Bible in 90 Days
15 ในครั้งโน้น ข้าพเจ้าเห็นประชาชนในยูดาห์กำลังย่ำองุ่นเพื่อสกัดเหล้าในวันสะบาโต พวกเขาขนเมล็ดข้าวมาหลายกอง แล้วบรรทุกขึ้นบนหลังลา มีทั้งเหล้าองุ่น ผลองุ่น มะเดื่อ และมีของบรรทุกมาสารพัดชนิด ที่พวกเขานำไปยังเยรูซาเล็มในวันสะบาโต และข้าพเจ้าเตือนพวกเขาในวันที่เขาขายอาหาร 16 ชาวไทระที่อาศัยอยู่ในเมืองนำปลาและสินค้าหลากชนิดเข้ามาในเยรูซาเล็ม เพื่อขายให้แก่ประชาชนของยูดาห์ในวันสะบาโต 17 ข้าพเจ้าจึงเผชิญหน้าพูดกับเหล่าขุนนางของยูดาห์ว่า “พวกท่านกำลังกระทำความชั่วร้ายด้วยการดูหมิ่นวันสะบาโตอะไรเช่นนี้ 18 บรรพบุรุษของท่านไม่ได้ปฏิบัติเช่นเดียวกันหรอกหรือ และพระเจ้าของเราก็ได้ทำให้พวกเราและเมืองนี้ประสบสิ่งร้ายๆ มิใช่หรือ บัดนี้พวกท่านกำลังนำความวิบัติมากยิ่งขึ้นมาสู่อิสราเอลด้วยการดูหมิ่นวันสะบาโต”
19 ทันทีที่เวลาค่ำลง ที่ประตูเมืองเยรูซาเล็มก่อนวันสะบาโต ข้าพเจ้าสั่งว่า ประตูควรจะปิดไว้ และออกคำสั่งว่าไม่ควรเปิดประตูจนกระทั่งหลังวันสะบาโต และข้าพเจ้าสั่งบรรดาผู้รับใช้ของข้าพเจ้าให้ประจำหน้าที่ที่ประตูเมือง เพื่อไม่ให้บรรทุกของเข้ามาในวันสะบาโต 20 จากนั้นก็มีพวกพ่อค้าและคนขายสินค้าสารพัดชนิดพักแรมที่นอกเมืองเยรูซาเล็มครั้งหรือสองครั้ง 21 แต่ข้าพเจ้าเตือนพวกเขาว่า “ท่านมาพักที่นอกกำแพงเมืองทำไม ถ้าท่านทำเช่นนี้อีก ข้าพเจ้าจะจับท่าน” หลังจากนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มาในวันสะบาโตอีก 22 ข้าพเจ้าจึงสั่งชาวเลวีว่า พวกเขาควรชำระตัวให้บริสุทธิ์ และมาเฝ้าประตูเพื่อรักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์ โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอพระองค์ระลึกถึงความดีของข้าพเจ้าในเรื่องนี้เถิด และโปรดเมตตาข้าพเจ้าเพราะความรักอันมั่นคงอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
23 ในครั้งโน้น ข้าพเจ้าเห็นชาวยิวที่ได้แต่งงานกับผู้หญิงของอัชโดด อัมโมน และโมอับ 24 ครึ่งหนึ่งของจำนวนบุตรของพวกเขาพูดภาษาของอัชโดด และพูดภาษาของยูดาห์ไม่ได้ พูดได้แต่ภาษาของพวกเขาเท่านั้น 25 ข้าพเจ้าเผชิญหน้าพูดกับพวกเขา ทั้งสาปแช่งและลงมือลงไม้กับพวกเขาบางคน และถึงกับทึ้งผมพวกเขา และให้พวกเขาสาบานตนในพระนามของพระเจ้าโดยบอกว่า “พวกท่านจะไม่ยกลูกสาวของท่านให้แก่ลูกชายของพวกเขา หรือรับลูกสาวของพวกเขามาเป็นสะใภ้ของท่านหรือเป็นภรรยาของพวกท่านเอง 26 ซาโลมอนกษัตริย์ของอิสราเอลก็กระทำบาปเรื่องพวกผู้หญิงเหล่านั้นมิใช่หรือ ไม่มีกษัตริย์อื่นใดในบรรดาประชาชาติมากหลายที่เป็นเหมือนซาโลมอน และท่านเป็นที่รักของพระเจ้าของท่าน พระเจ้าแต่งตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ปกครองทั่วทั้งอิสราเอล ถึงกระนั้น พวกผู้หญิงต่างชาติก็ยังทำให้ท่านกระทำบาป[a] 27 เราควรจะฟังพวกท่าน และทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนั้น แสดงความไม่ภักดีต่อพระเจ้าของเราด้วยการแต่งงานกับหญิงต่างชาติอย่างนั้นหรือ”
28 บุตรคนหนึ่งของโยยาดา ผู้เป็นบุตรของเอลียาชีบหัวหน้ามหาปุโรหิต ซึ่งเป็นบุตรเขยของสันบาลลัทชาวโฮโรน ข้าพเจ้าขับไล่เขาไปจากข้าพเจ้า 29 โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอพระองค์ระลึกถึงพวกเขาที่ได้ทำลายความเป็นปุโรหิต และพันธสัญญาที่พระองค์มีกับปุโรหิตและชาวเลวี
30 ดังนั้น ข้าพเจ้าได้ชำระพวกเขาให้สะอาดจากทุกสิ่งที่เป็นของต่างชาติ และข้าพเจ้ากำหนดหน้าที่ของบรรดาปุโรหิตและชาวเลวีแต่ละคนในการปฏิบัติงานของเขา 31 และข้าพเจ้ายังได้จัดหาฟืนมาถวายตามกำหนดเวลา อีกทั้งผลไม้รุ่นแรกด้วย
โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอพระองค์ระลึกถึงความดีของข้าพเจ้าเถิด
งานเลี้ยงของกษัตริย์
1 ในสมัยของอาหสุเอรัส[b] คืออาหสุเอรัสผู้ที่ปกครอง 127 แคว้น ตั้งแต่อินเดียถึงคูช 2 ในสมัยนั้น เมื่อกษัตริย์อาหสุเอรัสครองราชบัลลังก์ในสุสาเมืองป้อมปราการ 3 ในปีที่สามหลังจากที่ได้ขึ้นครองราชย์ ท่านจัดงานเลี้ยงให้แก่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่และข้าราชการทั้งสิ้นของท่าน กองทัพของเปอร์เซียและมีเดีย บรรดาผู้สูงศักดิ์และผู้ว่าราชการประจำแคว้นต่างก็มาพร้อมหน้ากัน 4 ตลอดเวลา 180 วัน ท่านแสดงความมั่งมีแห่งราชอาณาจักร ความรุ่งเรืองของความยิ่งใหญ่ของท่าน 5 เมื่อเสร็จสิ้น กษัตริย์ก็โปรดให้มีงานเลี้ยงในสุสาเมืองป้อมปราการ แก่ประชาชนทั้งปวงทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย งานนี้ใช้เวลานานถึง 7 วัน ณ ลานสวนแห่งราชวัง 6 ในสวนมีม่านผ้าฝ้ายสีขาวและสีฟ้า ผูกด้วยเชือกป่านเนื้อดีสีม่วงคล้องกับห่วงเงินและเสาหินอ่อน มีเตียงทองคำและเงินตั้งอยู่บนพื้นหินโมเสคสีแดงม่วง หินอ่อน เปลือกมุก และเพชรพลอย 7 เครื่องดื่มรินใส่ถ้วยทองคำ ถ้วยหลากชนิด และมีเหล้าองุ่นของกษัตริย์ให้ดื่มโดยไม่จำกัด เพราะกษัตริย์ใจกว้าง 8 การดื่มเป็นไปตามคำสั่งที่ว่า “ไม่มีการบังคับใดๆ” เพราะกษัตริย์ได้ออกคำสั่งแก่พนักงานทุกคนในวังของท่านว่า แต่ละคนทำตามความพอใจของตน 9 ส่วนราชินีวัชทีก็จัดงานเลี้ยงสำหรับผู้หญิงในวังของกษัตริย์อาหสุเอรัสด้วย
ราชินีวัชทีปฏิเสธคำบัญชา
10 ในวันที่เจ็ด เมื่อใจของกษัตริย์หรรษาด้วยเหล้าองุ่น ท่านสั่งเมหุมาน บิสธา ฮาร์โบนา บิกธา อาบักธา เศธาร์ และคาร์คาส ผู้เป็นขันทีทั้งเจ็ดที่รับใช้กษัตริย์อาหสุเอรัส 11 ให้พาราชินีวัชทีมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ พร้อมกับสวมมงกุฎของเธอด้วย เพื่อให้ประชาชนและบรรดาเจ้าขุนมูลนายได้ชมความงามของเธอ เพราะเธอรูปงามยิ่งนัก 12 แต่ราชินีวัชทีปฏิเสธคำบัญชาของกษัตริย์ที่รับสั่งไปกับขันที กษัตริย์จึงกริ้วยิ่งนักและความโกรธก็เร่าร้อนอยู่ในใจ
13 กษัตริย์จึงกล่าวกับผู้เรืองปัญญาว่าควรจะทำอย่างไร (เพราะเป็นวิธีการของกษัตริย์ที่จะปรึกษาผู้ชำนาญกฎมนเทียรบาลและการตัดสินความ 14 และเป็นคนสนิทของกษัตริย์ด้วยคือ คาร์เช-นา เชธาร์ อัดมาธา ทาร์ชิช เมเรส มาร์เส-นา และเมมูคาน ซึ่งเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่แห่งเปอร์เซียและมีเดีย เข้าถึงตัวกษัตริย์ได้เสมอและมีตำแหน่งสูงในอาณาจักร) 15 กษัตริย์ถามว่า “จะต้องทำอย่างไรต่อราชินีวัชทีตามกฎหมาย ในเมื่อเธอไม่ปฏิบัติตามคำบัญชาของกษัตริย์อาหสุเอรัสที่รับสั่งไปกับขันที” 16 เมมูคานจึงกล่าวต่อหน้ากษัตริย์และบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ว่า “ราชินีวัชทีไม่เพียงกระทำผิดต่อกษัตริย์เท่านั้น แต่ผิดต่อบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และประชาชนทั้งปวงในทุกแคว้นของกษัตริย์อาหสุเอรัสด้วย 17 เพราะการกระทำของราชินีจะเป็นที่ทราบกันในบรรดาผู้หญิงทั้งปวง ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขาดูหมิ่นสามีของตนเอง และจะพูดกันได้ว่า ‘กษัตริย์อาหสุเอรัสบัญชาราชินีวัชทีให้มาเข้าเฝ้า แต่พระนางก็ไม่มา’ 18 ในวันนี้ บรรดาผู้หญิงที่เป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่แห่งเปอร์เซียและมีเดีย