Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
โยบ 25-41

บิลดัดตอบโยบ

25 แล้วบิลดัดชาวชูอาห์ก็ตอบว่า

“พระเจ้าทรงครอบครอง พระองค์น่ายำเกรง
    พระองค์สร้างสันติในสวรรค์ชั้นฟ้าของพระองค์
ทหารในกองทัพของพระองค์นั้นนับไม่ถ้วน
    แสงสว่างของพระองค์สาดส่องลงมายังทุกคน
มนุษย์จะเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อหน้าพระเจ้าได้หรือ
    คนที่เกิดจากผู้หญิงจะสะอาดบริสุทธิ์ได้หรือ
ขนาดดวงจันทร์ก็ยังไม่สุกใส
    และหมู่ดาวก็ยังไม่บริสุทธิ์ในสายตาของพระองค์เลย
แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์
    ที่เป็นเพียงแมลงหนอน
    และนับประสาอะไรกับคนเราที่เป็นแค่ตัวหนอน”

โยบพูดอีก

26 แล้วโยบก็ตอบว่า

“ท่านนี่ช่างช่วยเหลือผู้ที่หมดเรี่ยวแรงได้ดีมาก
    ท่านนี่ช่างเป็นผู้ช่วยให้รอดจริงๆสำหรับผู้ที่อ่อนแอ
ท่านช่างให้คำปรึกษาที่มหัศจรรย์กับผู้ที่ขาดปัญญาเสียจริง
    ท่านช่างให้คำแนะนำที่แสนจะวิเศษมากมายเสียนี่กระไร
ใครกันนี่ที่มาช่วยให้ท่านเปล่งคำพูดออกมาอย่างนี้
    วิญญาณของใครกันนี่ที่กำลังออกมาจากพวกท่าน

[a] วิญญาณคนตายทั้งหลายตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว
    ในแดนคนตายที่อยู่ใต้ชั้นน้ำซึ่งอยู่ใต้แผ่นดินโลก
ต่อหน้าพระเจ้า แม้แต่แดนคนตายก็เปลือยอยู่
    ดินแดนแห่งความพินาศนั้นไม่มีอะไรปกปิด
พระองค์คลี่ฟ้าทางเหนือออกเหนือที่เวิ้งว้าง
    และแขวนโลกเอาไว้บนความว่างเปล่า
พระองค์ห่อน้ำไว้ในเมฆอันหนาทึบของพระองค์
    และน้ำนั้นไม่ได้ทำให้เมฆฉีกขาด
พระองค์เอาเมฆของพระองค์
    ปูคลุมหน้าของดวงจันทร์เต็มดวง
10 พระองค์ขีดเส้นขอบฟ้าไว้เหนือทะเล
    แบ่งเขตแดนระหว่างความสว่างกับความมืด
11 เมื่อพระองค์ตะโกน
    พวกเสาหลักของฟ้าสวรรค์ก็สะดุ้งสั่นไหว
12 พระองค์ใช้พละกำลังปราบทะเลให้สงบลง
    และใช้ปัญญาของพระองค์บดขยี้ราหับ[b]
13 ลมหายใจของพระองค์ทำให้ฟ้าสว่างสดใส
    มือของพระองค์แทงงูใหญ่[c] ที่กำลังเลื้อยหนีไป
14 นี่เป็นแค่เสี้ยวเดียวของสิ่งที่พระองค์ทำ
    ที่เราได้ยินนี้เป็นแค่เสียงกระซิบของฤทธิ์อำนาจพระองค์เท่านั้น
    ส่วนฤทธิ์อำนาจทั้งหมดที่กึกก้องเหมือนฟ้าร้องนั้น ใครจะไปเข้าใจได้”

27 โยบเริ่มพูดต่ออีกว่า

2-4 “ถึงแม้ว่าพระองค์เอาความยุติธรรมไปจากข้า
ถึงแม้ว่าพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ทำให้ชีวิตข้าขมขื่น
ข้าขอสาบานว่า พระองค์มีชีวิตอยู่แน่ฉันใด
    ข้าจะไม่ปล่อยให้ริมฝีปากของข้าพูดโกหก
    ลิ้นของข้าจะไม่พูดคำหลอกลวง
    ตราบเท่าที่ข้ายังมีชีวิตอยู่
    ตราบเท่าที่ลมหายใจจากพระเจ้ายังอยู่ในรูจมูกข้า
ไม่มีวันที่ข้าจะพูดว่าพวกท่านถูก
    ข้าจะไม่มีวันพูดโกหกว่าข้าผิดหรอกตราบเท่าวันตาย
ข้าจะยืนหยัดในความบริสุทธิ์ของข้าและจะไม่ยอมปล่อยมัน
    จิตใจของข้าไม่ได้ฟ้องข้าสำหรับสิ่งทั้งหลายที่ข้าทำในชีวิต
ขอให้ศัตรูของข้าถูกลงโทษเหมือนคนชั่วร้าย
    ขอให้ผู้ที่ต่อต้านข้าถูกลงโทษเหมือนคนทำชั่ว
ผู้ที่ไม่นับถือพระเจ้าจะมีความหวังอะไรเมื่อพระเจ้าตัดเขาออกไป
    เมื่อพระเจ้าเอาชีวิตของเขาไป
เมื่อความยากลำบากมาสู่เขา
    พระเจ้าจะฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเขาหรือ
10 เขาจะชื่นชมยินดีในพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์หรือ
    เขาจะร้องเรียกหาพระองค์ตลอดเวลาหรือ
11 ข้าจะสอนพวกท่านถึงเรื่องพลังอำนาจของพระเจ้า
    ข้าจะไม่ปิดบังความจริงเกี่ยวกับพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์
12 อันที่จริง พวกท่านก็ได้เห็นเองแล้ว
    ทำไมพวกท่านยังพูดเรื่องไร้สาระอยู่อีก

13 นี่คือส่วนแบ่งที่คนชั่วได้รับจากพระเจ้า
    นี่คือมรดกที่คนกดขี่ข่มเหงได้รับจากพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์
14 ถึงเขามีลูกเพิ่มทวีขึ้นมากมาย ดาบก็จะมาฆ่าพวกเขา
    ส่วนลูกหลานของพวกเขาก็จะไม่มีอาหารพอกิน
15 คนของเขาที่ยังเหลือรอดชีวิตก็จะถูกฝังเพราะโรคระบาด
    และเมียหม้ายของพวกเขาก็จะไม่ไว้ทุกข์
16 ถึงคนชั่วกองเงินมากมายเหมือนฝุ่น
    และกองเสื้อผ้าราวกับดินเหนียว
17 เขาอาจจะเป็นคนกองมันขึ้นมาก็จริง แต่จะเป็นคนที่ซื่อตรงที่ได้ใส่มัน
    และคนบริสุทธิ์จะแบ่งปันเงินนั้น
18 พวกบ้านที่คนชั่วสร้างจะเปราะบางเหมือนรังนก
    เปราะบางเหมือนเพิงของยามเฝ้าสวนองุ่น
19 ในคืนหนึ่ง เขาอาจล้มตัวลงนอนอย่างคนมั่งคั่ง แต่คืนต่อไปอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น
    พอเขาลืมตาขึ้น ความมั่งคั่งนั้นได้สูญหายไปหมดแล้ว
20 เรื่องสยดสยองต่างๆท่วมท้นเขาราวกับน้ำท่วม
    ในตอนกลางคืนลมพายุก็หอบเขาไป
21 ลมตะวันออกยกเขาขึ้น แล้วเขาก็จากไป
    มันกวาดเขาไปจากที่ของเขา
22 พายุพัดกระแทกใส่เขาอย่างไม่ปรานี
    พวกเขาพยายามวิ่งหนีฤทธิ์ของพายุนั้น
23 ลมตบมือเยาะเย้ยพวกเขา
    และผิวปากใส่เขาจากที่อยู่ของมัน”

บทกลอนสรรเสริญปัญญา

28 “ใช่แล้ว มีเหมืองสำหรับเงิน
    มีที่สำหรับหลอมทองคำ
เขาเอาเหล็กมาจากพื้นดิน
    และหลอมทองแดงจากหินแร่
คนทำเหมืองแร่สำรวจสุดปลายของความมืด
    ค้นหาเข้าไปในจุดที่ไกลที่สุด
    ค้นหาหินแร่ในที่มืดครึ้มและที่มืดมิดอันลึก
คนงานขุดช่องลงไปห่างไกลจากที่ผู้คนอาศัยกัน
    พวกเขาถูกลืมไปแล้วในที่ห่างไกลจากทางเดินเท้า
    เขาใช้เชือกห้อยตัวแกว่งไปแกว่งมาทำงานไกลจากผู้คน
บนแผ่นดินโลกมีอาหารงอกงามขึ้น
    แต่ส่วนใต้ดินอย่างกับมีไฟเผาจนยุ่งเหยิงไปหมด[d]
พวกหินของแผ่นดินโลกเป็นที่มาของพลอยสีน้ำเงินเข้ม
    ส่วนฝุ่นของมันมีทองคำอยู่
พวกเหยี่ยวไม่รู้ทางที่จะไปเหมืองพลอยนั้น
    ส่วนตาของเหยี่ยวดำไม่สามารถมองเห็นมัน
พวกสัตว์ป่าไม่เคยเหยียบเส้นทางนั้น
    สิงโตก็ไม่เคยผ่านที่นั่น
คนงานเหมืองแร่ตีหินเหล็กไฟ
    และพลิกดูพวกภูเขาทั้งหลาย
10 เขาขุดอุโมงค์เข้าไปในหิน
    และตาของเขาก็เห็นหินล้ำค่าทุกชนิด
11 เขาสำรวจ[e] แถวๆต้นน้ำ
    และนำสิ่งต่างๆที่ซ่อนเร้นออกมาในที่สว่าง
12 แต่จะพบปัญญาได้ที่ไหน
    แหล่งของความเข้าใจอยู่ที่ไหนกันเล่า
13 มนุษย์ไม่รู้ทางไปสู่มัน
    ไม่อาจหามันพบในแผ่นดินของคนเป็น
14 มหาสมุทรพูดว่า ‘มันไม่ได้อยู่ในข้า’
    ส่วนทะเลก็กล่าวว่า ‘มันไม่ได้อยู่ในฉัน’
15 ทองคำก็ไม่อาจซื้อมันได้
    จะชั่งเงินไปจ่ายมันก็ไม่ได้ด้วย
16 ทองคำแห่งโอฟีร์ หรือพลอยโมราหรือแม้แต่พลอยสีน้ำเงินเข้มนั้น
    ก็ไม่อาจเอามาซื้อมันได้
17 ทองคำและแก้วล้ำค่าไม่อาจมาเปรียบกับมันได้
    ภาชนะทองคำบริสุทธิ์ก็ไม่อาจเอามาแลกเปลี่ยนกับมันได้
18 ไม่ต้องพูดถึงเรื่องคุณค่าของปัญญานั้น
    มันมีค่ามากยิ่งกว่าหินปะการังและแก้วผลึกราคาแพงนั้น
    และมีค่ามากยิ่งกว่าไข่มุกเสียอีก
19 พลอยเหลืองจากเอธิโอเปียนั้นก็เปรียบกับปัญญาไม่ได้เลย
    จะเอาทองคำบริสุทธิ์มาซื้อมันก็ไม่ได้

