Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
อิสยาห์ 29:1-41:18

เยรูซาเล็มถูกยึด

29 “วิบัติจงเกิดแก่อารีเอล[a] แก่อารีเอล
    คือเมืองที่ดาวิดตั้งค่ายอยู่
จงให้มีงานเทศกาลของพวกเจ้า
    ปีแล้วปีเล่า
เราจะทำให้อารีเอลเป็นทุกข์
    จะมีการเศร้าโศกและคร่ำครวญ
    และเมืองนี้จะเป็นเหมือนอารีเอลสำหรับเรา
เราจะตั้งค่ายต่อสู้กับเจ้าโดยรอบข้าง
    และเราจะล้อมเจ้าด้วยหอคอย
    และเราจะตั้งเชิงเทินล้อมเจ้า
และเจ้าจะถูกทำให้ทรุดต่ำลง เจ้าจะพูดจากพื้นดิน
    คำพูดของเจ้าจะแผ่วเบาจากฝุ่น
เสียงของเจ้าจะมาจากพื้นดินเหมือนเสียงวิญญาณจากแดนคนตาย
    และคำพูดของเจ้าจะกระซิบจากฝุ่น”

แต่ศัตรูต่างชาติของท่านจำนวนมากจะเป็นเหมือนผงคลี
    และคนโหดร้ายจำนวนมากจะเป็นเหมือนแกลบที่ถูกลมพัด
และในทันทีทันใดนั้น
    พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาจะมาเยือน
ด้วยเสียงฟ้าร้อง แผ่นดินไหว และเสียงดังสนั่น
    พายุหมุน และพายุอันแรงกล้า และเพลิงไฟที่เผาผลาญ
และบรรดาประชาชาติทั้งปวงที่ต่อสู้กับอารีเอล
    ที่โจมตีอารีเอลและหลักยึดอันมั่นคง และทำให้เมืองนี้เป็นทุกข์
ก็จะเป็นเหมือนความฝัน
    เป็นภาพนิมิตในเวลากลางคืน
เมื่อคนหิวฝันว่าเขากำลังรับประทานอยู่
    แต่เมื่อตื่นขึ้น เขาก็ไม่หายหิว
เมื่อคนกระหายน้ำฝันว่า เขากำลังดื่มน้ำ
    แต่เมื่อตื่นขึ้น เขาก็อ่อนกำลัง และยังกระหายน้ำอยู่
และจะเป็นเช่นนั้นกับประชาชาติทั้งปวง
    ที่ต่อสู้กับภูเขาศิโยน

จงประหลาดใจและอัศจรรย์ใจ
    ทำตัวเองให้มืดบอด และมองไม่เห็น
ท่านจะเมา แต่ไม่ใช่ด้วยเหล้าองุ่น
    ท่านจะเดินโซซัดโซเซ แต่ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์สุรา
10 เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้หลั่งวิญญาณ
    ที่นอนหลับสนิทให้แก่ท่าน
และทำให้พวกท่านตามืดบอด
    (ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเป็นเสมือนตา)
และปกคลุมศีรษะของพวกท่าน
    (ผู้รู้เป็นเสมือนศีรษะ)

11 และภาพนิมิตดังกล่าวนี้เป็นเสมือนคำพูดในหนังสือม้วนที่ถูกผนึก เมื่อมีคนมอบหนังสือนี้ให้แก่คนที่อ่านออก และบอกว่า “อ่านสิ” เขาจะตอบว่า “ข้าพเจ้าอ่านไม่ได้ เพราะมันถูกผนึกไว้” 12 เมื่อมีคนมอบหนังสือม้วนนี้ให้แก่คนที่อ่านไม่ออก และบอกว่า “อ่านสิ” เขาจะตอบว่า “ข้าพเจ้าอ่านไม่ออก”

13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า

“เพราะคนเหล่านี้พูดด้วยปากว่า เขาอยู่ใกล้เรา
    และให้เกียรติเราเพียงแค่ปาก
    แต่ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา
ความเกรงกลัวของพวกเขาที่มีต่อเรา
    ก็มาจากกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สั่งสอน[b]
14 ฉะนั้น ดูเถิด เราจะกระทำสิ่งมหัศจรรย์มากมาย
    กับคนเหล่านี้อีก
และสติปัญญาของผู้เรืองปัญญาจะดับสูญไป
    และความฉลาดของผู้เรืองปัญญาจะถูกปิดบังไว้”[c]

15 วิบัติจงเกิดแก่คนที่ซ่อนแผนการ
    จากพระผู้เป็นเจ้า
ซึ่งการกระทำของเขาอยู่ในความมืด
    และเขาพูดว่า “ใครจะรู้เรื่องเรา”
16 พวกท่านกลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
ควรหรือที่จะถือว่าช่างปั้นหม้อเป็นเหมือนกับดินเหนียว
และสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นควรพูดถึงผู้สร้างว่า
    “เขาไม่ได้สร้างฉัน” อย่างนั้นหรือ
สิ่งที่ถูกปั้นขึ้นจะพูดถึงผู้ปั้นของมันว่า
    “เขาไม่มีความเข้าใจ” อย่างนั้นหรือ

17 อีกไม่นานมิใช่หรือ
    ที่เลบานอนจะกลับกลายเป็นไร่นาอันอุดม
    และไร่นาซึ่งอุดมสมบูรณ์ก็จะถือเสมือนว่าเป็นป่าดงดิบ
18 ในวันนั้น คนหูหนวกจะได้ยิน
    คำกล่าวของหนังสือม้วน
และคนตาบอดจะมองเห็นจาก
    ความมืดมนและความมืด
19 ผู้มีใจอ่อนน้อมจะได้รับความยินดีจากพระผู้เป็นเจ้า
    และคนยากไร้ในหมู่มนุษย์จะรื่นเริงใจในองค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอล
20 เพราะคนโหดร้ายจะสูญหายไป
    คนเย้ยหยันจะหายจากไป
    และทุกคนที่เจตนาทำชั่วจะถูกตัดขาด
21 ผู้ใส่ร้ายให้คนมีความผิด
    และวางกับดักผู้คุ้มครองที่ประตูเมือง
    และให้การเท็จทำให้คนไร้ความผิดไม่ได้รับความเป็นธรรม

22 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ไถ่อับราฮัม กล่าวถึงพงศ์พันธุ์ยาโคบดังนี้ว่า

“ยาโคบจะไม่อับอายอีกต่อไป
    ใบหน้าของเขาจะไม่ซีดลงอีกต่อไป
23 เพราะเมื่อเขาเห็นลูกหลานของเขา
    ซึ่งเป็นผลงานจากฝีมือของเราท่ามกลางเขา
พวกเขาจะเคารพสักการะชื่อของเรา
    พวกเขาจะเคารพสักการะองค์ผู้บริสุทธิ์ของยาโคบ
    และจะยืนด้วยความเกรงกลัวพระเจ้าของอิสราเอล
24 และบรรดาผู้ที่หลงผิดจะกลับมาเข้าใจ
    และพวกที่พร่ำบ่นจะยินดีรับคำสั่งสอน”

ห้ามลงไปยังอียิปต์

30 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
    “วิบัติจงเกิดแก่ลูกๆ ที่ดื้อรั้น
พวกที่ทำตามแผนการที่ไม่ใช่ของเรา
และสร้างสัมพันธภาพซึ่งไม่ได้เกิดจากฝ่ายวิญญาณของเรา
    พวกเขาจึงเพิ่มพูนบาปยิ่งขึ้น
พวกเขาเดินทางลงไปยังอียิปต์
    โดยไม่ได้ปรึกษาเรา
แต่อาศัยการคุ้มครองของฟาโรห์
    และหลบอยู่ภายใต้ร่มเงาของอียิปต์
แต่การคุ้มครองของฟาโรห์
    กลับนำความอับอายมาให้เจ้า
และการหลบภายใต้ร่มเงาของอียิปต์
    กลับนำความอัปยศมาให้เจ้า
ถึงแม้ว่าพวกเขามีบรรดาผู้นำที่โศอัน
    และพวกส่งสาสน์ได้ไปถึงฮาเนส
ทุกคนจะอับอาย
    เนื่องจากไม่มีใครที่จะเป็นประโยชน์ต่อเขา
ไม่ให้ทั้งความช่วยเหลือและผลประโยชน์
    มีแต่ความอับอายและความอัปยศ”

คำพยากรณ์เรื่องสัตว์ป่าแห่งเนเกบ

เดินทางผ่านดินแดนที่แสนจะลำบากและทำให้เจ็บปวดรวดร้าว
    เป็นที่มีสิงโตทั้งตัวเมียและตัวผู้
    มีงูพิษและงูพิษร้ายซึ่งพุ่งฉกอย่างร้อนรน
พวกเขาบรรทุกสมบัติของตนบนหลังลา
    และทรัพย์สินที่มีบนโหนกอูฐ
    เพื่อพากันไปยังชนชาติที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา
ความช่วยเหลือของอียิปต์ไร้ค่าและเปล่าประโยชน์
    ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเรียกอียิปต์ว่า
    “ราหับที่นั่งนิ่ง”

ชนชาติที่ดื้อดึง

และบัดนี้ จงไปเถิด จงเขียนบนแผ่นหินต่อหน้าพวกเขา
    และจารึกลงในหนังสือม้วน
เพื่อในวันข้างหน้าจะได้เป็น
    หลักฐานจนชั่วนิรันดร์กาล
เพราะพวกเขาเป็นชนชาติที่ดื้อดึง
    เป็นลูกหลานที่โป้ปด
    ไม่ยอมฟังคำสั่งสอนของพระผู้เป็นเจ้า
10 เป็นบรรดาผู้ที่พูดกับผู้รู้ว่า
    “หยุดเห็นภาพนิมิตได้แล้ว”
และพูดกับบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า
    “อย่าเผยคำกล่าวของพระเจ้าให้แก่พวกเราในสิ่งที่ควรทำ
แต่พูดกับพวกเราถึงสิ่งที่รื่นหู
    ทำนายเรื่องที่ไม่เป็นจริงเถิด
11 ไปเสียจากทางนั้น หันกลับไปจากวิถีทางนั้น
    อย่าให้พวกเราได้ยินเรื่ององค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอลอีกเลย”