ที่ทราบถึงการกระทำของราชินี ก็จะพูดเหมือนกันแก่บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของกษัตริย์ จะเกิดการดูหมิ่นดูแคลนและความโกรธเกรี้ยวมากมาย 19 ถ้าหากว่าจะเป็นที่พอใจของกษัตริย์ ขอให้มีคำสั่งของราชสำนักซึ่งเขียนระบุในกฎของชาวเปอร์เซียและชาวมีเดียว่า นางวัชทีไม่มีสิทธิ์เข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัส และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ และขอให้กษัตริย์มอบราชตำแหน่งแก่ผู้อื่นที่เหมาะสมกว่าเธอ 20 ดังนั้นเมื่อมีการประกาศกฤษฎีกาของกษัตริย์ทั่วอาณาจักรอันกว้างใหญ่ ผู้หญิงทั้งปวงก็จะยกย่องสามีของตน ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย” 21 คำแนะนำนี้เป็นที่พอใจของกษัตริย์และบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ กษัตริย์จึงกระทำตามดังที่เมมูคานเสนอ 22 ท่านส่งสาสน์ไปยังแคว้นต่างๆ ของกษัตริย์ ถึงแต่ละแคว้นเป็นลายลักษณ์อักษรต้นฉบับแก่ชนทุกชาติในภาษาของเขาเอง คือให้ชายทุกคนเป็นเจ้านายในครัวเรือนของตน
เอสเธอร์รับเลือกเป็นราชินี
2 หลังจากนั้น เมื่อกษัตริย์อาหสุเอรัสคลายความโกรธลงแล้ว ท่านระลึกถึงการกระทำของนางวัชที และคำสั่งที่ห้ามนางเข้าเฝ้าต่อไป 2 และบรรดาผู้รับใช้ชายที่ปรนนิบัติกษัตริย์เสนอว่า “ขอโปรดเสาะหาพรหมจาริณีสาวรูปงามให้กษัตริย์เถิด 3 และให้กษัตริย์แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ในแคว้นทุกแคว้นของอาณาจักร เพื่อพาพรหมจาริณีสาวรูปงามทุกคนมายังฮาเร็มที่สุสาเมืองป้อมปราการ ให้อยู่ภายใต้การดูแลของเฮกัยขันทีของกษัตริย์ ผู้ควบคุมดูแลผู้หญิงทั้งหลาย และให้พวกเขาได้รับการเสริมความงาม 4 และขอให้หญิงสาวผู้เป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ ได้รับตำแหน่งราชินีแทนวัชที” กษัตริย์พอใจในข้อเสนอ จึงดำเนินการตามนั้น
5 ในเวลานั้น มีชาวยิวผู้หนึ่งที่สุสาเมืองป้อมปราการ ชื่อโมร์เดคัยบุตรของยาอีร์ ยาอีร์เป็นบุตรของชิเมอี ชิเมอีเป็นบุตรของคีชชาวเบนยามิน 6 เขาเป็นคนที่ถูกจับตัวจากเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยพร้อมกับกลุ่มเชลยและเยโคนิยาห์[c]กษัตริย์แห่งยูดาห์ ครั้งที่เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลนจับไป 7 เขาเลี้ยงดูฮาดัสซา ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่า เอสเธอร์ เธอเป็นบุตรหญิงของลุงของเขา และกำพร้าทั้งบิดาและมารดา เธอมีรูปร่างหน้าตาสวย เมื่อบิดามารดาของเธอสิ้นชีวิต โมร์เดคัยจึงรับเธอมาเป็นบุตรของตน 8 ฉะนั้น เมื่อมีคำสั่งและประกาศกฤษฎีกาของกษัตริย์ และเมื่อหญิงสาวมากมายมารวมกันที่สุสาเมืองป้อมปราการ ภายใต้การดูแลของเฮกัย เอสเธอร์ก็ถูกนำมายังราชวัง และอยู่ภายใต้การดูแลของเฮกัยผู้ควบคุมดูแลผู้หญิงทั้งหลาย 9 เอสเธอร์เป็นที่พึงใจและทำให้เขาชอบใจเธอเป็นพิเศษ เขาจึงเตรียมเสริมความงามและจัดหาอาหารให้แก่เธอเพิ่มเติม อีกทั้งจัดหาหญิงสาว 7 คนที่ได้คัดเลือกจากราชวัง เพื่อมารับใช้เธอ และย้ายเอสเธอร์กับหญิงรับใช้เข้าไปอยู่ในสถานที่ดีที่สุดในฮาเร็ม 10 เอสเธอร์ยังไม่ได้เปิดเผยสัญชาติและประวัติครอบครัวของเธอ เพราะโมร์เดคัยได้สั่งห้ามไว้ 11 ทุกๆ วัน โมร์เดคัยเดินอยู่ที่หน้าลานฮาเร็ม เพื่อดูว่าเอสเธอร์เป็นอยู่อย่างไร และเธอทำอะไรบ้าง
12 หลังจากที่บรรดาหญิงสาวผ่านการเสริมความงามเป็นเวลา 12 เดือนตามกำหนด คือ ชโลมกายด้วยน้ำมันมดยอบ 6 เดือน และด้วยน้ำมันกับเครื่องหอมอีก 6 เดือนก็จะถึงเวรที่หญิงสาวแต่ละคนจะได้เข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัส 13 เมื่อหญิงสาวเข้าเฝ้ากษัตริย์ในกรณีดังกล่าว เธอจะได้รับสิ่งที่เธอปรารถนาจากฮาเร็ม และนำติดตัวไปที่ราชวัง 14 ในเวลาเย็น เธอจะไปที่ราชวัง และในเวลาเช้า เธอจะกลับไปยังฮาเร็มที่สองภายใต้การดูแลของชาอัชกัซขันทีของกษัตริย์ ผู้เป็นผู้ควบคุมดูแลบรรดาภรรยาน้อย เธอจะไม่เข้าเฝ้ากษัตริย์อีก เว้นเสียแต่ว่ากษัตริย์จะพึงพอใจเธอ และเรียกชื่อเธอให้มาเข้าเฝ้า
15 เมื่อถึงเวลาของเอสเธอร์บุตรหญิงของอาบีฮาอิลลุงของโมร์เดคัย ผู้รับเธอเป็นบุตรของตน จะต้องเข้าเฝ้ากษัตริย์ เธอไม่ได้ขอสิ่งใดนอกจากสิ่งที่เฮกัยแนะนำ เฮกัยเป็นขันทีของกษัตริย์ และเป็นผู้ควบคุมดูแลกลุ่มผู้หญิง ส่วนเอสเธอร์ก็เป็นที่โปรดปรานในสายตาของทุกคนที่เห็นเธอ 16 ครั้นเอสเธอร์ถูกนำไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัสที่ราชวัง ในเดือนที่สิบซึ่งเป็นเดือนเทเบท ในปีที่เจ็ดแห่งการครองราชย์ของท่าน 17 กษัตริย์ก็รักเอสเธอร์ยิ่งกว่าหญิงสาวคนอื่นๆ และเธอเป็นที่โปรดปรานและเห็นชอบของกษัตริย์ มากกว่าพรหมจาริณีทั้งปวง ท่านจึงสวมราชมงกุฎบนศีรษะเธอ และแต่งตั้งเธอเป็นราชินีแทนวัชที 18 และกษัตริย์ก็จัดงานฉลองให้แก่บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และข้าราชการของท่าน เป็นงานฉลองเพื่อเอสเธอร์ ท่านประกาศให้ถือเป็นวันหยุดทั่วทุกแคว้น และแจกของขวัญด้วยความใจกว้าง
โมร์เดคัยทราบถึงแผนการร้าย
19 เมื่อบรรดาพรหมจาริณีถูกนำมารวมกันเป็นครั้งที่สอง โมร์เดคัยนั่งอยู่ที่ประตูของกษัตริย์ 20 เอสเธอร์ยังไม่ได้เปิดเผยประวัติครอบครัวและสัญชาติของเธอ ดังที่โมร์เดคัยสั่งเธอไว้ เพราะเอสเธอร์เชื่อฟังโมร์เดคัยเหมือนกับครั้งที่เธอเติบโตภายใต้การเลี้ยงดูของเขา 21 ในเวลานั้น โมร์เดคัยกำลังนั่งอยู่ที่ประตูราชวัง บิกธานและเทเรช ขันที 2 คนของกษัตริย์ที่เฝ้าธรณีประตู มีความโกรธและสมคบกันปองร้ายกษัตริย์อาหสุเอรัส 22 โมร์เดคัยทราบเรื่อง จึงบอกให้ราชินีเอสเธอร์ทราบ เอสเธอร์ทูลกษัตริย์ในนามของโมร์เดคัย 23 เมื่อสืบความ และพบว่าเป็นจริงดังกล่าว ขันทีทั้ง 2 คนจึงถูกแขวนคอที่ตะแลงแกง และเรื่องนี้มีบันทึกอยู่ในหนังสือแห่งพงศาวดารต่อหน้ากษัตริย์
ฮามานคิดแผนการร้ายต่อชาวยิว
3 หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ กษัตริย์อาหสุเอรัสเลื่อนตำแหน่งฮามานชาวอากัก บุตรของฮัมเมดาธา ให้สูงขึ้นเหนือบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงที่อยู่กับเขา 2 บรรดาเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์ ที่อยู่ที่ประตูราชวังก้มแสดงความเคารพฮามาน ตามที่กษัตริย์ได้บัญชา แต่โมร์เดคัยไม่ก้มลงหรือแสดงความเคารพฮามาน 3 บรรดาเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์ที่ประตูราชวังถามโมร์เดคัยว่า “ทำไมท่านจึงไม่เชื่อฟังคำสั่งของกษัตริย์” 4 พวกเขาพูดกับโมร์เดคัยวันแล้ววันเล่า แต่โมร์เดคัยก็ไม่ฟัง พวกเขาจึงไปบอกฮามาน เพื่อดูว่า ฮามานจะทำอย่างไรต่อโมร์เดคัย เพราะเขาได้อ้างว่า เขาเป็นชาวยิว 5 ส่วนฮามาน เมื่อเห็นว่าโมร์เดคัยไม่ก้มแสดงความเคารพเขา เขาก็เดือดดาลนัก 6 แต่เขารู้สึกว่าการที่จะกำจัดโมร์เดคัยเพียงผู้เดียวนั้นยังไม่พอ จึงได้หาทางจะกำจัดชาวยิวทั้งสิ้นซึ่งเป็นคนของโมร์เดคัยด้วย ตามที่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ทราบถึงคนของโมร์เดคัยที่อาศัยอยู่ทั่วไปในอาณาจักรของอาหสุเอรัส
7 ในปีที่สิบสองของกษัตริย์อาหสุเอรัส ในเดือนแรกคือเดือนนิสาน มีการเสี่ยงปูร์ (คือการจับฉลาก) ต่อหน้าฮามาน เพื่อเลือกวันและเดือน และเสี่ยงได้เป็นเดือนสิบสองคือเดือนอาดาร์ 8 ฮามานบอกกษัตริย์อาหสุเอรัสว่า “มีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่กระจัดกระจายไปต่างแดน และแทรกตัวอาศัยอยู่ในหมู่ประชาชนทุกแคว้นในอาณาจักรของท่าน กฎของพวกเขาต่างจากกฎของชนกลุ่มอื่นๆ และพวกเขาไม่ปฏิบัติตามกฎของกษัตริย์ ฉะนั้นไม่เป็นประโยชน์อันใด ที่กษัตริย์จะต้องทนพวกเขา 9 ถ้าเป็นที่พอใจของกษัตริย์ ขอโปรดออกกฤษฎีกาให้กำจัดพวกเขาเสีย และข้าพเจ้าจะมอบเงิน 10,000 ตะลันต์[d]ไว้ในคลังของกษัตริย์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับคนที่จะดำเนินการ” 10 ดังนั้น กษัตริย์ถอดแหวนตราจากนิ้วมือท่าน และมอบให้แก่ฮามานชาวอากัก บุตรของฮัมเมดาธา ศัตรูของชาวยิว 11 และกษัตริย์กล่าวกับฮามานว่า “จงเก็บเงินของเจ้าไว้ ส่วนประชาชนนั้น กระทำต่อพวกเขาตามที่เจ้าเห็นชอบ”
12 ในวันที่สิบสามของเดือนแรก บรรดาเลขาของกษัตริย์ถูกเรียกมาเขียนกฤษฎีกาตามทุกสิ่งที่ฮามานสั่งไว้ และส่งไปให้แก่ผู้ปกครองแคว้นต่างๆ ของกษัตริย์ และแก่ผู้ว่าราชการที่ดูแลแต่ละแคว้น และแก่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของแต่ละชนชาติ สำหรับแต่ละแคว้นตามอักษรที่ระบุไว้ และแต่ละชนชาติตามภาษา ลงในนามกษัตริย์อาหสุเอรัส และผนึกด้วยแหวนตราของกษัตริย์ 13 บรรดาคนเดินข่าวด่วนก็ส่งจดหมายไปยังแคว้นต่างๆ ของกษัตริย์ พร้อมกับระบุว่าให้ทำลาย ฆ่า และกำจัดชาวยิวจนหมดสิ้น ทั้งคนหนุ่มและคนชรา ผู้หญิงและเด็กๆ ในวันเดียว คือในวันที่สิบสามของเดือนสิบสองคือเดือนอาดาร์ และริบทุกสิ่งที่เป็นของพวกเขา 14 ให้ทำสำเนาจดหมายพร้อมกับคำบัญชา เป็นกฤษฎีกาแก่ทุกแคว้น ประกาศแก่ประชาชนทั้งปวงเพื่อให้เตรียมพร้อมในวันนั้น 15 บรรดาคนเดินข่าวด่วนรีบไป ตามคำสั่งของกษัตริย์ กฤษฎีกานั้นถูกเขียนขึ้นในสุสาเมืองป้อมปราการ ขณะที่กษัตริย์และฮามานนั่งดื่มด้วยกัน ในเมืองสุสากลับสับสนอลหม่าน
เอสเธอร์เห็นชอบที่จะช่วยชาวยิว
4 เมื่อโมร์เดคัยทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจึงฉีกเสื้อของตน และสวมผ้ากระสอบและเทขี้เถ้าลงบนศีรษะของตน เขาเดินเข้าไปในเมือง และร้องเสียงดังอย่างขมขื่น 2 เขาขึ้นไปยืนที่ทางเข้าประตูราชวัง ไม่มีผู้ใดที่สวมผ้ากระสอบได้รับอนุญาตเข้าทางประตูราชวัง 3 เมื่อชาวยิวในทุกแคว้นได้รับคำบัญชาและกฤษฎีกาของกษัตริย์ พวกเขาก็เศร้าโศกยิ่งนัก จึงมีการอดอาหาร ร้องไห้และร้องคร่ำครวญ หลายคนสวมผ้ากระสอบนอนบนขี้เถ้า
4 เมื่อบรรดาหญิงสาวและขันทีของเอสเธอร์มาแจ้งข่าวให้เธอทราบ ราชินีก็เป็นทุกข์ยิ่งนัก เธอให้นำเสื้อผ้าไปให้โมร์เดคัย เพื่อให้เขาสวมแทนผ้ากระสอบ แต่เขาปฏิเสธ 5 เอสเธอร์จึงเรียกตัวฮาธาคขันทีคนหนึ่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ให้รับใช้เธอ เอสเธอร์สั่งเขาให้ไปหาโมร์เดคัย เพื่อดูว่าเกิดเรื่องอะไรและสาเหตุของเรื่องนั้นคืออะไร 6 ฮาธาคไปหาโมร์เดคัยที่ลานเมืองตรงหน้าประตูราชวัง 7 และโมร์เดคัยบอกฮาธาคทุกอย่างว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับเขา รวมทั้งเรื่องเงินที่ฮามานสัญญาว่าจะจ่ายให้คลังของกษัตริย์เพื่อใช้ในการกำจัดชาวยิว 8 โมร์เดคัยได้ให้สำเนากฤษฎีกาที่ประกาศในสุสาที่จะกวาดล้างพวกเขา เขาจะได้ให้เอสเธอร์ดู และรายงานให้เธอทราบ และสั่งเขาให้ขอเธอเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่ออ้อนวอนขอความกรุณาจากท่าน ในนามของประชาชนของเธอ 9 แล้วฮาธาคก็ไปเล่าให้เอสเธอร์ฟังว่า โมร์เดคัยได้พูดสิ่งใดบ้าง 10 เอสเธอร์กล่าวกับฮาธาค และสั่งเขาให้ไปหาโมร์เดคัย เพื่อบอกเขาดังนี้ว่า 11 “เป็นที่รู้กันในบรรดาเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์และประชาชนในแคว้นต่างๆ ของกษัตริย์ว่า หากชายหรือหญิงคนใดเข้าไปเฝ้ากษัตริย์ที่ตำหนักชั้นใน โดยไม่มีรับสั่งมาก่อน จะต้องถูกประหารตามกฎนี้เท่านั้น ยกเว้นว่ากษัตริย์ยื่นคทาทองไปทางคนนั้น เขาก็จะรอดชีวิต ส่วนตัวฉันเอง 30 วันที่ผ่านมาก็ยังไม่มีรับสั่งให้ไปเข้าเฝ้าเลย”
12 เมื่อโมร์เดคัยรับทราบสิ่งที่เอสเธอร์แจ้งแล้ว 13 เขาตอบเอสเธอร์ว่า “อย่าคิดในใจว่า การที่เธออาศัยอยู่ในราชวัง เธอจะหนีความตายได้มากกว่าชาวยิวคนอื่นๆ 14 เพราะหากเวลานี้เธอเงียบเฉย การบรรเทาทุกข์และความอยู่รอดของชาวยิวจะมาจากที่อื่น แต่เธอและตระกูลของเธอจะพินาศไป เธอได้มารับตำแหน่งราชินีเพื่อวิกฤตกาลเช่นนี้ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้” 15 เอสเธอร์ให้นำคำตอบกลับไปบอกโมร์เดคัยว่า 16 “ไปเถิด ขอให้รวบรวมชาวยิวทั้งหมดที่อยู่ในสุสา ให้อดอาหารเพื่อฉัน อย่ารับประทานหรือดื่มอะไร 3 วัน ทั้งกลางวันและกลางคืน บรรดาหญิงสาวและตัวฉันก็จะอดอาหารอย่างท่านด้วย แล้วฉันจะไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ แม้ว่าจะผิดกฎ ถึงฉันจะตาย ฉันก็ยอม” 17 โมร์เดคัยจึงไปทำทุกสิ่งตามที่เอสเธอร์สั่งให้เขาทำ
เอสเธอร์จัดเตรียมงานเลี้ยง
5 พอถึงวันที่สาม เอสเธอร์สวมเสื้อคลุมของราชินี และยืนที่ลานชั้นในของวัง ซึ่งอยู่ด้านหน้าของตำหนัก ในขณะเดียวกับที่กษัตริย์กำลังนั่งบนราชบัลลังก์ในห้องบัลลังก์ซึ่งอยู่ตรงข้ามทางเข้าวัง 2 ครั้นกษัตริย์เห็นราชินีเอสเธอร์ยืนอยู่ที่ลาน เธอก็เป็นที่พอใจยิ่งนัก ท่านจึงยื่นคทาทองในมือท่านออกไปที่เอสเธอร์ เอสเธอร์จึงเข้าไปใกล้และแตะที่ยอดคทา 3 กษัตริย์จึงถามเธอว่า “มีเรื่องอะไรหรือ ราชินีเอสเธอร์ เธออยากจะขออะไร เราจะมอบให้เธอ แม้จะถึงครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรของเรา” 4 เอสเธอร์ตอบว่า “หากว่าจะโปรด ขอท่านและฮามานมางานเลี้ยงที่หม่อมฉันได้เตรียมไว้สำหรับท่านในวันนี้เถิด” 5 กษัตริย์จึงตอบว่า “เรียกฮามานมาโดยเร็ว เพื่อเราจะได้ทำตามที่เอสเธอร์ขอ” ดังนั้น กษัตริย์และฮามานจึงมางานเลี้ยงที่เอสเธอร์ได้เตรียมไว้ 6 ขณะที่คนในงานกำลังดื่มเหล้าองุ่น กษัตริย์กล่าวกับเอสเธอร์ว่า “เธออยากได้อะไร เราก็จะมอบให้เธอ และเธออยากจะขออะไร แม้จะถึงครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรของเรา ก็จะเป็นไปตามนั้น” 7 เอสเธอร์จึงตอบว่า “สิ่งที่หม่อมฉันจะขอก็คือ 8 หากว่าหม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานของท่าน และถ้าจะเป็นที่พอใจที่จะประทานสิ่งที่หม่อมฉันพึงปรารถนา และให้เป็นไปตามคำขอของหม่อมฉัน ก็ขอท่านและฮามานโปรดมางานเลี้ยงที่หม่อมฉันจะจัดขึ้นสำหรับวันพรุ่งนี้ แล้วหม่อมฉันจะตอบคำถามของท่าน”
ฮามานวางแผนแขวนคอโมร์เดคัย
9 ในวันนั้นฮามานจากไปด้วยใจยินดีและรื่นเริง แต่เมื่อฮามานเห็นโมร์เดคัยที่ประตูราชวัง เขาไม่ลุกขึ้นและไม่แสดงความยำเกรง เขารู้สึกฉุนเฉียวโมร์เดคัยยิ่งนัก 10 แต่ถึงกระนั้น ฮามานก็กลั้นความรู้สึกไว้ และกลับบ้านไป เขาให้คนไปตามพวกเพื่อนๆ และเรียกเศเรชภรรยาของตนมา 11 และฮามานก็โอ้อวดความมั่งมีของตน ทั้งยังมีบุตรชายหลายคน และกษัตริย์ให้เกียรติเขาด้วยการเลื่อนตำแหน่ง และให้เขารุดหน้าเหนือบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และผู้ว่าราชการของท่าน 12 และฮามานพูดว่า “แม้แต่ราชินีเอสเธอร์ก็ไม่ได้ให้ใครไปงานเลี้ยงที่เธอจัดเตรียมขึ้นสำหรับกษัตริย์ นอกจากฉันเท่านั้น และเธอได้เชิญฉันกับกษัตริย์ไปในวันพรุ่งนี้ด้วย 13 แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีค่าอะไรสำหรับฉัน ตราบที่ฉันเห็นโมร์เดคัยชาวยิวยังนั่งอยู่ที่ประตูราชวัง” 14 ดังนั้นเศเรชภรรยาของเขา และเพื่อนทุกคนบอกเขาว่า “ให้สร้างตะแลงแกงสูง 50 ศอก และในตอนเช้าไปขอให้กษัตริย์แขวนคอโมร์เดคัยบนนั้น แล้วจึงไปงานเลี้ยงกับกษัตริย์ด้วยความยินดี” ความคิดนี้เป็นที่พอใจของฮามาน และเขาสั่งให้สร้างตะแลงแกงขึ้น
กษัตริย์ให้เกียรติโมร์เดคัย
6 ในคืนวันนั้น กษัตริย์นอนไม่หลับ ท่านจึงสั่งให้นำหนังสือแห่งพงศาวดารมาอ่านให้ท่านฟัง เป็นบันทึกการกระทำอันน่าจดจำในรัชสมัยของท่าน 2 และพบในบันทึกว่า โมร์เดคัยเป็นผู้แจ้งเรื่องที่ขันที 2 คนของกษัตริย์คือ บิกธานาและเทเรชผู้เฝ้าธรณีประตู พยายามปองร้ายกษัตริย์อาหสุเอรัส 3 และกษัตริย์ถามว่า “โมร์เดคัยได้รับเกียรติหรือความดีความชอบในเรื่องนี้แล้วหรือยัง” พวกชายหนุ่มที่เฝ้ารับใช้ท่านตอบว่า “เขายังไม่เคยได้รับสิ่งใด” 4 กษัตริย์ถามว่า “ใครอยู่ที่ลานตำหนัก” ส่วนฮามานเพิ่งเข้ามาถึงลานชั้นนอกของราชวัง เพื่อขอกษัตริย์เรื่องจะให้แขวนคอโมร์เดคัยที่ตะแลงแกง ซึ่งเขาเตรียมไว้ 5 พวกชายหนุ่มจึงตอบว่า “ฮามานกำลังยืนอยู่ที่ลานนั่น” และกษัตริย์บอกว่า “ให้เขาเข้ามา” 6 ดังนั้น ฮามานจึงเข้ามา และกษัตริย์ถามเขาว่า “ควรจะทำอย่างไรให้กับคนที่กษัตริย์พอใจจะยกย่อง” ฮามานนึกอยู่ในใจว่า “มีใครที่กษัตริย์พอใจจะยกย่องมากกว่าตัวฉัน” 7 ฮามานจึงตอบกษัตริย์ว่า “สำหรับผู้นั้นที่กษัตริย์พอใจจะยกย่อง 8 ขอให้นำเสื้อคลุมที่กษัตริย์เคยสวม และม้าที่กษัตริย์เคยขี่ และนำราชมงกุฎมาสวมบนศีรษะของผู้นั้น 9 ขอให้มอบเสื้อคลุมและม้าแก่ผู้สูงศักดิ์มากที่สุดของกษัตริย์ และให้พวกเขาแต่งกายให้ผู้ที่กษัตริย์พอใจจะยกย่อง และให้พวกเขาขี่ม้านำท่านผู้นั้นไปตามถนนในเมือง และประกาศไปข้างหน้าท่านว่า ‘ผู้ที่กษัตริย์พอใจจะยกย่องย่อมได้รับการตอบแทนเช่นนี้’” 10 กษัตริย์จึงกล่าวกับฮามานว่า “จงรีบเอาเสื้อคลุมและม้า อย่างที่เจ้าพูด และปฏิบัติต่อโมร์เดคัยชาวยิวที่นั่งอยู่ที่ประตูราชวัง อย่าให้สิ่งใดขาดไปจากสิ่งที่เจ้าพูดไว้” 11 ดังนั้น ฮามานจึงเอาเสื้อคลุมและม้า และเขาแต่งตัวให้โมร์เดคัย และนำเขาไปตามถนนในเมือง ประกาศล่วงหน้าเขาว่า “ผู้ที่กษัตริย์พอใจจะยกย่องย่อมได้รับการตอบแทนเช่นนี้”
12 หลังจากนั้น โมร์เดคัยก็กลับไปที่ประตูราชวัง แต่ฮามานรีบกลับบ้านไป เขาเศร้าใจและใช้ผ้าคลุมศีรษะ 13 ฮามานเล่าให้เศเรชภรรยาของเขาและพวกเพื่อนๆ ฟังถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา บรรดาผู้ปรึกษาของเขากับเศเรชภรรยาบอกเขาว่า “ในเมื่อท่านเริ่มล้มลงต่อหน้าโมร์เดคัยผู้เป็นชนชาติยิว ท่านจะไม่มีวันชนะเขาแน่ แต่ท่านจะพินาศต่อหน้าต่อตาเขา”
เอสเธอร์เผยแผนการร้ายของฮามาน
14 ขณะที่พวกเขากำลังพูดอยู่กับฮามาน บรรดาขันทีของกษัตริย์ก็มาถึงและรีบนำฮามานไปงานเลี้ยงที่เอสเธอร์จัดเตรียม
7 ดังนั้น กษัตริย์และฮามานเข้าร่วมรับประทานอาหารในงานเลี้ยงกับราชินีเอสเธอร์ 2 ในวันที่สองของงาน ขณะที่ผู้คนกำลังดื่มเหล้าองุ่น กษัตริย์กล่าวกับเอสเธอร์อีกว่า “ราชินีเอสเธอร์ เธออยากได้อะไร เราก็จะมอบให้เธอ และเธออยากจะขออะไร แม้จะถึงครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรของเรา ก็จะเป็นไปตามนั้น” 3 ราชินีเอสเธอร์จึงตอบว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ หากว่าหม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานของท่าน และถ้าจะเป็นที่พอใจของกษัตริย์ สิ่งที่หม่อมฉันปรารถนาก็คือ ชีวิตของหม่อมฉัน และชีวิตของประชาชนของหม่อมฉัน 4 เพราะทั้งหม่อมฉันและประชาชนของหม่อมฉันถูกขายให้เผชิญกับความพินาศ ถูกเข่นฆ่า และถูกกำจัดเสียสิ้น ถ้าหากว่าพวกเราเพียงถูกขายให้เป็นทาส ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย หม่อมฉันก็จะเงียบเสีย เพราะว่าความยากลำบากของเรานั้นไม่มากพอที่จะต้องรบกวนกษัตริย์” 5 กษัตริย์อาหสุเอรัสจึงถามราชินีเอสเธอร์ว่า “เขาเป็นใคร และเขาอยู่ที่ไหน ใครกล้ากระทำเช่นนี้” 6 เอสเธอร์ตอบว่า “คนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามและเป็นศัตรู ฮามานผู้ชั่วร้ายคนนี้” ฮามานก็ตกใจกลัว ณ เบื้องหน้ากษัตริย์และราชินี
ฮามานถูกแขวนคอ
7 กษัตริย์จึงลุกขึ้นด้วยความโกรธกริ้วหลังจากการดื่มเหล้าองุ่น และเดินเข้าไปในสวน แต่ฮามานอยู่ต่อเพื่อขอให้ราชินีเอสเธอร์ไว้ชีวิตเขา เพราะเขาเห็นว่าภัยจากกษัตริย์จะต้องตกอยู่กับเขา 8 เมื่อกษัตริย์กลับจากสวน และไปยังที่ดื่มเหล้าองุ่น ขณะที่ฮามานกำลังทรุดตัวลงที่แท่นซึ่งเอสเธอร์เอนกายอยู่ กษัตริย์จึงกล่าวว่า “เขายังจะลวนลามราชินีต่อหน้าเรา ในบ้านของเราหรือ” ทันทีที่สิ้นคำของกษัตริย์ พวกเขาก็คลุมหน้าของฮามาน 9 ครั้นแล้วฮาร์โบนาหนึ่งในบรรดาขันทีที่คอยรับใช้กษัตริย์ พูดว่า “มีตะแลงแกงสูง 50 ศอก ตั้งอยู่ข้างบ้านของฮามาน ซึ่งเขาให้สร้างขึ้นสำหรับโมร์เดคัยผู้รายงานเพื่อช่วยชีวิตกษัตริย์” 10 กษัตริย์จึงกล่าวว่า “จงแขวนคอฮามานที่นั่น” ดังนั้น พวกเขาจึงแขวนคอฮามานบนตะแลงแกงที่เขาได้เตรียมไว้สำหรับโมร์เดคัย และความโกรธกริ้วของกษัตริย์ก็คลายลง
เอสเธอร์ช่วยชีวิตของชาวยิว
8 ในวันนั้นกษัตริย์อาหสุเอรัสได้มอบบ้านของฮามานผู้เป็นศัตรูของชาวยิวให้แก่เอสเธอร์ และโมร์เดคัยมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ ด้วยว่า เอสเธอร์ได้บอกท่านว่าเขากับเธอเกี่ยวพันกันอย่างไร 2 และกษัตริย์ถอดแหวนตราที่ท่านเอาคืนมาจากฮามาน และมอบให้แก่โมร์เดคัย และเอสเธอร์แต่งตั้งให้เขามีสิทธิ์เหนือทรัพย์สินของฮามาน
3 เอสเธอร์พูดกับกษัตริย์อีก เธอก้มลงที่แทบเท้าของท่าน ทั้งร้องไห้และวิงวอนขอให้ท่านช่วยยุติแผนการชั่วร้ายที่ฮามานชาวอากัก ได้เตรียมไว้เพื่อทำลายชาวยิว 4 แล้วกษัตริย์ยื่นคทาทองไปที่เอสเธอร์ 5 เอสเธอร์จึงลุกขึ้นยืนที่เบื้องหน้าท่าน กล่าวว่า “ถ้ากษัตริย์จะโปรด และถ้าหากว่าท่านพอใจในตัวหม่อมฉัน และถ้ากษัตริย์เห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และหม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ขอท่านโปรดออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อยกเลิกจดหมายที่เป็นแผนของฮามานชาวอากักผู้เป็นบุตรของฮัมเมดาธา ซึ่งเขาเขียนขึ้นเพื่อกำจัดชาวยิวที่อยู่ในแคว้นต่างๆ ของท่าน 6 หม่อมฉันจะทนดูความหายนะที่กำลังจะเกิดแก่ชนชาติของหม่อมฉันได้อย่างไร หรือหม่อมฉันจะทนดูความพินาศของญาติพี่น้องได้อย่างไร” 7 กษัตริย์อาหสุเอรัสจึงตอบราชินีเอสเธอร์และโมร์เดคัยชาวยิวว่า “ดูเถิด เราได้มอบบ้านของฮามานให้แก่เอสเธอร์แล้ว และพวกเขาก็ได้แขวนคอเขาบนตะแลงแกงแล้ว เพราะเขาตั้งใจจะกำจัดชาวยิว 8 แต่เธอกับโมร์เดคัยจงเขียนตามที่เห็นสมควร ในเรื่องที่เกี่ยวกับชาวยิว เขียนในนามของเรา และประทับด้วยแหวนของกษัตริย์ เพราะว่ากฤษฎีกาที่ร่างในนามของกษัตริย์และประทับด้วยแหวนของกษัตริย์จะยกเลิกไม่ได้”
9 บรรดาเลขาของกษัตริย์ถูกเรียกมาในเวลานั้น ในเดือนที่สามคือเดือนสิวัน วันที่ยี่สิบสาม กฤษฎีกาถูกเขียนขึ้น ตามทุกสิ่งที่โมร์เดคัยสั่งในเรื่องที่เกี่ยวกับชาวยิว และส่งไปให้แก่บรรดาผู้ปกครองแคว้น แก่ผู้ว่าราชการ แก่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของทุกแคว้น ตั้งแต่อินเดียถึงคูช 127 แคว้น สำหรับแต่ละแคว้นตามอักษรที่ระบุไว้ และแต่ละชนชาติตามภาษา และแก่ชาวยิวตามอักษรและภาษาของพวกเขาเช่นกัน 10 และเขาเขียนในนามกษัตริย์อาหสุเอรัส และผนึกด้วยแหวนตราของกษัตริย์ และเขาส่งจดหมายไปกับบรรดาคนเดินข่าวด่วนขี่ม้าเร็วพันธุ์พิเศษของกษัตริย์ 11 จดหมายมีใจความว่า กษัตริย์อนุญาตชาวยิวที่อยู่ในทุกเมืองให้รวมตัวกันเพื่อปกป้องชีวิตของตนเอง และให้ทำลาย ฆ่า และกำจัดประชาชนหรือแคว้นใดๆ ที่ใช้กำลังโจมตีพวกเขา รวมถึงเด็กและผู้หญิง และริบสิ่งของพวกเขาได้ 12 วันที่มอบหมายให้ชาวยิวดำเนินการดังกล่าวได้ในทุกแคว้นของกษัตริย์อาหสุเอรัส เป็นวันที่สิบสามของเดือนสิบสอง คือเดือนอาดาร์ 13 สำเนาที่เขียนขึ้นก็ถูกประกาศให้ใช้เป็นกฤษฎีกาในทุกแคว้น ถูกปิดประกาศให้ทราบกันทั่วหน้าแก่ชนชาติทั้งปวง และในวันนั้นชาวยิวพร้อมที่จะต่อสู้ศัตรูของพวกเขา 14 ดังนั้น บรรดาคนเดินข่าวด่วน ขึ้นขี่ม้าเร็วพันธุ์พิเศษของกษัตริย์ รีบรุดออกไปด้วยคำบัญชาของกษัตริย์ และกฤษฎีกาถูกเขียนขึ้นในสุสาเมืองป้อมปราการ
15 แล้วโมร์เดคัยก็ลากษัตริย์ไป สวมเครื่องแต่งกายสีฟ้าและสีขาว สวมมงกุฎทองขนาดใหญ่ และเสื้อคลุมผ้าป่านเนื้อดีสีม่วง ชาวเมืองแห่งสุสาก็โห่ร้องและรื่นเริง 16 ฝ่ายชาวยิวก็มีความสุขและความยินดี ร่าเริงใจและมีเกียรติ 17 ในทุกแคว้นและทุกเมืองที่คำบัญชาของกษัตริย์และกฤษฎีกาของท่านไปถึง ที่นั่นก็มีความยินดีและร่าเริงใจในหมู่ชาวยิว มีงานเลี้ยงและเฉลิมฉลองกัน ผู้คนจำนวนมากจากบรรดาชนชาติของแผ่นดินประกาศตนว่าเป็นชนชาติยิว เนื่องจากว่า ชาวยิวทำให้พวกเขาหวาดกลัว
ชาวยิวกำจัดศัตรูของพวกเขา
9 ในวันที่สิบสามของเดือนสิบสอง คือเดือนอาดาร์ เป็นวันที่ประชาชนต้องปฏิบัติตามกฤษฎีกาที่ออกตามคำบัญชาของกษัตริย์ ซึ่งเป็นวันที่บรรดาศัตรูของชาวยิวคาดหวังว่าจะมีชัยเหนือชาวยิว แต่เป็นไปในทางตรงกันข้ามคือ บรรดาชาวยิวกลับมีชัยเหนือบรรดาผู้ที่เกลียดชังพวกเขา 2 ชาวยิวร่วมกันโจมตีบรรดาผู้ที่ต้องการกำจัดพวกเขาในเมืองต่างๆ ทั่วทุกแคว้นของกษัตริย์อาหสุเอรัส และไม่มีใครต่อต้านพวกเขาได้ เพราะบรรดาชนชาติทั้งปวงกลัวพวกเขา 3 บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของทุกแคว้น ผู้ปกครองแคว้น บรรดาผู้ว่าราชการ และผู้บริหารงานของกษัตริย์ก็ช่วยชาวยิว เพราะพวกเขาหวาดกลัวโมร์เดคัย 4 โมร์เดคัยเป็นใหญ่ในราชวัง เขาเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกแคว้น และชายที่ชื่อโมร์เดคัยมีอำนาจมากยิ่งขึ้น 5 ชาวยิวใช้ดาบโจมตีศัตรูของตน ฆ่าและกำจัดพวกเขา และกระทำต่อคนที่เกลียดพวกเขาตามใจชอบ 6 เพียงแต่ในสุสาเมืองป้อมปราการ ชาวยิวได้ฆ่าและกำจัดชาย 500 คน 7 และได้ฆ่าปาร์ชันดาธา ดาลโฟน อัสปาธา 8 โปราธา อาดัลยา อารีดาธา 9 ปาร์มชทา อารีสัย อารีดัย และไวซาธา 10 คือบุตรชายทั้งสิบของฮามานบุตรของฮัมเมดาธาศัตรูของชาวยิว แต่พวกเขาไม่ได้ริบข้าวของไป
11 ในวันนั้น กษัตริย์ได้รับรายงานจำนวนของพวกที่ถูกฆ่าในสุสาเมืองป้อมปราการ 12 กษัตริย์กล่าวกับราชินีเอสเธอร์ว่า “ชาวยิวได้ฆ่าและกำจัดชาย 500 คน กับบุตรชายทั้งสิบของฮามานในสุสาเมืองป้อมปราการ และพวกเขาได้ทำอะไรบ้างในแคว้นอื่นๆ ของเรา บัดนี้ เธออยากได้อะไร เธอก็จะได้ และเธอจะขออะไรอีก เธอก็จะได้รับ” 13 เอสเธอร์ตอบว่า “ถ้าจะเป็นที่พอใจของกษัตริย์ พรุ่งนี้ขอให้ชาวยิวในสุสาได้รับอนุญาตปฏิบัติตามกฤษฎีกาของวันนี้ และแขวนคอบุตรทั้งสิบของฮามานบนตะแลงแกงเถิด” 14 กษัตริย์จึงบัญชาให้ทำตามนั้น กฤษฎีกาออกในสุสา บุตรชายทั้งสิบของฮามานก็ถูกแขวนคอ 15 บรรดาชาวยิวที่อยู่ในสุสาร่วมกันฆ่าชาย 300 คนในสุสาในวันที่สิบสี่ของเดือนอาดาร์ แต่พวกเขาไม่ได้ริบข้าวของไป
16 ส่วนชาวยิวที่เหลือในแคว้นอื่นๆ ของกษัตริย์ ก็ได้ร่วมกันปกป้องชีวิตของตน และพ้นจากการรังควานของพวกศัตรูของเขา และฆ่าคน 75,000 คนที่เกลียดชังพวกเขา แต่พวกเขาไม่ได้ริบข้าวของไป 17 สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในวันที่สิบสามของเดือนอาดาร์ และในวันที่สิบสี่ พวกเขาหยุดพักและจัดให้เป็นวันที่มีงานเลี้ยงและวันยินดี 18 ฝ่ายชาวยิวที่อยู่ในสุสาก็ปฏิบัติร่วมกันในวันที่สิบสามและสิบสี่ และหยุดพักในวันที่สิบห้า จัดวันนั้นให้เป็นวันที่มีงานเลี้ยงและวันยินดี 19 ฉะนั้น ชาวยิวจากหมู่บ้านที่อาศัยอยู่ในชนบทใช้วันที่สิบสี่ของเดือนอาดาร์ เป็นวันยินดีและมีงานเลี้ยงเช่นวันหยุด และเป็นวันที่พวกเขามอบอาหารเป็นของขวัญให้แก่กันและกัน[e]
งานเลี้ยงฉลองวันปูริม
20 โมร์เดคัยบันทึกเรื่องเหล่านี้ และส่งจดหมายถึงชาวยิวทั้งปวงที่อยู่ในทุกแคว้นของกษัตริย์อาหสุเอรัส ทั้งใกล้และไกล 21 เพื่อให้พวกเขาร่วมกันถือวันที่สิบสี่และวันที่สิบห้าของเดือนอาดาร์ เป็นประจำทุกปี 22 เป็นวันที่ชาวยิวพ้นภัยจากศัตรูของพวกเขา และเป็นเดือนที่เปลี่ยนจากความเศร้าเป็นความยินดี และจากวันไว้อาลัยเป็นวันฉลอง พวกเขาตั้งให้เป็นวันแห่งงานเลี้ยงและความยินดี วันมอบอาหารเป็นของขวัญให้แก่กันและกัน และมอบของขวัญให้แก่คนยากไร้
23 ดังนั้น ชาวยิวเห็นด้วยที่จะรักษาวันฉลองเหมือนที่เริ่มกระทำมาแล้ว และกระทำตามสิ่งที่โมร์เดคัยได้เขียนถึงพวกเขา 24 เพราะฮามานชาวอากักบุตรของฮัมเมดาธา ผู้เป็นศัตรูของชาวยิวทั้งปวง เขาได้วางแผนต่อต้านชาวยิวเพื่อกำจัดพวกเขา และได้จับฉลากซึ่งเรียกว่า “ปูร์” เพื่อเจาะจงหาวันที่จะทำลายและกำจัดพวกเขา 25 แต่เมื่อเรื่องเป็นที่ทราบของกษัตริย์ ท่านออกคำสั่งเป็นตัวอักษรว่า แผนการชั่วร้ายของเขาที่มีต่อชาวยิวนั้นควรกลับไปลงโทษตัวเขาเอง และฮามานกับบรรดาบุตรชายของเขาควรถูกแขวนคอบนตะแลงแกง 26 ฉะนั้น พวกเขาจึงเรียกวันนั้นว่า ปูริม ตามคำเรียก “ปูร์” ฉะนั้น เป็นเพราะทุกสิ่งที่เขียนในจดหมายนี้ และเพราะสิ่งที่พวกเขาได้เผชิญรวมไปถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับพวกเขา 27 บรรดาชาวยิว ผู้สืบเชื้อสายของพวกเขา และทุกคนที่ร่วมกันกับพวกเขา ต่างก็หมั่นปฏิบัติรักษาทั้ง 2 วันนี้ ตามเรื่องที่เขียนไว้โดยไม่เว้น และตามเวลาที่กำหนดไว้ของทุกปี 28 วันดังกล่าวควรจะเป็นที่จดจำและรักษาตลอดทุกชั่วอายุคน ทุกตระกูล แคว้น และเมือง และไม่ควรหยุดฉลองวันปูริมในหมู่ชาวยิวเป็นอันขาด และบรรดาลูกหลานไม่ควรหยุดระลึกถึงเหตุการณ์นี้ตลอดไป
29 ราชินีเอสเธอร์บุตรหญิงของอาบีฮาอิล กับโมร์เดคัยชาวยิวก็ได้เขียนมอบอำนาจเป็นทางการ เพื่อรับรองจดหมายฉบับที่สองนี้เรื่องวันปูริม 30 จดหมายถูกส่งไปยังชาวยิวทั้งปวงใน 127 แคว้นของกษัตริย์อาหสุเอรัส ด้วยคำพูดแห่งสันติสุขและความจริง 31 คือวันปูริมนี้ควรรักษาตามกาลเวลาที่กำหนดไว้ ตามที่โมร์เดคัยชาวยิวและราชินีเอสเธอร์ร่วมกระทำการให้มีวันนี้ตั้งขึ้นมาได้ ทั้งสองและบรรดาผู้สืบเชื้อสายได้มีส่วนในการอดอาหารและร้องคร่ำครวญ 32 สิ่งที่ราชินีเอสเธอร์ขอให้มีในกฤษฎีกานั้นระบุอย่างชัดเจนเกี่ยวกับวันปูริม ซึ่งมีการบันทึกไว้แล้ว
ความดีของโมร์เดคัย
10 กษัตริย์อาหสุเอรัสกำหนดเก็บภาษีที่ดินทั่วทั้งแผ่นดิน รวมถึงแถบชายฝั่งทะเลด้วย 2 กิจการทั้งสิ้นและความสำเร็จด้านยุทธการ และทุกสิ่งที่เป็นเกียรติอันสูงส่งที่โมร์เดคัยกระทำ ซึ่งกษัตริย์ได้ยกย่องเขา ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งมีเดียและเปอร์เซียมิใช่หรือ 3 โมร์เดคัยชาวยิวเป็นที่สองรองจากกษัตริย์อาหสุเอรัส ชาวยิวนับถือเขาเป็นอย่างสูง และเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่พี่น้องชาวยิวจำนวนมาก เพราะเขากระทำสิ่งดีๆ เพื่อประชาชนของเขา และด้วยคำพูดซึ่งนำความสันติสุขมายังบรรดาผู้สืบเชื้อสายทั้งปวง
อุปนิสัยและความมั่งมีของโยบ
1 ในแผ่นดินอูสมีชายคนหนึ่งชื่อ โยบ ชายคนนี้มีความชอบธรรมและไร้ข้อตำหนิ เขาเกรงกลัวพระเจ้า และหลีกเลี่ยงการทำความชั่ว 2 เขามีบุตรชาย 7 คน และบุตรหญิง 3 คน 3 เขาเป็นเจ้าของแกะ 7,000 ตัว อูฐ 3,000 ตัว โค 500 คู่ และลาตัวเมีย 500 ตัว เขามีผู้รับใช้มากมาย และเป็นชายที่มั่งมีที่สุดในบรรดาชาวตะวันออกทั้งปวง 4 บุตรชายของเขามักจะผลัดกันจัดงานเลี้ยงที่บ้านของตน และจะเชิญน้องสาวทั้งสามคนให้มารับประทานและดื่มด้วยกัน 5 เมื่องานเลี้ยงฉลองของบุตรเสร็จสิ้นครั้งใด โยบจะทำพิธีชำระตัวเพื่อให้บุตรบริสุทธิ์ เขาจะลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย ตามจำนวนบุตรของเขาทุกคน เพราะโยบพูดว่า “ลูกๆ ของเราอาจจะกระทำบาปและแช่งพระเจ้าในใจ” โยบปฏิบัติเช่นนี้เสมอมา
โยบถูกทดสอบครั้งแรก
6 อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อบรรดาบุตรของพระเจ้า[f]มาเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า และซาตานก็เข้ามาด้วย 7 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาตานว่า “เจ้าไปทำอะไรที่ไหนมา” ซาตานตอบพระผู้เป็นเจ้าว่า “ไปๆ มาๆ และเดินขึ้นเดินลงบนโลก” 8 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาตานว่า “เจ้าสังเกตโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ไม่มีใครในโลกที่เหมือนกับเขา เป็นคนที่มีความชอบธรรมและไร้ข้อตำหนิ เขาเกรงกลัวพระเจ้า และหลีกเลี่ยงการทำความชั่ว” 9 ซาตานตอบพระผู้เป็นเจ้าว่า “โยบเกรงกลัวพระเจ้าโดยไม่มีเหตุจูงใจอย่างนั้นหรือ 10 พระองค์ไม่ได้ปกป้องตัวเขาและครัวเรือนของเขา รวมทั้งทุกสิ่งที่เขามีในทุกด้านหรือ พระองค์ได้ให้พรในสิ่งที่เขาลงมือทำ และทรัพย์สมบัติของเขาเพิ่มพูนขึ้นในแผ่นดิน 11 แต่ถ้าพระองค์ยื่นมือของพระองค์ออกและแตะต้องทุกสิ่งที่เขามี เขาก็จะแช่งพระองค์ซึ่งๆ หน้า” 12 พระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวกับซาตานว่า “ดูเถิด เราให้ทุกสิ่งที่เป็นของเขาอยู่ในมือของเจ้า แต่อย่ายื่นมือของเจ้าแตะต้องตัวเขา” ดังนั้น ซาตานจึงไปจากเบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า
ซาตานเอาทรัพย์สินและบุตรไปจากโยบ
13 อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่บุตรชายบุตรหญิงกำลังรับประทานและดื่มเหล้าองุ่นที่บ้านพี่ชายคนหัวปี 14 มีผู้ส่งข่าวคนหนึ่งมาหาโยบ และแจ้งว่า “ขณะที่โคกำลังไถนา และลากำลังเล็มหญ้าอยู่ใกล้ๆ 15 พวกเช-บาก็มาทำร้ายและต้อนพวกมันไป และฆ่าฟันพวกผู้รับใช้ ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวที่รอดมาแจ้งให้ท่านทราบ” 16 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็มีอีกคนมาบอกว่า “ไฟของพระเจ้าตกลงมาจากท้องฟ้า เผาไหม้แกะและพวกผู้รับใช้ ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวที่รอดมาแจ้งให้ท่านทราบ” 17 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็มีอีกคนมาบอกว่า “พวกเคลเดียตั้งโจรขึ้น 3 กลุ่ม และมาปล้นอูฐ ฆ่าฟันพวกผู้รับใช้ ข้าพเจ้าคนเดียวที่รอดมาแจ้งให้ท่านทราบ” 18 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็มีอีกคนมาบอกว่า “บุตรชายบุตรหญิงของท่านกำลังรับประทานและดื่มเหล้าองุ่นอยู่ที่บ้านพี่ชายคนหัวปีของพวกเขา 19 ดูเถิด ลมพายุพัดผ่านถิ่นทุรกันดาร และโหมกระหน่ำลงที่บ้านทั้ง 4 ด้าน จนบ้านพังทับพวกเขา ทุกคนตายหมด ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวที่รอดมาแจ้งให้ท่านทราบ”
20 ครั้นแล้ว โยบก็ลุกขึ้นฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะและหมอบลงที่พื้นและนมัสการ 21 เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าออกจากครรภ์มารดาตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้ และพระผู้เป็นเจ้าได้เอาคืนไป สรรเสริญพระนามของพระผู้เป็นเจ้า”
22 จากเหตุการณ์เหล่านี้ โยบไม่ได้ทำบาปหรือกล่าวโทษพระเจ้าเลย
ซาตานทำลายสุขภาพของโยบ
2 อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อบรรดาบุตรของพระเจ้า[g]มาเข้าเฝ้า ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และซาตานก็มาด้วย เพื่อมาเข้าเฝ้า ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 2 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาตานว่า “เจ้าไปทำอะไรที่ไหนมา” ซาตานตอบพระผู้เป็นเจ้าว่า “ไปๆ มาๆ และเดินขึ้นเดินลงบนโลก” 3 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาตานว่า “เจ้าสังเกตโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ไม่มีใครในโลกที่เหมือนกับเขา เป็นคนที่มีความชอบธรรมและไร้ข้อตำหนิ เขาเกรงกลัวพระเจ้า และหลีกเลี่ยงการทำความชั่ว เขายังซื่อตรงไม่โลเล แม้ว่าเจ้าจะยุให้เราต่อต้านเขา เพื่อทำลายเขาอย่างไร้สาเหตุ” 4 ซาตานตอบพระผู้เป็นเจ้าว่า “ผิวหนังแลกกับผิวหนัง ทุกสิ่งที่ชายคนหนึ่งมี เขาก็จะยกให้ได้เพื่อแลกกับชีวิตตนเอง 5 แต่ถ้าพระองค์ยื่นมือของพระองค์ออก และแตะต้องกระดูกของเขาและเนื้อหนังของเขา เขาก็จะแช่งพระองค์ซึ่งๆ หน้า” 6 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาตานว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในกำมือของเจ้า แต่จงไว้ชีวิตของเขา”
7 ดังนั้น ซาตานจึงไปจากพระผู้เป็นเจ้า และทำให้โยบรับทุกข์ทรมานจากฝีร้ายแรงตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อม 8 โยบใช้เศษดินเผาขูดผิวตัวเองขณะที่นั่งในกองขี้เถ้า
9 ภรรยาของเขาพูดกับเขาว่า “ท่านยังจะมั่นคงในความเชื่ออยู่อีกหรือ แช่งพระเจ้าและไปตายเสีย” 10 แต่เขาตอบนางว่า “เธอพูดแบบผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่ง เราจะรับสิ่งดีๆ จากพระเจ้า และจะไม่ยอมรับสิ่งร้ายๆ หรือ” จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โยบไม่ได้พูดสิ่งใดที่เป็นบาปเลย
เพื่อนสามคนของโยบ
11 ครั้นเพื่อนสามคนของโยบทราบเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับโยบ พวกเขาต่างก็มาจากบ้านของตน เอลีฟัสชาวเทมาน บิลดัดชาวชูอัค และโศฟาร์ชาวนาอามาธ พวกเขานัดกันมา เพื่อแสดงความเห็นใจและให้กำลังใจเขา 12 เมื่อพวกเขาเห็นโยบแต่ไกลก็จำเขาไม่ได้ พวกเขาจึงส่งเสียงร้องไห้ ฉีกเสื้อคลุมของตนและซัดฝุ่นผงลงบนหัวตลบขึ้นสู่ท้องฟ้า 13 พวกเขานั่งบนพื้นดินอยู่กับโยบนานถึง 7 วัน 7 คืน ไม่มีใครพูดอะไรกับเขาสักคำเดียว เพราะพวกเขาเห็นว่าเขากำลังทุกข์ทรมานมากเหลือเกิน
โยบร้องคร่ำครวญ
3 ต่อมาโยบก็เริ่มพูดและแช่งวันที่เขาเกิดมา 2 โยบกล่าวว่า
3 “ให้วันที่ฉันเกิดมาจงพินาศดับไป
และคืนที่พูดว่า ‘ตั้งครรภ์เป็นเด็กผู้ชาย’
4 ขอให้วันนั้นเป็นความมืด
ขอพระเจ้าเบื้องบนไม่นึกถึงวันนั้น
และไม่มีแสงส่องในวันนั้น
5 ขอให้ความมืดและเงาแห่งความตายอ้างสิทธิยึดวันนั้น
ขอให้ก้อนเมฆปกคลุม
ขอให้ความมืดของวันนั้นทำให้น่ากลัวมาก
6 ในคืนนั้น ขอให้ความมืดมิดยึดเอาวันนั้นไป
อย่าให้คืนนั้นรวมเข้ากับวันอื่นๆ ของปี
หรือรวมอยู่ในเดือนใดๆ
7 ดูเถิด ขอให้คืนนั้นอย่ามีใครตั้งครรภ์เลย
อย่าให้มีเสียงยินดีเปล่งขึ้นในคืนนั้น
8 ให้พวกที่สาปแช่งวันเวลา สาปแช่งวันนั้น
ซึ่งพร้อมจะปลุกตัวเหรา[h]ขึ้นมา
9 ขอให้ดวงดาวยามย่ำรุ่งมืดไปเสีย
ให้มันหวังในแสงสว่าง แต่ก็ไม่ได้รับ
และไม่เห็นแสงอรุณรุ่ง
10 เพราะคืนนั้นไม่ได้ปิดประตูครรภ์มารดาของฉัน
และไม่ได้ซ่อนความยากลำบากจากดวงตาของฉัน
11 ทำไมฉันจึงไม่ตายตอนเกิดออกจากครรภ์
แล้วก็ล่วงลับไป
12 ทำไมรับฉันขึ้นไว้บนเข่า
หรือว่า ทำไมอกแม่จึงได้เลี้ยงนมฉัน
13 ฉันควรจะได้นอนแน่นิ่ง
ฉันควรจะนอนหลับ แล้วฉันก็คงจะได้หยุดพัก
14 ร่วมกับบรรดากษัตริย์หรือที่ปรึกษาของแผ่นดินในโลก
ผู้ได้สร้างที่อยู่สำหรับตัวเอง และบัดนี้ ก็กลายเป็นสถานที่ร้าง
15 หรือกับบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่เคยมีทองคำ
และสะสมเงินไว้เต็มบ้านของตน
16 หรือทำไมฉันจึงไม่เป็นเด็กที่เกิดไม่ตรงตามกำหนดซึ่งถูกนำไปฝังไว้
อย่างเช่นเด็กอ่อนที่ไม่เคยเห็นแสงสว่าง
17 อันเป็นที่ซึ่งคนชั่วหยุดก่อความวุ่นวาย
เป็นที่ซึ่งคนเหนื่อยอ่อนได้พักผ่อน
18 อันเป็นที่ซึ่งบรรดานักโทษอยู่ด้วยกันอย่างสบายใจ
พวกเขาไม่ได้ยินเสียงตะคอกของผู้คุมทาส
19 ผู้น้อยและผู้ใหญ่ก็อยู่ที่นั่น
และบรรดาทาสเป็นอิสระจากเจ้านายของเขา
20 ทำไมจึงให้คนที่อยู่ในความทุกข์มีชีวิตอยู่ต่อไป
และทำไมชีวิตจึงยังอยู่กับคนที่มีจิตวิญญาณอันขมขื่น
21 กับคนที่แสวงหาความตายแต่ก็ไม่พบ
และขุดหามันยิ่งกว่าหาสมบัติที่ซ่อนไว้
22 พวกเขายินดียิ่งนัก
และดีใจเมื่อพบหลุมฝังศพ
23 ทำไมจึงให้ความสว่างแก่วิถีทาง
ซึ่งถูกซ่อนเร้นไปจากเขาแล้ว
พระเจ้าได้ปิดกั้นเขาไว้
24 ด้วยว่าฉันถอนใจเมื่อถึงเวลาอาหาร
และการคร่ำครวญก็เทออกดั่งน้ำ
25 ด้วยว่าสิ่งที่ฉันหวั่นกลัวก็เกิดขึ้นกับฉัน
และสิ่งที่ฉันหวั่นหวาดก็ตกอยู่กับฉัน
26 ฉันไม่สบายใจและไม่อาจอยู่นิ่ง
ฉันพักผ่อนไม่ได้ ความยากลำบากถาโถมเข้ามาถึงตัวฉัน”
เอลีฟัสพูด: คนไร้ความผิดจะรุ่งเรือง
4 เอลีฟัสชาวเทมานตอบว่า
2 “ถ้าใครสักคนจะลองพูดกับท่านสักคำ ท่านจะทนไหวหรือ
แต่ใครจะอดพูดได้
3 ดูเถิด ท่านได้สั่งสอนคนหลายคน
และท่านช่วยมือของคนอ่อนแอให้มีกำลัง
4 คำพูดของท่านได้เป็นกำลังใจแก่ผู้ที่กำลังสะดุด
และท่านได้ให้พลังแก่หัวเข่าที่อ่อนล้า
5 แต่บัดนี้ มันมาถึงตัวท่านแล้ว และท่านก็ไร้ความอดทน
พอมันแตะต้องท่าน ท่านก็ท้อใจ
6 ความยำเกรงพระเจ้าเป็นความมั่นใจของท่าน
และความซื่อตรงในวิถีชีวิตก็เป็นความหวังของท่าน มิใช่หรือ
7 พิจารณาดูเถิดว่า ใครบ้างที่ไร้ความผิด แล้วพินาศดับลง
หรือผู้มีความชอบธรรมถูกทอดทิ้งที่ใดบ้าง
8 ตามที่ฉันเคยเห็นมาแล้ว พวกที่ไถความผิดบาป
และหว่านความทุกข์ยากก็จะได้เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น
9 พวกเขาตายไปด้วยลมหายใจของพระเจ้า
และพวกเขาดับสิ้นไปด้วยความโกรธของพระองค์ที่ระเบิดออกมา
10 เสียงคำรามของสิงโต เสียงขู่ของสิงโตดุร้าย
ฟันของสิงโตหนุ่มถูกหัก
11 สิงโตที่แข็งแรงตายไปเพราะขาดเหยื่อ
และลูกๆ ของแม่สิงโตก็กระจัดกระจายไป
12 มีข้อความมาถึงฉันอย่างเงียบๆ
หูฉันได้ยินเสียงกระซิบข้อความนั้น
13 มันมาขณะที่ฉันฝันร้าย
เวลาคนหลับสนิท
14 ฉันหวาดหวั่นและตัวสั่นเทา
ทำให้กระดูกทุกท่อนสั่นตามไปด้วย
15 มีลมโชยผ่านใบหน้าฉัน
ทำให้ฉันขนลุกขนพอง
16 สิ่งหนึ่งไม่ไหวติง
แต่ฉันดูไม่ออกว่าเป็นอะไร
ร่างหนึ่งอยู่ตรงหน้าฉัน มีแต่ความเงียบ
และแล้วฉันก็ได้ยินเสียง
17 ‘มนุษย์จะมีความชอบธรรม ณ เบื้องหน้าพระเจ้าได้หรือ
มนุษย์จะบริสุทธิ์ ณ เบื้องหน้าองค์ผู้สร้างของเขาได้หรือ
18 แม้แต่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ในสวรรค์ พระองค์ก็ยังไม่ไว้วางใจ
แม้แต่บรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ พระองค์ก็ยังพบว่าพวกเขามีความผิด
19 แล้วบรรดาผู้พำนักในกายที่ทำขึ้นจากดิน
ซึ่งรากฐานของเขาอยู่ในธุลีดิน
ผู้ที่ถูกบี้อย่างแมลงเม่า
20 พวกเขาถูกฟันเป็นชิ้นๆ ตั้งแต่อรุณรุ่งจนพลบค่ำ
พวกเขาตายไปชั่วนิรันดร์โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
21 สมบัติที่เขายึดเหนี่ยวไว้ถูกพรากไปจากเขามิใช่หรือ
พวกเขาตายโดยปราศจากสติปัญญามิใช่หรือ’
5 ร้องเรียกเถิด มีใครจะตอบท่านไหม
ท่านจะหันขอความช่วยเหลือจากทูตสวรรค์องค์ไหน
2 ความโกรธของคนโง่ฆ่าตัวเขาเองอย่างแน่นอน
และความอิจฉาฆ่าคนเขลา
3 ฉันเคยเห็นคนโง่มั่งมีขึ้น
แต่ฉันสาปแช่งที่ที่เขาอาศัยอยู่
4 พวกลูกๆ ของเขาไม่ได้อยู่อย่างปลอดภัย
พวกเขาถูกเหยียบย่ำที่ประตูเมือง และไม่มีใครคุ้มครองเขาให้รอดได้
5 คนหิวโหยกินผลจากไร่นาของเขา
แม้จะเป็นเมล็ดที่ติดในกอหนาม
และคนกระหายก็กระหืดกระหอบเอาความมั่งมีของเขาไป
6 เพราะความทุกข์ทรมานไม่ได้มาจากธุลีดิน
และความลำบากไม่ได้งอกจากพื้นดิน
7 ด้วยว่ามนุษย์ที่เกิดมามักจะเผชิญกับความยุ่งยาก
ดั่งลูกไฟที่พวยพุ่งขึ้นสู่เบื้องบน
8 ถ้าเป็นฉันเอง ฉันจะแสวงหาพระเจ้า
และฉันจะร้องทุกข์ต่อพระเจ้า
9 ผู้กระทำสิ่งอันยิ่งใหญ่และยากที่จะเข้าใจได้
สิ่งวิเศษอันนับไม่ถ้วน
10 พระองค์ให้ฝนโปรยลงสู่โลก
และให้ทุ่งนาได้รับน้ำ
11 พระองค์ให้ผู้ที่ต่ำต้อยได้ขึ้นไปอยู่ในที่สูง
และบรรดาผู้ที่เศร้าโศกก็ได้รับความยินดี
12 พระองค์ทำให้คนเจ้าเล่ห์กระวนกระวายกับแผนของเขา
เขาจึงไม่ประสบผลสำเร็จ
13 พระองค์จับผู้เรืองปัญญาด้วยกับดักของพวกเขาเอง
และแผนการของคนคดโกงก็ยุติอย่างรวดเร็ว
14 พวกเขาพบกับความมืดในเวลากลางวัน
และคลำหาทางในตอนเที่ยงวันดั่งว่าเป็นกลางคืน
15 แต่พระองค์ช่วยผู้ยากไร้จากความตายอันเกิดจากผู้มีอำนาจ
และจากมือของผู้มีอานุภาพ
16 ดังนั้นผู้ขัดสนจึงมีความหวัง
และทำให้ผู้ไร้ความยุติธรรมต้องหยุดชะงัก
17 ดูเถิด ผู้ที่พระเจ้าตักเตือนว่ากล่าวก็เป็นสุข
ฉะนั้น อย่าดูหมิ่นวินัยขององค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ
18 เพราะพระองค์ทำให้บาดเจ็บ แต่พระองค์พันบาดแผลให้
พระองค์ทำให้เจ็บตัว แต่มือของพระองค์รักษา
19 พระองค์จะช่วยท่านให้พ้นจากความทุกข์ร้อน 6 ประการ
แม้สิ่งเลวร้าย 7 ประการก็จะไม่แตะต้องตัวท่าน
20 พระองค์จะช่วยท่านให้รอดจากความตายอันเกิดจากทุพภิกขภัย
และจากอำนาจของพลังดาบในศึกสงคราม
21 ท่านจะได้รับการปกป้องจากคำพูดใส่ร้าย
และจะไม่กลัวความหายนะเมื่อมันมาถึงตัว
22 ท่านจะสบประมาทความหายนะและทุพภิกขภัย
และจะไม่กลัวพวกสัตว์ป่า
23 เพราะก้อนหินในนาจะไม่เป็นปัญหาสำหรับท่าน
และสัตว์ป่าในไร่จะไม่รบกวนท่าน
24 ท่านจะทราบว่ากระโจมของท่านจะปลอดภัย
ท่านตรวจตราทรัพย์สินและพบว่าไม่ขาดหายไป
25 ท่านจะทราบด้วยว่าท่านจะมีลูกหลานมากมาย
และบรรดาผู้สืบเชื้อสายของท่านจะเป็นดั่งหญ้าที่งอกแผ่ไปทั่วโลก
26 ท่านจะสิ้นชีวิตก็ตอนแก่เฒ่า
ดั่งฟ่อนข้าวที่ถูกเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล
27 ดูเถิด พวกเราได้ศึกษาอย่างรอบคอบแล้ว มันเป็นความจริง
ขอท่านฟังเถิด จะได้ทราบไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่าน”
โยบตอบ: บ่นตามความเห็น
6 โยบตอบว่า
2 “โอ หากว่าได้ชั่งความเจ็บปวดรวดร้าวของฉัน
และแขวนความวิบัติของฉันทั้งหมดไว้บนตราชู
3 แล้วมันก็จะหนักกว่าทรายในทะเล
ฉะนั้น ฉันจึงไม่ได้ยับยั้งคำพูด
4 เพราะลูกศรขององค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพอยู่ในตัวฉัน
จิตวิญญาณของฉันดื่มพิษลูกศร
ความน่ากลัวจากพระเจ้าเรียงแถวเข้าต่อต้านฉัน
5 เมื่อลาป่ามีหญ้ากิน หรือโคมีฟางกิน
แล้วมันจะส่งเสียงร้องไหม
6 สิ่งที่ไม่มีรสชาติจะกินลงหรือ ถ้าไม่ใส่เกลือ
หรือไข่ขาวจะมีรสชาติอะไร
7 ฉันไม่อยากลิ้มรสของเหล่านั้น
มันทำให้ฉันสะอิดสะเอียน
8 ฉันอยากได้รับสิ่งที่ฉันขอ
และพระเจ้าจะให้ฉันสมหวัง
9 ให้พระเจ้าปราบฉันเพื่อความพอใจของพระองค์
พระองค์จะปล่อยมือของพระองค์ และฆ่าฉันเสีย
10 นี่แหละจะทำให้ฉันสบายใจ
ฉันยังจะยินดีในความเจ็บปวดอันสุดจะทน
เพราะฉันไม่ได้ปฏิเสธคำกล่าวขององค์ผู้บริสุทธิ์
11 พละกำลังของฉันเป็นเช่นไร ที่ทำให้ฉันควรจะทนรอต่อไปอีก
และจุดจบของฉันเป็นเช่นไรที่ทำให้ฉันควรจะอดทน
12 พละกำลังของฉันเป็นพลังดั่งหิน
หรือกายของฉันเป็นทองสัมฤทธิ์อย่างนั้นหรือ
13 ฉันจะช่วยตัวเองได้หรือ
ในเมื่อฉันหมดสิ้นทุกสิ่งแล้ว
14 ผู้ที่ไร้ความกรุณาต่อเพื่อนของเขา
หามีความเกรงกลัวต่อองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพไม่
15 เพื่อนๆ ของฉันเป็นเหมือนกระแสน้ำที่พึ่งพาไม่ได้
เหมือนกระแสลำธารที่พัดผ่านไป
16 ซึ่งดำมืดเพราะน้ำแข็งปกคลุม
และหิมะก็ซ่อนตัวเองไว้
17 เมื่อละลาย มันก็หายหมดไป
เมื่ออากาศร้อน มันก็หายไปจากที่ของมัน
18 กองคาราวานหันจากทิศทางที่ตนเดิน
พวกเขาขึ้นไปในถิ่นทุรกันดารแล้วก็ตายไป
19 กองคาราวานจากเท-มามองหาน้ำ
พวกนักเดินทางจากเช-บามีความหวัง
20 พวกเขาอับอาย เพราะพวกเขามั่นใจ
พวกเขาไปยังที่นั่น แต่ก็ผิดหวัง
21 เพราะบัดนี้ท่านเป็นเหมือนลำธารพวกนั้น
ท่านเห็นความหายนะของฉัน แล้วท่านก็กลัว
22 ฉันพูดแล้วรึว่า ‘ช่วยฉันหน่อย’
หรือฉันพูดว่า ‘ช่วยจ่ายค่าสินบนเพื่อขอความช่วยเหลือให้แก่ฉัน’
23 หรือฉันพูดว่า ‘ช่วยฉันให้หลุดพ้นจากมือศัตรู’
หรือ ‘ไถ่ฉันจากมือของคนทารุณ’
24 สอนฉันด้วยเถิด ฉันจะได้นิ่งเงียบเสีย
ช่วยให้ฉันเข้าใจว่าฉันเดินผิดทางไปได้อย่างไร
25 คำพูดที่ซื่อตรงช่างมีพลัง
แต่คำโต้เถียงของท่านพิสูจน์อะไรได้หรือ
26 ท่านคิดว่า ท่านจะตักเตือนว่ากล่าวฉัน เมื่อท่านเห็นว่า
คนสิ้นหวังพูดลมๆ แล้งๆ อย่างนั้นหรือ
27 ท่านจับฉลากเป็นการตัดสินเลือกเด็กกำพร้าพ่อ
และท่านต่อรองซื้อขายเพื่อนของท่านเหมือนสินค้า
28 แต่บัดนี้ จงมองฉันให้ดีๆ เถิด
เพราะฉันจะไม่โกหกท่าน
29 คิดทบทวนดูเถิด ขอให้ท่านมีความยุติธรรม
คิดทบทวนบัดนี้ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด
30 มีอะไรที่อยุติธรรมในคำพูดของฉันหรือ
ฉันไม่รู้รสของความวิบัติหรอกหรือ
โยบพูดต่อไป: ไม่มีความหวังในชีวิต
7 มนุษย์ไม่ได้ถูกเกณฑ์ให้ทำงานหนักในโลกหรือ
และชีวิตของเขาเหมือนกับชีวิตของคนรับจ้างมิใช่หรือ
2 เหมือนกับทาสที่คอยหาร่มเงา
และเหมือนกับคนรับจ้างที่รอคอยค่ารับจ้าง
3 ฉันเผชิญกับความว่างเปล่าเดือนแล้วเดือนเล่า
และฉันถูกกำหนดให้พบกับความทุกข์คืนแล้วคืนเล่า
4 เมื่อฉันนอนลง ฉันพูดว่า ‘เมื่อไหร่ฉันจะลุกขึ้น’
แต่กลางคืนก็ยาวนาน และฉันพลิกตัวไปมาจนถึงรุ่งอรุณ
5 ร่างกายของฉันมีหนอนและผงธุลีเกาะติด
ผิวกร้านและแผลปริ
6 วันเวลาของฉันผ่านรวดเร็วกว่ากระสวยของช่างทอผ้า
และวันก็สิ้นสุดลงอย่างสิ้นหวัง
7 ขอพระองค์ระลึกเถิดว่า ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นเพียงลมหายใจ
ดวงตาของข้าพเจ้าจะไม่มีวันเห็นสิ่งดีๆ อีก
8 ดวงตาของพระองค์ที่เห็นข้าพเจ้าจะไม่เห็นข้าพเจ้าอีกต่อไป
ขณะที่ดวงตาของพระองค์มองดูข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไม่มีชีวิตอีกแล้ว
9 ขณะที่เมฆจางและเลือนหายไปฉันใด
คนที่ลงไปยังแดนคนตายก็จะไม่กลับขึ้นมาฉันนั้น
10 เขาไม่กลับไปยังบ้านของเขาอีกต่อไป
ที่ของเขาก็ไม่รู้จักเขาอีกเช่นกัน
11 ฉะนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ยั้งปากข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะพูดจากความเจ็บปวดรวดร้าวของวิญญาณข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะบ่นจากความขมขื่นของจิตวิญญาณข้าพเจ้า
12 ข้าพเจ้าเป็นทะเลหรือมังกรทะเล
พระองค์จึงต้องเฝ้าข้าพเจ้าไว้
13 เมื่อข้าพเจ้าพูดว่า ‘เตียงของข้าพเจ้าจะปลอบโยนข้าพเจ้า
ที่เอนกายของข้าพเจ้าจะช่วยทุเลาการพร่ำบ่น’
14 ครั้นแล้วพระองค์ก็ทำให้ข้าพเจ้ากลัวด้วยความฝัน
และทำให้ข้าพเจ้าตกใจด้วยภาพนิมิต
15 ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะให้คนรัดคอตาย
มากกว่าที่จะยังอยู่ในร่างเช่นนี้
16 ข้าพเจ้าเกลียดชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ไปตลอดกาล
ปล่อยข้าพเจ้าตามลำพังเถิด เพราะชีวิตข้าพเจ้าเป็นเพียงลมหายใจ
17 มนุษย์เป็นผู้ใด ที่พระองค์เห็นความสำคัญนัก
และพระองค์ต้องเอาใจใส่ด้วย
18 พระองค์จึงไปเยี่ยมเขาทุกเช้า
และทดสอบเขาทุกขณะ
19 พระองค์จะไม่ละสายตาไปจากข้าพเจ้าบ้างเลย
หรือจะไม่ปล่อยข้าพเจ้าตามลำพังแม้เพียงเสี้ยววินาทีหรือ
20 ถ้าหากว่าข้าพเจ้ากระทำบาป ข้าพเจ้าส่งผลกระทบต่อพระองค์อย่างไรหรือ
โอ องค์ผู้เฝ้าดูมนุษย์
ทำไมพระองค์จึงทำให้ข้าพเจ้าเป็นเป้าหมายของพระองค์
ทำไมข้าพเจ้าจึงกลายเป็นภาระกับพระองค์
21 ทำไมพระองค์จึงไม่ยกโทษการล่วงละเมิดของข้าพเจ้า
และรับเอาบาปของข้าพเจ้าไป
บัดนี้ข้าพเจ้าจะนอนตายบนผงธุลี
พระองค์จะเสาะหาข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าจะไม่อยู่แล้ว”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation