Bible in 90 Days
19 เมื่อพวกม้าของฟาโรห์ พวกรถรบของเขา และทหารม้าของเขา ลงไปในทะเล พระยาห์เวห์ได้ทำให้น้ำทะเลไหลกลับมาท่วมพวกเขา แต่ประชาชนชาวอิสราเอลเดินบนพื้นดินแห้งกลางทะเล
20 ฝ่ายมิเรียม หญิงผู้พูดแทนพระเจ้า พี่สาวของอาโรนถือกลองรำมะนาอยู่ในมือ และผู้หญิงทั้งหมดก็เดินตามหลังนาง พร้อมกับกลองรำมะนาและเต้นรำไปด้วย มิเรียมร้องเพลงให้กับพวกเขาว่า
21 “ร้องเพลงให้พระยาห์เวห์เถิด เพราะพระองค์เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องสูงส่ง
พระองค์เหวี่ยงม้าและทหารม้าลงสู่ทะเล”
น้ำขมกลับกลายเป็นหวาน
22 โมเสสนำชาวอิสราเอลออกจากทะเลแดงมุ่งหน้าไปยังที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งชูร์ พวกเขาใช้เวลาเดินทางสามวันในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง ก็ไม่พบน้ำเลย 23 เมื่อพวกเขามาถึงตำบลมาราห์ พวกเขาก็ไม่สามารถดื่มน้ำจากตำบลมาราห์ได้ เพราะมันขม นั่นเป็นเหตุให้ที่แห่งนั้นมีชื่อว่ามาราห์[a]
24 ประชาชนบ่นกับโมเสสว่า “พวกเราจะเอาอะไรมาดื่มกัน”
25 โมเสสจึงร้องวิงวอนต่อพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ชี้ให้โมเสสเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง โมเสสโยนต้นไม้ต้นนั้นลงในน้ำ น้ำก็หวานสามารถดื่มได้
ณที่นั้น พระยาห์เวห์ได้ตั้งกฎเกณฑ์ให้กับประชาชนเหล่านั้น และที่นั่น พระยาห์เวห์ได้ทดสอบพวกเขา 26 พระองค์พูดว่า “ถ้าเจ้าเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าจริงๆและทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระองค์ และฟังคำสั่งต่างๆของพระองค์ และรักษากฎทั้งหมดของพระองค์แล้วละก็ เราก็จะไม่ให้โรคร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นกับชาวอียิปต์ เกิดขึ้นกับเจ้าเลยเพราะเราคือยาห์เวห์ ผู้ที่รักษาเจ้า”
27 เมื่อพวกเขามาถึงตำบลเอลิม ที่มีตาน้ำสิบสองแห่ง และต้นปาล์มเจ็ดสิบต้น พวกเขาจึงตั้งค่ายอยู่ข้างๆตาน้ำเหล่านั้น
อาหารจากสวรรค์
16 พวกเขาเดินทางจากเอลิม และที่ชุมนุมทั้งหมดของอิสราเอลได้เดินทางมาถึงที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งสีน ซึ่งอยู่ระหว่างตำบลเอลิมและภูเขาซีนาย ในวันที่สิบห้าของเดือนที่สอง[b] หลังจากที่พวกเขาออกจากประเทศอียิปต์มา 2 ที่ชุมนุมทั้งหมดของอิสราเอล บ่นต่อว่าโมเสสกับอาโรนในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง 3 พวกเขาบอกกับทั้งสองคนว่า “ให้มือของพระยาห์เวห์ฆ่าพวกเราตอนที่นั่งอยู่ข้างหม้อเนื้อ และกินจนอิ่มหนำในแผ่นดินอียิปต์ ยังจะดีกว่าที่พวกท่านนำชุมชนทั้งหมดนี้ออกมาอดตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้”
4 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เรากำลังจะทำให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้า ในแต่ละวันให้ประชาชนออกไปเก็บอาหารนี้ได้ เก็บให้พอกินสำหรับวันหนึ่งๆเท่านั้น เพราะเราจะทดสอบดูว่า พวกเขาจะเชื่อฟังกฏของเราหรือไม่ 5 ในวันที่หกเมื่อพวกเขาเตรียมอาหารที่พวกเขาเก็บมา อาหารนั้นจะมีมากขึ้นเป็นสองเท่าของอาหารที่พวกเขาเก็บมาในแต่ละวัน”[c]
6 โมเสสและอาโรนจึงพูดกับประชาชนชาวอิสราเอลทั้งหมดว่า “เย็นนี้พวกท่านจะได้รู้ว่า พระยาห์เวห์ได้นำพวกท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ และในตอนเช้าพวกท่านจะเห็นรัศมีของพระยาห์เวห์[d] เพราะพระองค์ได้ยินเสียงบ่นของพวกท่าน ที่บ่นต่อว่าพระองค์แล้ว 7 ส่วนเราสองคนเป็นใครกัน พวกท่านถึงได้มาบ่นต่อว่าเรา”
8 โมเสสพูดว่า “เพราะพระยาห์เวห์ได้ยินเสียงบ่นของพวกท่าน ที่ท่านบ่นต่อว่าพระองค์ ดังนั้นเย็นนี้ พระองค์จะส่งเนื้อมาให้กิน ส่วนพรุ่งนี้ พระองค์จะส่งขนมปังมาให้จนท่านอิ่ม ส่วนเราสองคนเป็นใครกัน พวกท่านถึงได้มาบ่นต่อว่าเรา พวกท่านไม่ได้บ่นต่อว่าเราหรอกนะ แต่บ่นต่อว่าพระยาห์เวห์ต่างหาก”
9 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “ให้บอกกับที่ชุมนุมของชาวอิสราเอลทั้งหมดว่า ให้เข้ามาใกล้พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ได้ยินเสียงบ่นของพวกเจ้าแล้ว”
10 เมื่ออาโรนพูดกับที่ชุมนุมของชาวอิสราเอลทั้งหมด พวกเขาก็หันหลังไปทางที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง และเห็นรัศมีของพระยาห์เวห์ปรากฏอยู่ในเมฆ
11 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 12 “เราได้ยินเสียงบ่นของประชาชนชาวอิสราเอลแล้ว ให้บอกกับพวกเขาว่า ‘ในตอนเย็น พวกเจ้าจะได้กินเนื้อและในตอนเช้าพวกเจ้าจะได้กินอาหารจนอิ่ม เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่า เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเจ้า’”
13 ในตอนเย็นฝูงนกคุ่มบินมาปกคลุมค่าย ในตอนเช้ามีน้ำค้างเกาะอยู่รอบๆค่าย 14 เมื่อน้ำค้างหายไปก็มีเกล็ดบางๆอยู่บนพื้นผิวที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง มันละเอียดเหมือนเกล็ดน้ำแข็งอยู่บนพื้น 15 เมื่อประชาชนชาวอิสราเอลเห็น พวกเขาก็ถามกันว่า “นี่อะไร”[e] เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร โมเสสจึงพูดกับพวกเขาว่า “มันคืออาหารที่พระยาห์เวห์ให้กับพวกท่านกิน” 16 พระยาห์เวห์สั่งไว้อย่างนี้ว่า “ให้แต่ละคนเก็บเท่าที่ตัวเองจะกินได้ และให้เก็บเผื่อคนที่อยู่ในเต็นท์ของเขาด้วย โดยเก็บให้คนละหนึ่งโอเมอร์”[f]
17 ลูกหลานชาวอิสราเอลก็ทำตามนั้น บางคนก็เก็บมาก บางคนก็เก็บน้อย 18 แต่เมื่อพวกเขาใช้โอเมอร์ตวง คนที่เก็บมามาก ก็ไม่ได้เกิน คนที่เก็บมาน้อย ก็ไม่ขาด แต่ละคนก็เก็บเท่าที่ตัวเองจะกินได้หมด
19 โมเสสบอกกับพวกเขาว่า “ห้ามไม่ให้ใครเหลืออาหารไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น” 20 แต่พวกเขาไม่ฟังโมเสส บางคนเหลืออาหารไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น มันก็เกิดเป็นหนอนเน่าเหม็น โมเสสจึงโกรธพวกเขา
21 ทุกๆเช้าแต่ละคนจะเก็บอาหารตามที่เขาจะกินได้หมด แต่เมื่อแดดจ้าแผดเผา มันก็ละลายไป
22 เมื่อถึงวันที่หก พวกเขาเก็บอาหารมากเป็นสองเท่า คนละสองโอเมอร์[g] พวกหัวหน้าทุกคนของที่ชุมนุมชน ได้มารายงานโมเสสเกี่ยวกับเรื่องนี้
23 โมเสสจึงบอกกับพวกเขาว่า “นี่คือคำสั่งของพระยาห์เวห์ ‘พรุ่งนี้คือวันหยุดทางศาสนา เป็นวันหยุดพักผ่อนอันศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระยาห์เวห์ พวกท่านอยากอบอะไรก็ไปอบ อยากต้มอะไรก็ไปต้ม และให้แยกส่วนที่เหลือเก็บไว้จนถึงพรุ่งนี้เช้า’”
24 พวกเขาจึงแยกมันไว้ ตามที่โมเสสสั่งไว้ อาหารนั้นก็ไม่เน่าเหม็นและไม่มีหนอนด้วย
25 โมเสสพูดว่า “ให้กินอาหารนั้นในวันนี้ เพราะวันนี้เป็นวันหยุดทางศาสนาให้กับพระยาห์เวห์ วันนี้พวกท่านจะไม่เจออาหารในท้องทุ่ง 26 พวกท่านจะเก็บอาหารได้หกวัน แต่ในวันที่เจ็ด ซึ่งเป็นวันหยุดทางศาสนา จะไม่มีอาหารให้เก็บ”
27 ในวันที่เจ็ด ก็ยังมีบางคนออกไปเก็บอาหาร แต่ไม่พบอาหาร 28 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะไม่เชื่อฟังคำสั่งและกฎต่างๆของเราไปอีกนานแค่ไหน 29-30 ดูซิ พระยาห์เวห์ได้ให้วันหยุดทางศาสนากับพวกเจ้า นั่นเป็นเหตุที่ ในวันที่หก พระองค์ถึงได้ให้อาหารกับพวกเจ้า เพียงพอสำหรับสองวัน เพื่อในวันที่เจ็ด พวกเจ้าแต่ละคนจะได้หยุดพักผ่อนอยู่กับบ้าน ไม่ควรมีใครออกจากบ้านในวันที่เจ็ดนั้น”
31 ประชาชนชาวอิสราเอลเรียกอาหารนี้ว่า “มานา” มันเหมือนกับเมล็ดผักชี สีขาว และรสชาติเหมือนกับขนมปังแผ่นที่ทำจากน้ำเชื่อมผลไม้ 32 โมเสสพูดว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ คือ ‘ให้เอามานามาหนึ่งโอเมอร์ เก็บไว้ให้ลูกหลานของเจ้าดูในอนาคต เพื่อพวกเขาจะได้เห็นอาหารที่เราได้ให้พวกเจ้ากินในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง ตอนที่เราพาพวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์’”
33 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “เอาภาชนะมา และเอามานาหนึ่งโอเมอร์ใส่ไว้ในมัน เอามันมาวางไว้ตรงหน้าพระยาห์เวห์ เพื่อจะเก็บไว้ให้ลูกหลานของพวกท่านดูในอนาคต” 34 อาโรนได้วางภาชนะนั้นลงตรงหน้าแผ่นหิน[h] ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้ 35 ประชาชนชาวอิสราเอลได้กินมานาถึงสี่สิบปี จนพวกเขามาถึงแผ่นดินที่อาศัยอยู่ได้ พวกเขากินมานา มาจนกระทั่งมาถึงเขตแดนของแผ่นดินคานาอัน 36 (หนึ่งโอเมอร์ เท่ากับหนึ่งในสิบเอฟาห์[i])
น้ำจากก้อนหิน
(กดว. 20:1-13)
17 ขบวนอิสราเอลเดินทางจากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งสีน ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ พวกเขามาตั้งค่ายอยู่ที่เรฟีดิม แต่ไม่มีน้ำให้พวกเขาดื่ม 2 พวกเขามาโต้เถียงกับโมเสส และพูดว่า “หาน้ำให้เราดื่มซะ”
โมเสสบอกพวกเขาว่า “พวกท่านมาโต้เถียงกับเราทำไม ทำไมพวกท่านถึงได้ลองดีกับพระเจ้า”
3 แต่ผู้คนหิวกระหายน้ำมากที่นั่น พวกเขาบ่นต่อว่าโมเสส พวกเขาพูดว่า “ท่านพาเราออกมาจากอียิปต์ทำไมกัน เพื่อฆ่าเรา ลูกหลานของเรา และฝูงสัตว์เลี้ยงของเรา ด้วยการอดน้ำตายอย่างนั้นหรือ”
4 แล้วโมเสสได้ร้องต่อพระยาห์เวห์ว่า “จะให้ข้าพเจ้าทำยังไงดีกับคนพวกนี้ เดี๋ยวพวกนี้ก็จะเอาหินขว้างข้าพเจ้าแล้ว”
5 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้เดินนำหน้าพวกเขาไป ให้พาผู้อาวุโสของอิสราเอลส่วนหนึ่งไปกับเจ้าด้วย และให้ถือไม้เท้าที่เจ้าเคยใช้ตีแม่น้ำไนล์ติดมือไปด้วย 6 เราจะยืนอยู่ต่อหน้าเจ้า บนหินก้อนหนึ่งของภูเขาโฮเรบ เมื่อเจ้าตีหินก้อนนั้น จะมีน้ำไหลออกมา แล้วคนจะได้ดื่มกินกัน”
แล้วโมเสสก็ทำตามนั้นต่อหน้าต่อตาพวกผู้อาวุโสของอิสราเอล 7 เขาตั้งชื่อสถานที่นั้นว่า มัสสาห์[j] และเมรีบาห์[k] เพราะชาวอิสราเอลได้โต้เถียงกับโมเสส และเพราะพวกเขาได้ลองดีกับพระยาห์เวห์ โดยพูดว่า “พระยาห์เวห์ยังอยู่กับพวกเราหรือเปล่า”
สงครามกับพวกอามาเลค
8 ชาวอามาเลคได้ยกทัพมาต่อสู้กับชาวอิสราเอลในตำบลเรฟีดิม 9 โมเสสพูดกับโยชูวาว่า “ไปเลือกพวกชายหนุ่มมาให้กับพวกเรา เพื่อออกไปสู้รบกับพวกอามาเลค พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะไปยืนอยู่บนยอดเขา และถือไม้เท้าของพระเจ้าในมือ”
10 โยชูวาจึงทำตามที่โมเสสสั่ง ออกไปสู้รบกับชาวอามาเลค ส่วนโมเสส อาโรน และเฮอร์ ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเขา 11 โมเสสยกแขนขึ้นเมื่อไหร่ เมื่อนั้นอิสราเอลก็มีชัยเหนือกว่า แต่เมื่อไหร่ที่โมเสสเอาแขนลง ชาวอามาเลคก็จะมีชัยเหนือกว่า
12 เมื่อโมเสสเมื่อยแขน พวกเขาก็เอาก้อนหินมาวางให้โมเสสนั่ง แล้วอาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยพยุงแขนของโมเสสไว้คนละข้าง แขนของเขาจึงยังคงยกอยู่อย่างนั้นจนตะวันตกดิน 13 โยชูวาทำให้ชาวอามาเลคและกองทัพของมัน พ่ายแพ้ไปด้วยคมดาบของเขา
14 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้จดบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ในสมุด เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจ และให้กรอกหูของโยชูวาว่า เราจะลบความทรงจำที่มีต่อพวกอามาเลคให้หมดไปจากทั่วใต้ฟ้า”
15 แล้วโมเสสก็สร้างแท่นบูชาขึ้น เขาตั้งชื่อแท่นบูชานี้ว่า “พระยาห์เวห์คือธงชัยของข้าพเจ้า” 16 เขาพูดว่า “ชูธงชัยของพระยาห์เวห์ไว้[l] พระยาห์เวห์จะทำสงครามกับพวกอามาเลคตลอดไปทุกรุ่น”
คำแนะนำจากพ่อตาของโมเสส
(ฉธบ. 1:9-18)
18 เยโธร นักบวชของมีเดียน ซึ่งเป็นพ่อตาของโมเสส ได้ยินเรื่องทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทำให้กับโมเสส และอิสราเอลคนของพระองค์ รวมทั้งเรื่องที่พระยาห์เวห์ได้นำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ 2 เยโธร พ่อตาของโมเสส ได้พาศิปโปราห์เมียของโมเสสมา หลังจากที่โมเสสได้ส่งเมียของเขากลับไปอยู่กับเยโธร 3 เยโธรได้พาลูกชายทั้งสองของนางมาด้วย คนหนึ่งชื่อ เกอร์โชม[m] เพราะโมเสสพูดว่า “ผมเป็นคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินของคนอื่น” 4 อีกคนหนึ่งชื่อเอลีเยเซอร์[n] เพราะโมเสสพูดว่า “พระเจ้าของพ่อผมคือผู้ที่ช่วยเหลือผม และพระองค์ได้ช่วยชีวิตผมให้พ้นจากคมดาบของฟาโรห์” 5 เยโธรพ่อตาของโมเสส ลูกชายทั้งสองของโมเสส และเมียของโมเสส ไปหาโมเสสที่ค่าย ซึ่งตั้งอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง ที่ภูเขาของพระเจ้า[o]
6 เยโธรส่งคนไปบอกโมเสสว่า “เรา เยโธรพ่อตาของท่าน กำลังจะมาหาท่าน พร้อมกับพาเมียของท่าน และลูกชายสองคนของนางมาด้วย”
7 โมเสสออกมาพบกับพ่อตาของเขา เขาก้มกราบลงและจูบเยโธร หลังจากที่พวกเขาทักทายกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เข้าไปในเต็นท์ 8 โมเสสได้เล่าให้พ่อตาฟังว่า พระยาห์เวห์ได้ทำอะไรบ้างต่อฟาโรห์และคนอียิปต์ เพื่อช่วยชาวอิสราเอล รวมทั้งความยากลำบากที่ชาวอิสราเอลต้องพบในระหว่างทาง และพระยาห์เวห์ได้ช่วยพวกเขาไว้อย่างไร
9 เยโธรก็ดีใจกับสิ่งดีๆทั้งหมด ที่พระยาห์เวห์ได้ทำให้กับคนอิสราเอล เมื่อพระองค์ได้ช่วยให้พวกเขาพ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ 10 เยโธรพูดว่า
สรรเสริญพระยาห์เวห์
ที่ได้ช่วยชีวิตพวกท่านให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์
และจากเงื้อมมือของฟาโรห์
11 ตอนนี้ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าพระยาห์เวห์ยิ่งใหญ่
กว่าพระอื่นๆทั้งหมด
เพราะพระองค์ได้ช่วยเหลือประชาชนให้พ้นจากการกดขี่ของชาวอียิปต์
ตอนที่ชาวอียิปต์ได้ทำต่อคนอิสราเอลอย่างเย่อหยิ่งจองหอง
12 เยโธร พ่อตาของโมเสส นำพวกเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชา มาถวายให้กับพระเจ้า อาโรนและพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลทั้งหมด ก็ได้มาร่วมกินอาหารกับพ่อตาของโมเสส ต่อหน้าพระเจ้า
13 วันต่อมา โมเสสนั่งตัดสินคดีให้กับผู้คน มีคนยืนห้อมล้อมโมเสสตั้งแต่เช้าจนเย็น
14 พ่อตาโมเสสเห็นทุกอย่างที่โมเสสได้ทำให้กับประชาชน เขาถามโมเสสว่า “ท่านกำลังทำอะไรให้ประชาชนเหล่านี้อยู่หรือ ทำไมท่านถึงนั่งอยู่คนเดียว ในขณะที่คนอื่นๆต่างก็ยืนห้อมล้อมท่านตั้งแต่เช้าจนเย็น”
15 โมเสสตอบพ่อตาไปว่า “คนเหล่านี้มาหาผม เพื่อให้ผมช่วยสอบถามพระเจ้า 16 เมื่อพวกเขาทะเลาะกัน พวกเขาจะมาหาผม ให้ผมช่วยตัดสิน เพราะผมเป็นคนสอนให้ทุกคนรู้เกี่ยวกับกฎและระเบียบของพระเจ้า”
17 พ่อตาโมเสสจึงพูดว่า “ที่ท่านกำลังทำอยู่นี้ มันไม่ดี 18 เพราะทั้งท่านและคนพวกนั้นจะหมดแรงไปก่อนแน่ เพราะงานมันยากเกินไปสำหรับท่าน ท่านทำคนเดียวไม่ได้หรอก 19 ฟังนะ เราจะให้คำแนะนำกับท่าน เพื่อพระเจ้าจะอยู่กับท่าน ท่านคือตัวแทนของประชาชนต่อหน้าพระเจ้า ที่จะเอาเรื่องโต้เถียงของพวกเขาไปบอกกับพระเจ้า 20 ท่านสามารถสอนกฎและระเบียบต่างๆให้กับพวกเขาได้ และบอกให้พวกเขารู้ถึงทางที่พวกเขาควรจะเดินและสิ่งที่พวกเขาควรจะทำ 21 ให้ท่านเลือกคนจากท่ามกลางพวกเขาทั้งหมดมา เลือกคนที่มีความสามารถ ที่นับถือพระเจ้า ซื่อสัตย์ และเกลียดการรับสินบน ให้ท่านแต่งตั้งคนพวกนี้ เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลคนเหล่านั้น มีทั้งเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคนเป็นพัน คนเป็นร้อย คนเป็นห้าสิบ และคนเป็นสิบ 22 เจ้าหน้าที่พวกนี้ จะตัดสินคดีให้กับคนพวกนั้นตลอดเวลา เรื่องใหญ่ๆพวกเขาถึงค่อยเอามาให้ท่านตัดสิน เรื่องเล็กๆพวกเขาก็ตัดสินเอง มันจะได้ง่ายขึ้นสำหรับตัวท่าน และพวกเขาก็จะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับท่าน 23 ถ้าท่านทำอย่างนี้ ตามที่พระเจ้าสั่งให้ท่านทำ ท่านจะได้มีเรี่ยวแรงที่จะทำงานต่อไปได้ และคนพวกนี้ก็จะแยกย้ายกลับบ้านอย่างสงบสุข”
24 โมเสสฟังสิ่งที่พ่อตาพูด และทำตามที่เขาบอกทุกอย่าง 25 โมเสสได้เลือกคนที่มีความสามารถจากชาวอิสราเอล และแต่งตั้งให้พวกเขาเป็นหัวหน้าดูแลประชาชน มีทั้งเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง และสิบคนบ้าง 26 พวกเขาตัดสินคดีให้กับประชาชนตลอดเวลา คดียากๆพวกเขาจะเอามาให้โมเสสตัดสิน ส่วนคดีเล็กๆทั้งหลายพวกเขาตัดสินเอง
27 แล้วโมเสสก็ส่งพ่อตาของเขาไป แล้วเขาก็ได้กลับไปยังประเทศของตน
ข้อตกลงของพระเจ้ากับชาวอิสราเอล
19 ชาวอิสราเอลได้เดินทางมาถึงที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งซีนายในเดือนที่สาม หลังจากที่พวกเขาออกจากอียิปต์ 2 พวกเขาเดินทางจากตำบลเรฟีดิม มาถึงที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งซีนาย และตั้งค่ายอยู่ที่นั่น ขณะที่พวกเขาตั้งค่ายอยู่ที่นั่นตรงข้ามกับภูเขา 3 โมเสสได้ขึ้นไปบนภูเขา และพระยาห์เวห์เรียกเขาจากยอดเขาว่า “เจ้าต้องบอกกับชาวอิสราเอลลูกหลานของยาโคบว่า
4 ‘ตัวเจ้าเองได้เห็นแล้วว่า เราได้ทำยังไงกับอียิปต์ เราได้ยกพวกเจ้าขึ้นบนปีกของพวกนกอินทรี และพามาหาเรา 5 ต่อไปนี้ ถ้าพวกเจ้าเชื่อฟังเราอย่างแท้จริง และรักษาคำมั่นสัญญาของเรา พวกเจ้าจะเป็นของรักของหวงที่มีค่าของเราท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้เป็นของเรา 6 พวกเจ้าจะเป็นอาณาจักรของพวกนักบวช และเป็นชนชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ให้กับเรา เจ้าจะต้องเอาคำพูดเหล่านี้ไปบอกกับลูกหลานของอิสราเอล’”
7 โมเสสจึงเรียกตัวผู้อาวุโสชาวอิสราเอลมาชุมนุมกัน และบอกพวกเขาเกี่ยวกับคำพูดทั้งหมดที่พระยาห์เวห์ได้สั่งเขามา 8 คนพวกนั้นต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะทำตามที่พระยาห์เวห์บอกทุกอย่าง”
แล้วโมเสสก็เอาคำพูดทั้งหมดของชาวอิสราเอลไปบอกกับพระยาห์เวห์ 9 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เราจะมาหาเจ้าในก้อนเมฆที่หนาทึบ เพื่อประชาชนจะได้ยินเมื่อเราพูดกับเจ้า และพวกเขาจะได้เชื่อตลอดไป”
โมเสสได้บอกกับพระยาห์เวห์ถึงสิ่งที่ชาวอิสราเอลพูดทั้งหมด
10 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ไปหาประชาชนพวกนั้น วันนี้และพรุ่งนี้ให้เจ้าไปเตรียมตัวพวกเขาเพื่อเข้าเฝ้า และเรียกให้พวกเขาซักเสื้อผ้าให้สะอาด 11 ในวันที่สาม พวกเขาต้องพร้อมแล้ว เพราะในวันที่สามนั้น พระยาห์เวห์จะลงมาให้ประชาชนทั้งหมดเห็นบนภูเขาซีนาย 12 เจ้าจะต้องกั้นเขตไว้ให้รอบภูเขานั้น และบอกกับประชาชนว่า ‘ระวังให้ดี อย่าได้ขึ้นไปบนภูเขานั้น หรือไปแตะต้องถูกมุมใดของภูเขา ถ้าใครแตะต้องถูกภูเขานั้น เขาจะต้องตาย 13 อย่าให้ใครไปแตะต้องคนที่ไปแตะถูกภูเขานั้น เขาต้องถูกหินขว้างหรือถูกยิงด้วยธนู ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ก็ต้องตายทั้งนั้น แล้วเมื่อมีเสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้น พวกเขาจึงขึ้นมาบนภูเขานี้ได้’”
14 โมเสสจึงลงมาจากภูเขา มาหาประชาชนพวกนั้น โมเสสได้เตรียมตัวพวกเขาให้เข้าเฝ้าพระองค์ และพวกเขาก็ซักเสื้อผ้าของพวกเขาด้วย
15 แล้วโมเสสก็บอกกับประชาชนว่า “ในสามวันนี้ ให้เตรียมพร้อมทุกอย่าง และห้ามแตะต้องตัวผู้หญิงเด็ดขาด”
16 ในตอนเช้าของวันที่สาม ได้เกิดฟ้าร้อง ฟ้าแลบ และมีเมฆหนาทึบอยู่บนภูเขา และมีเสียงแตรดังสนั่น ประชาชนทั้งหมดที่อยู่ในค่าย ต่างกลัวจนตัวสั่น 17 โมเสสจึงนำประชาชนออกจากค่าย มาพบพระเจ้า พวกเขายืนอยู่ที่ตีนเขา 18 ภูเขาซีนายทั้งลูก ก็ถูกปกคลุมไปด้วยควันไฟ เพราะพระยาห์เวห์ได้ลงมาที่ภูเขานั้นในรูปแบบของไฟ ควันของมันพุ่งขึ้นเหมือนออกจากเตาเผา แล้วภูเขาทั้งลูกก็สั่นสะเทือนอย่างแรง 19 เสียงแตรก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ โมเสสพูดกับพระเจ้า และพระองค์ตอบเขาด้วยเสียงฟ้าร้อง
20 พระยาห์เวห์ลงมาอยู่บนยอดเขาซีนาย พระองค์เรียกโมเสสขึ้นไปบนยอดเขา โมเสสจึงขึ้นไป
21 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ลงไปเตือนประชาชน เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ฝ่าขึ้นมาดูพระยาห์เวห์ แล้วทำให้หลายคนต้องตาย 22 ให้บอกพวกนักบวชที่จะเข้ามาใกล้กับพระยาห์เวห์ด้วยว่า พวกเขาจะต้องเตรียมตัวเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ พระองค์จะได้ไม่ลงโทษพวกเขา”
23 โมเสสบอกพระยาห์เวห์ว่า “คนพวกนั้นขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้หรอก เพราะพระองค์เองได้เตือนพวกเราแล้วว่า ‘ให้กั้นเขตไว้รอบๆภูเขานี้ และทำให้ภูเขานี้ศักดิ์สิทธิ์’”
24 พระยาห์เวห์บอกโมเสสว่า “ลงไปพาอาโรนขึ้นมากับเจ้าด้วย แต่อย่าให้พวกนักบวชหรือคนอื่นๆฝ่าขึ้นมาหาพระยาห์เวห์ ไม่อย่างนั้นพระยาห์เวห์จะทำโทษพวกเขา”
25 โมเสสจึงลงไปหาประชาชน และพูดกับพวกเขา
บัญญัติสิบประการ
(ฉธบ. 5:1-21)
20 พระเจ้าพูดว่า
2 “เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า เราได้นำเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ออกมาจากการเป็นทาสนั้น
3 เจ้าต้องไม่มีพระอื่นๆนอกจากเรา
4 เจ้าต้องไม่สร้างรูปเคารพหรือรูปเหมือนอะไรที่มีอยู่ในท้องฟ้าเบื้องบนหรือในโลกเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้พื้นดิน 5 เจ้าต้องไม่กราบไหว้หรือบูชาสิ่งเหล่านั้น เพราะเราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า เราเป็นพระเจ้าที่หึงหวง บาปของพ่อเจ้าที่ทำไว้ เราจะลงโทษพวกเขาไปสามสี่ชั่วคน คือคนเหล่านั้นที่เกลียดเรา 6 ส่วนคนที่รักเราและรักษาคำสั่งต่างๆของเรา เราจะรักลูกหลานของเขาไปเป็นพันๆรุ่น[p]
7 เจ้าต้องไม่อ้างชื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าเล่นๆ เพราะพระยาห์เวห์จะไม่ถือว่าคนนั้นไร้ความผิด ที่อ้างชื่อของพระองค์มาสาบานกันเล่นๆ
8 อย่าลืมที่จะถือวันหยุดทางศาสนาเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ 9 ในช่วงหกวันแรกของแต่ละอาทิตย์ เจ้าก็ทำงานได้ตามปกติ
10 แต่ในวันที่เจ็ด เป็นวันหยุดพักผ่อน ที่อุทิศให้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า เจ้าต้องไม่ทำงานอะไรเลยในวันนี้ ทั้งเจ้า ลูกชาย ลูกสาว ทาสชาย ทาสหญิง สัตว์ทุกตัว หรือแม้แต่คนต่างชาติที่อาศัยร่วมกับเจ้า 11 เพราะพระยาห์เวห์ได้สร้างท้องฟ้า พื้นดิน และมหาสมุทร รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในพวกมัน เป็นเวลาหกวัน แต่พระองค์หยุดพักผ่อนในวันที่เจ็ด นั่นเป็นเหตุที่พระยาห์เวห์ ถึงได้อวยพรวันที่เจ็ดและตั้งให้มันเป็นวันศักดิ์สิทธิ์
12 ให้เคารพพ่อแม่ของเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้มีชีวิตยืนยาวบนแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้ากำลังให้กับเจ้า
13 ห้ามฆ่าคน
14 ห้ามมีชู้กับผัวเมียคนอื่น
15 ห้ามขโมย
16 ห้ามเป็นพยานเท็จปรักปรำเพื่อนบ้านของเจ้า
17 ห้ามโลภอยากได้บ้านของคนอื่น ห้ามโลภอยากได้ของของเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเมียของเขา ทาสชายหญิง วัว ลา หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นของเพื่อนบ้าน”
ประชาชนเกรงกลัวพระเจ้า
(ฉธบ. 5:22-33)
18 ประชาชนทั้งหมดต่างเห็นฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และได้ยินเสียงแตรเขาสัตว์ รวมทั้งเห็นควันบนภูเขา พวกเขาจึงกลัวจนตัวสั่น และยืนอยู่ห่างๆ 19 พวกเขาพูดกับโมเสสว่า “ท่านพูดกับพวกเราเถอะ เพื่อพวกเราจะได้ฟัง อย่าให้พระเจ้าพูดกับพวกเราเลย เพราะพวกเรากลัวว่าเราอาจจะต้องตาย”
20 โมเสสบอกคนเหล่านั้นว่า “อย่ากลัวไปเลย พระเจ้าลงมาเพื่อทดสอบพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้ยำเกรงพระองค์และไม่ทำบาป”
21 ประชาชนต่างยืนอยู่ห่างๆ แต่โมเสสเดินเข้าไปหาก้อนเมฆหนาทึบนั้น ที่มีพระเจ้าอยู่ 22 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้บอกกับลูกหลานอิสราเอลอย่างนี้ว่า ‘พวกเจ้าได้เห็นแล้วว่า เราได้พูดกับเจ้าจากฟ้าสวรรค์ 23 พวกเจ้าต้องไม่สร้างพระอื่นๆจากเงินและทองให้กับตัวเอง เพื่อเอามาบูชาพร้อมๆกับบูชาเรา
24 แต่ให้เจ้าสร้างแท่นบูชาที่ทำจากดินให้เรา และให้พวกเจ้าเอาแกะและวัวของเจ้า มาถวายเป็นเครื่องเผาบูชา และเครื่องสังสรรค์บูชา ให้เจ้าทำอย่างนี้ในทุกที่ที่เราจะให้เอ่ยชื่อของเราในการนมัสการ เราจะมาหาเจ้าและอวยพรเจ้า 25 แต่ถ้าเจ้าจะสร้างแท่นบูชาที่ทำจากหินให้เรา เจ้าต้องไม่เอาหินที่ตัดแต่งแล้วมาใช้ เพราะถ้าพวกเจ้าใช้สิ่วตัดแต่งมัน เจ้าก็ทำให้มันเสื่อมไป 26 เจ้าจะต้องไม่ทำบันไดไว้เดินขึ้นไปบนแท่นบูชา เพื่อเจ้าจะได้ไม่โป๊ตอนอยู่บนนั้น’”
กฎและคำสั่งอื่น
21 ต่อไปนี้คือกฎต่างๆที่เจ้าจะต้องบอกให้พวกเขารู้
2 เมื่อเจ้าซื้อทาสชาวฮีบรู[q] มาคนหนึ่ง เขาจะเป็นทาสรับใช้เจ้าเป็นเวลาหกปี แต่ในปีที่เจ็ด เขาจะได้รับอิสระโดยไม่ต้องจ่ายเงิน 3 ถ้าเขามาคนเดียว เขาก็จะไปคนเดียว ถ้าเขาแต่งงาน เมียของเขาก็จะไปกับเขาด้วย 4 ถ้านายเขาเป็นคนหาเมียให้กับเขา และนางได้เกิดลูกชายหรือลูกสาวให้กับเขา เมียกับลูกๆของเขาจะเป็นของเจ้านาย ส่วนชายคนนั้นจะออกไปได้แค่คนเดียว
5 ถ้าทาสคนนั้นพูดว่า “ผมรักเจ้านาย ผมรักเมียและลูกๆของผม ผมจะไม่ออกไปเป็นอิสระ” 6 เจ้านายของเขาจะต้องนำตัวเขาไปอยู่ต่อหน้าพระเจ้า โดยพาเขาไปที่ประตูหรือเสาประตู และเจ้านายของเขาจะเอาเหล็กหมาด[r] เจาะที่หูของทาสคนนั้น เขาจะเป็นทาสรับใช้นายของเขาไปตลอดชีวิต
7 ถ้าชายคนหนึ่งขายลูกสาวไปเป็นทาส นางจะไม่ได้ออกไปเป็นอิสระเหมือนกับพวกทาสชาย 8 ถ้าเจ้านายเอานางมาเป็นเมียน้อย แล้วเกิดไม่ชอบใจนางขึ้นมา เขาต้องยอมให้พ่อนางมาซื้อนางคืนกลับไป แต่เขาจะต้องไม่ขายนางให้กับคนต่างชาติ ถ้าทำอย่างนั้นถือว่าเป็นการไม่ซื่อสัตย์กับนาง 9 ถ้าเขายกนางให้กับลูกชายของเขา เขาจะต้องทำกับนางเหมือนกับนางเป็นลูกสาว
10 ถ้าชายคนนั้นเอาเมียอีกคนหนึ่ง เขาจะต้องไม่ลดอาหาร และเสื้อผ้าของเมียเก่า เขาต้องมีเพศสัมพันธ์กับนางเหมือนเดิม 11 แต่ถ้าเขาไม่ให้สามอย่างนี้กับนาง นางก็ออกไปเป็นอิสระได้ โดยไม่ต้องจ่ายเงิน
12 ถ้าคนหนึ่งทำร้ายอีกคนถึงตาย คนๆนั้นจะต้องถูกประหาร 13 แต่ถ้าเขาไม่ได้ตั้งใจฆ่าคนนั้น แต่เป็นเพราะพระเจ้าทำให้เกิดขึ้น เราจะจัดสถานที่หนึ่งให้ เป็นที่ให้เขาหนีไปอยู่ 14 แต่ถ้าคนหนึ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟต่อเพื่อนบ้าน แล้วยังวางแผนและฆ่าเพื่อนบ้านตาย เจ้าต้องเอาตัวเขาออกไปจากแท่นบูชาเรา[s] และประหารเขาเสีย
15 คนที่ทำร้ายพ่อแม่จะต้องถูกประหาร
16 คนที่ลักพาตัวคนอื่น จะต้องถูกประหาร ไม่ว่าเขาจะขายคนที่เขาลักพาตัวไป หรือคนนั้นยังคงอยู่ในมือเขาก็ตาม
17 คนที่สาปแช่งพ่อแม่จะต้องถูกประหาร
18 เมื่อคนหนึ่งตีอีกคนหนึ่งด้วยหินหรือกำปั้น ตอนที่ต่อสู้กัน และคนนั้นไม่ตายแต่ต้องนอนอยู่เฉยๆ 19 ถ้าคนนั้นสามารถลุกขึ้นมาเดินรอบๆด้วยไม้เท้าได้แล้ว คนที่ทำร้ายเขาก็จะพ้นผิด แต่เขาจะต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้กับคนเจ็บในระหว่างที่รักษาตัวอยู่
20 เมื่อเจ้านายเอาไม้เท้าตีทาสหญิงหรือทาสชายของเขาตายคามือ เจ้านายคนนั้นจะต้องถูกลงโทษ 21 แต่ถ้าทาสคนนั้นไม่ตาย และดีขึ้นในวันสองวัน เจ้านายคนนั้นก็ไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะถือว่าเป็นเงินของเขา
22 เมื่อมีคนต่อสู้กัน และไปทำร้ายถูกหญิงที่กำลังท้องอยู่ และทำให้หญิงนั้นแท้งลูก แต่นางไม่เป็นอันตรายอย่างอื่น ชายคนนั้นจะต้องถูกปรับ เป็นเงินตามจำนวนที่สามีของนางเรียกร้อง และตามคำสั่งของผู้ตัดสิน 23 แต่ถ้าหญิงคนนั้นบาดเจ็บอย่างอื่นด้วย ต้องใช้ชีวิตแลกด้วยชีวิต 24 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มือต่อมือ ขาต่อขา 25 รอยไหม้ต่อรอยไหม้ แผลต่อแผล รอยช้ำต่อรอยช้ำ
26 เมื่อเจ้านายทำร้ายถูกดวงตาของทาสชายหรือหญิงจนตาบอด เขาต้องปล่อยทาสคนนั้นไปเป็นอิสระ เพราะสิ่งที่เขาทำกับตาของทาสนั้น 27 ถ้าเขาตีทาสชายหรือหญิงจนฟันหัก เขาต้องปล่อยทาสคนนั้นเป็นอิสระ เพราะสิ่งที่เขาทำกับฟันของทาสนั้น
28 ถ้าวัวขวิดชายหรือหญิงจนตาย จะต้องเอาหินขว้างวัวตัวนั้นจนตาย และห้ามเอาเนื้อของมันมากินด้วย แต่เจ้าของวัวจะพ้นผิด 29 แต่ถ้าวัวตัวนั้นเคยขวิดคนมาแล้ว และมีคนเตือนเจ้าของวัวตัวนั้นแล้ว แต่เขาไม่ได้ขังมันไว้ แล้วมันไปขวิดคนตายเข้า ต้องเอาหินขว้างวัวตัวนั้นจนตาย และเจ้าของวัวจะต้องถูกประหารด้วย 30 แต่ถ้ามีการตั้งค่าไถ่ตัว เจ้าของวัว ต้องจ่ายเงินค่าไถ่สำหรับชีวิตของเขา ตามจำนวนเงินค่าไถ่ที่ตั้งไว้
31 ถ้าวัวนั้นขวิดลูกชายหรือลูกสาวใครตาย ก็ใช้กฎเดียวกันนี้จัดการกับเจ้าของวัว 32 ถ้าวัวขวิดทาสชายหรือทาสหญิงของคนอื่นตาย เจ้าของวัวต้องจ่ายเงินสามสิบเชเขล[t] ให้เจ้าของทาส และวัวตัวนั้นจะต้องถูกหินขว้างจนตาย
33 ใครที่เปิดฝาบ่อน้ำทิ้งไว้ หรือขุดบ่อน้ำแล้วไม่หาอะไรปิดมัน แล้วมีวัวหรือลาตกลงไปตาย 34 เขาจะต้องจ่ายเงินชดใช้ให้เจ้าของสัตว์ แต่สัตว์ที่ตายนั้นจะตกเป็นของเจ้าของบ่อน้ำ
35 ถ้าวัวใครไปขวิดวัวของเพื่อนบ้านจนตาย พวกเขาจะต้องขายวัวที่ยังมีชีวิตอยู่ และเอาเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง และพวกเขาก็เอาเนื้อวัวตัวที่ตายนั้นมาแบ่งกันด้วย 36 แต่ถ้ารู้กันไปทั่วว่า วัวตัวนั้นชอบขวิด แต่เจ้าของไม่ยอมขังมันไว้ เจ้าของวัวตัวนั้นจะต้องชดใช้วัวตัวใหม่ให้ แต่วัวตัวที่ตายก็จะตกเป็นของเขา เมื่อมีคนขโมยวัวหรือแกะไปฆ่า หรือไปขาย เขาจะต้องชดใช้ ถ้าขโมยวัวหนึ่งตัวต้องชดใช้ด้วยวัวห้าตัว ถ้าขโมยแกะหนึ่งตัวต้องชดใช้ด้วยแกะสี่ตัว
กฎเกี่ยวกับการชดใช้
22 1-4 ถ้าขโมยถูกจับและถูกตีจนตาย ในขณะที่กำลังบุกเข้าไปในบ้านตอนกลางคืน คนฆ่าก็ไม่มีความผิด แต่ถ้าฆ่าในตอนกลางวัน คนที่ฆ่าก็จะมีความผิดเป็นฆาตกร ถ้าจับขโมยได้ ขโมยนั้นจะต้องชดใช้เต็มจำนวน ถ้าเขาไม่มีจะชดใช้ เขาจะต้องถูกขายไปเป็นทาส เพราะการขโมยนั้น ถ้าสิ่งที่เขาขโมยมา ไม่ว่าจะเป็นวัวตัวผู้ ลา หรือแกะ ยังมีชีวิตอยู่ เขาต้องชดใช้เป็นสองเท่า
5 ถ้าใครปล่อยให้สัตว์ของเขาเข้าไปทำลายท้องทุ่งหรือไร่องุ่นของคนอื่น หรือปล่อยให้ฝูงสัตว์ของเขาเข้าไปกินหญ้าในท้องทุ่งของคนอื่น เขาต้องเอาของที่ดีที่สุดในทุ่งนา และไร่องุ่นของเขาเองมาชดใช้ให้กับคนที่ได้รับความเสียหายนั้น
6 ถ้าใครจุดไฟเผาพงหนาม แล้วลามไปเผากองข้าวหรือรวงข้าว หรือทุ่งนาของคนอื่น เขาจะต้องชดใช้สิ่งที่ถูกเผาไปนั้น
7 ถ้าใครฝากเงินหรือสิ่งของไว้กับเพื่อนบ้าน และมันถูกขโมยไปจากบ้านของเพื่อนคนนั้น ถ้าจับขโมยได้ ขโมยนั้นจะต้องชดใช้ให้เต็มจำนวน 8 แต่ถ้าจับขโมยไม่ได้ ต้องเอาเจ้าของบ้านไปอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเจ้าของบ้านหรือเปล่าที่ขโมยทรัพย์สินของเพื่อนบ้านไป
9 ถ้าเกิดการโต้เถียงกันขึ้นเมื่อเจอของที่หาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัวตัวผู้ ลา แกะ เสื้อผ้า หรืออะไรก็ตามที่หายไป ถ้าต่างคนต่างบอกว่า “นี่ของฉัน” ทั้งสองคนจะต้องไปพบพระเจ้า คนที่พระเจ้าตัดสินว่าเป็นคนผิด จะต้องชดใช้ให้กับเพื่อนบ้านของเขาสองเท่า
10 ถ้ามีใครฝาก ลา หรือวัวตัวผู้ หรือแกะ หรือสัตว์ชนิดไหนก็ตาม ไว้กับเพื่อนบ้าน แล้วมันเกิดตายไป หรือบาดเจ็บหรือมีใครไล่ต้อนไป โดยไม่มีใครเห็น 11 ทั้งสองคนจะต้องไปสาบานต่อพระยาห์เวห์ เพื่อพิสูจน์ว่าเขาเอาทรัพย์สินของเพื่อนบ้านไปหรือเปล่า เจ้าของสัตว์นั้นจะต้องยอมรับการสาบานนี้ และเพื่อนบ้านคนนั้นก็ไม่ต้องชดใช้อะไรเลย 12 แต่ถ้าเพื่อนบ้านคนนั้นขโมยสัตว์นั้นไปจริง เขาจะต้องชดใช้ให้กับเจ้าของสัตว์ 13 ถ้าสัตว์ป่ามาฉีกเนื้อสัตว์นั้น เพื่อนบ้านคนนั้นจะต้องเอาซากสัตว์มาให้ดู เขาก็ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย
14 แต่ถ้ามีใครขอยืมอะไรจากเพื่อนบ้าน และมันเกิดได้รับบาดเจ็บหรือตายขึ้นมา ในขณะที่เจ้าของไม่อยู่ เขาจะต้องชดใช้เต็มจำนวน 15 แต่ถ้าเจ้าของอยู่ด้วย เขาก็ไม่ต้องชดใช้ให้ แต่ถ้าคนๆนั้นเช่าสัตว์นั้นมา เขาก็ไม่ต้องชดใช้ เพราะค่าเช่าก็พอสำหรับค่าชดใช้แล้ว
16 ถ้าชายใดล่อลวงหญิงสาวบริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้หมั้นหมาย และได้มีเพศสัมพันธ์กับนาง ชายคนนั้นจะต้องจ่ายค่าสินสอดเต็มจำนวน เพื่อรับนางมาเป็นเมีย 17 แต่ถ้าพ่อของนางหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมยกนางให้กับชายคนนั้น เขาก็ยังจะต้องจ่ายค่าชดใช้เท่ากับค่าสินสอดของหญิงบริสุทธิ์
กฎอื่นๆ
18 หญิงคนไหนที่เป็นแม่มดหมอผี ต้องตาย
19 ใครร่วมเพศกับสัตว์ คนนั้นจะต้องถูกประหาร
20 ใครเซ่นไหว้พวกพระอื่นที่ไม่ใช่พระยาห์เวห์ ต้องถูกประหาร
21 เจ้าต้องไม่ทารุณหรือข่มเหงคนต่างชาติ เพราะว่าพวกเจ้าก็เคยเป็นคนต่างชาติในแผ่นดินอียิปต์มาก่อน
22 พวกเจ้าต้องไม่ทำร้ายหญิงหม้ายหรือเด็กกำพร้า 23 ถ้าเจ้าทำร้ายพวกเขา พวกเขาก็จะมาร้องทุกข์กับเรา และเราก็จะฟังเสียงร้องทุกข์ของพวกเขา 24 เราจะโกรธและเราจะฆ่าพวกเจ้าด้วยดาบ เมียพวกเจ้าก็จะกลายเป็นหม้าย ลูกของพวกเจ้าก็จะกลายเป็นเด็กกำพร้า
25 ถ้าเจ้าให้คนจนในหมู่คนของเรายืมเงิน เจ้าต้องไม่ทำตัวเป็นเจ้าหนี้เขา และห้ามคิดดอกเบี้ยเขาด้วย 26 ถ้าเจ้ายึดเสื้อของเพื่อนบ้านไว้เป็นมัดจำ เจ้าต้องคืนเสื้อนั้นให้กับเขาก่อนอาทิตย์ตกดิน 27 เพราะมันเป็นผ้าผืนเดียวที่เขาเอาไว้ห่มร่างกาย แล้วกลางคืนเขาจะเอาอะไรห่มนอน เมื่อเขามาร้องทุกข์กับเรา เราก็จะฟัง เพราะเราสงสารเขา 28 เจ้าต้องไม่หมิ่นประมาทพระเจ้า หรือสาปแช่งผู้นำประชาชนของเจ้า
29 เจ้าจะต้องไม่เก็บผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์ หรือน้ำผลไม้ที่เจ้าผลิตได้ครั้งแรก เอาไว้เอง และเจ้าต้องยกลูกชายคนโตของเจ้าให้กับเรา 30 เจ้าต้องทำอย่างเดียวกันกับวัวตัวผู้และแกะของเจ้า สัตว์หัวปีที่เพิ่งเกิดมา ให้มันอยู่กับแม่ของมันก่อนในเจ็ดวันแรก ในวันที่แปดเจ้าถึงยกมันให้กับเรา
31 พวกเจ้าจะต้องเป็นประชาชนที่อุทิศไว้ให้กับเรา เนื้อที่ถูกสัตว์ป่าฉีกกินในท้องทุ่ง พวกเจ้าต้องไม่เอามากิน แต่เอาไปโยนให้หมากินซะ
23 เจ้าต้องไม่แพร่กระจายข่าวลือที่ไม่จริงออกไป อย่าไปร่วมมือกับคนชั่วเป็นพยานเท็จ
2 เจ้าต้องไม่ทำชั่วเพราะอยากทำตามคนส่วนใหญ่ เจ้าต้องไม่เป็นพยานเท็จในคดีโต้แย้ง เพื่อบิดเบือนความยุติธรรม เพราะต้องการเอาใจคนส่วนใหญ่ 3 หรือเข้าข้างคนจนในคดีของเขา เพราะเห็นว่าเขาจน
4 เมื่อเจ้าเผอิญไปเจอวัวตัวผู้หรือลาของศัตรูที่เดินหลงทางมา เจ้าต้องเอาไปคืนเจ้าของมัน
5 เมื่อเจ้าเห็นลาของศัตรู กำลังล้มลงเพราะแบกของหนัก เจ้าต้องไม่ทิ้งไว้อย่างนั้น เจ้าต้องเข้าไปช่วยมัน
6 เจ้าต้องไม่ปล่อยให้เพื่อนบ้านที่ยากจนไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดีโต้แย้งของเขา
7 เจ้าต้องไม่ฟ้องร้องคนอื่นในเรื่องที่ไม่เป็นจริง อย่าฆ่าคนบริสุทธิ์และคนที่ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาเรา เพราะเราจะไม่ยกโทษให้กับคนที่ทำผิดนั้นเลย
8 เจ้าต้องไม่รับสินบน เพราะสินบนจะทำให้คนตาบอด และบิดเบือนความยุติธรรมที่คนบริสุทธิ์ควรจะได้รับ
9 เจ้าต้องไม่กดขี่คนต่างด้าว พวกเจ้าก็รู้ดีว่ามันรู้สึกยังไงที่เป็นคนต่างด้าว เพราะพวกเจ้าก็เคยเป็นคนต่างด้าวมาก่อนในแผ่นดินอียิปต์
10 เจ้าสามารถเพาะปลูกบนแผ่นดินของเจ้า และเก็บเกี่ยวผลผลิตของมันในหกปี 11 แต่ในปีที่เจ็ด เจ้าต้องปล่อยให้มันพัก ห้ามเพาะปลูก ถ้ามีพืชผลอะไรงอกออกมา ก็ทิ้งไว้ให้คนจนมาเก็บกิน ส่วนที่เหลือจากคนจน สัตว์ป่าก็จะมากิน ส่วนไร่องุ่นและไร่มะกอกของเจ้า ก็ให้ทำอย่างเดียวกัน
12 ให้เจ้าทำงานเป็นเวลาหกวัน แต่ในวันที่เจ็ด ให้เจ้าหยุดพักผ่อน เพื่อวัวตัวผู้ และลาของเจ้าจะได้พักผ่อนด้วย และลูกชายของทาสหญิงของเจ้าและชาวต่างด้าวจะได้สดชื่นขึ้นด้วย
13 ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้บอกกับพวกเจ้านี้ ให้เชื่อฟังให้ดี และอย่าอ้างถึงชื่อของพวกพระอื่น ชื่อของพระเหล่านั้นไม่ควรจะออกมาจากปากของเจ้า
สามเทศกาลที่ต้องจัดทุกปี
(อพย. 34:18-26; ฉธบ. 16:1-17)
14 ในหนึ่งปี เจ้าจะต้องเฉลิมฉลองเทศกาลให้กับเราสามครั้ง 15 เทศกาลแรก จะเป็นเทศกาลขนมปังที่ไม่ใส่เชื้อฟู เจ้าจะต้องกินขนมปังที่ไม่ใส่เชื้อฟู เป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันที่เราได้สั่งไว้ ในเดือนอาบีบ[u] เพราะพวกเจ้าได้ออกมาจากอียิปต์ในเดือนนั้น และให้แต่ละคนนำเครื่องบูชามาถวายกับเราด้วย
16 เทศกาลที่สองจะเป็นเทศกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตแรกจากสิ่งที่เจ้าได้เพาะปลูกในท้องทุ่งของเจ้า
และเทศกาลที่สาม จะเป็นเทศกาลเก็บเกี่ยวปลายปี จะเป็นเทศกาลเก็บรวบรวมผลผลิตจากท้องทุ่งของเจ้าตอนปลายปี
17 ผู้ชายทุกคนของพวกเจ้า จะต้องมาอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต ในสามเทศกาลนี้
18 เจ้าต้องไม่ถวายขนมปังที่ใส่เชื้อฟู ตอนที่เจ้าถวายสัตว์เป็นเครื่องบูชาให้กับเรา และจะต้องเผาไขมันของสัตว์จากเครื่องบูชาของเราในวันนั้นเลย อย่าปล่อยให้เหลือถึงวันรุ่งขึ้น
19 ทุกๆปี เจ้าต้องเอาผลผลิตที่ดีที่สุด ที่เก็บเกี่ยวครั้งแรกในปีนั้นไปยังสถานที่นมัสการพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า
เจ้าต้องไม่ต้มลูกแพะในน้ำนมของแม่มัน
พระเจ้าช่วยชาวอิสราเอลยึดแผ่นดินของตน
20 เราจะส่งทูตสวรรค์ให้ไปนำหน้าเจ้า ให้ไปคุ้มครองเจ้าในระหว่างทาง และให้นำเจ้าไปยังสถานที่ที่เราได้เตรียมไว้แล้ว 21 ให้เชื่อฟังและติดตามทูตสวรรค์และอย่าไปกบฏต่อเขา เพราะเขาจะไม่อภัยให้กับความผิดของพวกเจ้า เพราะเราให้อำนาจกับเขาอย่างเต็มที่ 22 แต่ถ้าเจ้าเชื่อฟังคำของเขาจริงๆ และทำตามทุกอย่างที่เราบอก เราจะเป็นศัตรูกับศัตรูเจ้า และจะต่อสู้กับคู่ต่อสู้ของเจ้า 23 เมื่อทูตสวรรค์ของเรา นำหน้าเจ้าไป และนำเจ้าไปพบกับชาวอาโมไรต์ ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวคานาอัน ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส เราจะทำลายพวกเขาเสีย
24 เจ้าต้องไม่ก้มกราบพระต่างๆของพวกเขา หรือบูชาพวกมัน หรือทำตามที่พวกเขาทำกัน แต่เจ้าจะต้องทำลายรูปเคารพของพวกเขาทิ้งเสียให้สิ้นซาก และทุบพวกเสาศักดิ์สิทธิ์[v] ของพวกเขาให้แตกละเอียด 25 ถ้าพวกเจ้ารับใช้พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า พระองค์จะอวยพรอาหารและน้ำของเจ้า และเราจะเอาเชื้อโรคออกไปจากเจ้า 26 จะไม่มีผู้หญิงคนไหนในแผ่นดินของเจ้า ที่จะแท้งลูกหรือเป็นหมัน เราจะทำให้เจ้ามีอายุยืนยาว
27 เราจะส่งความสยดสยองของเราไปก่อนที่เจ้าจะไปถึง[w] และเราจะทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายกับประชาชนทั้งหมดที่เจ้าจะไปเผชิญหน้าด้วย เราจะทำให้ศัตรูของเจ้าหันหลังหนีต่อหน้าเจ้า 28 เราจะส่งฝูงแตน[x] ล่วงหน้าเจ้าไปก่อน เพื่อไปขับไล่ชาวฮีไวต์ ชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ออกไปจากหน้าเจ้า 29 เราจะไม่ขับไล่พวกเขาไปจนหมดในหนึ่งปี เพื่อว่าแผ่นดินนี้จะได้ไม่ร้างจนทำให้สัตว์ป่าเพิ่มทวีคูณขึ้นทำร้ายเจ้าได้ 30 เราจะค่อยๆขับไล่พวกเขาออกไปทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าเจ้าจะเพิ่มทวีขึ้นจนครอบครองแผ่นดินทั้งหมดไว้
31 เราจะกำหนดเขตแดนของเจ้า ให้เริ่มจากทะเลแดง[y] ไปจนถึงทะเลของชาวฟีลิสเตีย และจากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งจนถึงแม่น้ำยูเฟรติส เราจะยกคนที่อาศัยอยู่บนดินแดนนั้นให้อยู่ในกำมือเจ้า และเจ้าจะขับไล่พวกเขาออกไปต่อหน้าเจ้า
32 เจ้าต้องไม่ไปทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับพวกเขา หรือกับพวกพระของพวกเขา 33 พวกเขาจะต้องไม่อยู่ในดินแดนของเจ้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้ไม่ทำให้เจ้าต้องทำบาปต่อเรา ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะไปรับใช้พวกพระของพวกเขาซึ่งจะเป็นกับดักสำหรับเจ้า
พระเจ้าและชาวอิสราเอลทำสัญญากัน
24 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เจ้ากับอาโรน นาดับ และอาบีฮู รวมทั้งพวกผู้อาวุโสอีกเจ็ดสิบคน ให้ขึ้นไปหาพระยาห์เวห์ และให้ก้มกราบอยู่ห่างๆ 2 และให้แต่โมเสสเท่านั้น เข้ามาใกล้พระยาห์เวห์ คนอื่นๆที่เหลือห้ามเข้ามาใกล้ อย่าให้ประชาชนขึ้นมากับโมเสส”
3 แล้วโมเสสก็มาบอกกับประชาชน ถึงคำพูดทุกคำของพระยาห์เวห์ และคำสั่งทั้งหมด แล้วประชาชนทั้งหมดก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราจะทำตามทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด”
4 โมเสสจึงจดทุกคำพูดของพระยาห์เวห์ไว้ วันต่อมา เขาลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และสร้างแท่นบูชาที่ตีนเขา แท่นนี้มีเสาสิบสองต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แทนสิบสองเผ่าของอิสราเอล
5 โมเสสได้ใช้ให้คนหนุ่มของชนชาติอิสราเอล ไปเอาวัวตัวผู้ไปถวายเป็นเครื่องเผาบูชา และเป็นเครื่องสังสรรค์บูชาให้กับพระยาห์เวห์
6 โมเสสเอาเลือดครึ่งหนึ่งใส่ไว้ในพวกชาม และเอาอีกครึ่งหนึ่งไปพรมบนแท่นบูชา[z]
7 โมเสสได้เอาหนังสือแห่งข้อตกลงออกมา และอ่านมันให้กับประชาชนฟัง พวกเขาต่างก็พูดว่า “พวกเราจะทำตามและเชื่อฟังสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้พูดมาทั้งหมด”
8 โมเสสจึงเอาเลือดที่อยู่ในพวกชาม มาพรมให้กับประชาชน เขาพูดว่า “นี่คือเลือดแห่งข้อตกลง ที่พระยาห์เวห์ได้ทำไว้กับพวกท่าน ตามคำพูดทั้งหมดที่เขียนไว้นี้”
9 โมเสส อาโรน นาดับ และอาบีฮู รวมทั้งพวกผู้ใหญ่ชาวอิสราเอลทั้งเจ็ดสิบคนเดินขึ้นไป 10 และเห็นพระเจ้าของชาวอิสราเอล พื้นที่รองใต้เท้าของพระองค์เป็นพลอยไพลินที่ใสเหมือนท้องฟ้า 11 พวกเขาเห็นพระองค์[aa] แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทำลายพวกหัวหน้าประชาชนชาวอิสราเอลเหล่านี้ พวกเขาได้กินและดื่มต่อหน้าพระองค์
โมเสสขึ้นไปรับกฎจากพระเจ้า
12 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ขึ้นมาหาเราบนภูเขา และคอยเราที่นั่น เพื่อเราจะให้แผ่นหินสองแผ่น ที่มีกฎและพวกคำสั่งสอน ที่เราได้เขียนไว้สำหรับสอนพวกเขา”
13 โมเสสและโยชูวาผู้ช่วยของโมเสสลุกขึ้น และโมเสสขึ้นไปที่ภูเขาของพระเจ้า 14 แต่เขาได้พูดกับพวกผู้อาวุโสพวกนั้นว่า “ให้คอยพวกเราอยู่ที่นี่ จนกว่าพวกเราจะกลับมาหาพวกท่าน อาโรนและเฮอร์จะอยู่กับพวกท่าน ใครที่มีเรื่องฟ้องร้องกัน ก็ให้ไปหาสองคนนี้”
โมเสสพบกับพระเจ้า
15 โมเสสขึ้นไปบนภูเขาและเมฆก็ปกคลุมภูเขาอยู่ 16 รัศมีของพระยาห์เวห์ ได้ลงมาอยู่บนภูเขาซีนาย และเมฆได้ปกคลุมภูเขานั้นอยู่หกวัน แล้วในวันที่เจ็ด พระยาห์เวห์ได้เรียกโมเสสจากท่ามกลางเมฆนั้น 17 สำหรับประชาชนชาวอิสราเอลแล้ว รัศมีของพระยาห์เวห์ ดูเหมือนกับเปลวไฟที่กำลังเผาผลาญยอดเขาอยู่ 18 โมเสสเข้าไปในเมฆนั้น และขึ้นไปยังภูเขา โมเสสอยู่บนภูเขานั้นสี่สิบวันสี่สิบคืน
ของถวายใช้ทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์
(อพย. 35:4-9)
25 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 2 “บอกกับประชาชนอิสราเอลให้นำของถวายมาให้เรา ให้แต่ละคนตัดสินใจเองว่า เขาอยากให้อะไรกับเรา แล้วให้เจ้ารับของถวายนี้แทนเรา 3 ของถวายที่เจ้าจะได้รับจากพวกเขา คือ ทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ 4 ด้ายสีน้ำเงิน สีม่วงและสีแดงเข้ม ผ้าลินิน[ab] อย่างดี ขนแพะ 5 หนังแกะตัวผู้ หนังปลาโลมา ไม้กระถิน 6 น้ำมันสำหรับจุดตะเกียง เครื่องเทศที่ใช้ทำน้ำมันสำหรับเจิม และทำเครื่องหอม 7 หินจำพวกนิลและพลอยที่จะเอาไปฝังในเอโฟด และถุงผ้าทับอก
เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์
8 แล้วให้พวกเขาสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้กับเรา และเราจะอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า 9 เราจะแสดงให้เห็นว่าเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์และเครื่องใช้ไม้สอยของมัน มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร พวกเจ้าจะต้องสร้างตามแบบนั้นทุกอย่าง
หีบศักดิ์สิทธิ์
(อพย. 37:1-9)
10 ให้พวกเขาทำหีบด้วยไม้กระถิน ที่มีความยาวสองศอกครึ่ง[ac] กว้างหนึ่งศอกครึ่ง[ad] สูงหนึ่งศอกครึ่ง 11 หีบนั้นจะต้องเคลือบด้วยทองคำบริสุทธิ์ทั้งด้านในและด้านนอก เจ้าต้องทำขอบของหีบด้วยทองโดยรอบ 12 ทำห่วงทองคำสี่ห่วงสำหรับหีบนั้นและติดห่วงนั้นไว้ที่ขาทั้งสี่ขา ติดสองห่วงไว้ด้านหนึ่งและอีกสองห่วงไว้อีกด้านหนึ่ง 13 ให้ทำคานที่ทำด้วยไม้กระถินและเคลือบคานด้วยทองคำ 14 สอดคานเหล่านั้นเข้าที่ห่วงด้านข้างของหีบ เพื่อใช้ยกหีบนั้น 15 คานเหล่านั้นจะต้องสอดอยู่ในห่วงของหีบและต้องไม่ถอดออกจากหีบเลย
16 ให้เจ้าใส่แผ่นหินสองแผ่นที่มีข้อตกลงเขียนไว้ ที่เราจะให้กับเจ้าลงในหีบนั้น 17 เจ้าจะต้องทำฝาหีบขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ ตรงฝาที่ความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ ฝาหีบจะมีความยาวสองศอกครึ่ง กว้างหนึ่งศอกครึ่ง 18 ให้สร้างเครูบสององค์ด้วยทองคำ เจ้าต้องขึ้นรูปเครูบนี้ด้วยค้อน และตั้งแต่ละองค์ไว้ที่ปลายของฝาหีบทั้งสองข้าง 19 ตั้งไว้ที่ปลายทั้งสองข้างของฝาหีบที่ความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ ให้สร้างเครูบทั้งสององค์นั้นติดเป็นเนื้อเดียวกับฝาหีบที่ปลายทั้งสอง 20 เครูบทั้งสององค์นั้นมีปีกทั้งสองข้างที่กางออก ปีกด้านหนึ่งของเครูบนั้นทำให้เกิดเงาขึ้นบนฝาหีบที่ความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ และเครูบทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน ทั้งสองจะหันหน้าไปทางที่ซึ่งความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ
21 ให้เจ้าเอาฝาหีบที่ความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ มาวางลงบนหีบนั้น และใส่หลักฐานที่เราจะมอบให้เจ้าลงไปในหีบนั้น 22 ตรงนี้แหละ เราจะพบกับเจ้าเหนือฝาหีบที่ความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ ที่อยู่ระหว่างเครูบทั้งสองนั้น ซึ่งอยู่บนหีบแห่งข้อตกลง เราจะบอกเจ้าทุกเรื่องที่เราอยากให้เจ้าไปสั่งกับประชาชนชาวอิสราเอล
โต๊ะวางขนมปัง
(อพย. 37:10-16)
23 ให้เจ้าเอาไม้กระถินมาทำโต๊ะที่มีความยาวสองศอก[ae] กว้างหนึ่งศอก[af] สูงหนึ่งศอกครึ่ง 24 ให้เคลือบโต๊ะนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ และทำลวดลายด้วยทองคำบริสุทธิ์รอบๆโต๊ะ 25 ทำกรอบกว้างหนึ่งฝ่ามือรอบๆโต๊ะ และทำลวดลายบนกรอบนั้น 26 แล้วทำห่วงทองคำสี่ห่วงเอาไว้ติดกับมุมขาโต๊ะทั้งสี่มุม 27 ห่วงทั้งสี่ห่วงจะต้องติดอยู่กับกรอบเพื่อยึดคานเวลาหามโต๊ะ 28 ให้ทำคานด้วยไม้กระถินและเคลือบมันด้วยทองคำ คานนี้จะใช้หามโต๊ะ 29 ให้เจ้าทำพวกจาน ชาม ไหและโถที่ใช้รินเครื่องดื่มบูชา สิ่งเหล่านี้จะต้องทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ 30 ให้จัดขนมปังไว้บนโต๊ะตรงหน้าเราอย่าให้ขาด
ตะเกียงที่มีขาตั้ง
(อพย. 37:17-24)
31 ให้เจ้าทำตะเกียงที่มีขาตั้งด้วยทองคำบริสุทธิ์ ให้ขึ้นรูปฐานและลำตัวของตะเกียงที่มีขาตั้งด้วยค้อน ส่วนฐานดอก ตัวดอก และกลีบดอกให้ทำติดเป็นเนื้อเดียวกัน
32 ให้มีก้านหกก้านยื่นออกมาจากตะเกียงที่มีขาตั้งนั้น ข้างละสามก้าน 33 แต่ละก้านจะต้องมีดอกไม้สามดอกที่เหมือนดอกอัลมอนต์ ทุกๆดอกให้มีฐานดอกและกลีบดอก ให้ทำตามนี้ทั้งหกก้าน 34 สำหรับลำตัวตะเกียงที่มีขาตั้งนั้น ให้มีถ้วยสี่ใบที่มีรูปร่างเหมือนกับดอกอัลมอนด์ มีฐานดอกและกลีบดอก 35 ใต้กิ่งทุกๆคู่ ทั้งหกกิ่งที่ยื่นออกมาจากลำตัวของตะเกียงที่มีขาตั้งนั้น จะต้องมีฐานดอกติดเป็นเนื้อเดียวกัน 36 ฐานดอกและก้านเหล่านั้นจะต้องทำให้ติดเป็นเนื้อเดียวกัน ทุกชิ้นส่วนของตะเกียงที่มีขาตั้งนั้น จะต้องใช้ค้อนขึ้นรูปจากทองคำบริสุทธิ์ 37 ให้ทำตะเกียง[ag] เจ็ดดวงใส่ที่ตะเกียงที่มีขาตั้งนั้น แล้วจุดตะเกียงเหล่านั้นเพื่อตะเกียงเหล่านั้นจะได้ส่องแสงไปยังพื้นที่หน้าตะเกียงที่มีขาตั้ง 38 ให้ใช้ทองคำบริสุทธิ์ทำกรรไกรตัดไส้ตะเกียงและถาดใส่ไส้ตะเกียงที่ตัดนั้น 39 ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดจะต้องใช้ทองคำบริสุทธิ์หนักหนึ่งตะลันต์[ah] 40 ให้เจ้าทำสิ่งเหล่านี้ตามแบบที่เราได้ให้เจ้าดูบนภูเขานี้
เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์
(อพย. 36:8-34)
26 ให้เจ้าสร้างเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยม่านสิบผืนที่ทำจากผ้าลินินเนื้อดี และผ้าที่ทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วงและสีแดงเข้ม ปักลายเครูบลงไปอย่างประณีตบนผ้าม่านนั้นด้วย 2 ให้ม่านแต่ละผืนยาวยี่สิบแปดศอก[ai] กว้างสี่ศอก[aj] ทุกผืนต้องมีขนาดเท่ากันหมด 3 ผ้าม่านห้าผืนจะถูกเกี่ยวเข้าด้วยกันเป็นผืนใหญ่ และที่เหลืออีกห้าผืนก็จะเกี่ยวเข้าด้วยกันด้วย 4 เอาผ้าสีน้ำเงินทำเป็นหูติดไว้กับขอบผ้าม่านผืนใหญ่ทั้งสองผืนนั้น 5 ให้ที่ขอบม่านแต่ละผืนทำหูห้าสิบหู และให้หูของทั้งสองม่านอยู่ตรงกัน 6 แล้วให้เจ้าทำตะขอจากทองคำห้าสิบอัน เอาไว้เกี่ยวผ้าม่านเหล่านั้นเข้าด้วยกันให้เป็นผืนเดียวกัน
7 เจ้าต้องทำผ้าม่านขึ้นอีกสิบเอ็ดผืนจากขนแพะ เพื่อไปคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์นี้อีกชั้นหนึ่ง 8 ผ้าม่านขนแพะแต่ละผืนยาวสามสิบศอก[ak] กว้างสี่ศอก ทุกผืนเท่ากันหมด 9 เอาห้าผืนแรกมาเกี่ยวติดกันเป็นผืนใหญ่ ที่เหลืออีกหกผืน ก็เอามาเกี่ยวติดกันเป็นอีกหนึ่งผืนใหญ่ แล้วให้พับผ้าของผืนที่หกที่คลุมอยู่ด้านหน้าของเต็นท์นั้น 10 เจ้าต้องทำหูไว้ที่ขอบผ้าม่านของผ้าชิ้นบนสุดของชุดแรก และทำอย่างเดียวกันกับผ้าชิ้นบนสุดทั้งสองผืนใหญ่นั้นผืนละห้าสิบหู 11 และทำตะขอจากทองสัมฤทธิ์ ไว้เกี่ยวกับหูของผ้าม่านทั้งสองผืนนั้นให้เป็นผืนเดียวกัน 12 ส่วนของผ้าม่านครึ่งที่เหลือให้แขวนห้อยลงด้านหลังของเต็นท์ 13 และส่วนของผ้าที่เหลืออีกข้างละหนึ่งศอก[al] ให้แขวนห้อยลงมาปิดด้านข้างของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองข้าง 14 เอาหนังแกะตัวผู้ทำเป็นหลังคาเต็นท์ชั้นใน ส่วนหลังคาเต็นท์ชั้นนอก ให้ทำจากหนังปลาโลมา
15 ให้เจ้านำไม้กระถินมาทำเป็นกรอบค้ำเต็นท์ 16 กรอบนี้มีความสูงสิบศอก[am] กว้างหนึ่งศอกครึ่ง[an] 17 ที่ส่วนปลายของไม้ทั้งสองข้างทำเป็นเดือยไว้สองเดือยเพื่อเชื่อมไม้ให้ติดกัน กรอบไม้ทุกอันให้ทำออกมาเป็นลักษณะเดียวกันนี้ทั้งหมด 18 ทำจำนวนทั้งหมดยี่สิบกรอบสำหรับทางทิศใต้ของเต็นท์ 19 และใช้เงินหล่อทำเป็นฐานของกรอบเหล่านั้นโดยทำสองฐานต่อหนึ่งกรอบ ให้ตั้งอยู่ทางส่วนปลายที่เป็นเดือยทั้งสองข้างของกรอบ รวมทั้งหมดสี่สิบฐาน 20 ส่วนอีกข้างที่อยู่ตรงกับทิศเหนือของเต็นท์ ให้ทำกรอบอีกยี่สิบกรอบ 21 ทำฐานเงินสี่สิบฐานโดยใช้สองฐานต่อหนึ่งกรอบเหมือนกัน 22 ส่วนด้านหลังของเต็นท์ที่อยู่ทิศตะวันตกให้ทำกรอบขึ้นหกกรอบ 23 และที่มุมด้านหลังทั้งสองมุมของเต็นท์ ให้สร้างกรอบสองกรอบสำหรับสองมุมนั้น 24 ทั้งสองกรอบนั้น ในส่วนล่างจะแยกกัน แต่ส่วนบนจะเชื่อมต่อกันด้วยห่วงหนึ่งห่วง ให้สร้างแบบเดียวกันนี้กับมุมทั้งสองมุม 25 อย่างนี้จะได้กรอบรวมแปดกรอบบนฐานเงินสิบหกฐาน โดยแบ่งเป็นสองฐานต่อหนึ่งกรอบ
26 นำไม้กระถินมาทำเป็นไม้ขัดห้าอัน สำหรับขัดกรอบเหล่านั้นบนด้านหนึ่งของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 27 และอีกห้าอันสำหรับขัดกรอบด้านที่สองของเต็นท์ และอีกห้าอันสำหรับขัดกรอบด้านหลังที่อยู่ทางตะวันตกของเต็นท์ 28 ไม้ขัดกรอบพวกนี้จะสอดขัดอยู่ระหว่างกลางของกรอบไม้เหล่านั้นเพื่อร้อยกรอบไม้เหล่านั้นเข้าด้วยกัน
29 เคลือบทองคำให้กรอบไม้เหล่านั้น และทำห่วงจากทองคำติดไว้ที่กรอบไม้ เพื่อเอาไว้สอดไม้ขัดนั้น เจ้าต้องเอาทองหุ้มสำหรับไม้ขัดกรอบเหล่านั้นด้วย 30 แล้วเจ้าจะสามารถติดตั้งเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ตามแบบที่เราให้เจ้าดูบนภูเขาแห่งนี้
ภายในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์
(อพย. 36:35-36)
31 เจ้าต้องทำผ้าม่านที่ทอจากเส้นใยลินินอย่างดี และผ้าที่ทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง และสีแดงเข้ม และให้ปักลายเครูบลงไปอย่างประณีตบนผ้าม่านนั้นด้วย 32 แขวนผ้าม่านนี้ไว้ด้วยตะขอทองคำที่อยู่บนเสาไม้กระถินทั้งสี่ต้นที่หุ้มทองไว้แล้ว เสาเหล่านี้ตั้งอยู่บนฐานเงินสี่ฐาน 33 แขวนผ้านั้นไว้กับตะขอทองคำเหล่านั้น[ao] และให้นำหีบที่ใส่แผ่นหินสองแผ่นแห่งข้อตกลง มาวางไว้หลังม่านนั้น ผ้าม่านนี้จะกั้นระหว่างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด 34 เจ้าต้องวางฝาหีบที่ความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ ไว้บนหีบใส่แผ่นหินสองแผ่นแห่งข้อตกลง ที่วางอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้น
35 ให้วางโต๊ะไว้ที่ด้านนอกของม่าน และวางตะเกียงที่มีขาตั้งไว้ตรงข้ามกับโต๊ะซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนโต๊ะนั้นอยู่ทางทิศเหนือของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์
ประตูของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์
(อพย. 36:37-38)
36 ให้เอาผ้าที่ทอด้วยด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง และสีแดงเข้ม รวมทั้งผ้าลินินที่ปักอย่างประณีต มาทำเป็นฉากกั้นปิดช่องประตู 37 นำไม้กระถินมาทำเป็นเสาห้าต้นสำหรับฉากกั้นนั้น และหุ้มทองทับเสาเหล่านั้นด้วย ทำตะขอจากทองคำติดไว้ และเอาทองสัมฤทธิ์หล่อทำเป็นฐานของเสาทั้งห้าต้นนั้น
แท่นบูชาสำหรับเผาเครื่องบูชา
(อพย. 38:1-7)
27 เจ้าต้องสร้างแท่นบูชาจากไม้กระถินขนาดยาวห้าศอก[ap] กว้างห้าศอกเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูงสามศอก[aq] 2 ที่มุมทั้งสี่ด้านให้ทำเชิงงอนติดกับแท่นบูชาเป็นชิ้นเดียวกันแล้วหุ้มทองสัมฤทธิ์
3 นำทองสัมฤทธิ์มาทำเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับแท่น คือพวกหม้อใส่ขี้เถ้า ทัพพี ชามประพรม ส้อม และกระทะ 4 ใช้ทองสัมฤทธิ์ทำเป็นตะแกรงหนึ่งอันกับห่วงอีกสี่อันติดไว้ที่มุมทั้งสี่มุมของตะแกรงนั้น 5 และเอาไปวางไว้ในแท่น ลึกจากขอบของแท่นบูชาลงไปครึ่งหนึ่ง
6 เจ้าต้องทำไม้คานสำหรับแท่นบูชาด้วย โดยใช้ไม้กระถินเทศและหุ้มทองสัมฤทธิ์ 7 เมื่อต้องการยกแท่นบูชาขึ้น ไม้คานนี้จะสอดผ่านห่วงสัมฤทธิ์ทั้งสองข้างของแท่นบูชา 8 ให้ใช้แผ่นกระดานปิดด้านข้างไว้ เพราะฉะนั้น ภายในแท่นบูชานี้จะกลวง ให้เจ้าสร้างแท่นบูชาตามแบบที่เราให้ดูบนภูเขาลูกนี้
ลานรอบๆเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์
(อพย. 38:9-20)
9 เจ้าต้องทำลานทางทิศใต้ของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ โดยใช้ผ้าทอลินิน ขนาดยาวหนึ่งร้อยศอก[ar] เอามากั้นเป็นม่าน 10 ใช้เสายี่สิบต้น ที่ตั้งอยู่บนฐานทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน ตะขอและห่วงที่ติดอยู่บนเสาให้ทำจากเงิน 11 ส่วนทางทิศเหนือของเต็นท์ ให้ทำเหมือนทิศใต้คือ ขึงผ้าทอลินินยาวหนึ่งร้อยศอกบนเสายี่สิบต้น ที่ตั้งอยู่บนฐานทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน ตะขอและห่วงทำจากเงิน
12 ทิศตะวันตกให้ใช้ผ้าทอลินิน ยาวห้าสิบศอก[as] ทำเสาสิบต้นบนฐานสิบฐาน 13 ด้านหน้าของเต็นท์ ซึ่งหันไปทางทิศตะวันออก ก็ใช้ผ้าขนาดห้าสิบศอกเหมือนกัน 14 ทำม่านอีกผืนขนาดสิบห้าศอก[at] เพื่อใช้แขวนไว้ด้านหนึ่งของประตูโดยตั้งเสาขึ้นใหม่สามต้นบนฐานสามฐาน 15 อีกด้านหนึ่งให้ทำเหมือนกันคือ แขวนม่านขนาดสิบห้าศอกไว้บนเสาสามต้นที่อยู่บนฐานสามฐาน
16 ประตูลานใช้ฉากที่ทำจากผ้าที่ทอด้วยด้ายสีน้ำเงิน สีม่วงและสีแดงเข้ม และผ้าลินินเนื้อดี เย็บติดกันขนาดยาวยี่สิบศอก[au] แขวนที่เสาสี่เสาบนฐานสี่ฐาน 17 เสาที่ล้อมรอบลานทั้งหมดจะมีราวที่ทำจากเงินเชื่อมต่อกัน และมีตะขอที่ทำจากเงิน ส่วนฐานทำจากทองสัมฤทธิ์ 18 ลานควรมีขนาดยาวหนึ่งร้อยศอก กว้างห้าสิบศอก สูงห้าศอก ให้แขวนผ้าลินินอย่างดีไว้กับเสาที่ตั้งอยู่บนฐานทองสัมฤทธิ์ 19 ให้ใช้ทองสัมฤทธิ์ทำข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งหมุดยึดเต็นท์ และหมุดยึดที่อยู่ในลานทั้งหมด
น้ำมันสำหรับตะเกียง
(ลนต. 24:1-4)
20 เจ้าต้องสั่งให้ชาวอิสราเอลนำน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่คั้นไว้ มาใช้จุดตะเกียงเพื่อให้มันสว่างอย่างต่อเนื่อง 21 อาโรนและพวกลูกชายของเขาจะรับหน้าที่ดูแลตะเกียงตั้งแต่เวลาเย็นจนถึงเช้าวันใหม่ ตะเกียงเหล่านั้นจะอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ในส่วนเต็นท์นัดพบ ซึ่งอยู่นอกม่านที่อยู่ต่อหน้าหีบที่ใส่แผ่นหินสองแผ่นแห่งข้อตกลงไว้ กฎนี้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องปฏิบัติตามตลอดไปจนชั่วลูกชั่วหลาน
เสื้อผ้าของนักบวช
(อพย. 39:1-31)
28 ให้นำตัวอาโรนพี่ชายของเจ้าและพวกลูกชายของเขา คือ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ แยกออกมาจากลูกหลานของอิสราเอล เพื่อมาเป็นนักบวชของเรา
2 ให้เจ้าทำชุดศักดิ์สิทธิ์ให้กับอาโรน พี่ชายของเจ้า เพื่อเป็นเกียรติกับเขาและเพื่อความสวยงาม 3 ให้เจ้าไปบอกเรื่องนี้กับช่างพวกนั้นที่มีความชำนาญ เราได้ใส่วิญญาณแห่งผู้เชี่ยวชาญให้กับพวกเขาไว้แล้ว เพื่อพวกเขาจะได้ตัดเย็บเสื้อผ้าให้อาโรน เพื่อทำให้เขาศักดิ์สิทธิ์และเพื่อเขาจะได้เป็นนักบวชของเรา 4 เสื้อผ้าที่พวกเขาจะต้องเย็บมี ถุงผ้าทับอก เอโฟด ชุดกระโปรงยาว ผ้าคลุม ผ้าโพกหัว ผ้ารัดเอว พวกเขาจะต้องเย็บชุดศักดิ์สิทธิ์นี้ให้อาโรน พี่ชายของเจ้า เพื่อเขาจะได้เป็นนักบวชของเรา 5 บอกกับช่าง ให้ใช้ผ้าทอง ผ้าทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าทอลินินเนื้อดี
เอโฟดและผ้าคาดเอว
(อพย. 39:2-7)
6 ให้ทำเอโฟดจากผ้าทอง ผ้าที่ทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง สีแดงเข้มและผ้าทอลินินเนื้อดี โดยใช้ช่างเย็บที่มีฝีมือ 7 ที่ไหล่ทั้งสองข้างของเอโฟดนี้ จะมีผ้าสองชิ้นเย็บติดอยู่ทั้งสองข้าง ข้างละชิ้น
8 ผ้าคาดเอวสำหรับเอโฟด จะต้องตัดเย็บอย่างประณีต และใช้วัสดุเดียวกับที่ใช้เย็บเอโฟด คือผ้าทอง ผ้าที่ทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าทอลินินเนื้อดี
9 ให้เอานิลมาสองก้อน มาแกะชื่อพวกลูกชายของอิสราเอลลงไป 10 ให้แกะชื่อหกชื่อลงในนิลก้อนแรก และอีกหกชื่อที่เหลือในนิลก้อนที่สองเรียงตามการเกิด 11 ในการแกะชื่อพวกลูกชายของอิสราเอล ให้ใช้วิธีเดียวกับที่ช่างเจียระไนพลอยแกะตราประทับ[av] แล้วใช้ทองคำทำเป็นตัวเรือน หุ้มนิลทั้งสองก้อนไว้ 12 และให้เอาไปติดไว้บนบ่าทั้งสองข้างของเอโฟด เพื่อให้พระยาห์เวห์ระลึกถึงลูกหลานของอิสราเอล อาโรนจะสวมชื่อของพวกเขาอยู่บนบ่า เมื่ออยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ เพื่อพระองค์จะได้ระลึกถึงพวกเขา 13 เจ้าต้องทำตัวเรือนทองคำขึ้นมา 14 และให้ทำสายสร้อยทองคำบริสุทธิ์ ขึ้นมาสองเส้น เป็นสร้อยถักเป็นเกลียวเหมือนเชือก แล้วเอาไปติดกับตัวเรือนทองคำนั้น
ถุงผ้าทับอกสำหรับการตัดสินคดี
(อพย. 39:8-21)
15 เจ้าต้องทำถุงผ้าทับอกสำหรับตัดสินคดี อย่างประณีตเหมือนกับทำเอโฟด คือใช้ผ้าทอง ผ้าที่ทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าทอลินินเนื้อดี 16 ถุงผ้าทับอกนี้จะต้องพับครึ่งทบกันเป็นถุง เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดยาวหนึ่งคืบ[aw] กว้างหนึ่งคืบ 17 ให้เอาพลอยมีค่ามาประดับไว้ที่ถุงผ้าทับอกนี้ เรียงเป็นสี่แถว แถวละสามเม็ด แถวแรกใส่พลอยสีแดง บุษราคัมและมรกต 18 แถวที่สองใส่ทับทิม ไพลิน และแก้วผลึก 19 แถวที่สามใส่เพทาย พลอยสีขุ่น และเขี้ยวแก้วหนุมาน 20 แถวที่สี่ใส่พลอยสีเขียว นิลและหินแจสเพอร์[ax] พลอยประดับพวกนี้จะถูกฝังอยู่ในตัวเรือนที่ทำจากทองคำ 21 จะมีพลอยทั้งหมดสิบสองก้อน เพื่อใส่ชื่อของพวกลูกชายของอิสราเอล พลอยประดับแต่ละก้อนจะเหมือนตราประทับ จะมีชื่อของเผ่าทั้งสิบสองเผ่าแกะสลักไว้ก้อนละเผ่า
22 เจ้าต้องทำสายสร้อยจากทองคำบริสุทธิ์ ที่ถักเป็นเกลียวเหมือนเชือก สำหรับถุงผ้าทับอกนี้ 23 ให้ทำห่วงทองคำสองห่วง ติดไว้ที่มุมด้านบนของถุงผ้าทับอกนี้ มุมละอัน 24 แล้วให้เอาสร้อยทองสองเส้นนั้นมาคล้องเข้ากับห่วงทองคำสองห่วงที่ติดอยู่ที่มุมด้านบนของถุงผ้าทับอกนี้ 25 แล้วเอาอีกปลายของสร้อยทองนั้น ไปคล้องกับตัวเรือนทองคำที่ติดอยู่บนไหล่ทั้งสองของเอโฟด สร้อยทั้งสองนั้นจะติดอยู่ที่ไหล่ของเอโฟดด้านหน้า 26 เจ้าต้องทำห่วงทองคำขึ้นมาอีกสองห่วง แล้วเอามาติดไว้กับปลายด้านในของถุงผ้าทับอกที่ติดกับเอโฟดนี้ 27 เจ้าต้องทำห่วงทองคำอีกสองห่วงและติดห่วงนั้นไว้กับส่วนล่างของไหล่ทั้งสองข้าง ตรงด้านหน้าของเอโฟด ใกล้กับตะเข็บเหนือผ้าคาดเอวขึ้นมา 28 ให้เอาเชือกสีน้ำเงิน มาผูกห่วงทั้งสองอันของถุงผ้าทับอกกับห่วงสองอันของเอโฟดเข้าด้วยกัน เพื่อถุงผ้าทับอกจะได้อยู่ใกล้กับผ้าคาดเอว และจะได้ไม่หลวมหลุดจากเอโฟด
29 อาโรนจะสวมถุงผ้าทับอกแห่งการตัดสินคดี ที่มีชื่อของพวกลูกชายอิสราเอลแกะสลักอยู่ ตรงกับหัวใจของเขา เมื่อเขาเข้ามาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ถุงผ้าทับอกนี้จะทำให้พระยาห์เวห์ระลึกถึงพวกลูกหลานของอิสราเอลตลอดไป 30 เจ้าต้องเอาอูริมและทูมมิมมาใส่ไว้ในถุงผ้าทับอกแห่งการตัดสินคดีด้วย มันจะอยู่ตรงกับหัวใจของอาโรน เมื่อเขามาอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ อาโรนจะสวมถุงผ้าทับอกที่มีชื่อพวกลูกชายของอิสราเอลสลักอยู่ ตรงกับหัวใจของเขา ต่อหน้าพระยาห์เวห์ตลอดไป
ผ้าชิ้นอื่นสำหรับนักบวช
(อพย. 39:22-31)
31 เจ้าต้องใช้ผ้าสีน้ำเงินล้วน มาตัดเป็นเสื้อชุดยาวของเอโฟด 32 ด้านบนให้ทำช่องสวมหัว เย็บขอบรอบๆช่องสวมหัวนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มันฉีกขาด เป็นเหมือนช่องสวมหัวของเสื้อทหาร 33 เอาผ้าที่ทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วงและสีแดงเข้มมาเย็บเป็นผลทับทิม ติดไว้รอบๆปลายเสื้อชุดยาวนี้ และเอากระดิ่งทองมาติดสลับกับผลทับทิม 34 ปลายเสื้อชุดยาว จะมีกระดิ่งทองและผลทับทิมติดอยู่รอบๆ 35 อาโรนจะสวมมันเมื่อเขาเข้ามารับใช้พระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์จะได้ยินเสียงกระดิ่งของอาโรน เมื่อเขาเข้ามาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าพระยาห์เวห์ และเมื่อเขาออกไป เขาจะได้ไม่ตาย
36 เจ้าต้องทำแผ่นป้ายจากทองคำบริสุทธิ์ และแกะสลักบนแผ่นป้ายเหมือนแกะสลักบนตราประทับคำว่า “ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพระยาห์เวห์” 37 ใช้ผ้าสีน้ำเงิน เย็บแผ่นป้ายทองนั้น แล้วเอาไปมัดติดไว้ด้านหน้าของผ้าโพกหัว 38 มันจะได้อยู่ตรงหน้าผากของอาโรน นี่แสดงว่า อาโรนจะแบกรับความผิดบาปทั้งหลาย ถ้ามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับพวกของขวัญศักดิ์สิทธิ์ที่ลูกหลานของอิสราเอลนำมาถวายให้กับพระยาห์เวห์ แผ่นป้ายนั้นจะอยู่บนหน้าผากของอาโรนตลอดไป เพื่อพระยาห์เวห์จะได้ยอมรับของขวัญศักดิ์สิทธิ์ของประชาชนเหล่านั้น
39 ให้เจ้าทอผ้าคลุมลายหมากรุก และทำผ้าโพกหัวจากลินินอย่างดี และให้ช่างปักมาปักลวดลายลงบนผ้าคาดเอว 40 ส่วนลูกชายของอาโรน ให้เจ้าทำผ้าคลุม ผ้าคาดเอว ให้กับพวกเขา และทำผ้าโพกหัวให้พวกเขาเพื่อให้เกียรติกับพวกเขาและเพื่อความสวยงาม 41 ให้เจ้าแต่งตัวให้กับอาโรนพี่ชายของเจ้า และพวกลูกชายของเขา เจิมพวกเขา แต่งตั้งพวกเขา และทำให้พวกเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อพวกเขาจะได้มารับใช้เราในฐานะนักบวช
42 ให้เอาผ้าลินินมาทำเป็นชุดชั้นในให้กับพวกเขา เพื่อปกปิดร่างกาย ชุดชั้นในนี้เริ่มจากเอวลงไปถึงต้นขา 43 อาโรนกับพวกลูกชายของเขาจะใส่มันเมื่ออยู่ในเต็นท์นัดพบ หรือเมื่อพวกเขาเข้าใกล้แท่นบูชา เพื่อรับใช้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจะได้ไม่ต้องแบกรับความผิดและต้องตาย นี่จะเป็นกฎสำหรับอาโรนและลูกหลานรุ่นต่อๆไปของเขาตลอดไป
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International