20 ถ้าอย่างนั้น ปัญญานั้นมาจากไหนเล่า
    แหล่งของความเข้าใจนั้นอยู่ที่ไหน
21 มันซ่อนเร้นจากสายตาของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
    รวมทั้งนกในอากาศด้วย
22 ดินแดนแห่งความพินาศและความตายพูดว่า
    ‘หูของเราได้ยินแต่ข่าวลือเรื่องของปัญญาเท่านั้น’

23 แต่พระเจ้าเข้าใจทางที่นำไปสู่ปัญญานั้น
    และพระองค์รู้จักที่อยู่ของมัน
24 เพราะพระองค์สามารถเห็นถึงสุดปลายแผ่นดินโลก
    พระองค์มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใต้ฟ้าสวรรค์
25 พระองค์กำหนดน้ำหนักให้กับลม
    พระองค์ตวงน้ำด้วยถ้วยตวง
26     เมื่อพระองค์ออกกฎให้ฝน
    และเตรียมทางให้กับพายุฝนฟ้าคะนอง
27 แล้วพระองค์สังเกตดูปัญญาและประเมินคุณค่ามัน
    พระองค์ก่อตั้งมันขึ้นและพระองค์ก็ตรวจสอบมัน
28 และพระองค์ก็พูดกับมนุษย์ว่า
    ‘การยำเกรงองค์เจ้าชีวิตนั่นแหละคือปัญญา
    และการไม่ยอมทำความชั่วนั่นแหละคือความเข้าใจ’”

โยบสรุปคำแก้ต่าง

29 แล้วโยบก็เริ่มพูดต่ออีกครั้ง

“ข้าอยากให้ชีวิตของข้าเป็นเหมือนเมื่อก่อน
    ตอนที่พระเจ้าเฝ้าดูแลข้า
ตอนนั้นโคมไฟของพระองค์ได้ส่องอยู่เหนือหัวข้า
    และแสงสว่างของพระองค์นำทางข้าในความมืด
ข้าอยากจะกลับไปอยู่ในช่วงที่ข้ารุ่งเรืองที่สุดเหลือเกิน
    ตอนที่พระเจ้าเป็นเพื่อนกับข้าและปกป้องเต็นท์ของข้า
ตอนที่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ยังอยู่กับข้า
    ตอนที่ลูกๆห้อมล้อมข้าอยู่
ตอนที่ฝูงแพะแกะของข้าผลิตน้ำนมจนท่วมท้นทางเดิน
    และน้ำมันมะกอกไหลดั่งแม่น้ำจากแท่นหินที่คั้นมัน
ตอนที่ข้าไปที่ประตูเมือง
    และนั่งในที่อันมีเกียรติของข้าตรงลานเมือง
คนหนุ่มเห็นข้าและเปิดทางให้
    คนแก่เฒ่าลุกยืนให้เกียรติข้า
เจ้าหน้าที่พากันหยุดพูด
    พวกเขายกมือขึ้นปิดปากตนเอง
10 เสียงของพวกขุนนางก็เงียบลง
    ลิ้นพวกเขาติดเพดานปาก
11 เมื่อหูใครได้ยินข้า เขาก็บอกว่าข้านี้มีเกียรติจริงๆ
    เมื่อตาใครได้เห็นข้า เขาก็พูดว่าข้าดี
12 เพราะข้าช่วยกู้คนยากจนที่ร้องให้ช่วย
    และเด็กกำพร้าที่ไม่มีที่พึ่ง
13 คนใกล้ตายก็อวยพรข้าที่ช่วยเหลือพวกเขา
    และข้าทำให้หัวใจของหญิงหม้ายร้องเพลงอย่างเป็นสุข
14 ข้าสวมใส่ความชอบธรรมและมันก็ห่อหุ้มตัวข้า
    ความยุติธรรมของข้า ก็เป็นเหมือนเสื้อคลุมและผ้าโพกหัว
15 ข้าเป็นดวงตาให้กับคนตาบอด
    และเป็นเท้าให้กับคนง่อย
16 ข้าเป็นพ่อของคนขัดสน
    ข้าช่วยสู้คดีให้แม้กับคนที่ข้าไม่รู้จัก
17 ข้าหักเขี้ยวของคนชั่ว
    และทำให้เขาปล่อยเหยื่อออกจากปาก
18 ข้าคิดว่า ‘วันเวลาของข้าจะทวีเหมือนเม็ดทราย
    ข้าจะตายในรังของข้า
19 รากของข้าจะแผ่เลื้อยไปถึงน้ำ
    มีน้ำค้างจับอยู่บนกิ่งของข้าตลอดคืน
20 จะมีเกียรติใหม่ๆมาสู่ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า
    คันธนูในมือของข้าจะใหม่อยู่เสมอ’

21 ตอนนั้น ผู้คนคอยฟังข้าอย่างตั้งใจ
    พวกเขาเงียบ คอยฟังคำแนะนำจากข้า
22 พอข้าพูดจบ เรื่องทุกอย่างก็ยุติ
    คำพูดของข้าเหมือนฝนพร่างพรมลงมาบนตัวเขา
23 พวกเขาคอยท่าข้าเหมือนคอยฝนและอ้าปากคอยดื่มคำพูดของข้า
    เหมือนแผ่นดินคอยดื่มน้ำฝนในฤดูใบไม้ผลิ
24 ตอนนั้น เมื่อข้ายิ้มให้กับพวกเขา พวกเขาตื่นเต้นทำตัวไม่ถูก
    ใบหน้าอันอิ่มเอมของข้าทำให้พวกเขามีกำลังใจ
25 ข้าเลือกทางให้กับพวกเขา ข้านั่งเป็นหัวหน้าอยู่ท่ามกลางพวกเขา
    ข้าอยู่อย่างกษัตริย์ในท่ามกลางกองทัพของตน
    และเป็นเหมือนผู้ปลอบโยนคนที่ทุกข์โศก
30 แต่ตอนนี้ คนที่อ่อนกว่าข้าหลายปีต่างพากันเยาะเย้ยข้า
ทั้งๆที่เมื่อก่อนพ่อของพวกมัน
    ข้ายังไม่ยอมแม้แต่จะให้มาอยู่กับพวกหมาที่เฝ้าดูแลฝูงแพะแกะของข้าเลย
ในตอนนั้นข้ามองว่า ‘พวกมันอ่อนแอเกินไปที่จะช่วยอะไรข้าได้
    เรี่ยวแรงของพวกมันหายหมดแล้ว
พวกมันยากจนขัดสน และหิวโซจนต้องแทะเศษรากไม้แห้งกินกัน
    ในค่ำคืนก่อนที่จะมีการทำลายล้างและพินาศเกิดขึ้น
พวกมันเก็บผักเค็มท่ามกลางพุ่มไม้
    และกินรากของพุ่มไม้ในทะเลทราย
พวกมันถูกขับไล่ออกไปจากสังคม
    ผู้คนตะโกนใส่พวกมันราวกับเป็นโจร
พวกมันพากันไปอยู่ตามลำน้ำแห้ง
    ในถ้ำและซอกหิน
พวกมันส่งเสียงร้องเหมือนลาตามพุ่มไม้
    และพากันเบียดเสียดกันอยู่ใต้ต้นหนาม
พวกมันเป็นคนถ่อย พวกกระจอกๆ
    ถูกแส้ไล่ออกไปจากแผ่นดิน’

แต่ตอนนี้ ลูกๆของพวกมันกลับมาร้องเพลงหัวเราะเยาะข้า
    และข้าตกเป็นขี้ปากของพวกมัน
10 พวกมันสะอิดสะเอียนข้าและหนีห่างจากข้า
    และไม่ลังเลที่จะถ่มน้ำลายรดข้า
11 เพราะพระเจ้าได้คลายสายธนูของข้าทำให้ข้าหมดสภาพไปและให้ข้าตกต่ำ
    พวกมันอยากจะทำอะไรข้า พวกมันก็ทำไป
12 พวกอันธพาลลุยเข้ามาทางขวามือของข้า
    ผลักข้าล้มคว่ำลงกับพื้น
    ข้าเป็นเหมือนเมืองที่พวกมันสร้างเนินดินขึ้นบุก
13 พวกมันปิดกั้นทางหนีของข้า
    และทำลายล้างข้าลงได้
    ไม่มีใครช่วยข้าต่อสู้กับพวกมันเลย
14 พวกมันบุกเข้ามาหาข้าอย่างกับศัตรูที่ทะลวงผ่านช่องกว้างของกำแพงเมืองเข้ามา
    บุกเข้ามาเป็นระลอกๆท่ามกลางซากปรักหักพัง
15 เรื่องสยดสยองต่างๆท่วมท้นตัวข้า
    พวกมันไล่ต้อนศักดิ์ศรีข้าไปอย่างกับลมพัด
    ความรุ่งเรืองของข้าหายไปราวกับเมฆ
16 ตอนนี้ชีวิตของข้าได้ไหลออกจากข้า
    วันเวลาแห่งความทุกข์ได้ยึดตัวข้าไว้
17 ในตอนกลางคืนพระเจ้าทิ่มแทงกระดูกในร่างข้า
    ความเจ็บปวดไม่เคยหยุดแทะข้าเลย
18 พระองค์ใช้ความรุนแรงคว้าเสื้อผ้าข้า
    พระองค์ตะครุบคอเสื้อของชุดคลุมข้า
19 พระเจ้าเหวี่ยงข้าลงในโคลน
    ข้าก็กลายเป็นเหมือนผงธุลีดินและเศษขี้เถ้า

