Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 พงศาวดาร 35:16 - เอสรา 10:44

16 ดังนั้น ในวันนั้นงานรับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าดำเนินต่อไป เพื่อฉลองเทศกาลปัสกา และมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายบนแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า ตามคำบัญชาของกษัตริย์โยสิยาห์ 17 ชาวอิสราเอลที่อยู่ที่นั่นก็ฉลองเทศกาลปัสกาในครั้งนั้น และรักษาเทศกาลขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลา 7 วัน 18 ไม่เคยมีเทศกาลปัสกาที่มีการฉลองเหมือนอย่างนี้ในอิสราเอล นับตั้งแต่สมัยของซามูเอลผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ไม่มีกษัตริย์ท่านใดของอิสราเอลที่ได้ฉลองเทศกาลปัสกาเหมือนกับที่ได้ฉลองกันในสมัยของโยสิยาห์ พร้อมกับบรรดาปุโรหิต ชาวเลวี คนทั้งปวงของยูดาห์และอิสราเอล ซึ่งอยู่ที่นั่นกับผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม 19 เทศกาลปัสกานี้มีการฉลองกันในปีที่สิบแปดของกษัตริย์โยสิยาห์

โยสิยาห์เสียชีวิตในสงคราม

20 หลังจากนั้น เมื่อโยสิยาห์ได้จัดการเตรียมพระตำหนักแล้ว เนโคกษัตริย์แห่งอียิปต์ขึ้นไปต่อสู้ที่คาร์เคมิชที่แม่น้ำยูเฟรติส และโยสิยาห์ออกไปประจันหน้ากับท่าน 21 แต่เนโคให้บรรดาผู้ส่งสาสน์ไปบอกท่านว่า “โอ กษัตริย์แห่งยูดาห์ เราไม่มีเรื่องบาดหมางกับท่าน ครั้งนี้เราไม่ได้มาโจมตีท่าน แต่โจมตีชาติที่เรากำลังทำสงครามด้วย และพระเจ้าบัญชาเราให้รีบเร่ง ขอท่านหยุดขัดขวางพระเจ้าผู้สถิตกับเรา มิฉะนั้นพระองค์จะทำให้ท่านพินาศ” 22 ถึงกระนั้นก็ตาม โยสิยาห์ไม่หันหลังกลับ แต่ปลอมตัวเพื่อจะต่อสู้กับท่าน ท่านไม่ได้ฟังคำของพระเจ้าที่กล่าวผ่านเนโค แต่ไปต่อสู้ ณ ที่ราบเมกิดโด 23 พวกนักธนูยิงกษัตริย์โยสิยาห์ กษัตริย์จึงบอกผู้รับใช้ว่า “พาเราออกไป เพราะเราบาดเจ็บสาหัส” 24 ดังนั้น บรรดาทหารจึงพาท่านออกไปจากรถศึกของท่าน หามท่านขึ้นรถศึกคันที่สอง และพาท่านกลับเยรูซาเล็ม ท่านสิ้นชีวิตและถูกบรรจุศพไว้ในถ้ำเก็บศพของบรรพบุรุษของท่าน ยูดาห์และเยรูซาเล็มทั้งปวงก็ร้องคร่ำครวญไว้อาลัยโยสิยาห์ 25 เยเรมีย์แต่งคำรำพันถึงโยสิยาห์[a] นักร้องชายและหญิงทั้งปวงก็ได้พูดระลึกถึงโยสิยาห์ในคำร้องรำพันมาจนถึงทุกวันนี้ เขาทั้งหลายปฏิบัติใช้เป็นธรรมเนียมในอิสราเอล และเขียนบันทึกไว้ในฉบับเพลงคร่ำครวญ 26 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของโยสิยาห์ และความดีที่ท่านกระทำ ตามที่บันทึกไว้ในกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า 27 ดูเถิด การกระทำของท่านตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลและยูดาห์

ยูดาห์เสื่อมลง

36 ประชาชนในแผ่นดินรับเยโฮอาหาสบุตรโยสิยาห์ และแต่งตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์แทนบิดาของท่านในเยรูซาเล็ม เยโฮอาหาสมีอายุ 23 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 3 เดือนในเยรูซาเล็ม กษัตริย์แห่งอียิปต์ปลดท่านจากบัลลังก์ในเยรูซาเล็ม และบังคับให้ยูดาห์มอบเครื่องบรรณาการเป็นเงินหนัก 100 ตะลันต์ และทองคำ 1 ตะลันต์ และกษัตริย์แห่งอียิปต์แต่งตั้งเอลียาคิมพี่ชายเยโฮอาหาสให้เป็นกษัตริย์ปกครองยูดาห์และเยรูซาเล็ม และเปลี่ยนชื่อเป็นเยโฮยาคิม แต่เนโคนำเยโฮอาหาสผู้น้องไปยังอียิปต์

เยโฮยาคิมมีอายุ 25 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 11 ปีในเยรูซาเล็ม ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนขึ้นมาต่อต้านท่าน ล่ามโซ่และนำท่านไปยังบาบิโลน เนบูคัดเนสซาร์ได้ขนภาชนะบางชิ้นจากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าไปยังบาบิโลน และเก็บไว้ในวังของท่านที่บาบิโลน กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยโฮยาคิม และสิ่งที่น่ารังเกียจต่างๆ ที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลและยูดาห์ และเยโฮยาคีน[b]บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน

เยโฮยาคีนมีอายุ 8 ปี[c]เมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 3 เดือนกับ 10 วันในเยรูซาเล็ม ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า 10 ในฤดูใบไม้ผลิของปีนั้น กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ให้คนไปนำท่านมายังบาบิโลน พร้อมกับภาชนะมีค่าของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และแต่งตั้งเศเดคียาห์ญาติของท่านให้เป็นกษัตริย์ปกครองยูดาห์และเยรูซาเล็ม

11 เศเดคียาห์มีอายุ 21 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 11 ปีในเยรูซาเล็ม 12 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า ท่านไม่ได้ถ่อมตนลงต่อเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวผ่าน[d] 13 ท่านแข็งข้อต่อกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ผู้บังคับท่านให้สาบานในพระนามของพระเจ้า ท่านหัวรั้นและใจแข็งกระด้าง ไม่ยอมหันเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล 14 บรรดาผู้นำของปุโรหิต รวมทั้งชนชาติก็ไม่ภักดีมากยิ่งขึ้น ต่างก็กระทำสิ่งที่น่ารังเกียจต่างๆ ตามแบบอย่างบรรดาประชาชาติ และทำให้พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทำให้บริสุทธิ์แล้วในเยรูซาเล็มหมดสิ้นความบริสุทธิ์ไป

15 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขาส่งบรรดาผู้นำข่าวของพระองค์ มายังพวกเขาอย่างไม่ลดละ เพราะพระองค์สงสารชนชาติและพระตำหนักของพระองค์ 16 แต่พวกเขาล้อเลียนบรรดาผู้นำข่าวของพระเจ้าเรื่อยไป ดูหมิ่นคำกล่าวของพระองค์ และเยาะเย้ยบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระองค์ จนกระทั่งความโกรธกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าพลุ่งขึ้นต่อชนชาติของพระองค์ จนแก้ไขไม่ได้

เยรูซาเล็มถูกยึดและถูกเผา

17 ดังนั้นพระองค์ให้กษัตริย์ของชาวเคลเดีย[e]ขึ้นมาโจมตีพวกเขา ท่านใช้ดาบสังหารพวกชายหนุ่มที่อยู่ในที่พำนัก ท่านไม่มีเมตตาต่อชายหนุ่มหรือหญิงสาว คนชราหรือทุพพลภาพ พระองค์มอบพวกเขาไว้ในมือของท่าน 18 ภาชนะทุกชิ้นของพระตำหนักของพระเจ้า ทั้งใหญ่และเล็ก ของล้ำค่าของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และของมีค่าของกษัตริย์และของบรรดาขุนนาง สิ่งเหล่านี้ถูกขนไปยังบาบิโลนหมด 19 และพวกเขาเผาพระตำหนักของพระเจ้า และพังทลายกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม และเผาวังทั้งหมด และทำลายเครื่องใช้มีค่าทุกอย่าง 20 เนบูคัดเนสซาร์จับบรรดาผู้ที่รอดตายจากคมดาบไปเป็นเชลยที่บาบิโลน และพวกเขาก็ไปเป็นคนรับใช้ท่านและบุตรของท่าน จนกระทั่งอาณาจักรเปอร์เซียเป็นมหาอำนาจ 21 เพื่อเป็นไปตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งผ่านเยเรมีย์ คือสะบาโตของแผ่นดินซึ่งยินดีที่ได้หยุดพักอย่างแท้จริง และตลอดเวลาที่แผ่นดินอยู่ในความวิบัติ แผ่นดินก็ได้หยุดพักจนครบตามกำหนด 70 ปี[f]

ไซรัสประกาศให้อิสรภาพ

22 ในปีแรกของไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย พระผู้เป็นเจ้าดลใจไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียให้ประกาศทั่วอาณาจักรของท่าน พร้อมกับบันทึกไว้เป็นหลักฐาน เพื่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้น เป็นไปตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งผ่านเยเรมีย์ว่า 23 “ไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียกล่าวดังนี้ ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้มอบอาณาจักรทั้งหมดบนแผ่นดินโลกให้แก่เรา และพระองค์มอบหมายให้เราสร้างพระตำหนักแด่พระองค์ที่เยรูซาเล็มซึ่งอยู่ในยูดาห์ ใครก็ตามในพวกท่านที่เป็นชนชาติของพระองค์ ขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขาสถิตกับเขา และให้เขาขึ้นไปที่นั่นได้’”

ไซรัสประกาศให้อิสรภาพ

ในปีแรกของไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย พระผู้เป็นเจ้าดลใจไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียให้ประกาศทั่วอาณาจักรของท่าน พร้อมกับบันทึกไว้เป็นหลักฐาน เพื่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้น เป็นไปตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งผ่านเยเรมีย์ว่า

“ไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียกล่าวดังนี้ ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้มอบอาณาจักรทั้งหมดบนแผ่นดินโลกให้แก่เรา และพระองค์มอบหมายให้เราสร้างพระตำหนักแด่พระองค์ที่เยรูซาเล็มซึ่งอยู่ในยูดาห์ ใครก็ตามในพวกท่านที่เป็นชนชาติของพระองค์ ขอพระเจ้าของเขาสถิตกับเขา และให้เขาขึ้นไปยังเยรูซาเล็มซึ่งอยู่ในยูดาห์ และสร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลขึ้นใหม่ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้สถิตในเยรูซาเล็ม ผู้ที่รอดตายมาได้ทุกคนไม่ว่าจะพลัดถิ่นไปที่ใดก็ตาม จงให้เขาได้รับความช่วยเหลือจากคนในท้องถิ่นนั้นด้วยเงินและทองคำ ทรัพย์สิ่งของและสัตว์เลี้ยง ซึ่งนอกเหนือจากเครื่องสักการะที่ให้ด้วยใจสมัคร สำหรับพระตำหนักของพระเจ้าผู้สถิตในเยรูซาเล็ม’”

ครั้นแล้ว บรรดาผู้นำตระกูลของยูดาห์และเบนยามิน บรรดาปุโรหิตและชาวเลวี และทุกคนที่พระเจ้าดลใจ ต่างก็พร้อมที่จะขึ้นไปสร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าในเยรูซาเล็ม คนทั้งปวงที่อยู่รอบข้างก็ช่วยพวกเขาด้วยเครื่องใช้เงิน ทองคำ ทรัพย์สิ่งของ สัตว์เลี้ยง และด้วยของมีค่า ซึ่งนอกเหนือจากทุกสิ่งที่ให้ด้วยใจสมัคร กษัตริย์ไซรัสนำเครื่องใช้ของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าออกมาด้วย เป็นสิ่งที่เนบูคัดเนสซาร์ได้ขนไปจากเยรูซาเล็มและนำไปไว้ในวิหารของเทพเจ้าของท่าน ไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียให้มิทเรดาทผู้ดูแลกองคลังนำสิ่งเหล่านี้ออกมา เขาเป็นคนนับจำนวนให้แก่เชชบัสซาร์ผู้นำของยูดาห์ จำนวนของทั้งหมดคือ อ่างทองคำ 30 ใบ อ่างเงิน 1,000 ใบ ถาดเก็บถ่านร้อน 29 ใบ 10 ชามทองคำ 30 ใบ ชามเงิน 410 ใบ และภาชนะอื่นๆ 1,000 ใบ 11 ภาชนะทองคำและเงินรวมทั้งสิ้น 5,400 ใบ เชชบัสซาร์ได้นำภาชนะเหล่านี้ไปด้วย เมื่อบรรดาผู้ที่ถูกเนรเทศขึ้นมาจากบาบิโลนเพื่อกลับไปยังเยรูซาเล็ม

ผู้ถูกเนรเทศกลับบ้านเกิดเมืองนอน

เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้จับประชาชนที่ถูกเนรเทศจากแคว้นยูดาห์ไปเป็นเชลยที่บาบิโลน และต่อมาพวกเขาต่างก็กลับมายังเมืองของตนในเยรูซาเล็มและยูดาห์ เขาทั้งหลายมากับเศรุบบาเบล เยชูอา เนหะมีย์ เสไรยาห์ เรเอไลยาห์ โมร์เดคัย บิลชาน มิสปาร์ บิกวัย เรฮูม และบาอานาห์

จำนวนประชาชนผู้ชายของอิสราเอลมีดังต่อไปนี้ พงศ์พันธุ์ปาโรช 2,172 คน พงศ์พันธุ์เชฟาทิยาห์ 372 คน พงศ์พันธุ์อาราห์ 775 คน พงศ์พันธุ์ปาหัทโมอับ คือบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเยชูอาและโยอาบ 2,812 คน พงศ์พันธุ์เอลาม 1,254 คน พงศ์พันธุ์ศัทธู 945 คน พงศ์พันธุ์ศักคัย 760 คน 10 พงศ์พันธุ์บานี 642 คน 11 พงศ์พันธุ์เบบัย 623 คน 12 พงศ์พันธุ์อัสกาด 1,222 คน 13 พงศ์พันธุ์อาโดนีคัม 666 คน 14 พงศ์พันธุ์บิกวัย 2,056 คน 15 พงศ์พันธุ์อาดีน 454 คน 16 พงศ์พันธุ์อาเทอร์ คือบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเฮเซคียาห์ 98 คน 17 พงศ์พันธุ์เบไซ 323 คน 18 พงศ์พันธุ์โยราห์ 112 คน 19 พงศ์พันธุ์ฮาชูม 223 คน 20 พงศ์พันธุ์กิบบาร์ 95 คน 21 พงศ์พันธุ์จากเบธเลเฮม 123 คน 22 ผู้ชายจากเนโทฟาห์ 56 คน 23 ผู้ชายจากอานาโธท 128 คน 24 พงศ์พันธุ์จากอัสมาเวท 42 คน 25 พงศ์พันธุ์จากคีริยาทอาริม เคฟีราห์ และเบเอโรท 743 คน 26 พงศ์พันธุ์จากรามาห์และเก-บา 621 คน 27 ผู้ชายจากมิคมาส 122 คน 28 ผู้ชายจากเบธเอลและอัย 223 คน 29 พงศ์พันธุ์จากเนโบ 52 คน 30 พงศ์พันธุ์ชาวมักบีช 156 คน 31 พงศ์พันธุ์ชาวเอลามอีกกลุ่มหนึ่ง 1,254 คน 32 พงศ์พันธุ์ชาวฮาริม 320 คน 33 พงศ์พันธุ์ชาวโลด ชาวฮาดิด และชาวโอโน 725 คน 34 พงศ์พันธุ์ชาวเยรีโค 345 คน 35 พงศ์พันธุ์ชาวเสนาอาห์ 3,630 คน

36 บรรดาปุโรหิต คือพงศ์พันธุ์เยดายาห์ จากตระกูลเยชูอา 973 คน 37 พงศ์พันธุ์อิมเมอร์ 1,052 คน 38 พงศ์พันธุ์ปาชเฮอร์ 1,247 คน 39 พงศ์พันธุ์ฮาริม 1,017 คน

40 ชาวเลวี คือพงศ์พันธุ์เยชูอาและขัดมีเอล จากพงศ์พันธุ์โฮดาวิยาห์ 74 คน 41 บรรดานักร้อง คือพงศ์พันธุ์อาสาฟ 128 คน 42 บรรดาผู้สืบเชื้อสายของคนเฝ้าประตู คือพงศ์พันธุ์ชัลลูม พงศ์พันธุ์อาเทอร์ พงศ์พันธุ์ทัลโมน พงศ์พันธุ์อักขูบ พงศ์พันธุ์ฮาทิธา และพงศ์พันธุ์โชบัย รวมทั้งสิ้น 139 คน

43 บรรดาผู้รับใช้ประจำพระวิหาร คือพงศ์พันธุ์ศีหะ พงศ์พันธุ์ฮาสูฟา พงศ์พันธุ์ทับบาโอท 44 พงศ์พันธุ์เคโรส พงศ์พันธุ์สีอาฮา พงศ์พันธุ์พาโดน 45 พงศ์พันธุ์เลบานาห์ พงศ์พันธุ์ฮากาบาห์ พงศ์พันธุ์อักขูบ 46 พงศ์พันธุ์ฮากาบ พงศ์พันธุ์ชัมลัย พงศ์พันธุ์ฮานาน 47 พงศ์พันธุ์กิดเดล พงศ์พันธุ์กาฮาร์ พงศ์พันธุ์เรอายาห์ 48 พงศ์พันธุ์เรซีน พงศ์พันธุ์เนโคดา พงศ์พันธุ์กัสซาม 49 พงศ์พันธุ์อุสซา พงศ์พันธุ์ปาเสอัค พงศ์พันธุ์เบสัย 50 พงศ์พันธุ์อัสนาห์ พงศ์พันธุ์เมอูนิม พงศ์พันธุ์เนฟิสิม 51 พงศ์พันธุ์บัคบูค พงศ์พันธุ์ฮาคูฟา พงศ์พันธุ์ฮาร์ฮูร์ 52 พงศ์พันธุ์บัสลูท พงศ์พันธุ์เมหิดา พงศ์พันธุ์ฮาร์ชา 53 พงศ์พันธุ์บาร์โขส พงศ์พันธุ์สิเส-รา พงศ์พันธุ์เทมาห์ 54 พงศ์พันธุ์เนซิยาห์ และพงศ์พันธุ์ฮาทิฟา

55 พงศ์พันธุ์ผู้รับใช้ของซาโลมอน คือพงศ์พันธุ์โสทัย พงศ์พันธุ์หัสโสเฟเรท พงศ์พันธุ์เปรุดา 56 พงศ์พันธุ์ยาอาลาห์ พงศ์พันธุ์ดาร์โคน พงศ์พันธุ์กิดเดล 57 พงศ์พันธุ์เชฟาทิยาห์ พงศ์พันธุ์ฮัทธิล พงศ์พันธุ์โปเคเรท-หัสเซบาอิม และพงศ์พันธุ์อามี

58 ผู้รับใช้ประจำพระวิหารและพงศ์พันธุ์ผู้รับใช้ของซาโลมอน รวมทั้งสิ้น 392 คน

59 คนเหล่านี้ขึ้นมาจากเมืองเทลเมลาห์ เทลฮาร์ชา เครูบ อัดดาน และอิมเมอร์ แต่พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามาจากตระกูลใดหรือสืบเชื้อสายมาจากชาวอิสราเอลหรือไม่ พวกเขามีรายชื่อดังต่อไปนี้ 60 พงศ์พันธุ์เดไลยาห์ พงศ์พันธุ์โทบียาห์ และพงศ์พันธุ์เนโคดา รวมได้ 652 คน 61 จากพงศ์พันธุ์ของบรรดาปุโรหิตด้วยคือ พงศ์พันธุ์โฮบายาห์ พงศ์พันธุ์ฮักโขส และพงศ์พันธุ์บาร์ซิลลัย (ผู้ได้แต่งงานกับบุตรหญิงของบาร์ซิลลัยชาวกิเลอาด จึงได้ชื่อตามนั้น) 62 คนเหล่านี้ได้ค้นหาทะเบียนของพวกเขาในหมู่คนที่จดทะเบียนลำดับเชื้อสาย แต่หาไม่พบ พวกเขาจึงถูกตัดออกจากการเป็นปุโรหิตเพราะถูกนับว่ามีมลทิน 63 ผู้ว่าราชการเมืองสั่งห้ามไม่ให้พวกเขารับประทานอาหารบริสุทธิ์ที่สุด จนกว่าปุโรหิตจะตัดสินใจโดยใช้อูริมและทูมมิม[g]เสียก่อน

64 ที่ประชุมทั้งหมดรวมทั้งสิ้น 42,360 คน 65 นอกจากบรรดาผู้รับใช้ชายและหญิงจำนวน 7,337 คนแล้ว ยังมีนักร้องชายและหญิงอีก 200 คน 66 ม้า 736 ตัว ล่อ 245 ตัว 67 อูฐ 435 ตัว และลา 6,720 ตัว

68 เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าในเยรูซาเล็ม หัวหน้าครอบครัวบางคนก็มอบของถวายด้วยใจสมัคร เพื่อสร้างพระตำหนักของพระเจ้าขึ้นใหม่ในที่เดิม 69 พวกเขาอุทิศตามความสามารถให้แก่กองคลังเป็นทองคำหนัก 61,000 ดาริค[h] เงิน 5,000 มินา[i] และเครื่องแต่งกายปุโรหิต 100 ตัว

70 บรรดาปุโรหิต ชาวเลวี นักร้อง คนเฝ้าประตู ผู้รับใช้ประจำพระวิหาร รวมทั้งประชาชนบางคน ต่างก็ตั้งรกรากอยู่ในเมืองของตน และอิสราเอลทั้งปวงตั้งรกรากอยู่ในเมืองของตน

สร้างแท่นบูชาขึ้นใหม่

เมื่อถึงเดือนที่เจ็ด ชาวอิสราเอลได้ตั้งรกรากอยู่ในเมืองของพวกเขา ประชาชนมาประชุมพร้อมเพรียงกันที่เยรูซาเล็ม เยชูอาบุตรโยซาดัก พร้อมกับพี่น้องปุโรหิต และเศรุบบาเบลบุตรเชอัลทิเอล พร้อมกับพี่น้องของเขา จึงเริ่มสร้างแท่นบูชาของพระเจ้าของอิสราเอลเพื่อถวายสัตว์ที่เขาจะเผาเป็นของถวาย ดังที่เขียนไว้ในกฎบัญญัติของโมเสสคนของพระเจ้า แม้ว่าพวกเขาจะกลัวบรรดาชนชาติรอบข้าง พวกเขาก็ตั้งแท่นบูชาบนฐานรากเดิม และมอบสัตว์ที่จะเผาเป็นของถวายบนแท่นแด่พระผู้เป็นเจ้า ทั้งในเวลาเช้าและเวลาเย็น และพวกเขาฉลองเทศกาลอยู่เพิงตามที่บันทึกไว้ และมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายประจำวัน ตามจำนวนที่กำหนดในแต่ละวัน หลังจากนั้นก็ได้มอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายอย่างต่อเนื่อง ของถวายในวันข้างขึ้น และในเทศกาลที่กำหนดไว้ทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้า และของถวายของทุกคนที่ให้ด้วยใจสมัครแด่พระผู้เป็นเจ้า ตั้งแต่วันแรกของเดือนที่เจ็ด พวกเขาเริ่มมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า แต่ยังไม่ได้วางฐานรากของพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงมอบเงินให้แก่ช่างก่ออิฐและช่างไม้ มอบอาหาร เครื่องดื่ม และน้ำมันแก่ชาวไซดอนและชาวไทระ เพื่อนำไม้ลงทะเลจากเลบานอนมาที่เมืองยัฟฟา ตามที่ได้รับอนุญาตจากไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย

การสร้างพระวิหาร

ในปีที่สองหลังจากที่พวกเขาได้มายังพระตำหนักของพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม ในเดือนที่สอง เศรุบบาเบลบุตรเชอัลทิเอล เยชูอาบุตรโยซาดัก ก็เริ่มปฏิบัติงาน รวมทั้งพี่น้องของพวกเขา คือบรรดาปุโรหิต ชาวเลวี และทุกคนที่ถูกจับไปเป็นเชลยแล้วได้กลับมายังเยรูซาเล็ม เขาเหล่านั้นแต่งตั้งให้บรรดาชาวเลวีที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป เป็นผู้ควบคุมงานที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เยชูอากับบุตรและพี่น้องของเขา ขัดมีเอลกับบุตรของเขา (ผู้สืบเชื้อสายของยูดาห์) บุตรของเฮนาดัด และพี่น้องของพวกเขาคือชาวเลวี ต่างก็คุมคนงานที่พระตำหนักของพระเจ้า

10 เมื่อช่างก่อสร้างวางฐานรากพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า บรรดาปุโรหิตที่แต่งกายประจำตำแหน่งก็ถือแตรยาว[j]ออกมา และชาวเลวีบุตรอาสาฟถือฉาบ เพื่อสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ตามที่กษัตริย์ดาวิดแห่งอิสราเอลระบุไว้ 11 พวกเขาร้องเพลงสรรเสริญและขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าว่า

“เพราะพระองค์ประเสริฐ
    เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ที่มีต่ออิสราเอลดำรงอยู่ตลอดกาล”

และเมื่อพวกเขาสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ประชาชนทั้งปวงก็ตะโกนร้องเสียงดัง เพราะว่าพวกเขาได้วางฐานรากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าเสร็จแล้ว 12 มีหลายคนในบรรดาปุโรหิต ชาวเลวี และหัวหน้าตระกูล ที่เคยเห็นพระตำหนักหลังแรก ก็ร้องไห้เสียงดังเมื่อเห็นพวกเขาวางฐานรากพระตำหนักหลังนี้ แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ตะโกนร้องเสียงดังด้วยความยินดี 13 จนกระทั่งประชาชนไม่ทราบว่าเสียงนั้นมาจากเสียงร้องไห้หรือเสียงตะโกนด้วยความยินดี เพราะประชาชนตะโกนเสียงดังมาก และเสียงนั้นดังออกไปไกล

ศัตรูขัดขวางการสร้างพระวิหาร

เมื่อศัตรูของยูดาห์และเบนยามินทราบว่า บรรดาผู้ที่ถูกเนรเทศซึ่งได้กลับมา กำลังสร้างพระวิหารถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล พวกเขาจึงไปหาเศรุบบาเบลและบรรดาหัวหน้าตระกูล และบอกว่า “ให้พวกเราสร้างด้วยกันกับท่าน เพราะเรานมัสการพระเจ้าของท่านเหมือนกับท่าน และนับจากสมัยของกษัตริย์เอสาร์ฮัดโดนแห่งอัสซีเรียผู้นำพวกเรามาที่นี่ พวกเราก็ได้มอบเครื่องสักการะแด่พระองค์เสมอมา” แต่เศรุบบาเบล เยชูอา และหัวหน้าตระกูลทั้งปวงในอิสราเอล ก็ตอบพวกเขาว่า “พวกท่านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเราในการสร้างพระตำหนักถวายแด่พระเจ้าของเรา แต่พวกเราเท่านั้นที่จะสร้างถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ตามที่ไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียได้บัญชาพวกเรา”

แล้วประชาชนของแผ่นดินนั้นก็ทำให้ประชาชนของยูดาห์ท้อถอยและกลัวที่จะสร้างพระวิหาร และยังได้จ้างเจ้าหน้าที่ให้ต่อต้านพวกเขา ซึ่งทำให้อึดอัดใจกับการก่อสร้าง ตลอดทั้งสมัยของไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย จนถึงสมัยการปกครองของกษัตริย์ดาริอัสแห่งเปอร์เซีย

ในระยะต้นสมัยการปกครองของอาหสุเอรัส พวกเขาเขียนจดหมายกล่าวหาประชาชนของยูดาห์และเยรูซาเล็ม

จดหมายถึงกษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีส

ในสมัยของอาร์ทาเซอร์ซีส บิชลาม มิทเรดาท ทาเบเอล และผู้ร่วมงานทั้งปวงของพวกเขามีจดหมายไปถึงกษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีสแห่งเปอร์เซีย จดหมายนั้นเขียนเป็นภาษาอาราเมค และแปลเป็นภาษาอาราเมค เรฮูมผู้บังคับบัญชา และชิมชัยเลขา เขียนจดหมายถึงกษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีส เป็นการต่อต้านเยรูซาเล็มว่า เรฮูมผู้บังคับบัญชา ชิมชัยเลขา และผู้ร่วมงานทั้งปวงของพวกเขาคือ บรรดาผู้พิพากษา ผู้ว่าราชการ เจ้าหน้าที่ ชาวเปอร์เซีย คนจากเอเรก ชาวบาบิโลน คนจากสุสาคือชาวเอลาม 10 และชนชาติทั้งปวงที่โอสนัปปาร์ผู้ยิ่งใหญ่และมีเกียรติได้เนรเทศให้ออกไปตั้งหลักแหล่งอยู่ในเมืองของสะมาเรียและในส่วนอื่นๆ ของแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส

11 (นี่เป็นสำเนาจดหมายที่พวกเขาส่งไป) “ถึงกษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีส จากบรรดาผู้รับใช้ของท่าน คนของแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส 12 ขอกษัตริย์ทราบด้วยว่า บรรดาชาวยิวที่ท่านปล่อยให้ขึ้นมาถึงที่นี่ ได้ไปยังเยรูซาเล็ม และพวกเขากำลังสร้างเมืองขึ้นใหม่ซึ่งเป็นเมืองที่ชั่วร้ายและแข็งข้อ พวกเขากำลังสร้างกำแพงเมืองจนเกือบเสร็จแล้ว และกำลังซ่อมฐานรากอยู่

13 บัดนี้ขอกษัตริย์ทราบด้วยว่า ถ้าเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่ และกำแพงเมืองสร้างเสร็จ พวกเขาจะไม่มอบของกำนัล ค่าธรรมเนียม หรือภาษี และจะทำให้รายได้ของกษัตริย์ลดน้อยลง 14 เป็นเพราะพวกเราอยู่ในสังกัดของวังกษัตริย์ และไม่สมควรที่เราจะเห็นกษัตริย์เสื่อมเกียรติ ฉะนั้นพวกเราจึงส่งข้อมูลแจ้งมายังกษัตริย์ 15 เพื่อจะได้ค้นดูในบันทึกเอกสารของบรรพบุรุษของท่าน ท่านจะทราบจากสมุดบันทึกว่า เมืองนี้แข็งข้อและก่อปัญหาให้กับบรรดากษัตริย์และแว่นแคว้น ก่อความกระด้างกระเดื่องต่อผู้มีอำนาจปกครองนับตั้งแต่สมัยก่อน เมืองนี้จึงได้ถูกทำลายสิ้น 16 พวกเราแจ้งให้กษัตริย์ทราบว่า ถ้าเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่ และกำแพงเมืองเสร็จเมื่อใด ท่านจะไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ในแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส”

กษัตริย์บัญชาให้หยุดงานก่อสร้าง

17 กษัตริย์ส่งคำตอบว่า “ถึงเรฮูมผู้บังคับบัญชา และชิมชัยเลขา และเพื่อนร่วมงานทั้งปวงของพวกเขาที่อาศัยอยู่ในสะมาเรียและในแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส เราส่งคำทักทายมา 18 จดหมายที่ท่านส่งถึงเรานั้นมีคนแปลและอ่านต่อหน้าเราแล้ว 19 และเราออกคำสั่ง และให้ค้นดูแล้ว เราพบว่าตั้งแต่สมัยก่อน เมืองนี้ได้ลุกขึ้นต่อต้านบรรดากษัตริย์ มีการต่อต้านและปลุกปั่นให้กระด้างกระเดื่องต่อผู้มีอำนาจปกครอง 20 เยรูซาเล็มมีบรรดากษัตริย์ที่มีอำนาจปกครองทั่วแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส ซึ่งได้รับทั้งของกำนัล ค่าธรรมเนียม และภาษี 21 ฉะนั้น จงออกคำสั่งว่า ให้คนเหล่านั้นหยุดปฏิบัติงาน อย่าสร้างเมืองนี้ขึ้นใหม่ จนกว่าเราจะเป็นผู้ออกคำสั่ง 22 จงแน่ใจว่าไม่ละเลยในเรื่องนี้ ทำไมจะปล่อยให้เกิดความเสียหายยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการขัดผลประโยชน์ของกษัตริย์”

23 ครั้นได้อ่านสำเนาจดหมายของกษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีสต่อหน้าเรฮูม ชิมชัยเลขา และบรรดาผู้ร่วมงานของพวกเขาแล้ว เขาทั้งปวงจึงรีบไปหาพวกชาวยิวที่เยรูซาเล็ม และใช้กำลังและอำนาจบังคับให้พวกเขาหยุดก่อสร้าง 24 ฉะนั้นงานพระตำหนักของพระเจ้าในเยรูซาเล็มจึงหยุดพักไป จนกระทั่งปีที่สองแห่งการปกครองของกษัตริย์ดาริอัสแห่งเปอร์เซีย

การสร้างเริ่มขึ้นใหม่

ฮักกัยและเศคาริยาห์บุตรอิดโดเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ได้กล่าวเผยความแก่บรรดาชาวยิวที่อยู่ในยูดาห์และเยรูซาเล็ม ในพระนามพระเจ้าของอิสราเอลผู้คุ้มครองพวกเขา เศรุบบาเบลบุตรเชอัลทิเอล และเยชูอาบุตรโยซาดัก ก็เริ่มสร้างพระตำหนักของพระเจ้าขึ้นใหม่ในเยรูซาเล็ม ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าอยู่กับพวกเขา และสนับสนุนพวกเขา

ในเวลาเดียวกัน ทัทเธนัยผู้ว่าราชการของแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และเชธาร์โบเซนัย และบรรดาผู้ร่วมงานของพวกเขาก็มาหาพวกเขา และพูดว่า “ใครเป็นผู้ออกคำสั่งให้สร้างพระตำหนักนี้ให้เสร็จ” พวกเขาถามอีกว่า “ระบุรายชื่อมาเถิดว่า ใครบ้างที่เป็นผู้สร้างตึกนี้” แต่พระเจ้าของพวกเขาคุ้มครองบรรดาผู้ใหญ่ของชาวยิว พวกเขาจึงห้ามการก่อสร้างไม่ได้ จนกระทั่งมีรายงานไปยังดาริอัส และมีคำตอบกลับมาเป็นจดหมายเรื่องการสร้างในครั้งนั้น

ทัทเธนัยมีจดหมายถึงกษัตริย์ดาริอัส

ทัทเธนัยผู้ว่าราชการแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส เชธาร์โบเซนัยและบรรดาผู้ร่วมงานของเขา บรรดาผู้ว่าราชการที่อยู่ในแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส มีสำเนาจดหมายส่งไปยังกษัตริย์ดาริอัส ในจดหมายที่พวกเขาส่งไปมีใจความว่า “ถึงกษัตริย์ดาริอัส ขอสันติสุขจงมีแก่ท่าน ขอกษัตริย์โปรดทราบว่า พวกเราไปยังแคว้นยูดาห์ ยังพระตำหนักของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เห็นว่ากำลังใช้หินก้อนมหึมาในการก่อสร้าง และใช้ไม้สร้างกำแพง พวกเขาทำงานครั้งนี้ด้วยความขยันขันแข็งและบรรลุผลได้ดี

พวกเราจึงถามพวกผู้ใหญ่เหล่านั้นว่า ‘ใครออกคำสั่งให้สร้างพระตำหนักนี้ให้เสร็จ’ 10 พวกเราถามรายชื่อของพวกเขาเพื่อเป็นข้อมูลให้ท่านด้วย เพื่อจะได้บันทึกชื่อหัวหน้าของพวกเขา 11 และเขาตอบพวกเราว่า ‘พวกเราเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลก พวกเรากำลังสร้างพระตำหนักที่ถูกสร้างหลายปีมาแล้วขึ้นใหม่ ซึ่งกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิสราเอลท่านหนึ่งได้สร้างจนเสร็จ 12 แต่เป็นเพราะบรรพบุรุษของเราทำให้พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์กริ้ว พระองค์จึงมอบพวกเขาไว้ในมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ซึ่งเป็นชาวเคลเดีย และได้ทำลายพระตำหนักนี้ และเนรเทศประชาชนไปยังบาบิโลน

13 อย่างไรก็ตาม ในปีแรกของไซรัสกษัตริย์แห่งบาบิโลน กษัตริย์ไซรัสออกคำสั่งว่าควรจะสร้างพระตำหนักของพระเจ้าขึ้นใหม่ 14 ดังนั้น เครื่องใช้ทองคำและเงินของพระตำหนักของพระเจ้า ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ได้ขนไปจากพระวิหารในเยรูซาเล็ม ไปไว้ในวิหารของบาบิโลน กษัตริย์ไซรัสจึงได้ย้ายเครื่องใช้เหล่านี้ออกจากวิหารของบาบิโลน และส่งต่อให้บุคคลผู้หนึ่งชื่อเชชบัสซาร์ซึ่งท่านได้แต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการ 15 และกษัตริย์สั่งว่า “จงเอาเครื่องใช้เหล่านี้ไปไว้ในพระวิหารในเยรูซาเล็ม และจงสร้างพระตำหนักของพระเจ้าในที่เดิม” 16 เชชบัสซาร์ผู้นี้จึงมาและวางฐานรากพระตำหนักของพระเจ้าในเยรูซาเล็ม และตั้งแต่นั้นมาจนถึงบัดนี้ก็ได้ถูกสร้างขึ้น แต่ยังไม่เสร็จ’

17 ฉะนั้นถ้ากษัตริย์เห็นสมควร ขอท่านโปรดค้นดูในบันทึกเอกสารของราชวงศ์ในบาบิโลน เพื่อดูว่ามีคำสั่งจากกษัตริย์ไซรัสให้สร้างพระตำหนักของพระเจ้าขึ้นใหม่ในเยรูซาเล็มหรือไม่ และขอกษัตริย์รับสั่งพวกเราตามความประสงค์ในเรื่องนี้เถิด”

ดาริอัสออกคำสั่ง

กษัตริย์ดาริอัสออกคำสั่งให้ค้นหาในบาบิโลน ในตำหนักที่มีบันทึกเอกสารเก็บรักษาไว้ และก็พบหนังสือม้วนหนึ่งในป้อมปราการที่อัคมะทาในแคว้นมีเดีย มีใจความเขียนไว้ดังนี้ “ในปีแรกของกษัตริย์ไซรัส กษัตริย์ไซรัสออกคำสั่งว่า เรื่องพระตำหนักของพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม ให้สร้างพระวิหารขึ้นใหม่ เพื่อเป็นสถานที่สำหรับถวายเครื่องสักการะ ให้วางฐานรากพระวิหาร ให้มีความสูง 60 ศอก และกว้าง 60 ศอก ใช้หินขนาดใหญ่ก่อ 3 ชั้นกับไม้ 1 ชั้น ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างก็เก็บจากคลังของกษัตริย์ เครื่องใช้ทองคำและเงินจากพระตำหนักของพระเจ้า ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ขนจากพระวิหารในเยรูซาเล็มไปยังบาบิโลน ก็จงนำกลับมาเก็บในที่เดิมที่พระวิหารในเยรูซาเล็ม เจ้าจงนำไปเก็บไว้ในพระตำหนักของพระเจ้า

ฉะนั้น บัดนี้ทัทเธนัยผู้ว่าราชการของแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส เชธาร์โบเซนัย และบรรดาผู้ร่วมงานของท่าน ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส อย่ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย อย่าแตะต้องงานพระตำหนักของพระเจ้า ปล่อยให้ผู้ว่าราชการของชาวยิวและบรรดาผู้ใหญ่ของชาวยิวสร้างพระตำหนักของพระเจ้าขึ้นใหม่ในที่เดิม

ยิ่งกว่านั้น เรามีคำสั่งในเรื่องที่ท่านจะต้องทำเพื่อบรรดาผู้ใหญ่ของชาวยิวเหล่านี้ เพื่อสร้างพระตำหนักของพระเจ้าขึ้นใหม่ จงให้คลังกษัตริย์ชำระค่าใช้จ่ายแก่ชายเหล่านี้เต็มจำนวน และอย่ารอช้า ใช้เงินภาษีจากแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และอะไรอื่นอีกที่จำเป็นต้องใช้เช่น โคตัวผู้ แกะตัวผู้ หรือแกะที่ใช้เผาเป็นของถวายแด่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ข้าวสาลี เกลือ เหล้าองุ่น หรือน้ำมัน ตามที่ปุโรหิตที่เยรูซาเล็มกำหนด จงให้สิ่งเหล่านี้แก่พวกเขาในแต่ละวัน อย่าให้บกพร่อง 10 เพื่อพวกเขาจะมอบเครื่องสักการะอันน่าพอใจแด่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และให้เขาอธิษฐานเพื่อชีวิตของกษัตริย์และบุตรทั้งหลายด้วย

11 เราออกกฤษฎีกาด้วยว่า หากผู้ใดเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ คานไม้ที่บ้านของเขาจะถูกถอนออกมา และร่างของเขาจะถูกตรึงบนคานนั้น และบ้านของเขาจะกลายเป็นกองมูลสัตว์ 12 พระเจ้าผู้ทำให้พระนามของพระองค์สถิตที่นั่น ขอพระองค์ปลดกษัตริย์หรือประชาชนคนใดที่ยื่นมือมาเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ หรือถ้าใครทำลายพระตำหนักของพระเจ้าแห่งนี้ที่เยรูซาเล็ม เราดาริอัสเป็นผู้ออกคำสั่ง ขอให้ปฏิบัติตามนั้นอย่างเคร่งครัด”

สร้างพระวิหารเสร็จ

13 ทัทเธนัยผู้ว่าราชการของแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส เชธาร์โบเซนัย และเพื่อนร่วมงานของพวกเขาทำตามคำสั่งของกษัตริย์ดาริอัสอย่างเคร่งครัด 14 และบรรดาผู้ใหญ่ของชาวยิวก็สร้างและประสบผลสำเร็จ ตามการเผยความของฮักกัยผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และเศคาริยาห์บุตรอิดโด พวกเขาสร้างเสร็จตามคำบัญชาของพระเจ้าของอิสราเอล และตามคำสั่งของไซรัส ดาริอัส และกษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีสแห่งเปอร์เซีย 15 พระตำหนักนี้สร้างเสร็จในวันที่สามของเดือนอาดาร์ ในปีที่หกของการปกครองของกษัตริย์ดาริอัส

16 ประชาชนของอิสราเอล บรรดาปุโรหิต ชาวเลวี และพวกที่ถูกเนรเทศที่กลับมา จึงฉลองการถวายพระตำหนักของพระเจ้าแห่งนี้ด้วยความยินดี 17 ในงานถวายพระตำหนักของพระเจ้าแห่งนี้ พวกเขามอบโคตัวผู้ 100 ตัว แกะตัวผู้ 200 ตัว ลูกแกะ 400 ตัว และแพะตัวผู้ 12 ตัว เป็นเครื่องสักการะชดใช้บาปสำหรับอิสราเอลทั้งปวง ตามจำนวนเผ่าของอิสราเอล 18 แล้วเขาเหล่านั้นกำหนดบรรดาปุโรหิตและชาวเลวีประจำกองเวรของพวกเขา เพื่องานรับใช้พระเจ้าที่เยรูซาเล็ม ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือของโมเสส

ฉลองเทศกาลปัสกา

19 ในวันที่สิบสี่ของเดือนแรก บรรดาผู้ถูกเนรเทศที่กลับมาก็ถือกฎปัสกา 20 เพราะบรรดาปุโรหิตและชาวเลวีได้ชำระตัวให้บริสุทธิ์ด้วยกัน ทุกคนจึงบริสุทธิ์ ดังนั้นพวกเขาจึงฆ่าลูกแกะปัสกาสำหรับบรรดาผู้ถูกเนรเทศที่กลับมา สำหรับพี่น้องที่เป็นปุโรหิต และสำหรับพวกเขาเอง 21 ดังนั้นชาวอิสราเอลที่ถูกเนรเทศและได้กลับมาจึงรับประทานปัสกาด้วย พร้อมกับคนทั้งปวงที่ได้แยกตนออกจากคนนอกซึ่งปฏิบัติตนในหนทางที่เป็นมลทินของแผ่นดิน เพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล 22 และพวกเขาถือกฎเทศกาลขนมปังไร้เชื้อด้วยความยินดีเป็นเวลา 7 วัน เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้พวกเขาชื่นชมยินดี และได้เปลี่ยนใจกษัตริย์แห่งอัสซีเรียให้มาสนใจพวกเขา ดังนั้นท่านจึงช่วยเหลือในเรื่องงานพระตำหนักของพระเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล

เอสราสอนประชาชน

หลังจากนั้น คือในรัชกาลของกษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีสแห่งเปอร์เซีย เอสราบุตรเสไรยาห์ ผู้เป็นบุตรอาซาริยาห์ ผู้เป็นบุตรฮิลคียาห์ ผู้เป็นบุตรชัลลูม ผู้เป็นบุตรศาโดก ผู้เป็นบุตรอาหิทูบ ผู้เป็นบุตรอามาริยาห์ ผู้เป็นบุตรอาซาริยาห์ ผู้เป็นบุตรเมราโยท ผู้เป็นบุตรเศรัคยาห์ ผู้เป็นบุตรอุสซี ผู้เป็นบุตรบุคคี ผู้เป็นบุตรอาบีชูวา ผู้เป็นบุตรฟีเนหัส ผู้เป็นบุตรเอเลอาซาร์ ผู้เป็นบุตรอาโรนมหาปุโรหิต เอสราผู้นี้ขึ้นไปจากบาบิโลน ท่านเป็นผู้สอนกฎบัญญัติ ผู้ชำนาญในเรื่องกฎบัญญัติของโมเสส ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลได้มอบไว้ และกษัตริย์ประทานทุกสิ่งที่ท่านขอ ด้วยว่ามือของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสถิตกับท่าน

และประชาชนของอิสราเอลบางคน ปุโรหิตและชาวเลวีบางคน พวกนักร้องและคนเฝ้าประตู และพวกผู้รับใช้พระวิหาร ต่างก็ขึ้นไปยังเยรูซาเล็ม ในปีที่เจ็ดของกษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีส เอสราไปยังเยรูซาเล็มในเดือนที่ห้า ปีที่เจ็ดของกษัตริย์ ในวันแรกของเดือนแรก ท่านเริ่มเดินทางขึ้นไปจากบาบิโลน และในวันแรกของเดือนที่ห้า ท่านมาถึงเยรูซาเล็ม ด้วยว่ามืออันประเสริฐของพระเจ้าของท่านสถิตกับท่าน 10 เอสราได้ปักใจในการเรียนกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า และปฏิบัติตาม และสอนคำบัญชาและกฎเกณฑ์ในอิสราเอล

11 ต่อไปนี้เป็นสำเนาจดหมายที่กษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีสให้แก่เอสราปุโรหิต ผู้สอนกฎบัญญัติและเรียนรู้ในเรื่องพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์เพื่ออิสราเอลว่า 12 “อาร์ทาเซอร์ซีสกษัตริย์ของบรรดากษัตริย์ส่งคำทักทายถึงเอสราปุโรหิต ผู้สอนกฎบัญญัติของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์

13 เราออกคำสั่งว่า ประชาชนของอิสราเอลคนใดที่อยู่ในอาณาจักรของเรา หรือบรรดาปุโรหิตของพวกเขา หรือชาวเลวี ที่ปรารถนาที่จะไปยังเยรูซาเล็มกับท่าน ก็ให้เขาไปได้ 14 เพราะกษัตริย์และที่ปรึกษาทั้งเจ็ดคนเป็นผู้ส่งท่านไป เพื่อสอบถามยูดาห์และเยรูซาเล็มในเรื่องกฎบัญญัติของพระเจ้าของท่าน ซึ่งเป็นกฎที่อยู่ในมือท่าน 15 และนำเงินกับทองคำซึ่งกษัตริย์และที่ปรึกษาได้ถวายด้วยใจสมัครแด่พระเจ้าของอิสราเอล ผู้พำนักในเยรูซาเล็ม 16 พร้อมกับเงินและทองคำทั้งหมดที่ท่านได้รับจากแคว้นบาบิโลน พร้อมทั้งของถวายด้วยใจสมัครของประชาชนและปุโรหิต เพื่อพระตำหนักของพระเจ้าของพวกเขาในเยรูซาเล็ม 17 จงแน่ใจว่าท่านจะใช้เงินที่ได้นี้ซื้อโคผู้ แกะผู้ และลูกแกะ กับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชา และถวายสิ่งเหล่านี้บนแท่นบูชาที่พระวิหารของพระเจ้าของท่านในเยรูซาเล็ม

18 สิ่งใดที่ท่านและพี่น้องของท่านเห็นสมควรกับการใช้เงินและทองคำที่เหลือ ก็จงทำตามความปรารถนาของพระเจ้าของท่านเถิด 19 เครื่องใช้ที่มอบให้ท่านเพื่องานรับใช้ในพระวิหารของพระเจ้าของท่าน ท่านก็จงเอาไปถวายแด่พระเจ้าของเยรูซาเล็ม 20 และสิ่งใดที่ควรมีสำหรับพระวิหารของพระเจ้าของท่าน ซึ่งท่านรับผิดชอบต้องจัดหาไว้ ท่านก็จงจัดหาได้จากคลังของกษัตริย์

21 และเราผู้เป็นกษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีสบัญชาผู้ดูแลกองคลังทั้งปวงของแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติสว่า สิ่งใดที่เอสราต้องการ เขาเป็นทั้งปุโรหิตและผู้สอนกฎบัญญัติของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ก็จงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด 22 เราอนุมัติให้เขาได้มากตามนี้คือ เงินหนัก 100 ตะลันต์[k] ข้าวสาลี 100 โคร์[l] เหล้าองุ่น 100 บัท[m] น้ำมัน 100 บัท และเกลือไม่จำกัดปริมาณ 23 สิ่งใดที่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์บัญชา จงทำอย่างเคร่งครัดสำหรับพระวิหารของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ มิฉะนั้นพระองค์จะกริ้วกษัตริย์และบรรดาบุตรด้วย 24 พวกเราแจ้งท่านด้วยว่า เป็นการผิดกฎที่จะรับของกำนัล ค่าธรรมเนียม หรือภาษีจากบรรดาปุโรหิต ชาวเลวี คนร้องเพลง คนเฝ้าประตู ผู้รับใช้พระวิหาร หรือผู้รับใช้อื่นๆ ในพระวิหารของพระเจ้า

25 เอสรา ท่านเองมีสติปัญญาที่ได้รับจากพระเจ้าของท่าน จงแต่งตั้งเจ้าหน้าที่บังคับคดีและผู้พิพากษา ที่จะตัดสินประชาชนทั้งปวงของแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส ทุกคนควรรู้กฎบัญญัติของพระเจ้าของท่าน ส่วนพวกที่ไม่รู้ ท่านทั้งหลายก็จงสอนพวกเขา 26 ใครก็ตามที่ไม่เชื่อฟังกฎบัญญัติของพระเจ้าของท่าน และกฎของกษัตริย์ ก็จงลงโทษเขา ไม่ว่าจะเป็นโทษถึงแก่ความตาย หรือถูกเนรเทศ ถูกยึดสมบัติ หรือการถูกจำคุก”

27 สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของเรา พระองค์ดลใจกษัตริย์ในเรื่องดังกล่าว เพื่อทำให้พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าในเยรูซาเล็มงดงาม 28 และมอบความรักอันมั่นคงของพระองค์แก่ข้าพเจ้า ต่อหน้ากษัตริย์และที่ปรึกษาของท่าน และต่อหน้าบรรดาขุนนางทั้งปวงที่มีอำนาจของกษัตริย์ ข้าพเจ้ามีใจกล้าหาญเพราะมือของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้ารวบรวมผู้นำชายชาวอิสราเอลขึ้นไปกับข้าพเจ้า

ลำดับวงศ์ของผู้ที่ไปกับเอสรา

ต่อไปนี้เป็นหัวหน้าตระกูล และเป็นลำดับวงศ์ของบรรดาผู้ที่ขึ้นไปจากบาบิโลนกับข้าพเจ้า ในสมัยการปกครองของกษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีส จากเชื้อสายของฟีเนหัสคือ เกอร์โชม จากเชื้อสายของอิธามาร์คือ ดาเนียล จากเชื้อสายของดาวิดคือ ฮัทธัช จากเชื้อสายของเชคานิยาห์ผู้เป็นเชื้อสายของปาโรชคือ เศคาริยาห์ พร้อมกับชายที่ลงทะเบียน 150 คน จากเชื้อสายของปาหัทโมอับคือ เอลีโฮเอนัยบุตรของเศรัคยาห์ พร้อมกับชายที่ลงทะเบียน 200 คน จากเชื้อสายของศัทธูคือ เชคานิยาห์บุตรของยาฮาซีเอล พร้อมกับชาย 300 คน จากเชื้อสายของอาดีนคือ เอเบดบุตรของโยนาธาน พร้อมกับชาย 50 คน จากเชื้อสายของเอลามคือ เยชายาห์บุตรของอาธาลิยาห์ พร้อมกับชาย 70 คน จากเชื้อสายของเชฟาทิยาห์คือ เศบาดิยาห์บุตรของมีคาเอล พร้อมกับชาย 80 คน จากเชื้อสายของโยอาบคือ โอบาดีห์บุตรของเยฮีเอล พร้อมกับชาย 218 คน 10 จากเชื้อสายของบานีคือ เชโลมิทบุตรของโยสิฟียาห์ พร้อมกับชาย 160 คน 11 จากเชื้อสายของเบบัยคือ เศคาริยาห์บุตรของเบบัย พร้อมกับชาย 28 คน 12 จากเชื้อสายของอัสกาดคือ โยฮานานบุตรฮักคาทาน พร้อมกับชาย 110 คน 13 คนรุ่นหลังจากเชื้อสายของอาโดนีคัมคือ เอลีเฟเลท เยอูเอล และเชไมยาห์ พร้อมกับชาย 60 คน 14 จากเชื้อสายของบิกวัยคือ อุธัยและศัคเคอร์ พร้อมกับชาย 70 คน

กลับไปยังเยรูซาเล็ม

15 ข้าพเจ้าเรียกประชุมเขาเหล่านั้นที่แม่น้ำซึ่งไหลไปทางอาหะวา และพวกเราตั้งค่าย 3 วัน ขณะที่ข้าพเจ้าตรวจดูประชาชนและบรรดาปุโรหิต ข้าพเจ้าพบว่าไม่มีเชื้อสายของเลวีที่นั่นเลย 16 ข้าพเจ้าจึงให้ไปเรียกเอลีเอเซอร์ อารีเอล เชไมยาห์ เอลนาธาน ยารีบ เอลนาธาน นาธาน เศคาริยาห์ และเมชุลลาม ซึ่งเป็นผู้นำ และให้เรียกโยยาริบและเอลนาธาน ผู้สามารถหยั่งรู้ 17 และให้เขาไปหาอิดโดซึ่งเป็นผู้นำที่คาสิเฟีย ทั้งกำกับว่าจะพูดอย่างไรกับอิดโดและพี่น้องของเขา และกับผู้รับใช้ของพระวิหารที่คาสิเฟีย เพื่อให้พวกเขาส่งผู้ปฏิบัติงานสำหรับพระตำหนักของพระเจ้าของเรามาให้พวกเรา 18 เพราะมืออันประเสริฐของพระเจ้าของเราสถิตกับพวกเรา พวกเขานำชายผู้หนึ่งที่กอปรด้วยปฏิภาณมาให้พวกเรา เขาเป็นเชื้อสายของมัคลีบุตรชาวเลวี บุตรของอิสราเอล กับบุตรชายและพี่น้องของเชเรบิยาห์ รวมได้ 18 คน 19 ฮาชาบิยาห์ กับเยชายาห์จากเชื้อสายของเมรารี พร้อมด้วยพี่น้องและบรรดาบุตร รวมได้ 20 คน 20 บรรดาผู้รับใช้พระวิหารจำนวน 220 คนที่ดาวิดและพวกเจ้าหน้าที่ของท่านได้เลือกให้เป็นผู้ช่วยชาวเลวี ทุกคนก็มีชื่อระบุไว้

อดอาหารและอธิษฐาน

21 แล้วข้าพเจ้าก็ประกาศให้มีการอดอาหารที่นั่น ที่แม่น้ำอาหะวา เพื่อเราจะถ่อมตนลง ณ เบื้องหน้าพระเจ้าของเรา เพื่อขอพระองค์ให้ความปลอดภัยแก่พวกเรา แก่ลูกหลาน และทรัพย์สมบัติของเราทั้งหมด 22 ข้าพเจ้าละอายที่จะขอกองทัพทหารและทหารม้าจากกษัตริย์ให้มาปกป้องพวกเราจากศัตรูในระหว่างการเดินทาง เพราะเราได้บอกกษัตริย์แล้วว่า “มือของพระเจ้าของเราปกป้องทุกคนที่แสวงหาพระองค์ตลอดกาล แต่ความโกรธของพระองค์พลุ่งขึ้นต่อทุกคนที่ละทิ้งพระองค์” 23 ดังนั้น เราจึงอดอาหารและอ้อนวอนพระเจ้าของเราในเรื่องนี้ และพระองค์ฟังคำอธิษฐานของเรา

ปุโรหิตดูแลของถวาย

24 ข้าพเจ้าจึงกำหนดปุโรหิตระดับผู้นำจำนวน 12 คนคือ เชเรบิยาห์ ฮาชาบิยาห์ และญาติพี่น้องของพวกเขาอีก 10 คน 25 และข้าพเจ้าได้ชั่งเงิน ทองคำ และเครื่องใช้สำหรับพระตำหนักของพระเจ้าของเรา และมอบให้แก่เขาทั้งหลาย ซึ่งกษัตริย์และบรรดาที่ปรึกษาของท่าน บรรดาเจ้าหน้าที่ของท่านและอิสราเอลทั้งปวงที่อยู่ที่นั่นได้ถวายไว้ 26 ข้าพเจ้าชั่งและมอบให้เป็นเงิน 650 ตะลันต์ เครื่องใช้เครื่องเงิน 200 ตะลันต์ ทองคำ 100 ตะลันต์ 27 ชามทองคำ 20 ใบมีค่าหนัก 1,000 ดาริค[n] และเครื่องใช้ 2 ชิ้นเป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อบริสุทธิ์สุกใสและมีค่าดั่งทองคำ 28 ข้าพเจ้าพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านบริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า และเครื่องใช้ก็บริสุทธิ์ เงินและทองคำเป็นของถวายด้วยใจสมัครแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน 29 จงรักษาสิ่งเหล่านี้ และเก็บไว้จนกว่าท่านจะชั่งต่อหน้ามหาปุโรหิตและชาวเลวีและบรรดาผู้นำบรรพบุรุษของอิสราเอลที่เยรูซาเล็ม ในห้องที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 30 ดังนั้น บรรดาปุโรหิตและชาวเลวีจึงรับเอาเงิน ทองคำ และเครื่องใช้ที่ชั่งแล้วเพื่อนำไปยังพระตำหนักของพระเจ้าของเราที่เยรูซาเล็ม

31 ในวันที่สิบสองของเดือนแรก เราก็ออกไปจากแม่น้ำอาหะวา เพื่อไปยังเยรูซาเล็ม มือของพระเจ้าของเราสถิตกับเรา และพระองค์ช่วยเราให้พ้นจากมือของศัตรู และจากกองดักซุ่มตามทางที่ไป 32 เรามาถึงเยรูซาเล็ม และเราอยู่ที่นั่น 3 วัน 33 ในวันที่สี่ ในพระตำหนักของพระเจ้าของเรา มีการชั่งเงิน ทองคำ และเครื่องใช้ ต่อหน้าเมเรโมทปุโรหิตบุตรอุรียาห์ และเอเลอาซาร์บุตรฟีเนหัส และชาวเลวีที่อยู่ด้วยก็คือ โยซาบาดบุตรเยชูอา และโนอัดยาห์บุตรบินนุย 34 พวกเขานับและชั่งของทุกชิ้น และบันทึกน้ำหนักของสิ่งเหล่านั้นไว้

35 ในเวลานั้นบรรดาผู้ที่ถูกเนรเทศไปเป็นเชลย และได้กลับมา ก็มอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายแด่พระเจ้าของอิสราเอล มีโคตัวผู้ 12 ตัวสำหรับอิสราเอลทั้งปวง แกะตัวผู้ 96 ตัว ลูกแกะ 77 ตัว และแพะตัวผู้ 12 ตัวเป็นเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป ทั้งหมดนี้เป็นสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย 36 พวกเขาส่งสาสน์ของกษัตริย์ไปยังผู้ปกครองแคว้นของเปอร์เซีย และแก่บรรดาผู้ว่าราชการของแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และคนเหล่านี้ก็ช่วยเหลือประชาชนและพระตำหนักของพระเจ้า

เอสราอธิษฐานเรื่องการแต่งงานข้ามชาติ

หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องเหล่านั้นแล้ว บรรดาเจ้าหน้าที่จึงมาหาข้าพเจ้าและพูดว่า “ประชาชนของอิสราเอล บรรดาปุโรหิต และชาวเลวี ยังไม่ได้แยกตนออกจากประชาชนของแผ่นดินเหล่านั้นด้วยการกระทำอันน่ารังเกียจ ซึ่งเหมือนกับบรรดาชาวคานาอัน ชาวฮิต ชาวเปริส ชาวเยบุส ชาวอัมโมน ชาวโมอับ ชาวอียิปต์ และชาวอาโมร์ เพราะชาวอิสราเอลได้รับบุตรหญิงของพวกเขามาเพื่อเป็นภรรยาของตน และยังรับมาเพื่อบุตรของพวกเขาด้วย ดังนั้นเชื้อสายบริสุทธิ์ก็ได้ปะปนกับประชาชนของแผ่นดินเหล่านั้น บรรดาผู้นำและหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ได้กระทำตนเป็นตัวอย่างในความไม่ภักดีต่อพระเจ้ามากที่สุด” ทันทีที่ข้าพเจ้าทราบเรื่อง ข้าพเจ้าก็ฉีกเสื้อผ้าและเสื้อคลุมของข้าพเจ้า ทึ้งผมและเคราของข้าพเจ้า และนั่งตกตะลึง เนื่องจากพวกเชลยที่กลับมาแสดงความไม่ภักดี ทุกคนที่เกรงกลัวคำกล่าวของพระเจ้าของอิสราเอลจึงมาหาข้าพเจ้าขณะที่ข้าพเจ้ายังนั่งนิ่งงันอยู่จนถึงเวลาถวายเครื่องสักการะตอนเย็น และเมื่อถึงเวลาถวายเครื่องสักการะตอนเย็น ข้าพเจ้าหยุดการอดอาหาร แต่ยังสวมเสื้อผ้าและเสื้อคลุมที่ขาดอยู่ ข้าพเจ้าคุกเข่าลง และชูมือขึ้นต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า และพูดว่า

“โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าละอายใจและอับอายที่จะเงยหน้าขึ้นสู่พระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะบาปของเราทวีขึ้นสูงเหนือศีรษะของเรา และความผิดของเรากองสูงถึงฟ้าสวรรค์ นับจากสมัยของบรรพบุรุษของเราจนถึงวันนี้ เรามีความผิดที่ยิ่งใหญ่เรื่อยมา และเป็นเพราะการผิดบาปของเรา บรรดากษัตริย์และปุโรหิตของเราจึงถูกมอบไว้ในมือของบรรดากษัตริย์ของแผ่นดินเหล่านั้น ถูกฆ่าฟัน ถูกจับไปเป็นเชลย ถูกริบข้าวของ และถูกเหยียดหยามเป็นที่สุด อย่างทุกวันนี้ แต่บัดนี้ เพียงช่วงเวลาอันสั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเราได้แสดงความกรุณา โดยให้พวกเรามีชีวิตเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง และให้ที่อยู่อันมั่นคงในสถานที่บริสุทธิ์ของพระองค์ เพื่อพระเจ้าของเราจะให้ความกระจ่างแก่ตาของเรา และบรรเทาการเป็นทาสของเรา พวกเราเป็นทาส ถึงกระนั้นพระเจ้าของเราก็มิได้ทอดทิ้งเรายามที่เราเป็นทาส แต่ได้มอบความรักอันมั่นคงของพระองค์ ณ เบื้องหน้าบรรดากษัตริย์ของเปอร์เซีย พระองค์ได้โปรดให้เรามีชีวิตขึ้นใหม่ เพื่อสร้างพระตำหนักของพระเจ้าของเรา เพื่อซ่อมแซมสิ่งที่หักพัง และพระองค์ได้ให้มีกำแพงคุ้มกันเราในยูเดียและเยรูซาเล็ม

10 และบัดนี้ โอ พระเจ้าของเรา นอกจากนี้แล้วเราจะพูดอะไรได้อีก เพราะเราได้ทอดทิ้งพระบัญญัติของพระองค์ 11 ซึ่งพระองค์บัญชาผ่านบรรดาผู้เผยคำกล่าวซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘แผ่นดินที่เจ้ากำลังเข้าไปยึดครอง เป็นแผ่นดินที่ไม่บริสุทธิ์ด้วยมลทินของประชาชนในแผ่นดินเหล่านั้น ด้วยการกระทำอันน่ารังเกียจของพวกเขาทั่วทั้งแผ่นดินด้วยบาปของพวกเขา 12 ฉะนั้น อย่ายกบุตรหญิงของเจ้าให้แก่บุตรชายของพวกเขา และอย่ารับบุตรหญิงของพวกเขามาให้บุตรชายของเจ้า และอย่าแสวงหาสันติสุขหรือความรุ่งเรืองของพวกเขา เพื่อเจ้าจะเข้มแข็งและรับประทานได้จากความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน และมีมรดกเก็บไว้ให้ลูกหลานของเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์’ 13 พวกเราได้รับโทษก็เพราะความชั่วและความผิดอันใหญ่หลวงของพวกเรา แต่พระเจ้าของเรา พระองค์ได้ลงโทษเราน้อยกว่าบาปของเราที่สมควรจะได้รับ และได้ให้พวกเราบางคนมีชีวิตเหลืออยู่จำนวนหนึ่งเช่นนี้ 14 พวกเรายังจะขัดต่อกฎบัญญัติของพระองค์ และแต่งงานกับชนชาติที่กระทำสิ่งอันน่ารังเกียจอยู่อีกหรือ พระองค์จะไม่กริ้วพวกเราจนกว่าพระองค์จะทำให้พวกเราพินาศ จนไม่ให้มีผู้ใดมีชีวิตเหลืออยู่หรือหนีรอดไปได้อย่างนั้นหรือ 15 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล พระองค์ยุติธรรม พวกเราจึงมีคนจำนวนหนึ่งเหลืออยู่ได้อย่างทุกวันนี้ ดูเถิด เราอยู่ ณ เบื้องหน้าพระองค์ด้วยความผิดของเรา และไม่มีผู้ใดในพวกเราที่สมควรจะยืน ณ เบื้องหน้าพระองค์ได้”

ประชาชนสารภาพบาป

10 ขณะที่เอสราอธิษฐานและสารภาพ ร้องไห้ และทรุดตัวลงที่หน้าพระตำหนักของพระเจ้า ชาวอิสราเอลกลุ่มใหญ่ รวมทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ก็มาชุมนุมอยู่กับท่าน และต่างก็ร้องไห้ด้วยความปวดร้าวใจ เชคานิยาห์บุตรเยฮีเอลจากเชื้อสายของเอลาม กล่าวกับเอสราว่า “พวกเราไม่ภักดีต่อพระเจ้าของเรา และได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติจากชนชาติในแผ่นดิน กระทั่งบัดนี้ ก็ยังมีความหวังในอิสราเอลทั้งๆ ที่เป็นเช่นนี้ ฉะนั้นขอพวกเราทำพันธสัญญากับพระเจ้าของเราว่า เราจะส่งภรรยาเหล่านี้กับลูกๆ ของพวกนางกลับไป ตามคำปรึกษาของเจ้านายของเรา และของบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระบัญญัติของพระเจ้าของเรา และให้เป็นไปตามกฎบัญญัติเถิด ลุกขึ้นเถิด นี่เป็นเรื่องของท่าน และเราก็เห็นด้วยกับท่าน จงเข้มแข็งและลงมือทำ” ครั้นแล้ว เอสราจึงลุกขึ้น และให้บรรดาปุโรหิตคนสำคัญ ชาวเลวี และอิสราเอลทั้งปวง สาบานว่า พวกเขาจะทำตามที่พูดไว้ และเขาทั้งปวงก็สาบานตน

ครั้นแล้ว เอสราก็ผละตัวออกไปจากพระตำหนักของพระเจ้า และไปยังห้องของเยโฮฮานันบุตรเอลียาชีบ อยู่ที่นั่นโดยไม่ได้รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ เพราะท่านไว้อาลัยในความไม่ภักดีของพวกเชลย มีการประกาศทั่วยูดาห์และเยรูซาเล็ม ถึงพวกที่ถูกจับไปเป็นเชลยซึ่งกลับมา ให้มาประชุมกันที่เยรูซาเล็ม และถ้าหากว่าผู้ใดไม่มาภายใน 3 วัน เขาก็จะสูญเสียที่ดินตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ชั้นสูงและพวกผู้ใหญ่ และเขาจะถูกขับไล่ออกจากที่ประชุมของกลุ่มเชลย

ดังนั้น พวกผู้ชายทั้งปวงของยูดาห์และเบนยามินจึงประชุมกันที่เยรูซาเล็มภายใน 3 วัน เป็นเดือนที่เก้า วันที่ยี่สิบของเดือน และประชาชนทั้งปวงนั่งอยู่บนลานกว้างที่หน้าพระตำหนักของพระเจ้า ตัวสั่นเทาเพราะเรื่องนี้และเพราะมีฝนตกหนัก 10 เอสราปุโรหิตยืนขึ้นและกล่าวว่า “พวกท่านสิ้นความภักดี และแต่งงานกับหญิงต่างชาติ จึงได้เพิ่มความผิดให้แก่อิสราเอล 11 บัดนี้จงสารภาพต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน และทำตามความประสงค์ของพระองค์ จงแยกตนให้ห่างจากประชาชนของแผ่นดิน และจากภรรยาต่างชาติ” 12 และที่ประชุมทั้งหมดก็ตอบด้วยเสียงอันดังว่า “เป็นจริงตามนั้น พวกเราต้องปฏิบัติตามที่ท่านกล่าว 13 แต่มีประชาชนมากมาย และขณะนี้เป็นฤดูที่ฝนตกหนัก พวกเราจะยืนอยู่กลางแจ้งไม่ได้ และเราไม่สามารถทำเสร็จในวันสองวันได้ เพราะพวกเราได้ล่วงละเมิดในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก 14 ให้พวกเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของเราเป็นตัวแทนให้ที่ประชุมทั้งหมด และให้ทุกคนในเมืองที่แต่งงานกับหญิงต่างชาติมาตามเวลานัดหมาย พร้อมด้วยบรรดาผู้ใหญ่และตุลาการของแต่ละเมือง จนกระทั่งความกริ้วอันร้อนแรงของพระเจ้าของเรา ที่พลุ่งขึ้นเพราะเรื่องนี้จะหันไปจากพวกเรา” 15 โยนาธานบุตรอาสาเฮล และยาไซอาห์บุตรทิกวาห์คัดค้านขึ้นมา และเมชุลลามกับชับเบธัยชาวเลวีก็สนับสนุนในการคัดค้านนี้

16 แล้วพวกเชลยที่กลับมาก็ทำตามข้อเสนอนั้น เอสราปุโรหิตจึงเลือกชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ตามตระกูลของพวกเขา กำหนดพวกเขาแต่ละคนตามรายชื่อ ในวันแรกของเดือนที่สิบ พวกเขาก็นั่งลงพิจารณาเรื่องนี้ 17 ภายในวันแรกของเดือนแรก พวกเขาก็จัดการเรื่องของชายทุกคนที่ได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติเสร็จสิ้น

ผู้มีความผิดเรื่องการแต่งงาน

18 พวกเขาพบว่าบุตรของปุโรหิตบางคนที่ได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติ จากเชื้อสายของเยชูอาบุตรโยซาดัก และพี่น้องของเยชูอาคือ มาอาเสยาห์ เอลีเอเซอร์ ยารีบ และเก-ดาลิยาห์ 19 พวกเขาได้สาบานตนว่าจะส่งภรรยาของเขากลับไป และมอบของถวายเพื่อไถ่โทษเป็นแกะตัวผู้ตัวหนึ่งจากฝูงแพะแกะสำหรับความผิดของเขา 20 จากเชื้อสายของอิมเมอร์คือ ฮานานีและเศบาดิยาห์ 21 จากเชื้อสายของฮาริมคือ มาอาเสยาห์ เอลียาห์ เชไมยาห์ เยฮีเอล และอุสซียาห์ 22 จากเชื้อสายของปาชเฮอร์คือ เอลีโอนัย มาอาเสยาห์ อิชมาเอล เนธันเอล โยซาบาด และเอลอาสาห์

23 จากชาวเลวีคือ โยซาบาด ชิเมอี เค-ลายาห์ (คือเคลิทา) เปธาหิยาห์ ยูดาห์ และเอลีเอเซอร์ 24 จากพวกนักร้องคือ เอลียาชีบ จากคนเฝ้าประตูคือ ชัลลูม เทเลม และอุรี

25 และจากชาวอิสราเอลคือ จากเชื้อสายของปาโรชคือ รามียาห์ อิสซียาห์ มัลคิยาห์ มิยามิน เอเลอาซาร์ มัลคิยาห์ และเบไนยาห์ 26 จากเชื้อสายของเอลามคือ มัทธานิยาห์ เศคาริยาห์ เยฮีเอล อับดี เยเรโมท เอลียาห์ 27 จากเชื้อสายของศัทธูคือ เอลีโอนัย เอลียาชีบ มัทธานิยาห์ เยเรโมท ศาบาด และอาซีซา 28 จากเชื้อสายของเบบัยคือ เยโฮฮานัน ฮานันยาห์ ศับบัย อัทลัย 29 จากเชื้อสายของบานีคือ เมชุลลาม มัลลูค อาดายาห์ ยาชูบ เชอัล และเยเรโมท 30 จากเชื้อสายของปาหัทโมอับคือ อัดนา เคลาล เบไนยาห์ มาอาเสยาห์ มัทธานิยาห์ เบซาเลล บินนุย และมนัสเสห์ 31 จากเชื้อสายของฮาริมคือ เอลีเอเซอร์ อิสชียาห์ มัลคิยาห์ เชไมยาห์ ชิเมโอน 32 เบนยามิน มัลลูค เช-มาริยาห์ 33 จากเชื้อสายของฮาชูมคือ มัทเธนัย มัทธัตตาห์ ศาบาด เอลีเฟเลท เยเรมัย มนัสเสห์และชิเมอี 34 จากเชื้อสายของบานีคือ มาอาดัย อัมราม อูเอล 35 เบไนยาห์ เบดัยยาห์ เคลุฮี 36 วานิยาห์ เมเรโมท เอลียาชีบ 37 มัทธานิยาห์ มัทเธนัย ยาอาสุ 38 บานี จากเชื้อสายของบินนุยคือ ชิเมอี 39 เชเลมิยาห์ นาธาน อาดายาห์ 40 มัคนาเดบัย ชาชัย ชารัย 41 อาซาร์เอล เชเลมิยาห์ เช-มาริยาห์ 42 ชัลลูม อามาริยาห์ และโยเซฟ 43 จากเชื้อสายของเนโบคือ เยอีเอล มัททีธิยาห์ ศาบาด เศบินา ยาดดัย โยเอล และเบไนยาห์ 44 ชายเหล่านี้ได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติ และผู้หญิงบางคนก็ได้ให้กำเนิดบุตรด้วย

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation