Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ปัญญาจารย์ 3 - เพลงโซโลมอน 8

มีเวลาสำหรับทุกสิ่ง

มีเวลาสำหรับทุกสิ่ง
มีกำหนดเวลาสำหรับกิจกรรมทุกอย่าง ภายใต้ฟ้าสวรรค์นี้

มีเวลาเกิด เวลาตาย
เวลาปลูก เวลาถอน
เวลาฆ่า เวลาเยียวยารักษา
เวลารื้อถอน เวลาสร้างขึ้นใหม่
เวลาร้องไห้ เวลาหัวเราะ
เวลาไว้ทุกข์ เวลาเต้นรำ
เวลาโยนก้อนหิน เวลาเก็บรวบรวมก้อนหิน
เวลาโอบกอด เวลาหันหนี
เวลาค้นหา เวลาเลิกรา
เวลาทะนุถนอม เวลาเหวี่ยงทิ้งไป
เวลาฉีกขาด เวลาซ่อมแซม
เวลานิ่งเงียบ เวลาพูดจา
เวลารัก เวลาเกลียด
เวลาสงคราม เวลาสันติ

คนเราได้อะไรจากการตรากตรำทำงานหรือ? 10 ข้าพเจ้าเห็นภาระซึ่งพระเจ้าทรงวางไว้บนมนุษย์ 11 พระองค์ทรงทำให้ทุกสิ่งงดงามตามเวลาของมัน ทั้งทรงตั้งนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ ถึงอย่างนั้นมนุษย์ก็ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำตั้งแต่ต้นจนจบได้ 12 ข้าพเจ้ารู้ว่าสำหรับมนุษย์ไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำตัวให้มีความสุข และทำดีขณะยังมีชีวิตอยู่ 13 คนเราทุกคนควรกิน ดื่ม และหาความอิ่มใจในการตรากตรำทำงานทั้งสิ้น เพราะนี่คือของขวัญจากพระเจ้า 14 ข้าพเจ้ารู้ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำจะดำรงอยู่นิรันดร์ ไม่สามารถเพิ่มอะไรเข้าไป หรือตัดทอนอะไรออกได้ พระเจ้าทรงทำไว้เพื่อมนุษย์จะยำเกรงพระองค์

15 อะไรก็ตามที่เป็นอยู่ และอะไรที่จะเกิดขึ้น
ก็เป็นอยู่มาก่อนแล้ว
และพระเจ้าจะทรงนำอดีตมาพิพากษาอีก[a]

16 ยิ่งกว่านั้น ภายใต้ดวงอาทิตย์ ข้าพเจ้ายังเห็นอีกว่า

ในที่แห่งการพิพากษาก็มีความชั่วร้ายอยู่ด้วย
ในที่ของความยุติธรรมก็มีความเลวทรามอยู่ด้วย

17 ข้าพเจ้ารำพึงว่า

“พระเจ้าจะทรงนำทั้งคนชอบธรรมและคนอธรรมมาพิพากษา
เพราะจะมีเวลาสำหรับทุกเรื่อง
มีเวลาสำหรับการกระทำทุกอย่าง”

18 ข้าพเจ้าคิดอีกว่า “สำหรับมนุษย์ พระเจ้าทรงทดสอบพวกเขา ก็เพื่อพวกเขาจะเห็นว่าตนเองก็เหมือนสัตว์ 19 ชะตากรรมของมนุษย์ก็เหมือนของสัตว์ ทั้งสองมีอันเป็นไปเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายหนึ่งก็ตาย ต่างก็มีลมปราณ[b]เช่นกัน มนุษย์ไม่ได้เปรียบมากกว่าสัตว์ ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง 20 ทั้งสองพวกต่างไปสู่ที่แห่งเดียวกัน ล้วนมาจากธุลีดินและต้องกลับกลายเป็นธุลีดิน 21 ใครจะรู้ได้ว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ขึ้นไปยังเบื้องบนหรือไม่ และวิญญาณของสัตว์[c]ลงสู่พิภพโลกหรือไม่?”

22 ฉะนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าสำหรับมนุษย์แล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่าที่จะสนุกกับงาน เพราะนั่นเป็นส่วนของเขา ใครเล่าจะทำให้เขาเห็นได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากเขา?

การกดขี่ข่มเหง การตรากตรำ และการไร้ญาติขาดมิตร

แล้วข้าพเจ้าได้มองดูและได้เห็นการกดขี่ข่มเหงทั้งปวงซึ่งเกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์

ข้าพเจ้าเห็นน้ำตาของคนที่ถูกกดขี่ข่มเหง
และไม่มีใครปลอบโยนเขา
อำนาจทั้งหลายก็อยู่ในมือของคนที่กดขี่
และไม่มีใครปลอบโยนเขา
ข้าพเจ้าจึงประกาศว่าคนที่ตายไปแล้ว
มีความสุขมากกว่าคนเป็นซึ่งยังต้องมีชีวิตอยู่
แต่คนที่ยังไม่เกิดมา
ที่ยังไม่เคยเห็นความชั่วร้าย
ที่เขาเคยทำกันมาภายใต้ดวงอาทิตย์
ก็ยังดีกว่าคนทั้งสองจำพวกนั้น

และข้าพเจ้าได้เห็นว่าการงานทั้งหลายและความสำเร็จทั้งปวงเกิดขึ้นจากการอิจฉาเพื่อนบ้านด้วยกัน นี่ก็อนิจจัง เหมือนวิ่งไล่ตามลม

คนโง่งอมืองอเท้า
และทำลายตัวเอง
มีทรัพย์เพียงกำมือเดียวแต่มีความสงบสุข
ก็ดีกว่ามีเต็มสองมือแต่ต้องตรากตรำ
และวิ่งไล่ตามลม

ข้าพเจ้ายังเห็นความอนิจจังบางอย่างภายใต้ดวงอาทิตย์

คนหนึ่งที่อยู่ตามลำพัง
ไม่มีลูก ไม่มีพี่น้อง
เขาตรากตรำไม่จบสิ้น
ถึงอย่างนั้นตาของเขาก็ไม่พึงพอใจกับทรัพย์สมบัติที่ตนมี
เขาถามตนเองว่า “ฉันจะตรากตรำไปเพื่อใคร
และฉันจะทำตัวอดอยากปากแห้งไปทำไม?”
นี่ก็อนิจจัง
เป็นเรื่องน่าสังเวช!

สองคนช่วยกันทำดีกว่าทำคนเดียว
เพราะจะได้ผลงานที่ดีกว่า
10 หากคนหนึ่งล้มลง
เพื่อนของเขาก็สามารถพยุงเขาขึ้น
แต่น่าสงสารคนที่อยู่คนเดียว
เพราะเมื่อเขาล้มลงก็ไม่มีใครพยุงเขาขึ้น!
11 นอกจากนี้หากสองคนนอนด้วยกัน ก็ได้ไออุ่นจากกันและกัน
แต่คนที่นอนอยู่คนเดียวจะอุ่นได้อย่างไร?
12 ตัวคนเดียวอาจถูกปราบลง
สองคนปกป้องกันได้
เชือกสามเกลียวย่อมไม่ขาดง่ายๆ

ความก้าวหน้าก็อนิจจัง

13 เป็นคนหนุ่มยากจนแต่เฉลียวฉลาดดีกว่าเป็นกษัตริย์ชราผู้โง่เขลาที่ไม่รับฟังคำตักเตือน 14 หนุ่มคนนั้นอาจไต่เต้ามาจากการเป็นคนคุกสู่การเป็นพระราชาหรือเขาอาจจะเกิดมาในหมู่ยาจกที่อยู่ในราชอาณาจักรของเขาเอง 15 ข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ที่มีชีวิตและดำเนินอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ติดตามชายหนุ่มคนนั้นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของกษัตริย์ 16 ใครต่อใครมาเข้าเฝ้าเขาไม่จบสิ้น แต่แล้วคนรุ่นต่อไปก็ขึ้นมาและไม่ยอมรับเขา นี่ก็อนิจจังเช่นกัน เหมือนวิ่งไล่ตามลม

จงยำเกรงพระเจ้า

จงระมัดระวังแต่ละย่างก้าวเมื่อท่านไปยังพระนิเวศของพระเจ้า เข้าไปฟังใกล้ๆ ก็ดีกว่าถวายเครื่องบูชาแบบคนโง่ ซึ่งไม่รู้ว่าตัวเองทำผิด

อย่าปากไว
อย่าใจร้อนผลีผลาม
พลั้งปากพล่อยๆ ต่อหน้าพระเจ้า
พระเจ้าประทับในฟ้าสวรรค์
ส่วนท่านอยู่บนโลก
ฉะนั้นจงพูดแต่น้อยคำ
ห่วงกังวลมากก็ฝันมาก
ยิ่งพูดมากก็ยิ่งพูดโง่ๆ

เมื่อถวายปฏิญาณต่อพระเจ้าแล้ว จงรีบทำให้ครบถ้วน พระเจ้าไม่พอพระทัยคนโง่ จงทำตามที่ปฏิญาณไว้ ไม่ปฏิญาณยังดีกว่าปฏิญาณแล้วไม่ทำให้ครบถ้วน อย่าให้ปากพาตัวหลงทำบาป และอย่าแก้ตัวกับผู้สื่อสารของพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเผลอปฏิญาณไป” จะให้พระเจ้าทรงพระพิโรธวาจาของท่านและทำลายกิจการจากน้ำมือของท่านทำไมเล่า? ฝันมากและพูดมากก็อนิจจัง ดังนั้นจงยำเกรงพระเจ้าเถิด

ความร่ำรวยก็อนิจจัง

หากท่านเห็นคนจนในเมืองถูกข่มเหงรังแกและเห็นความยุติธรรมและสิทธิถูกละเลยในที่ใดก็ตาม อย่าฉงนสนเท่ห์เลย เพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ที่อยู่เหนือเขาและเหนือกว่านั้นขึ้นไปก็ยังมีผู้บังคับบัญชาสูงขึ้นไปอีก ทุกคนฉวยเอาผลิตผลจากแผ่นดิน กษัตริย์เองทรงได้ประโยชน์จากเรือกสวนไร่นา

10 ผู้รักเงินย่อมไม่อิ่มด้วยเงิน
ผู้รักสมบัติไม่เคยอิ่มด้วยรายได้
นี่ก็อนิจจัง

11 เมื่อมีข้าวของเพิ่มขึ้น
ก็เพิ่มคนบริโภค
คนที่เป็นเจ้าของจะได้ประโยชน์อะไร
นอกจากชมเล่นเป็นขวัญตา?

12 กรรมกรนอนหลับสบาย
ไม่ว่าเขาได้กินมากหรือกินน้อย
แต่ข้าวของเหลือเฟือของคนรวย
ไม่ช่วยให้เขาหลับได้

13 ข้าพเจ้าได้เห็นความเลวร้ายที่น่าสลดใจภายใต้ดวงอาทิตย์คือ

ทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้จนเป็นภัยอันตรายแก่เจ้าของ
14 หรือทรัพย์สมบัติสูญสิ้นไปเนื่องจากเคราะห์กรรมบางอย่าง
จนไม่มีอะไรเหลือตกทอดให้ลูกหลาน
15 คนเราเกิดมาจากท้องแม่ตัวเปล่าอย่างไรก็จะจากไปอย่างนั้น
เขาไม่อาจหยิบฉวยผลงานจากการตรากตรำติดมือไปได้เลย

16 นี่ก็เป็นความเลวร้ายที่น่าสลดใจด้วย

คือคนเรามาอย่างไรก็จากไปอย่างนั้น
แล้วเขาได้ประโยชน์อะไรเล่า
ในเมื่อเขาตรากตรำไปอย่างลมๆ แล้งๆ?
17 ตลอดชีวิตของเขา เขากินอยู่ในความมืดมน
เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ความทุกข์ทรมานและความโกรธเคืองอย่างมาก

18 แล้วข้าพเจ้าจึงตระหนักว่าดีแล้ว เหมาะสมแล้ว ที่มนุษย์จะกินดื่ม และหาความอิ่มใจในการตรากตรำทำงานภายใต้ดวงอาทิตย์ตลอดชั่วชีวิตสั้นๆ ซึ่งพระเจ้าประทานให้ เพราะนี่เป็นส่วนของเขา 19 ยิ่งกว่านั้น เมื่อพระเจ้าประทานทรัพย์สมบัติและความมั่งคั่งให้ พระองค์ก็ทรงกระทำให้เขาชื่นชมกับสิ่งเหล่านั้น ให้รับส่วนของตนและเป็นสุขในงานของตนได้ นี่เป็นของขวัญของพระเจ้า 20 เขาไม่ต้องหวนคิดถึงวันคืนแห่งชีวิตของตนมากนัก เพราะพระเจ้าทรงให้เขาง่วนอยู่กับความชื่นใจ

ข้าพเจ้าเห็นความเลวร้ายอีกอย่างหนึ่งภายใต้ดวงอาทิตย์ ซึ่งหนักหนาสาหัสสำหรับมนุษย์ คือพระเจ้าประทานความมั่งคั่ง ทรัพย์สมบัติ และเกียรติแก่บางคน จนเขามีทุกสิ่งที่ใจปรารถนา แต่พระเจ้าไม่ได้ให้เขาชื่นชมสิ่งเหล่านั้น กลับมีคนแปลกหน้ามาชื่นชมแทน นี่ก็อนิจจัง เป็นความเลวร้ายที่น่าสลดใจ

บางคนอาจมีลูกหลานนับร้อยและมีอายุยืน แต่ไม่ว่าจะอายุยืนแค่ไหน ถ้าไม่สามารถชื่นชมความรุ่งเรืองของตน และไม่ได้รับการจัดงานศพอย่างสมเกียรติแล้ว ข้าพเจ้าขอบอกว่าทารกที่ตายตั้งแต่เกิดยังดีกว่าเขาเสียอีก ทารกนั้นเกิดมาอย่างไร้ความหมาย จากไปในความมืด และชื่อนั้นถูกคลุมไว้ในความมืด แม้ไม่เคยเห็นแสงตะวัน ไม่รับรู้สิ่งใด ก็ยังได้พักสงบมากกว่าเขา ต่อให้เขามีอายุยืนพันปีทวีเท่า แต่ไม่ได้ชื่นชมกับความเจริญรุ่งเรืองของตน ทุกคนล้วนไปยังที่เดียวกันไม่ใช่หรือ?

ทุกคนลงทุนลงแรงก็เพื่อปากท้อง
กระนั้นความอยากของเขาก็ไม่เคยอิ่ม
คนฉลาดได้เปรียบอะไรกว่าคนโง่?
คนยากจนแม้รู้ว่าควรประพฤติปฏิบัติอย่างไรต่อหน้าคนอื่นๆ
ก็จะได้ประโยชน์อะไรเล่า?
มีเท่าที่ตาเห็นก็ดีกว่าเที่ยวอยากได้ไปเรื่อย
นี่ก็อนิจจัง วิ่งไล่ตามลม

10 สิ่งใดๆ ที่มีอยู่ล้วนถูกระบุชื่อไว้ก่อนแล้ว
และมนุษย์เป็นอะไรก็รู้กันอยู่แล้ว
ไม่มีใครสามารถขัดขืนต่อสู้
กับผู้ที่แข็งแรงกว่าตน
11 ยิ่งพูดหลายคำ
ยิ่งลดทอนความหมาย
แล้วนั่นจะเป็นประโยชน์กับใคร?

12 เพราะใครเล่าจะรู้ว่าอะไรดีสำหรับมนุษย์ในช่วงชีวิตอันสั้นและคืนวันอันอนิจจังซึ่งผ่านพ้นไปเหมือนเงา? ใครจะบอกเขาได้ว่าหลังจากเขาจากไปแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างภายใต้ดวงอาทิตย์?

