Print Page Options Listen to Reading
Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the CEV. Switch to the CEV to read along with the audio.

Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
1 พงศ์กษัตริย์ 9-10

องค์พระผู้เป็นเจ้า(A)

เมื่อโซโลมอนทรงสร้างพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระราชวัง และสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดเสร็จสิ้นตามที่ประสงค์แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่โซโลมอนเป็นครั้งที่สอง เหมือนที่ได้ปรากฏมาแล้วที่กิเบโอน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโซโลมอนว่า

“เราได้ยินคำอธิษฐานและคำวิงวอนของเจ้าต่อเราแล้ว เราได้ชำระวิหารที่เจ้าสร้างขึ้นนี้ให้บริสุทธิ์ โดยสถาปนานามของเราไว้ที่นั่นชั่วนิรันดร์ ตาและใจของเราจะอยู่ที่นั่นเสมอไป

“ส่วนเจ้า หากเจ้าดำเนินอยู่ต่อหน้าเราด้วยใจซื่อสัตย์สุจริตและชอบธรรมเหมือนอย่างดาวิดราชบิดาของเจ้า ทำตามคำบัญชาทั้งสิ้นของเรา และรักษากฎหมายกับบทบัญญัติของเรา เราก็จะสถาปนาราชบัลลังก์ของเจ้าเหนืออิสราเอลตลอดไปตามที่เราได้สัญญาไว้กับดาวิดราชบิดาของเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดคนครองบัลลังก์อิสราเอลเลย’

“แต่หากเจ้าหรือลูกหลานของเจ้าละทิ้งเรา ไม่ได้ปฏิบัติตามคำบัญชาและกฎหมายที่เราได้ให้แก่เจ้า[a] หันไปปรนนิบัตินมัสการพระอื่นๆ เราก็จะตัดอิสราเอลออกจากดินแดนซึ่งเราได้ยกให้เขา เราจะทิ้งวิหารแห่งนี้ซึ่งเราได้ชำระให้บริสุทธิ์เพื่อนามของเรา อิสราเอลจะกลายเป็นที่เย้ยหยันและคำเปรียบเปรยในหมู่ประชาชาติ ถึงแม้ว่าบัดนี้วิหารจะตั้งเด่นตระหง่าน คนทั้งปวงที่ผ่านไปมาก็จะตกตะลึงและจะเยาะเย้ยว่า ‘ทำไมหนอองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงกระทำต่อวิหารและดินแดนนี้ถึงเพียงนี้?’ ผู้คนจะตอบว่า ‘เพราะพวกเขาได้ละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา ผู้ทรงนำบรรพบุรุษของพวกเขาออกจากอียิปต์ หันไปฝักใฝ่ปรนนิบัตินมัสการพระอื่นๆ แทน ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงนำเหตุร้ายทั้งหมดนี้มาสู่พวกเขา’ ”

พระราชกิจอื่นๆ ของโซโลมอน(B)

10 ในตอนปลายของช่วงยี่สิบปีที่โซโลมอนทรงก่อสร้างพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและพระราชวังของพระองค์เอง 11 กษัตริย์โซโลมอนทรงมอบเมืองยี่สิบแห่งในกาลิลีให้กษัตริย์ฮีรามแห่งไทระเป็นค่าตอบแทนสำหรับไม้สนซีดาร์ ไม้สนอื่นๆ และทองคำซึ่งกษัตริย์โซโลมอนทรงประสงค์ 12 แต่เมื่อฮีรามเสด็จจากไทระมาทอดพระเนตรเมืองเหล่านี้ที่โซโลมอนมอบให้ก็ไม่พอพระทัยเลย 13 ฮีรามตรัสว่า “น้องเอ๋ย เอาเมืองอะไรมายกให้พี่กันนี่” เมืองเหล่านั้นจึงได้ชื่อว่าดินแดนคาบูล[b] มาจนทุกวันนี้ 14 ฮีรามได้ส่งทองคำมาให้โซโลมอนถึงประมาณ 4 ตัน[c]

15 โซโลมอนทรงเกณฑ์แรงงานโยธามาก่อสร้างพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระราชวัง ป้อมมิลโล[d] กำแพงกรุงเยรูซาเล็ม เมืองฮาโซร์ เมกิดโด และเกเซอร์ 16 (ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ทรงโจมตีและเข้ายึดเกเซอร์แล้วเผาทิ้ง ประหารชาวคานาอันผู้อาศัยอยู่ในเมือง ต่อมาได้ประทานเมืองนี้เป็นสินสมรสแก่ราชธิดาซึ่งเป็นมเหสีของโซโลมอน 17 และโซโลมอนทรงซ่อมแซมเมืองเกเซอร์) ทรงสร้างเบธโฮโรนล่าง 18 บาอาลัทและทัดโมร์[e]ในถิ่นกันดารในดินแดนยูดาห์ 19 ทั้งยังทรงสร้างเมืองต่างๆ เพื่อเป็นคลังเสบียงของพระองค์ และสร้างเมืองสำหรับรถม้าศึกและม้า[f] พระองค์ทรงสร้างทุกๆ สิ่งที่ทรงประสงค์ในเยรูซาเล็ม เลบานอน และที่ต่างๆทั่วอาณาเขตที่พระองค์ทรงปกครอง

20 ส่วนบรรดาคนที่เหลืออยู่ที่เป็นชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส (คนเหล่านี้ไม่ใช่ชาวอิสราเอล) 21 คือลูกหลานที่เหลืออยู่ของคนเหล่านี้ซึ่งชนอิสราเอลไม่สามารถทำลายล้าง[g]ให้หมดสิ้นได้ โซโลมอนทรงเกณฑ์คนเหล่านี้มาเป็นแรงงานทาสจนถึงทุกวันนี้ 22 แต่โซโลมอนไม่ได้ทรงเกณฑ์ให้พลเมืองอิสราเอลคนใดเป็นทาส แต่ให้เป็นพลรบ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ นายทัพ ผู้บัญชาการรถรบ และพลรถรบ 23 และมีเจ้าหน้าที่ 550 คน เป็นผู้ควบคุมดูแลแรงงานโยธาในโครงการต่างๆ ของโซโลมอน

24 หลังจากราชธิดาของฟาโรห์เสด็จจากเมืองดาวิดมายังพระราชวังที่โซโลมอนทรงสร้างให้ โซโลมอนก็ทรงสร้างป้อมมิลโล

25 โซโลมอนทรงถวายเครื่องเผาบูชา และเครื่องสันติบูชาปีละสามครั้ง บนแท่นซึ่งทรงสร้างขึ้นถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และเผาเครื่องหอมต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย ก็เป็นอันเรียบร้อยตามภาระหน้าที่ซึ่งมีต่อพระวิหาร

26 กษัตริย์โซโลมอนยังได้ทรงสร้างกองเรือขึ้นที่เอซีโอนเกเบอร์ ซึ่งใกล้เอลัทในเอโดม บนชายฝั่งทะเลแดง[h]ด้วย 27 และกษัตริย์ฮีรามประทานกะลาสีผู้ช่ำชองให้ร่วมทำงานในกองเรือกับคนของโซโลมอน 28 พวกเขาเดินเรือไปที่เมืองโอฟีร์ แล้วนำทองคำกลับมาถวายกษัตริย์โซโลมอนหนักถึงประมาณ 14.5 ตัน[i]

ราชินีแห่งเชบามาเยือนโซโลมอน(C)

10 เมื่อราชินีแห่งเชบาทรงได้ยินกิตติศัพท์ของโซโลมอนซึ่งถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระยาห์เวห์ก็เสด็จมาทดสอบโดยตั้งปัญหายากๆ พระนางทรงมาถึงกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับกองคาราวานใหญ่ มีอูฐบรรทุกเครื่องเทศ ทองคำจำนวนมาก และเพชรนิลจินดา พระนางเข้าเฝ้าโซโลมอน และทรงสนทนาทุกเรื่องที่ทรงดำริไว้ โซโลมอนทรงตอบปัญหาของพระนางได้ทุกข้อ ไม่มีสิ่งใดยากเกินกว่าที่กษัตริย์จะทรงอธิบายแก่พระนาง เมื่อราชินีแห่งเชบาทรงเห็นพระสติปัญญาทั้งสิ้นของโซโลมอน และพระราชวังที่ทรงสร้างขึ้น อาหารบนโต๊ะเสวย ข้าราชบริพารที่เข้าเฝ้า มหาดเล็กในเครื่องแบบ พนักงานเชิญจอกเสวย และเครื่องเผาบูชามากมายซึ่งถวายที่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระนางก็ประหลาดพระทัยเป็นล้นพ้น

พระนางตรัสกับกษัตริย์ว่า “ที่หม่อมฉันได้ยินได้ฟังมาในประเทศของหม่อมฉันเกี่ยวกับความสำเร็จและพระปรีชาญาณของฝ่าพระบาทล้วนเป็นความจริง แต่หม่อมฉันไม่เชื่อมาก่อนเลย จนกระทั่งได้มาเห็นกับตา แท้จริงแล้วสิ่งที่หม่อมฉันได้ยินมาก็ยังไม่ถึงครึ่ง พระปรีชาญาณและความมั่งคั่งของฝ่าพระบาทยิ่งใหญ่กว่าที่เขาร่ำลือกันมากนัก ไพร่ฟ้าของฝ่าพระบาทคงมีความสุขยิ่งนัก! ข้าราชบริพารของฝ่าพระบาทคงมีความสุขที่ได้เข้าเฝ้า และสดับฟังพระปัญญาของฝ่าพระบาทอยู่เสมอ! สรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาทที่ทรงโปรดปรานและตั้งฝ่าพระบาทขึ้นครองราชบัลลังก์แห่งอิสราเอล เนื่องด้วยความรักนิรันดร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงมีต่ออิสราเอล จึงทรงตั้งฝ่าพระบาทเป็นกษัตริย์เพื่อผดุงความยุติธรรมและความชอบธรรม”

10 จากนั้นพระนางถวายเครื่องบรรณาการแด่กษัตริย์เป็นทองคำหนักประมาณ 4 ตัน[j] เครื่องเทศมากมายและอัญมณีล้ำค่า ไม่เคยมีใครนำเครื่องเทศมาถวายมากเท่ากับที่ราชินีแห่งเชบาทรงนำมาถวายแด่กษัตริย์โซโลมอนอีกเลย

11 (กองเรือของฮีรามนำทองคำมาจากโอฟีร์ พร้อมด้วยไม้จันทน์[k]จำนวนมาก และเพชรนิลจินดาล้ำค่า 12 โซโลมอนทรงใช้ไม้จันทน์ทำเสาพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและราชวัง ทำพิณเขาคู่และพิณใหญ่สำหรับเหล่านักดนตรี ไม่เคยเห็นการนำเข้าไม้จันทน์จำนวนมากมายอย่างนั้นมาก่อนเลย)

13 กษัตริย์โซโลมอนประทานทุกสิ่งตามที่ราชินีแห่งเชบาทรงประสงค์และทูลขอ นอกเหนือจากของกำนัลที่โซโลมอนประทานจากท้องพระคลัง จากนั้นพระนางและขบวนตามเสด็จก็กลับสู่ประเทศของตน

สง่าราศีของโซโลมอน(D)

14 ทุกปีโซโลมอนได้รับทองคำหนักประมาณ 23 ตัน[l] 15 ยังไม่รวมภาษีอากรจากพ่อค้าวาณิชและเครื่องบรรณาการจากบรรดากษัตริย์อาระเบีย และเหล่าผู้ปกครองของดินแดนนั้น

16 กษัตริย์โซโลมอนทรงให้นำทองคำมาตีเป็นโล่ใหญ่ 200 อัน แต่ละอันใช้ทองคำหนักประมาณ 3.5 กิโลกรัม[m] 17 และทำเป็นโล่เล็ก 300 อัน แต่ละอันใช้ทองคำหนักประมาณ 1.7 กิโลกรัม[n] พระองค์ทรงเก็บโล่เหล่านี้ไว้ในตำหนักพนาเลบานอน

18 แล้วกษัตริย์ยังได้ทรงทำพระที่นั่งขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยงาช้างและบุด้วยทองคำบริสุทธิ์ 19 พระที่นั่งนี้มีบันไดหกขั้น ด้านบนพนักหลังเป็นรูปวงกลม ที่วางพระหัตถ์ทั้งสองข้างมีสิงโตขนาบข้างละตัว 20 ที่บันไดแต่ละขั้นมีสิงโตยืนอยู่ข้างละตัว รวมเป็นสิบสองตัว ไม่เคยมีเช่นนี้ในราชอาณาจักรอื่น 21 ถ้วยเสวยทุกใบของกษัตริย์โซโลมอนทำด้วยทองคำ และเครื่องใช้ไม้สอยทั้งหมดในตำหนักพนาเลบานอนล้วนทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดทำด้วยเงิน เพราะในสมัยโซโลมอนถือว่าเงินด้อยค่า 22 กษัตริย์ทรงมีกองเรือพาณิชย์[o] ร่วมเดินทะเลกับกองเรือของฮีราม เรือจะบรรทุกทองคำ เงิน งาช้าง ลิง และลิงบาบูนกลับมาทุกสามปี

23 กษัตริย์โซโลมอนทรงมั่งคั่งและมีพระปรีชาญาณเหนือกว่ากษัตริย์ใดๆ ทั้งปวงในแผ่นดินโลก 24 คนทั่วโลกใคร่จะมาสดับฟังสติปัญญาซึ่งพระเจ้าประทานไว้ในพระทัยของพระองค์ 25 ปีแล้วปีเล่า ทุกคนที่มาจะนำเครื่องบรรณาการมาถวายได้แก่ เครื่องเงินเครื่องทอง เสื้อผ้าอาภรณ์ อาวุธ เครื่องเทศ ม้า และล่อ

26 โซโลมอนทรงสะสมรถม้าศึกและม้า พระองค์ทรงมีรถม้าศึก 1,400 คัน และม้า 12,000 ตัว[p] ซึ่งพระองค์ทรงเก็บบางส่วนไว้ที่หัวเมืองซึ่งใช้เก็บรถม้าศึกและบางส่วนอยู่กับพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็ม 27 พระองค์ทรงทำให้เงินในกรุงเยรูซาเล็มมีมากมายเหมือนก้อนหิน และมีไม้สนซีดาร์ดาษดื่นเหมือนต้นมะเดื่อแถบเชิงเขา 28 ม้าของโซโลมอนนั้นนำเข้าจากอียิปต์[q]และจากคูเอ[r] คือพ่อค้าหลวงซื้อมาจากคูเอ 29 รถม้าศึกแต่ละคันที่นำเข้าจากอียิปต์มีราคาเท่ากับเงินหนัก 600 เชเขล[s] ม้าราคาตัวละ 150 เชเขล พวกเขายังส่งออกไปขายต่อให้กษัตริย์ทั้งปวงของชาวฮิตไทต์และของชาวอารัมด้วย

กิจการของอัครทูต 8:14-40

14 เมื่ออัครทูตในกรุงเยรูซาเล็มได้ข่าวว่าชาวสะมาเรียรับพระวจนะของพระเจ้าแล้วก็ส่งเปโตรกับยอห์นมาหาพวกเขา 15 เมื่อทั้งสองมาถึงก็อธิษฐานเผื่อพวกเขาให้ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ 16 เพราะยังไม่มีใครในพวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพียงแต่ได้รับบัพติศมาเข้าใน[a]พระนามขององค์พระเยซูเจ้า 17 จากนั้นเปโตรกับยอห์นวางมือบนพวกเขาและพวกเขาก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์

18 เมื่อซีโมนเห็นคนได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยอัครทูตวางมือให้จึงนำเงินมาเสนอให้พวกเขา 19 และกล่าวว่า “ขอมอบความสามารถนี้ให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเพื่อว่าทุกคนที่ข้าพเจ้าวางมือให้จะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์”

20 เปโตรตอบว่า “ให้เงินของท่านพินาศไปพร้อมกับตัวท่านเพราะท่านคิดจะใช้เงินซื้อของประทานจากพระเจ้า! 21 ท่านไม่มีส่วนร่วมในพันธกิจนี้เพราะใจของท่านไม่ได้ซื่อตรงต่อพระเจ้า 22 จงกลับใจใหม่จากการชั่วร้ายนี้และอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์อาจจะอภัยให้ท่านที่คิดเช่นนี้อยู่ในใจ 23 เพราะเราเห็นว่าท่านเต็มไปด้วยความขมขื่นและตกเป็นเชลยของบาป”

24 แล้วซีโมนจึงตอบว่า “โปรดอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเผื่อข้าพเจ้าด้วยเพื่อสิ่งที่ท่านกล่าวจะไม่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า”

25 หลังจากเปโตรกับยอห์นเป็นพยานและประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วทั้งสองก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ระหว่างนั้นก็ได้ประกาศข่าวประเสริฐในหมู่บ้านของชาวสะมาเรียหลายแห่ง

ฟีลิปกับขันทีชาวเอธิโอเปีย

26 ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งฟีลิปว่า “จงลงใต้ ไปยังถนนที่เรียกว่าทางกันดารซึ่งเชื่อมระหว่างกรุงเยรูซาเล็มกับเมืองกาซา” 27 ดังนั้นฟีลิปก็ออกเดินทางไป ในระหว่างทางเขาพบขันทีชาวเอธิโอเปีย[b] เป็นขุนนางคนสำคัญดูแลคลังทรัพย์ของพระนางคานดาสีราชินีแห่งเอธิโอเปีย ขันทีผู้นี้ได้มานมัสการที่เยรูซาเล็ม 28 ระหว่างเดินทางกลับบ้านเขานั่งอ่านหนังสือผู้เผยพระวจนะอิสยาห์อยู่ในรถม้า 29 พระวิญญาณตรัสบอกฟีลิปว่า “จงเข้าไปใกล้ๆ รถม้านั้นเถิด”

30 แล้วฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้รถนั้น เขาได้ยินเสียงคนอ่านหนังสือผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ก็ถามว่า “ท่านเข้าใจสิ่งที่ท่านอ่านหรือ?”

31 ขันทีนั้นตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบาย ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร?” ดังนั้นเขาจึงเชิญฟีลิปขึ้นมานั่งด้วยกัน

32 พระคัมภีร์ที่ขันทีกำลังอ่านอยู่นั้นคือ

“เขาถูกนำตัวไปเหมือนแกะที่ถูกนำไปฆ่า
และเหมือนลูกแกะที่เงียบอยู่ต่อหน้าผู้ตัดขน
เขาก็ไม่ได้ปริปากเช่นกัน
33 เมื่อเขาถูกย่ำยีนั้นเขาไม่ได้รับความยุติธรรมเลย
ใครเล่าจะพูดถึงเชื้อสายของเขาได้?
เพราะชีวิตของเขาถูกพรากไปจากโลก”[c]

34 ขันทีถามฟีลิปว่า “โปรดบอกเราเถิด ผู้เผยพระวจนะกำลังพูดถึงใคร ตัวผู้เผยพระวจนะเองหรือใครอื่น?” 35 แล้วฟีลิปจึงเริ่มจากข้อพระคัมภีร์ตอนนั้นและเล่าถึงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูให้เขาฟัง

36 ขณะเดินทางไปตามถนน พวกเขามาพบแอ่งน้ำ ขันทีจึงเอ่ยว่า “ดูเถิด ที่นี่มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมาเล่า?”[d] 38 และเขาสั่งให้หยุดรถ จากนั้นฟีลิปกับขันทีก็ลงไปในน้ำและฟีลิปให้ขันทีรับบัพติศมา 39 เมื่อขึ้นจากน้ำพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไปทันที ขันทีไม่เห็นเขาอีกเลยแต่เดินทางต่อไปด้วยความชื่นชมยินดี 40 อย่างไรก็ดีฟีลิปได้มาปรากฏตัวที่เมืองอาโซทัสและเดินทางไปทั่วเพื่อประกาศข่าวประเสริฐในทุกเมืองจนมาถึงเมืองซีซารียา

สดุดี 130

(บทเพลงใช้แห่ขึ้นไปยังเยรูซาเล็ม)

130 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์จากห้วงลึก
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสดับฟังเสียงของข้าพระองค์
ขอทรงเงี่ยพระกรรณ
รับฟังคำทูลวิงวอนขอความเมตตาของข้าพระองค์ด้วยเถิด

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ทรงบันทึกบาปทั้งหลายไว้
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ใดเล่าจะยืนหยัดอยู่ได้?
แต่เพราะพระองค์ทรงอภัยโทษ
พระองค์จึงทรงเป็นที่ยำเกรง

ข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเฝ้าคอย
และฝากความหวังไว้ที่พระวจนะของพระองค์
จิตวิญญาณของข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า
ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า
ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า

อิสราเอลเอ๋ย จงฝากความหวังไว้ที่
องค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะความรักมั่นคงอยู่ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า
การไถ่อันสมบูรณ์อยู่ที่พระองค์
พระองค์เองจะทรงไถ่อิสราเอล
จากบาปทั้งสิ้นของพวกเขา

สุภาษิต 17:2-3

คนรับใช้ที่ฉลาดจะปกครองลูกที่ไม่เอาถ่าน
และเขาจะได้รับส่วนแบ่งมรดกเหมือนลูกคนหนึ่ง

มนุษย์ใช้เบ้าหลอมทดสอบเงิน และใช้เตาถลุงทดสอบทองคำ
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทดสอบจิตใจ

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.