20 พระองค์เจ้าข้า
ข้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์ แต่พระองค์ไม่ตอบข้า
    ข้ายืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ แต่พระองค์ได้แต่มองข้าเฉยๆ
21 พระองค์โหดร้ายต่อข้า
    พระองค์โจมตีข้าด้วยมืออันทรงฤทธิ์ของพระองค์
22 พระองค์ยกตัวข้าขึ้นไปบนลม
    และทำให้ข้าต้องขี่มันไป
    พระองค์เหวี่ยงข้าไปมาด้วยลมพายุนั้น
23 ข้ารู้ว่าพระองค์จะนำข้าไปสู่ความตาย
    ไปถึงบ้านนั้นที่คนเป็นทั้งหลายต้องไป

24 แน่นอน ข้าไม่เคยโจมตีคนยากจน
    ตอนที่เขาร้องขอความช่วยเหลือในยามหายนะ
25 ข้าไม่ได้ร้องไห้สงสารคนทุกข์ยากหรอกหรือ
    ข้าไม่ได้โศกเศร้าให้กับคนยากจนหรอกหรือ
26 แต่พอข้ามองหาสิ่งดี ของร้ายก็มา
    ในขณะที่ข้าคอยแสงสว่าง ความมืดก็มา
27 ภายในข้าปั่นป่วนไม่หยุดหย่อน
    ข้าได้พบกับวันคืนแห่งความทุกข์ทรมาน
28 ข้าเดินไปมาในความมืดอันหมองเศร้า ไม่มีแสงแดดคอยให้กำลังใจข้า
    ข้ายืนขึ้นในที่ประชุมและทำเสียงโหยหวนให้ช่วย
29 ข้าเลยกลายเป็นพี่น้องกับพวกหมาไน
    และเพื่อนพ้องกับนกฮูก
30 ผิวของข้าดำคล้ำเพราะความเจ็บป่วย
    และกระดูกของข้าถูกเผาด้วยพิษไข้
31 พิณของข้าปรับเสียงให้เข้ากับเพลงร้องทุกข์
    ขลุ่ยของข้าปรับเสียงให้เข้ากับเสียงร้องไห้

31 ข้าทำข้อตกลงกับดวงตาของข้าว่า
    ข้าจะไม่มองหญิงสาวด้วยความใคร่
ถ้าทำผิดในเรื่องนี้
    ข้าจะได้รับส่วนแบ่งอะไรจากพระเจ้าที่อยู่เบื้องบน
    ข้าจะได้รับมรดกอะไรจากพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ในที่สูงส่งนั้น
พระองค์จะให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับคนชั่วไม่ใช่หรือ
    และจะให้ความหายนะเกิดกับคนที่ทำผิดบาปไม่ใช่หรือ
พระเจ้าเห็นทุกสิ่งที่ข้าทำ
    และจับตาดูทุกย่างก้าวของข้าไม่ใช่หรือ
ข้าได้เดินในทางที่โกหกหรือ
    เท้าของข้ารีบไปหลอกผู้คนหรือ
ก็ให้พระเจ้าเอาข้าไปชั่งบนตราชั่งที่เที่ยงตรงดู
    แล้วพระเจ้าจะได้รู้ว่าข้านั้นดีรอบคอบ
ถ้าย่างก้าวของข้าหันออกนอกลู่นอกทางไป
    ถ้าใจของข้าไปตามกิเลสทางตาของข้า
    หรือถ้ามือของข้าเปื้อนความผิด
ก็ขอให้คนอื่นได้กินพืชผลที่ข้าปลูกไว้
    ขอให้พืชของข้าที่งอกออกมาถูกถอนทิ้งไป
ถ้าข้าถูกผู้หญิงยั่วยวนหลงไป
    หรือถ้าข้าไปซุ่มอยู่ที่ประตูเพื่อนบ้านเพื่อแอบเข้าหาเมียเขา
10 ก็ขอให้เมียของข้าไปบริการ[f] ให้กับชายอื่น
    และขอให้ชายอื่นคร่อมทับเธอ
11 เพราะถ้าข้าทำอย่างนั้น มันเป็นเรื่องน่าอับอายจริงๆ
    และเป็นความผิดบาปที่สมควรจะได้รับการลงโทษ
12 การมีชู้นั้นเป็นเหมือนไฟที่ผลาญไปถึงแดนพินาศ
    มันจะเผาพืชผลทั้งหมดของข้าถึงราก
13 ถ้าข้าไม่ให้ความเป็นธรรมกับคนใช้ชายหญิงของข้า
    ตอนที่พวกเขามาเรียกร้องสิทธิของเขาจากข้า
14 เมื่อพระเจ้าลุกขึ้นมากล่าวโทษข้า ข้าจะทำยังไง
    เมื่อพระองค์สอบสวนข้า ข้าจะตอบพระองค์ว่ายังไง
15 พระองค์ผู้ที่สร้างข้าในครรภ์แม่ไม่ได้สร้างพวกเขาด้วยหรือ
    เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันไม่ใช่หรือที่ปั้นพวกเราทุกคนไว้ในครรภ์แม่
16 ถ้าข้าไม่ยอมให้สิ่งที่คนยากจนจำเป็น
    ถ้าข้าทำให้แม่หม้ายผิดหวังที่ข้าไม่ช่วย
17 ถ้าข้ากินอาหารของข้าคนเดียว
    และไม่ยอมแบ่งให้กับเด็กกำพร้ากินด้วย
18 จริงๆแล้ว ตั้งแต่หนุ่มๆมาแล้ว ข้าได้เลี้ยงดูเด็กกำพร้าเหมือนเป็นพ่อของพวกเขา
    และข้าได้ดูแลหญิงหม้ายตั้งแต่ข้าเกิดเลย
19 ถ้าข้าได้แต่มองดูคนที่กำลังจะตายเพราะไม่มีเสื้อผ้าใส่เฉยๆ
    หรือมองคนจนที่ไม่มีผ้าคลุมกายเฉยๆ
20 ถ้าพวกนั้นไม่ได้ขอให้พระเจ้าอวยพรข้า
    ที่ได้ให้เสื้อผ้าขนแกะจากฝูงของข้าให้พวกเขาอุ่นกาย
21 ถ้าข้าชูกำปั้นข่มขู่เด็กกำพร้า
    เพราะข้ารู้ว่ามีคนสนับสนุนข้าในศาลตรงประตูเมือง
22 ถ้าข้าได้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ชั่วช้าเหล่านี้ ก็ขอให้กระดูกไหปลาร้าข้าหลุดจากบ่า
    และขอให้แขนของข้าหักออกจากข้อต่อเถิด
23 ข้าไม่สามารถทำผิดเหล่านั้นได้
    เพราะข้ากลัวฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและความหายนะที่มาจากพระองค์
24 ถ้าข้าเอาทองคำเป็นที่พึ่ง
    ถ้าข้าเรียกทองคำบริสุทธิ์ว่า ‘ความมั่นคงของข้า’
25 ถ้าข้าชื่นชมยินดีในทรัพย์สมบัติมากมายของข้า
    หรือเพราะมือของข้าหามาได้มากมาย
26 ถ้าตอนที่ข้ามองดูดวงอาทิตย์ส่องแสง
    หรือดูดวงจันทร์เคลื่อนไปอย่างงดงาม
27     แล้วจิตใจของข้าแอบหลงใหล
    และปากข้าส่งจูบสักการะไปให้กับดวงสว่างเหล่านั้น
28 นั่นก็จะเป็นความผิดบาปที่สมควรได้รับโทษ
    และเป็นการทรยศต่อพระเจ้าที่อยู่เบื้องบน

29 ถ้าข้าชื่นชมยินดีเมื่อคนเหล่านั้นที่เกลียดชังข้าเจอกับความหายนะ
    ถ้าข้าดีใจเมื่อเขาเจอกับเรื่องร้ายๆ
30 แต่จริงๆแล้ว ข้าไม่ได้ปล่อยให้ปากข้าทำบาป
    โดยขอให้พวกเขาถูกแช่งตาย
31 ถ้าพวกผู้ชายในครัวเรือนของข้าไม่ได้ถามกันอยู่เรื่อยๆว่า
    ‘เนื้อที่นายให้มา ยังมีใครกินไม่อิ่มบ้าง’
32 แต่จริงๆแล้ว แม้แต่คนแปลกหน้า ข้าก็ไม่ได้ปล่อยให้นอนข้างถนน
    แต่เปิดประตูบ้านต้อนรับคนเดินทางทุกคน
33 ถ้าข้าพยายามปกปิดความผิดของข้าเหมือนกับที่คนอื่นทำกัน[g]
    ด้วยการเก็บซ่อนความผิดบาปข้าไว้ในอก
34 เพราะข้ากลัวความคิดชาวบ้าน
    หรือกลัวตระกูลต่างๆจะดูถูกข้า
    แล้วเก็บเงียบไว้ ไม่ยอมออกไปนอกเต็นท์

35 ข้าอยากมีผู้ตัดสินสักคนที่จะมารับฟังคดีของข้าเหลือเกิน
    ดูสิ ข้าได้ลงชื่อในคำยืนยันว่าข้าบริสุทธิ์แล้ว
    ขอให้พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ตอบข้า
    ข้าอยากได้รายการฟ้องร้องที่คู่คดีเขียนขึ้นเหลือเกิน
36 ข้ากล้าแบกมันไว้บนบ่า
    และมัดมันไว้ที่หัวข้าเหมือนมงกุฎ
37 ข้าจะแจ้งในทุกเรื่องที่ข้าทำไป
    ข้าจะเดินอย่างราชาไปเข้าเฝ้าพระองค์

38 ถ้าที่ดินของข้าร้องขึ้นฟ้องข้า
    และรอยไถบนที่ดินนั้นต้องร่ำไห้
39 ถ้าข้าเคยกินผลผลิตของมันโดยไม่จ่ายค่าแรงคนงาน
    หรือปล่อยให้ผู้เช่าที่ต้องอดตาย
40 ก็ขอให้ต้นหนามงอกแทนข้าวสาลี
    และขอให้วัชพืชงอกแทนข้าวบาร์เลย์”

คำพูดของโยบได้จบลงตรงนี้

เอลีฮู ต่อว่าเพื่อนของโยบ

32 ดังนั้น ชายทั้งสามคนจึงหยุดโต้ตอบโยบ เพราะเห็นว่าโยบมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตนเอง แต่เอลีฮูลูกชายของบาราเคลคนบุชีจากตระกูลรามก็โกรธ เขาโกรธโยบเพราะว่าโยบอ้างว่าตนเองถูกและพระเจ้าผิด เอลีฮูยังโกรธเพื่อนทั้งสามคนของโยบด้วย เพราะพวกเขาไม่สามารถหาคำตอบให้กับโยบ ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่าพระเจ้าผิด[h] เอลีฮูคอยที่จะตอบโยบ เพราะเพื่อนๆของโยบทั้งสามคนนั้นมีอายุมากกว่าเขา แต่เมื่อเอลีฮูเห็นว่าเพื่อนๆทั้งสามของโยบไม่มีคำตอบในปากให้กับโยบ เขาก็เลยโกรธ แล้วเอลีฮูลูกชายของบาราเคลคนบุชีจึงพูดว่า

“ผมยังอายุน้อยอยู่ แต่พวกท่านนั้นสูงอายุแล้ว
    ผมก็เลยไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นให้กับพวกท่าน
ผมบอกกับตัวเองว่า ‘ให้คนเหล่านั้นที่มีประสบการณ์พูด
    และให้ผู้สูงวัยสอนสติปัญญา’
แต่ความจริงแล้ว เป็นวิญญาณที่อยู่ในมนุษย์
    คือลมหายใจของพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์นั่นแหละที่ให้ความเข้าใจ
คนแก่ก็อาจจะไม่ฉลาดก็ได้
    คนสูงอายุก็อาจจะยังไม่เข้าใจว่าอะไรถูกต้องก็ได้
10 ผมจึงพูดว่าช่วยฟังผมหน่อย
    ใช่แล้ว ผมจะบอกในสิ่งที่ผมรู้
11 ดูสิ ผมได้คอยฟังคำพูดของพวกท่านแล้ว
    ผมได้ฟังเหตุผลของพวกท่านแล้ว
    ในขณะที่ท่านวุ่นอยู่กับการหาคำมาพูด
12 ผมได้ให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกท่านพูดมา
    แต่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าโยบผิด
    และในพวกท่านไม่มีใครตอบคำพูดของโยบ
13 พวกท่านอย่าเพิ่งพูดว่า “เขาฉลาดเกินไปสำหรับพวกเรา
    คงจะต้องเป็นพระเจ้าเองที่ชี้ความผิดให้กับเขาเห็น มนุษย์ทำไม่ได้หรอก”
14 แต่โยบพูดกับพวกท่านไม่ได้พูดกับผม
    แล้วผมก็จะไม่เอาคำพูดของพวกท่านไปตอบเขาหรอก

15 พวกเขาถึงกับนิ่งอึ้งไปและไม่ตอบอีก
    พวกเขาไม่เหลือคำพูดให้โต้แย้งอีกแล้ว
16 ผมคอยให้พวกเขาตอบอยู่ แต่พวกเขานิ่งเงียบ
    พวกเขายืนอยู่ตรงนั้นไม่พูดอะไร
17 ตอนนี้ถึงตาผมแล้วที่จะตอบ
    ผมจะบอกถึงสิ่งที่ผมรู้
18 ผมมีคำพูดมากมาย
    วิญญาณภายในผมบังคับให้ผมต้องพูด
19 ใช่แล้ว ใจผมเหมือนกับเหล้าองุ่นที่ปิดหมักอยู่
    เหมือนถุงหนังเหล้าองุ่นใหม่ที่พร้อมจะระเบิดแล้ว
20 ผมต้องพูด จะได้บรรเทา
    ผมต้องเปิดริมฝีปาก และตอบเขาไป
21 ผมจะไม่ลำเอียงเข้าข้างใคร
    และจะไม่ประจบประแจงใคร
22 เพราะผมประจบประแจงไม่เป็น
    แล้วถ้าผมทำอย่างนั้น ผู้สร้างผมคงจะกำจัดผมในไม่ช้า

33 ลุงโยบครับ ตอนนี้ช่วยฟังคำพูดของผมหน่อย
    ขอให้ตั้งใจฟังทุกๆคำที่ผมพูดด้วย
ผมเปิดปากแล้วนะ
    ลิ้นในปากของผมจะพูดแล้วนะ
คำพูดของผมกลั่นมาจากจิตใจที่ซื่อตรง
    ริมฝีปากของผมจะพูดออกมาอย่างชัดเจนในสิ่งที่ผมรู้
พระวิญญาณของพระเจ้าได้สร้างผมขึ้นมา
    และลมหายใจของพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ให้ชีวิตกับผม
ถ้าหากท่านตอบผมได้ ก็ตอบมาเลย
    เรียงถ้อยคำของท่านไว้ต่อหน้าผมและตั้งหลักไว้
ดูสิ ต่อหน้าพระเจ้า ผมกับท่านก็ไม่ได้แตกต่างกัน
    ผมก็ถูกสร้างขึ้นมาจากดินเหนียวเหมือนกัน
ไม่ต้องกลัวผมหรอก
    ผมจะไม่ใช้กำลังข่มขู่ท่านหรอก
แต่คำพูดของท่านยังก้องอยู่ในหูของผม
    และยังติดอยู่ในหัวของผม
ท่านพูดว่า ‘ข้าบริสุทธิ์ ไม่ได้ล่วงละเมิด
    ข้านั้นขาวสะอาด ไม่มีความผิดอะไร
10 แต่ดูสิ พระองค์ก็ยังหาเรื่องกับข้า
    และนับว่าข้าเป็นศัตรูของพระองค์
11 พระองค์เอาตรวนใส่เท้าข้า
    และไม่ว่าข้าจะไปที่ไหน พระองค์ก็คอยจับตาดูข้า’

12 แต่สิ่งที่ท่านพูดนี้ไม่ถูกต้อง ผมขอตอบท่านว่า
    พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์คนหนึ่งคนใด
13 ทำไมท่านถึงฟ้องร้องพระองค์ว่า
    ‘พระองค์ไม่ยอมตอบคำพูดของข้าพเจ้าสักคำ’
14 พระเจ้าพูดแล้วพูดอีก
    ถึงแม้มนุษย์อาจจะไม่สังเกตเห็นก็ตาม
15 ในความฝัน และภาพฝันยามค่ำคืน
    เมื่อมนุษย์หลับสนิท เมื่อพวกเขาเคลิ้มหลับอยู่บนเตียง
16 ในเวลานั้นเอง พระองค์เปิดหูพวกเขา
    และเตือนพวกเขา ทำให้พวกเขาตกใจกลัว
17 เพื่อพระองค์จะได้หันพวกเขาไปเสียจากการกระทำชั่วของพวกเขา
    และเพื่อไม่ให้พวกเขาหยิ่งยโส
18 เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาตกลงไปในหลุมลึกนั้น
    เพื่อชีวิตของพวกเขาจะได้ไม่ต้องข้ามแม่น้ำแห่งความตายนั้น

19 อาจมีคนหนึ่งถูกตีสอนด้วยความเจ็บปวดอยู่บนเตียงของเขา
    และด้วยความปวดร้าวเรื้อรังในกระดูกของเขา
20 จนเขาเบื่ออาหาร
    และไม่อยากกินแม้แต่อาหารที่เอร็ดอร่อยที่สุด
21 เนื้อหนังของเขาเหี่ยวไป ไม่เห็นอีกเลย
    แต่กระดูกที่เมื่อก่อนมองไม่เห็น ก็โผล่ออกมา
22 เขาก็คืบเข้าใกล้หลุมลึกนั้น
    ชีวิตของเขา ก็เข้าใกล้ความตาย
23 แล้วสมมุติว่ามีทูตสวรรค์องค์หนึ่ง
    จากหลายพันองค์ของพระองค์มาพูดให้กับเขา
    และบอกว่าคนนี้ซื่อตรง
24 ทูตองค์นั้นเมตตากับเขาและพูดกับพระเจ้าว่า
    ‘ช่วยปกป้องคนนี้ด้วย อย่าให้เขาต้องลงไปสู่หลุมลึกนั้น
    ข้าพเจ้ามีค่าไถ่ตัวเขาแล้ว
25 ขอเนื้อหนังของเขากลับไปเหมือนเด็ก
    ขอให้กำลังของเขากลับคืนมาเหมือนวัยหนุ่ม’
26 แล้วต่อจากนั้นคนนั้นอธิษฐานต่อพระเจ้าและพระองค์ยอมรับเขา
    เขาเข้าเฝ้าพระองค์ ด้วยความชื่นชมยินดี
    และพระองค์ทำให้เขากลับไปอยู่ในฐานะดีเหมือนเดิม
27 เขาร้องเพลงให้คนฟังว่า
    ‘ข้าทำบาป และเห็นผิดเป็นชอบ
    แต่มันไม่คุ้มค่าเลย
28 พระองค์ไถ่ชีวิตข้า ไม่ให้ลงไปสู่หลุมลึกนั้น
    เพื่อชีวิตของข้าจะได้พบแสงสว่างอีก’

29 พระเจ้าเคยทำแบบนี้ในชีวิตของคนบางคน
    ครั้งแล้วครั้งเล่า
30 เพื่อนำชีวิตของเขากลับจากปากหลุมลึกนั้น
    เพื่อเขาจะได้เห็นแสงสว่างแห่งชีวิตอีก
31 ลุงโยบครับ
    ตั้งใจฟังผมให้ดี เงียบก่อน ฟังผมพูดก่อน
32 หรือถ้าท่านมีอะไรจะพูดก็ตอบผมมาได้เลย พูดได้ครับ
    เพราะผมอยากจะให้ท่านได้รับการตัดสินว่าถูกอยู่แล้ว
33 ถ้าไม่งั้นก็ฟังผมก่อน
    เงียบก่อน แล้วผมจะสอนปัญญาให้กับท่าน”

34 แล้วเอลีฮูก็พูดต่อไปว่า

“ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ขอฟังคำพูดผมหน่อย
    ท่านผู้มีความรู้ ขอเงี่ยหูฟังผมหน่อย
หูทดสอบคำพูดได้
    เหมือนกับปากแยกแยะรสชาติอาหาร
อย่างนั้นขอให้พวกเราช่วยกันเลือกว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
    และช่วยกันหาข้อสรุปว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดี
เพราะโยบพูดว่า ‘ข้าบริสุทธิ์
    แต่พระเจ้าไม่ได้ให้ความยุติธรรมกับข้า
ข้าถูกนับว่าเป็นคนโกหก ทั้งๆที่ข้าเป็นฝ่ายถูก
    แผลของข้ารักษาไม่หาย ทั้งๆที่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเลย’
มีใครเหมือนโยบบ้าง
    เขากระหายที่จะเยาะเย้ยพระเจ้าเหมือนกระหายน้ำ
เขาคบกับคนชั่ว
    เขาเดินกับคนเลว
เพราะเขาพูดว่า ‘ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
    ที่พยายามจะทำให้พระเจ้าพอใจ’

10 ดังนั้น ท่านผู้มีความเข้าใจ ฟังผมเถิด
    ไม่มีวันที่พระเจ้าจะทำชั่วหรอก
    พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ไม่ทำผิดหรอก
11 เพราะพระองค์ตอบแทนมนุษย์ตามการกระทำของพวกเขา
    และให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นกับพวกเขาตามการใช้ชีวิตของพวกเขา
12 แน่นอน พระเจ้าไม่ทำชั่วแน่
    พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ไม่บิดเบือนความยุติธรรม
13 มีคนแต่งตั้งให้พระเจ้าปกครองโลกหรือยังไง
    มีคนมอบโลกทั้งใบนี้ไว้กับพระองค์หรือยังไง
14 ถ้าพระองค์ตัดสินใจที่จะเอาวิญญาณ
    และลมหายใจที่พระองค์ให้ไปกลับคืนมา
15 ทุกชีวิตก็ต้องพินาศกันหมด
    และมนุษย์ทุกคนก็จะกลับไปเป็นดิน
16 ถ้าท่านมีความเข้าใจ ฟังเรื่องนี้เถิด
    ช่วยฟังสิ่งที่ผมพูดเถอะ
17 เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าผู้ปกครองโลกนี้จะเกลียดชังความยุติธรรม
    แล้วท่านจะประณามพระองค์ผู้ชอบธรรมและมีอำนาจว่าทำผิดหรือ
18 พระองค์เป็นผู้ที่พูดกับกษัตริย์ว่า ‘เจ้านั้นไร้ค่า’
    หรือพูดกับเหล่าขุนนางว่า ‘พวกเจ้าชั่วร้าย’
19 พระองค์ไม่เข้าข้างพวกเจ้านาย
    และไม่ลำเอียงเห็นแก่คนรวยมากกว่าคนจน
    เพราะพวกเขาทุกคนเป็นฝีมือของพระองค์ทั้งนั้น
20 ในชั่วพริบตาพวกเขาก็ตายได้
    ในเที่ยงคืน พวกเขาชักกระตุก และตายไป
    แม้แต่ผู้ที่มีฤทธิ์อำนาจก็ยังถูกเอาไป แล้วก็ไม่ใช่ด้วยฝีมือมนุษย์
21 สายตาของพระองค์จับจ้องอยู่บนทางของมนุษย์
    และพระองค์มองเห็นทุกย่างก้าวของพวกเขา
22 ไม่มีความมืดมิดหรือความมืดทึบ
    ที่คนทำชั่วจะใช้เป็นที่หลบซ่อนตัวจากพระองค์ได้
23 แน่นอน มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะกำหนดเวลา
    ให้พระองค์ไปเจอที่ศาล
24 พระองค์บดขยี้ผู้มีอำนาจโดยไม่ไต่สวน
    และตั้งคนอื่นขึ้นแทน
25 พระองค์รู้การกระทำของพวกเขา
    และคว่ำเขาในค่ำคืนเดียวและพวกเขาก็แตกละเอียดไป
26 พระองค์จะทุบตีเขาในที่สาธารณะ
    เพราะความชั่วร้ายของพวกเขา
27 เพราะพวกเขาเลิกติดตามพระองค์
    และไม่สนใจทางทั้งหลายของพระองค์
28 ซึ่งเป็นเหตุที่คนยากจนต้องร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
    และพระองค์ฟังเสียงร้องของคนยากไร้เหล่านั้น
29 ถ้าพระองค์เงียบไม่ตอบ ใครจะประณามพระองค์ได้
    ถ้าพระองค์ซ่อนหน้าไม่ออกมา ใครจะได้เห็นพระองค์เล่า
    ไม่ว่าชนชาติใดหรือคนหนึ่งคนใดก็ตามพระองค์ครอบครองหมด
30 เพื่อคนที่ชั่วร้ายจะได้ไม่สามารถครอบครอง
    หรือวางกับดักให้กับชนชาติ

31 ท่านน่าจะพูดกับพระเจ้าว่า
    ‘ข้าบาปไปแล้ว ข้าจะไม่ทำผิดอีก
32 ช่วยสอนข้าเรื่องความผิดที่ข้ามองไม่เห็น
    ถ้าข้าได้ทำบาปอะไรไป ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว’

33 พระเจ้าต้องตอบสนองท่านตามข้อกำหนดของท่านหรือ
    ในเมื่อท่านยังปฏิเสธข้อกำหนดของพระองค์เลย
แต่อย่างไรก็ตามท่านต้องเป็นคนเลือกไม่ใช่ผม
    ท่านคิดยังไงก็ว่ามา
34 ผู้ที่มีสติปัญญาจะพูดกับผม
    คือคนที่ฉลาดจะฟังผมและพูดว่า
35 ‘โยบพูดโดยขาดความเข้าใจ
    คำพูดของเขาไร้สาระ’
36 ผมอยากให้โยบถูกสอบสวนจนถึงที่สุด
    เพราะว่าเขาตอบเหมือนกับคนชั่วตอบ
37 เพราะนอกจากเขาจะทำบาป
    เขาก็ยังกบฏอยู่เรื่อยๆ เขาตบมือเย้ยพวกเรา
    และทวีถ้อยคำต่อว่าพระเจ้า”

35 เอลีฮูพูดต่อไปว่า

“ท่านคิดว่าถูกแล้วหรือ
    ที่ท่านพูดว่า ‘ข้าถูก พระเจ้าผิด’
หรือเมื่อท่านถามว่า ‘ข้าจะได้เปรียบอะไร
    ข้าจะได้ประโยชน์อะไร จากการไม่ทำบาป’
ข้าจะตอบท่าน
    และเพื่อนๆที่อยู่กับท่าน
มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดูสิ
    ดูเมฆพวกนั้นที่อยู่สูงกว่าท่านมากนัก
ถ้าท่านทำบาป มันจะกระทบกระเทือนพระองค์ตรงไหน
    ถ้าท่านละเมิดกฎหลายครั้งหลายครา พระองค์จะเป็นอะไรไปหรือ
ถ้าท่านทำดี ท่านได้ให้ความช่วยเหลืออะไรกับพระองค์หรือ
    หรือพระองค์ได้รับอะไรจากมือของท่านหรือ
ความชั่วร้ายของท่านส่งผลกระทบต่อมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น
    ส่วนความดีของท่านก็เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เท่านั้น

ดูสิ เมื่อคนถูกกดขี่ข่มเหงอย่างหนัก พวกเขาก็ร้องบ่นกัน
    พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือให้พ้นจากแขนของพวกผู้มีอำนาจ
10 แต่ไม่มีใครสักคนคิดจะพูดว่า ‘พระเจ้าอยู่ที่ไหน คือพระองค์ที่สร้างข้า
    พระองค์ที่มอบเพลงให้ร้องในยามค่ำคืน
11 พระองค์ที่สอนเราให้มีความเข้าใจมากกว่าพวกสัตว์บนแผ่นดิน
    พระองค์ที่ทำให้เราฉลาดกว่าพวกนกในอากาศ’

12 ดังนั้น พวกคนชั่วร้องบ่นกัน
    แต่พระองค์ไม่ตอบ เพราะพวกเขาหยิ่งยโส
13 พระองค์ไม่ฟังเสียงร้องที่เป็นแค่ลมปาก
    พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ไม่สนใจมันเลย
14 แล้วนับประสาอะไรกับท่านที่พระองค์จะต้องมาสนใจ
    ตอนที่ท่านบ่นว่าไม่เห็นพระองค์
และบ่นว่าคดีอยู่ต่อหน้าพระองค์แล้ว
    และตัวท่านเองยังรอคอยพระองค์อยู่
15 และยิ่งกว่านั้น ท่านยังว่าพระเจ้าไม่เคยโกรธคนชั่วและลงโทษพวกเขา
    และยังว่าพระองค์ไม่สนใจเลยว่าใครจะทำอะไรผิด
16 ลุงโยบคนนี้ก็เลยอ้าปากพูดคำลมๆแล้งๆ
    พูดพร่ำมากมายอย่างขาดความเข้าใจ”

36 แล้วเอลีฮูก็พูดต่อไปว่า

“ทนฟังผมอีกสักหน่อย ผมจะอธิบายเรื่องราวให้ท่านฟัง
    ผมยังมีคำพูดที่จะว่าความให้กับพระเจ้า
ผมจะนำความรู้อันกว้างไกลของผมมา
    และผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าพระผู้สร้างของผมนั้นเป็นฝ่ายถูก
คำพูดของผมนี้ไม่ผิดแน่
    ผู้รอบรู้อยู่ท่ามกลางพวกท่านแล้ว

ดูสิ พระเจ้านั้นทรงฤทธิ์ แต่ไม่ได้ดูหมิ่นใครเลย
    พระองค์ทรงฤทธิ์ และเด็ดขาดในการตัดสินต่างๆ
พระองค์ไม่ปล่อยให้คนชั่วมีชีวิตอยู่
    แต่พระองค์ให้ความยุติธรรมกับคนที่ถูกกดขี่
พระองค์ไม่ละสายตาจากคนดี
    แต่จะยกพวกเขาขึ้นไปอยู่บนบัลลังก์กับพวกกษัตริย์ตลอดไป
ถ้าหากว่า พวกเขาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน
    หรือถูกมัดด้วยเชือกแห่งความทุกข์ทรมาน
พระองค์ก็จะบอกพวกเขาถึงความผิดที่เขาได้ทำ
    และกฎต่างๆที่เขาได้ละเมิดเพราะพวกเขาทำตัวหยิ่งยโส
10 พระองค์เปิดหูของพวกเขาให้รับฟังคำว่ากล่าวตักเตือน
    และสั่งให้พวกเขาหันกลับจากความชั่ว
11 หากว่าพวกเขาเชื่อฟังและรับใช้พระองค์
    เขาก็จะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างเจริญรุ่งเรือง
    และเดือนปีของเขาก็จะอยู่อย่างสุขสบาย
12 แต่หากพวกเขาไม่เชื่อฟัง เขาจะต้องข้ามแม่น้ำแห่งความตาย[i]
    เพราะพวกเขาขาดความเข้าใจ
13 ส่วนคนที่ไม่นับถือพระเจ้า พวกเขาก็จะสั่งสมความโกรธไว้ในใจ
    ไม่ร้องขอความเมตตาตอนที่พระองค์มัดเขา
14 พวกเขาจะตายในขณะที่ยังหนุ่มอยู่
    ชีวิตของพวกเขาจะสั้นเหมือนกับพวกผู้ชายขายตัว
15 พระเจ้าช่วยกู้คนทุกข์ผ่านทางความทุกข์ของพวกเขา
    พระองค์ใช้ความทุกข์ยากเปิดหูของพวกเขา
16 พระองค์นำท่านให้ออกมาจากความทุกข์ยากไปสู่ที่โล่งกว้าง ไม่แออัดคับแคบ
    และโต๊ะของท่านจะพูนล้นไปด้วยอาหารเลิศหรู
17 แต่ท่านนี่คิดแต่เรื่องเอาชนะคดี ทั้งๆที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิด
    ท่านหมกมุ่นอยู่กับการฟ้องร้องพระเจ้า
18 ระวังนะ อย่าให้ความร่ำรวยหลอกเอาได้
    อย่าให้สินบนอันยิ่งใหญ่ทำให้ท่านหันเหไปจากสิ่งที่ถูกต้อง
19 ความร่ำรวยและความพยายามสุดแรงเกิดของท่าน
    จะช่วยให้ท่านพ้นจากความทุกข์ยากได้หรือ
20 อย่าคิดว่าท่านจะปลอดภัยในกลางคืนที่ท่านรอคอยนั้น
    เพราะว่าชนชาติต่างๆสามารถหายวับไปในชั่วข้ามคืนเดียว
21 ระวัง อย่าหันหน้าไปสู่ความชั่ว
    เพราะความทุกข์ยากนี้เป็นการทดสอบท่านเพื่อท่านจะไม่ได้ทำอย่างนั้น
22 ดูสิ พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่และทรงพลัง
    ใครจะเป็นครูเหมือนกับพระองค์ได้
23 ใครจะสั่งให้พระองค์ต้องรายงานสิ่งที่พระองค์ทำมา
    และใครจะบังอาจพูดกับพระองค์ว่า ‘ท่านทำผิด’
24 อย่าลืมเชิดชูผลงานของพระองค์
    เหมือนกับที่คนเอามาร้องเป็นเพลง
25 มนุษย์ทุกคนได้เห็นสิ่งที่พระองค์สร้าง
    พวกเขามองได้แต่ไกล
26 ดูสิ พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ เราไม่สามารถเข้าใจพระองค์ได้หรอก
    อายุของพระองค์นั้นเกินกว่าที่เราจะค้นพบได้
27 พระองค์ดึงหยดน้ำจากทะเล
    แล้วกลั่นเป็นฝนจากเมฆ
28 หมู่เมฆเทน้ำฝนลงมา
    พวกมันโปรยมันลงมาบนหมู่มนุษย์อย่างเหลือเฟือ
29 ใครจะเข้าใจการแผ่ของเมฆ
    และเสียงร้องครืนๆจากเต็นท์ของพระองค์ในฟ้าสวรรค์
30 ดูสิพระองค์กระจายฟ้าแลบไปรอบพระองค์
    และสว่างจ้าไปถึงก้นทะเล
31 พระองค์ใช้ฝนฟ้าเพื่อเลี้ยงอาหารให้กับชนชาติทั้งหลาย
    เพื่อให้เขามีอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์
32 พระองค์กำสายฟ้าไว้ในมือ
    และสั่งให้สายฟ้าผ่าลงไปที่เป้า
33 เสียงฟ้าร้องประกาศว่าพระองค์อยู่ที่นี่
    พายุประกาศถึงความโกรธอันแรงกล้าของพระองค์

37 พายุฝนฟ้าคะนองทำให้หัวใจของผมสั่นรัว
    และเต้นออกมานอกอก
ฟังสิ ฟังเสียงอันกึกก้องของพระองค์
    และฟังเสียงคำรามที่ออกมาจากปากของพระองค์
สายฟ้าของพระองค์สว่างจ้าไปทั่วใต้ฟ้า
    และสว่างจ้าไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก
แล้วเสียงของพระองค์ก็คำรามตามไป
    พระองค์แผดเสียงกึกก้องอย่างน่าเกรงขาม
    เมื่อได้ยินแล้ว ไม่มีใครหยั่งรู้ว่ามันจะไปไหนต่อ
พระองค์แผดเสียงกึกก้องด้วยวิธีการอันน่าอัศจรรย์
    และพระองค์ทำสิ่งยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่เราไม่อาจเข้าใจได้
พระองค์พูดกับหิมะว่า “ตกลงมาสู่แผ่นดินสิ”
    พระองค์บอกกับหยาดฝนว่า “ตกลงมาอย่างหนัก”
พระองค์ทำให้ทุกคนต้องถูกกักไว้ข้างใน
    เพื่อทุกคนจะได้รู้ถึงสิ่งที่พระองค์ทำ
ส่วนสัตว์ก็กลับไปยังที่ซ่อนของมัน
    และไม่ออกมาจากรังของมัน
ลมพายุก็พัดมาจากคลังของมัน
    ความหนาวเหน็บก็มาจากลมเหนือ
10 น้ำแข็งมาจากลมหายใจของพระเจ้า
    และทะเลกว้างใหญ่ก็เริ่มแข็งตัว
11 พระองค์บรรจุความชุ่มชื้นไว้ในเมฆที่หนาทึบ
    และทำให้สายฟ้าแลบของพระองค์กระจายออกจากหมู่เมฆ
12 หมู่เมฆหมุนวนไปรอบๆตามการนำของพระองค์
    เพื่อพวกมันจะได้ทำให้คำสั่งของพระองค์สำเร็จบนผิวโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่
13 ไม่ว่าพระองค์จะให้ฝนตกเพื่อการตีสอนหรือเพื่อเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินของพระองค์
    หรือเพื่อแสดงความรักอันมั่นคงของพระองค์ พระองค์ก็เป็นผู้ทำให้มันเกิดขึ้นทั้งนั้น

14 ลุงโยบครับ ฟังเรื่องนี้ให้ดี
    ให้อยู่นิ่งๆแล้วไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนถึงการกระทำต่างๆอันน่าทึ่งเหล่านี้ของพระองค์
15 ท่านรู้หรือว่าพระเจ้าประกาศสั่งหมู่เมฆ
    และทำให้สายฟ้าแลบออกมาจากหมู่เมฆของพระองค์ได้ยังไง
16 ท่านรู้หรือว่าหมู่เมฆแผ่กระจายไปได้ยังไง
    ท่านรู้ถึงการกระทำต่างๆอันน่าทึ่งของพระองค์ผู้รอบรู้หรือยังไง
17 เมื่อลมร้อนจากทิศใต้พัดมาทุกคนในแผ่นดินต่างก็หยุดนิ่ง
    แล้วท่านก็เหงื่อแตกอยู่ในเสื้อของท่าน
18 แล้วแบบท่านนี่นะ จะมาคลี่หมู่เมฆออกเหมือนกับที่พระองค์ทำได้หรือ
    คือให้มันแข็งราวกับกระจกที่ทำจากเหล็กที่เทลงในแม่พิมพ์
19 ไหน ช่วยสอนเราหน่อยสิว่าเราควรพูดอะไรกับพระองค์ดี
    เพราะพวกเราอยู่ในความมืดและไม่รู้จะรวบรวมคดีฟ้องพระองค์ได้ยังไง

20 เหมาะแล้วหรือที่จะให้ใครไปบอกพระองค์ว่า มนุษย์อย่างผมนี่นะจะฟ้องร้องพระองค์
    สับสนอย่างนี้จะไปพูดในศาลได้ยังไง

21 แค่แสงสว่างเจิดจ้าในท้องฟ้าตอนที่ลมพัดกวาดเอาหมู่เมฆไป
    มนุษย์ก็ยังมองดูไม่ได้เลย
22 แต่พระองค์นั้นมาจากทางเหนือด้วยแสงทองสว่างไสว
    พระเจ้าสวมใส่แสงที่แผ่รัศมีอันน่าเกรงขาม
23 พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์นั้นพวกเราไม่สามารถเข้าใกล้ได้
    พระองค์ยิ่งใหญ่ด้วยพลังอำนาจ ความยุติธรรม และความถูกต้อง
    ซึ่งพระองค์ไม่มีวันฝ่าฝืน[j]
24 ดังนั้น มนุษย์จึงยำเกรงพระองค์
    แม้แต่คนฉลาดทั้งหลายก็ยังไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้”

พระยาห์เวห์ตอบโยบ

38 แล้วพระยาห์เวห์ตอบโยบออกมาจากพายุว่า

“ใครกันนี่ที่ทำให้แบบแผนของเรามืดมนไป
    ด้วยคำพูดที่ขาดความเข้าใจ
เตรียมตัวของเจ้าให้พร้อมราวกับนักรบเถิด
    เราจะสอบสวนเจ้า และเจ้าจะต้องตอบเรา
เจ้าอยู่ที่ไหน เมื่อครั้งที่เราวางรากฐานให้กับแผ่นดินโลก
    ถ้าเจ้ามีความเข้าใจก็บอกเรามา
ใครเป็นผู้กำหนดขนาดของโลก แน่นอน เจ้าต้องรู้สิ
    หรือใครขึงเชือกวัดขนาดของโลกนั้น
พวกเสาหลักของโลกตั้งอยู่บนอะไร
    หรือใครวางหินหัวมุมของมัน
ตอนที่เหล่าดวงดาวในยามเช้าร้องเพลงร่วมกัน
    และพวกทูตสวรรค์[k] ทั้งหมดก็โห่ร้องด้วยความสุข
หรือใครเอาประตูไปปิดกั้นน้ำทะเลไว้
    ตอนที่มันพังทะลักออกไป เหมือนเด็กที่คลอดออกจากท้องแม่
ตอนที่เราเอาพวกเมฆมาเป็นเสื้อผ้าให้กับทะเล
    และใช้ความมืดทึบเป็นผ้าอ้อมของมัน
10 และได้กำหนดขอบเขตให้กับมัน
    และตั้งโครงและประตูให้กับมัน
11 และพูดว่า ‘เจ้ามาได้ไกลแค่นี้ ห้ามเลยจากนี้ไป
    คลื่นอันมหึมาของเจ้าจะต้องหยุดอยู่แค่ตรงนี้’

12 ตั้งแต่เจ้าเกิดมา เจ้าเคยสั่งให้ยามเช้าขึ้นมาไหม
    หรือทำให้ยามรุ่งสางรู้จักที่ของมันไหม
13 เพื่อมันจะได้ยึดจับปลายขอบของโลก
    และสะบัดคนชั่วออกไปจากโลก
14 แสงอรุณเปลี่ยนหน้าตาของโลกไป เหมือนดินเหนียวเปลี่ยนรูปไปตามตราประทับ
    แสงอรุณย้อมสีโลกเหมือนเสื้อผ้า
15 ส่วนแสงสว่างของคนชั่ว (คือความมืด) ก็ถูกยึดไปจากมัน
    และแขนของคนชั่วที่เงื้อสูงเพื่อทำร้ายคน ก็ถูกหักไป
16 เจ้าเคยไปที่ตาน้ำแห่งท้องทะเลหรือ
    หรือเจ้าเคยเดินท่องไปในที่ลึกลับของมหาสมุทรหรือ
17 เจ้าเคยเห็นประตูของดินแดนแห่งความตายหรือ
    หรือเจ้าเคยเห็นประตูของความดำมืดมิดหรือ
18 เจ้าได้หยั่งรู้ถึงความกว้างใหญ่ของแผ่นดินโลกแล้วหรือ
    ถ้าเจ้ารู้ทั้งหมดนี้ ก็บอกมา

19 ทางที่จะนำไปสู่ที่อยู่อาศัยของแสงสว่างอยู่ที่ไหน
    และที่พักของความมืดนั้นอยู่ที่ไหน
20 เพื่อเจ้าจะได้พาพวกมันกลับยังเขตแดนของพวกมัน
    และจะได้รู้เส้นทางไปบ้านของพวกมัน
21 เจ้าคงต้องรู้แน่ เพราะเจ้าเกิดก่อนพวกมันเสียอีก
    และจำนวนวันปีของเจ้าก็มากมายมหาศาล

22 เจ้าเคยไปที่คลังเก็บหิมะแล้วหรือ
    หรือว่าเจ้าเคยเห็นคลังเก็บลูกเห็บ
23 ที่เราได้เก็บไว้ใช้ในยามยากลำบาก
    คือในวันศึกสงคราม
24 หนทางที่นำไปสู่จุดที่สายฟ้าแลบกระจายออกมาอยู่ที่ไหน
    หรือจุดที่ลมตะวันออกพัดกระจายออกมาไปบนแผ่นดินโลกอยู่ที่ไหน
25 ใครขุดร่องให้ฝนห่าใหญ่ไหลลงมา
    และทำทางสำหรับพายุฝนฟ้าคะนอง
26 เพื่อให้ฝนตกลงสู่ดินแดนที่ไม่มีคนอยู่
    และถิ่นทุรกันดารที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่
27 ซึ่งจะให้ความชุ่มฉ่ำกับดินแดนร้าง
    และทำให้หญ้าผลิต้นขึ้น
28 ฝนมีพ่อหรือ
    หรือว่าใครเป็นพ่อของหยาดน้ำค้างหรือ
29 น้ำแข็งออกมาจากครรภ์ของใครหรือ
    หรือใครได้คลอดน้ำค้างแข็งแห่งฟ้าสวรรค์หรือ
30 น้ำจับตัวแข็งราวกับหิน
    ส่วนพื้นผิวของทะเลลึกก็จับตัวแข็ง
31 เจ้าสามารถเอาโซ่มัดดาวลูกไก่ไว้เป็นกลุ่มได้หรือ
    เจ้าสามารถแก้เชือกที่ร้อยดาวไถได้หรือ
32 เจ้าสามารถนำหมู่ดาวออกมาปรากฏตามเวลาของมันได้หรือ
    เจ้าสามารถนำหมู่ดาวหมีออกมาพร้อมกับดาวลูกๆของมันได้หรือ
33 เจ้ารู้ถึงกฎทั้งหลายของฟ้าสวรรค์หรือ
    เจ้าสามารถทำให้โลกทำตามกฎต่างๆนั้นได้หรือ
34 เจ้าตะเบ็งสั่งหมู่เมฆ
    ให้น้ำตกลงมาท่วมท้นเจ้าได้หรือ
35 เจ้าสามารถส่งพวกสายฟ้าผ่าออกไป
    และให้มันรายงานกับเจ้าว่า “เราอยู่ที่นี่แล้วท่าน” ได้หรือ
36 ใครสอนพวกเมฆให้รู้จักปล่อยฝนลงมา
    ใครสอนหมอกให้รู้จักลอยขึ้นมา
37 ใครมีสติปัญญาพอที่จะไปนับหมู่เมฆได้
    ใครสามารถเทน้ำออกจากไหทั้งหลายแห่งฟ้าสวรรค์ได้
38 เพื่อทำให้ฝุ่นละอองจับตัวกันเป็นก้อนดิน
    และก้อนดินจับตัวกันแน่น

39 เจ้าล่าเหยื่อให้กับสิงโตได้หรือ
    เจ้าสามารถทำให้พวกสิงห์หนุ่มอิ่มได้หรือ
40 ตอนที่พวกมันพากันหมอบอยู่ตามถ้ำ
    หรือดักซุ่มตัวอย่างลับๆล่อๆ
41 ใครให้อาหารกับกาหรือ ในยามที่ลูกๆของมันร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
    และเดินโซเซไปมาเพราะขาดอาหาร

39 เจ้ารู้เวลาที่แพะภูเขาออกลูกหรือ
    เจ้าคอยเฝ้าดูกวางตัวเมียตอนที่มันคลอดลูกหรือ
เจ้านับเดือนที่พวกมันตั้งท้องจนครบได้หรือ
    เจ้ารู้เวลาที่พวกมันจะออกลูกหรือ
ตอนที่พวกมันนั่งยองๆเบ่งลูกน้อย
    และตกลูกอ่อนของมันออกมา
เมื่อลูกๆของมันแข็งแรง และเติบใหญ่ขึ้นในทุ่งกว้าง
    พวกมันทิ้งแม่กวางไป และไม่กลับมาอีก
ใครปลดปล่อยลาป่าให้เป็นอิสระ
    และใครแก้เชือกลาเปลี่ยว
เราให้ทุ่งโล่งเป็นบ้านของมัน
    และให้เขตดินเค็มเป็นที่พักอาศัยของมัน
มันหัวเราะเยาะความวุ่นวายในเมือง
    และไม่ได้ยินเสียงตะโกนของผู้เป็นนายของมัน
มันท่องไปตามเนินเขาต่างๆเพื่อหาทุ่งหญ้า
    และแสวงหาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสีเขียว

วัวป่ายักษ์[l] ยอมรับใช้เจ้าหรือ
    มันยอมนอนอยู่ข้างๆรางหญ้าของเจ้าหรือ
10 เจ้าสามารถเทียมวัวป่าให้ไถนาเจ้าได้หรือ
    หรือทำให้มันไถคราดพรวนดินตามหลังเจ้าได้หรือ
11 เจ้าจะไปพึ่งเรี่ยวแรงมากมายของมันได้หรือ
    เจ้าจะมอบงานหนักของเจ้าให้กับมันทำได้หรือ
12 เจ้าจะพึ่งมัน ให้มันเก็บเกี่ยว
    และลากฟ่อนข้าวมาไว้ที่ลานนวดข้าวของเจ้าได้หรือ

13 นกกระจอกเทศกระพือปีกอย่างเริงร่า
    แต่มันก็ไม่สามารถบินได้เหมือนนกกระสาหรือนกเหยี่ยว
14 นกกระจอกเทศออกไข่บนพื้น
    และทำให้ไข่ของมันอบอุ่นอยู่ในดิน
15 แล้วมันลืมไปว่าอาจมีตีนหนึ่งเหยียบไข่ของมันได้
    และพวกสัตว์ป่าอาจจะย่ำไข่ของมันได้
16 มันทำกับลูกอ่อนของมันอย่างรุนแรงอย่างกับไม่ใช่ลูกมัน ถึงลูกมันจะตายไป
    มันก็ไม่สน แม้มันจะเหนื่อยเปล่าก็ตาม
17 เพราะพระเจ้าสร้างมันมาแบบไม่รู้จักคิด
    และพระองค์ไม่ได้แบ่งปันความเข้าใจให้กับมันเลย
18 แต่เมื่อมันเริ่มวิ่ง
    มันหัวเราะเยาะทั้งม้าและคนขี่

19 เจ้าเป็นผู้ให้พละกำลังกับม้าหรือ
    เจ้าตกแต่งคอของมันด้วยแผงคอพลิ้วไสวหรือ
20 เจ้าทำให้มันกระโดดอย่างกับตั๊กแตนหรือ
    เสียงหายใจฟืดฟาดอย่างหยิ่งทะนงของมันทำให้ผู้คนหวาดกลัว
21 มันตะกุยพื้นดินอย่างดุดัน
    และภาคภูมิใจในพละกำลังของตนเอง มันโถมตัวเข้าสู่ศึกสงคราม
22 มันหัวเราะเยาะความกลัว ไม่ประหวั่นพรั่นพรึง
    มันไม่ถอยหนีจากดาบ
23 ซองธนูส่งเสียงสะเทือนข้างตัวมัน
    อีกทั้งหอกและทวนส่องประกายวูบวาบอยู่ข้างตัวมัน
24 มันพุ่งกราดไปข้างหน้าเต็มฝีเท้า ตื่นเต้นสะท้านไปทั้งตัว
    และไม่อาจอยู่นิ่งได้เมื่อเสียงแตรรบดังขึ้น
25 เมื่อได้ยินเสียงแตร มันก็ส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความดีใจ และมันได้กลิ่นสงครามแต่ไกล
    มันได้ยินเสียงร้องตะโกนของพวกผู้บังคับบัญชา และเสียงสั่งลุย

26 เหยี่ยวบินได้เพราะรับสติปัญญาจากเจ้าหรือ
    มันกางปีกบินไปทางใต้เพราะเจ้าอย่างนั้นหรือ
27 เจ้าเป็นคนสั่งให้นกอินทรีบินอยู่สูง
    และสร้างรังไว้บนที่สูงหรือ
28 มันอาศัยอยู่บนหน้าผา และนอนที่นั่น
    มันอยู่ตามแนวขอบของหน้าผา ซึ่งเป็นที่หลบภัยของมัน
29 มันมองหาอาหารจากที่นั่น
    ตาของมันมองเห็นเหยื่อได้แต่ไกล
30 ลูกๆของมันดูดกินเลือด
    มีซากศพอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่นั่น”

40 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับโยบว่า

“คนที่มีคดีกับเราจะมาแก้ไขเราผู้ทรงฤทธิ์หรือ
    คนที่มาฟ้องร้องพระเจ้าจะตอบไหม”

โยบตอบพระยาห์เวห์

แล้วโยบก็ตอบพระยาห์เวห์ว่า

“ดูสิ ข้าพเจ้านั้นก็กระจอกงอกง่อย
    ข้าพเจ้าจะให้คำตอบกับพระองค์ได้ยังไง
ข้าพเจ้าจะเอามือปิดปากเงียบ
ข้าพเจ้าพูดไปครั้งหนึ่งแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ตอบอีก
    ข้าพเจ้าพูดไปตั้งสองครั้งแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่พูดอีกแล้ว”

พระยาห์เวห์พูดกับโยบต่อ

แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับโยบออกมาจากพายุว่า

“เตรียมตัวของเจ้าให้พร้อมราวกับนักรบเถิด
    เราจะสอบสวนเจ้า และเจ้าจะต้องตอบเรา
เจ้าจะบังอาจว่าเราไม่ยุติธรรมหรือ
    เจ้าจะประณามว่าเราผิด เพื่อเจ้าจะได้เป็นฝ่ายถูกหรือ
เจ้ามีพละกำลังเหมือนกับพระเจ้าหรือ
    เจ้าทำเสียงร้องกึกก้องเหมือนฟ้าร้องอย่างกับพระเจ้าได้หรือ

10 ให้เอาความยิ่งใหญ่ และศักดิ์ศรีตกแต่งตัวเจ้าเถิด
    ให้เอาเกียรติยศและความสง่างามสวมไว้บนตัวเจ้า
11 ระบายความเกรี้ยวโกรธของเจ้าออกมาเลย
    มองดูคนหยิ่งยโสทุกคน และทำให้พวกเขาเสียหน้าสิ
12 มองดูคนหยิ่งยโสทุกคน และทำให้พวกเขาตกต่ำลงไปสิ
    ให้เหยียบย่ำคนชั่วตรงที่ที่เขายืนอยู่เถิด
13 ฝังพวกนี้ไว้ในดินด้วยกัน
    ห่อพวกเขาไว้ในในโลกเบื้องล่างสิ
14 ถ้าเจ้าทำได้ เราจะยินดีด้วยกับเจ้า
    ที่แขนขวาของเจ้าเองได้ให้ชัยชนะกับเจ้า

15 พิจารณาดูตัวเบเฮโมท[m] ที่เราสร้างขึ้นมาเหมือนกับที่เราสร้างเจ้า
    มันกินหญ้าเหมือนวัวควาย
16 ดูสิ กำลังของมันอยู่ที่ต้นขา
    และฤทธิ์ของมันอยู่ที่กล้ามเนื้อท้อง
17 มันทำหางแข็งๆเหมือนต้นสนซีดาร์
    กล้ามเนื้อต้นขาของมันสานเข้าด้วยกันแน่น
18 กระดูกของมันเหมือนท่อทองสัมฤทธิ์
    ขาของมันเหมือนท่อนเหล็ก
19 มันเป็นสัตว์ตัวเอกท่ามกลางสัตว์ทั้งหลายที่พระองค์สร้าง
    มีแต่ผู้สร้างมันเท่านั้นที่สามารถใช้ดาบบุกเข้าโจมตีมัน
20 พวกเนินเขานำอาหารมาให้กับมัน
    เป็นที่ที่พวกสัตว์ป่าทั้งหลายมาเล่นกัน
21 มันนอนอยู่ใต้ต้นบัว
    และแอบซ่อนอยู่ในหนองน้ำที่ปกคลุมไปด้วยต้นอ้อ
22 ต้นบัวทอดเงามาปกคลุมตัวของมันไว้
    ต้นไม้ที่อยู่ตามธารน้ำรายล้อมตัวมัน
23 ถึงแม่น้ำจะซัดใส่มันอย่างแรง มันก็ไม่ตกใจ
    มันไม่หวั่นไหว แม้ว่าแม่น้ำจอร์แดนจะกระแทกใส่หน้ามัน
24 ใครจะสามารถทำให้ตามันบอดและจับมันได้
    ใครจะเอาตะขอไปเกี่ยวจมูกมันได้หรือ

41 เจ้าจะเอาตะขอลากตัวเลวีอาธาน[n] ออกมาได้หรือ
    หรือเอาเชือกมัดปากมันได้
เจ้าจะเอาเชือกไปคล้องจมูกมันได้หรือ
    หรือใช้ตะขอเกี่ยวคางมันได้
มันจะวิงวอนเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
    หรือพูดอ่อนหวานกับเจ้าหรือ
มันจะทำสัญญากับเจ้า
    หรือยอมเป็นข้ารับใช้เจ้าตลอดไปหรือ
เจ้าจะเล่นกับมันเหมือนเล่นกับนก
    หรือเอาเชือกมาผูกให้พวกเด็กหญิงของเจ้าจูงเล่นหรือ
พวกพ่อค้าจะต่อรองราคาของมัน
    หรือแบ่งสันปันส่วนขายกันหรือ
เจ้าจะใช้ฉมวกทิ่มแทงหนังของมัน
    หรือใช้หอกแทงหัวของมันได้หรือ
เอามือจับมันสิ ลองคิดดูสิว่าการต่อสู้กับมันจะออกมาเป็นยังไง
    เจ้าจะไม่ทำครั้งที่สองแน่
ความหวังที่มนุษย์จะปราบมันได้นั้นต้องพังทลายลง
    แค่เห็นมันก็ล้มลงแล้ว
10 พอปลุกเร้ามันขึ้นมา มันดุร้ายไม่ใช่หรือ
    แล้วใครจะบ้าบิ่นไปยืนต่อหน้ามัน
11 จะมีใครกล้ามาเผชิญหน้ากับมันและออกมาได้อย่างปลอดภัย
    ไม่มีสิ่งใดภายใต้ฟ้าสวรรค์นี้ทำได้หรอก[o]
12 จะให้เราเงียบไม่พูดถึงขาอันแข็งแกร่งของมัน
    หรือพละกำลังอันมหาศาลของมัน หรือรูปร่างที่สง่างามของมันก็ไม่ได้
13 ใครจะถอดเสื้อนอกของมันออกได้
    ใครจะเจาะทะลวงผิวเกราะสองชั้นของมันไปได้
14 ใครจะง้างขากรรไกรอันแข็งแรง
    ที่มีฟันอันน่าสยดสยองล้อมรอบอยู่ของมันได้
15 ส่วนหลังของมันเหมือนแผงของพวกโล่ที่เรียงกันเป็นแถวๆ
    ซึ่งปิดแน่นสนิทต่อกัน
16 แต่ละอันอยู่ชิดกันมาก
    แม้แต่ลมก็ยังผ่านไม่ได้
17 โล่แต่ละอันเชื่อมต่อกันไป มันเกาะติดกันแน่น
    ไม่สามารถแยกมันจากกันได้
18 เมื่อมันจาม ก็เกิดแสงแลบออกมา
    ตาของมันเหมือนอย่างแสงในยามรุ่งสาง
19 เปลวไฟพุ่งออกจากปากของมัน
    ประกายไฟแตกออกมา
20 ควันออกจากรูจมูกของมัน
    อย่างกับไอพวยพุ่งจากหม้อน้ำเดือด
21 ลมหายใจของมันทำให้ถ่านลุกเป็นไฟ
    และเปลวไฟออกจากปากของมัน
22 ลำคอของมันมีพละกำลังมหาศาล
    ใครเจอมันก็กลัวจนลนลาน
23 ใต้ท้องมันไม่ได้มีไขมันเป็นชั้นๆ
    แต่แข็งอย่างกับเหล็ก
24 มันใจแกร่งกล้าอย่างกับหิน
    ใช่แล้ว แข็งอย่างกับหินโม่แป้ง
25 เมื่อมันยกตัวขึ้น แม้แต่พวกเทพเจ้าก็พากันหวาดกลัว
    เมื่อมันหันมาฟาดหาง พวกเทพเจ้าต่างถอยหนี
26 แม้ดาบจะเข้าถึงตัวมัน ก็ไม่อาจแทงทะลวงผิวหนังมันได้
    ทั้งหอก ลูกธนู และทวนก็เหมือนกัน
27 มันมองว่าอาวุธเหล็กนั้นเป็นแค่เส้นฟาง
    และทองสัมฤทธิ์เป็นแค่ไม้ผุ
28 ลูกธนูก็ไม่อาจทำให้มันหนีไปได้
    หินที่ซัดจากสลิงใส่มันก็เหมือนแกลบ
29 ไม้กระบองมันมองเป็นเพียงแกลบ
    มันหัวเราะเยาะใส่เสียงทวนที่กระเด็นจากหลังมัน
30 ส่วนท้องของมันคมอย่างกับพวกเศษหม้อแตก
    มันครูดเป็นทางบนโคลนตมอย่างกับเลื่อนนวดข้าว
31 มันทำให้น้ำลึกเดือดอย่างกับน้ำในหม้อ
    และทำให้ทะเลปั่นป่วนเหมือนหม้อต้มยา
32 รอยที่มันว่ายผ่านไปส่องประกายแวววาว
    จนคนคิดว่าทะเลผมหงอก
33 ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เหมือนมัน
    มันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างที่ไม่รู้จักความกลัว
34 มันมองไปทั่วทุกสิ่งที่สูงส่ง
    มันเป็นราชาเหนือสัตว์ป่าทั้งหลาย”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International