สติปัญญา

ชื่อเสียงดีมีค่ายิ่งกว่าน้ำหอมราคาแพง
และวันตายก็ดีกว่าวันเกิด
ไปบ้านที่มีการไว้ทุกข์
ก็ดีกว่าไปบ้านที่มีงานเลี้ยง
เพราะความตายเป็นจุดหมายปลายทางของทุกคน
ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ควรใส่ใจในข้อนี้
โศกเศร้าดีกว่าหัวเราะ
เพราะใบหน้าโศกเศร้านั้นเป็นผลดีต่อจิตใจ
ใจแบบคนฉลาดพบได้ในบ้านที่มีความโศกเศร้า
แต่ใจแบบคนโง่พบได้ในบ้านที่มีความรื่นเริง
ฟังคำตำหนิของคนฉลาด
ดีกว่าฟังคนโง่ร้องเพลงสรรเสริญเยินยอ
เสียงหัวเราะของคนโง่
ก็เหมือนเสียงแตกปะทุของหนามในไฟใต้หม้อ
นี่ก็อนิจจัง

เมื่อคนฉลาดกดขี่ผู้อื่น
เขาก็ทำตัวเหมือนคนโง่
และเมื่อรับสินบน
ก็ทำให้ชีวิตเสื่อมทราม

ตอนจบดีกว่าตอนเริ่ม
ความอดทนอดกลั้นดีกว่าความหยิ่งจองหอง
อย่าปล่อยให้ใจของเจ้าโกรธเร็ว
เพราะความโกรธอยู่ในใจของคนโง่

10 อย่าถามว่า “ทำไมสมัยก่อนดีกว่าเดี๋ยวนี้?”
เพราะนั่นไม่ใช่คำถามที่ฉลาดเลย

11 สติปัญญาเป็นสิ่งดีเช่นเดียวกับมรดก
เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เห็นตะวัน
12 สติปัญญาเป็นที่พักพิง
เช่นเดียวกับเงิน
แต่ข้อได้เปรียบของความรู้ก็คือ
สติปัญญาสงวนชีวิตของผู้มีปัญญาไว้

13 จงพิเคราะห์ดูพระราชกิจของพระเจ้า

สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้คด
ใครจะเหยียดให้ตรงได้?
14 จงสุขใจในยามดี
แต่เมื่อถึงยามทุกข์ยากก็จงใคร่ครวญ
พระเจ้าทรงบันดาลทั้งยามดีและยามร้าย
มนุษย์จึงไม่สามารถรู้อะไรเลยเกี่ยวกับอนาคตของตน

15 ในชีวิตอนิจจังนั้น ข้าพเจ้าเห็นทั้งสองสิ่งนี้มาแล้ว

คนชอบธรรมต้องพินาศทั้งๆ ที่ชอบธรรม
และคนชั่วร้ายอายุยืนทั้งๆ ที่ชั่วร้าย
16 อย่าเป็นคนชอบธรรมเกินไป
และอย่าฉลาดเกินไป
จะทำลายตัวเองทำไม?
17 อย่าชั่วร้ายเกินไป
และอย่าโง่เง่าเต่าตุ่น
เรื่องอะไรจะต้องตายก่อนกำหนด?
18 เป็นการดีที่จะยึดสิ่งหนึ่งไว้
และไม่ปล่อยให้อีกสิ่งหลุดมือไป
ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าจะหลีกเลี่ยงเรื่องสุดโต่งทั้งหมดนี้ไปได้[d]

19 สติปัญญาทำให้คนฉลาดมีอำนาจ
มากยิ่งกว่าผู้ครอบครองสิบคนที่ครองเมือง

20 ไม่มีสักคนเดียวในโลกนี้ที่ดีพร้อม
ที่ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องและไม่เคยทำบาปเลย

21 อย่าใส่ใจทุกถ้อยคำที่ใครๆ พูดกัน
มิฉะนั้นท่านอาจได้ยินคนใช้ของท่านเองแช่งด่าท่าน
22 เพราะท่านก็รู้อยู่แก่ใจว่า
ตัวท่านเองแช่งด่าคนอื่นหลายครั้ง

23 ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าทดสอบด้วยสติปัญญาแล้ว และข้าพเจ้ากล่าวว่า

“เราตั้งใจจะเป็นคนฉลาด”
แต่มันก็เกินไขว่คว้า
24 สติปัญญาจะเป็นอะไรก็ตามแต่
มันช่างไกลลิบลับและลึกซึ้งนัก
ใครเล่าจะค้นพบได้?
25 ข้าพเจ้าจึงมุ่งหาความเข้าใจ
พินิจพิเคราะห์และเสาะหาสติปัญญากับมูลเหตุของสิ่งต่างๆ
และพยายามเข้าใจความโง่เขลาของความชั่ว
และความบ้าบอของความโฉดเขลา

26 ข้าพเจ้าพบว่าสิ่งที่ขมขื่นยิ่งกว่าความตาย
ก็คือผู้หญิงซึ่งเป็นกับดัก
ใจของนางเป็นบ่วงแร้ว
มือของนางคือโซ่ตรวน
ผู้ที่พระเจ้าโปรดปรานจะรอดพ้นจากนาง
แต่คนบาปต้องติดกับของนาง

27 ปัญญาจารย์[e]กล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าค้นพบสิ่งนี้คือ

“การนำเอาสิ่งหนึ่งมาปะติดปะต่อกับอีกสิ่งเพื่อหามูลเหตุ
28 ขณะที่หาอยู่แต่ยังไม่พบ
ข้าพเจ้าก็พบว่าในพันคนจะมีผู้ชายซื่อตรงคนหนึ่ง
แต่ไม่มีผู้หญิงซื่อตรงสักคน
29 ข้าพเจ้าพบแต่เพียงว่า
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้ซื่อตรง
แต่มนุษย์สรรหากลอุบายต่างๆ นานา”

ใครเล่าเสมอเหมือนคนฉลาด?
ใครเล่ารู้คำอธิบายของสิ่งต่างๆ?
สติปัญญาทำให้หน้าตาของคนเราแจ่มใส
และทำให้สีหน้าแข็งกระด้างเปลี่ยนไป

เชื่อฟังกษัตริย์

จงเชื่อฟังพระบัญชาของกษัตริย์ เพราะท่านได้ปฏิญาณไว้ต่อหน้าพระเจ้าแล้ว อย่าหุนหันออกไปให้พ้นพระพักตร์กษัตริย์ อย่ายืนหยัดปกป้องสิ่งที่ไม่ดี เพราะพระองค์จะทรงกระทำสิ่งใดก็ได้ตามแต่ชอบพระทัย เนื่องจากพระดำรัสของกษัตริย์มีอำนาจสูงสุด ใครจะแย้งพระองค์ได้ว่า “พระองค์ทรงทำอะไรเช่นนั้น?”

ผู้ใดเชื่อฟังคำบัญชาของพระองค์จะไม่ประสบอันตราย
จิตใจของคนมีปัญญาจะรู้โอกาสและวิธีการอันเหมาะอันควร
เพราะมีโอกาสและวิธีการที่เหมาะสมสำหรับทุกสิ่ง
แม้ว่าความทุกข์ยากของมนุษย์จะถาโถมเข้าใส่เขาอย่างหนักหน่วงก็ตาม

เนื่องจากไม่มีมนุษย์คนใดหยั่งรู้อนาคต
ใครเล่าจะสามารถบอกได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น?
ไม่มีใครฉุดรั้งจิตวิญญาณ[f]ไว้ได้ฉันใด
ก็ไม่มีใครมีอำนาจเหนือวันตายฉันนั้น
ยามสงครามไม่มีการปลดประจำการฉันใด
ความชั่วร้ายก็จะไม่ยอมปล่อยคนชั่วฉันนั้น

ข้าพเจ้าเห็นมาหมดแล้ว เมื่อใส่ใจกับทุกสิ่งที่ทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ ก็พบว่าบางครั้งมีคนขึ้นมามีอำนาจเหนือผู้อื่น แต่กลับเป็นภัยแก่ตน[g] 10 และข้าพเจ้าก็เห็นบรรดาคนชั่วร้ายถูกฝัง ผู้ซึ่งเข้าออกในสถานบริสุทธิ์และได้รับการยกย่อง[h]ในนครซึ่งเขาทำชั่วนั่นแหละ นี่ก็อนิจจัง

11 เมื่ออาชญากรยังไม่ได้ถูกตัดสินลงโทษ จิตใจของผู้คนก็เต็มไปด้วยกลอุบายที่จะทำผิด 12 ถึงแม้คนชั่วจะก่อกรรมทำเข็ญเป็นร้อยครั้งและยังมีชีวิตอยู่ยืนยาว ข้าพเจ้าก็ยังรู้แน่แก่ใจว่าบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าซึ่งอยู่ต่อหน้าพระองค์ย่อมได้ดีกว่า 13 เนื่องจากคนชั่วไม่ยำเกรงพระเจ้า เขาจะไม่ได้ดีและวันคืนของเขาจะไม่ทอดยาวเหมือนเงา

14 มีสิ่งอนิจจังอีกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้คือ คนชอบธรรมรับผลที่ควรตกแก่คนชั่ว แต่คนชั่วกลับรับผลที่ควรตกแก่คนชอบธรรม ข้าพเจ้ากล่าวว่า นี่ก็อนิจจัง 15 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงสนับสนุนให้ชื่นชมกับชีวิต เพราะสำหรับมนุษย์ที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์แล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่ากินดื่มและเปรมปรีดิ์ แล้วความชื่นชมยินดีจะอยู่เคียงข้างเขาไปในการงาน ตลอดวันคืนแห่งชีวิตซึ่งพระเจ้าประทานแก่เขาภายใต้ดวงอาทิตย์

16 เมื่อข้าพเจ้าใส่ใจที่จะรู้จักสติปัญญา และสังเกตการตรากตรำทำงานของผู้คนในโลกนี้ พวกเขาอดนอนทั้งวันทั้งคืน 17 แล้วข้าพเจ้าก็เห็นทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เป็นไปภายใต้ดวงอาทิตย์ แม้จะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมด แสวงหาคำตอบ แต่มนุษย์ก็ไม่พบความหมาย ต่อให้คนฉลาดซึ่งอ้างว่าตนรู้ก็ไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้

จุดหมายปลายทางของทุกคน

ข้าพเจ้าจึงได้พิเคราะห์สิ่งทั้งปวงนี้ และสรุปว่า ทั้งคนชอบธรรมและคนฉลาดและการกระทำของพวกเขาล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า แต่ไม่มีใครรู้ว่าความรักหรือความเกลียดรอคอยเขาอยู่เบื้องหน้า ทุกคนมีจุดหมายปลายทางเดียวกัน ไม่ว่าคนชอบธรรมหรือคนชั่ว คนดีหรือคนเลว[i] คนไม่เป็นมลทินหรือคนเป็นมลทิน คนถวายเครื่องบูชาหรือคนไม่ถวาย

สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนดีฉันใด
ก็เกิดขึ้นกับคนบาปฉันนั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่กล่าวคำสาบานฉันใด
ก็เกิดขึ้นกับคนที่กลัวจะสาบานฉันนั้น

นี่เป็นสิ่งเลวร้ายในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ คือทุกคนมีอันเป็นไปแบบเดียวกันหมด ยิ่งกว่านั้นจิตใจของมนุษย์ยังเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและบ้าคลั่งตราบชั่วชีวิต และหลังจากนั้นเขาก็ตายตามคนอื่นไป มีความหวังสำหรับคนเป็นเท่านั้น[j] แม้แต่สุนัขเป็นๆ ก็ยังดีกว่าราชสีห์ที่ตายแล้ว!

เพราะอย่างน้อยคนเป็นรู้ว่าเขาจะตาย
แต่คนตายไม่รู้อะไรเลย
ไม่มีบำเหน็จรางวัลต่อไป
ไม่มีแม้แต่ผู้ที่ระลึกถึงเขา
ความรัก ความเกลียด และความอิจฉาของเขา
ล้วนผ่านพ้นไปนานแสนนาน
และเขาไม่มีส่วนร่วมกับสิ่งใดๆ
ที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์อีกต่อไป

ฉะนั้นไปเถิด ไปรับประทานอาหารของท่านด้วยความปีติยินดี และดื่มเหล้าองุ่นของท่านด้วยใจเปรมปรีดิ์ เพราะขณะนี้แหละที่พระเจ้าโปรดปรานสิ่งที่ท่านทำ จงสวมเสื้อผ้าสีขาวเสมอและชโลมศีรษะด้วยน้ำมัน จงอยู่กินกับภรรยาที่รักด้วยความชื่นชมยินดีตลอดวันคืนอนิจจัง ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ท่านภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะนี่คือส่วนในชีวิตของท่าน และในการงานตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์ 10 มือของท่านหยิบจับการใด จงทำการนั้นเต็มกำลังความสามารถเพราะในแดนมรณาที่ท่านกำลังจะไปถึงนั้น ไม่มีงาน ไม่มีการวางแผน ไม่มีความรู้หรือสติปัญญา

11 ข้าพเจ้าเห็นสิ่งอื่นอีกภายใต้ดวงอาทิตย์คือ

คนว่องไวไม่ชนะการวิ่งแข่งเสมอไป
คนเข้มแข็งไม่ชนะศึกเสมอไป
หรือใช่ว่าคนฉลาดจะได้อาหาร
ใช่ว่าคนปราดเปรื่องจะได้ทรัพย์สมบัติ
และใช่ว่าผู้รู้จะได้รับความโปรดปราน
แต่เวลาและโอกาสมาถึงพวกเขาทุกคน

12 ยิ่งกว่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรจะถึงคราวของตน

เหมือนปลาติดร่างแหอันโหดร้าย
และนกติดกับฉันใด
คนก็ติดกับของคราวร้าย
ซึ่งโถมเข้าใส่เขาโดยไม่นึกไม่ฝันฉันนั้น

สติปัญญาดีกว่าความโฉดเขลา

13 และภายใต้ดวงอาทิตย์ข้าพเจ้าเห็นแบบอย่างของสติปัญญาซึ่งข้าพเจ้าประทับใจมาก 14 มีเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งมีคนอาศัยอยู่เพียงหยิบมือเดียว และมีมหาราชองค์หนึ่งกรีธาทัพมาล้อมเมืองไว้ 15 ในเมืองนั้นมีชายคนหนึ่งยากจนแต่ฉลาด และเขาช่วยเมืองนั้นไว้ได้โดยสติปัญญาของเขา แต่ไม่มีใครระลึกถึงชายยากจนคนนั้น 16 ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “สติปัญญาดีกว่าพละกำลัง” แต่สติปัญญาของชายยากจนก็ถูกดูหมิ่น และถ้อยคำของเขาก็ไม่มีใครรับฟัง

17 ถ้อยคำแผ่วเบาของคนฉลาดน่าฟัง
ยิ่งกว่าเสียงตะโกนของผู้ปกครองที่โง่เขลา
18 สติปัญญาเหนือกว่าอาวุธสงคราม
แต่คนบาปคนเดียวทำให้เสียหายนักต่อนัก

10 แมลงวันตายทำให้น้ำหอมเหม็นคลุ้งฉันใด
ความโง่เขลานิดหน่อยก็อาจบั่นทอนสติปัญญาและเกียรติฉันนั้น
ใจของคนฉลาดไขว่คว้าหาความถูกต้อง
ส่วนใจของคนโง่เอียงไปสู่ความชั่วร้าย
คนโง่แม้เดินไปตามถนนหนทาง
ก็ยังไม่มีสำนึก
และทำให้คนดูออกว่าเขาโง่แค่ไหน
หากเจ้านายโกรธเคืองท่าน
อย่าเพิ่งทิ้งหน้าที่ไป
ความสงบสยบความผิดพลาดใหญ่หลวงได้

ข้าพเจ้าได้เห็นความชั่วร้ายอีกอย่างหนึ่งภายใต้ดวงอาทิตย์
เป็นความผิดที่เกิดขึ้นจากผู้ครอบครอง
คือให้คนโง่ได้ตำแหน่งสูง
ขณะที่คนร่ำรวยอยู่ในตำแหน่งต่ำต้อย
ข้าพเจ้าเห็นทาสนั่งบนหลังม้า
ขณะที่เจ้านายเดินเท้าไปเหมือนทาส

คนที่ขุดหลุมอาจจะตกลงไปในหลุม
คนที่รื้อกำแพงอาจจะถูกงูกัด
คนที่สกัดหินอาจได้รับบาดเจ็บเพราะหิน
คนที่เลื่อยซุงอาจได้รับอันตรายจากซุง

10 หากขวานทื่อ
และไม่ได้ลับให้คม
เวลาใช้ก็ต้องออกแรงมากขึ้น
แต่ความเชี่ยวชาญจะนำความสำเร็จมาให้

11 หมองูก็ไม่มีประโยชน์
หากเขาถูกกัดก่อนที่จะสะกดมันได้

12 ถ้อยคำของคนฉลาดนั้นน่าฟัง
แต่คนโง่ย่อยยับเพราะลมปากของตัวเอง
13 พอเริ่มพูดก็แสดงความโง่
พูดจบก็ยิ่งบ้าเลวทราม
14 และต่อความยาวสาวความยืดไม่รู้จบ

ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ใครเล่าจะบอกเขาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายหลัง?

15 งานของคนโง่ทำให้เขาอ่อนระโหย
เขาไม่รู้จักทางเข้าเมือง

16 วิบัติแก่เจ้า ดินแดนซึ่งมีคนรับใช้[k]เป็นกษัตริย์
และบรรดาเจ้านายกินเลี้ยงเฮฮากันตั้งแต่เช้า
17 ความสุขมีแก่เจ้า ดินแดนที่กษัตริย์ของเจ้ามีคุณธรรมสูง
และเจ้านายรู้จักกินดื่มในเวลาอันควร
เพื่อให้มีกำลังวังชา ไม่ใช่เพื่อเมามาย

18 หากผู้ใดเกียจคร้าน จันทัน[l]ก็ผุพัง
หากงอมืองอเท้า เรือนก็รั่ว

19 งานเลี้ยงสังสรรค์ให้เสียงหัวเราะ
เหล้าองุ่นให้ชีวิตรื่นเริง
แต่เงินคือคำตอบสำหรับทุกสิ่ง

20 อย่าแช่งด่ากษัตริย์ แม้แต่ในความคิดคำนึง
หรือแช่งด่าคนรวยในห้องนอนของท่าน
เพราะนกในอากาศอาจจะคาบวาจาของท่านไป
และนกที่โบยบินอาจจะรายงานสิ่งที่ท่านพูด

ขนมปังบนน้ำ

11 จงโยนขนมปังของท่านลงบนน้ำ
เพราะหลังจากนั้นหลายวันท่านจะพบมันอีก
จงแบ่งปันให้คนเจ็ดคนหรือแปดคน
เพราะท่านไม่รู้ว่าภัยพิบัติอันใดจะเกิดขึ้นในแผ่นดิน

หากเมฆอุ้มน้ำไว้เต็ม
มันจะเทฝนลงมาบนโลก
ไม่ว่าต้นไม้จะล้มไปทางเหนือหรือทางใต้
มันล้มลงตรงไหน มันก็นอนอยู่ตรงนั้น
ผู้ใดมัวสังเกตลมก็จะไม่หว่านพืช
และผู้ใดที่มองเมฆก็จะไม่เก็บเกี่ยว

ท่านไม่หยั่งรู้ทางของลม
หรือไม่รู้ว่าร่างกายถูกปั้นขึ้นมา[m]ในครรภ์มารดาได้ฉันใด
ท่านก็ไม่อาจเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า
พระผู้สร้างสรรพสิ่งฉันนั้น

จงหว่านเมล็ดพืชของท่านในยามเช้า
และเมื่อตกเย็นก็อย่าให้มือของท่านว่างงาน
เพราะท่านไม่รู้ว่างานไหนจะสำเร็จ งานนั้นหรืองานนี้
หรือทั้งสองงานจะเจริญดีเหมือนกัน

จงระลึกถึงพระผู้สร้างของเจ้าเมื่อยังเยาว์วัย

แสงสว่างนั้นชื่นใจ
และการได้เห็นแสงตะวันก็ชื่นตา
คนเราจะมีชีวิตสั้นยาวเท่าใด
ก็ให้ชื่นชมทุกวันคืนของชีวิตเถิด
แต่ให้เขาระลึกถึงวันคืนอันมืดมนไว้ด้วย
เพราะจะมีหลายวัน
ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นล้วนอนิจจัง

เยาวชนเอ๋ย จงมีความสุขขณะที่เจ้าอยู่ในปฐมวัย
และให้จิตใจเบิกบานแจ่มใสตลอดวันเวลาในวัยเยาว์ของเจ้า
จงทำตามที่ใจของเจ้าเรียกร้อง
และทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ตาเห็นชอบ
แต่รู้ไว้เถิดว่า เนื่องด้วยสิ่งทั้งปวงเหล่านี้
พระเจ้าจะทรงนำเจ้าเข้าสู่การพิพากษา
10 ฉะนั้นจงขจัดความห่วงกังวลออกจากจิตใจ
และสลัดความทุกข์ร้อนออกจากกายของเจ้า
เพราะวัยเยาว์และพละกำลังล้วนอนิจจัง

12 เจ้าจงระลึกถึงพระผู้สร้างของเจ้า
ตลอดวันเวลาที่เจ้ายังเยาว์วัย
ก่อนยามทุกข์ลำเค็ญจะมาถึง
และปีเดือนเหล่านั้นใกล้เข้ามา เมื่อเจ้าจะพูดว่า
“ฉันไม่เห็นชื่นชมอะไรในชีวิต”
ก่อนดวงอาทิตย์และแสงสว่าง
ดวงจันทร์และดวงดาวจะมืดมัวลง
ก่อนเมฆจะหวนกลับมาภายหลังฝน
เมื่อคนเฝ้าเรือนตัวสั่น
และชายฉกรรจ์ค้อมตัวลง
เมื่อคนโม่แป้งหยุดโม่เพราะเหลืออยู่ไม่กี่คน
และบรรดาผู้ที่มองผ่านหน้าต่างเริ่มมองเห็นไม่ชัด
เมื่อประตูที่เปิดสู่ถนนนั้นถูกปิดไป
และเสียงโม่เบาลง
เมื่อคนเราตื่นขึ้นยามแว่วเสียงนกร้อง
แต่เสียงเพลงทั้งปวงของพวกมันก็แผ่วลง
เมื่อคนเรากลัวความสูง
และกลัวภัยอันตรายในท้องถนน
เมื่อต้นอัลมอนด์ผลิดอก
ตั๊กแตนลากขาเดินไป
และความปรารถนาไม่ถูกปลุกเร้าอีกต่อไป
เมื่อนั้นมนุษย์ก็ไปสู่บ้านนิรันดร์ของตน
และคนไว้ทุกข์เดินไปตามถนน

จงระลึกถึงพระองค์ ก่อนที่สายเงินจะขาดผึง
หรือชามทองคำจะแตก
ก่อนที่คนโทจะแหลกละเอียดที่น้ำพุ
หรือล้อหักเสียที่บ่อน้ำ
เมื่อนั้นธุลีดินจะกลับคืนสู่แผ่นดินที่มันจากมา
และจิตวิญญาณกลับคืนสู่พระเจ้าผู้ประทานให้

ปัญญาจารย์[n]กล่าวว่า “อนิจจัง! อนิจจัง! ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง!”

บทสรุป

ปัญญาจารย์นั้นไม่เพียงแต่เฉลียวฉลาด แต่ยังถ่ายทอดความรู้ให้แก่ประชาชนอีกด้วย เขาใคร่ครวญ ค้นคว้า และรวบรวมสุภาษิตต่างๆ ไว้ให้เป็นระบบ 10 เขาเสาะหาถ้อยคำที่เหมาะเจาะ สิ่งที่เขาเขียนนั้นเที่ยงตรงและเป็นจริง 11 วาจาของปราชญ์เหมือนประตัก ประมวลภาษิตของเขาเหมือนตะปูตรึงแน่น ซึ่งองค์พระผู้เลี้ยงประทานให้ 12 ลูกเอ๋ย จงระวังสิ่งที่ต่อเติมเสริมแต่งไปกว่านั้น จะทำหนังสือมากๆ ก็ไม่มีจบสิ้นและเรียนมากก็เหนื่อยกาย

13 บัดนี้ก็ได้ฟังกันมาหมดสิ้นแล้ว
บทสรุปก็คือ
จงยำเกรงพระเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์
เพราะนี่เป็นหน้าที่ทั้งหมดของมนุษย์
14 เพราะพระเจ้าจะทรงพิพากษาการกระทำทุกอย่าง
รวมถึงทุกสิ่งที่ปกปิดไว้
ไม่ว่าดีหรือชั่ว

ยอดบทเพลงของโซโลมอน

หญิงสาว[o]

ขอพรมจูบดิฉันด้วยปากของคุณ
เพราะความรักของคุณฉ่ำชื่นใจยิ่งกว่าเหล้าองุ่น
น้ำหอมของคุณช่างหอมรัญจวน
ชื่อเสียงของคุณก็หอมฟุ้ง
ไม่แปลกเลยที่สาวๆ รุมรักคุณ!
พาดิฉันไปด้วยเถิด เรารีบไปกันเถิด!
ขอพระราชาทรงนำดิฉันเข้าไปในพระตำหนัก

เพื่อน

เราชื่นชมและยินดีในตัวคุณ
เราเทิดทูนความรักของคุณยิ่งกว่าเหล้าองุ่น

หญิงสาว

ถูกแล้วที่พวกเขาเทิดทูนคุณ!

บรรดาสตรีชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย
ดิฉันผิวคล้ำ
ดั่งเต็นท์แห่งเคดาร์ก็จริง
แต่ก็งามน่ารักเหมือนม่านเต็นท์ของโซโลมอน[p]
อย่ามาจ้องผิวที่คล้ำของดิฉันมากนัก
ดวงตะวันทำให้ผิวของดิฉันเกรียมแดด
พวกพี่ชายโกรธเคืองดิฉัน
จึงส่งดิฉันออกไปดูแลสวนองุ่นต่างๆ
แต่สวนองุ่นของดิฉันเองถูกปล่อยปละละเลย
บอกดิฉันเถิด ที่รัก วันนี้คุณจะพาฝูงแกะไปกินหญ้าที่ไหน?
และตอนเที่ยงคุณจะพาฝูงแกะไปพักที่ใด?
เหตุใดจะให้ดิฉันเป็นเหมือนหญิงโสเภณี[q]
เตร็ดเตร่ไปกับฝูงสัตว์ของเพื่อนๆ ของคุณ?

เพื่อน

โอ แม่หญิงงามที่สุด ถ้าเธอไม่รู้
ก็ให้ติดตามรอยฝูงแกะ
ไปที่เต็นท์ของพวกคนเลี้ยงแกะ
ไปเลี้ยงฝูงแพะหนุ่มของเธอที่นั่น

ชายหนุ่ม

ที่รัก ผมขอเปรียบเธอดั่งม้าตัวเมีย
ที่ใช้เทียมราชรถของฟาโรห์
10 แก้มของเธองดงามด้วยต่างหู
คอของเธอสวยด้วยสร้อยอัญมณี
11 พวกเราจะทำต่างหูทองคำ
ประดับเงินให้เธอ

หญิงสาว

12 เมื่อพระราชาทรงประทับอยู่ที่พระแท่น
น้ำหอมของดิฉันก็ส่งกลิ่นอบอวล
13 ที่รักของดิฉันเหมือนถุงมดยอบ
วางอยู่ที่หว่างอกของดิฉัน
14 สำหรับดิฉัน ที่รักเป็นเหมือนช่อดอกเทียนขาว
จากสวนองุ่นแห่งเอนเกดี

ชายหนุ่ม

15 เธอช่างงามจริงๆ นะ ยอดรัก!
งามเหลือเกิน!
ดวงตาของเธอดั่งนกพิราบ

หญิงสาว

16 ที่รักจ๋า คุณหล่อเสียจริง!
มีเสน่ห์ยิ่งนัก!
ที่นอนของเราเขียวขจี

ชายหนุ่ม

17 ขื่อเรือนของเราเป็นไม้สนซีดาร์
จันทันเป็นไม้เฟอร์

หญิงสาว[r]

ดิฉันเป็นดั่งกุหลาบแห่งชาโรน
เหมือนดอกลิลลี่แห่งหุบเขา

ชายหนุ่ม

ในหมู่หญิงสาว ที่รักของผม
เป็นเหมือนดอกลิลลี่ท่ามกลางหมู่หนาม

หญิงสาว

ในหมู่ชายหนุ่ม ที่รักของดิฉัน
เป็นเหมือนต้นแอปเปิ้ลท่ามกลางแมกไม้ในป่า
ดิฉันชอบนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของเขา
และผลของเขาหอมหวานเมื่อดิฉันได้ลิ้มรส
เขาพาดิฉันไปในห้องโถงงานเลี้ยง
และใครๆ ก็เห็นว่าเขารักดิฉันมากเพียงไร[s]
โปรดชูกำลังดิฉันด้วยลูกเกด
เพิ่มความสดชื่นให้ดิฉันด้วยผลแอปเปิ้ล
เพราะดิฉันอ่อนระโหยโรยแรงด้วยความรัก
แขนซ้ายของเขาช้อนประคองศีรษะดิฉัน
และแขนขวาของเขาโอบกอดดิฉันไว้
บรรดาสตรีชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย
เรากำชับเจ้าด้วยพลังอย่างละมั่งและกวางในท้องทุ่งว่า
อย่าปลุกเร้าความรัก
แต่ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของมัน

ได้ยินไหม!
ดูนั่นซิ! ที่รักของดิฉันกำลังมา
โลดแล่นข้ามเนินข้ามเขาลงมา
ที่รักของดิฉันเป็นดั่งละมั่งหรือกวางหนุ่ม
ดูซิ! เขาอยู่หลังกำแพงของเรา
ชะเง้อผ่านหน้าต่าง
แลลอดผ่านลูกกรง
10 ที่รักของดิฉันเอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถิด ที่รัก
คนงามของผม มากับผมเถิด
11 ดูสิ! ฤดูหนาวผ่านพ้นไป
ฝนก็หยุดตกแล้ว
12 ดอกไม้นานาพันธุ์เริ่มแย้มบานบนพื้นดิน
ฤดูแห่งการขับขานบทเพลงมาถึงแล้ว
เสียงนกเขาขันคู
ก้องถิ่นเรา
13 ต้นมะเดื่อกำลังผลิผลรุ่นแรก
เถาองุ่นผลิดอกบานส่งกลิ่นหอม
ลุกขึ้นเถิดที่รัก
คนงามของผม มากับผมเถิด”

ชายหนุ่ม

14 แม่นกพิราบของผมอยู่ในซอกหิน
ในที่ซ่อนบนลาดเขา
โผล่หน้ามาให้ยลโฉมหน่อยเถิด
ขอให้ได้ยินเสียงของเธอ
เพราะเสียงของเธอหวานจับใจ
และใบหน้าของเธอก็งามน่ารัก
15 มาช่วยจับเหล่าสุนัขจิ้งจอกให้เรา
เหล่าสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก
ที่ทำลายสวนองุ่น
สวนของเราซึ่งกำลังผลิดอกบาน

หญิงสาว

16 ที่รักของดิฉันเป็นของดิฉัน และดิฉันก็เป็นของเขา
เขาเลี้ยงสัตว์อยู่กลางหมู่ลิลลี่
17 ก่อนรุ่งสางมาถึง
ก่อนเงามืดลับหายไป
มาหาดิฉันเถิดยอดรัก
ขอให้เป็นเหมือนละมั่ง
หรือกวางหนุ่ม
บนภูเขาเบเธอร์[t]

ตลอดคืนบนเตียงของดิฉัน
ดิฉันมองหาพ่อยอดดวงใจ
เฝ้าชะแง้แลหาแต่ไม่พบ
ดิฉันจะลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ และไปทั่วเมือง
ไปตามถนนและลานเมือง
ดิฉันจะค้นหาพ่อยอดดวงใจของดิฉัน
แต่หาแล้วก็ไม่พบ
ยามรักษาการณ์มาพบดิฉันเข้า
ขณะที่พวกเขากำลังตระเวนไปรอบเมือง
ดิฉันถามเขาว่า “เห็นพ่อยอดดวงใจของดิฉันไหม?”
พอคล้อยหลังพวกเขาไปไม่เท่าไร
ดิฉันก็พบพ่อยอดดวงใจ
ดิฉันโอบกอดเขาไว้ไม่ยอมให้ไปไหน
จนพาเขามาถึงที่บ้านแม่ของดิฉัน
มาถึงห้องผู้ให้กำเนิดดิฉัน
บรรดาสตรีชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย
เรากำชับเจ้าด้วยพลังอย่างละมั่งและกวางในท้องทุ่งว่า
อย่าปลุกเร้าความรัก
แต่ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของมัน

ใครหนอรีบรุดมาจากทะเลทราย?
ประหนึ่งลำหมอกควัน
อบอวลด้วยกลิ่นหอมของมดยอบและกำยาน
ที่ปรุงจากเครื่องหอมของพ่อค้า
ดูสิ! นั่นคือราชยานของโซโลมอน
มีนักรบหกสิบคนคุ้มกันเป็นผู้เกรียงไกรที่สุดของอิสราเอล
ทุกคนเป็นนักรบเจนศึก
ล้วนสะพายดาบ
เตรียมพร้อมรับภัยจู่โจมแห่งรัตติกาล
กษัตริย์โซโลมอนทรงให้ประกอบราชยานนี้สำหรับพระองค์เอง
ด้วยไม้จากเลบานอน
10 เสาราชยานทำด้วยเงิน
แท่นเป็นทอง พระที่นั่งบุผ้าสีม่วง
ภายในตกแต่งอย่างงดงาม
โดย[u]ฝีมือบรรดาสตรีชาวเยรูซาเล็ม
11 บรรดาสตรีแห่งศิโยน[v] ออกมาเถิด
มาดูกษัตริย์โซโลมอนทรงมงกุฎ
ซึ่งราชมารดาทรงสวมให้
ในวันอภิเษกสมรส
วันแห่งความชื่นชมยินดีของพระองค์

ชายหนุ่ม

เธอช่างงามจริงๆ นะ ยอดรัก!
งามเหลือเกิน!
ดวงตาของเธอภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้นประหนึ่งนกพิราบ
เรือนผมของเธอเสมือนฝูงแพะ
เหยาะย่างลงมาจากภูเขากิเลอาด
ฟันของเธอขาวเหมือนแกะที่เพิ่งตัดขน
และขึ้นมาจากการชำระล้าง
ฟันทุกซี่เรียงรับกัน
อย่างไม่มีที่ติ
ริมฝีปากของเธอแดงเหมือนด้ายแดง จิ้มลิ้มน่ารัก
ภายใต้ผ้าคลุมหน้า ขมับของเธอเหมือนทับทิมผ่าซีก
ลำคอของเธอระหงดั่งหอคอยของดาวิด
ที่สร้างขึ้นอย่างประณีต[w]
ที่ประดับประดาด้วยโล่นับพัน
ของเหล่าวีรบุรุษ
ทรวงอกของเธอประหนึ่งลูกฝาแฝดของละมั่ง
เล็มใบไม้กินอยู่กลางดงลิลลี่
ผมจะขึ้นไปบนภูเขาแห่งมดยอบ
ซึ่งเป็นเนินแห่งเครื่องหอม
จวบจนเริ่มรุ่งสาง
เมื่อเงามืดหนีหายไป
ที่รักของผม เธองามหมดจด
ทั่วเรือนร่างไม่มีที่ติเลย

ลงมาจากเลบานอนกับผมเถิด เจ้าสาวของผม
ลงมาจากเลบานอนกับผมเถิด
ลงมาจากยอดเขาอามานา
จากยอดเสนีร์ และยอดเฮอร์โมน
จากถ้ำของราชสีห์
และภูเขาอันเป็นถิ่นเสือดาว
เธอขโมยดวงใจของผมไปแล้ว
นวลน้องของพี่ เจ้าสาวของผม
หัวใจของผมก็ถูกเธอกุมไปเสียแล้ว
แค่เธอชายตาเพียงครั้งเดียว
แค่อัญมณีเพียงเม็ดเดียวที่สร้อยคอของเธอ
10 นวลน้องของพี่ เจ้าสาวของผม ความรักของเธอน่าชื่นใจ!
ถูกใจผมยิ่งกว่าเหล้าองุ่นมากนัก
และน้ำหอมของเธอรัญจวนใจกว่าเครื่องหอมใดๆ!
11 เจ้าสาวของผม ริมฝีปากของเธอหยาดความหวานดั่งรวงผึ้ง
ใต้ลิ้นของเธอคือน้ำนมและน้ำผึ้ง
อาภรณ์ของเธอก็หอมละม้ายกลิ่นอายแห่งเลบานอน
12 นวลน้องของพี่ เจ้าสาวของผม เธอเป็นดั่งอุทยานหวงห้าม
เป็นธารน้ำพุซึ่งเจ้าของกั้นเขตและประทับตรากรรมสิทธิ์ไว้
13 เธอเปรียบเหมือนสวนทับทิมที่ให้ผลดีเยี่ยม
อีกทั้งต้นเทียนขาวและนารดา
14 หญ้าฝรั่น คาลามูส และอบเชย
ไม้หอมต่างๆ มดยอบ กฤษณา
และเครื่องหอมชั้นเยี่ยมทุกชนิด
15 เธอเป็น[x]น้ำพุแห่งอุทยาน
เป็นธารน้ำอันไหลริน
หลั่งไหลลงมาจากเลบานอน

หญิงสาว

16 ตื่นเถิด ลมเหนือ
มาเถิด ลมใต้!
พัดโชยอุทยานของฉัน
พัดพากลิ่นหอมของมันให้ขจรขจาย
ขอให้ที่รักของดิฉันเข้ามาในสวนของเขา
และลิ้มรสผลโอชะที่สุดในนั้นเถิด

ชายหนุ่ม

ผมเข้ามาในสวนของผมแล้ว
นวลน้องของพี่ เจ้าสาวของผม
ผมได้เก็บมดยอบและเครื่องหอม
กินรวงผึ้งกับน้ำผึ้งของผม
ดื่มเหล้าองุ่นกับน้ำนมของผมแล้ว

เพื่อน

เพื่อนๆ เอ๋ย กินและดื่มเถิด
คู่รักเอ๋ย ดื่มให้อิ่มเอมเปรมอุรา

หญิงสาว

ดิฉันหลับไปแต่หัวใจยังตื่นอยู่
ฟังสิ! ที่รักของดิฉันกำลังเคาะประตู และพร่ำว่า
“นวลน้องของพี่ ยอดรักของผม เปิดประตูรับผมเถิด
แม่นกพิราบน้อยๆ ของผม แม่คนงามไม่มีที่ติ
ศีรษะของผมชุ่มด้วยน้ำค้าง
และเส้นผมชุ่มด้วยละอองน้ำยามราตรี”
แต่ดิฉันถอดเสื้อคลุมออกแล้ว
จะให้สวมเข้าไปใหม่หรือ?
ดิฉันล้างเท้าแล้ว
จะให้ไปเปื้อนดินอีกหรือ?
ยอดรักของดิฉันพยายามถอดสลักประตู
ใจของดิฉันเต้นแรงเพราะคิดถึงเขา
ดิฉันลุกขึ้นเพื่อเปิดประตูรับที่รักของดิฉัน
ขณะถอดดาลประตู
มือของดิฉันชุ่มด้วยหยดน้ำหอม
นิ้วของดิฉันอบอวลด้วยกลิ่นมดยอบ
ดิฉันเปิดประตูต้อนรับที่รักของดิฉัน
แต่เขาได้จากไปแล้ว
ดิฉันใจหายเมื่อเขาจากไป[y]
ดิฉันค้นหาเขา แต่ไม่พบเลย
ดิฉันร้องเรียกเขา แต่ไม่มีคำขานตอบ
ยามรักษาการณ์มาพบดิฉันเข้า
ขณะที่พวกเขาตระเวนไปรอบเมือง
พวกเขาทุบตีจนดิฉันฟกช้ำ
พวกยามรักษาการณ์ที่กำแพงเมือง
เขาริบเสื้อคลุมของดิฉันไป!
บรรดาสตรีชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย ดิฉันขอร้องว่า
หากพบที่รักของดิฉัน
ถ้าเธอจะบอกอะไรกับเขา?
จงบอกเขาว่าดิฉันกำลังป่วยเป็นไข้ใจ

เพื่อน

แม่หญิงผู้เลอโฉม
ที่รักของเธอดีกว่าคนอื่นอย่างไร?
เขาดีกว่าคนอื่นอย่างไร
เธอจึงกำชับพวกเราอย่างนี้?

หญิงสาว

10 ที่รักของดิฉันมีสง่าราศีและคมขำ
โดดเด่นในหมู่คนนับหมื่น
11 ศีรษะของเขาประหนึ่งทองนพคุณ
ผมของเขาหยิกและดกดำเหมือนขนกา
12 ดวงตาของเขาเหมือนนกพิราบขาว
ยืนอยู่ริมธารน้ำ
ตานั้นงาม
ดุจอัญมณีประดับไว้
13 แก้มของเขาหอมฟุ้ง
ดั่งเครื่องหอมทั้งแปลง
ริมฝีปากของเขา
ดั่งดอกลิลลี่หยดด้วยมดยอบ
14 แขนของเขาเรียวงามดุจทองคำ
ฝังบุษราคัม
เรือนกายของเขาดั่งงาช้างวาววับ
ประดับด้วยไพฑูรย์
15 ขาของเขาคือเสาหินอ่อน
ตั้งอยู่บนฐานที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์
รูปกายของเขาแข็งแกร่งดั่งต้นสนซีดาร์แห่งเลบานอน
ที่คัดสรรมาอย่างดี
16 ปากของเขาหวานเป็นธรรมชาติ
ทุกอย่างในตัวเขาดูน่ารัก
นี่คือที่รักและสหายของดิฉัน
โอ บรรดาสตรีชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย

เพื่อน

แม่หญิงผู้เลอโฉม
ที่รักของเธออยู่ที่ไหน?
ที่รักของเธอไปทางไหน?
เราจะได้ช่วยเธอเสาะหาเขา

หญิงสาว

ที่รักของดิฉันได้ลงไปที่สวนของเขา
ไปที่แปลงเครื่องหอม
ไปเลี้ยงสัตว์ของเขาในสวน
และเก็บดอกลิลลี่
ดิฉันเป็นของที่รักของดิฉันและที่รักของดิฉันก็เป็นของดิฉัน
เขาเลี้ยงสัตว์อยู่กลางหมู่ลิลลี่

ชายหนุ่ม

ยอดรักของผม เธองามประหนึ่งแดนทีรซาห์
น่ารักเหมือนเยรูซาเล็ม
สง่าผ่าเผยดั่งกองทหารประดับประดาธงทิวไสว
ละสายตาไปจากผมเถิด
เพราะสายตาของเธอทำให้ผมหวั่นไหว
เรือนผมของเธอเหมือนฝูงแพะ
เหยาะย่างลงมาจากเนินกิเลอาด
ฟันของเธอเหมือนฝูงแกะ
ที่เพิ่งขึ้นมาจากการชำระล้าง
ฟันทุกซี่เรียงรับกัน
อย่างไม่มีที่ติ
ภายใต้ผ้าคลุมหน้า ขมับของเธอ
เหมือนทับทิมผ่าซีก
อาจมีราชินีถึงหกสิบองค์
นางสนมแปดสิบคน
และสาวพรหมจารีอีกนับไม่ถ้วน
แต่แม่นกพิราบของผม คนดีของผมไม่มีใครเหมือน
เป็นลูกสาวคนโปรด
เป็นลูกสาวคนเดียวของแม่
บรรดาหญิงสาวเห็นเธอ ก็เรียกเธอว่า ผู้เป็นสุข
แม้แต่มเหสีและเหล่านางห้ามก็ยกย่องเธอ

เพื่อน

10 นี่ใครกันหนอ ปรากฏตัวขึ้นมาดั่งรุ่งอรุณ
งามดั่งดวงจันทร์ สดใสดั่งดวงตะวัน
งามสง่าดั่งดวงดาราที่เคลื่อนคล้อย?

ชายหนุ่ม

11 ผมลงไปยังทิวต้นอัลมอนด์
เพื่อมองดูสิ่งที่เพิ่งผลิงามในหุบเขา
ดูว่าเถาองุ่นแตกตา
ทับทิมผลิดอกบานหรือยัง
12 กว่าผมจะรู้ตัว
ความปรารถนาก็พาให้ผมรู้สึกประหนึ่งว่าตนเองอยู่บนรถรบหลวงท่ามกลางประชากรของผม[z]

เพื่อน

13 กลับมา กลับมาหาพวกเราเถิด สาวน้อยชาวชูเลมจ๋า
กลับมาเถิด กลับมาให้เราชมโฉมเธออีก!

ชายหนุ่ม

ทำไมพวกเธอจ้องมองสาวน้อยชาวชูเลม
อย่างกับดูการร่ายรำที่เมืองมาหะนาอิม?

โอ ธิดาของผู้สูงศักดิ์!
เท้าของเธอที่อยู่ในรองเท้าสานนั้นช่างงามเสียนี่กระไร
ขาของเธอเรียวงามดั่งอัญมณี
ที่ช่างฝีมือเจียระไนไว้
สะดือของเธอดั่งแก้วกลมงาม
ที่ไม่เคยขาดเหล้าองุ่นผสม
เอวของเธองามดั่งกองข้าวสาลี
ล้อมด้วยมวลหมู่ลิลลี่
ทรวงอกของเธอเหมือนลูกกวางสองตัว
เหมือนลูกแฝดของละมั่ง
ลำคอของเธอระหงดั่งหอคอยงาช้าง
ดวงตาของเธอใสเหมือนสระน้ำในเฮชโบน
ที่ส่องประกายอยู่ที่ข้างประตูบัทรับบิม
จมูกของเธองามดั่งหอคอยแห่งเลบานอน
ที่สามารถมองไปยังดามัสกัส
ศีรษะของเธอทำให้เธองามสง่าเหมือนภูเขาคารเมล
ผมของเธองามประหนึ่งม่านปักในวังหลวง
ปอยผมของเธอเป็นบ่วงเสน่ห์มัดพระทัยกษัตริย์
ที่รักจ๋า เธอช่างงาม น่าพิสมัย
น่าชื่นชมเสียนี่กระไร!
เธอสูงโปร่งเหมือนต้นอินทผลัม
และทรวงอกของเธอเหมือนพวงผลไม้
ผมพูดว่า “ผมจะปีนขึ้นต้นอินทผลัมต้นนี้
และกอดผลของมันไว้”
ขอให้ทรวงอกของเธอเหมือนพวงองุ่น
ให้ลมหายใจของเธอหอมเหมือนกลิ่นแอปเปิ้ล
และปากของเธอเหมือนเหล้าองุ่นชั้นเยี่ยม

หญิงสาว

ขอให้เหล้าองุ่นนี้ไหลรินสู่ริมฝีปาก
และฟันของที่รักของดิฉัน[aa]
10 ดิฉันเป็นของที่รักของดิฉัน
และเขาปรารถนาดิฉัน
11 มาเถอะ ที่รัก ให้เราออกไปกลางทุ่งด้วยกัน
ไปค้างแรมที่หมู่บ้าน[ab]
12 ให้เราลุกขึ้นไปสวนองุ่นแต่เช้า
ดูว่าเถาองุ่นแตกหน่อหรือยัง
ดูว่าดอกองุ่นคลี่บานหรือยัง
และดูว่าดอกทับทิมผลิบานหรือยัง
ที่แห่งนั้น ดิฉันจะมอบความรักแก่คุณ
13 ที่นั่น ต้นดูดาอิมส่งกลิ่นหอมอบอวล
และผลไม้เยี่ยมยอดที่สุดอยู่ที่ประตูของเรา
ทั้งผลเพิ่งสุกและผลสุกงอม
ซึ่งดิฉันได้เก็บรวบรวมไว้สำหรับคุณ

ถ้าเพียงแต่คุณเป็นพี่ชายของดิฉัน
ที่ดูดนมจากอกของแม่ดิฉัน!
ดิฉันก็จะจูบคุณได้
เมื่อพบคุณข้างนอก
และจะไม่มีใครเหยียดหยามดิฉัน
ดิฉันจะพาคุณ
มายังบ้านแม่ของดิฉัน
ผู้ที่ได้สั่งสอนดิฉันมา
ดิฉันจะให้คุณดื่มเหล้าองุ่นใส่เครื่องเทศ
เป็นเหล้าทับทิมหวานละมุน
แขนซ้ายของเขาช้อนประคองศีรษะของดิฉัน
และแขนขวาของเขาโอบกอดดิฉันไว้
บรรดาสตรีชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย เรากำชับเจ้าว่า
อย่าปลุกเร้าความรัก
แต่ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของมัน

เพื่อน

นี่ใครหนอกำลังมาจากทะเลทราย
อิงแอบคู่รักของเธอมา?

หญิงสาว

ใต้ต้นแอปเปิ้ล ซึ่งแม่ของคุณให้กำเนิดคุณด้วยความเจ็บปวด
ดิฉันจะปลุกความรักของคุณที่นั่น
โปรดให้ดิฉันเป็นดั่งดวงตราประทับที่ใจ
และที่แขนของคุณเพื่อแสดงว่าคุณเป็นของดิฉัน
เพราะความรักทรงอำนาจประหนึ่งความตาย
และความหึงหวง[ac]คงทนราวกับแดนผู้ตาย
ความรักนั้นแผดเผาดั่งไฟ
เสมือนเปลวไฟแรงกล้า[ad]
ธารน้ำหลายสายไม่อาจดับเพลิงรัก
แม่น้ำไม่อาจพัดพาความรักไปได้
หากใครทุ่มเททรัพย์สินจนหมดตัว
เพื่อแลกกับความรัก
ไม่แคล้วถูกดูหมิ่นดูแคลน
เพื่อน
เรามีน้องสาวเล็กๆ คนหนึ่ง
ซึ่งทรวงอกยังไม่ขึ้น
เราจะทำอย่างไรดี
หากมีคนมาสู่ขอน้อง?
หากน้องเป็นกำแพง
เราจะสร้างหอคอยเงินบนนั้น
หากน้องเป็นประตู
เราจะใส่กลอนด้วยไม้สนซีดาร์

หญิงสาว

10 ดิฉันเป็นกำแพง
และทรวงอกของดิฉันเหมือนหอคอย
ในสายตาของที่รัก
ดิฉันเป็นเหมือนคนที่นำความอิ่มใจมา
11 กษัตริย์โซโลมอนทรงมีสวนองุ่นขนัดหนึ่งที่บาอัลฮาโมน
พระองค์ให้ชาวสวนที่นั่นเช่า
เก็บค่าเช่าเป็นเงิน
หนักคนละพันเชเขล[ae]
12 แต่สำหรับสวนองุ่นของดิฉันเอง
แล้วแต่ดิฉันจะให้ใคร
ข้าแต่โซโลมอน พันเชเขลนั้นเป็นของพระองค์
และสองร้อยเชเขลเป็นของผู้ดูแลสวน

ชายหนุ่ม

13 เธอซึ่งอยู่ในอุทยาน รายรอบด้วยหมู่เพื่อนๆ
ขอให้ผมได้ยินเสียงของคุณ!

หญิงสาว

14 มาเถิด ที่รักของดิฉัน ขอให้คุณเป็นเหมือนละมั่ง
หรือกวางหนุ่มบนภูเขาที่เต็มไปด้วยเครื่องเทศเถิด

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.