่ในโลก ข้าพเจ้ามาหาพระองค์ พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์โปรดพิทักษ์รักษาเขาไว้ในพระนามของพระองค์ พระนามซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อให้พวกเขาได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับที่พระองค์และข้าพเจ้าได้เป็นหนึ่งเดียวกัน 12 ขณะที่ข้าพเจ้ายังอยู่กับพวกเขา ข้าพเจ้าได้คุ้มครองพวกเขาด้วยพระนามของพระองค์ พระนามซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้พิทักษ์รักษาเขาไว้ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสูญหายไป นอกจากบุตรแห่งความพินาศ เพื่อจะได้เป็นไปตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้
13 บัดนี้ข้าพเจ้ามาหาพระองค์ ที่ข้าพเจ้าพูดถึงสิ่งเหล่านี้ขณะที่ยังอยู่ในโลก ก็เพื่อว่าเขาจะได้รับความชื่นชมยินดีของข้าพเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมในจิตใจ 14 ข้าพเจ้าได้มอบคำสั่งสอนของพระองค์ให้แก่พวกเขา และโลกก็เกลียดชังพวกเขาแล้ว เนื่องจากที่ไม่เป็นคนของโลกนี้ เหมือนกับข้าพเจ้าที่ไม่เป็นคนของโลก 15 ข้าพเจ้าไม่ได้ขอให้พระองค์พาตัวพวกเขาไปจากโลก แต่พิทักษ์รักษาเขาให้พ้นจากมารร้าย 16 พวกเขาไม่เป็นคนของโลกนี้ เหมือนกับข้าพเจ้าที่ไม่เป็นคนของโลก 17 ขอพระองค์ชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง คำสั่งสอนของพระองค์เป็นความจริง 18 ข้าพเจ้าได้ส่งเขาไปในโลก ดังที่พระองค์ส่งข้าพเจ้ามาในโลก 19 ข้าพเจ้ารักษาตนให้บริสุทธิ์ก็เพื่อเขาเหล่านั้น และเขาจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยความจริงเช่นกัน
20 ข้าพเจ้ามิได้อ้อนวอนขอเพื่อเฉพาะคนเหล่านี้เท่านั้น แต่เพื่อบรรดาคนที่เชื่อในข้าพเจ้า จากการได้ยินคำสั่งสอนของพวกเขาด้วย 21 พระบิดา เพื่อเขาทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันดังที่พระองค์อยู่ในข้าพเจ้า และข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ในพระองค์และอยู่ในข้าพเจ้าด้วย และเพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ได้ส่งข้าพเจ้ามา 22 พระบารมีซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้มอบให้แก่พวกเขาแล้ว เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์และข้าพเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน 23 ข้าพเจ้าอยู่ในพวกเขาและพระองค์อยู่ในข้าพเจ้า เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างบริบูรณ์ และเพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ได้ส่งข้าพเจ้ามา และพระองค์รักพวกเขาเช่นเดียวกับที่พระองค์รักข้าพเจ้า
24 พระบิดา ข้าพเจ้าอยากให้บรรดาผู้ที่พระองค์มอบให้แก่ข้าพเจ้า มาอยู่ในที่ที่ข้าพเจ้าอยู่ด้วย เพื่อให้พวกเขาได้เห็นบารมีของข้าพเจ้าซึ่งพระองค์ได้มอบให้ไว้ เพราะว่าพระองค์รักข้าพเจ้าก่อนที่จะสร้างโลก
25 พระบิดาผู้มีความชอบธรรม แม้ว่าโลกจะไม่รู้จักพระองค์แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ และเขาเหล่านี้รู้แล้วว่า พระองค์ได้ส่งข้าพเจ้ามา 26 ข้าพเจ้าได้ทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่รู้จักในหมู่พวกเขา และจะกระทำต่อไปอีก เพื่อว่าความรักที่พระองค์มีต่อข้าพเจ้าจะได้บังเกิดขึ้นในพวกเขาด้วย และเพื่อข้าพเจ้าจะได้อยู่ในพวกเขา”
พระเยซูถูกจับกุม
18 เมื่อพระเยซูกล่าวดังนี้แล้ว พระองค์พร้อมด้วยสาวกได้เดินข้ามซอกหุบเขาขิดโรน เข้าไปยังสวนแห่งหนึ่ง 2 ยูดาสผู้กำลังจะทรยศพระองค์ก็รู้จักสวนนั้น เพราะพระเยซูเคยไปพบปะกับเหล่าสาวกของพระองค์ที่นั่นบ่อยครั้ง 3 ยูดาสจึงพาทหารในกองกลุ่มหนึ่งกับพวกเจ้าหน้าที่จากบรรดามหาปุโรหิตและฟาริสีไปที่นั่น ต่างก็ถือตะเกียง ไต้ และอาวุธมาด้วย 4 พระเยซูทราบดีถึงทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงก้าวออกไปถามพวกเขาว่า “ท่านตามหาใคร” 5 พวกเขาตอบว่า “เยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ” พระองค์กล่าวว่า “เราคือผู้นั้น”[b] และยูดาสผู้ที่กำลังจะทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่ที่นั่นด้วย 6 เมื่อพระองค์กล่าวว่า “เราคือผู้นั้น” พวกเขาก็ถอยหลังกลับไปและล้มลงที่พื้น 7 พระองค์จึงถามพวกเขาอีกว่า “ท่านตามหาใคร” เขาพูดว่า “เยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ” 8 พระเยซูตอบว่า “เราบอกแล้วว่าเราคือผู้นั้น ถ้าท่านตามหาเรา ก็จงปล่อยให้คนเหล่านี้ไปเถิด” 9 เพื่อจะได้เป็นไปตามคำที่พระองค์กล่าวไว้ว่า “ในบรรดาผู้ที่พระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ให้สักคนเดียวหลงหายเลย”[c] 10 ซีโมนเปโตรมีดาบจึงชักออกฟันทาสชื่อมัลคัส ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของหัวหน้ามหาปุโรหิต และตัดหูขวาของเขาขาด 11 พระเยซูกล่าวกับเปโตรว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย เราควรจะต้องดื่มจากถ้วยซึ่งพระบิดาได้ให้แก่เรามิใช่หรือ”
12 แล้วเหล่าทหารในกองกลุ่มหนึ่งพร้อมทั้งผู้บังคับกองพันกับพวกเจ้าหน้าที่ของชาวยิวจึงจับกุมและมัดพระเยซูไว้ 13 แรกทีเดียวพวกเขานำพระองค์ไปหาอันนาส ซึ่งเป็นพ่อตาของคายาฟาสหัวหน้ามหาปุโรหิตในปีนั้น 14 คายาฟาสเป็นคนแนะนำพวกชาวยิวว่า ดีแล้วที่คนหนึ่งจะตายแทนคนทั้งปวง
เปโตรปฏิเสธครั้งแรก
15 ซีโมนเปโตรและสาวกอีกคนกำลังตามพระเยซูไป สาวกคนนั้นรู้จักกับหัวหน้ามหาปุโรหิต จึงได้เข้าไปกับพระเยซูถึงลานบ้านของหัวหน้ามหาปุโรหิต 16 แต่เปโตรกำลังยืนอยู่ที่ประตูด้านนอก ฉะนั้นสาวกคนที่รู้จักหัวหน้ามหาปุโรหิต จึงได้ออกไปพูดกับหญิงที่เฝ้าประตูและนำเปโตรเข้ามา 17 ทาสรับใช้หญิงที่เฝ้าประตูจึงพูดกับเปโตรว่า “ท่านไม่ใช่สาวกอีกคนของชายผู้นี้ใช่ไหม” เขาพูดว่า “เราไม่ได้เป็น” 18 ขณะนั้นอากาศหนาวเย็น พวกทาสรับใช้และเจ้าหน้าที่กำลังยืนผิงไฟซึ่งก่อจากถ่าน เปโตรเองก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขาด้วย
หัวหน้ามหาปุโรหิตถามพระเยซู
19 หัวหน้ามหาปุโรหิตถามพระเยซูเกี่ยวกับบรรดาสาวกและการสั่งสอนของพระองค์ 20 พระเยซูตอบว่า “เราได้พูดอย่างเปิดเผยต่อโลก เราสั่งสอนอยู่เสมอในศาลาที่ประชุมและในพระวิหารที่พวกชาวยิวมาชุมนุมกัน เราไม่ได้พูดสิ่งใดในที่ลับ 21 ทำไมท่านจึงถามเรา จงถามพวกที่ได้ยินเถิดว่าเราพูดอะไรกับเขา เพราะพวกเขารู้ว่าเราได้พูดอะไรไป” 22 เมื่อพระองค์กล่าวดังนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ตบหน้าพระเยซูแล้วพูดว่า “ท่านตอบหัวหน้ามหาปุโรหิตอย่างนั้นหรือ” 23 พระเยซูตอบว่า “ถ้าเราพูดผิดก็จงกล่าวหาเถิดว่าผิดอย่างไร แต่ถ้าถูกต้องแล้ว ท่านมาตบเราทำไม” 24 อันนาสจึงมอบพระองค์ซึ่งถูกมัดอยู่ให้กับคายาฟาสหัวหน้ามหาปุโรหิต
เปโตรปฏิเสธครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3
25 ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนเหล่านั้นจึงพูดกับเขาว่า “ท่านไม่ใช่หนึ่งในบรรดาสาวกของเขาด้วยหรือ” เปโตรปฏิเสธว่า “เราไม่ได้เป็น” 26 ทาสรับใช้คนหนึ่งของหัวหน้ามหาปุโรหิตซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรตัดหูขาดก็พูดขึ้นว่า “ข้าพเจ้าเห็นท่านในสวนกับเขามิใช่หรือ” 27 เปโตรจึงปฏิเสธอีก และทันใดนั้นเอง ไก่ก็ขัน
ปีลาตสอบสวนพระเยซู
28 เขาเหล่านั้นก็พาพระเยซูจากคายาฟาสไปยังวังของผู้ว่าราชการโรมันในตอนเช้าตรู่ แต่ไม่ได้เข้าไปในวังเพื่อไม่ให้เป็นมลทิน และจะได้รับประทานในเทศกาลปัสกาได้ 29 ปีลาตจึงออกมาหาเขาเหล่านั้นแล้วพูดว่า “ชายผู้นี้ถูกฟ้องร้องด้วยข้อหาอะไร” 30 พวกเขาตอบว่า “ถ้าชายผู้นี้ไม่กระทำความชั่ว พวกเราก็จะไม่มอบเขาไว้กับท่าน” 31 ปีลาตจึงพูดกับเขาว่า “พวกท่านจงเอาตัวเขาไปกล่าวโทษตามกฎของท่านเองเถิด” บรรดาชาวยิวพูดกับเขาว่า “พวกเราไม่มีสิทธิ์ประหารใคร” 32 ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามที่พระเยซูได้กล่าวไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระองค์จะสิ้นชีวิตอย่างไร
33 ปีลาตจึงเข้าไปในวังอีกและเรียกพระเยซูมาถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” 34 พระเยซูตอบว่า “ท่านพูดเกี่ยวกับเราตามความคิดของท่านเอง หรือเพราะคนอื่นๆ บอกท่าน” 35 ปีลาตตอบว่า “เราเป็นคนยิวหรือ ชนชาติของท่านและเหล่ามหาปุโรหิตได้มอบตัวท่านไว้กับเรา ท่านได้กระทำอะไรไปบ้าง” 36 พระเยซูตอบว่า “อาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเราเป็นของโลกนี้แล้ว บรรดาผู้รับใช้ของเราก็จะต่อสู้เพื่อไม่ให้เราถูกมอบตัวไว้กับพวกชาวยิว แต่เท่าที่เป็นอยู่นี้ อาณาจักรของเราไม่ได้อยู่ที่นี่” 37 ดังนั้นปีลาตจึงพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านก็คือกษัตริย์น่ะสิ” พระเยซูตอบว่า “ท่านพูดถูกต้องแล้วว่าเราคือกษัตริย์ และด้วยเหตุนี้เราจึงเกิดมา และเราจึงมาในโลกเพื่อยืนยันถึงความจริง ทุกคนที่มาจากความจริงฟังเสียงของเรา”
38 ปีลาตพูดกับพระองค์ว่า “ความจริงคืออะไร” และเมื่อพูดดังนั้นแล้วก็ออกไปหาชาวยิวอีก และพูดว่า “เราเห็นว่าเขาไม่มีความผิด 39 แต่พวกท่านมีธรรมเนียมอย่างหนึ่ง คือให้เราปลดปล่อยใครสักคนให้แก่ท่านในเทศกาลปัสกา ท่านอยากให้เราปลดปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวให้แก่ท่านไหม” 40 เขาเหล่านั้นจึงร้องขึ้นอีกว่า “ไม่ใช่ชายคนนี้ ควรเป็นบารับบัส” แต่บารับบัสที่ว่านั้นเป็นโจร
พระเยซูถูกตัดสินให้ตรึงบนไม้กางเขน
19 ปีลาตจึงเอาตัวพระเยซูไปและสั่งให้คนเฆี่ยนพระองค์ 2 พวกทหารสานมงกุฎหนามแล้วสวมไว้บนศีรษะของพระองค์ และคลุมกายด้วยเสื้อตัวนอกสีม่วง 3 แล้วพวกเขาก็มาหาพระองค์ พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ไชโย ขอต้อนรับกษัตริย์ของชาวยิว” แล้วเขาก็ตบหน้าพระองค์ 4 ปีลาตก็ออกไปอีกและพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “ดูเถิด เราจะเอาตัวเขาออกมาให้พวกท่าน เพื่อท่านจะได้รู้ว่า เราเห็นว่าเขาไม่มีความผิด” 5 พระเยซูซึ่งสวมมงกุฎหนามและเสื้อตัวนอกสีม่วงก็ได้ออกมา ปีลาตพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “นี่ไง ชายคนนั้น” 6 ดังนั้นเมื่อเหล่ามหาปุโรหิตและเจ้าหน้าที่เห็นพระองค์ พวกเขาจึงร้องเสียงดังว่า “ให้ตรึงเขาเสีย ให้ตรึงเขาเสีย” ปีลาตพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “เอาตัวเขาไป แล้วก็ตรึงเขาเองเถิด เพราะเราเห็นว่าเขาไม่มีความผิด” 7 พวกชาวยิวตอบเขาว่า “ตามกฎของพวกเราแล้ว เขาควรตาย เพราะว่าเขาตั้งตนเป็นพระบุตรของพระเจ้า” 8 เมื่อปีลาตได้ยินดังนั้นก็ตกใจกลัวยิ่งขึ้น 9 จึงเข้าไปในวังอีก แล้วพูดกับพระเยซูว่า “ท่านมาจากไหน” พระเยซูไม่ตอบ 10 ปีลาตจึงพูดกับพระองค์ว่า “ท่านไม่พูดกับเราหรือ ไม่รู้หรือว่าเรามีสิทธิอำนาจที่จะปล่อยท่าน และก็มีสิทธิอำนาจที่จะตรึงท่าน” 11 พระเยซูตอบว่า “ท่านไม่มีสิทธิอำนาจเหนือเรา นอกจากว่าจะได้รับมาจากเบื้องบน ด้วยเหตุนี้เองคนที่มอบเราไว้กับท่านจึงมีบาปยิ่งกว่าท่าน”
12 ปีลาตพยายามอย่างยิ่งที่จะปลดปล่อยพระองค์ไป แต่ชาวยิวร้องด้วยเสียงอันดังว่า “ถ้าท่านปลดปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์ คนที่ตั้งตนเป็นกษัตริย์ถือว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อซีซาร์” 13 เมื่อปีลาตได้ยินดังนั้นจึงพาพระเยซูออกมา และนั่งลงบนที่นั่งของผู้ตัดสินความ ที่เรียกว่า ลานปูศิลา หรือตามภาษาฮีบรูคือ กับบาธา 14 วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม[d]สำหรับเทศกาลปัสกา เวลาประมาณ 6 โมงเช้า[e]ปีลาตพูดกับชาวยิวว่า “นี่ไง กษัตริย์ของท่าน” 15 พวกเขาจึงร้องเสียงดังว่า “เอาตัวเขาไปเสีย เอาตัวเขาไปเสีย ให้ตรึงเขาเสีย” ปีลาตพูดกับพวกเขาว่า “เราควรจะตรึงกษัตริย์ของท่านหรือ” บรรดามหาปุโรหิตตอบว่า “เราไม่มีกษัตริย์อื่นนอกจากซีซาร์” 16 จากนั้นปีลาตจึงมอบพระองค์ให้เขาเหล่านั้นนำพระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขน
ไม้กางเขน
17 พวกเขาจึงพาพระเยซูไป ให้พระองค์แบกไม้กางเขนของพระองค์เอง[f] ออกไปยังสถานที่ซึ่งเรียกว่า ที่ของกะโหลกศีรษะหรือเรียกเป็นภาษาฮีบรูว่า กลโกธา 18 ที่นั้นเองที่พวกเขาตรึงพระองค์พร้อมกับชายอื่นอีก 2 คนโดยให้พระเยซูอยู่กลาง
19 ปีลาตเขียนป้ายติดไว้ที่ไม้กางเขนด้วยว่า
“พระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว”
20 ชาวยิวจำนวนมากอ่านป้ายนี้ เพราะที่ที่เขาตรึงพระเยซูอยู่ใกล้ตัวเมือง และเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ภาษาลาติน และภาษากรีก 21 ดังนั้นพวกมหาปุโรหิตของชาวยิวพูดกับปีลาตว่า “อย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของชาวยิว’ แต่ให้เขียนตามที่เขาได้กล่าวไว้ว่า ‘เราคือกษัตริย์ของชาวยิว’” 22 ปีลาตตอบว่า “สิ่งใดที่เราเขียนแล้ว ก็แล้วไป”
23 เมื่อพวกทหารได้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขนแล้ว ก็เอาเสื้อตัวนอกของพระองค์มาแบ่งออกเป็น 4 ส่วนให้ทหารคนละส่วน และที่เหลือเป็นเสื้อตัวใน ทอเป็นชิ้นเดียวโดยไม่มีตะเข็บ 24 เขาเหล่านั้นจึงพูดโต้ตอบกันว่า “อย่าฉีกเสื้อตัวนั้นเลย แต่มาจับฉลากกันและดูว่าใครจะได้ไป” ซึ่งเป็นไปตามพระคัมภีร์ที่ว่า
“พวกเขาแบ่งปันเสื้อตัวนอกของข้าพเจ้าในหมู่พวกเขา
แล้วเขาจับฉลากเอาเสื้อตัวในของข้าพเจ้าไป”[g]
พวกทหารก็ได้ทำตามนั้น
25 บรรดาผู้ที่ยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระเยซูมี มารดากับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา 26 เมื่อพระเยซูมองเห็นมารดาของพระองค์และสาวกที่พระองค์รักยืนอยู่ใกล้ๆ จึงกล่าวกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย ดูเถิด บุตรของท่าน” 27 แล้วพระองค์กล่าวกับสาวกคนนั้นว่า “ดูเถิด มารดาของเจ้า” ครั้นแล้วสาวกผู้นั้นก็รับมารดาของพระองค์เข้ามาอยู่ในบ้านของตน
พระเยซูสิ้นชีวิต
28 หลังจากนั้น พระเยซูทราบว่าทุกสิ่งเสร็จบริบูรณ์แล้ว เพื่อเป็นไปตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระองค์กล่าวว่า “เรากระหายน้ำ” 29 มีโถใส่เหล้าองุ่นเปรี้ยวตั้งอยู่ที่นั่น เขาเหล่านั้นจึงเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวติดไว้ที่ปลายไม้หุสบ ยื่นให้ถึงปากของพระองค์ 30 เมื่อพระเยซูรับเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์กล่าวว่า “เสร็จสิ้นแล้ว” จากนั้นพระองค์ก็ก้มศีรษะลงสิ้นชีวิต
31 วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม ชาวยิวจึงขอให้ปีลาตหักขาของผู้ที่ถูกตรึงและเอาตัวไป เพื่อไม่ให้ร่างค้างอยู่บนไม้กางเขนในวันสะบาโต (ในเมื่อเฉพาะวันสะบาโตวันนั้นสำคัญเป็นพิเศษ) 32 ดังนั้นเหล่าทหารจึงมาหักขาของชายคนแรกที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์ แล้วก็หักขาของชายอีกคน 33 แต่เมื่อพวกเขามาถึงพระเยซูก็พบว่าพระองค์สิ้นชีวิตแล้ว จึงไม่หักขาของพระองค์ 34 แต่ทหารคนหนึ่งใช้หอกแทงสีข้างของพระองค์ โลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที 35 ชายคนที่เห็นก็ได้ยืนยัน และคำยืนยันของเขาเป็นความจริง เขารู้ว่าเขาบอกความจริงเพื่อว่าพวกท่านจะได้เชื่อเช่นกัน 36 สิ่งนี้เกิดขึ้นก็เพื่อจะได้เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่ว่า “กระดูกของพระองค์จะไม่หักสักชิ้นเดียว”[h] 37 และมีอีกตอนที่พระคัมภีร์ระบุว่า “พวกเขาจะมองดูองค์ผู้ที่พวกเขาได้แทง”[i]
โยเซฟนำร่างของพระเยซูไปฝัง
38 หลังจากนั้นโยเซฟชาวเมืองอาริมาเธียก็ได้มาขอร่างของพระเยซูไปจากปีลาต โยเซฟแอบเป็นสาวกอย่างลับๆ ของพระเยซูเพราะกลัวพวกชาวยิว และปีลาตได้อนุญาต เขาจึงมานำร่างของพระองค์ไป 39 เขามาพร้อมกับนิโคเดมัสซึ่งตอนแรกก็ได้มาหาพระองค์ในเวลากลางคืน โดยนำเครื่องหอมอันประกอบด้วยมดยอบกับกฤษณาหนักประมาณสามสิบกว่ากิโลกรัมมาด้วย 40 ชายทั้งสองจึงนำร่างของพระเยซูมาปฏิบัติตามประเพณีนิยมการฝังศพของชาวยิว โดยพันหุ้มด้วยริ้วผ้าป่านห่อด้วยเครื่องหอม 41 สถานที่ซึ่งพระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขนนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง และในสวนมีถ้ำเก็บศพใหม่ซึ่งไม่เคยมีร่างอื่นฝังมาก่อน 42 เพราะว่าวันนั้นเป็นวันจัดเตรียมของชาวยิวและเพราะถ้ำเก็บศพอยู่ใกล้ๆ เขาจึงวางร่างของพระเยซูไว้ที่นั่น
พระเยซูฟื้นคืนชีวิต
20 วันแรกของสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาลามาถึงถ้ำเก็บศพแต่เช้าตรู่ ซึ่งเป็นเวลาที่ยังมืดอยู่ นางเห็นว่าหินถูกเลื่อนออกจากทางเข้า 2 นางจึงวิ่งมาหาซีโมนเปโตรและสาวกอีกคนที่พระเยซูรัก แล้วพูดกับเขาทั้งสองว่า “พวกเขาได้เอาพระเยซูเจ้าออกไปจากถ้ำเก็บศพแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขาได้เอาร่างของพระองค์ไปไว้ที่ไหน” 3 ดังนั้นเปโตรกับสาวกคนนั้นจึงพากันไปที่ถ้ำเก็บศพ 4 โดยวิ่งไปด้วยกัน สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงถึงถ้ำเก็บศพก่อน 5 ขณะที่ก้มมองดูข้างใน เขาเห็นริ้วผ้าป่านวางอยู่ที่นั่น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน 6 ซีโมนเปโตรก็ตามมาจนถึง จึงเข้าไปข้างในถ้ำเก็บศพ และเห็นริ้วผ้าป่านวางอยู่ที่นั่น 7 ผ้าที่ใช้พันศีรษะของพระองค์ไม่ได้วางไว้กับริ้วผ้าป่าน แต่ถูกพับวางไว้ต่างหาก 8 สาวกคนที่ถึงถ้ำเก็บศพก่อนก็เข้าไปข้างในด้วย เขาจึงเห็นและเชื่อ 9 เขาทั้งสองยังไม่เข้าใจตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้ว่า พระองค์ต้องฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 10 ดังนั้นสาวกทั้งสองจึงกลับไปบ้านของตน
พระเยซูปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลา
11 ส่วนมารีย์ก็ยืนร้องไห้อยู่นอกถ้ำเก็บศพ ขณะที่ร้องไห้อยู่นางก้มลงดูในถ้ำเก็บศพ 12 นางเห็นทูตสวรรค์ 2 องค์สวมเสื้อสีขาวนั่งอยู่ ณ ที่ซึ่งเขาวางร่างของพระเยซูไว้ องค์หนึ่งอยู่เบื้องศีรษะ อีกองค์หนึ่งอยู่ทางปลายเท้า 13 ทูตสวรรค์พูดกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” นางพูดว่า “เพราะว่าเขาเอาร่างของพระเยซูเจ้าของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน” 14 เมื่อนางได้พูดเช่นนั้นแล้วก็หมุนตัวกลับไป และได้เห็นพระเยซูยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ทราบว่าเป็นพระเยซู 15 พระองค์กล่าวกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม เจ้าตามหาใคร” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวนจึงพูดกับพระองค์ว่า “นายท่าน หากว่าท่านเอาพระองค์ไป ก็โปรดบอกข้าพเจ้าว่า ท่านเอาไปไว้ที่ไหน ข้าพเจ้าจะได้ไปรับพระองค์” 16 พระเยซูกล่าวกับนางว่า “มารีย์” นางหันกลับมาและพูดกับพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” (ซึ่งหมายความว่า อาจารย์) 17 พระเยซูกล่าวกับนางว่า “อย่าจับต้องตัวเรา เพราะว่าเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดา เจ้าจงไปบอกพวกพี่น้องของเราว่า ‘เราขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของเจ้า พระเจ้าของเราและพระเจ้าของเจ้า’”
18 มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปบอกเหล่าสาวกว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นพระเยซูเจ้า” และนางได้บอกพวกเขาถึงสิ่งที่พระองค์กล่าวกับนาง
พระเยซูปรากฏแก่สาวก
19 ค่ำวันนั้นอันเป็นวันแรกของสัปดาห์ เหล่าสาวกลงกลอนประตูอยู่ด้วยกันเพราะกลัวชาวยิว พระเยซูมายืนอยู่ท่ามกลางเหล่าสาวกและกล่าวกับพวกเขาว่า “สันติสุขจงอยู่กับพวกเจ้า” 20 เมื่อพระองค์กล่าวเช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ให้เขาดูมือและสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นพระเยซูเจ้าก็ยินดี 21 พระเยซูจึงกล่าวกับพวกเขาอีกว่า “สันติสุขจงอยู่กับพวกเจ้า พระบิดาได้ส่งเรามาเช่นใด เราก็ส่งเจ้าไปเช่นนั้น” 22 เมื่อพระองค์กล่าวดังนั้นแล้วก็ระบายลมหายใจใส่พวกเขา และกล่าวว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด 23 ถ้าเจ้ายกโทษบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็จะได้รับการยกโทษ ถ้าเจ้าไม่ยกโทษบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็จะไม่ได้รับการยกโทษ”
พระเยซูปรากฏแก่โธมัส
24 โธมัสที่เรียกกันว่าแฝด ซึ่งเป็นคนหนึ่งในสาวกทั้งสิบสองไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยเมื่อพระเยซูมาหา 25 สาวกอื่นๆ จึงพูดกับเขาว่า “พวกเราได้เห็นพระเยซูเจ้า” แต่เขาพูดว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่เห็นรอยตะปูที่มือของพระองค์ และใช้นิ้วของข้าพเจ้าแยงที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือของข้าพเจ้าแยงที่สีข้างแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเลย”
26 แปดวันต่อมาเหล่าสาวกอยู่ในบ้านกันอีก และโธมัสก็อยู่ด้วย ประตูก็ปิดอยู่ พระเยซูมายืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา พระองค์กล่าวว่า “สันติสุขจงอยู่กับพวกเจ้า” 27 พระองค์กล่าวกับโธมัสว่า “จงยื่นนิ้วของเจ้าออกมาและดูมือของเรา จงยื่นมือของเจ้าออกมาจับที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด” 28 โธมัสพูดตอบพระองค์ว่า “พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า” 29 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เจ้าได้เห็นเรา เจ้าก็เชื่อแล้วใช่ไหม คนที่แม้ไม่ได้เห็นแต่เชื่อ ก็เป็นสุข”
30 มีปรากฏการณ์อัศจรรย์อื่นอีกมากที่พระเยซูได้สำแดงต่อหน้าเหล่าสาวก ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในฉบับนี้ 31 แต่สิ่งเหล่านี้มีบันทึกไว้เพื่อท่านจะได้เชื่อว่า พระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อท่านเชื่อในพระนามของพระองค์ ท่านจะได้มีชีวิต
พระเยซูปรากฏแก่สาวกที่ทะเลสาบกาลิลี
21 หลังจากนั้น พระเยซูได้ปรากฏแก่เหล่าสาวกอีกที่ทะเลสาบทิเบเรียส[j] เรื่องราวเกิดขึ้นดังนี้ 2 คือซีโมนเปโตร โธมัสที่เรียกว่าแฝด นาธานาเอลชาวบ้านคานาในแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองของเศเบดีและสาวกของพระองค์อีก 2 คนกำลังอยู่ด้วยกัน 3 ซีโมนเปโตรพูดขึ้นว่า “เราเองจะไปจับปลา” พวกเขาพูดกับเปโตรว่า “เราไปด้วย” พวกเขาก็ออกเรือกันไป คืนนั้นพวกเขาจับปลาไม่ได้เลย
4 ครั้นฟ้าสาง พระเยซูยืนอยู่ที่ชายฝั่ง แต่เหล่าสาวกยังไม่รู้ว่าเป็นพระองค์ 5 พระเยซูจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “เพื่อนเอ๋ย เจ้าจับปลาไม่ได้เลยใช่ไหม” พวกเขาตอบพระองค์ว่า “ไม่ได้เลย” 6 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “โยนอวนลงทางด้านขวาของเรือเถิด แล้วจะจับปลาได้บ้าง” พวกเขาจึงโยนอวนลง แต่ไม่สามารถลากอวนขึ้นได้เพราะมีปลาติดมามาก 7 ฉะนั้นสาวกคนที่พระเยซูรักจึงพูดกับเปโตรว่า “เป็นองค์พระเยซูเจ้า” เมื่อซีโมนเปโตรซึ่งไม่ได้สวมเสื้อชั้นนอกได้ยินว่าเป็นพระเยซูเจ้า จึงเอาเสื้อมาสวม แล้วก็กระโจนลงทะเลสาบ 8 ส่วนสาวกที่อยู่ในเรือก็แล่นตามไป เพราะอยู่ไม่ไกลจากฝั่งคือประมาณ 100 เมตร กำลังลากอวนที่ติดปลาเต็ม
9 เมื่อขึ้นฝั่งก็เห็นถ่านติดไฟอยู่ มีปลาปิ้งไว้ และมีขนมปัง 10 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “จงเอาปลาที่เจ้าจับได้เมื่อกี้นี้มาบ้าง” 11 ซีโมนเปโตรลงไปในเรือแล้วลากอวนขึ้นฝั่ง มีปลาใหญ่มากมาย รวมได้ 153 ตัว และแม้ว่ามีปลาจำนวนมากอวนก็ไม่ขาด 12 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “มารับประทานอาหารเช้าเถิด” ไม่มีสาวกคนใดกล้าถามพระองค์ว่า “ท่านคือใคร” เพราะเขารู้อยู่ว่าเป็นพระเยซูเจ้า 13 พระเยซูจึงไปหยิบขนมปังแจกให้ แล้วก็แจกปลาให้ด้วย 14 ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ที่พระเยซูปรากฏแก่เหล่าสาวก หลังจากที่พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย
พระเยซูและเปโตร
15 เมื่อพวกเขาเสร็จจากอาหารเช้าแล้ว พระเยซูถามซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น เจ้ารักเรามากกว่าที่คนเหล่านี้รักเราหรือ”[k] เขาพูดกับพระองค์ว่า “ข้าพเจ้ารักพระองค์ยิ่งกว่า พระองค์ก็ทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูบรรดาลูกแกะของเรา” 16 พระองค์กล่าวกับเขาอีกเป็นครั้งที่สองว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น เจ้ารักเราหรือ” เขาพูดกับพระองค์ว่า “ข้าพเจ้ารักพระองค์ พระองค์ก็ทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “จงดูแลบรรดาแกะของเรา” 17 พระองค์กล่าวกับเขาเป็นครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น เจ้ารักเราหรือ” เปโตรเศร้าเสียใจ เพราะว่าพระองค์กล่าวกับเขาเป็นครั้งที่สามว่า “เจ้ารักเราหรือ” และเขาพูดว่า “พระองค์ท่าน พระองค์ทราบถึงทุกสิ่ง พระองค์ทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูบรรดาแกะของเรา 18 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า เมื่อเจ้ายังเยาว์อยู่ เจ้าเคยคาดเอวเองและไปไหนๆ ได้ตามใจชอบ แต่เมื่อเจ้าชราลง เจ้าจะยื่นมือของเจ้าออก และคนอื่นจะคาดเอวให้เจ้า แล้วพาเจ้าไปยังที่ที่เจ้าไม่อยากจะไป” 19 ที่พระองค์กล่าวดังนั้นก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เขาจะตายแบบไหนที่จะให้เกียรติแด่พระเจ้า และเมื่อพระองค์ได้กล่าวเช่นนั้นแล้ว พระองค์จึงกล่าวกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด”
20 เปโตรหันกลับก็เห็นสาวกคนที่พระเยซูรักกำลังตามมา เขาเป็นคนที่เอนกายอยู่ใกล้ทรวงอกของพระองค์ตอนอาหารเย็นมื้อนั้นและได้ถามว่า “พระองค์ท่าน ใครเป็นคนที่ทรยศพระองค์” 21 เปโตรเห็นคนนั้นจึงพูดกับพระเยซูว่า “พระองค์ท่าน และคนนี้จะเป็นอย่างไร” 22 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ถ้าเราต้องการให้เขามีชีวิตอยู่จนกว่าเราจะกลับมา แล้วเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า เจ้าจงตามเรามาเถิด” 23 คำที่กล่าวนั้นเป็นที่เล่าลือไปในหมู่พี่น้องว่า สาวกคนนั้นจะไม่ตาย แต่พระเยซูไม่ได้กล่าวกับเขาว่าเขาจะไม่ตาย เพียงแต่กล่าวว่า “ถ้าเราต้องการให้เขามีชีวิตอยู่จนกว่าเราจะกลับมา แล้วเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า”
24 คนนั้นคือสาวกที่ยืนยันถึงสิ่งเหล่านี้ และได้เขียนบันทึกไว้ และพวกเราทราบว่าคำยืนยันของเขาเป็นความจริง
25 มีสิ่งอื่นอีกมากที่พระเยซูได้กระทำ หากว่าได้มีบันทึกไว้ครบทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่า แม้ทั้งโลกก็จะไม่มีที่พอสำหรับหนังสือที่จะเขียนขึ้น
พระเยซูคืนสู่สวรรค์
1 เรียนใต้เท้าเธโอฟีลัส ในฉบับแรก ข้าพเจ้าได้เขียนถึงทุกสิ่งที่พระเยซูเริ่มกระทำและสั่งสอน 2 จนถึงวันที่พระองค์ถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ หลังจากที่พระองค์สั่งเหล่าอัครทูตซึ่งพระองค์ได้เลือกไว้แล้ว โดยอานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 หลังจากที่ทนทุกข์ทรมาน พระองค์ได้ปรากฏให้คนเหล่านั้นเห็น และได้กระทำสิ่งอันเป็นข้อพิสูจน์หลายประการว่า พระองค์ยังมีชีวิตอยู่ พระองค์ปรากฏแก่พวกเขาในช่วงเวลา 40 วัน และได้กล่าวถึงอาณาจักรของพระเจ้า
4 ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระองค์กำลังรับประทานอยู่กับพวกเขา พระองค์ได้สั่งพวกเขาว่า “อย่าออกไปจากเมืองเยรูซาเล็ม แต่จงรอรับของประทานซึ่งพระบิดาได้ให้สัญญาไว้ ดังที่เราพูดไว้กับพวกเจ้าแล้ว 5 ด้วยว่ายอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำ[l]แต่อีกไม่กี่วัน เจ้าจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
6 ดังนั้นเมื่อเหล่าสาวกมาประชุมร่วมกันแล้วก็ได้ถามพระองค์ว่า “พระองค์ท่าน พระองค์จะให้อิสราเอลกลับมาปกครองอาณาจักรในไม่ช้าหรือ” 7 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะได้รู้วันเวลาที่พระบิดาได้กำหนดขึ้นด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์เอง 8 แต่เจ้าจะได้รับฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับเจ้า และเจ้าจะเป็นบรรดาพยานของเราในเมืองเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และสุดขอบโลก” 9 สิ้นคำกล่าวแล้ว พระองค์ก็ถูกรับขึ้นไปต่อหน้าคนเหล่านั้น ครั้นแล้วก็มีเมฆก้อนหนึ่งมาบังพระองค์พ้นจากสายตาพวกเขา 10 ขณะที่คนเหล่านั้นแหงนหน้ามองพระเยซูจากไป โดยไม่กะพริบตาอยู่นั้นเอง ดูเถิด มีชาย 2 คนสวมเสื้อผ้าสีขาวมายืนอยู่ข้างๆ 11 ชายทั้งสองกล่าวขึ้นว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมท่านจึงยืนแหงนดูฟ้าอยู่ที่นี่ พระเยซูถูกรับไปจากท่านขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์จะกลับมาในแบบเดียวกันกับที่ท่านเห็นพระองค์คืนสู่สวรรค์”
มัทธีอัสมาแทนยูดาส
12 พวกเขาเดินกลับจากภูเขามะกอกไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นระยะทางเดินสำหรับวันสะบาโต[m] 13 เมื่อถึงแล้วก็ขึ้นไปยังห้องชั้นบนที่กำลังพักอยู่ ซึ่งขณะนั้นมีเปโตร ยอห์น ยากอบ อันดรูว์ ฟีลิป โธมัส บาร์โธโลมิว มัทธิว ยากอบบุตรของอัลเฟอัส ซีโมนผู้เป็นพรรคชาตินิยม และยูดาสบุตรของยากอบ 14 เขาเหล่านี้อธิษฐานร่วมกัน พร้อมกับกลุ่มสตรีและมารีย์มารดาของพระเยซู และกับเหล่าน้องชายของพระองค์อยู่เสมอ
15 แล้วเปโตรก็ยืนขึ้นท่ามกลางหมู่พี่น้อง (รวมทั้งกลุ่มได้ประมาณ 120 คน) 16 พูดขึ้นว่า “พี่น้องทั้งหลาย เรื่องของยูดาสผู้นำคนไปจับพระเยซู ต้องเป็นไปตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้ ดังที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้กล่าวถึงโดยผ่านดาวิดนานมาแล้ว 17 เขาเป็นคนหนึ่งในพวกเรา และทำงานรับใช้ร่วมกัน” 18 (ยูดาสได้นำเงินรางวัลที่ได้จากการทำความชั่วของตนไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง แล้วเขาล้มคะมำลง ท้องแตกและไส้ทะลัก ณ ที่นั้น 19 เมื่อทุกคนในเมืองเยรูซาเล็มได้ยินเรื่องนี้ ก็เรียกที่ดินนั้นตามภาษาของตนว่า อาเคลดามา คือที่ดินเลือด)
20 เปโตรพูดว่า “ด้วยเหตุว่ามีบันทึกไว้ในฉบับสดุดีดังนี้
‘ขอให้ค่ายของเขาร้าง
และอย่าได้มีผู้ใดอาศัยอยู่เลย’[n]
และ
‘ขอให้คนอื่นมาเป็นผู้นำ แทนในตำแหน่งของเขา’[o]
21 ฉะนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกคนใดคนหนึ่งในบรรดาผู้ชายที่ได้อยู่กับพวกเรา ตลอดระยะเวลาที่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าเข้านอกออกในท่ามกลางพวกเรา 22 นับตั้งแต่เวลาที่ยอห์นทำพิธีบัพติศมาให้แก่พระเยซู จนถึงเวลาที่พระองค์ถูกรับขึ้นไปจากเรา เพราะผู้ที่จะได้รับเลือกต้องเป็นพยานร่วมกับเราถึงการฟื้นคืนชีวิตของพระองค์”
23 ดังนั้น พวกเขาจึงเสนอชื่อชาย 2 คนคือ โยเซฟที่บางคนเรียกว่าบาร์ซับบาส (มีอีกชื่อหนึ่งด้วยว่า ยุสทัส) และมัทธีอัส 24 แล้วก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทราบถึงจิตใจของทุกๆ คน ขอพระองค์ได้โปรดชี้ให้พวกเราเห็นว่า ในระหว่าง 2 คนนี้ ผู้ใดคือผู้ที่พระองค์เลือก 25 ให้ปฏิบัติงานรับใช้ของอัครทูตแทนยูดาส ซึ่งได้จากไปยังที่ๆ เขาสมควรอยู่” 26 จากนั้นพวกเขาก็จับฉลาก ซึ่งได้เป็นชื่อของมัทธีอัส ฉะนั้นเขาจึงเป็นคนที่เพิ่มเข้ามาในหมู่อัครทูตทั้งสิบเอ็ด
ผู้ที่เชื่อเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
2 เมื่อถึงวันเทศกาลเพ็นเทคศเต[p] ขณะที่พี่น้องทั้งหลายรวมตัวกันอยู่ในที่แห่งเดียวกัน 2 ในทันใดนั้นมีเสียงเหมือนลมพัดกล้าจากฟ้าสวรรค์ ดังก้องทั่วบ้านที่พวกเขากำลังนั่งกันอยู่ 3 มีเปลวไฟรูปร่างเหมือนลิ้นปรากฏขึ้น และกระจายแยกออกไปอยู่เหนือพวกเขาแต่ละคน 4 ทุกคนจึงเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเริ่มพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก ตามแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์โปรดให้พูด
5 มีกลุ่มชาวยิวจากทั่วทุกมุมโลกที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม คนเหล่านี้ล้วนเกรงกลัวในพระเจ้า 6 เมื่อบังเกิดเสียงอย่างนั้น คนกลุ่มใหญ่จึงพากันเข้ามาและต่างก็ฉงนสนเท่ห์ เพราะแต่ละคนได้ยินพวกเขาพูดภาษาของตน 7 คนทั้งปวงล้วนแต่อัศจรรย์ใจยิ่งนัก จึงถามกันว่า “พวกคนที่กำลังพูดอยู่นี้เป็นชาวกาลิลีมิใช่หรือ 8 แล้วเป็นไปได้อย่างไร ที่พวกเราแต่ละคนได้ยินภาษาของเราเอง 9 ชาวปาร์เธีย มีเดีย และชาวเอลาม คนที่อยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย แคว้นยูเดีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นปอนทัสและเอเชีย 10 แคว้นฟรีเจีย แคว้นปัมฟีเลีย ประเทศอียิปต์ และบางส่วนของลิเบียใกล้เมืองไซรีน บ้างก็เป็นชาวโรมซึ่งมาเยือน (คือชาวยิวและพวกที่เคยปฏิบัติตามศาสนาของชาวยิว) 11 อีกทั้งชาวเกาะครีตและชาวอาระเบียด้วย พวกเราได้ยินคนเหล่านั้น กล่าวถึงสิ่งมหัศจรรย์ของพระเจ้าในภาษาของเราเอง” 12 ผู้คนเหล่านั้นพากันอัศจรรย์ใจและฉงนสนเท่ห์ จึงถามกันและกันว่า “นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน” 13 แต่มีบางคนที่ได้ล้อเลียนและพูดว่า “พวกเขาดื่มเหล้าองุ่นมากเกินไป”
เปโตรเทศนาครั้งแรก
14 เปโตรจึงยืนขึ้นพร้อมกับอัครทูตทั้งสิบเอ็ด และกล่าวกับผู้คนด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านชาวยิวทั้งหลาย และทุกท่านที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ขอให้ข้าพเจ้าได้อธิบายบางสิ่งแก่ท่านเถิด จงฟังสิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูดให้ดี 15 ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เมาอย่างที่ท่านคิดกัน แล้วนี่ก็ 9 โมงเช้าเท่านั้น 16 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นไปตามคำที่โยเอลผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้กล่าวไว้ว่า
17 ‘พระเจ้ากล่าวว่า เมื่อถึงช่วงเวลาแห่งวาระสุดท้าย
เราจะหลั่งวิญญาณของเราสู่มนุษย์ทั้งหลาย
บุตรชายบุตรหญิงของเจ้าจะเผยคำกล่าวของพระเจ้า
คนหนุ่มจะเห็นภาพนิมิตต่างๆ
ผู้เฒ่าจะฝันเห็น
18 แม้แต่ผู้รับใช้ของเราทั้งชายและหญิง
เราก็จะหลั่งวิญญาณของเราในวาระนั้น
และเขาเหล่านั้นจะเผยคำกล่าวของพระเจ้า
19 เราจะแสดงสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ที่ปรากฏในสวรรค์เบื้องบน
และปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ บนโลกเบื้องล่าง
จะมีเลือด ไฟ และกลุ่มควัน
20 ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นความมืด
ดวงจันทร์จะกลายเป็นเลือด
ก่อนที่จะถึงวันอันยิ่งใหญ่และงามตระการของพระผู้เป็นเจ้า
21 และทุกคนที่ร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจะรอดพ้น’[q]
22 ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด พระเจ้าได้รับรองให้พระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ เป็นผู้สำแดงฤทธานุภาพ สิ่งมหัศจรรย์ และปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ท่ามกลางท่าน ดังที่ท่านทราบกันอยู่ 23 พระเยซูผู้นี้ถูกมอบให้ท่าน ตามแผนการที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ล่วงหน้าและทราบดีมาแต่แรก ท่านได้ประหารพระองค์ พวกคนชั่วร้ายให้ความช่วยเหลือท่านในการตรึงพระองค์บนไม้กางเขน 24 แต่พระเจ้าให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย ปลดปล่อยพระองค์ให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดรวดร้าวแห่งความตาย เพราะความตายไม่อาจฉุดรั้งพระองค์ไว้ได้ 25 ด้วยว่าดาวิดได้กล่าวเกี่ยวกับพระองค์ไว้ว่า
‘ข้าพเจ้าเห็นพระผู้เป็นเจ้าที่ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ
ด้วยว่าพระองค์อยู่ทางขวามือของข้าพเจ้า
จึงไม่มีผู้ใดทำให้ข้าพเจ้าหวั่นไหวได้
26 ฉะนั้น ใจของข้าพเจ้าแสนจะโสมนัส และลิ้นของข้าพเจ้าจึงชื่นชมยินดี
ร่างกายของข้าพเจ้าก็จะมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง
27 เพราะพระองค์จะไม่ละทิ้งข้าพเจ้าไว้ในแดนคนตาย
และจะไม่ปล่อยให้องค์ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์เปื่อยเน่าไป
28 พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้าทราบถึงวิถีทางแห่งชีวิต
และจะโปรดให้ข้าพเจ้าปิติอย่างมากล้น ณ เบื้องหน้าพระองค์’[r]
29 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ากล่าวกับท่านได้อย่างมั่นใจว่า ดาวิดบรรพบุรุษของเราได้ล่วงลับไปแล้ว และถ้ำเก็บศพของท่านก็ยังอยู่ มาจนถึงทุกวันนี้ 30 ท่านเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และทราบว่าพระเจ้าได้ให้คำปฏิญาณว่า พระองค์จะให้ผู้หนึ่งในบรรดาผู้สืบวงศ์ตระกูลครองบัลลังก์ 31 ท่านเห็นว่าเป็นเช่นนั้น ท่านจึงได้กล่าวถึงการฟื้นคืนชีวิตของพระคริสต์ว่า พระองค์จะไม่ถูกทอดทิ้งอยู่ในแดนคนตาย และร่างของพระองค์ก็จะไม่เปื่อยเน่า 32 พระเจ้าได้บันดาลให้พระเยซูพระองค์นี้ฟื้นคืนชีวิต และพวกเราทุกคนก็เป็นพยานในเรื่องจริงนี้ 33 พระองค์ได้รับการเชิดชู ณ เบื้องขวาของพระเจ้า พระบิดาได้มอบพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามพระสัญญาให้แก่พระองค์ เพื่อหลั่งให้แก่พวกเรา ดังที่ท่านเห็นและได้ยินกัน 34 ด้วยว่าดาวิดไม่ได้ขึ้นไปสวรรค์แต่ยังได้กล่าวไว้ว่า
‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
“จงนั่งทางด้านขวาของเรา
35 จนกว่าเราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้า
อยู่ใต้เท้า ดั่งที่วางเท้าของเจ้า”’[s]
36 ฉะนั้น ให้ชาวอิสราเอลทั้งปวงตระหนักว่า พระเจ้าให้พระเยซูเป็นทั้งพระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์ ซึ่งพวกท่านได้ตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว”
37 เมื่อผู้คนได้ยินแล้วก็รู้สึกเสียดแทงใจ จึงพูดกับเปโตรและอัครทูตอื่นๆ ว่า “พี่น้องทั้งหลาย พวกเราควรจะทำอย่างไรกันดี” 38 เปโตรจึงตอบว่า “พวกท่านทุกๆ คนจงกลับใจและรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ เพื่อรับการยกโทษบาปของท่าน แล้วท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ 39 พระสัญญานี้เป็นของท่าน ของลูกๆ และทุกท่านที่อยู่ห่างไกล และทุกท่านที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราจะเรียกตัว” 40 ท่านได้เตือนผู้คนหลายต่อหลายสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เตือนว่า “จงให้ตัวท่านเองรอดพ้นจากคนในช่วงกาลเวลาที่คดโกงนี้เถิด” 41 ผู้ที่ยอมรับคำประกาศของเปโตรก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3,000 คน
ผู้ที่เชื่อพบปะกันอยู่เสมอ
42 ผู้คนเหล่านั้นล้วนใฝ่ใจทั้งในคำสั่งสอนของเหล่าอัครทูต การร่วมสามัคคีธรรม รวมถึงการบิขนมปัง[t] และการอธิษฐาน 43 ทุกคนเกรงกลัวในสิ่งมหัศจรรย์และปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ที่พวกอัครทูตกระทำ 44 ทุกคนที่เชื่อต่างก็พบปะกันด้วยความใกล้ชิดอยู่เสมอ และแบ่งปันสิ่งของที่ตนมีให้แก่กันและกัน 45 ต่างขายสมบัติพัสถานของตนเอง เพื่อแบ่งปันให้แก่ทุกคนที่ขัดสน 46 เขาเหล่านั้นร่วมประชุมกันต่อไปทุกวันในบริเวณพระวิหาร บิขนมปังรับประทานกันตามบ้านด้วยความยินดีและความจริงใจ 47 ผู้ที่เชื่อพากันสรรเสริญพระเจ้า และคนทั่วไปล้วนชื่นชมไปกับพวกเขาด้วย พระผู้เป็นเจ้าได้เพิ่มจำนวนผู้รอดพ้นให้ทวีขึ้นเป็นประจำทุกวัน
เปโตรรักษาชายขอทานง่อย
3 วันหนึ่งในขณะที่เปโตรและยอห์นกำลังขึ้นไปยังพระวิหาร เป็นเวลาบ่าย 3 โมงซึ่งเป็นเวลาอธิษฐาน 2 มีคนหามชายง่อยแต่กำเนิด มาวางไว้ที่ประตูพระวิหารที่มีชื่อว่า ประตูงาม ทุกๆ วันเขาจะมาขอรับทานจากผู้คนที่ผ่านเข้าออกพระวิหาร 3 เมื่อเขาเห็นว่าเปโตรและยอห์นกำลังจะเข้าไป จึงได้ร้องขอเงิน 4 เปโตรและยอห์นจึงหันไปจ้องมองชายง่อย เปโตรพูดขึ้นว่า “ดูพวกเราสิ” 5 ชายง่อยก็หันมาฟังอย่างเอาใจใส่ และคาดหวังว่าจะได้รับอะไรบางอย่างจากท่านทั้งสอง 6 เปโตรพูดต่อไปว่า “ข้าพเจ้าไม่มีเงินไม่มีทอง แต่ก็จะให้สิ่งที่ข้าพเจ้ามี ในพระนามของพระเยซูคริสต์แห่งเมืองนาซาเร็ธ จงเดินเถิด” 7 เปโตรเอื้อมจับมือขวาของชายง่อยให้ลุกขึ้น และทันใดนั้นทั้งเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีแรงขึ้น 8 เขากระโดดยืดขาขึ้น แล้วก็เริ่มเดินเข้าไปในบริเวณพระวิหารด้วยกันกับเปโตรและยอห์น เดินไปพลางกระโดดไปพลางและสรรเสริญพระเจ้า 9 เมื่อผู้คนทั้งปวงเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า 10 ก็จำได้ว่าเป็นคนง่อยซึ่งเคยนั่งขอทานที่ประตูพระวิหารที่ชื่อ ประตูงาม พวกคนเหล่านั้นก็แปลกใจและอัศจรรย์ใจยิ่งนักกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา
เปโตรเทศนาที่เฉลียงของซาโลมอน
11 ขณะที่ชายขอทานยังเกาะแขนเปโตรและยอห์นอยู่ ผู้คนทั้งหลายแปลกใจยิ่งนัก จึงพากันวิ่งมาหาพวกเขาที่เฉลียง ซึ่งเรียกว่า เฉลียงของซาโลมอน 12 เมื่อเปโตรเห็นดังนั้นจึงพูดว่า “ชาวอิสราเอลเอ๋ย ทำไมท่านจึงต้องแปลกใจด้วย ทำไมจึงจ้องพวกเราเหมือนกับว่า เราทำให้ชายผู้นี้เดินได้เพราะเรามีฤทธานุภาพหรือเคร่งครัดในศาสนา 13 พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ พระเจ้าของบรรพบุรุษของเรา ได้มอบพระบารมีแก่ผู้รับใช้ของพระองค์คือพระเยซู พวกท่านได้มอบพระองค์ให้แก่ผู้มีอำนาจ และไม่ยอมรับพระองค์ต่อหน้าปีลาต แม้ว่าเขาได้ตัดสินใจปลดปล่อยพระองค์ไปแล้วก็ตาม 14 พวกท่านไม่ยอมรับองค์ผู้บริสุทธิ์ คือองค์ผู้มีความชอบธรรม แต่กลับขอให้ปลดปล่อยฆาตกรให้แก่ท่าน 15 ท่านประหารผู้ให้กำเนิดชีวิต แต่พระเจ้าได้บันดาลให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย พวกเราเป็นพยานในเรื่องนี้ 16 ด้วยความเชื่อในพระนามพระเยซู ชายที่ท่านเห็นและรู้จักคนนี้จึงกลับแข็งแรงขึ้นมาได้ และความเชื่อซึ่งมาโดยผ่านพระเยซูได้รักษาเขาให้หายขาด ตามที่ท่านทั้งหลายเห็นกันอยู่นี้
17 เอาล่ะ พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าทราบว่าท่านกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังที่พวกผู้นำของท่านได้กระทำมาแล้ว 18 แต่เหตุการณ์ที่พระเจ้าได้ประกาศไว้ล่วงหน้า โดยใช้ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าทุกท่านว่า พระคริสต์ของพระองค์จะทนทุกข์ทรมานนั้น พระองค์โปรดให้เป็นไปตามนั้นแล้ว 19 ฉะนั้นจงกลับใจและน้อมเข้าหาพระเจ้า เพื่อบาปของพวกท่านจะได้ถูกลบล้างไป พร้อมทั้งรับความชื่นบานจากพระผู้เป็นเจ้า 20 และพระองค์จะได้ส่งพระเยซู คือพระคริสต์ผู้ที่ได้รับมอบหน้าที่ไว้ให้แก่พวกท่าน 21 พระองค์จะต้องอยู่ในสวรรค์ จนถึงเวลาที่พระเจ้าจะสร้างทุกสิ่งขึ้นใหม่ ตามที่ได้สัญญาไว้นานมาแล้วกับพวกผู้เผยคำกล่าวผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า 22 โมเสสได้กล่าวว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน จะกำหนดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้หนึ่งดังเช่นเราให้แก่ท่าน และท่านผู้นั้นมาจากหมู่พี่น้องของท่านเอง ฉะนั้นจงฟังทุกสิ่งที่ผู้นั้นบอกไว้ 23 ผู้ใดที่ไม่ฟังท่าน ก็จะถูกตัดขาดจากชนชาติของพระองค์โดยสิ้นเชิง’[u] 24 จริงทีเดียว เหล่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าทุกท่าน นับตั้งแต่ซามูเอลเป็นต้นมาได้พูดและพยากรณ์ไว้ถึงวาระนี้ 25 และพวกท่านซึ่งเป็นผู้สืบตระกูลของผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า รวมทั้งพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับบรรพบุรุษของท่าน พระองค์กล่าวกับอับราฮัมว่า ‘มนุษย์ทั้งปวงในโลกจะได้รับพรโดยผ่านผู้สืบเชื้อสายของเจ้า’[v] 26 เมื่อพระเจ้ากำหนดผู้รับใช้ของพระองค์ขึ้นแล้ว ก็ได้ส่งพระองค์มายังพวกท่านก่อน เพื่อให้พรแก่ท่าน โดยที่ให้ท่านทุกคนเว้นเสียจากการกระทำความชั่ว”
เปโตรและยอห์นยืนอยู่ต่อหน้าศาสนสภา
4 พวกปุโรหิต นายทหารรักษาพระวิหาร และพวกสะดูสี[w]ได้เดินมาหาเปโตรและยอห์น ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนาอยู่กับหมู่ชน 2 คนเหล่านั้นโกรธมาก เพราะพวกอัครทูตกำลังสั่งสอนคนทั้งปวง และประกาศว่าพระเยซูฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 3 เพราะเป็นเวลาเย็นแล้ว คนเหล่านั้นจึงจับตัวเปโตรและยอห์นขังไว้ในคุกจนวันรุ่งขึ้น 4 แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อในสิ่งที่ทั้งสองประกาศ และทำให้จำนวนผู้ที่เชื่อเพิ่มเป็นประมาณ 5,000 คน
5 เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นพวกที่อยู่ในระดับปกครอง พวกผู้ใหญ่ และพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติก็ประชุมกันในเมืองเยรูซาเล็ม 6 อันนาสหัวหน้ามหาปุโรหิต คายาฟาส ยอห์น อเล็กซานเดอร์ และคนอื่นๆ ในครอบครัวของหัวหน้ามหาปุโรหิตก็อยู่ที่นั่นด้วย 7 พวกเขาได้ให้คนนำเปโตรและยอห์นมายืนต่อหน้าเพื่อไต่ถามว่า “ท่านกระทำการนี้ด้วยอานุภาพหรือในนามของผู้ใด” 8 ขณะนั้นเปโตรซึ่งเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้กล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “บรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองและหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของหมู่ชน 9 ถ้าเราทั้งสองถูกเรียกตัวมาสอบถามในวันนี้ ด้วยเหตุที่เรามีใจช่วยเหลือคนง่อย และที่ท่านถามว่ารักษาเขาหายได้อย่างไร 10 พวกท่านและชาวอิสราเอลทั้งหลายจงรับรู้เถิดว่า ชายผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าท่านนี้ ได้รับการรักษาให้หายโดยพระนามของพระเยซูคริสต์แห่งเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งท่านได้ตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าบันดาลให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 11 พระองค์คือ ‘ศิลาที่พวกท่านซึ่งเป็นช่างก่อสร้างทิ้ง ได้กลายเป็นศิลามุมเอก’[x] 12 ความรอดพ้นจะมาจากใครอื่นไม่ได้เลย เพราะไม่มีชื่ออื่นใดใต้ฟ้าสวรรค์ ที่มนุษย์ใช้ร้องเรียกถึง แล้วจะรับความรอดพ้นได้”
13 เมื่อพวกเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรและยอห์น และทราบว่าทั้งสองเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้รับการศึกษาก็อัศจรรย์ใจ และสำนึกได้ว่าท่านทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู 14 เมื่อคนเหล่านั้นเห็นชายที่ได้รับการรักษาให้หายแล้วยืนอยู่กับเปโตรและยอห์นจึงไม่ได้กล่าวอะไรต่อไป 15 แต่สั่งให้ทั้งสองออกไปเสียจากศาสนสภา และปรึกษากันว่า 16 “เราควรจะทำอย่างไรกับคนทั้งสองนี้ เพราะชาวเมืองทุกคนในเมืองเยรูซาเล็มต่างรู้ว่า เขาได้แสดงสิ่งอัศจรรย์ที่โดดเด่นยิ่งสิ่งหนึ่ง และเราไม่สามารถปฏิเสธได้ 17 แต่ถ้าจะไม่ให้เรื่องนี้แพร่หลายยิ่งไปกว่านี้ในหมู่ชน เราต้องเตือนเขาทั้งสองไม่ให้พูดโดยอ้างนามนี้กับใครอื่นอีกต่อไป” 18 ครั้นแล้วคนเหล่านั้นก็เรียกเปโตรและยอห์นเข้ามาอีกครั้ง เพื่อสั่งไม่ให้พูดหรือสอนโดยอ้างอิงพระนามของพระเยซูอีก 19 แต่เปโตรและยอห์นกลับตอบว่า “ท่านทั้งหลายลองพิจารณาเองเถิดว่า เป็นการถูกต้องในสายตาของพระเจ้าแล้วหรือ ที่เราจะต้องเชื่อฟังท่านมากกว่าเชื่อฟังพระองค์ 20 ดังนั้น เราไม่สามารถหยุดพูดถึงสิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินได้” 21 หลังจากที่คนเหล่านั้นได้ขู่เข็ญท่านทั้งสองแล้วก็ปล่อยไป เพราะไม่สามารถตัดสินได้ว่า จะลงโทษเปโตรและยอห์นอย่างไร ด้วยเหตุว่าผู้คนทั้งปวงกำลังสรรเสริญพระเจ้าเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 22 เพราะชายที่ได้รับการรักษาให้หายอย่างน่าอัศจรรย์มีอายุเกินกว่า 40 ปีแล้ว
ผู้ที่เชื่ออธิษฐานขอความกล้า
23 เมื่อเปโตรและยอห์นได้รับการปลดปล่อยแล้ว ก็กลับไปหาเพื่อนๆ และรายงานถึงทุกสิ่งที่พวกมหาปุโรหิตกับพวกผู้ใหญ่ได้กล่าวแก่ท่านทั้งสอง 24 เมื่อหมู่เพื่อนได้ยินก็ร่วมกันเปล่งเสียงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้สูงสุด พระองค์ได้สร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และทุกสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น 25 พระองค์กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผ่านปากของผู้รับใช้ของพระองค์ คือดาวิดบรรพบุรุษของเราว่า
‘ทำไมบรรดาประชาชาติจึงมีความเคียดแค้น
และชนชาติทั้งหลายวางแผนอันไร้ประโยชน์
26 หมู่กษัตริย์ในโลกยืนกราน
และพวกที่อยู่ในระดับปกครองมาร่วมกัน
ต่อต้านพระผู้เป็นเจ้า
และต่อต้านองค์ผู้ได้รับการเจิม[y]ไว้แล้วของพระองค์’[z]
27 จริงทีเดียวที่เฮโรดและปอนทิอัสปีลาตได้ประชุมร่วมกับบรรดาคนนอก[aa]และชาวอิสราเอลในเมืองนี้ เพื่อจะรวมหัวกันต่อต้านผู้รับใช้ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ คือพระเยซูที่พระองค์ได้เจิม 28 เขาทั้งหลายได้กระทำตามอานุภาพและความประสงค์ของพระองค์ ที่ได้กำหนดไว้ก่อนที่จะเกิดขึ้น 29 บัดนี้ขอให้พระผู้เป็นเจ้าพิจารณาการขู่เข็ญของพวกเขา และโปรดช่วยบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ให้ประกาศคำกล่าวของพระองค์ด้วยความกล้าหาญยิ่ง 30 ขอพระองค์โปรดเหยียดมือออก เพื่อรักษาโรคให้หายขาดและแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ และสิ่งมหัศจรรย์ในพระนามของพระเยซู ผู้รับใช้ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์”
31 สิ้นคำอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งพวกเขาประชุมกันอยู่ก็เกิดการสั่นสะเทือน ทุกคนต่างก็เปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้ประกาศคำกล่าวของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ
ผู้ที่เชื่อแบ่งปันให้แก่กันและกัน
32 คนทั้งปวงที่เชื่อต่างก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่มีผู้ใดอ้างความเป็นเจ้าของในสิ่งที่ตนมี แต่กลับแบ่งทุกสิ่งที่มีให้แก่กันและกัน 33 พวกอัครทูตก็ให้คำยืนยันต่อไปด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ กล่าวถึงการฟื้นคืนชีวิตของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า และพระคุณอันยิ่งใหญ่ได้อยู่กับเขาทั้งหลาย 34 ไม่มีผู้ยากจนเข็ญใจในหมู่คนเหล่านั้น ด้วยเหตุว่าผู้ใดที่เป็นเจ้าของที่ดินหรือบ้านก็ขายกันไป และนำเงินที่ขายได้มา 35 วางไว้ที่เท้าของเหล่าอัครทูต เพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่ขัดสน 36 โยเซฟหนึ่งในเผ่าเลวีจากเกาะไซปรัสที่พวกอัครทูตเรียกว่า บาร์นาบัส (ซึ่งมีความหมายว่า บุตรแห่งการให้กำลังใจ) 37 ท่านได้ขายที่นาของท่านแห่งหนึ่ง และนำเงินมาวางไว้ที่เท้าของเหล่าอัครทูต
อานาเนียและสัปฟีรา
5 มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียซึ่งมีภรรยาชื่อสัปฟีรา ได้ขายที่ดินผืนหนึ่ง 2 โดยเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับตนเอง ซึ่งภรรยาก็ทราบดี และนำส่วนที่เหลือมาวางไว้ที่เท้าของเหล่าอัครทูต 3 เปโตรจึงถามว่า “อานาเนีย เป็นเพราะอะไร ซาตานจึงได้ครองใจของท่านจนกล้าพูดเท็จต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้เก็บเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายที่ดินไว้สำหรับตนเอง 4 ก่อนที่จะขายได้ ที่ดินนี้เป็นของท่าน และหลังจากที่ขายได้แล้ว เงินก็ยังเป็นสิทธิ์ของท่านมิใช่หรือ ทำไมท่านจึงได้คิดกระทำเช่นนั้น ท่านไม่ได้โกหกต่อมนุษย์ แต่โกหกต่อพระเจ้า” 5 เมื่อสิ้นคำกล่าวนั้น อานาเนียก็ล้มลงตาย และผู้คนที่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นก็เกิดความหวาดกลัว 6 จากนั้นพวกชายหนุ่มก็ได้ลุกขึ้นมาห่อตัวเขา และหามออกไปฝัง
7 ประมาณ 3 ชั่วโมงต่อมาภรรยาของเขาก็เข้ามาโดยไม่ทราบว่าได้เกิดอะไรขึ้น 8 เปโตรถามนางว่า “ช่วยบอกข้าพเจ้าว่าท่านและอานาเนียขายที่ดินได้ในราคานี้หรือ” นางตอบว่า “ใช่แล้ว ขายได้ในราคานี้” 9 เปโตรจึงตอบว่า “พวกท่านเห็นพ้องต้องกันได้อย่างไรในการที่จะลองดีกับพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ดูนั่น เท้าของพวกที่ฝังสามีของท่านยังอยู่ที่ประตู และพร้อมที่จะหามตัวท่านออกไปเช่นกัน” 10 ทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายอยู่แทบเท้าของเปโตร เมื่อชายหนุ่มเหล่านั้นเข้ามาก็พบว่านางตายแล้ว จึงหามนางออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง 11 ทั่วทั้งคริสตจักรและทุกคนที่ได้ยินเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เกิดความหวาดกลัวยิ่งนัก
อัครทูตรักษาโรคให้คนจำนวนมาก
12 เหล่าอัครทูตได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ อีกทั้งสิ่งมหัศจรรย์หลายอย่างในหมู่ฝูงชน และผู้ที่เชื่อทั้งหลายประชุมร่วมกันที่เฉลียงของซาโลมอน 13 แม้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้ามาร่วมด้วย แต่กระนั้นผู้คนก็ยังเคารพพวกเขามาก 14 และผู้ที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทั้งชายและหญิงมีเป็นจำนวนมาก 15 จนถึงขั้นที่พวกเขาได้หามคนป่วยไปที่ถนนหนทาง และให้นอนอยู่บนแคร่หรือไม่ก็เสื่อ เพื่ออย่างน้อยเงาของเปโตรจะได้ถูกตัวบ้างเวลาที่ท่านเดินผ่านไป 16 มีผู้คนชุมนุมกันที่มาจากเมืองต่างๆ ใกล้เมืองเยรูซาเล็มด้วยที่นำคนป่วยและพวกที่ถูกวิญญาณร้ายรังควานมา และทุกคนก็ได้รับการรักษาให้หาย
อัครทูตถูกกดขี่ข่มเหง
17 ส่วนหัวหน้ามหาปุโรหิตและผู้ร่วมงานทุกคนของเขาซึ่งเป็นสมาชิกของพรรคสะดูสีก็เกิดความอิจฉา 18 จึงจับตัวเหล่าอัครทูตขังไว้ในคุกหลวง 19 ตกกลางคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าได้เปิดประตูคุกและพาพวกเขาออกไป 20 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “จงไปยืนที่บริเวณพระวิหารเพื่อบอกผู้คนถึงเรื่องราวทั้งสิ้นในการดำเนินชีวิตใหม่นี้” 21 เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขาจึงได้เข้าไปสั่งสอนผู้คนในบริเวณพระวิหารตอนฟ้าสาง
ครั้นหัวหน้ามหาปุโรหิตและพวกร่วมงานของเขามาถึง ก็เรียกประชุมศาสนสภา คือคณะพวกผู้ใหญ่ของชาวอิสราเอลทั้งหมด และให้คนไปพาตัวเหล่าอัครทูตออกมาจากคุก 22 แต่เมื่อถึงคุกแล้ว พวกเจ้าหน้าที่กลับไม่พบใครเลย จึงได้กลับไปรายงานว่า 23 “พวกเราเห็นคุกยังคงปิดอยู่อย่างแข็งแรง และมียามยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูด้วย แต่เมื่อพวกเราเปิดประตู กลับไม่พบใครอยู่ข้างในเลย” 24 เมื่อหัวหน้านายทหารประจำพระวิหารและพวกมหาปุโรหิตได้ยินรายงานนั้นก็งุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น 25 มีใครคนหนึ่งได้มายืนพลางพูดว่า “ดูสิ พวกที่ท่านจับเข้าคุกกำลังยืนสั่งสอนผู้คนอยู่ที่บริเวณพระวิหาร” 26 นายทหารพร้อมพวกเจ้าหน้าที่จึงพากันไปยังที่นั้น เพื่อนำเหล่าอัครทูตกลับมาโดยไม่ใช้กำลัง ด้วยเกรงจะถูกผู้คนเอาหินขว้างปา
27 คนที่ไปจับกุมอัครทูตได้นำพวกเขามายืนต่อหน้าศาสนสภา เพื่อให้หัวหน้ามหาปุโรหิตเป็นผู้ซักถาม 28 หัวหน้ามหาปุโรหิตจึงกล่าวว่า “พวกเราออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดไม่ให้ท่านสั่งสอนในนามนี้ แต่พวกท่านยังสั่งสอนผู้คนทั่วทั้งเมืองเยรูซาเล็ม และต้องการให้เรารับผิดชอบกับความตายของชายคนนี้” 29 เปโตรและอัครทูตอื่นๆ ตอบว่า “พวกเราย่อมเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์ 30 พระเจ้าของบรรพบุรุษของเราได้บันดาลให้พระเยซูฟื้นคืนชีวิตทั้งๆ ที่พวกท่านได้ประหารพระองค์ โดยตรึงบนไม้กางเขน 31 พระเจ้าได้เชิดชูพระเยซู ณ เบื้องขวาของพระองค์ในการเป็นผู้นำและองค์ผู้ช่วยให้รอดพ้น เพื่อจะให้ชนชาติอิสราเอลกลับใจ และโปรดที่จะยกโทษบาปให้ 32 พวกเราเป็นพยานในเรื่องเหล่านี้ได้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระเจ้าได้มอบให้แก่คนที่เชื่อฟังพระองค์ ก็เป็นพยานได้เช่นกัน”
33 เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินก็โกรธมากและต้องการจะฆ่าเหล่าอัครทูต 34 แต่ฟาริสี[ab]ผู้หนึ่งชื่อกามาลิเอล เป็นอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติซึ่งผู้คนทั้งหลายนับถือ ได้ยืนขึ้นในศาสนสภา สั่งให้พวกอัครทูตออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง 35 จากนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ชาวอิสราเอล จงพิจารณาดูให้ดีว่าท่านเจตนาจะทำอะไรกับคนพวกนี้ 36 ครั้งหนึ่ง ธุดาสปรากฏตนโดยอ้างว่าเป็นคนสำคัญ และมีคนติดตามประมาณ 400 คน เมื่อธุดาสถูกฆ่า ผู้ติดตามทั้งหมดก็กระจัดกระจายหายไป สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนไม่ก่อประโยชน์ใดๆ 37 หลังจากธุดาสแล้ว ก็มียูดาสชาวกาลิลีซึ่งปรากฏตัว และนำคนก่อการปฏิวัติขึ้นในครั้งที่มีการจดทะเบียนสำมะโนครัว เมื่อเขาถูกฆ่า ผู้ติดตามทุกคนก็กระจัดกระจายไป 38 ฉะนั้นในกรณีนี้ ข้าพเจ้าขอแนะท่านว่า อย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้เลย ปล่อยเขาไปเถิด เพราะถ้าจุดประสงค์หรือการกระทำของเขาเริ่มมาจากมนุษย์แล้ว มันก็จะล้มเหลว 39 แต่ถ้าเป็นคำสั่งจากพระเจ้าแล้ว ท่านก็จะไม่สามารถห้ามชายเหล่านี้ได้ ท่านจะเห็นว่าท่านกำลังต่อสู้กับพระเจ้า” 40 คำพูดของเขาสามารถเกลี้ยกล่อมคนเหล่านั้นได้ หลังจากที่ได้เรียกตัวพวกอัครทูตมาและโบยแล้ว ก็สั่งไม่ให้เขากล่าวสิ่งใดในพระนามของพระเยซู แล้วก็ปล่อยพวกเขาไป 41 เหล่าอัครทูตก็จากศาสนสภาไปด้วยความชื่นชมยินดี ที่พวกเขาได้รับเกียรติให้มารับการดูหมิ่นเพื่อพระนามนั้น 42 พวกเขาสั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งในบริเวณพระวิหารและตามบ้านเรือนว่า พระเยซูคือพระคริสต์
เลือกชาย 7 คนให้รับใช้
6 ในเวลานั้นจำนวนสาวกเพิ่มขึ้น และในหมู่สาวกก็มีชาวยิวที่พูดภาษากรีกพากันว่ากล่าวติเตียนชาวยิวที่พูดภาษาฮีบรู เพราะว่าพวกแม่ม่ายของเขาเหล่านั้นไม่ได้รับการแจกอาหารประจำวัน 2 อัครทูตทั้งสิบสองจึงเรียกสาวกทั้งหมดมาประชุมกันแล้วกล่าวว่า “หากว่าเราจะละเลยคำกล่าวของพระเจ้าเพื่อไปรับใช้ในการแจกอาหาร ก็จะไม่ใช่การกระทำที่ถูกต้อง 3 พี่น้องทั้งหลาย ท่านจงเลือกชาย 7 คนผู้เปี่ยมด้วยพระวิญญาณและสติปัญญาจากพวกท่านมา เพื่อเราจะได้ให้พวกเขารับผิดชอบในเรื่องนี้ 4 ส่วนพวกเราจะได้ใส่ใจในการอธิษฐาน และรับใช้ในการประกาศคำกล่าว” 5 ผู้คนเหล่านั้นล้วนพอใจในข้อเสนอนี้ จึงเลือกสเทเฟนผู้เปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และความเชื่อ และได้เลือกฟีลิป โปรโครัส นิคาโนร์ ทิโมน ปาร์เมนัส และนิโคเลาส์ชาวเมืองอันทิโอก ซึ่งก่อนหน้านี้เคยปฏิบัติตามศาสนาของชาวยิว 6 ให้พวกเขามายืนต่อหน้าอัครทูตซึ่งได้อธิษฐานและวางมือบนตัวพวกเขาเหล่านั้น
7 ดังนั้นคำกล่าวของพระเจ้าจึงได้แผ่ขยาย ทำให้สาวกในเมืองเยรูซาเล็มมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมทั้งปุโรหิตจำนวนมากก็กลับมารับเชื่อด้วย
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation