Bible in 90 Days
การทนทุกข์และสง่าราศีของผู้รับใช้
13 ดูเถิด ผู้รับใช้ของเราจะทำการอย่างชาญฉลาด[a]
เขาจะได้รับการยกย่องเทิดทูนและสดุดีอย่างสูงส่ง
14 คนเป็นอันมากตื่นตะลึงเพราะเขา[b]
เพราะรูปลักษณ์ของเขาเสียโฉมไปจนไม่มีใครเหมือน
และรูปร่างของเขาก็เสียไปจนดูไม่เหมือนมนุษย์
15 เขาก็จะทำให้หลายประชาชาติตกตะลึง[c]
และเขาจะทำให้บรรดากษัตริย์ปิดปาก
เพราะพวกเขาจะเห็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครบอกพวกเขามาก่อน
และจะเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน
53 ใครเล่าได้เชื่อถ้อยคำของเรา
และพระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สำแดงแก่ผู้ใด?
2 เขาผู้นั้นเจริญขึ้นต่อหน้าพระองค์เหมือนหน่ออ่อน
และเหมือนรากที่โผล่ออกมาบนพื้นดินแห้ง
เขาไม่มีความงามหรือความโอ่อ่าตระการที่จะดึงดูดเรา
รูปลักษณ์ของเขาไม่มีอะไรชวนให้ปรารถนา
3 เขาถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง
เป็นคนเจ้าทุกข์และคุ้นเคยกับความทุกข์ทรมาน
เป็นคนที่ใครๆ เบือนหน้าหนี
เขาถูกเหยียดหยาม และเราก็ไม่นับถือเขา
4 แน่ทีเดียว เขารับความอ่อนแอทั้งหลายของเรา
และแบกรับความทุกข์โศกของเราไป
ถึงกระนั้นเรากลับถือว่าเขาถูกพระเจ้าตี
คือถูกพระองค์โบยตีและทรมาน
5 แต่เขาถูกแทงเพราะการล่วงละเมิดของเรา
เขาบอบช้ำเพราะความชั่วช้าของเรา
เขารับโทษทัณฑ์เพื่อเราจะมีสันติสุข
บาดแผลของเขาทำให้เราได้รับการรักษาให้หาย
6 เราทุกคนหลงเตลิดไปเหมือนแกะ
แต่ละคนหันไปตามทางของตน
และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงวางความชั่วช้าของเราทุกคน
ไว้บนตัวเขา
7 เขาถูกกดขี่ข่มเหงและทนทุกข์ทรมาน
แต่ก็ไม่เคยปริปากเลย
เขาถูกนำตัวไปเหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า
และเหมือนแกะที่เงียบอยู่ต่อหน้าคนตัดขน
เขาก็ไม่ได้ปริปากเช่นกัน
8 เขาถูกนำตัวออกไปโดยการกดขี่ข่มเหง[d]และการพิพากษา
และใครเล่าจะพูดถึงเชื้อสายของเขาได้
เพราะเขาถูกตัดขาดจากดินแดนผู้มีชีวิต
เขาถูกตี[e]เพราะการล่วงละเมิดของประชากรของเรา
9 เขาถูกฝังในหลุมศพร่วมกับคนชั่ว
และฝังร่วมกับเศรษฐีในความตายของเขา[f]
ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยทำอะไรรุนแรง
ไม่เคยพูดคำโกหกหลอกลวง
10 ถึงกระนั้นก็เป็นพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะบดขยี้และทำให้เขาทุกข์ทรมาน
และถึงแม้พระองค์ทรงใช้[g]ชีวิตของเขาเป็นเครื่องบูชาลบความผิด
แต่เขาจะเห็นวงศ์วานของตนและวันคืนของเขายาวนาน
พระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเจริญรุ่งเรืองในมือของเขา
11 หลังจากที่ชีวิตจิตใจของเขาต้องทุกข์ทรมานแล้ว
เขาจะได้เห็นแสงสว่างแห่งชีวิต[h]และเขาจะพึงพอใจ[i]
โดยความรู้ของเขา[j]คือผู้รับใช้ที่ชอบธรรมของเราจะทำให้คนเป็นอันมากกลายเป็นผู้ชอบธรรม
และเขาจะแบกความชั่วช้าของคนเหล่านั้น
12 ด้วยเหตุนี้เราจะให้เขามีส่วนแบ่งในหมู่ผู้ยิ่งใหญ่[k]
และเขาจะแบ่งรางวัลกับผู้แข็งแกร่ง[l]
เนื่องจากเขายอมพลีชีวิต
และถูกนับเป็นพวกเดียวกับคนที่ล่วงละเมิด
เพราะเขาแบกรับบาปของคนเป็นอันมาก
และทูลวิงวอนเพื่อคนที่ล่วงละเมิด
พระเกียรติสิริที่จะมาถึงของศิโยน
54 “จงร้องเพลงเถิด หญิงหมันเอ๋ย
เจ้าผู้ไม่เคยมีลูก
จงเปล่งเสียงร้องเพลงและจงโห่ร้องยินดีเถิด
เจ้าผู้ไม่เคยเจ็บครรภ์
เพราะลูกของหญิงที่โดดเดี่ยว
ก็ยังมีมากกว่าลูกของหญิงผู้มีสามี”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น
2 “จงขยายที่ตั้งเต็นท์ของเจ้า
ขึงผ้าเต็นท์ออกกว้าง
อย่ารั้งไว้
ต่อเชือกเต็นท์
และตอกหลักหมุดให้มั่นคง
3 เพราะเจ้าจะขยายออกไปทั้งซ้ายและขวา
ลูกหลานของเจ้าจะยึดกรรมสิทธิ์ของประชาชาติต่างๆ
และตั้งถิ่นฐานในนครต่างๆ ที่เริศร้างของพวกเขา
4 “อย่ากลัวเลย เจ้าจะไม่ต้องทนอับอาย
อย่ากลัวเลย เจ้าจะไม่ต้องขายหน้า
เจ้าจะลืมความอัปยศในวัยสาว
และไม่จดจำคำถากถางเรื่องความเป็นม่ายของเจ้าอีก
5 เพราะพระผู้สร้างของเจ้าเป็นสามีของเจ้า
พระองค์ทรงพระนามว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลคือพระผู้ไถ่ของเจ้า
เขาจะเรียกพระองค์ว่าพระเจ้าเหนือสากลโลก
6 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเรียกเจ้ากลับมา
เสมือนหนึ่งเจ้าเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งและชอกช้ำระกำใจ
เป็นภรรยาที่แต่งงานไปตั้งแต่ยังสาว
เพียงเพื่อจะถูกทอดทิ้ง” พระเจ้าของเจ้าตรัสดังนั้น
7 “เราทอดทิ้งเจ้าชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง
แต่ด้วยความเมตตาอย่างลึกซึ้ง เราจะพาเจ้ากลับมา
8 ในชั่วขณะหนึ่งของความโกรธ
เราเบือนหน้าหนีไปจากเจ้า
แต่ด้วยความกรุณานิรันดร์
เราจะเมตตาเจ้า”
พระยาห์เวห์พระผู้ไถ่ของเจ้าตรัสไว้ดังนั้น
9 “สำหรับเราแล้วเรื่องนี้เป็นเหมือนในสมัยโนอาห์
เราปฏิญาณไว้ว่าจะไม่ให้น้ำของโนอาห์ท่วมโลกอีกฉันใด
บัดนี้เราก็ปฏิญาณว่าจะไม่โกรธ
และไม่ตำหนิเจ้าอีกฉันนั้น
10 แม้ภูเขาจะถูกเขย่า
และเนินเขาถูกเขยื้อนไป
แต่ความรักมั่นคงที่เรามีต่อเจ้าจะไม่คลอนแคลน
และพันธสัญญาแห่งสันติภาพของเราจะไม่สูญสิ้นไป”
องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเมตตาเจ้าตรัสไว้ดังนั้น
11 “โอ นครซึ่งถูกทรมาน ถูกพายุพัดกระหน่ำ และไม่ได้รับการปลอบโยน
เราจะสร้างเจ้าด้วยไพฑูรย์[m]
ฐานรากของเจ้าคือพลอยสีน้ำเงิน
12 เราจะสร้างหอรบของเจ้าด้วยทับทิม
ประตูของเจ้าทำจากพลอยอันวาววับ
และกำแพงทั้งหมดทำจากอัญมณีล้ำค่า
13 ลูกทุกคนของเจ้าจะรับการสอนจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
พวกเขาจะมีสันติสุขยิ่งใหญ่
14 เจ้าจะได้รับการสถาปนาขึ้นในความชอบธรรม
การกดขี่ข่มเหงจะห่างไกลจากเจ้า
ไม่มีอะไรที่เจ้าต้องกลัว
ความอกสั่นขวัญแขวนจะถูกกำจัดไปไกล
มันจะไม่เฉียดกรายเจ้า
15 หากมีใครโจมตีเจ้า ก็ไม่ใช่ฝีมือของเรา
ผู้ที่โจมตีเจ้าจะยอมแพ้เจ้า
16 “ดูเถิด เราเองเป็นผู้สร้างช่างเหล็ก
ผู้พัดถ่านให้ลุกเป็นไฟ
และผลิตอาวุธที่เหมาะกับงานของมัน
และเราเองที่สร้างผู้ทำลายล้างเพื่อสร้างความย่อยยับ
17 ไม่มีอาวุธชิ้นใดที่ต่อสู้เจ้าแล้วเอาชนะเจ้าได้
เจ้าจะหักล้างทุกลิ้นที่ปรักปรำเจ้า
นี่เป็นมรดกของบรรดาผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
และเป็นการพิสูจน์ยืนยันจากเราว่าเขาไม่ผิด”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
คำเชื้อเชิญบรรดาผู้กระหาย
55 “เชิญทุกคนที่กระหาย
มาดื่มน้ำเถิด
และผู้ที่ไม่มีเงิน
จงมาซื้อกินเถิด!
มาเถิด มาซื้อเหล้าองุ่นและน้ำนม
โดยไม่คิดเงินและไม่คิดมูลค่า
2 ทำไมเจ้าจึงใช้จ่ายเงินซื้อสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร
และลงแรงทำสิ่งที่ไม่ช่วยให้อิ่มใจ?
จงฟังเถิด จงฟังเราและรับประทานสิ่งที่ดี
แล้วจิตวิญญาณของเจ้าจะปีติยินดีในอาหารอันอุดมสมบูรณ์ที่สุด
3 จงเงี่ยหูและมาหาเรา
มาฟังเราเพื่อจิตวิญญาณของเจ้าจะมีชีวิตอยู่
เราจะทำพันธสัญญานิรันดร์กับเจ้า
ว่าด้วยความรักอันซื่อสัตย์ซึ่งเราสัญญาไว้กับดาวิด
4 ดูเถิด เราได้ทำให้เขาเป็นพยานแก่ประชาชาติต่างๆ
เป็นผู้นำและผู้บังคับบัญชาประชาชาติทั้งหลาย
5 แน่ทีเดียวเจ้าจะเรียกประชาชาติซึ่งเจ้าไม่รู้จักมาชุมนุม
และประชาชาติซึ่งไม่รู้จักเจ้าจะรีบรุดมาหาเจ้า
เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลประทานความรุ่งโรจน์แก่เจ้า”
6 จงแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าขณะที่จะพบพระองค์ได้
จงร้องทูลพระองค์ขณะที่พระองค์ยังทรงอยู่ใกล้
7 ให้คนชั่วร้ายละทิ้งวิถีทางของตน
และให้คนชั่วละทิ้งความคิดของตน
ให้เขาหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะทรงเมตตาเขา
ให้เขาหันกลับมาหาพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์จะทรงให้อภัยโดยไม่คิดมูลค่า
8 “เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า
ทั้งวิถีทางของเจ้าไม่เป็นวิถีทางของเรา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
9 “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด
วิถีของเราก็สูงกว่าทางของเจ้า
และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น
10 เฉกเช่นฝนและหิมะ
โปรยลงมาจากฟ้าสวรรค์
และไม่กลับไปที่นั่น
จนกว่าจะทำให้แผ่นดินโลกชุ่มฉ่ำ
และทำให้พืชพันธุ์แตกหน่องอกงาม
เพื่อให้มันเกิดเมล็ดสำหรับผู้หว่านและอาหารสำหรับผู้บริโภค
11 ถ้อยคำที่ออกจากปากของเราก็เป็นเช่นนั้น
มันจะไม่กลับคืนมายังเราโดยเปล่าประโยชน์
แต่จะสัมฤทธิ์ผลตามที่เราปรารถนา
และสำเร็จตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้
12 เจ้าจะออกไปด้วยความชื่นชมยินดี
และถูกนำออกไปด้วยสันติสุข
ภูเขาและเนินเขาจะเปล่งเสียงร้องเพลงต่อหน้าเจ้า
บรรดาต้นไม้ในทุ่งนาจะปรบมือ
13 ต้นสนจะงอกขึ้นแทนที่พุ่มหนาม
พันธุ์ไม้หอมจะงอกขึ้นแทนที่ต้นหนาม
การนี้จะเป็นที่เชิดชูองค์พระผู้เป็นเจ้า
เป็นหมายสำคัญนิรันดร์ซึ่งจะไม่ถูกทำลายเลย”
ความรอดสำหรับคนอื่นๆ
56 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า
“จงผดุงความยุติธรรม
และทำสิ่งที่ถูกต้อง
เพราะความรอดของเราใกล้เข้ามาแล้ว
และความชอบธรรมของเราจะปรากฏในไม่ช้า
2 ความสุขมีแก่ผู้ที่ทำเช่นนี้
คือผู้ที่ยึดถือไว้อย่างเหนียวแน่น
ผู้ถือรักษาวันสะบาโตโดยไม่ลบหลู่ดูหมิ่น
และยับยั้งมือของตนจากการทำชั่วใดๆ”
3 อย่าให้คนต่างชาติผู้อุทิศตนแด่องค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแยกข้าพเจ้าจากประชากรของพระองค์เป็นแน่”
และอย่าให้ขันทีบ่นว่า
“ข้าพเจ้าเป็นเพียงต้นไม้แห้ง”
4 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“เหล่าขันทีซึ่งรักษาวันสะบาโตของเรา
ผู้เลือกทำสิ่งที่เราพอใจ
และยึดมั่นในพันธสัญญาของเรา
5 เราจะมอบอนุสรณ์และชื่อ
ที่อยู่ภายในวิหารและภายในกำแพงวิหารของเราแก่พวกเขา
ซึ่งดีกว่าบุตรชายบุตรสาวเสียอีก
เราจะให้นามนิรันดร์แก่พวกเขา
เป็นนามที่จะไม่ถูกตัดออก
6 และคนต่างชาติที่ผูกพันตนกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพื่อปรนนิบัติพระองค์
เพื่อรักพระนามพระยาห์เวห์
และเพื่อนมัสการพระองค์
ทุกคนที่รักษาวันสะบาโตโดยไม่ลบหลู่ดูหมิ่น
ผู้ที่ยึดมั่นในพันธสัญญาของเรา
7 เราจะพาพวกเขามายังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา
และให้พวกเขาชื่นชมยินดีในนิเวศแห่งการอธิษฐานของเรา
เราจะรับเครื่องเผาบูชาและเครื่องถวายบูชาของเขา
บนแท่นบูชาของเรา
เพราะนิเวศของเราจะได้ชื่อว่า
นิเวศแห่งการอธิษฐานสำหรับมวลประชาชาติ”
8 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตผู้รวบรวมเชลยอิสราเอลประกาศว่า
“เราจะรวบรวมคนอื่นมารวมกับพวกเขา
นอกเหนือจากคนที่รวมกันอยู่แล้ว”
พระเจ้าทรงกล่าวโทษคนชั่วร้าย
9 มาสิ มวลสัตว์ป่าแห่งท้องทุ่งเอ๋ย
มาขย้ำกินสิ บรรดาสัตว์ป่าแห่งพงไพร!
10 คนยามของอิสราเอลตาบอด
พวกเขาล้วนขาดความรู้
พวกเขาเป็นสุนัขใบ้
เห่าไม่ได้
พวกเขาเอาแต่นอนฝัน
พวกเขารักการหลับใหล
11 พวกเขาเป็นสุนัขตะกละ
เป็นคนเลี้ยงแกะที่ขาดความเข้าใจ
ทุกคนหันไปตามทางของตน
แต่ละคนล้วนมุ่งหาผลประโยชน์ใส่ตัว
12 ต่างก็ว่า “มาเถิด เอาเหล้าองุ่นมาให้เรา!
เอาสุรามาให้เราดื่มเต็มที่!
และพรุ่งนี้ก็จะเป็นเหมือนวันนี้
หรือดียิ่งขึ้นไปอีก”
57 คนชอบธรรมพินาศไป และไม่มีใครใส่ใจ
คนที่ดำเนินในทางของพระเจ้าถูกคร่าไป
และไม่มีใครเข้าใจ
ว่าคนชอบธรรมถูกรับไป
เพื่อให้พ้นจากความเลวร้าย
2 บรรดาผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างเที่ยงธรรมเข้าสู่สันติสุข
พวกเขาได้พักสงบเมื่อพวกเขาตาย
3 “ส่วนเจ้า จงมาที่นี่ เจ้าลูกแม่มดหมอผี
เจ้าผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนล่วงประเวณีและหญิงโสเภณี!
4 เจ้าเย้ยหยันใคร?
เจ้าหัวเราะเยาะใคร?
เจ้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ใคร?
เจ้าเป็นเทือกเถาเหล่ากอของคนทรยศ
และเป็นวงศ์วานของคนโกหกไม่ใช่หรือ?
5 เจ้าเร่าร้อนด้วยราคะในหมู่ต้นโอ๊ก
และใต้ต้นไม้ใบดกทุกต้น
เจ้าสังเวยลูกของเจ้าในหุบเขาลึก
และใต้ชะง่อนผา
6 รูปเคารพท่ามกลางหินเรียบในหุบเขาลึกเป็นส่วนของเจ้า
พระเหล่านั้นเป็นส่วนของเจ้า
ใช่ เจ้าได้ถวายเครื่องดื่มบูชา
และเครื่องธัญบูชาแก่พวกมัน
เพราะสิ่งเหล่านี้ เราควรจะยกโทษให้เจ้าหรือ?
7 เจ้าได้ตั้งเตียงไว้บนภูเขาสูงเด่น
เจ้าขึ้นไปถวายเครื่องบูชาของเจ้าที่นั่น
8 ข้างหลังประตูและเสาประตูของเจ้า
เจ้าได้ตั้งสัญลักษณ์นอกศาสนาไว้
เจ้าละทิ้งเรา เจ้าเปิดผ้าคลุมเตียง
เจ้าขึ้นไปบนเตียงและเปิดกว้าง
เจ้าทำสัญญากับบรรดาเจ้าของเตียงที่เจ้ารัก
และมองดูความเปลือยเปล่าของเขา
9 เจ้าไปหาพระโมเลค[n]พร้อมกับน้ำมันมะกอก
และเพิ่มน้ำหอมของเจ้า
เจ้าส่งคณะทูต[o]ของเจ้าไปไกล
ถึงขนาดลงไปยังแดนผู้ตาย!
10 เจ้าอ่อนระโหยไปเพราะวิถีทางของเจ้า
แต่เจ้าก็ไม่เคยพูดว่า ‘หมดหวัง’
เจ้าฟื้นกำลังตัวเอง
เจ้าจึงไม่อ่อนเปลี้ยไป
11 “เจ้าเกรงกลัวใครหนักหนา?
จึงได้ไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา
ไม่นึกถึงเรา
และไม่ใคร่ครวญสิ่งนี้ในใจ
เป็นเพราะเรานิ่งเงียบอยู่นานอย่างนั้นหรือ
เจ้าจึงไม่ยำเกรงเรา?
12 เราจะเปิดเผยความชอบธรรมและการกระทำทั้งหลายของเจ้า
แต่มันจะไม่เป็นประโยชน์อันใดแก่เจ้า
13 เมื่อเจ้าร้องขอความช่วยเหลือ
ก็ให้รูปเคารพทั้งหลายของเจ้าช่วยเจ้าสิ!
ลมจะหอบเอาพวกมันไป
แค่ลมหายใจวูบเดียวก็พัดพวกมันปลิวไปได้
แต่ส่วนผู้ที่ลี้ภัยในเรา
จะได้รับดินแดนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์
และมีสิทธิ์ครอบครองภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา”
การปลอบโยนผู้สำนึกผิด
14 และจะมีเสียงกล่าวว่า
“จงสร้างขึ้น จงสร้างขึ้นเถิด จงเตรียมทางไว้!
จงขจัดอุปสรรคต่างๆ ออกจากวิถีทางของประชากรของเรา”
15 เพราะพระองค์ผู้สูงเด่นซึ่งดำรงอยู่นิรันดร์
ผู้ทรงพระนามว่าบริสุทธิ์ ตรัสว่า
“เราอาศัยอยู่ในที่สูงส่งและบริสุทธิ์
แต่ก็สถิตกับคนที่สำนึกผิดและถ่อมใจลง
เพื่อฟื้นจิตวิญญาณของคนที่ถ่อมใจ
และฟื้นใจคนที่สำนึกผิด
16 เราจะไม่กล่าวโทษเนืองนิตย์หรือโกรธเคืองอยู่ร่ำไป
มิฉะนั้นแล้วจิตวิญญาณของมนุษย์จะสิ้นแรงต่อหน้าเรา
ลมหายใจของมนุษย์ที่เราสร้างขึ้นจะขาดรอน
17 เราโกรธเพราะความโลภที่เป็นบาปหนาของเขา
เราลงโทษเขาและหันหน้าหนีด้วยความโกรธ
แต่เขาก็ยังคงทำตามใจชอบของตน
18 เราได้เห็นวิถีทางของเขาแล้ว แต่เราจะรักษาเขาให้หาย
เราจะนำเขาและปลอบโยนเขาอีกครั้งหนึ่ง
19 ให้ริมฝีปากของบรรดาผู้ไว้ทุกข์ในอิสราเอลกล่าวคำสรรเสริญ
สันติสุข สันติสุขแก่ทั้งคนที่อยู่ไกลและอยู่ใกล้
เพราะเราจะรักษาพวกเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น
20 แต่คนชั่วร้ายเหมือนทะเลปั่นป่วน
ซึ่งไม่อาจสงบนิ่ง
คลื่นของเขากวนเลนและโคลนขึ้นมา
21 พระเจ้าของข้าพเจ้าตรัสว่า
“ไม่มีสันติสุขสำหรับคนชั่ว”
การถืออดอาหารที่แท้จริง
58 “จงตะโกนดังๆ ไม่ต้องออมเสียงไว้
จงเปล่งเสียงให้ดังเหมือนเสียงแตรเขาสัตว์
จงแจ้งประชากรของเราถึงการทรยศของพวกเขา
และแจ้งวงศ์วานของยาโคบถึงบาปทั้งหลายของเขา
2 พวกเขาแสวงหาเราวันแล้ววันเล่า
ทำทีกระตือรือร้นอยากรู้จักทางของเรา
ราวกับว่าพวกเขาเป็นชนชาติที่ทำสิ่งที่ถูกต้อง
และไม่ได้ละทิ้งคำบัญชาของพระเจ้า
พวกเขาทูลขอการตัดสินอย่างเที่ยงธรรมจากเรา
และทำเหมือนว่าอยากให้พระเจ้าเข้ามาใกล้
3 พวกเขากล่าวว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ถืออดอาหาร
แต่ทำไมพระองค์ไม่เห็นบ้าง?
ข้าพระองค์ทั้งหลายถ่อมกายถ่อมใจลงแล้ว
แต่ทำไมพระองค์ยังไม่สังเกตบ้างเลย?’
“ถึงกระนั้นในวันที่เจ้าถืออดอาหาร เจ้าก็ยังทำตามใจชอบ
และขูดรีดคนงานทุกคนของเจ้า
4 การถืออดอาหารของเจ้าจบลงด้วยการทะเลาะวิวาทและการต่อสู้
พวกเจ้าชกต่อยกันเองด้วยหมัดอันโหดร้าย
อย่าหวังว่าการถืออดอาหารของเจ้าอย่างที่ทำในวันนี้
จะทำให้เสียงอ้อนวอนของเจ้าขึ้นไปถึงเบื้องบนได้
5 นี่หรือคือการถืออดอาหารที่เราเลือก? แค่เป็นวันที่ให้มนุษย์มาถ่อมลง
แค่เป็นวันให้เขาก้มหัวลงเหมือนต้นอ้อ
และสวมผ้ากระสอบนอนลงในกองขี้เถ้าหรือ?
นี่หรือที่เจ้าเรียกว่าการถืออดอาหาร?
นี่หรือวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยอมรับ?
6 “อย่างนี้ไม่ใช่หรือคือการถืออดอาหารที่เราเลือกไว้?
คือการปลดโซ่ตรวนแห่งความอยุติธรรม
แก้สายรัดแอก
ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ข่มเหงให้เป็นอิสระ
และหักแอกทุกอัน
7 ไม่ใช่เป็นการแบ่งปันอาหารของเจ้าแก่ผู้หิวโหย
และให้ที่พักพิงแก่คนยากจนเร่ร่อนหรือ?
ไม่ใช่การให้เสื้อผ้าแก่ผู้เปลือยกายที่เจ้าพบ
และช่วยเหลือเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าเองหรือ?
8 เมื่อนั้นความสว่างของเจ้าจะเจิดจ้าดั่งรุ่งอรุณ
เจ้าจะรับการบำบัดรักษาอย่างรวดเร็ว
เมื่อนั้นความชอบธรรมของเจ้า[p]จะนำหน้าเจ้า
และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะระวังหลังให้เจ้า
9 เมื่อนั้นเจ้าจะร้องทูล และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบ
เจ้าจะร้องขอความช่วยเหลือ และพระองค์จะตรัสว่าเราอยู่ที่นี่
“หากเจ้ากำจัดแอกของการกดขี่ข่มเหง
ขจัดการชี้นิ้วและคำพูดมุ่งร้าย
10 และหากเจ้าอุทิศตนเพื่อผู้หิวโหย
ให้ผู้ถูกกดขี่ข่มเหงที่ขัดสนอิ่มเอมใจ
เมื่อนั้นความสว่างของเจ้าจะส่องขึ้นมาในความมืด
และค่ำคืนของเจ้าจะกลับกลายเป็นเหมือนเที่ยงวัน
11 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำเจ้าตลอดไป
จะทรงให้เจ้าอิ่มเอมใจในดินแดนที่ดวงตะวันแผดเผา
พระองค์จะทรงทำให้ร่างกายของเจ้าแข็งแรงขึ้น
เจ้าจะเป็นเหมือนสวนที่ได้รับการรดน้ำอย่างดี
เหมือนน้ำพุที่มีน้ำไหลอยู่ตลอด
12 ประชากรของเจ้าจะสร้างซากปรักหักพังโบราณขึ้นใหม่
และจะฟื้นฟูฐานรากสมัยเก่าก่อน
เจ้าจะได้รับการขนานนามว่าผู้ซ่อมกำแพงที่หักพัง
ผู้ซ่อมถนนหนทางและบ้านเรือน
13 “หากเจ้าหยุดเหยียบย่ำวันสะบาโต
ไม่ทำอะไรตามใจชอบในวันบริสุทธิ์ของเรา
หากเจ้าเรียกวันสะบาโตว่าวันปีติยินดี
เรียกวันบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าวันอันทรงเกียรติ
และหากเจ้าให้เกียรติวันนี้โดยไม่ทำอะไรตามใจชอบ
ไม่ทำตามความพอใจของตนเองหรือพูดแต่เรื่องไร้สาระ
14 เมื่อนั้นเจ้าจะพบความยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า
และเราจะให้เจ้าทะยานขึ้นเบื้องสูงของดินแดน
และเราจะเลี้ยงเจ้าด้วยมรดกของยาโคบบิดาของเจ้า”
พระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสดังนั้น
บาป การสารภาพ และการไถ่
59 แน่ทีเดียว พระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สั้นเกินกว่าจะช่วยให้รอด
ทั้งพระกรรณของพระองค์ก็ไม่ได้ตึงเกินกว่าจะได้ยิน
2 แต่ความชั่วช้าของเจ้าต่างหาก
ที่ได้แยกเจ้าออกจากพระเจ้าของเจ้า
บาปของเจ้าทำให้พระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์จากเจ้า
พระองค์จึงไม่สดับฟัง
3 มือของเจ้าเกรอะกรังไปด้วยเลือด
นิ้วของเจ้าเปรอะเปื้อนความผิด
ริมฝีปากของเจ้าพูดโกหก
ลิ้นของเจ้าพึมพำสิ่งชั่วร้าย
4 ไม่มีใครเรียกร้องให้มีความยุติธรรม
ไม่มีใครดำเนินคดีด้วยความสัตย์สุจริต
พวกเขาวางใจในการโต้แย้งอันไร้สาระและพูดโกหก
ก่อความเดือดร้อนและให้กำเนิดความชั่วร้าย
5 เขาฟักไข่งูพิษ
และทอใยแมงมุม
ใครกินไข่ของเขาก็จะตาย
และเมื่อไข่ฟองไหนแตก งูพิษก็เลื้อยออกมา
6 ใยแมงมุมที่พวกเขาทอขึ้นมาก็ใช้ประโยชน์เป็นเสื้อผ้าไม่ได้
เขาไม่สามารถปกคลุมตัวเองด้วยสิ่งที่ตนทำขึ้น
การกระทำของเขาชั่วร้าย
มือของเขาพร้อมที่จะก่อความรุนแรง
7 เท้าของเขาถลันเข้าหาบาป
และพวกเขารีบเร่งจะเอาชีวิตผู้บริสุทธิ์
ความคิดคำนึงของเขาล้วนแล้วแต่ชั่ว
วิถีทางของเขามีการทำลายล้างผลาญ
8 เขาไม่รู้จักทางแห่งสันติภาพ
ไม่มีความยุติธรรมในหนทางของเขา
เขาผันแปรมันให้เป็นถนนที่คดเคี้ยว
ไม่มีใครที่ดำเนินในทางนั้นจะรู้จักสันติสุข
9 ฉะนั้นความยุติธรรมจึงห่างไกลจากพวกเรา
และความชอบธรรมไม่ได้มาถึงเรา
เรามองหาความสว่าง ก็พบแต่ความมืดมน
เรามองหาความสดใส แต่เราก็เดินอยู่ในเงามืดมิด
10 เราคลำสะเปะสะปะไปตามกำแพงเหมือนคนตาบอด
คลำหาทางเหมือนคนไม่มีตา
กลางวันแสกๆ เราก็ล้มลุกคลุกคลานเหมือนยามสนธยา
เราจึงเป็นเหมือนคนตายในหมู่คนเข้มแข็ง
11 เราทุกคนครางเหมือนหมี
โอดครวญเสียงเศร้าสร้อยเหมือนนกพิราบ
เรามองหาความยุติธรรมแต่ไม่พบเลย
มองหาการช่วยกู้แต่ก็อยู่ไกลลิบ
12 เพราะการละเมิดของเรามากมายนักในสายพระเนตรของพระองค์
บาปทั้งหลายของเราฟ้องร้องเรา
การละเมิดของเราอยู่กับเราเสมอ
และเรายอมรับความชั่วช้าของเรา
13 เรากบฏทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
หันหลังให้พระเจ้าของเรา
เราก่อการกดขี่ข่มเหงและการกบฏ
กล่าวคำโกหกซึ่งเราคิดไว้ในใจ
14 ดังนั้นความยุติธรรมจึงถดถอย
ความชอบธรรมหลีกห่าง
ความจริงสะดุดกลางถนน
ความซื่อสัตย์ไม่อาจเข้ามาได้
15 หาความจริงไม่พบเลยไม่ว่าที่ไหน
ผู้ที่หลีกหนีจากความชั่วกลับตกเป็นเหยื่อ
องค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรแล้วก็ไม่พอพระทัย
เนื่องจากไม่มีความยุติธรรมเลย
16 พระองค์ทรงเห็นว่าไม่มีใครเลย
และตกพระทัยที่ไม่มีใครก้าวเข้ามาช่วย
ดังนั้นพระกรของพระองค์เองจึงนำความรอดมา
และความชอบธรรมของพระองค์ก็ค้ำจุนพระองค์ไว้
17 พระองค์ทรงสวมความชอบธรรมเป็นเสื้อเกราะ
และทรงสวมหมวกเหล็กแห่งความรอดไว้บนพระเศียร
ทรงฉลองพระองค์ด้วยเสื้อคลุมแห่งการแก้แค้น
และทรงห่มความกระตือรือร้นเหมือนห่มเสื้อคลุม
18 พระองค์จะทรงตอบแทนศัตรูทั้งหลายของพระองค์ด้วยพระพิโรธ
และจะทรงแก้แค้นบรรดาปฏิปักษ์ของพระองค์ให้สาสมกับการกระทำของพวกเขา
พระองค์จะทรงตอบแทนเกาะแก่งต่างๆ ตามที่มันสมควรจะได้รับ
19 ผู้คนจากตะวันตกจะยำเกรงพระนามของพระยาห์เวห์
และจากที่พระอาทิตย์ขึ้น พวกเขาจะยกย่องพระเกียรติสิริของพระองค์
เพราะพระองค์จะเสด็จมาเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว
ซึ่งขับเคลื่อนด้วยลมปราณขององค์พระผู้เป็นเจ้า[q]
20 “พระผู้ไถ่จะเสด็จมายังศิโยน
มายังคนในวงศ์วานยาโคบที่กลับใจจากบาปของพวกเขา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
21 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ส่วนเรา นี่เป็นพันธสัญญาของเรากับพวกเขา จิตวิญญาณของเราซึ่งอยู่กับเจ้าและถ้อยคำของเราซึ่งเราใส่ไว้ในปากของเจ้าจะไม่พรากไปจากปากของเจ้า หรือจากปากลูกๆ ของเจ้า หรือจากปากลูกหลานของพวกเขานับแต่บัดนี้จวบจนนิรันดร์” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น
ศักดิ์ศรีของศิโยน
60 “เยรูซาเล็มเอ๋ย จงลุกขึ้นส่องสว่าง
เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว
และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้นเหนือเจ้า
2 ดูเถิด ความมืดปกคลุมโลก
ความมืดมิดอยู่เหนือบรรดาประชาชาติ
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏขึ้นเหนือเจ้า
พระเกียรติสิริของพระองค์ปรากฏขึ้นเหนือเจ้า
3 ประชาชาติทั้งหลายจะมายังแสงสว่างของเจ้า
บรรดากษัตริย์จะมายังความเจิดจ้าดั่งรุ่งอรุณของเจ้า
4 “จงเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบๆ
ทุกคนรวมตัวกันและมาหาเจ้า
ลูกชายทั้งหลายของเจ้ามาจากแดนไกลโพ้น
และลูกสาวทั้งหลายของเจ้ามีคนอุ้มมา
5 เจ้าจะเห็นแล้วแช่มชื่น
จิตใจเบิกบานตื่นเต้นยินดี
ความมั่งคั่งแห่งท้องทะเลจะถูกนำมามอบให้เจ้า
ทรัพย์สมบัติของประชาชาติต่างๆ จะมาถึงเจ้า
6 ฝูงอูฐปกคลุมทั่วดินแดนของเจ้า
อูฐหนุ่มจากมีเดียนและเอฟาห์
และอูฐทั้งปวงจากเชบาก็จะมา
บรรทุกทองและเครื่องหอม
และป่าวร้องคำสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า
7 ฝูงแพะแกะทั้งปวงแห่งเคดาร์จะถูกรวบรวมมายังเจ้า
แกะผู้ทั้งหลายแห่งเนบาโยทจะรับใช้เจ้า
พวกมันจะได้รับการยอมรับ เป็นเครื่องบูชาบนแท่นของเรา
เราจะตกแต่งวิหารอันมีสง่าราศีของเรา
8 “และนี่ใครกันหนอพากันเคลื่อนมาดั่งเมฆ
เหมือนนกพิราบบินกลับรัง?
9 แน่ทีเดียว เกาะแก่งทั้งหลายมองมายังเรา
ที่แล่นนำหน้ามาคือกองเรือของเมืองทารชิช[r]
นำลูกๆ ของเจ้ามาจากแดนไกล
พร้อมด้วยเงินและทองของพวกเขา
เพื่อพระเกียรติสิริของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
เพราะพระองค์ประทานความรุ่งโรจน์แก่เจ้า
10 “ชาวต่างชาติจะสร้างกำแพงของเจ้าขึ้นใหม่
บรรดากษัตริย์ของพวกเขาจะรับใช้เจ้า
แม้ยามโกรธเราได้ลงโทษเจ้า
แต่ในความโปรดปราน เราจะสำแดงความเมตตาแก่เจ้า
11 ประตูทั้งหลายของเจ้าจะเปิดไว้ตลอด
ไม่ปิดเลยทั้งกลางวันกลางคืน
เพื่อคนเหล่านั้นจะนำความมั่งคั่งของบรรดาประชาชาติมาให้เจ้า
ซึ่งบรรดากษัตริย์ของพวกเขาเป็นผู้นำขบวนฉลองชัย
12 เพราะประชาชาติหรืออาณาจักรใดไม่ยอมรับใช้เจ้าจะพินาศ
มันจะถูกทำลายล้างราบคาบ
13 “ศักดิ์ศรีแห่งเลบานอนจะมายังเจ้า
ทั้งต้นสน ต้นเฟอร์ และต้นไซเปรส
เพื่อตกแต่งสถานนมัสการของเรา
และเราจะเชิดชูที่วางเท้าของเรา
14 บุตรทั้งหลายของผู้ที่กดขี่ข่มเหงเจ้าจะมาหมอบกราบตรงหน้าเจ้า
คนทั้งปวงที่เหยียดหยามเจ้าจะหมอบแทบเท้าเจ้า
และจะเรียกเจ้าว่า ‘นครขององค์พระผู้เป็นเจ้า’
‘ศิโยนขององค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล’
15 “แม้ว่าเจ้าเคยถูกทอดทิ้งและเกลียดชัง
ไม่มีใครเดินทางผ่าน
เราก็จะทำให้เจ้าเป็นเกียรติภูมินิรันดร์
และเป็นความชื่นชมยินดีของคนทุกชั่วอายุ
16 เจ้าจะดื่มนมของประชาชาติต่างๆ
และเจ้าจะได้รับการฟูมฟักจากอกของเจ้านาย
เมื่อนั้นเจ้าจะรู้ว่า เรา พระยาห์เวห์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเจ้า
เป็นพระผู้ไถ่ของเจ้า เป็นองค์ทรงฤทธิ์ของยาโคบ
17 เราจะนำทองคำมาให้เจ้าแทนทองสัมฤทธิ์
นำเงินมาแทนเหล็ก
เรานำทองสัมฤทธิ์มาให้เจ้าแทนไม้
และนำเหล็กมาแทนหิน
เราจะทำให้สันติสุขเป็นเจ้าเมืองของเจ้า
และความชอบธรรมเป็นผู้ปกครองของเจ้า
18 จะไม่ได้ยินเรื่องโหดร้ายทารุณในดินแดนของเจ้าอีก
ไม่มีหายนะหรือการทำลายล้างในเขตแดนของเจ้า
แต่เจ้าจะเรียกกำแพงของเจ้าว่า ‘ความรอด’
และประตูของเจ้าว่า ‘สรรเสริญ’
19 เจ้าจะไม่ต้องอาศัยแสงอาทิตย์ยามกลางวัน
หรือความสุกใสของดวงจันทร์อีกต่อไป
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความสว่างนิรันดร์สำหรับเจ้า
และพระเจ้าของเจ้าจะเป็นศักดิ์ศรีของเจ้า
20 ดวงตะวันของเจ้าจะไม่ลับไปอีกเลย
และดวงจันทร์ของเจ้าก็จะไม่มีข้างแรม
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นความสว่างนิรันดร์สำหรับเจ้า
วันคืนอันทุกข์โศกของเจ้าจะสิ้นสุดลง
21 เมื่อนั้นประชากรทั้งปวงของเจ้าจะเป็นคนชอบธรรม
เขาจะครอบครองดินแดนตลอดไป
พวกเขาเป็นต้นอ่อนที่เราได้ปลูกไว้
เป็นผลงานจากน้ำมือของเรา
เพื่อสำแดงความรุ่งโรจน์ของเรา
22 ผู้ที่เล็กที่สุดของเจ้าจะกลายเป็นพัน
และผู้เล็กน้อยที่สุดจะเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่
เราคือพระยาห์เวห์
เมื่อถึงเวลา เราก็จะทำสิ่งนี้อย่างรวดเร็ว”
ปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า
61 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้
ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้
พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาปลอบโยนผู้ชอกช้ำระกำใจ
ให้ประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย
และปลดปล่อยนักโทษ[s]จากความมืด
2 ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า
และวันแห่งการแก้แค้นของพระเจ้าของเรา
ให้ปลอบโยนทุกคนที่คร่ำครวญหวนไห้
3 และมอบมงกุฎแห่งความงามแทนขี้เถ้า
แก่ผู้ที่ทุกข์โศกในศิโยน
มอบน้ำมันแห่งความยินดี
แทนการคร่ำครวญ
และเครื่องนุ่งห่มแห่งคำสรรเสริญ
แทนดวงใจที่ท้อแท้สิ้นหวัง
พวกเขาจะได้ชื่อว่าต้นโอ๊กแห่งความชอบธรรม
เป็นต้นไม้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปลูกไว้
เพื่อสำแดงความรุ่งโรจน์ของพระองค์
4 พวกเขาจะปฏิสังขรณ์ซากโบราณที่ปรักหักพัง
บูรณะสถานที่ต่างๆ ซึ่งถูกทำลายเมื่อนานมาแล้ว
พวกเขาจะฟื้นฟูเมืองปรักหักพังทั้งหลาย
ซึ่งถูกทำลายล้างมาหลายชั่วอายุ
5 คนต่างด้าวจะเลี้ยงดูฝูงแกะของเจ้า
คนต่างชาติจะทำงานในทุ่งนาและในสวนองุ่นของเจ้า
6 และเขาจะเรียกเจ้าว่าปุโรหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าของเรา
เจ้าจะอิ่มหมีพีมันด้วยทรัพย์สมบัติของประชาชาติต่างๆ
และจะอวดความมั่งคั่งของพวกเขา
7 ประชากรของเราจะได้รับส่วนแบ่งเป็นสองเท่า
แทนความอัปยศอดสูของพวกเขา
พวกเขาจะชื่นชมยินดีในมรดกของตน
แทนความอับอายขายหน้า
เพราะฉะนั้น พวกเขาจะได้รับส่วนแบ่งเป็นสองเท่าในแผ่นดินของพวกเขา
และได้รับความชื่นชมยินดีนิรันดร์
8 “เพราะเรา พระยาห์เวห์ รักความยุติธรรม
เราเกลียดการปล้นชิงและความชั่วช้า
เราจะปูนบำเหน็จอย่างซื่อสัตย์แก่เขา
และจะทำพันธสัญญานิรันดร์กับเขา
9 ลูกหลานของเขาจะเป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชาติ
และวงศ์วานของเขาจะเป็นที่รู้จักท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย
ทุกคนที่เห็นพวกเขาจะตระหนักว่า
พวกเขาเป็นประชากรที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพร”
10 ข้าพเจ้าปีติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างใหญ่หลวง
จิตวิญญาณของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้าของข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ทรงสวมเสื้อผ้าแห่งความรอดให้ข้าพเจ้า
และให้ข้าพเจ้าสวมเสื้อคลุมแห่งความชอบธรรม
ดุจเจ้าบ่าวประดับศีรษะคล้ายปุโรหิต
และเหมือนเจ้าสาวประดับกายด้วยเพชรนิลจินดา
11 เพราะพื้นดินทำให้พืชงอกขึ้นมา
และสวนทำให้เมล็ดพันธุ์งอกงามได้ฉันใด
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจะทรงให้ความชอบธรรมและการสรรเสริญ
ปรากฏขึ้นต่อหน้ามวลประชาชาติฉันนั้น
นามใหม่ของศิโยน
62 เพื่อเห็นแก่ศิโยน ข้าพเจ้าจะไม่ยอมเงียบ
เพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าจะไม่นิ่งเฉย
ตราบจนความชอบธรรมของนครนี้จะฉายแสงดั่งรุ่งอรุณ
และความรอดเจิดจ้าดั่งคบไฟโชติช่วง
2 บรรดาประชาชาติจะเห็นความชอบธรรมของเจ้า
บรรดากษัตริย์จะเห็นศักดิ์ศรีของเจ้า
เจ้าจะได้ชื่อใหม่
ซึ่งพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าประทาน
3 เจ้าจะเป็นมงกุฎแห่งความโอ่อ่าตระการในพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เป็นราชมงกุฎในพระหัตถ์พระเจ้าของเจ้า
4 พวกเขาจะไม่เรียกเจ้าว่า ‘ดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง’
หรือ ‘ที่ทิ้งร้าง’ อีกต่อไป
แต่เจ้าจะได้ชื่อว่า ‘เราปีติยินดีในตัวเธอ’
และแผ่นดินของเจ้าจะมีชื่อว่า ‘สมรสแล้ว’
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปีติยินดีในตัวเจ้า
และดินแดนของเจ้าจะได้แต่งงาน
5 บรรดาบุตรชายของเจ้า[t]จะแต่งงานกับเจ้า
เหมือนชายหนุ่มแต่งงานกับหญิงสาว
พระเจ้าจะทรงปลื้มปีติในตัวเจ้า
เหมือนเจ้าบ่าวชื่นชมในตัวเจ้าสาว
6 เยรูซาเล็มเอ๋ย เราได้ตั้งยามบนกำแพงของเจ้า
พวกเขาจะไม่นิ่งเงียบอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน
เจ้าผู้คอยร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงอย่าหยุดพักเลย
7 และอย่าให้พระเจ้าทรงหยุดพักจนกระทั่งพระองค์ได้สถาปนาเยรูซาเล็ม
และทำให้เป็นที่ยกย่องในโลก
8 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยกพระหัตถ์ขวาและพระกรอันทรงฤทธิ์ปฏิญาณว่า
“เราจะไม่ยกเมล็ดข้าวของเจ้าให้เป็นอาหารของศัตรูอีกต่อไป
และคนต่างชาติจะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นใหม่
ซึ่งเป็นน้ำพักน้ำแรงของเจ้าอีกต่อไป
9 แต่ผู้ที่เก็บเกี่ยวจะได้กิน
และสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า
และผู้ที่เก็บองุ่นจะดื่มเหล้าองุ่น
ในลานของสถานนมัสการของเรา”
10 ออกไปเถิด ออกไปทางประตูเถิด!
จงเตรียมหนทางสำหรับประชากรของเรา
จงสร้างเถิด จงสร้างทางเถิด!
โยนหินระเกะระกะออกไป
จงชูธงขึ้นสำหรับประชาชาติต่างๆ
11 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ
ไปจนสุดปลายแผ่นดินโลกว่า
“จงบอกธิดาแห่งศิโยน[u]ว่า
‘ดูเถิด องค์พระผู้ช่วยให้รอดของเจ้าเสด็จมาแล้ว!
ดูเถิด ทรงนำบำเหน็จรางวัล
และการตอบสนองมาด้วย’ ”
12 พวกเขาจะได้ชื่อว่า “ประชากรผู้บริสุทธิ์”
และ “ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงไถ่ไว้”
และเจ้าจะได้ชื่อว่า “เป็นที่ใฝ่หา”
และ “นครที่ไม่ถูกทอดทิ้งอีกต่อไป”
วันแห่งการแก้แค้นและการไถ่ของพระเจ้า
63 นี่ใครหนอที่มาจากเอโดม จากโบสราห์
สวมเครื่องแต่งกายที่เปรอะเปื้อนด้วยสีแดงเข้ม?
นี่ใครหนอผู้ที่ทรงอาภรณ์โอ่อ่าตระการ
รุดหน้าไปด้วยพละกำลังอันยิ่งใหญ่?
“คือเราผู้กล่าวด้วยความชอบธรรม
และมีอานุภาพที่จะช่วยให้รอด”
2 เหตุใดฉลองพระองค์จึงมีสีแดงเข้ม
เหมือนกับเสื้อผ้าของคนที่ย่ำองุ่น?
3 “เราย่ำบ่อองุ่นแต่ลำพัง
ไม่มีใครจากชาติใดๆ อยู่กับเรา
เรากระทืบพวกเขาด้วยความโกรธ
และเหยียบย่ำพวกเขาด้วยความพิโรธ
เลือดของพวกเขาเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าของเรา
และเราได้ทำให้เสื้อผ้าของเราเปื้อนไปหมด
4 เพราะเราได้กำหนดวันแก้แค้นไว้ในใจ
และปีแห่งการไถ่ของเราก็มาถึงแล้ว
5 เรามองดูแต่ไม่มีใครมาช่วย
เราตกใจที่ไม่มีผู้ใดสนับสนุน
มือของเราเองจึงนำความรอดมาเพื่อเรา
และความพิโรธของเราเองที่ชูเราไว้
6 เราบดขยี้นานาประชาชาติด้วยความโกรธของเรา
ด้วยความพิโรธของเรา เราทำให้เขามึนเมา
และหลั่งเลือดชโลมดิน”
คำสรรเสริญและคำอธิษฐาน
7 ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงพระกรุณาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เล่าถึงพระราชกิจอันควรแก่การสรรเสริญ
ถึงสิ่งทั้งปวงที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำเพื่อเรา
สิ่งดีนานัปการที่ทรงทำเพื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอล
ตามพระเมตตาและพระกรุณาธิคุณอันเหลือล้นของพระองค์
8 พระองค์ตรัสว่า “แน่นอน พวกเขาเป็นประชากรของเรา
เป็นลูกที่จะไม่ทำผิดต่อเรา”
แล้วพระองค์ก็ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา
9 พระองค์ทรงทุกข์พระทัยในความทุกข์ใจทั้งสิ้นของพวกเขา
และทูตสวรรค์ที่อยู่ต่อหน้าพระองค์ก็ช่วยพวกเขาให้รอด
พระองค์ทรงไถ่พวกเขาด้วยความรักและความเมตตา
พระองค์ทรงยกพวกเขาขึ้นและอุ้มพวกเขาไว้
ตลอดวันคืนในสมัยก่อน
10 ถึงกระนั้นพวกเขาก็กบฏ
และทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เสียพระทัย
ดังนั้นพระองค์จึงทรงกลับกลายเป็นศัตรูของพวกเขา
และพระองค์เองก็ทรงต่อสู้พวกเขา
11 แล้วเหล่าประชากรของพระองค์ก็หวนระลึกถึง[v]วันคืนแต่เก่าก่อน
สมัยโมเสสและเหล่าประชากรของพระองค์
พระองค์ผู้ทรงนำพวกเขาข้ามทะเล
ด้วยคนเลี้ยงแกะของพระองค์นั้นอยู่ที่ไหน?
พระองค์ผู้ทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
มาท่ามกลางเขาอยู่ที่ไหน?
12 ผู้ประทานพระกรแห่งฤทธานุภาพอันทรงเกียรติสิริ
มาอยู่ที่มือขวาของโมเสส
ผู้แยกน้ำทะเลต่อหน้าคนเหล่านั้น
ทำให้ทรงเป็นที่เลื่องลือตลอดกาล
13 ผู้นำพวกเขาข้ามห้วงลึก
พวกเขาไม่สะดุดล้ม
เหมือนม้าวิ่งฉิวในทุ่งโล่ง
14 พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้พวกเขาได้พักสงบ
เหมือนฝูงสัตว์ซึ่งลงไปยังที่ราบ
พระองค์ทรงนำประชากรของพระองค์ไปเช่นนี้
และทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่ยกย่อง
15 ขอโปรดทอดพระเนตรจากสวรรค์
และทรงมองดูจากที่ประทับอันสูงส่งบริสุทธิ์และทรงเกียรติสิริ
ความกระตือรือร้นและฤทธานุภาพของพระองค์อยู่ที่ไหน?
ความกรุณาปรานีและความเมตตาสงสารของพระองค์ถูกยับยั้งไปจากข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว
16 แต่พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ถึงแม้อับราฮัมไม่รู้จักพวกข้าพระองค์
หรืออิสราเอลไม่ยอมรับข้าพระองค์ทั้งหลาย
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ทรงพระนามว่า ‘พระผู้ไถ่ตั้งแต่กาลก่อนของข้าพระองค์ทั้งหลาย’
17 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เหตุใดทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายหลงเตลิดจากวิถีทางของพระองค์
และทำให้จิตใจของข้าพระองค์แข็งกระด้างจนไม่ยำเกรงพระองค์?
ขอทรงโปรดกลับมาเพื่อเห็นแก่ผู้รับใช้ของพระองค์
ชนเผ่าซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
18 ประชากรของพระองค์ครอบครองสถานนมัสการของพระองค์อยู่ชั่วระยะหนึ่ง
แต่บัดนี้บรรดาศัตรูของข้าพระองค์ทั้งหลายได้เหยียบย่ำสถานนมัสการของพระองค์แล้ว
19 ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นของพระองค์มาตั้งแต่กาลก่อน
แต่กลับกลายเป็นว่าพระองค์ไม่ได้ทรงปกครองข้าพระองค์ทั้งหลาย
และข้าพระองค์ทั้งหลายก็ไม่ได้รับการเรียกขานตามพระนามของพระองค์[w]
64 โอ อยากให้พระองค์ทรงแหวกฟ้าสวรรค์เสด็จลงมา
ให้ภูเขาทั้งหลายสั่นสะท้านต่อหน้าพระองค์!
2 เหมือนเมื่อไฟเผากิ่งไม้วอด
และทำให้น้ำเดือดพล่าน
ขอโปรดเสด็จมาเพื่อทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่เหล่าศัตรู
ทำให้นานาประชาชาติสั่นสะท้านต่อหน้าพระองค์!
3 เพราะเมื่อพระองค์ทรงทำสิ่งที่น่าครั่นคร้ามซึ่งข้าพระองค์ทั้งหลายไม่คาดคิด
คือพระองค์เสด็จลงมา ภูเขาทั้งหลายก็สั่นสะท้านต่อหน้าพระองค์
4 ตั้งแต่ครั้งโบราณไม่เคยมีใครได้ยิน
ไม่เคยมีใครได้ฟัง
ไม่เคยมีใครได้เห็นพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์
ผู้ทรงกระทำการเพื่อคนทั้งปวงที่รอคอยพระองค์
5 พระองค์เสด็จมาช่วยเหลือคนทั้งหลายที่ยินดีทำสิ่งที่ถูกต้อง
ผู้ระลึกถึงวิถีทางของพระองค์
แต่เมื่อข้าพระองค์ทั้งหลายยังคงทำบาปขัดขืนพระมรรคา
พระองค์ก็ทรงพระพิโรธ
แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายจะรอดได้อย่างไร?
6 ข้าพระองค์ทั้งปวงกลายเป็นผู้มีมลทิน
ความประพฤติอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งปวงเหมือนผ้าขี้ริ้วโสโครก
ข้าพระองค์ทั้งหลายเหี่ยวเฉาประหนึ่งใบไม้ร่วง
และบาปของข้าพระองค์ทั้งหลายเหมือนลมพัดเอาพวกข้าพระองค์ปลิวหายไป
7 ไม่มีสักคนร้องทูลพระนามของพระองค์
หรือขวนขวายยึดมั่นพระองค์ไว้
เพราะพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์จากข้าพระองค์ทั้งหลาย
และทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเสื่อมเสียไปเพราะบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย
8 ถึงกระนั้น ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นดินเหนียว พระองค์ทรงเป็นช่างปั้น
ข้าพระองค์ทั้งหลายล้วนเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์
9 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขออย่าทรงพระพิโรธมากเกินไป
ขออย่าทรงจดจำบาปของข้าพระองค์ทั้งหลายไปตลอดกาล
โอ ข้าพระองค์ทั้งหลายอธิษฐาน ขอโปรดทอดพระเนตรเหล่าข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นประชากรของพระองค์
10 นครบริสุทธิ์ของพระองค์กลายเป็นทะเลทราย
แม้แต่ศิโยนก็เป็นทะเลทราย เยรูซาเล็มเป็นที่ถูกทิ้งร้าง
11 พระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์และมีสง่าราศีของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ซึ่งเหล่าบรรพบุรุษของข้าพระองค์ใช้เป็นที่สรรเสริญพระองค์นั้นถูกเผาวอดวาย
และทุกสิ่งที่พวกเราถือว่าล้ำค่าก็อยู่ในสภาพปรักหักพัง
12 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงเพียงนี้แล้ว พระองค์จะยังคงยับยั้งพระองค์ไว้หรือ?
พระองค์จะยังคงนิ่งเงียบและลงโทษข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างเหลือประมาณอยู่หรือ?
การพิพากษาและความรอด
65 “เราสำแดงตนเองแก่บรรดาผู้ที่ไม่ได้เรียกหาเรา
บรรดาผู้ที่ไม่ได้แสวงหาเราก็พบเรา
ชนชาติที่ไม่ได้ร้องเรียกนามของเรา
เราก็กล่าวกับเขาว่า ‘เราอยู่ที่นี่ เราอยู่ที่นี่’
2 ตลอดวันเราได้ยื่นมือออก
ให้แก่ชนชาติที่ดื้อด้าน
ซึ่งดำเนินตามวิถีทางอันไม่ดีไม่งาม
ทำตามความคิดจินตนาการของตัวเอง
3 คือชนชาติที่ยั่วยุเราซึ่งๆ หน้าอยู่เสมอ
ซึ่งถวายเครื่องบูชาตามสวนต่างๆ
และเผาเครื่องหอมบนแท่นบูชาที่ทำด้วยอิฐ
4 เขานั่งตามหลุมฝังศพ
และเฝ้าอยู่ลับๆ ตลอดคืน
เขากินเนื้อหมู
และมีอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ที่เป็นมลทินอยู่ในหม้อของเขา
5 เขาผู้กล่าวว่า ‘หลีกไป อย่าเข้ามาใกล้ข้า
เพราะข้าบริสุทธิ์กว่าเจ้า!’
คนเช่นนี้เป็นควันระคายจมูกของเรา
เป็นไฟซึ่งลุกโพลงตลอดวัน
6 “ดูเถิด มีเขียนไว้ตรงหน้าเราเสมอว่า
เราจะไม่นิ่งเฉย แต่จะตอบแทนอย่างสาสม
เราจะคืนสนองพวกเขาอย่างเต็มขนาด
7 ทั้งบาปของเจ้าและบาปของบรรพบุรุษของเจ้า”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น
“เพราะพวกเขาเผาเครื่องบูชาบนภูเขาทั้งหลาย
และลบหลู่เราบนเนินเขาทั้งหลาย
เราจะคืนสนองเขาอย่างเต็มที่
เนื่องด้วยความประพฤติดั้งเดิมของเขา”
8 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“เหมือนยังมีน้ำองุ่นเหลืออยู่ในพวงองุ่น
และผู้คนพูดกันว่า ‘อย่าเพิ่งทำลายทิ้ง
มันยังมีดีอยู่บ้าง’
เราก็จะทำอย่างนั้นเพื่อผู้รับใช้ของเรา
เราจะไม่ทำลายพวกเขาเสียหมด
9 เราจะนำลูกหลานจากยาโคบและจากยูดาห์ออกมา
ผู้ซึ่งจะครอบครองภูเขาต่างๆ ของเรา
ประชากรที่เราเลือกสรรจะได้รับมันเป็นมรดก
และผู้รับใช้ของเราจะอาศัยอยู่ที่นั่น
10 ชาโรนจะเป็นทุ่งหญ้าสำหรับฝูงแกะ
และหุบเขาอาโคร์จะเป็นที่พักสำหรับฝูงสัตว์
เพื่อประชากรของเราที่แสวงหาเรา
11 “แต่สำหรับพวกเจ้าที่ละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า
และลืมภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา
ผู้กางโต๊ะให้เจ้าแห่งโชคลาภ
และเติมเหล้าองุ่นผสมสังเวยให้เจ้าแห่งโชคชะตา
12 เราจะกำหนดคมดาบให้เป็นชะตากรรมของเจ้า
และเจ้าทั้งหมดจะหมอบลงรับการสังหาร
เพราะเราร้องเรียกแต่เจ้าก็ไม่ตอบ
เราพูดแต่เจ้าไม่ฟัง
เจ้าทำชั่วในสายตาของเรา
และเลือกทำสิ่งที่เราไม่พอใจ”
13 ฉะนั้นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสว่า
“ผู้รับใช้ของเราจะกิน
ส่วนเจ้าจะหิวโหย
ผู้รับใช้ของเราจะดื่ม
ส่วนเจ้าจะกระหาย
ผู้รับใช้ของเราจะชื่นชมยินดี
ส่วนเจ้าจะต้องอับอายขายหน้า
14 ผู้รับใช้ของเราจะร้องเพลง
ด้วยจิตใจที่ชื่นชมยินดี
ส่วนเจ้าจะร้องออกมา
ด้วยความทุกข์ทรมานใจ
และร่ำไห้ด้วยดวงใจชอกช้ำร้าวราน
15 เจ้าจะเหลือไว้แต่ชื่อ
เป็นคำสาปแช่งในบรรดาผู้เลือกสรรของเรา
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจะทรงสังหารเจ้า
ส่วนผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์จะทรงประทานนามอื่นให้
16 ผู้ใดจะกล่าวอวยพรในดินแดนนั้น
ก็จะกล่าวโดยอ้างถึงพระเจ้าแห่งความจริง
ผู้ใดจะกล่าวปฏิญาณในดินแดนนั้น
ก็จะสาบานโดยอ้างถึงพระเจ้าแห่งความจริง
เพราะความทุกข์ลำเค็ญในอดีตจะถูกลืม
และถูกซ่อนไว้จากสายตาของเรา
ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่
17 “ดูเถิด เราจะสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่
จะไม่มีใครจดจำหรือนึกถึงสิ่งเก่าอีกต่อไป
18 แต่จงชื่นชมและปีติยินดีตลอดไป
ในสิ่งที่เราจะสร้างขึ้น
เพราะเราจะสร้างเยรูซาเล็มให้เป็นความปีติยินดี
และให้ชาวเยรูซาเล็มเป็นความชื่นชมยินดี
19 เราจะปีติยินดีในเยรูซาเล็ม
และชื่นชมในตัวประชากรของเรา
ที่นั่นจะไม่มีเสียงคร่ำครวญร่ำไห้
ให้ได้ยินอีกต่อไป
20 “ที่นั่นจะไม่มีทารกที่มีชีวิตอยู่เพียงสองสามวัน
หรือคนแก่ที่อยู่ไม่ครบอายุขัย
ใครที่ตายเมื่ออายุร้อยปี
จะถือว่าตายตั้งแต่ยังหนุ่ม
ส่วนคนที่ตายตั้งแต่อายุไม่ถึงร้อยปี[x]
จะถือว่าเป็นคนที่ถูกสาปแช่ง
21 คนทั้งหลายจะสร้างบ้านและได้อยู่อาศัย
เขาจะปลูกสวนองุ่นและได้กินผลของมัน
22 ไม่มีอีกแล้วที่เขาจะสร้างบ้านแล้วมีคนอื่นมาอยู่แทน
หรือปลูกพืชพันธุ์แล้วคนอื่นมาเก็บไปกิน
เพราะประชากรของเรา
จะมีอายุยืนเหมือนต้นไม้
ผู้ที่เราเลือกสรรไว้จะได้ชื่นชมผลงาน
จากน้ำมือของตนตราบนานเท่านาน
23 พวกเขาจะไม่ตรากตรำโดยเปล่าประโยชน์
หรือคลอดลูกมารับเคราะห์กรรม
เพราะเขาจะเป็นประชาชาติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพร
ทั้งเขาและลูกหลานของเขา
24 ก่อนที่เขาร้องเรียก เราจะตอบ
ขณะที่เขาพูดอยู่ เราจะฟัง
25 สุนัขป่าและลูกแกะจะหากินอยู่ด้วยกัน
สิงโตจะกินฟางเหมือนวัว
ส่วนฝุ่นธุลีจะเป็นอาหารของงู
สัตว์ทั้งหลายจะไม่ทำอันตราย
หรือเข่นฆ่าทำลายกันบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น
การพิพากษาและความหวัง
66 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา
และโลกเป็นที่วางเท้าของเรา
ก็แล้วนิเวศที่เจ้าจะสร้างให้เราอยู่ที่ไหนเล่า?
ที่พำนักสำหรับเราอยู่ที่ไหนเล่า?
2 มือของเราเองไม่ใช่หรือที่ได้สร้างสิ่งทั้งปวงเหล่านี้
และมันก็มีชีวิตขึ้นมา?”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“นี่ต่างหากที่เรายกย่อง
คือผู้ที่ถ่อมใจและมีจิตใจสำนึกผิด
และตัวสั่นเพราะถ้อยคำของเรา
3 แต่ผู้ใดก็ตามที่ถวายวัวเป็นเครื่องบูชา
ก็เหมือนผู้ที่ฆ่าคน
และผู้ที่ถวายลูกแกะ
ก็เหมือนผู้ที่หักคอสุนัข
ผู้ใดถวายเครื่องธัญบูชา
ก็เหมือนผู้ที่ถวายเลือดหมู
ผู้ใดเผาเครื่องหอม
ก็เหมือนผู้ที่นมัสการรูปเคารพ
พวกเขาเลือกหนทางของตัวเอง
จิตวิญญาณของเขาชื่นชมในสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของตน
4 ดังนั้นเราเลือกที่จะปฏิบัติต่อเขาอย่างรุนแรง
และนำสิ่งที่เขาหวาดกลัวมายังเขาด้วย
เพราะเมื่อเราร้องเรียก ไม่มีใครตอบ
เมื่อเราพูด ไม่มีใครรับฟัง
พวกเขาทำชั่วต่อหน้าต่อตาเรา
และเลือกทำสิ่งที่เราไม่พอใจ”
5 จงฟังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ท่านผู้ตัวสั่นเพราะถ้อยคำของพระองค์
“พี่น้องของเจ้าซึ่งเกลียดชังเจ้า
และขับไล่ไสส่งเจ้าเนื่องด้วยนามของเราได้กล่าวว่า
‘ขอให้พระเกียรติสิริมีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอให้เราเห็นความชื่นชมยินดีของเจ้า!’
กระนั้นพวกเขาจะต้องอับอายขายหน้า
6 จงฟังเสียงดังสนั่นจากนครนั้นเถิด
จงฟังเสียงจากพระวิหารนั้น!
เป็นเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ทรงตอบสนองบรรดาศัตรูของพระองค์อย่างสาสม
7 “ยังไม่ทันเจ็บท้อง
เธอก็คลอด
ยังไม่ทันเจ็บปวด
เธอก็ให้กำเนิดลูกชาย
8 ใครบ้างเคยได้ยินเรื่องแบบนี้?
ใครบ้างเคยเห็นเรื่องเช่นนี้?
ประเทศหนึ่งจะถือกำเนิดขึ้นภายในวันเดียว
หรือชนชาติหนึ่งจะเกิดขึ้นภายในชั่วครู่เดียวได้หรือ?
ถึงกระนั้นศิโยนเจ็บท้องไม่ทันไร
ก็คลอดลูกๆ ออกมาแล้ว
9 เรานำมาถึงกำหนดคลอดแล้ว
จะไม่ปล่อยให้คลอดออกมาได้หรือ?” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น
“เราปิดครรภ์ไว้เมื่อนำมาถึงเวลาคลอดหรือ?”
พระเจ้าของท่านตรัสดังนั้น
10 “จงชื่นชมยินดีกับเยรูซาเล็มและเปรมปรีดิ์กับเธอเถิด
ท่านทั้งปวงที่รักเธอ
จงปลื้มปีติอย่างเต็มเปี่ยมร่วมกับเธอเถิด
ท่านผู้ไว้ทุกข์ให้เธอ
11 เพราะท่านจะเลี้ยงดูและอิ่มใจ
ในอ้อมอกอันปลอบโยนของเธอ
ท่านจะดื่มด่ำและปีติยินดี
ในความอุดมสมบูรณ์อันล้นเหลือของเธอ”
12 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“เราจะเพิ่มพูนสันติสุขแก่เธอเหมือนแม่น้ำ
และเพิ่มความมั่งคั่งของบรรดาประชาชาติให้เหมือนธารน้ำเชี่ยว
เจ้าจะถูกเลี้ยงดูและโอบอุ้มในอ้อมแขนของเธอ
และถูกกล่อมอยู่บนตักของเธอ
13 เราจะปลอบโยนเจ้า
ดั่งแม่ปลอบลูก
เจ้าจะได้รับการปลอบโยนในเยรูซาเล็ม”
14 เมื่อเจ้าเห็นเช่นนี้ จิตใจของเจ้าจะยินดี
และเจ้าจะเจริญงอกงามเหมือนต้นหญ้า
พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะประจักษ์แก่ผู้รับใช้ของพระองค์
แต่พระพิโรธจะสำแดงแก่ศัตรูของพระองค์
15 ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเสด็จมาพร้อมด้วยไฟ
ราชรถของพระองค์ประดุจพายุหมุน
พระองค์จะทรงระบายพระพิโรธลงมาอย่างรุนแรง
และการกำราบอันร้อนแรงด้วยเปลวไฟ
16 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาลงโทษมวลมนุษย์
ด้วยไฟและด้วยดาบของพระองค์
คนเป็นอันมากจะถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าประหาร
17 “คนทั้งหลายที่อุทิศตนและชำระตนให้บริสุทธิ์เพื่อที่จะเข้าไปในสวนติดตามผู้หนึ่งที่อยู่ท่ามกลาง[y]ผู้ที่กินเนื้อหมู เนื้อหนู และสิ่งน่าสะอิดสะเอียนต่างๆ คนเหล่านั้นจะพบจุดจบไปด้วยกัน” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
18 “เนื่องด้วยการกระทำและความคิดจินตนาการต่างๆ ของพวกเขา เรากำลังจะมา[z]และรวบรวมชนทุกชาติทุกภาษา พวกเขาจะมาและเห็นเกียรติสิริของเรา
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.