12 ฉะนั้น องค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า

“เพราะพวกเจ้าไม่ยอมรับคำกล่าว
    และวางใจในเรื่องการบีบบังคับและการบิดเบือน
    เจ้าจึงได้พึ่งสิ่งเหล่านั้น
13 ฉะนั้น บาปนี้จะเกิดขึ้นกับพวกเจ้า
    เหมือนกำแพงสูงที่มีช่องโหว่ และกำลังจะล้มลง
    และจะทลายลงทันที โดยฉับพลัน
14 กำแพงที่พังจะเป็นเหมือนภาชนะของช่างปั้นหม้อ
    ที่ถูกทุบอย่างไม่ปรานี
จะหาเศษกระเบื้องแตกชิ้นใหญ่พอที่
    จะใช้ตักถ่านคุจากพื้นเตาผิง
    หรือตักน้ำออกจากบ่อเก็บน้ำก็ไม่ได้”

15 เพราะพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ องค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า

“ถ้าจะกลับใจโดยหันเข้าหาเราและหยุดพัก พวกเจ้าก็จะรอดปลอดภัย
    การอยู่อย่างสงบนิ่งและด้วยการวางใจ พวกเจ้าก็จะมีพละกำลัง”
แต่ท่านไม่ยอม 16 และท่านพูดว่า
“ไม่เอา พวกเราจะขี่ม้าหนีไป”
    ฉะนั้นพวกท่านจะหนีไป
และ “พวกเราจะขี่ม้าฝีเท้าเร็ว”
    ฉะนั้นพวกที่ไล่ตามพวกท่านนั่นแหละที่จะมีฝีเท้าเร็ว
17 เพียงคนเดียวที่จะไล่พวกท่าน 1,000 คนให้เตลิดไป
    และเพียง 5 คนจะทำให้พวกท่านหนีไป
จนกว่าพวกท่านจะยืนยงอยู่ได้
    ก็เป็นแค่เสาธงบนยอดเขา
    เหมือนกับธงชัยบนเนินเขา

พระผู้เป็นเจ้าจะกรุณา

18 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าปรารถนาจะมีความกรุณาต่อพวกท่าน
    พระองค์จึงลุกขึ้นแสดงความเมตตาต่อท่าน
เพราะพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม
    ทุกคนที่รอคอยพระองค์จะเป็นสุข

19 โอ ประชาชนในศิโยน ผู้อยู่อาศัยในเยรูซาเล็ม พวกท่านจะไม่ร้องไห้อีกต่อไป พระองค์จะมีความกรุณาต่อพวกท่านอย่างแน่นอนเมื่อพวกท่านส่งเสียงร้อง ทันทีที่พระองค์ได้ยินเสียงร้อง พระองค์ก็ตอบพวกท่าน 20 และถึงแม้ว่า พระผู้เป็นเจ้าให้อาหารแห่งความคับขัน และให้น้ำแห่งความทุกข์ทรมานแก่พวกท่าน ถึงกระนั้นผู้สอนของท่านจะไม่ถูกซ่อนอีกต่อไป แต่ตาของท่านจะเห็นผู้สอนของท่าน 21 เมื่อท่านเดินหันขวาหรือหันซ้ายก็ตาม หูของท่านจะได้ยินเสียงที่มาจากเบื้องหลังท่านพูดว่า “นี่คือหนทาง จงเดินในทางนั้น” 22 แล้วท่านจะทำลายรูปเคารพสลักหุ้มด้วยเงิน และรูปบูชาหล่อชุบด้วยทองคำ ท่านจะโยนสิ่งเหล่านั้นทิ้งราวกับสิ่งที่เป็นมลทิน ท่านจะพูดกับมันว่า “ไปให้พ้น”

23 และพระองค์จะหลั่งฝนลงมาให้กับเมล็ดที่ท่านหว่านบนดิน และอาหารที่ได้จากแผ่นดินก็จะมีคุณภาพดีและอุดมสมบูรณ์ ในวันนั้นสัตว์เลี้ยงของท่านจะเล็มหญ้าในทุ่งอันกว้างใหญ่ 24 โคกระบือและลาที่ทำนาจะกินฟางที่มีรสชาติ ซึ่งเลือกสรรฝัดร่อนด้วยพลั่วและส้อม 25 จะมีน้ำไหลในลำธารหลายแห่งบนภูเขาสูงทุกลูกและเนินเขาทุกแห่ง ในวันแห่งการสังหารครั้งยิ่งใหญ่เมื่อหอคอยล้ม 26 ยิ่งกว่านั้น แสงจันทร์จะเป็นเหมือนแสงตะวัน และแสงตะวันจะสว่างขึ้นเป็น 7 เท่า คือวันหนึ่งมีแสงแรงเท่ากับ 7 วัน ในวันที่พระผู้เป็นเจ้าสมานความแตกสลายให้คนของพระองค์ และรักษาบาดแผลที่ถูกเฆี่ยน

27 ดูเถิด พระนามของพระผู้เป็นเจ้ามาจากที่ไกล
    ความโกรธของพระองค์คุกรุ่นและเป็นกลุ่มควันมืดที่ลอยขึ้น
ริมฝีปากของพระองค์แสดงให้เห็นความโกรธอันร้อนแรง
    และลิ้นของพระองค์เหมือนไฟที่เผาไหม้
28 ลมหายใจของพระองค์เหมือนลำธารที่เปี่ยมล้นและสูงถึงคอ
เพื่อจะเขย่าบรรดาประชาชาติด้วยตะแกรงแห่งความพินาศ
    และใส่บังเหียนเพื่อบังคับขากรรไกรของบรรดาชนชาติให้หลงผิด

29 เพลงของพวกท่านจะเป็นดุจเสียงในยามค่ำเมื่อมีการเลี้ยงฉลอง ใจของพวกท่านจะชื่นบานเหมือนบรรดาผู้ที่เดินไปกับเสียงขลุ่ย ขึ้นไปบนภูเขาของพระผู้เป็นเจ้า ไปยังศิลาของอิสราเอล 30 และพระผู้เป็นเจ้าจะทำให้ผู้คนได้ยินเสียงอันกอปรด้วยมหิทธานุภาพของพระองค์ และให้เห็นอานุภาพของพระองค์ที่กระหน่ำลงมา ด้วยความเกรี้ยวโกรธและด้วยเปลวไฟที่เผาผลาญ ด้วยเมฆ พายุ และลูกเห็บ 31 บรรดาชาวอัสซีเรียจะหวาดกลัวกับเสียงของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อพระองค์ฟาดด้วยไม้ตะบองของพระองค์ 32 และไม้เท้าที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดให้ฟาดบนพวกเขาทุกครั้ง จะเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงรำมะนาและพิณเล็ก พระองค์จะต่อสู้กับพวกเขาด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ 33 เพราะโทเฟท[d]ได้ถูกเตรียมไว้นานแล้ว พร้อมแล้วสำหรับกษัตริย์ เป็นหลุมที่ทั้งลึกและกว้าง พร้อมด้วยไฟและไม้มากมาย ลมหายใจของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นเหมือนสายธารกำมะถัน ก็จะจุดไฟให้ลุกโชน

วิบัติแก่พวกที่ลงไปยังอียิปต์

31 วิบัติแก่พวกที่ลงไปขอความช่วยเหลือจากอียิปต์
    และพึ่งหวังม้าทั้งหลาย
เขาวางใจในรถศึกเพราะมีจำนวนมาก
    และวางใจในทหารม้าเพราะพวกเขาแข็งแรงมาก
แต่ไม่ได้คิดคำนึงถึงองค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอล
    หรือหาคำปรึกษาจากพระผู้เป็นเจ้า
แต่พระองค์เป็นผู้กอปรด้วยพระปัญญาและนำความทุกข์ร้อนมาสู่พวกเขา
    พระองค์ไม่กลับคำ
แต่จะลุกขึ้นต่อสู้พงศ์พันธุ์ของคนชั่วร้าย
    และต่อสู้ผู้ที่ช่วยบรรดาผู้ทำความชั่ว
ชาวอียิปต์เป็นมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า
    ม้าทั้งหลายเป็นสัตว์มีเลือดเนื้อ ไม่ใช่วิญญาณ
เมื่อพระผู้เป็นเจ้ายื่นมือของพระองค์ออก
    คนที่ช่วยจะสะดุด
    และคนที่ได้รับความช่วยเหลือจะล้มลง
    และพวกเขาทุกคนจะสิ้นชีวิตไปด้วยกัน

เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า

“เมื่อสิงโตหรือสิงโตหนุ่ม
    คำรามขู่เหยื่อของมัน
และถึงแม้ว่าผู้เลี้ยงดูฝูงแกะทั้งกลุ่ม
    จะมาช่วยกันไล่ให้มันไป
มันก็จะไม่กลัวเสียงตะโกน
    หรือตกใจที่ได้ยินเสียง
พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาก็จะลงมา
    ต่อสู้ที่ภูเขาศิโยนและบนเนินเขา
พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาจะปกป้องเยรูซาเล็ม
    เหมือนกับพวกนกที่บินวนเวียนอยู่
พระองค์จะปกป้องและช่วยให้พ้นภัย
    พระองค์จะไว้ชีวิตและช่วยเยรูซาเล็มให้รอด”

โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาหาพระองค์ พวกท่านฝ่าฝืนต่อพระองค์อย่างร้ายแรง เพราะในวันนั้น ทุกคนจะปฏิเสธรูปเคารพเงินและทองคำซึ่งท่านหล่อมันขึ้นมาด้วยมือของท่าน อันเป็นมือที่ทำบาป

“และชาวอัสซีเรียจะตายด้วยดาบซึ่งไม่ใช่ดาบของมนุษย์
    และดาบซึ่งไม่ใช่ของมนุษย์จะพรากชีวิตเขาไป
และเขาจะหนีจากดาบ
    และบรรดาชายหนุ่มจะถูกเกณฑ์ทำงานหนัก
ที่พึ่งพิงอันแข็งแกร่งของเขาจะสาบสูญไปเพราะความหวาดหวั่น
    และพวกผู้นำของเขาจะละทิ้งไปเมื่อเห็นธงในสนามรบเพราะตกใจยิ่งนัก”
พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น
    เพลิงไฟของพระองค์อยู่ในศิโยน
    และเตาผิงของพระองค์อยู่ในเยรูซาเล็ม

กษัตริย์ผู้ปกครองด้วยความชอบธรรม

32 ดูเถิด กษัตริย์ท่านหนึ่งจะปกครองด้วยความชอบธรรม
    และบรรดาผู้นำจะปกครองด้วยความยุติธรรม
แต่ละท่านจะเป็นเหมือนที่หลบซ่อนจากกระแสลม
    เหมือนที่กำบังจากพายุ
เหมือนธารน้ำในที่แห้งแล้ง
    เหมือนร่มเงาจากหินก้อนมหึมาบนแผ่นดินที่แห้งผาก
แล้วตาของบรรดาผู้มองเห็นจะไม่ปิด
    และหูของบรรดาผู้ได้ยินก็จะฟัง
จิตใจของผู้รีบเร่งจะเข้าใจและทราบ
    และลิ้นของบรรดาผู้ที่พูดตะกุกตะกักก็พร้อมที่จะพูดได้อย่างคล่องแคล่ว
จะไม่มีใครเรียกคนโง่เขลาว่า ผู้สูงศักดิ์
    และจะไม่มีใครเรียกคนไร้ค่าว่า ผู้มีเกียรติ อีกต่อไป
เพราะคนโง่เขลาพูดถึงความเขลา
    และใจของเขาคิดถึงความชั่ว
เพื่อกระทำสิ่งที่ไร้คุณธรรม
    เขาพูดถึงพระผู้เป็นเจ้าในทางไม่ดี
เขาไม่ยอมให้ผู้อดอยากได้รับประทานอาหาร
    และปฏิเสธที่จะให้น้ำเขาดื่ม
วิธีการของคนไร้ค่านั้นชั่วร้าย
    เขาวางแผนการที่เลวร้าย
และทำให้ผู้ขัดสนเสียหายด้วยคำเท็จ
    และใส่ร้ายผู้ยากไร้ในที่ว่าความ
แต่ผู้สูงศักดิ์มีแผนการที่สูงส่ง
    เขายึดมั่นในสิ่งอันสูงส่งนั้น

ผู้หญิงที่ไม่ทุกข์ร้อนใจต้องระวัง

บรรดาผู้หญิงที่ไม่ทุกข์ร้อนใจเอ๋ย
    จงลุกขึ้นและฟังเสียงของข้าพเจ้า
บรรดาบุตรหญิงที่มั่นใจ
    จงเงี่ยหูฟังคำพูดของข้าพเจ้า
10 บรรดาผู้หญิงที่มั่นใจเอ๋ย
    ในอีกปีกว่าๆ ท่านก็จะสั่นเทา
เพราะพืชผลจากไร่องุ่นจะล่ม
    จะไม่มีผลองุ่นให้ท่านเก็บ
11 บรรดาผู้หญิงที่ไม่ทุกข์ร้อนใจเอ๋ย
    จงสั่นสะท้าน พวกท่านที่มั่นใจจงสั่นเทา
จงถอดเสื้อผ้าออก และไม่ต้องสวมใส่อะไร
    แล้วก็ใช้ผ้ากระสอบคาดที่เอว
12 จงตีอกชกหัวของท่านให้กับไร่นา
    ให้กับเถาองุ่นอุดมผล
13 ให้กับพื้นดินของชนชาติของข้าพเจ้า
    ซึ่งมีต้นหนามและพุ่มไม้หนามงอกโต
ใช่แล้ว ให้กับบ้านทั้งหลายที่แสนจะรื่นเริง
    ในเมืองแสนสุข
14 ให้กับป้อมปราการที่ถูกทอดทิ้ง
    เมืองที่มีผู้คนหนาแน่นถูกทิ้งเป็นที่ร้าง
เนินเขาและหอคอยจะกลายเป็นถ้ำ
    ตลอดไป
จะนำความสำราญมาให้แก่พวกลาป่า
    เป็นทุ่งหญ้าของฝูงแพะแกะ
15 จนกว่าพระวิญญาณจะหลั่งลงสู่พวกเราจากเบื้องบน
    และถิ่นทุรกันดารจะกลายเป็นไร่นาอันอุดม
    และไร่นาอันอุดมก็จะถือเสมือนว่าเป็นป่าดงดิบ
16 และความยุติธรรมจะอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
    ความชอบธรรมอยู่ในไร่นาอันอุดม
17 ผลสะท้อนของความชอบธรรมก็คือสันติสุข
    และผลที่ได้จากความชอบธรรมคือความสงบเงียบและความปลอดภัยตลอดกาล
18 ชนชาติของข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ในหลักแหล่งอันสันติสุข
    ในที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย
    และในสถานที่พักอันสงบเงียบ
19 ลูกเห็บจะตกเมื่อป่าดงดิบพังทลายลง
    และเมืองจะถูกทำให้ตกต่ำลง
20 พวกท่านที่หว่านอยู่ข้างแหล่งน้ำ
และปล่อยให้เท้าโคและเท้าลาก้าวย่างไปอย่างมีอิสระ
    ก็จะเป็นสุข

ขอพระผู้เป็นเจ้ากรุณาต่อพวกเรา

33 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ผู้สังหาร
    ซึ่งยังไม่ถูกสังหาร
ท่านผู้ทรยศ
    ซึ่งไม่มีใครเคยทรยศท่าน
เมื่อท่านหยุดสังหารแล้ว
    ท่านจะถูกสังหาร
และเมื่อท่านหยุดทรยศ
    พวกเขาจะทรยศท่าน

โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์กรุณาต่อพวกเรา
    พวกเรารอคอยพระองค์
ขอพระองค์เป็นกำลังของเราทุกเช้า
    ให้พวกเราได้รับความรอดพ้นในยามทุกข์ด้วย
บรรดาชนชาติเผ่นหนีเมื่อได้ยินเสียงคำราม
    เมื่อพระองค์ลุกขึ้น บรรดาประชาชาติก็กระเจิดกระเจิงไป
ของที่พวกท่านริบมาได้ก็ถูกกวาดไปเหมือนกับที่ตัวบุ้งกัดกิน
    มันถูกตะครุบเหมือนพวกตั๊กแตนกระโดดตะครุบ

พระผู้เป็นเจ้าได้รับการยกย่อง เพราะพระองค์พำนักอยู่เบื้องบน
    พระองค์จะให้ศิโยนอิ่มเอิบด้วยความเป็นธรรมและความชอบธรรม
และพระองค์จะเป็นความมั่นคงแห่งช่วงเวลาของท่าน
    อุดมด้วยความรอดพ้น สติปัญญา และความรู้
    ความเกรงกลัวในพระผู้เป็นเจ้าเป็นสมบัติอันมีค่าของศิโยน

ดูเถิด บรรดาวีรบุรุษของพวกเขาร้องไห้อยู่ที่ถนน
    บรรดาผู้ส่งสาสน์แห่งสันติร่ำไห้อย่างขมขื่น
ถนนหนทางตกอยู่ในสภาพร้าง
    ผู้คนหยุดเดินทาง
ไม่รักษาพันธสัญญา
    ดูหมิ่นเมืองทั้งหลาย
    ไร้ความนับถือต่อเพื่อนมนุษย์
แผ่นดินเศร้าโศกและทรุดโทรม
    เลบานอนอับอายและเหี่ยวเฉา
ชาโรนเป็นเหมือนอาราบาห์
    บาชานและคาร์เมลสลัดใบ

10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “บัดนี้ เราจะลุกขึ้น
    บัดนี้ เราจะแสดงอานุภาพของเรา
    บัดนี้ เราจะได้รับการยกย่อง
11 ความคิดของพวกเจ้าเป็นเพียงแกลบ
    และพวกเจ้าผลิตได้ก็เพียงฟาง
    ลมหายใจของเจ้าเป็นไฟที่จะเผาไหม้ตัวเจ้าเอง
12 และบรรดาชนชาติก็จะเหมือนถูกเผาจนเป็นปูน
    เหมือนพุ่มไม้หนามที่ถูกตัดทิ้ง แล้วถูกไฟเผา

13 พวกเจ้าที่อยู่ห่างไกล จงฟังว่า เราได้ทำอะไร
    และพวกเจ้าที่อยู่ใกล้ จงเรียนรู้ถึงอานุภาพของเรา”
14 พวกคนบาปในศิโยนกลัว
    คนที่ไร้คุณธรรมสั่นสะท้านยิ่งนัก
“ใครในพวกเราที่สามารถอยู่กับไฟที่เผาผลาญได้
    ใครในพวกเราที่สามารถอยู่กับไฟที่เผาไหม้อยู่ตลอดกาล”
15 ผู้ที่ดำเนินชีวิตด้วยความชอบธรรม
    และพูดตามความถูกต้อง
ผู้ที่ดูแคลนผลประโยชน์ที่ได้จากการกดขี่ข่มเหง
    ผู้ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการรับสินบน
ผู้ที่ไม่ยินยอมรับฟังเรื่องการฆ่าฟัน
    และปิดตาไม่เห็นด้วยกับสิ่งชั่วร้าย
16 เขาจะอยู่ในที่สูง
    ป้อมปราการหินจะเป็นที่ป้องกันของเขา
เขาจะได้รับอาหาร
    และน้ำที่เตรียมพร้อมไว้ให้แล้ว

17 ดวงตาของท่านจะเห็นความงามขององค์กษัตริย์
    เขาทั้งหลายจะเห็นแผ่นดินที่แผ่กว้างออกไปไกล
18 จิตใจของท่านจะหวนกลับไปใคร่ครวญเรื่องน่ากลัว
    “คนนับอยู่ที่ไหน
คนชั่งของกำนัลอยู่ที่ไหน
    คนนับจำนวนหอคอยอยู่ที่ไหน”
19 ท่านจะไม่เห็นชนชาติยโสอีกต่อไป
    ชนชาติที่พูดภาษาไม่ชัดเจน
    ลิ้นของเขาตะกุกตะกักทำให้ท่านไม่เข้าใจ
20 ดูเถิด ศิโยน เมืองแห่งการฉลองเทศกาลต่างๆ
    ดวงตาของท่านจะเห็นเยรูซาเล็ม
    ที่อยู่อาศัยซึ่งไร้ความยากลำบาก กระโจมที่ไม่ถูกขยับเขยื้อน
ไม่มีวันที่ใครจะถอนหมุดออกได้
    เชือกโยงกระโจมก็จะไม่ขาด
21 แต่พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะอยู่ที่นั่นเพื่อพวกเรา
    เป็นที่ซึ่งมีแม่น้ำลำธารกว้างใหญ่
ไม่มีเรือแจวจะล่องไปได้
    หรือเรือขนาดใหญ่จะผ่านได้
22 เพราะพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้พิพากษาของพวกเรา
    พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ตั้งกฎ
พระผู้เป็นเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกเรา
    พระองค์จะช่วยพวกเราให้รอดพ้น

23 เชือกโยงของท่านผูกไม่แน่น
    ทำให้เสากระโดงโอนเอน
    และกางใบไม่ได้
ครั้นแล้วพวกเขาก็จะแบ่งปันของที่ริบมาได้มากมาย
    แม้คนง่อยเปลี้ยก็จะได้รับส่วนแบ่งนั้นด้วย
24 และไม่มีผู้อยู่อาศัยคนใดจะพูดว่า “ฉันป่วย”
    ชนชาติที่อาศัยอยู่ที่นั่นจะได้รับอภัยความผิดบาป

การตัดสินโทษประชาชาติ

34 โอ บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงเข้ามาฟังใกล้ๆ
    และตั้งใจให้ดี โอ บรรดาชนชาติ
ขอให้แผ่นดินและทุกสิ่งที่อยู่ในนั้นได้ยิน
    ให้โลกและทุกสิ่งที่มาจากโลกได้ยิน
เพราะความกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าพลุ่งขึ้นต่อประชาชาติทั้งปวง
    และพระองค์กริ้วกองทัพทั้งหมดของพวกเขา
พระองค์กำจัดชีวิตพวกเขา
    ปล่อยพวกเขาให้ถูกประหาร
พวกที่ถูกฆ่าจะถูกโยนออกไป
    กลิ่นศพจะเหม็นฟุ้ง
    เลือดของพวกเขาจะไหลนองเทือกเขา
หมู่ดาวทั้งหลายในท้องฟ้าจะสูญสิ้น
    และท้องฟ้าจะม้วนอย่างหนังสือม้วน
ดาวทั้งปวงจะตก
    เหมือนใบไม้ร่วงจากเถาองุ่น
    เหมือนใบไม้ที่กำลังร่วงจากต้นมะเดื่อ

“เพราะดาบของเราในฟ้าสวรรค์ดื่มจนอิ่ม
    ดูเถิด มันลงมายังเอโดม
    และมายังชนชาติที่เรากำหนดให้พินาศ”
พระผู้เป็นเจ้ามีดาบเล่มหนึ่งซึ่งอาบเลือด
    และหุ้มด้วยไขมัน
ด้วยเลือดของพวกลูกแกะและแพะ
    ด้วยไขมันจากไตของแกะตัวผู้
เพราะพระผู้เป็นเจ้ามีเครื่องสักการะในเมืองโบสราห์
    เป็นการประหารครั้งใหญ่ในแผ่นดินของเอโดม
กระทิงป่าจะล้มลงพร้อมกับพวกมัน
    และโคหนุ่มพร้อมกับบรรดาผู้ที่แข็งแรง
แผ่นดินของพวกเขาจะดื่มเลือดจนอิ่ม
    และผืนดินของเขาจะเกลื่อนกลาดไปด้วยไขมัน

เพราะพระผู้เป็นเจ้ามีวันแห่งการลงโทษ
    ปีแห่งการชดใช้ที่พวกเขาได้กระทำต่อศิโยน
ธารน้ำของเอโดมจะไหลหลากด้วยน้ำมันดิน
    และดินกลายเป็นกำมะถัน
    แผ่นดินจะกลายเป็นน้ำมันดินที่คุกรุ่น
10 มันจะไม่ถูกดับไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน
    ควันจะลอยขึ้นตลอดกาล
มันจะเป็นที่ร้างในทุกชั่วอายุคน
    จะไม่มีผู้ใดเดินผ่านทางนี้ตลอดไปเป็นนิตย์
11 แต่นกกระทุงและเม่นจะยึดเป็นเจ้าของ
    นกเค้าแมวใหญ่และอีกาจะอาศัยอยู่ที่นั่น
พระองค์จะขึงเชือกของความชุลมุนวุ่นวาย
    และลูกดิ่งของความว่างเปล่าไว้ที่เอโดม
12 ไม่มีอะไรที่นั่นที่บรรดาผู้ปกครองจะเรียกว่าอาณาจักร
    และจะไม่มีบรรดาผู้นำเหลืออยู่เลย
13 ไม้หนามจะงอกโตบนป้อมปราการ
    วัชพืชหนามและพันธุ์ไม้หนามโตบนหลักอันแข็งแกร่ง
มันจะเป็นที่อยู่ของหมาใน
    และเป็นที่พักสำหรับนกกระจอกเทศ
14 และสัตว์ในทะเลทรายจะเจอกับสุนัขป่า
    แพะป่าจะร้องเรียกหาเพื่อนของมัน
นกราตรีปักหลัก
    และหาที่พักอยู่ที่นั่น

15 นกเค้าแมวทำรัง วางไข่
    กกลูกและโอบซ่อนลูกน้อยไว้ใต้ปีก
เหยี่ยวรวมกันอยู่ที่นั่น
    แต่ละตัวอยู่กับคู่ของมัน

16 จงค้นหาและอ่านจากหนังสือของพระผู้เป็นเจ้า

อย่าให้สัตว์เหล่านี้ขาดหายไปสักตัวเดียว
    ไม่มีตัวใดที่จะขาดคู่ของมัน
เพราะคำบัญชาออกจากปากของพระผู้เป็นเจ้า
    และพระวิญญาณของพระองค์รวบรวมพวกมันไว้แล้ว
17 พระองค์ได้ตัดสินใจให้พวกมันแล้ว
    มือของพระองค์ได้เลือกและขีดเส้นแดนให้พวกมัน
เพื่อให้ใช้กรรมสิทธิ์ได้ตลอดไป
    พวกมันจะอาศัยอยู่ในที่นั้นทุกชั่วอายุคน

การกลับมาของผู้ได้รับการไถ่

35 ถิ่นทุรกันดารและแผ่นดินแห้งแล้งจะดีใจ
    ทะเลทรายจะยินดีและผลิดอกอย่างดอกกันกุมา
มันจะผลิดอกสะพรั่ง และรื่นเริง
    ด้วยความยินดีและร้องเพลง
มันจะได้รับความสง่างามของเลบานอน
    ความยิ่งใหญ่ของคาร์เมลและชาโรน
สิ่งเหล่านี้จะเห็นพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้า
    ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของเรา

ให้พลังแก่มือที่อ่อนแอ
    และทำให้หัวเข่าที่อ่อนเปลี้ยแข็งแรง
จงพูดกับบรรดาคนที่กระวนกระวายใจว่า
    “จงเข้มแข็ง อย่ากลัว
ดูเถิด พระเจ้าของท่านจะนำการลงโทษมา
ด้วยการตอบแทนของพระเจ้า
    พระองค์จะมาช่วยท่านให้รอดพ้น”

แล้วตาของคนตาบอดก็จะมองเห็น
    หูของคนหูหนวกจะได้ยิน
แล้วคนที่ง่อยเปลี้ยก็จะกระโดดเหมือนกวาง
    ลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลงด้วยความยินดี
เพราะน้ำไหลพุ่งขึ้นมาในถิ่นทุรกันดาร
    ลำธารไหลในทะเลทราย
ทรายที่ร้อนระอุจะกลายเป็นแอ่งน้ำ
    พื้นดินที่แห้งเหือดกลายเป็นแหล่งน้ำ
หญ้าจะกลายเป็นต้นอ้อและต้นกก
    ในที่หมาในนอนอยู่

และที่นั่นจะมีถนน
    ซึ่งจะมีชื่อเรียกว่า ถนนแห่งความบริสุทธิ์
คนไม่บริสุทธิ์จะเดินผ่านบนทางนั้นไม่ได้
    เพราะเป็นทางสำหรับบรรดาผู้ที่ดำเนินในวิถีทางนั้น
    แม้ว่าคนโง่เขลาก็จะไม่เดินท่องไปในทางนั้น
จะไม่มีสิงโตที่นั่น
    สัตว์ร้ายก็จะไม่ขึ้นมาเดินบนนั้น
จะไม่พบสัตว์เหล่านี้ที่นั่น
    แต่บรรดาผู้ที่ได้รับการไถ่จะเดินที่นั่น
10 และบรรดาผู้รับการไถ่คืนของพระผู้เป็นเจ้าจะกลับมา
    และมายังศิโยนพร้อมกับการร้องเพลง
ความยินดีจะเป็นของพวกเขาตลอดไป
    เขาทั้งหลายจะได้รับความยินดีและเบิกบานใจ
    ความเศร้าและการถอนใจจะหนีไปจากพวกเขา

เซนนาเคอริบบุกรุกยูดาห์

36 ในปีที่สิบสี่ของกษัตริย์เฮเซคียาห์[e] เซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาโจมตีเมืองทั้งหลายของยูดาห์ที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง และยึดไปได้ กษัตริย์แห่งอัสซีเรียใช้ผู้บังคับกองพันพร้อมกับกองทัพใหญ่จากเมืองลาคีช ให้ไปยังกษัตริย์เฮเซคียาห์ที่เยรูซาเล็ม และเขายืนอยู่ที่ถนนหลวงข้างร่องน้ำที่สระบน ซึ่งอยู่ใกล้แหล่งซักผ้า และผู้ที่ออกมาพบคือ เอลียาคิมบุตรฮิลคียาห์ผู้บริหารวังกษัตริย์ เชบนาเลขาของกษัตริย์ และโยอาห์บุตรอาสาฟผู้บันทึกสาสน์

ผู้บังคับกองพันพูดกับพวกเขาว่า “จงไปบอกเฮเซคียาห์ว่า ‘กษัตริย์แห่งอัสซีเรียกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า ท่านวางใจในสิ่งใด จึงมีความมั่นใจเช่นนี้ ท่านคิดหรือว่า คำพูดเท่านั้นจะเป็นวิธีการและกำลังที่ใช้ในศึกสงครามได้ ท่านไว้วางใจใคร ท่านจึงไม่ยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา ดูเถิด ท่านกำลังพึ่งพาอียิปต์ ซึ่งเป็นประหนึ่งไม้เท้าหักที่ทำจากไม้อ้อ และจะทิ่มแทงมือของคนที่ยันมันไว้ ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ก็เป็นอย่างนั้นต่อทุกคนที่พึ่งพาเขา แต่ถ้าท่านบอกเราว่า “เราไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา” เฮเซคียาห์เป็นผู้ที่กำจัดสถานบูชาบนภูเขาสูงและแท่นบูชามิใช่หรือ และยังบอกประชาชนชาวยูดาห์และเยรูซาเล็มว่า “เจ้าจงนมัสการที่หน้าแท่นบูชานี้” มาเถิด มาต่อรองกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียนายข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะให้ม้า 2,000 ตัวแก่ท่าน ถ้าท่านสามารถหาคนขี่ได้ ท่านจะปฏิเสธทหารรับใช้คนหนึ่งในหมู่ผู้รับใช้ผู้น้อยสุดของเจ้านายข้าพเจ้าได้อย่างไร ในขณะที่ท่านพึ่งพาอียิปต์ในเรื่องรถศึกและทหารม้า 10 ยิ่งกว่านั้น ด้วยความช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้ามิใช่หรอกหรือ ข้าพเจ้าจึงได้ขึ้นมาโจมตีสถานที่นี้ให้พินาศ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า จงขึ้นไปโจมตีแผ่นดินนี้ให้พินาศ’”

11 เอลียาคิม เชบนา และโยอาห์ พูดกับผู้บังคับกองพันว่า “กรุณาพูดกับบรรดาผู้รับใช้ของท่านเป็นภาษาอาราเมคเถิด เพราะพวกเราเข้าใจ อย่าพูดกับพวกเราเป็นภาษาของชาวยูดาห์ เพราะว่าประชาชนที่อยู่บนกำแพงเมืองกำลังฟังเราพูดกัน” 12 แต่ผู้บังคับกองพันตอบว่า “เจ้านายของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้ามาพูดกับเจ้านายของท่านและกับท่านเท่านั้นหรือ ไม่ให้พูดกับพวกที่นั่งอยู่บนกำแพงเมืองหรือ พวกเขาต้องรับโทษให้กินอุจจาระและปัสสาวะของพวกเขาเองร่วมกับท่านด้วย”

13 แล้วผู้บังคับกองพันก็ยืนขึ้น และร้องเสียงดังเป็นภาษาของชาวยูดาห์ว่า “จงฟังคำของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ 14 กษัตริย์กล่าวดังนี้ว่า ‘อย่าให้เฮเซคียาห์หลอกลวงพวกเจ้า เพราะเขาจะไม่สามารถช่วยพวกเจ้าให้หลุดพ้นได้ 15 อย่าให้เฮเซคียาห์ทำให้พวกเจ้าวางใจในพระผู้เป็นเจ้าด้วยคำพูดที่ว่า พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยพวกเราให้รอด เมืองนี้จะไม่ถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย’ 16 อย่าฟังเฮเซคียาห์ เพราะกษัตริย์แห่งอัสซีเรียกล่าวดังนี้ว่า ‘จงยอมสงบศึกกับเรา และออกมาหาเรา แล้วพวกเจ้าแต่ละคนจะกินจากเถาองุ่นของตนเอง และจากต้นมะเดื่อของตนเอง และพวกเจ้าแต่ละคนจะดื่มน้ำจากบ่อของตนเอง 17 จนกว่าเราจะมานำพวกเจ้าไปยังแผ่นดินที่เหมือนของพวกเจ้าเอง แผ่นดินแห่งเมล็ดข้าวและเหล้าองุ่น แผ่นดินแห่งขนมปังและไร่องุ่น 18 จงระวังตัวว่าเฮเซคียาห์จะไม่หลอกลวงพวกเจ้าด้วยการพูดที่ว่า พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยพวกเราให้รอด มีเทพเจ้าของประชาชาติใดบ้าง ที่เคยช่วยแผ่นดินของเขาให้รอดจากเงื้อมมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ 19 ปวงเทพเจ้าของเมืองฮามัทและอาร์ปัดอยู่ไหนล่ะ ปวงเทพเจ้าของเสฟาร์วาอิมอยู่ไหนล่ะ เทพเจ้าเหล่านั้นได้ช่วยสะมาเรียให้รอดจากเงื้อมมือของเราแล้วหรือ 20 มีเทพเจ้าใดของแผ่นดินเหล่านี้บ้าง ที่ได้ช่วยแผ่นดินของพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของเราได้ อย่างนี้แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะช่วยเยรูซาเล็มให้รอดจากเงื้อมมือของเราได้หรือ’”

21 แต่พวกเขาก็เงียบและไม่ตอบเขาสักคำเดียว เพราะกษัตริย์สั่งไว้ว่า “อย่าตอบเขา” 22 เอลียาคิมบุตรฮิลคียาห์ผู้บริหารวัง เชบนาเลขาของกษัตริย์ และโยอาห์บุตรอาสาฟผู้บันทึกสาสน์จึงฉีกเสื้อผ้าของตน ไปหาเฮเซคียาห์และบอกท่านว่าผู้บังคับกองพันพูดอะไรบ้าง

เฮเซคียาห์ขอความช่วยเหลือจากอิสยาห์

37 ทันทีที่กษัตริย์เฮเซคียาห์ได้ยินเรื่องทั้งหมด ท่านก็ฉีกเสื้อของท่าน นุ่งห่มด้วยผ้ากระสอบ และเข้าไปในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านใช้เอลียาคิมผู้บริหารวัง เชบนาเลขาของกษัตริย์ และบรรดาปุโรหิตอาวุโส ซึ่งต่างก็นุ่งห่มด้วยผ้ากระสอบ ให้ไปหาอิสยาห์บุตรอามอส ผู้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า พวกเขาบอกท่านว่า “เฮเซคียาห์กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแห่งความทุกข์ การถูกลงโทษ และความอับอาย ลูกๆ ถึงกำหนดคลอด แต่ไม่มีแรงเบ่งให้คลอด พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอาจจะได้ยินทุกถ้อยคำที่กษัตริย์แห่งอัสซีเรียเจ้านายของผู้บังคับกองพัน ใช้เขาให้มาพูดดูหมิ่นพระเจ้าผู้ดำรงชีวิตอยู่ และพระองค์จะลงโทษเขาในสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้ยิน ฉะนั้น ขอท่านอธิษฐานเพื่อคนที่มีชีวิตเหลืออยู่”

เมื่อบรรดาผู้ปฏิบัติงานของกษัตริย์เฮเซคียาห์มาหาอิสยาห์ อิสยาห์ตอบพวกเขาว่า “จงบอกเจ้านายของท่านว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “อย่าให้สิ่งที่คนของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียพูดหมิ่นประมาทเรา ซึ่งเจ้าได้ยินนั้นเป็นเหตุทำให้เจ้ากลัว ดูเถิด เราจะดลใจเขา จะทำให้เขาได้ยินข่าวลือ และกลับไปยังแผ่นดินของเขา และเราจะทำให้เขาล้มลงด้วยคมดาบในแผ่นดินของเขาเอง”’”

ผู้บังคับกองพันกลับไปยังลาคีช และก็พบว่ากษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ออกจากลาคีชแล้ว และกำลังต่อสู้กับลิบนาห์ เมื่อกษัตริย์ทราบเรื่องทีร์หคาห์กษัตริย์แห่งคูชที่พูดว่า “เขาได้ยกทัพมาโจมตีท่าน” เมื่อท่านได้ยินเช่นนั้น ท่านจึงใช้คนถือสาสน์ไปยังเฮเซคียาห์ว่า 10 “จงบอกเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า ‘อย่าให้พระเจ้าที่ท่านไว้วางใจหลอกลวงท่านด้วยคำสัญญาที่ว่า เยรูซาเล็มจะไม่ตกอยู่ในมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย 11 ดูเถิด ท่านได้ยินแล้วว่า บรรดากษัตริย์แห่งอัสซีเรียกระทำสิ่งใดบ้างต่อแผ่นดินทั้งปวง และพวกเขาถูกกำหนดให้พินาศ แล้วท่านจะได้รับความช่วยเหลือให้รอดหรือ 12 ปวงเทพเจ้าของบรรดาประชาชาติเช่น เมืองโกซาน ฮาราน เรเซฟ และชาวเอเดนที่อยู่ในเทลอัสสาร์ ซึ่งบรรพบุรุษของเราทำให้พินาศไปแล้วนั้น ช่วยพวกเขาให้รอดแล้วหรือ 13 กษัตริย์แห่งฮามัท กษัตริย์แห่งอาร์ปัด กษัตริย์แห่งเสฟาร์วาอิม กษัตริย์แห่งเฮนา และกษัตริย์แห่งอิฟวาห์ อยู่ไหนล่ะ’”

คำอธิษฐานของเฮเซคียาห์

14 เฮเซคียาห์ได้รับจดหมายจากมือของผู้ถือสาสน์ แล้วก็อ่านข้อความ เฮเซคียาห์ขึ้นไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และคลี่จดหมายออกที่เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 15 และเฮเซคียาห์อธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าดังนี้ 16 “โอ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอล ผู้สถิตบนบัลลังก์เหนือตัวเครูบ[f] พระองค์เป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวของอาณาจักรทั้งปวงในโลก พระองค์ได้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 17 โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์เงี่ยหูฟัง โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์มองดู และฟังสิ่งที่เซนนาเคอริบใช้ให้มาพูดเพื่อดูหมิ่นพระเจ้าผู้ดำรงชีวิตอยู่ 18 โอ พระผู้เป็นเจ้า เป็นความจริงที่บรรดากษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ทำลายชนชาติทั้งปวงและแผ่นดินของพวกเขา 19 และได้เผาเทวรูปของพวกเขา เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เทพเจ้า แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นด้วยไม้และหิน ฉะนั้นจึงถูกทำลายเสีย 20 บัดนี้ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ช่วยพวกเราให้รอดจากเงื้อมมือของเขาเถิด โอ พระผู้เป็นเจ้า เพื่ออาณาจักรทั้งปวงในโลกจะทราบว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”

เซนนาเคอริบพ่ายแพ้

21 อิสยาห์บุตรอามอสจึงส่งสาสน์ไปถึงเฮเซคียาห์ว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้คือ เพราะเจ้าได้อธิษฐานต่อเราเรื่องเซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย 22 พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวเกี่ยวกับเขาว่า

‘ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยนดูถูกเจ้า
    และเหยียดหยามเจ้า
ธิดาแห่งเยรูซาเล็ม
    สั่นศีรษะอยู่ข้างหลังเจ้า
23 เจ้าเหยียดหยามและพูดหมิ่นประมาทผู้ใด
    เจ้าขึ้นเสียง และใช้สายตา
ที่เย่อหยิ่งคัดค้านผู้ใด
    ต่อองค์ผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลน่ะสิ
24 เจ้าได้ดูหมิ่นพระผู้เป็นเจ้าด้วยผู้ถือสาสน์ของเจ้า
    และเจ้าพูดดังนี้ เราได้ขึ้นไปบนภูเขาสูงสุดด้วยรถศึกมากมาย
    ไปยังที่ห่างไกลแห่งเลบานอน
เราโค่นต้นซีดาร์ที่สูงสุด
    และต้นสนที่งามสุด
เราเข้าถึงจุดสูงสุดที่อยู่ห่างไกล
    เราเข้าถึงป่าไม้อันอุดมที่สุด
25 เราขุดบ่อและดื่มน้ำ
    เราเหยียบธารน้ำทั้งหมดของอียิปต์
    ซึ่งเราทำให้แห้งลงได้

26 เจ้าไม่รู้เลยหรือว่า
    เรามุ่งหมายเรื่องนี้มานานแล้ว
เราวางแผนมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์
    สิ่งใดที่เป็นไปในเวลานี้ก็เนื่องมาจากเรา
เจ้าทำให้เมืองที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง
    ต้องล้มลงเป็นกองซากปรักหักพัง
27 ผู้อยู่อาศัยของเมืองหมดกำลัง
    หวั่นกลัวและอับอาย
กลายเป็นเหมือนพืชในทุ่งนา
    และเหมือนหญ้าอ่อน
เหมือนหญ้าบนหลังคา
    ซึ่งถูกเผาก่อนที่จะงอกโตขึ้น

28 แต่เรารู้เวลาที่เจ้านั่งลง
    เวลาที่เจ้าไปไหนมาไหน
    และเวลาที่เจ้าเกรี้ยวกราดต่อเรา
29 เพราะเจ้าได้เกรี้ยวกราดต่อเรา
    และเราได้ยินถึงการสบประมาทของเจ้า
เราจะใช้เบ็ดคล้องจมูกเจ้า
    และใส่เหล็กขวางปากเจ้า
และเราจะให้เจ้าหันกลับไปทางที่เจ้ามา’

30 และหมายสำคัญสำหรับเจ้าก็คือ ปีนี้เจ้าจะกินสิ่งที่งอกขึ้นเอง ปีที่สองก็จะเป็นสิ่งที่งอกเหมือนเดิม ปีที่สาม เจ้าจงหว่านและเก็บเกี่ยว ปลูกสวนองุ่น และกินผลของมัน 31 และพงศ์พันธุ์ยูดาห์ที่รอดชีวิตและยังเหลืออยู่ ก็จะเจาะรากลึกลงไป และออกผลขึ้นมา 32 ด้วยว่า บรรดาผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่จะออกไปจากเยรูซาเล็ม นั่นก็คือ กลุ่มที่รอดชีวิตจะออกไปจากภูเขาศิโยน ความรักอันแรงกล้าของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาจะกระทำการนี้

33 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงกษัตริย์แห่งอัสซีเรียดังนี้คือ เขาจะไม่เข้ามาในเมืองนี้ หรือยิงลูกธนูเข้าไปในนั้น หรือถือโล่มาประจัญเมือง หรือก่อเชิงเทินประชิดเมือง 34 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เขามาจากทางใด เขาก็จะกลับออกไปทางนั้น และเขาจะไม่เข้ามาในเมืองนี้ 35 เพราะว่าเราจะปกป้องเมืองนี้ให้รอดปลอดภัยเพื่อนามของเรา และเพื่อดาวิดผู้รับใช้ของเรา”[g]

36 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าไปที่ค่ายของชาวอัสซีเรีย และสังหารทหาร 185,000 คน และเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นประชาชนก็พบว่า ทหารเหล่านั้นเป็นศพไปหมดแล้ว 37 แล้วเซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียก็ยกทัพกลับบ้านไป และอาศัยอยู่ที่นีนะเวห์ 38 วันหนึ่งเมื่อท่านกำลังนมัสการอยู่ในวิหารของนิสโรคเทพเจ้าของท่าน อัดรัมเมเลคและชาเรเซอร์บุตรของท่านใช้ดาบฆ่าท่าน แล้วหนีเข้าไปในแผ่นดินอารารัต และเอสาร์ฮัดโดนบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน

เฮเซคียาห์ป่วย

38 ในครั้งนั้น เฮเซคียาห์ล้มป่วยใกล้สิ้นใจ อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า บุตรของอามอสมาเยี่ยมท่าน และพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ ‘จงจัดการสั่งเสียให้เรียบร้อย เพราะเจ้าจะตาย เจ้าจะไม่หายป่วย’” แล้วเฮเซคียาห์หันหน้าเข้าฝาผนัง และอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์ระลึกว่า ข้าพเจ้าดำเนินชีวิต ณ เบื้องหน้าพระองค์ด้วยความภักดีและด้วยสุดจิตสุดใจอย่างไร และข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งที่ดีในสายตาของพระองค์” และเฮเซคียาห์ก็ร้องไห้อย่างขมขื่น

ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอิสยาห์ดังนี้ “จงไปบอกเฮเซคียาห์ว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของเจ้ากล่าวดังนี้ ‘เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว เราเห็นน้ำตาของเจ้า ดูเถิด เราจะให้เจ้ามีชีวิตต่อไปอีก 15 ปี เราจะช่วยเจ้าและเมืองนี้ให้พ้นจากมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และเราจะปกป้องเมืองนี้

นี่คือหมายสำคัญสำหรับเจ้า ซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้าคือ พระผู้เป็นเจ้าจะกระทำสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาไว้ ดูเถิด เราจะทำให้เงาทอดลงจากแสงอาทิตย์ย้อนหลัง 10 ขั้นบนนาฬิกาแดดของอาหัส’” ดังนั้นเงาที่ทอดลงบนนาฬิกาแดดจึงย้อนหลัง 10 ขั้น[h]

หลังจากที่เฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ล้มป่วยและหายดีแล้ว ท่านเขียนข้อความดังต่อไปนี้คือ

10 “เราพูดว่า เมื่อเรามีอายุเพียงครึ่งของชีวิต
    เราจะต้องจากไป
เราถูกกำหนดให้ไปใช้ชีวิตที่เหลือ
    ที่ประตูแดนคนตาย
11 เราพูดว่า เราจะไม่เห็นพระผู้เป็นเจ้า
    พระผู้เป็นเจ้าในดินแดนของคนเป็น
เราจะไม่เห็นมนุษย์
    หรืออยู่ในหมู่ผู้อยู่อาศัยในโลกอีกต่อไป
12 ที่อยู่ของเราถูกถอนและยึดไป
    อย่างกระโจมของผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ
เราม้วนชีวิตของเราเหมือนอย่างคนทอผ้า
    พระองค์ตัดข้าพเจ้าหลุดออกจากกี่
พระองค์ทำให้ชีวิตข้าพเจ้า
    ต้องจบลงในช่วงเวลาอันสั้น
13 เราสงบนิ่งจนถึงรุ่งเช้า
    พระองค์หักกระดูกข้าพเจ้าทุกชิ้นอย่างสิงโต
พระองค์ทำให้ชีวิตข้าพเจ้า
    ต้องจบลงในช่วงเวลาอันสั้น
14 เราร้องเจี๊ยบจ๊าบเหมือนนกนางแอ่นหรือนกกระสา
    เราร้องคร่ำครวญเหมือนนกพิราบ
ตาของเรามองสู่เบื้องบนด้วยความอ่อนล้า
    โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ากลัดกลุ้ม
    ขอพระองค์สัญญาให้ความปลอดภัยแก่ข้าพเจ้าเถิด

15 เราจะพูดอะไรได้ เพราะพระองค์ได้กล่าวกับเรา
    และพระองค์เป็นผู้ที่กระทำ
เราดำเนินชีวิตด้วยความหดหู่ใจตลอดชีวิต
    เพราะจิตวิญญาณของเราขมขื่น
16 โอ พระผู้เป็นเจ้า คนมีชีวิตอยู่ได้ด้วยสิ่งเหล่านี้
    และวิญญาณข้าพเจ้าพบชีวิตในสิ่งเหล่านี้เช่นกัน
ขอพระองค์เสริมสร้างสุขภาพของข้าพเจ้า
    และทำให้ข้าพเจ้ามีชีวิตเถิด
17 ดูเถิด ความขมขื่นมากที่ข้าพเจ้าได้รับ
    เป็นประโยชน์ต่อข้าพเจ้า
และด้วยความรักของพระองค์
    พระองค์ได้ช่วยชีวิตข้าพเจ้าจากหลุมแห่งความพินาศ
เพราะพระองค์ได้กำจัดบาปทั้งปวงของข้าพเจ้า
    ไว้เบื้องหลังของพระองค์แล้ว
18 ด้วยว่า แดนคนตายไม่ขอบคุณพระองค์
    ความตายไม่สรรเสริญพระองค์
บรรดาผู้ที่ลงไปยังหลุมลึกแห่งแดนคนตาย
    ไม่มีความหวังในความสัตย์จริงของพระองค์
19 คนมีชีวิต คนมีชีวิตขอบคุณพระองค์
    เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าทำในวันนี้
พ่อบอกลูกๆ ถึงความสัตย์จริงของพระองค์

20 พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยชีวิตข้าพเจ้า
    และพวกเราจะบรรเลงเพลงด้วยเครื่องสายจนชั่วชีวิต
    ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า

21 อิสยาห์ได้พูดว่า “ให้พวกเขาเอามะเดื่อแห้ง 1 ก้อนมาแปะฝี เพื่อให้ท่านหายจากโรค” 22 เฮเซคียาห์ถามว่า “อะไรจะเป็นหมายสำคัญที่เราจะรู้ว่า เราจะขึ้นไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าได้อีก”[i]

ผู้ถือสาสน์จากบาบิโลน

39 ในครั้งนั้น เมโรดัคบาลาดันบุตรของบาลาดันกษัตริย์แห่งบาบิโลนใช้คนถือสาสน์ไปพร้อมกับเครื่องบรรณาการถึงเฮเซคียาห์ เพราะทราบว่าเฮเซคียาห์ป่วยและหายดีแล้ว เฮเซคียาห์ยินดีต้อนรับพวกเขา และให้ดูของมีค่าในคลัง เช่น เงิน ทองคำ เครื่องหอม น้ำมันหอม อาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมด คือทุกสิ่งที่เก็บไว้ในโรงเก็บของ ไม่มีสิ่งใดในวังและอาณาจักรที่เฮเซคียาห์ไม่ได้พาพวกเขาไปดู ครั้นแล้ว อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าก็มาหากษัตริย์เฮเซคียาห์ และพูดว่า “ชายเหล่านี้พูดอะไรบ้าง และพวกเขามาจากไหน” เฮเซคียาห์ตอบว่า “พวกเขามาหาเราจากแดนไกล จากบาบิโลน” ท่านถามอีกว่า “พวกเขาเห็นอะไรในวังของท่านบ้าง” เฮเซคียาห์ตอบว่า “พวกเขาเห็นทุกสิ่งที่อยู่ในวังของเรา ไม่มีสิ่งใดในคลังสมบัติของเราทั้งหมดที่เราไม่ได้ให้เขาดู”

อิสยาห์พูดกับเฮเซคียาห์ดังนี้ “ขอท่านฟังคำของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา ดูเถิด ใกล้จะถึงวันนั้น เมื่อทุกสิ่งที่อยู่ในวังของท่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของท่านได้สะสมไว้มาจนถึงทุกวันนี้ จะถูกขนไปยังบาบิโลน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า จะไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย และบุตรหลานของท่านบางคนซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านเอง ที่จะเกิดแก่ท่าน พวกเขาจะถูกพาตัวไปเป็นขันทีในวังของกษัตริย์แห่งบาบิโลน” เฮเซคียาห์พูดกับอิสยาห์ว่า “สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านท่านนั้นเป็นสิ่งดี” เพราะท่านคิดว่า “จะมีสันติสุขและความปลอดภัยขณะที่เรามีชีวิตอยู่”

ให้กำลังใจชนชาติของพระเจ้า

40 พระเจ้าของพวกท่านกล่าวว่า
    “จงให้กำลังใจ ให้กำลังใจชนชาติของเรา
จงพูดกับเยรูซาเล็มด้วยวาจาอันอ่อนหวาน
    และร้องบอกเมืองนั้นว่า
การต่อสู้อย่างหนักของเมืองนั้นจบลงแล้ว
    และได้รับอภัยโทษบาป
พระผู้เป็นเจ้าได้ทำโทษเมืองนั้น
    เป็นสองเท่าของบาปทั้งปวงที่พวกเขาทำ”

มีเสียงร้องว่า “ในถิ่นทุรกันดาร
    จงเตรียมทางของพระผู้เป็นเจ้าให้พร้อม
    จงทำทางในทะเลทรายให้ตรงเพื่อพระเจ้าของเรา[j]
หุบเขาทุกแห่งจะถูกยกให้สูงขึ้น
    ภูเขาและเนินเขาทุกลูกจะถูกลดให้ต่ำลง
พื้นดินที่ไม่สม่ำเสมอจะเป็นทางเรียบ
    และที่ขรุขระจะเป็นที่ราบ
และพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าจะปรากฏ
    และมนุษย์ทุกคนจะมองเห็นพร้อมกัน[k]
    เพราะคำพูดออกจากปากของพระผู้เป็นเจ้า

คำกล่าวของพระเจ้ายั่งยืนอยู่ตลอดกาล

มีเสียงกล่าวว่า “จงร้องบอกเถิด”
    และข้าพเจ้าพูดว่า “ข้าพเจ้าจะร้องอะไร”
มนุษย์ทุกคนเป็นเสมือนต้นหญ้า
    และความงามเป็นเสมือนดอกไม้ในทุ่ง
ต้นหญ้านั้นเหี่ยวแห้งและดอกร่วงโรย
    เมื่อพระผู้เป็นเจ้าพ่นลมหายใจของพระองค์บนใบหญ้า
    แน่ทีเดียว คนเป็นเสมือนต้นหญ้า
ต้นหญ้านั้นเหี่ยวแห้งและดอกร่วงโรย
    แต่คำกล่าวของพระเจ้าของเราจะยั่งยืนอยู่ตลอดกาล[l]

ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

จงขึ้นไปบนภูเขาสูง
    โอ ผู้นำข่าวประเสริฐมายังศิโยน
จงโห่ร้องด้วยเสียงอันดัง
    โอ ผู้นำข่าวประเสริฐมายังเยรูซาเล็ม
    จงโห่ร้อง อย่ากลัวเลย
จงบอกเมืองต่างๆ ของยูดาห์ว่า
    “ดูเถิด พระเจ้าของพวกเจ้า”
10 ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่มาด้วยอานุภาพ
    และพระองค์ปกครองด้วยพลานุภาพ
ดูเถิด รางวัลของพระองค์อยู่กับพระองค์
    และพระองค์จะตอบสนอง
11 พระองค์จะเฝ้าฝูงแกะของพระองค์เหมือนผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ
    พระองค์จะรวบรวมบรรดาลูกแกะไว้ในอ้อมแขน
และอุ้มพวกเขาแนบทรวงอกของพระองค์
    และค่อยๆ นำ พวกแม่แกะที่มีลูกอ่อนกินนม

12 ใครวัดห้วงน้ำด้วยอุ้งมือของเขา
    และวัดฟ้าสวรรค์ด้วยฝ่ามือได้
ใครรวบรวมผงคลีดินไว้ในถ้วยตวง
    ใช้ตราชูชั่งเทือกเขา
    และใช้เครื่องวัดน้ำหนักวัดเนินเขาได้
13 ใครหยั่งพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าได้
    หรือใครจะให้คำปรึกษาแก่พระองค์ได้[m]
14 ใครเป็นผู้ที่พระองค์ปรึกษาด้วย
    และใครทำให้พระองค์เข้าใจ
ใครสอนวิถีทางแห่งความยุติธรรมแก่พระองค์
    และสอนความรู้แก่พระองค์
    และชี้แนะให้พระองค์เข้าใจได้
15 ดูเถิด บรรดาประชาชาติเป็นเหมือนหยดน้ำหยดหนึ่งในถัง
    และนับว่าเป็นเช่นเดียวกับธุลีบนตราชู
    ดูเถิด พระองค์ชั่งหมู่เกาะต่างๆ เหมือนชั่งผงคลี
16 เลบานอนไม่ดีพอที่จะเป็นเชื้อเพลิง
    และสัตว์ป่าที่นั่นก็มีไม่พอเพื่อใช้เผาเป็นของถวาย
17 ประชาชาติทั้งปวงไม่สามารถกระทำสิ่งใดต่อพระองค์ได้
    พวกเขาเปล่าประโยชน์ยิ่งกว่าศูนย์
    และมีสภาพว่างเปล่า

18 ฉะนั้นแล้ว พวกท่านจะเปรียบพระเจ้ากับผู้ใด
    หรือจะเปรียบรูปลักษณ์ของพระองค์กับอะไร
19 รูปเคารพเป็นสิ่งที่ช่างฝีมือหล่อขึ้น
    ช่างทองชุบมันด้วยทองคำ
    และทำสร้อยเงินสวมให้รูปเคารพ
20 คนที่ยากไร้เกินไปที่จะมอบของถวายเช่นนั้น
    ก็จะเลือกไม้ที่ไม่ผุ
เขาหาช่างฝีมือผู้ชำนาญ
    ติดตั้งรูปเคารพที่ขยับเขยื้อนไม่ได้

21 ท่านไม่ทราบหรือ
    ท่านไม่ได้ยินหรือ
ท่านไม่ได้รับฟังมาตั้งแต่แรกหรือ
    ท่านไม่เข้าใจนับตั้งแต่การวางฐานรากของแผ่นดินโลกหรือ
22 พระองค์พำนักอยู่เหนือโค้งของแผ่นดินโลก
    และบรรดาผู้อยู่อาศัยเป็นเหมือนตั๊กแตน
พระองค์แผ่ฟ้าสวรรค์ออกเหมือนปะรำ
    และกางฟ้าสวรรค์ออกเหมือนกระโจมเพื่อเป็นที่พำนัก
23 พระองค์ทำให้บรรดาผู้นำกระทำสิ่งใดไม่ได้เลย
    และทำให้บรรดาผู้ปกครองของแผ่นดินโลกเป็นดั่งความว่างเปล่า
24 พวกเขายังไม่ทันจะถูกปลูก ยังไม่ทันจะถูกหว่านเมล็ด
    กิ่งก้านยังไม่ทันงอกรากลงดิน
เมื่อพระองค์พ่นลมหายใจใส่พวกเขา พวกเขาก็เหี่ยวเฉาไป
    และพายุหมุนหอบพวกเขาไปเหมือนแกลบ

25 องค์ผู้บริสุทธิ์กล่าวว่า “ฉะนั้นพวกเจ้าจะเปรียบเราได้กับใคร
    ว่าเราควรจะเป็นเหมือนกับเขา”
26 ท่านจงเงยหน้าขึ้นดูสิ
    ใครสร้างสิ่งเหล่านี้
พระองค์ผู้สร้างทุกสิ่งที่อยู่บนฟ้าจำนวนมหาศาล
    เรียกชื่อทุกสิ่งบนนั้น
ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
    และเพราะว่าพระองค์มีอานุภาพยิ่งนัก
    จึงไม่มีสิ่งใดขาดหายไปเลย

27 โอ ยาโคบเอ๋ย ทำไมท่านจึงพูด
    โอ อิสราเอลเอ๋ย ทำไมท่านจึงกล่าวดังนี้
พระผู้เป็นเจ้าไม่เห็นวิถีทางของเรา
    และพระเจ้าไม่สนใจให้ความยุติธรรมแก่เรา”
28 พวกท่านไม่รู้หรอกหรือ
    พวกท่านไม่ได้ยินหรอกหรือ
พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าตลอดกาล
    องค์ผู้สร้างแดนไกลสุดขอบโลก
พระองค์ไม่อ่อนล้าหรือสิ้นกำลัง
    ความหยั่งรู้ของพระองค์หามีขอบเขตจำกัดไม่
29 พระองค์มอบอานุภาพให้แก่ผู้อ่อนล้า
    และเสริมกำลังแก่ผู้ที่ขาดพลัง
30 แม้บรรดาวัยรุ่นก็ยังจะอ่อนล้าและสิ้นกำลัง
    และชายหนุ่มจะอ่อนแรง
31 แต่บรรดาผู้ที่รอคอยพระผู้เป็นเจ้า
    จะได้รับการเสริมสร้างพลังขึ้นใหม่
พวกเขาจะโผขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี
    พวกเขาจะวิ่ง แต่ไม่หมดกำลัง
    พวกเขาจะเดิน แต่ไม่อ่อนล้า

อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า

41 “โอ หมู่เกาะทั้งหลายเอ๋ย จงนิ่งเงียบต่อหน้าเรา
    ให้บรรดาชนชาติเสริมสร้างพลังของพวกเขาขึ้นใหม่
ให้พวกเขาเข้ามาใกล้ แล้วก็ให้พวกเขาพูด
    เราเข้ามาร่วมชุมนุมกันในที่พิพากษาเถิด

ใครกระตุ้นชายคนหนึ่งจากทิศตะวันออก
    เขาประสบชัยชนะทุกก้าวของเขา
บรรดาประชาชาติถูกมอบไว้ในมือของเขา
    เพื่อให้เขาเหยียบย่ำบรรดากษัตริย์
เขาปราบพวกเขาด้วยดาบเหมือนฝุ่น
    และขับไล่พวกเขาไปด้วยคันธนูของเขาเหมือนแกลบ
เขาตามล่าและดำเนินผ่านพ้นไปอย่างปลอดภัย
    และเดินในทางที่เขาไม่เคยเหยียบย่างมาก่อน
ใครเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความสำเร็จ
    ผู้ที่เรียกทุกชั่วอายุคนออกมานับแต่ครั้งปฐมกาล
เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราอยู่กับชั่วอายุแรก
    และเราจะอยู่กับชั่วอายุสุดท้าย เราคือผู้นั้น”

หมู่เกาะต่างๆ ได้เห็นแล้ว และเกรงกลัว
    แดนไกลสุดขอบโลกสั่นสะเทือน
    พวกเขาได้เข้ามาใกล้ และก็ถึงแล้ว
ทุกคนต่างช่วยเหลือเพื่อนบ้านของตน
    และพูดต่อกันและกันว่า “จงเข้มแข็งเถิด”
ช่างฝีมือให้กำลังใจช่างทอง
    และผู้ที่ใช้ค้อนทุบให้เรียบกระตุ้นผู้ที่ตีทั่ง
เขาบอกผู้ที่เชื่อมโลหะว่า “งานออกมาดี”
    พวกเขาตอกตะปูรูปเคารพให้แข็งแรง เพื่อไม่ให้มันขยับเขยื้อน

“แต่อิสราเอล เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา
    ยาโคบผู้ที่เราได้เลือก
    เชื้อสายของอับราฮัมสหายของเรา
เราเอาตัวเจ้าออกมาจากแดนไกลสุดขอบโลก
    และเรียกจากที่ไกลสุดของโลก
เราบอกเจ้าว่า ‘เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา
    เราได้เลือกเจ้า และไม่ได้ปฏิเสธเจ้า’
10 ไม่ต้องกลัว เพราะเราอยู่กับเจ้า
    อย่าหวั่นกลัว เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า
เราจะเสริมกำลังแก่เจ้า เราจะช่วยเจ้า
    เราจะประคองเจ้าด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา

11 ดูเถิด ทุกคนที่เกรี้ยวกราดเจ้า
    จะได้รับความอับอายและสับสน
บรรดาผู้ที่ต่อต้านเจ้า
    จะทำสิ่งใดไม่ได้และจะสิ้นชีวิต
12 เจ้าจะค้นหาพวกที่ราวีเจ้า
    แต่เจ้าจะหาไม่พบ
พวกที่สู้รบกับเจ้า
    จะทำสิ่งใดไม่ได้เลย
13 เพราะเราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า
    เราจูงมือขวาของเจ้า
เรานี่แหละพูดกับเจ้าว่า ‘อย่ากลัวเลย
    เราเป็นผู้ที่ช่วยเจ้า’
14 อย่ากลัวเลย ยาโคบ เจ้าเป็นเหมือนหนอนตัวหนึ่ง
    โอ อิสราเอลผู้น้อย
พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เราเป็นผู้ที่ช่วยเจ้า
    ผู้ไถ่ของเจ้าคือองค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอล
15 ดูเถิด เราจะทำให้เจ้าเป็นเครื่องนวดข้าวใหม่
    ทั้งคมและมีฟัน
เจ้าจะนวดบดเทือกเขา
    และเจ้าจะทำให้เนินเขาเป็นเหมือนแกลบ
16 เจ้าจะฝัดร่อนพวกเขา และลมจะพัดพาพวกเขาไปเสีย
    และพายุอันแรงกล้าจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไป
และเจ้าจะยินดีในพระผู้เป็นเจ้า
    เจ้าจะอยู่ใต้ร่มพระบารมีขององค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอล

17 เมื่อผู้ขัดสนและยากไร้เสาะหาน้ำ
    แต่ก็ไม่มีน้ำ
    และลิ้นของพวกเขาแห้งผากด้วยความกระหาย
เราผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้าจะตอบพวกเขา
    เราผู้เป็นพระเจ้าของอิสราเอลจะไม่ทอดทิ้งพวกเขา
18 เราจะทำให้แม่น้ำหลายสายไหลบนที่ราบสูง
    และน้ำพุพุ่งในท่ามกลางหุบเขา
เราจะทำให้มีแอ่งน้ำในถิ่นทุรกันดาร
    และแหล่งน้ำพุบนแผ่นดินอันแห้งแล้ง

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation