Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
เยเรมีย์ 23:9-33:22

คำเท็จของบรรดาผู้เผยคำกล่าว

เรื่องเกี่ยวกับบรรดาผู้เผยคำกล่าว

ใจข้าพเจ้าแตกสลาย
    กระดูกของข้าพเจ้าทุกชิ้นสั่นสะท้าน
ข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนเมา
    เหมือนคนถูกควบคุมด้วยเหล้าองุ่น
เป็นเพราะพระผู้เป็นเจ้า
    และเพราะคำกล่าวอันบริสุทธิ์ของพระองค์
10 “แผ่นดินเต็มไปด้วยคนผิดประเวณี
    แผ่นดินร้องคร่ำครวญเพราะคำสาปแช่ง
    และทุ่งหญ้าในถิ่นทุรกันดารแห้งเหือด
ทางดำเนินชีวิตของพวกเขาชั่วร้าย
    และใช้อำนาจอย่างไม่ยุติธรรม
11 ทั้งผู้เผยคำกล่าวและปุโรหิตไร้คุณธรรม
    เราเห็นสิ่งชั่วร้ายที่พวกเขาทำแม้แต่ในตำหนักของเรา”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
12 “ฉะนั้น วิถีทางของพวกเขาจะเป็น
    ทางเดินที่ลื่นในความมืด
    ซึ่งพวกเขาจะถูกขับไล่ลงไปและล้มลง
เพราะเราจะทำให้พวกเขาประสบกับความวิบัติ
    ในปีแห่งการลงโทษ”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
13 “เราเห็นสิ่งที่บรรดาผู้เผยคำกล่าว
    ที่อยู่ในสะมาเรียกระทำผิด
พวกเขาเผยความด้วยเทพเจ้าบาอัล
    และนำอิสราเอลชนชาติของเราให้หลงผิด
14 เราได้เห็นสิ่งที่บรรดาผู้เผยคำกล่าว
    ที่อยู่ในเยรูซาเล็มกระทำสิ่งเลวร้ายมาก
พวกเขาประพฤติผิดประเวณีและพูดเท็จ
    พวกเขาสนับสนุนคนทำความชั่ว
    ซึ่งทำให้ไม่มีผู้ใดหันไปจากความชั่ว
ในสายตาของเรา พวกเขาทุกคนกลายเป็นเหมือนโสโดม
    และบรรดาผู้อยู่อาศัยเป็นเหมือนโกโมราห์”

15 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวถึงบรรดาผู้เผยคำกล่าวดังนี้

“ดูเถิด เราจะให้อาหารขมพวกเขากิน
    และให้น้ำมีพิษแก่พวกเขาดื่ม
เพราะการกระทำที่ไร้คุณธรรมได้แพร่ไปทั่วแผ่นดิน
    เป็นเพราะบรรดาผู้เผยคำกล่าวที่อยู่ในเยรูซาเล็ม”

16 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “อย่าฟังคำของบรรดาผู้เผยคำกล่าวที่เผยความแก่พวกเจ้า ทำให้พวกเจ้าฟังแต่เรื่องความหวังลมๆ แล้งๆ พวกเขาพูดถึงภาพนิมิตอันเกิดจากความคิดของเขาเอง ไม่ใช่จากปากของพระผู้เป็นเจ้า 17 พวกเขาพูดอยู่เสมอกับพวกที่ดูหมิ่นคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าว่า ‘ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีกับพวกท่าน’ และพูดกับทุกคนที่ดื้อรั้นตามใจตนเองว่า ‘ท่านจะไม่ประสบกับความพินาศ’”

18 มีใครในหมู่พวกเขาที่เข้าพบพระผู้เป็นเจ้า
    เพื่อจะทราบและได้ยินคำกล่าวของพระองค์
    หรือใครบ้างที่ตั้งใจฟังคำกล่าวของพระองค์ และได้ยินพระองค์
19 ดูเถิด ความกริ้วดั่งพายุของพระผู้เป็นเจ้า
    การลงโทษได้ก้าวออกไปแล้ว
พายุอันแรงกล้า
    จะกระหน่ำลงบนหัวของคนชั่ว
20 ความกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าจะไม่หวนกลับ
    จนกว่าพระองค์จะได้กระทำตามความตั้งใจให้สำเร็จ
ในวันข้างหน้า พวกท่านจะเข้าใจอย่างชัดเจน

21 “เราไม่ได้ใช้บรรดาผู้เผยคำกล่าวไป
    แต่พวกเขาก็ยังรีบไป
เราไม่ได้พูดกับพวกเขา
    แต่พวกเขาก็ยังเผยความ
22 แต่ถ้าพวกเขาได้ฟังเรา
    พวกเขาก็จะประกาศคำกล่าวของเราให้แก่ชนชาติของเรา
และพวกเขาก็จะทำให้ประชาชนหันไปจากวิถีทางแห่งความชั่ว
    และจากการกระทำความชั่วของพวกเขา”

23 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “เราเป็นพระเจ้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมเพียงเท่านั้นหรือ ไม่ใช่พระเจ้าที่อยู่ในทุกแห่งหนหรือ 24 มีผู้ใดซ่อนตัวในที่ลี้ลับเพื่อไม่ให้เรามองเห็นได้หรือ” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น “เราอยู่ทุกแห่งหนทั้งในฟ้าสวรรค์และโลก” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น 25 “เราเคยได้ยินคำเท็จของบรรดาผู้เผยคำกล่าว พวกเขาเผยความในนามของเราว่า ‘เราฝัน เราฝัน’ 26 อีกนานแค่ไหนที่จะมีความเท็จอยู่ในจิตใจของบรรดาผู้เผยคำกล่าว พวกเขาเผยความเท็จ และเผยความลวงหลอกที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา 27 พวกเขาคิดว่าความฝันที่บอกเล่าต่อกันและกันจะทำให้ชนชาติของเราลืมชื่อของเรา เหมือนอย่างที่บรรพบุรุษของพวกเขาลืมชื่อของเรา และหันเข้าหาเทพเจ้าบาอัล 28 ให้ผู้เผยคำกล่าวพูดถึงความฝันที่เขาฝันเห็น แต่จงให้ผู้ที่มีคำกล่าวของเราพูดคำของเราด้วยความภักดี ฟางกับข้าวสาลีมีอะไรที่เทียบเท่ากันได้หรือ” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น 29 “คำของเราเป็นเหมือนไฟมิใช่หรือ” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “และเหมือนค้อนที่ทุบก้อนหินแตกเป็นเสี่ยงๆ” 30 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “ฉะนั้น ดูเถิด เรากล่าวโทษบรรดาผู้เผยคำกล่าว พวกเขาฉวยเอาว่า คำพูดของพวกเขาเป็นคำพูดของเรา” 31 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “ดูเถิด เรากล่าวโทษบรรดาผู้เผยคำกล่าว พวกเขาใช้ลิ้นอ้างว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า’” 32 ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “เรากล่าวโทษบรรดาผู้ที่เผยความเท็จที่มาจากความฝัน พวกเขาบอกเรื่องที่เขาฝัน และนำชนชาติของเราให้หลงผิดด้วยความเท็จและคำที่เกินความจริง ทั้งที่เราไม่ได้ใช้พวกเขาหรือสั่งให้ไป ฉะนั้นพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดให้เกิดประโยชน์แก่ชนชาตินี้เลย” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

33 “เวลาที่คนใดคนหนึ่งในชนชาตินี้ หรือผู้เผยคำกล่าว หรือปุโรหิต ถามเจ้าว่า ‘อะไรเป็นคำพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า’ เจ้าจงตอบพวกเขาว่า ‘คำพยากรณ์อะไรน่ะหรือ พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “เราจะทอดทิ้งพวกเจ้า”’ 34 และสำหรับผู้เผยคำกล่าว ปุโรหิต หรือหนึ่งในชนชาติที่พูดว่า ‘นี่คือคำพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า’ เราจะลงโทษผู้นั้นและครัวเรือนของเขา 35 เจ้าควรจะพูดเช่นนี้ ให้ทุกคนพูดกับเพื่อนบ้านและพี่น้องของตนว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าตอบอย่างไรบ้าง’ หรือ ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวอย่างไรบ้าง’ 36 แต่เจ้าจงอย่าพูดคำว่า ‘คำพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า’ อีกต่อไป เพราะคำพยากรณ์คือคำพูดของเขาแต่ละคน เจ้าได้บิดเบือนคำกล่าวของพระเจ้าผู้ดำรงชีวิตอยู่ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของเรา 37 เจ้าจงพูดกับผู้เผยคำกล่าวดังนี้ ‘พระผู้เป็นเจ้าตอบท่านอย่างไรบ้าง’ หรือ ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวอย่างไรบ้าง’ 38 แต่ถ้าเจ้าพูดว่า ‘คำพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า’ เป็นเพราะเจ้าพูดคำนั้น ทั้งๆ ที่เราให้คนไปบอกเจ้าว่าอย่าพูดว่า ‘คำพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า 39 ฉะนั้น ดูเถิด เราจะยกตัวเจ้าขึ้นมาอย่างแน่นอน และเหวี่ยงเจ้าไปให้ไกลจากเรา ทั้งตัวเจ้าและเมืองที่เรามอบให้แก่เจ้า และบรรพบุรุษของพวกเจ้า 40 และเราจะทำให้พวกเจ้าถูกดูหมิ่นและรับความอับอายไปตลอดกาล ซึ่งจะไม่มีวันลืมได้”

ผลมะเดื่อดีและผลมะเดื่อเน่า

24 หลังจากเยโคนิยาห์[a]บุตรของเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ และบรรดาผู้นำ ช่างผู้ชำนาญ และช่างตีเหล็กแห่งยูดาห์ ถูกเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนจับตัวไปจากเยรูซาเล็ม ไปเป็นเชลยอยู่ที่บาบิโลน พระผู้เป็นเจ้าก็ได้ให้ข้าพเจ้าเห็นภาพนิมิตคือ ดูเถิด มีตะกร้าใส่มะเดื่อ 2 ใบ วางไว้ที่หน้าพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า ตะกร้าใบหนึ่งมีมะเดื่อดีมาก อย่างมะเดื่อที่สุกรุ่นแรกของฤดูกาล ส่วนอีกตะกร้ามีมะเดื่อเน่ามาก เน่าจนรับประทานไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “เยเรมีย์เอ๋ย เจ้าเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “มะเดื่อดี เป็นมะเดื่อที่ดีมาก และมะเดื่อเน่า เป็นมะเดื่อที่เน่ามาก เน่าจนรับประทานไม่ได้”

แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้คือ “เราจะประคับประคองเชลยเหล่านี้เป็นอย่างดี เหมือนกับมะเดื่อดีเหล่านี้ เราได้ส่งพวกเขาไปจากที่นี่ ไปยังแผ่นดินของชาวเคลเดีย เราจะดูแลพวกเขาเพื่อประโยชน์ของเขาเอง และเราจะนำพวกเขากลับมายังแผ่นดินนี้ เราจะช่วยเสริมสร้างพวกเขาขึ้น เราจะไม่โค่นพวกเขาลง เราจะปลูกสร้างพวกเขา และจะไม่ถอนรากถอนโคน เราจะทำให้พวกเขาต้องการรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา เพราะพวกเขาจะกลับมาหาเราด้วยใจจริง”

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “แต่เราจะกระทำต่อเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ บรรดาผู้นำ ผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของเยรูซาเล็มในแผ่นดินนี้ และต่อบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ เหมือนกับมะเดื่อเน่า ที่เน่ามากจนรับประทานไม่ได้ เราจะทำให้อาณาจักรทั้งปวงบนแผ่นดินโลกเห็นพวกเขาตกอยู่ในสภาพที่หวาดหวั่น เป็นที่ดูหมิ่น เป็นดั่งคำเปรียบเปรยในสุภาษิต เป็นที่หัวเราะเยาะ และเป็นคำสาปแช่งในทุกๆ แห่งที่เราขับไล่พวกเขาไป 10 และเราจะให้พวกเขาเผชิญกับการสู้รบ ความอดอยาก และโรคระบาด จนกระทั่งพวกเขาพินาศไปจากแผ่นดินที่เรามอบให้แก่พวกเขาและบรรพบุรุษ”[b]

70 ปีแห่งการเป็นเชลย

25 ในปีที่สี่ของเยโฮยาคิมบุตรของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ (คือปีแรกของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน) พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ถึงเรื่องประชาชนทั้งปวงของยูดาห์ ซึ่งเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า กล่าวแก่ประชาชนทั้งปวงของยูดาห์และผู้อยู่อาศัยทั้งปวงของเยรูซาเล็มว่า เป็นเวลา 23 ปี นับจากปีที่สิบสามของโยสิยาห์บุตรอาโมนกษัตริย์แห่งยูดาห์ จนถึงวันนี้พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้บอกพวกท่านเสมอมา แต่ท่านก็ไม่ฟัง ท่านไม่ได้ฟังและไม่แม้แต่จะเงี่ยหูฟัง และแม้ว่าพระผู้เป็นเจ้าส่งบรรดาผู้รับใช้ผู้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ามายังพวกท่าน ด้วยการบอกท่านว่า “บัดนี้ พวกเจ้าทุกคนจงกลับใจจากวิถีทางอันชั่วร้าย จากการกระทำความชั่ว และอาศัยอยู่บนแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้แก่พวกเจ้าและบรรพบุรุษของเจ้าตั้งแต่โบราณกาล ไปจนชั่วนิรันดร์ อย่าไปติดตามปวงเทพเจ้าเพื่อบูชาหรือนมัสการ หรือยั่วโทสะเราด้วยสิ่งที่พวกเจ้าทำขึ้น แล้วเราจะไม่ทำอันตรายแก่พวกเจ้า” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “แต่พวกเจ้าก็ยังไม่ฟังเรา เจ้าก็ยังจะยั่วโทสะเราด้วยสิ่งที่พวกเจ้าทำขึ้นซึ่งเป็นอันตรายต่อพวกเจ้าเอง”

ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “เป็นเพราะพวกเจ้าไม่ฟังคำของเรา ดูเถิด เราจะเรียกทุกเผ่าจากทิศเหนือและเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนผู้รับใช้ของเรามา” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “แล้วเราจะนำพวกเขามาโจมตีแผ่นดินนี้และบรรดาผู้อยู่อาศัย และโจมตีประชาชาติรอบข้างเหล่านี้ เราจะปล่อยให้พวกเขาถูกทำลาย และเราจะทำให้พวกเขาพินาศ และทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่หวาดหวั่น เป็นที่ถูกเหน็บแนม และเป็นที่รกร้างไปตลอดกาล 10 ยิ่งกว่านั้น เราจะทำให้เสียงยินดีและเบิกบานใจ เสียงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว การโม่แป้ง และแสงจากตะเกียงยุติลง 11 ทั่วทั้งแผ่นดินนี้จะพังลงและกลายเป็นที่รกร้าง และประชาชาติเหล่านี้จะรับใช้กษัตริย์แห่งบาบิโลนเป็นเวลา 70 ปี 12 หลังจากครบ 70 ปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์แห่งบาบิโลนและประชาชาตินั้น เพราะความชั่วของพวกเขา” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “และเราจะทำให้แผ่นดินของชาวเคลเดียเป็นที่รกร้างไปตลอดกาล 13 เราจะให้แผ่นดินนั้นเป็นไปตามทุกคำที่เราได้กล่าวคัดค้านไว้ และตามทุกสิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือฉบับนี้ ซึ่งเยเรมีย์เผยความกล่าวโทษประชาชาติทั้งปวง 14 ด้วยว่า ประชาชาติจำนวนมากและบรรดากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่จะได้พวกเขาไปเป็นทาสรับใช้ และเราจะสนองตอบพวกเขาให้สาสมกับทุกสิ่งที่พวกเขากระทำไป”

การลงโทษของพระผู้เป็นเจ้า

15 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “จงเอาเหล้าองุ่นแห่งการลงโทษถ้วยนี้ไปจากมือของเรา และทำให้ประชาชาติทั้งปวงที่เราส่งให้เจ้าไปดื่มเสีย 16 พวกเขาจะดื่ม โซซัดโซเซ และบ้าคลั่ง เพราะการฆ่าฟันที่เรากำลังทำให้เกิดขึ้นในหมู่พวกเขา”

17 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงรับถ้วยนั้นจากมือของพระผู้เป็นเจ้า และทำให้ประชาชาติทั้งปวงที่พระผู้เป็นเจ้าส่งให้ข้าพเจ้าไป ต้องดื่มจากถ้วยนั้น 18 เยรูซาเล็มและเมืองต่างๆ แห่งยูดาห์ พร้อมทั้งบรรดากษัตริย์และผู้นำ ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่รกร้างและพินาศ ถูกเหน็บแนมและสาปแช่งอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 19 ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ รวมทั้งผู้รับใช้ของท่าน บรรดาผู้นำ และชนชาติทั้งปวงของท่าน 20 และชาวต่างชาติในหมู่พวกเขา กษัตริย์ทั้งปวงแห่งดินแดนอูส กษัตริย์ทั้งปวงของชาวฟีลิสเตีย (อัชเคโลน กาซา เอโครน และชาวอัชโดดที่ยังเหลืออยู่) 21 เอโดม โมอับ และบรรดาบุตรของอัมโมน 22 กษัตริย์ทั้งปวงของไทระ กษัตริย์ทั้งปวงของไซดอน และบรรดากษัตริย์ของฝั่งทะเลที่อยู่แดนไกล 23 เดดาน เท-มา บูซ และทุกคนที่ตัดผมที่จอนหู 24 กษัตริย์ทั้งปวงแห่งอาระเบีย และกษัตริย์ทั้งปวงของเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร 25 กษัตริย์ทั้งปวงของศิมรี กษัตริย์ทั้งปวงของเอลาม และกษัตริย์ทั้งปวงของมีเดีย 26 กษัตริย์ทั้งปวงของทิศเหนือ ทั้งใกล้และไกลทีละคน และอาณาจักรทั้งปวงของโลก ที่อยู่บนพื้นแผ่นดิน และคนล่าสุดคือ กษัตริย์แห่งบาบิโลนจะเป็นผู้ดื่ม

27 “แล้วเจ้าจะพูดกับพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ จงดื่ม จงเมาและอาเจียน ล้มลงและลุกไม่ขึ้นอีก เพราะการฆ่าฟันที่เรากำลังทำให้เกิดขึ้นในหมู่พวกเขา’

28 และถ้าพวกเขาไม่ยอมรับถ้วยจากมือของเจ้า และไม่ดื่ม เจ้าก็จงพูดกับพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ว่า ‘เจ้าต้องดื่ม 29 ดูเถิด เรากำลังเริ่มทำให้เกิดความวิบัติในเมืองซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นของเรา และเจ้าจะพ้นจากการลงโทษโดยสิ้นเชิงหรือ เจ้าจะไม่พ้นจากการลงโทษเลย เพราะเรากำลังก่อให้เกิดการฆ่าฟันในบรรดาผู้อยู่อาศัยบนแผ่นดินโลก’” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น

30 “ฉะนั้น เจ้าจงเผยความกล่าวโทษเขาเหล่านั้นด้วยทุกถ้อยคำ ไปพูดกับพวกเขาว่า

พระผู้เป็นเจ้าจะเปล่งเสียงดั่งสิงห์คำรามจากเบื้องสูง
    และส่งเสียงจากที่พำนักอันบริสุทธิ์
พระองค์จะเปล่งเสียงคำรามด้วยอานุภาพ
    กล่าวโทษชนชาติของพระองค์
และตะโกนอย่างบรรดาผู้ที่ย่ำองุ่น
    กล่าวโทษผู้อยู่อาศัยทั้งปวงของแผ่นดินโลก
31 เสียงนั้นจะดังกึกก้องไปสุดมุมโลก
    เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะนำข้อกล่าวหาบรรดาประชาชาติ
พระองค์กำลังเข้าสู่การตัดสินมนุษย์ทั้งปวง
    และพระองค์จะประหารคนชั่ว
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น’”

32 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ว่า

“ดูเถิด ความวิบัติกำลังเกิดขึ้น
    กับแต่ละประชาชาติต่อๆ กันไป
และพายุอันแรงกล้ากำลังพัดไปจาก
    ที่ไกลสุดของแผ่นดินโลก”

33 ในวันนั้น บรรดาผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าสังหารจะนอนแผ่ออกไปจากสุดแผ่นดินโลกด้านหนึ่งจนถึงอีกด้านหนึ่ง จะไม่มีใครร้องรำพันถึง หรือเก็บร่างเหล่านั้น หรือนำไปฝัง แต่จะเป็นอย่างมูลสัตว์บนผิวดิน

34 พวกท่านที่เป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะเอ๋ย ร้องรำพันและร้องเรียกเถิด
    และกลิ้งเกลือกในกองขี้เถ้า พวกท่านผู้เป็นนายของฝูงแกะ
ด้วยว่า วันแห่งการประหารและการกระจัดกระจายได้มาถึงแล้ว
    และพวกท่านที่เป็นอย่างภาชนะอันมีค่าก็จะล้มลง
35 บรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะจะไม่มีที่พึ่งพิง
    และบรรดาผู้เป็นนายของฝูงแกะจะไม่มีทางหนีรอดได้
36 มีเสียงร้องของบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ
    และเสียงร้องรำพันของบรรดาผู้เป็นนายของฝูงแกะ
ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้ากำลังทำทุ่งหญ้าของพวกเขาให้เป็นที่รกร้าง
37     และทุ่งหญ้าอันสงบจะพังพินาศ
    เพราะความกริ้วอันร้อนแรงของพระผู้เป็นเจ้า
38 พระองค์ทอดทิ้งพวกเขาไปอย่างสิงห์ที่ไปจากถ้ำ
    เนื่องจากแผ่นดินของพวกเขาได้กลายเป็นที่รกร้าง
เพราะถูกผู้กดขี่ข่มเหงฆ่าตาย
    และเป็นเพราะความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์

เยเรมีย์ถูกขู่ให้ถึงแก่ความตาย

26 ในเริ่มรัชสมัยของเยโฮยาคิมบุตรของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “จงยืนที่ลานพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และพูดกับประชาชนจากทุกเมืองแห่งยูดาห์ที่มานมัสการในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ให้พวกเขาฟังทุกคำที่เราบัญชาเจ้าให้พูด อย่าเว้นแม้แต่คำเดียว พวกเขาอาจจะฟังและหันจากวิถีทางอันชั่วร้าย เราจะได้เปลี่ยนใจเรื่องความวิบัติที่เราตั้งใจจะให้เกิดขึ้นกับพวกเขา เพราะการกระทำอันชั่วร้ายของพวกเขา เจ้าจงพูดกับพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ ‘ถ้าพวกเจ้าไม่ฟัง ที่เราให้ดำเนินชีวิตตามกฎบัญญัติของเราซึ่งตั้งไว้ให้เจ้าแล้ว และให้เจ้าฟังคำของบรรดาผู้รับใช้ผู้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า เราส่งพวกเขามายังพวกเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกเจ้าก็ไม่ฟัง ฉะนั้นเราจะทำให้ตำหนักนี้เป็นอย่างชิโลห์[c] และเราจะทำให้เมืองนี้เป็นคำสาปแช่งแก่ประชาชาติทั้งปวงของแผ่นดินโลก’”

บรรดาปุโรหิต ผู้เผยคำกล่าว และประชาชนทั้งปวงได้ยินเยเรมีย์พูดในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อเยเรมีย์พูดทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาท่านให้พูดกับประชาชนทั้งปวงแล้ว บรรดาปุโรหิต ผู้เผยคำกล่าว และประชาชนทั้งปวง ต่างก็คว้าตัวท่านไว้พลางพูดว่า “ท่านจะต้องตาย ทำไมท่านจึงเผยความในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการพูดว่า พระตำหนักนี้จะเป็นเหมือนอย่างชิโลห์ และเมืองนี้จะถูกทิ้งเป็นที่ร้าง ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่” และประชาชนทั้งปวงก็รุมล้อมเยเรมีย์ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า

10 ครั้นบรรดาผู้นำของยูดาห์ทราบเรื่องก็ขึ้นมาจากวังของกษัตริย์ มายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และนั่งประจำที่ของตนที่ทางเข้าประตูใหม่ของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 11 และบรรดาปุโรหิตและบรรดาผู้เผยคำกล่าวก็พูดกับบรรดาผู้นำและประชาชนทั้งปวงว่า “ชายผู้นี้สมควรจะรับโทษถึงตาย เพราะเขาเผยความกล่าวโทษเมืองนี้ ตามที่พวกท่านได้ยินด้วยหูของท่านเองแล้ว”

12 เยเรมีย์จึงพูดกับบรรดาผู้นำและประชาชนทั้งปวงว่า “พระผู้เป็นเจ้าใช้ให้ข้าพเจ้ามาเผยความตามทุกคำพูดที่พวกท่านได้ยินแล้ว เป็นการกล่าวโทษพระตำหนักนี้และเมืองนี้ 13 ฉะนั้น บัดนี้จงเปลี่ยนวิถีทางและการกระทำของพวกท่าน และเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และพระผู้เป็นเจ้าจะเปลี่ยนใจเรื่องความวิบัติที่พระองค์ได้ลั่นวาจากล่าวโทษพวกท่าน 14 แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ดูเถิด ข้าพเจ้าอยู่ในอำนาจของพวกท่าน ท่านกระทำต่อข้าพเจ้าตามที่เห็นว่าดีและถูกต้องเถิด 15 ท่านจงทราบได้เลยว่า ถ้าพวกท่านฆ่าข้าพเจ้า ทั้งตัวท่านและเมืองนี้ และบรรดาผู้อยู่อาศัยจะมีความผิดฐานฆ่าคนไร้ความผิด ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาพวกท่านเพื่อพูดทุกสิ่งให้พวกท่านฟัง”

เยเรมีย์รอดชีวิต

16 ครั้นแล้ว บรรดาผู้นำและประชาชนทั้งปวงก็พูดกับบรรดาปุโรหิตและบรรดาผู้เผยคำกล่าวว่า “ชายผู้นี้ไม่สมควรได้รับโทษถึงตาย เพราะเขาได้พูดกับพวกเราในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา” 17 บรรดาผู้ใหญ่บางคนในที่นั้นจึงลุกขึ้นพูดกับประชาชนที่ประชุมร่วมกันว่า 18 “มีคาห์แห่งโมเรเชทได้เผยความในสมัยของเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ท่านได้พูดกับชาวยูดาห์ทั้งปวงว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า

ศิโยนจะถูกไถเหมือนเป็นไร่นา
    เยรูซาเล็มจะกลายเป็นกองซากปรักหักพัง
    และภูเขาของพระตำหนักจะเป็นดงไม้ทึบ’[d]

19 เฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์และชาวยูดาห์ทั้งปวงฆ่าท่านหรือ กษัตริย์เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า และพยายามทำให้พระผู้เป็นเจ้าพอใจมิใช่หรือ และพระผู้เป็นเจ้าได้เปลี่ยนใจเรื่องความวิบัติที่พระองค์ได้ลั่นวาจากล่าวโทษพวกเขามิใช่หรือ แต่พวกเรากำลังนำความวิบัติมาสู่พวกเราเอง”

20 มีชายอีกผู้หนึ่งที่เผยความในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า คืออุรียาห์บุตรของเชไมยาห์จากคีริยาทเยอาริม เขาเผยความกล่าวโทษเมืองนี้และแผ่นดินนี้ด้วยคำพูดที่เหมือนกับของเยเรมีย์ 21 เมื่อกษัตริย์เยโฮยาคิมพร้อมด้วยบรรดานักรบและผู้นำทั้งปวงของท่านได้ยินคำพูดดังกล่าว กษัตริย์จึงต้องการจะฆ่าเขา แต่เมื่ออุรียาห์ทราบเรื่อง เขาก็กลัว จึงได้หนีไปยังอียิปต์ 22 กษัตริย์เยโฮยาคิมจึงให้เอลนาธานบุตรของอัคโบร์กับผู้ชายบางคนไปกับเขาด้วย 23 ชายเหล่านั้นจับตัวอุรียาห์มาจากอียิปต์ และนำเขามาให้กษัตริย์เยโฮยาคิม และท่านก็ได้ใช้ดาบฆ่าเขา และโยนร่างเขาลงในที่ฝังศพของชาวบ้าน

24 แต่อาหิคาม[e]บุตรของชาฟานช่วยเหลือเยเรมีย์ ท่านจึงไม่ตกอยู่ในอำนาจของประชาชนที่ต้องการจะฆ่า

แอกของเนบูคัดเนสซาร์

27 ในเริ่มรัชสมัยของเศเดคียาห์บุตรของโยสิยาห์ ผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงทำแอกด้วยสายรัดและคานไม้ และสวมไว้ที่คอของเจ้า มีบรรดาผู้ถือสาสน์ที่ไปพบเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ที่เยรูซาเล็ม ให้พวกเขาไปแจ้งกษัตริย์แห่งเอโดม กษัตริย์แห่งโมอับ กษัตริย์ของบรรดาบุตรของอัมโมน กษัตริย์แห่งไทระ และกษัตริย์แห่งไซดอน ให้พวกเขานำเรื่องไปบอกนายของพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า เจ้าจงบอกบรรดาเจ้านายของพวกเจ้าดังนี้ว่า ‘เราสร้างแผ่นดินโลก อีกทั้งมนุษย์และสัตว์ที่อยู่บนโลก ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเราและพลานุภาพของเรา และเรามอบให้แก่ผู้ใดก็ได้ที่เราเห็นสมควร บัดนี้เราได้มอบแผ่นดินเหล่านี้ไว้ในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนผู้เป็นผู้รับใช้ของเรา และเราได้มอบบรรดาสัตว์ป่าในไร่นาให้แก่เขาด้วย เพื่อรับใช้เขา ประชาชาติทั้งปวงจะรับใช้เขาและลูกหลานของเขาจนถึงเวลาที่แผ่นดินของเขาเองจะล้มลง หลังจากนั้นเขาก็จะตกเป็นทาสรับใช้ประชาชาติจำนวนมากและบรรดากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่

แต่ถ้าประชาชาติใดหรืออาณาจักรใดไม่ยอมรับใช้เนบูคัดเนสซาร์ผู้เป็นกษัตริย์แห่งบาบิโลนผู้นี้ และก้มคอลงหามแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลน เราจะลงโทษประชาชาตินั้นด้วยการสู้รบ ความอดอยาก และโรคระบาด จนกระทั่งเราจะทำให้พวกเขาพินาศด้วยมือของเขา’ พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น ‘ฉะนั้นอย่าฟังบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพวกเจ้า บรรดาผู้ทำนาย ผู้แก้ฝัน คนทรง และพวกที่ใช้วิทยาคมของพวกเจ้า ซึ่งพูดกับพวกเจ้าว่า “ท่านจะไม่รับใช้กษัตริย์แห่งบาบิโลน” 10 เพราะพวกเขาเผยความเท็จแก่เจ้า เพื่อผลักไสพวกเจ้าออกไปให้ไกลจากแผ่นดินของเจ้า เราจะขับไล่เจ้าออกไป และพวกเจ้าจะสิ้นชีวิต 11 แต่ถ้าประชาชาติใดที่จะก้มคอลงหามแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลนและรับใช้เขา เราก็จะปล่อยให้ประชาชาตินั้นคงอยู่ในแผ่นดินของเขาเอง ให้พรวนดินและอาศัยอยู่ต่อไป’” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

12 ข้าพเจ้าพูดไปตามนั้นกับเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “ก้มคอของท่านลงหามแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลน รับใช้ท่านและประชาชนของท่าน และมีชีวิตอยู่ต่อไป 13 ทำไมท่านและชนชาติของท่านจึงจะยอมตายด้วยการสู้รบ ความอดอยาก และโรคระบาด อย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวถึงประชาชาติที่จะไม่รับใช้กษัตริย์แห่งบาบิโลนเล่า 14 อย่าฟังคำของบรรดาผู้เผยคำกล่าวที่พูดกับท่านว่า ‘ท่านจะไม่รับใช้กษัตริย์แห่งบาบิโลน’ เพราะพวกเขาเผยความเท็จแก่ท่าน 15 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ ‘เราไม่ได้ใช้พวกเขามา แต่พวกเขากำลังเผยความเท็จในนามของเรา และเป็นเหตุทำให้เราขับไล่เจ้าออกไป และพวกเจ้าจะสิ้นชีวิต ทั้งตัวเจ้าและบรรดาผู้เผยคำกล่าวที่กำลังเผยความแก่เจ้า’”

16 แล้วข้าพเจ้าก็พูดกับบรรดาปุโรหิตและประชาชนทั้งปวงว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “อย่าฟังคำของบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพวกเจ้า ที่กำลังเผยความแก่เจ้าว่า ‘ดูเถิด ภาชนะทั้งหลายของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าจะถูกนำกลับมาจากบาบิโลนในไม่ช้า’ เพราะพวกเขากำลังเผยความเท็จแก่เจ้า 17 อย่าฟังพวกเขา จงรับใช้กษัตริย์แห่งบาบิโลน และมีชีวิตอยู่ต่อไป ทำไมเมืองนี้จึงจะต้องกลายเป็นที่รกร้าง 18 ถ้าพวกเขาเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และถ้าคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าอยู่กับพวกเขา พวกเขาก็ควรอธิษฐานขอพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาว่า ภาชนะทั้งหลายที่อยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ในวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์ และในเยรูซาเล็มจะไม่ถูกขนไปยังบาบิโลน 19 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ถึงเรื่องเสาหลัก ถังเก็บน้ำ แท่นเข็น และภาชนะต่างๆ ที่ยังอยู่ในเมืองนี้ 20 ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนไม่ได้ขนเอาไปในครั้งที่ท่านจับเยโคนิยาห์บุตรของเยโฮยาคิม ผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ และบรรดาผู้นำของยูดาห์และเยรูซาเล็มไปเป็นเชลย 21 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ถึงเรื่องภาชนะทั้งหลาย ที่ยังอยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ในวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์ และในเยรูซาเล็ม 22 ‘ภาชนะเหล่านั้นจะถูกขนไปยังบาบิโลนและอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่เรามาเอาคืน เราจะนำมันกลับมาเก็บไว้ในที่นี่อีก’” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

ฮานันยาห์ผู้เผยคำกล่าวจอมปลอม

28 ในปีเดียวกันนั้น เมื่อเริ่มรัชสมัยของเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เดือนที่ห้าของปีที่สี่ ฮานันยาห์บุตรของอัสซูร์ ซึ่งเป็นผู้เผยคำกล่าวจากกิเบโอน ได้พูดกับข้าพเจ้าในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ต่อหน้าบรรดาปุโรหิตและประชาชนทั้งปวง พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ “เราจะหักแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลน ในอีก 2 ปี เราจะนำภาชนะทั้งหมดของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ที่เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนขนจากที่นี่ไปยังบาบิโลนกลับมายังที่นี้อีก เราจะนำเยโคนิยาห์บุตรของเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ และเชลยทั้งหมดจากยูดาห์ที่ไปยังบาบิโลนกลับมายังที่นี้ เพราะเราจะหักแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลน” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

และเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดกับฮานันยาห์ผู้เผยคำกล่าว ต่อหน้าบรรดาปุโรหิตและประชาชนทั้งปวงที่ยืนอยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดว่า “อาเมน ขอพระผู้เป็นเจ้ากระทำเช่นนั้น ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดให้สิ่งที่ท่านเผยความเกิดขึ้นจริงเถิด และนำภาชนะทั้งหลายของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าและเชลยทั้งหมดจากบาบิโลนกลับมายังที่นี้อีก บัดนี้ขอท่านฟังสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดให้ท่านและประชาชนทั้งปวงฟัง ในสมัยโบราณบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าที่มาล่วงหน้าท่านและข้าพเจ้า ได้เผยความกล่าวโทษแผ่นดินทั้งหลายและอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ ถึงการสู้รบ ความอดอยาก และโรคระบาด หากว่าผู้เผยคำกล่าวนั้นเผยความถึงเรื่องสันติสุข ซึ่งต่อมาก็เกิดขึ้นจริงตามคำของผู้เผยคำกล่าว ก็จะเป็นที่ทราบได้ว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ใช้ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ามาอย่างแท้จริง”

10 แล้วฮานันยาห์ผู้เผยคำกล่าวก็หยิบแอกจากคอของเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และหักทิ้งเสีย 11 และฮานันยาห์พูดต่อหน้าประชาชนทั้งปวงว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “เราจะทำอย่างนั้นในอีก 2 ปี กับแอกของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน ที่ท่านได้สวมที่คอของประชาชาติทั้งปวง” แล้วเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าก็จากไป

12 ระยะหนึ่งหลังจากที่ฮานันยาห์ผู้เผยคำกล่าวได้หักแอกจากคอของเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ 13 “จงไปหาฮานันยาห์และบอกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า เจ้าได้หักแอกไม้ แต่เราก็ได้ทำแอกเหล็กขึ้นแทน 14 ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า เราได้สวมคอประชาชาติเหล่านี้ด้วยแอกเหล็กเพื่อรับใช้เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และพวกเขาก็จะรับใช้เขา เพราะเราได้มอบแม้แต่สัตว์ป่าในไร่นาให้แก่เขาแล้ว’” 15 เยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดกับฮานันยาห์ผู้เผยคำกล่าวว่า “ฮานันยาห์ ขอท่านฟังให้ดี พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ใช้ท่านไป และท่านได้ทำให้ชนชาตินี้ไว้วางใจในคำเท็จ 16 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ ‘ดูเถิด เราจะกำจัดเจ้าไปจากแผ่นดินโลก เจ้าจะตายในปีนี้ เพราะเจ้าได้พูดสิ่งอันเป็นการขัดขืนต่อพระผู้เป็นเจ้า’”

17 ในปีเดียวกันนั้นเอง ในเดือนที่เจ็ด ฮานันยาห์ผู้เผยคำกล่าวก็สิ้นชีวิต

จดหมายของเยเรมีย์มีไปถึงเชลย

29 นี่คือข้อความจดหมายที่เยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าส่งไปจากเยรูซาเล็ม ถึงบรรดาเชลยที่ยังมีชีวิตอยู่ในบาบิโลนคือ บรรดาผู้ใหญ่ ปุโรหิต ผู้เผยคำกล่าว และประชาชนทั้งปวง ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ได้จับไปเป็นเชลย จดหมายนี้เขียนขึ้นหลังจากที่กษัตริย์เยโคนิยาห์และมารดากษัตริย์ บรรดาขันที บรรดาผู้นำของยูดาห์และเยรูซาเล็ม ช่างผู้ชำนาญ และช่างตีเหล็ก ได้ออกไปจากเยรูซาเล็มแล้ว ผู้ที่ข้าพเจ้าให้ถือจดหมายไปคือ เอลอาสาห์บุตรของชาฟาน และเกมาริยาห์บุตรของฮิลคียาห์ เศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ใช้ให้ไปยังเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน มีใจความว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวแก่ทุกคนที่ออกจากเยรูซาเล็ม และไปเป็นเชลยอยู่ที่บาบิโลนดังนี้ว่า ‘พวกเจ้าจงสร้างบ้าน ทำไร่ทำสวนเพื่อใช้เป็นอาหาร จงแต่งงานและมีลูกหลาน หาภรรยาให้บุตรของพวกเจ้า และให้บุตรหญิงแต่งงาน เพื่อพวกเขาจะได้มีลูกหลาน จงทวีจำนวนคนขึ้นที่นั่น และอย่าลดจำนวนลง ทำงานเพื่อความเจริญของเมืองที่เราให้พวกเจ้าไปอยู่ในฐานะเชลย และจงอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเมืองเหล่านั้น เพราะว่าพวกเจ้าจะได้รับความเจริญในเมืองที่มีความเจริญ’ ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ ‘อย่าให้พวกผู้เผยคำกล่าวและผู้ทำนายของพวกเจ้าที่อยู่ท่ามกลางเจ้าหลอกลวงพวกเจ้า และอย่าฟังเรื่องความฝันที่พวกเขาฝัน เพราะมันเป็นเรื่องเท็จที่พวกเขาเผยความแก่พวกเจ้าในนามของเรา เราไม่ได้ใช้พวกเขามา’ พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ ‘เมื่อครบกำหนด 70 ปี ของบาบิโลน เราจะช่วยเหลือพวกเจ้า และเราจะทำตามคำสัญญาที่เราได้ให้ไว้ และจะนำพวกเจ้ากลับมาที่นี่ 11 เพราะเรารู้สิ่งที่เราวางแผนเพื่อพวกเจ้า’ พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ ‘แผนเพื่อความเจริญ ไม่ใช่ภัยอันตราย เพื่อให้พวกเจ้ามีอนาคตและความหวัง 12 แล้วพวกเจ้าจะร้องเรียกถึงเรา มาหาเราและอธิษฐานต่อเรา และเราจะได้ยินพวกเจ้า 13 พวกเจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา เมื่อพวกเจ้าแสวงหาเราอย่างสุดจิตสุดใจ 14 พวกเจ้าก็จะพบเรา’ พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ ‘และเราจะให้ความอุดมสมบูรณ์ของเจ้าคืนสู่สภาพเดิม เราจะรวบรวมพวกเจ้าจากประชาชาติทั้งปวงและจากที่ซึ่งเราได้ไล่เจ้าออกไป’ พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น ‘และเราจะนำพวกเจ้ากลับมายังที่ซึ่งเราขับไล่เจ้าออกไปเป็นเชลย’

15 เพราะพวกท่านพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าได้แต่งตั้งบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าให้แก่พวกเราในบาบิโลน’ 16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงกษัตริย์ผู้นั่งบนบัลลังก์ของดาวิด ถึงประชาชนทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ และถึงพี่น้องของพวกท่านที่ไม่ถูกขับไล่ออกไปเป็นเชลยกับพวกท่าน 17 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ ‘ดูเถิด เรากำลังก่อให้เกิดการสู้รบ ความอดอยาก และโรคระบาด และเราจะทำให้พวกเขาเป็นอย่างมะเดื่อเน่าจนรับประทานไม่ได้ 18 เราจะทำให้พวกเขาทรมานด้วยการสู้รบ ความอดอยาก และโรคระบาด และจะทำให้อาณาจักรทั้งปวงบนแผ่นดินโลกเห็นพวกเขาตกอยู่ในสภาพที่หวาดหวั่น เป็นคำสาปแช่ง เป็นที่น่ากลัว ที่เหน็บแนม และที่ดูหมิ่นในท่ามกลางประชาชาติทั้งปวงที่เราขับไล่พวกเขาไป’ 19 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘เพราะพวกเขาไม่ได้ใส่ใจในคำพูดของเรา คำพูดที่เราให้บรรดาผู้รับใช้ผู้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ามาบอกกับพวกเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกเจ้าก็ไม่ฟัง’ พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

20 ‘ฉะนั้น จงฟังคำของพระผู้เป็นเจ้า พวกเจ้าที่เป็นเชลยที่เราขับไล่ออกไปจากเยรูซาเล็ม ไปยังบาบิโลน 21 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวถึงอาหับบุตรของโคลายาห์ และเศเดคียาห์บุตรของมาอาเสยาห์ ซึ่งกำลังเผยความเท็จแก่พวกเจ้าในนามของเรา ดูเถิด เราจะมอบพวกเขาไว้ในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาจะฆ่าสองคนนั้นต่อหน้าพวกเจ้า 22 เป็นเพราะเขาทั้งสอง เชลยทั้งปวงจากยูดาห์ที่อยู่ในบาบิโลนจะใช้คำสาปแช่งเช่นนี้คือ “พระผู้เป็นเจ้าทำให้ท่านเป็นอย่างเศเดคียาห์และอาหับซึ่งกษัตริย์แห่งบาบิโลนย่างไฟทั้งเป็น” 23 เพราะพวกเขาได้กระทำสิ่งที่น่าบัดสีในอิสราเอล พวกเขาประพฤติผิดประเวณีต่อภรรยาเพื่อนบ้าน และได้พูดคำมดเท็จในนามของเราซึ่งเราไม่ได้บัญชาพวกเขา เราทราบเรื่องเหล่านี้ดี และเรายืนยันได้’” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

เชไมยาห์เผยความเท็จ

24 จงบอกเชไมยาห์ชาวเนเฮลามว่า 25 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า “เจ้าได้ส่งจดหมายในนามของเจ้าเอง ถึงประชาชนทั้งปวงที่อยู่ในเยรูซาเล็ม และถึงเศฟันยาห์บุตรมาอาเสยาห์ผู้เป็นปุโรหิต และถึงปุโรหิตทั้งปวงว่า 26 พระผู้เป็นเจ้าได้แต่งตั้งท่านให้เป็นปุโรหิตแทนเยโฮยาดา เพื่อควบคุมพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านควรจับคนวิกลจริตที่เผยความใส่ขื่อและสวมห่วงเหล็กที่คอ 27 ทำไมท่านจึงไม่ห้ามเยเรมีย์แห่งอานาโธทผู้กำลังเผยความแก่ท่าน 28 เพราะเขาแจ้งพวกเราในบาบิโลนว่า “พวกท่านจะไปเป็นเชลยเป็นเวลานาน พวกท่านจงสร้างบ้านอยู่ ทำไร่ทำสวนเพื่อใช้เป็นอาหาร”’”

29 เศฟันยาห์ปุโรหิตอ่านจดหมายนี้ให้เยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าฟัง 30 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ว่า 31 “จงบอกพวกเชลยทั้งปวงว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงเชไมยาห์แห่งเนเฮลามว่า เพราะเชไมยาห์ได้เผยความแก่พวกเจ้าเมื่อเราไม่ได้ใช้เขาไป และทำให้พวกเจ้าวางใจในคำเท็จ 32 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ดูเถิด เราจะลงโทษเชไมยาห์แห่งเนเฮลามและบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเขา เขาจะไม่มีใครอาศัยอยู่ในท่ามกลางชนชาตินี้ และเขาจะไม่ประสบกับสิ่งดีที่เราจะกระทำต่อชนชาติของเรา พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น เพราะเขาได้พูดสิ่งอันเป็นการขัดขืนพระผู้เป็นเจ้า’”

การนำอิสราเอลและยูดาห์กลับมา

30 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ “จงเขียนทุกคำที่เราได้บอกกับเจ้าลงในหนังสือ ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ใกล้จะถึงเวลาที่เราจะให้ชนชาติของเราคืออิสราเอลและยูดาห์เจริญรุ่งเรืองอีก ให้พวกเขากลับไปยังแผ่นดินที่เราได้มอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะได้ยึดเป็นเจ้าของ” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงอิสราเอลและยูดาห์ดังนี้

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า
เราได้ยินเสียงร้องอันตื่นตระหนก
    ตกใจกลัว และปราศจากสันติสุข
บัดนี้จงถาม และดูสิว่า
    ผู้ชายคลอดลูกได้หรือ
แล้วเหตุใดเราจึงเห็นผู้ชายทุกคน
    กำท้องของเขาอย่างผู้หญิงเจ็บครรภ์
    เหตุใดใบหน้าของทุกคนจึงได้ซีดลง
วันนั้นจะเป็นวันที่เลวร้ายเหลือเกิน
    จะไม่มีวันไหนอย่างวันนี้อีก
เป็นเวลาแห่งความทุกข์ของยาโคบ
    แต่เขาก็ยังจะรอดชีวิตมาได้”

พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ “เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะหักแอกให้หลุดจากคอของเจ้า และเราจะตัดสิ่งที่ผูกตัวเจ้าให้หลุดออกไป และพวกเขาจะไม่เป็นทาสของคนต่างชาติอีกต่อไป แต่พวกเขาจะรับใช้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา และรับใช้ดาวิดกษัตริย์ของพวกเขาซึ่งเราจะกำหนดขึ้นเพื่อพวกเขา”[f]

10 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“โอ ยาโคบผู้รับใช้ของเรา เจ้าไม่ต้องกลัว
    โอ อิสราเอล เจ้าไม่ต้องตกใจ
เพราะว่าดูเถิด เราจะช่วยเจ้าให้รอดปลอดภัยจากแผ่นดินที่ห่างไกล
    และช่วยเชื้อสายของเจ้าจากแผ่นดินที่ไปอยู่เป็นเชลย
ยาโคบจะกลับไปและมีสันติสุขและความมั่นคง
    และไม่มีใครที่จะทำให้เขากลัว
11 เพราะเราอยู่กับเจ้าเพื่อช่วยเจ้าให้รอดปลอดภัย”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“เราจะทำลายประชาชาติทั้งปวงให้สิ้นซาก
    ในท่ามกลางพวกเจ้าที่เราทำให้กระจัดกระจายไป
    แต่เราจะไม่ทำลายเจ้าให้สิ้นซาก
เราจะลงโทษเจ้าอย่างยุติธรรม
    เราจะไม่ปล่อยเจ้าไปโดยไม่ถูกลงโทษ”

12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า

“ความเจ็บปวดของเจ้านั้นแสนสาหัส
    และบาดแผลของเจ้ารักษาไม่หาย
13 ไม่มีใครจะช่วยเหลือเจ้า
    ไม่มียารักษาแผลของเจ้า
    ไม่มีการรักษาให้หายขาด
14 มิตรสหายทุกคนของเจ้าก็ลืมเจ้าแล้ว
    พวกเขาไม่ห่วงใยเจ้าเลย
เพราะเราได้กระทำต่อเจ้าอย่างศัตรูกระทำ
    การลงโทษของศัตรูที่ปราศจากความเมตตา
เพราะความผิดของเจ้ามากนัก
    เพราะบาปของเจ้าร้ายแรงนัก
15 ทำไมเจ้าจึงส่งเสียงร้องเมื่อเจ็บปวด
    ความเจ็บปวดของเจ้านั้นแสนสาหัส
เพราะความผิดของเจ้ามากนัก
    เพราะบาปของเจ้าร้ายแรงนัก เราจึงได้กระทำสิ่งเหล่านี้ต่อเจ้า
16 ฉะนั้น ทุกคนที่ทำลายเจ้าก็จะถูกทำลาย
    และศัตรูของเจ้าทั้งปวง ไม่เว้นสักคนเดียวก็จะถูกจับไปเป็นเชลย
บรรดาผู้ที่ริบของได้จากการสู้รบกับเจ้าก็จะถูกริบของไปด้วย
    และทุกคนที่ล่าเจ้าดั่งล่าเหยื่อ เราก็จะทำให้พวกเขาเป็นเหยื่อ
17 ด้วยว่า เราจะให้เจ้ามีสุขภาพดีดังเดิม
    และเราจะรักษาบาดแผลของเจ้าให้หายขาด”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“เพราะว่าพวกเขาได้เรียกเจ้าว่า ผู้ที่ถูกขับไล่ไสส่ง
    คือศิโยนซึ่งไม่มีใครห่วงใย”

18 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“ดูเถิด เราจะให้กระโจมของยาโคบเจริญรุ่งเรืองในแผ่นดินอีก
    และมีความเมตตาต่อครอบครัวของเขา
เมืองจะถูกสร้างบนเนินเขา
    และป้อมปราการจะยืนตั้งอยู่ในที่เหมาะสม
19 ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่นจะร้องเพลงสรรเสริญ
    และจะมีเสียงแห่งความยินดี
เราจะทวีจำนวนพวกเขามากขึ้น
    พวกเขาจะไม่ลดน้อยลง
เราจะทำให้พวกเขาได้รับเกียรติ
    พวกเขาจะไม่ด้อยเลย
20 ลูกๆ ของพวกเขาจะเป็นอย่างที่เคยเป็นในสมัยก่อน
    และสังคมของพวกเขาจะก่อตั้งขึ้น ณ เบื้องหน้าเรา
    และเราจะลงโทษทุกคนที่กดขี่ข่มเหงพวกเขา[g]
21 คนหนึ่งในพวกเขาเองจะมาเป็นผู้นำ
    คนหนึ่งในท่ามกลางพวกเขาจะเป็นผู้ปกครอง
เราจะทำให้เขาเข้ามาใกล้ และเขาจะเข้าใกล้เรา
    ใครคือผู้นี้ที่ตั้งมั่นในใจว่าจะเข้ามาใกล้เรา”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
22 “ฉะนั้น พวกเจ้าจะเป็นชนชาติของเรา
    และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า”

23 ดูเถิด ความกริ้วดั่งพายุของพระผู้เป็นเจ้า
    การลงโทษได้ก้าวออกไปแล้ว
พายุอันแรงกล้าจะกระหน่ำลงบนหัวของคนชั่ว
24 ความกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าจะไม่หวนกลับ
    จนกว่าพระองค์จะได้กระทำ
    ตามความตั้งใจให้สำเร็จ
พวกท่านจะเข้าใจอย่างชัดเจน
    ในวันข้างหน้า

การร้องคร่ำครวญกลับเป็นความยินดี

31 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ในเวลานั้นเราจะเป็นพระเจ้าของตระกูลของอิสราเอล และพวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา”

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า

“ประชาชนที่รอดจากการสู้รบ
    พบความกรุณาในถิ่นทุรกันดาร
    เราจะให้อิสราเอลได้พักผ่อน”

พระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่เขาจากที่ไกลโดยกล่าวดังนี้ว่า

“เรารักเจ้าด้วยความรักอันมั่นคง
    ฉะนั้นเราจึงมีความสัตย์จริงต่อเจ้าตลอดมา
เราจะสร้างเจ้าขึ้นใหม่อีกครั้ง และเจ้าก็จะถูกสร้าง
    โอ อิสราเอลผู้บริสุทธิ์
เจ้าจะถือรำมะนาติดตัวไปด้วย
    และจะร่ายรำไปด้วยความยินดีอีก
เจ้าจะปลูกสวนองุ่นบนเทือกเขา
    แห่งสะมาเรียอีกครั้ง
บรรดาผู้ปลูกจะปลูก
    และจะได้ชื่นชอบกับผลที่ได้รับ
ด้วยว่าจะถึงวันเมื่อผู้เฝ้ายามจะส่งเสียงร้อง
    ที่แถบภูเขาแห่งเอฟราอิมว่า
‘ลุกขึ้นเถิด เราขึ้นไปยังศิโยน
    ไปหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา’”

เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“จงร้องเพลงเสียงดังด้วยความยินดีเพื่อยาโคบ
    และส่งเสียงตะโกนเพื่อหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ
จงประกาศ สรรเสริญ และพูดว่า
    ‘โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยชนชาติของพระองค์
    คือผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของอิสราเอลให้รอดพ้นเถิด’
ดูเถิด เราจะนำพวกเขาออกจากดินแดนทางเหนือ
    และรวบรวมพวกเขาจากแดนไกลสุดของแผ่นดินโลก
ผู้ที่มากับพวกเขามีทั้งคนตาบอดและคนง่อย
    ผู้หญิงตั้งครรภ์ และนางใกล้จะคลอด
    พวกเขาจำนวนมหาศาลจะกลับมาที่นี่
พวกเขาจะมาพร้อมกับเสียงร้องไห้
    และด้วยคำอ้อนวอนขอความเมตตา เราก็จะนำพวกเขากลับมา
เราจะให้พวกเขาเดินไปที่ธารน้ำ
    เดินบนทางราบเพื่อเขาจะไม่สะดุด
เพราะเราเป็นเสมือนบิดาสำหรับอิสราเอล
    และเอฟราอิมเป็นบุตรหัวปีของเรา

10 โอ บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงฟังคำของพระผู้เป็นเจ้า
    และประกาศต่อไปในฝั่งทะเลที่อยู่ห่างไกลว่า
‘พระองค์ผู้ทำให้อิสราเอลกระจัดกระจายไปจะรวบรวมพวกเขา
    และจะดูแลรักษาเขาอย่างผู้เลี้ยงดูฝูงแกะดูแลฝูงแกะของตน’
11 ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ไถ่ยาโคบ
    และได้ช่วยเขาให้รอดจากมือของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
12 พวกเขาจะมาและเปล่งเสียงร้องเพลงบนภูเขาสูงของศิโยน
    และพวกเขาจะเบิกบานกับสิ่งดีๆ ที่ได้รับจากพระผู้เป็นเจ้า
อันได้แก่ธัญพืช เหล้าองุ่น น้ำมัน
    ลูกแพะแกะ และลูกโค
ชีวิตของพวกเขาจะเป็นเหมือนสวนที่ได้น้ำรด
    และพวกเขาจะไม่อ่อนระอาอีกต่อไป
13 หลังจากนั้น หญิงสาวจะร่ายรำด้วยความร่าเริงใจ
    ชายหนุ่มและผู้สูงวัยจะมีความสุข
เราจะทำให้การร้องคร่ำครวญกลายเป็นความยินดี
    เราจะปลอบประโลมพวกเขา และให้ความยินดีแทนความเศร้าใจ
14 เราจะให้บรรดาปุโรหิตได้รับอย่างอุดมสมบูรณ์
    และชนชาติของเราจะพึงพอใจด้วยสิ่งดีจากเรา”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

15 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“เสียงที่ได้ยินในหมู่บ้านรามาห์
    คือเสียงร้องไห้และร้องคร่ำครวญอันดัง
นางราเชลร่ำไห้เพราะลูกๆ ของนาง
    และนางไม่ยอมให้ปลอบใจ
    เพราะลูกๆ ของนางตายเสียแล้ว”[h]

16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“อย่าส่งเสียงร้องไห้
    อย่าให้น้ำตาไหลพราก
เพราะมีรางวัลสำหรับสิ่งที่เจ้ากระทำ”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
    “ลูกๆ จะกลับจากแผ่นดินของศัตรู
17 อนาคตของเจ้ามีความหวัง”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า
    “และลูกๆ ของเจ้าจะกลับมายังบ้านเมืองของเขาเอง
18 เราได้ยินเอฟราอิมแสดงความเศร้าใจดังนี้
‘พระองค์ลงโทษข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ถูกลงโทษ
    อย่างลูกโคที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝน
โปรดนำข้าพเจ้ากลับไปเพื่อข้าพเจ้าจะได้กลับมาหาพระองค์
    เพราะพระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า
19 หลังจากข้าพเจ้าหันหลังให้พระองค์ ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนใจ
    และหลังจากข้าพเจ้าถูกลงโทษแล้ว ข้าพเจ้าตีอกชกหัว
ข้าพเจ้าอับอายและถูกเหยียดหยาม
    เพราะข้าพเจ้าแบกความอัปยศ อันเป็นผลจากครั้งวัยหนุ่ม’
20 เอฟราอิมเป็นบุตรที่รักของเราหรือ
    เขาเป็นเด็กที่น่ายินดีของเราหรือ
เราพูดติเตียนเขาบ่อยครั้ง
    เรายังจำเขาได้
ฉะนั้นใจของเราหวนหาเขา
    เราจะมีเมตตาต่อเขาอย่างแน่นอน”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

21 “จงติดป้ายถนน
    ทำเครื่องหมายให้ตัวเจ้าเอง
ตั้งใจสังเกตถนนให้ดี
    ซึ่งเป็นทางที่เจ้าไปแล้ว
โอ อิสราเอลผู้บริสุทธิ์เอ๋ย
    จงกลับไปยังเมืองของเจ้า
22 โอ บุตรหญิงผู้ไม่ภักดีเอ๋ย
    เจ้าจะไปโดยไร้จุดหมายอีกนานแค่ไหน
พระผู้เป็นเจ้าจะสร้างสิ่งใหม่สิ่งหนึ่งบนแผ่นดินโลก
    ผู้หญิงตีวงล้อมผู้ชาย”

23 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ “เมื่อเราให้พวกเขาเจริญรุ่งเรืองในแผ่นดินอีก พวกเขาจะใช้คำพูดนี้อีกครั้งในแผ่นดินของยูดาห์และในทุกเมืองของแคว้นว่า

‘ขอพระผู้เป็นเจ้าอวยพรสถานที่ขององค์ผู้กอปรด้วยความชอบธรรม
    โอ ภูเขาอันบริสุทธิ์’

24 ยูดาห์กับทุกเมืองของแคว้นจะอาศัยอยู่ด้วยกันที่นั่น พร้อมกับบรรดาชาวไร่และผู้เลี้ยงดูฝูงสัตว์ของพวกเขา 25 เพราะเราจะให้ผู้ที่เหนื่อยล้าได้สดชื่น และผู้ที่หิวกระหายได้ดื่มกินจนพอใจ”

26 ข้าพเจ้าตื่นขึ้นและเห็นว่าข้าพเจ้าหลับสบาย

27 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ดูเถิด จะถึงเวลาที่เราจะหว่านพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์ด้วยเชื้อสายของมนุษย์และสัตว์ 28 เราได้ถอนรากและโค่นพวกเขาลง กำจัด ทำลายและให้เกิดความพินาศอย่างไร เราก็จะแน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับการสร้างและปลูก” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 29 “เมื่อถึงเวลา พวกเขาจะไม่พูดอีกว่า

‘พ่อได้กินองุ่นเปรี้ยว
    และลูกๆ ก็เข็ดฟัน’

30 แต่ทุกคนจะตายเพราะบาปของตนเอง แต่ละคนที่กินองุ่นเปรี้ยว เขาจะเข็ดฟันเอง”

พันธสัญญาใหม่

31 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ดูเถิด จะถึงเวลาที่เราจะทำพันธสัญญาใหม่กับพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์ 32 ไม่เป็นเหมือนพันธสัญญาที่เราได้ทำกับบรรพบุรุษของเขาในวันที่เราจูงมือพวกเขาออกไปจากแผ่นดินอียิปต์[i] พันธสัญญาของเราที่พวกเขาไม่ปฏิบัติตาม แม้ว่าเราเป็นประหนึ่งสามีของพวกเขาก็ตาม” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 33 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่นี่เป็นพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล และหลังจากนั้น เราจะเขียนกฎของเราในความคิดของพวกเขา และเราจะจารึกไว้ในใจของพวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา 34 และจะไม่มีวันที่แต่ละคนจะสอนเพื่อนบ้านและพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักพระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา นับจากคนด้อยสุดในพวกเขาจนถึงคนยิ่งใหญ่ที่สุด พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น ด้วยว่า เราจะยกโทษความชั่วของพวกเขา และเราจะไม่จดจำบาปของพวกเขาอีกต่อไป”[j]

35 พระผู้เป็นเจ้า องค์ผู้ให้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ในยามกลางวัน และกำหนดให้แสงสว่างจากดวงจันทร์กับดวงดาวในยามค่ำคืน องค์ผู้ทำให้ทะเลปั่นป่วน และคลื่นส่งเสียงครืนครั่น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาคือพระนามของพระองค์ ผู้กล่าวดังนี้

36 พระองค์ประกาศว่า

“ถ้าข้อกำหนดของธรรมชาติไม่อยู่ใต้อำนาจการควบคุมของเราเมื่อใด
    เชื้อสายของอิสราเอลก็จะหยุดจากการเป็นประชาชาติไปตลอดกาล”

37 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า

“ถ้ามนุษย์วัดขนาดฟ้าสวรรค์เบื้องบนได้
    และถ้ามนุษย์ค้นพบฐานรากของแผ่นดินโลกได้
เราก็จะไม่ยอมรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล
    เนื่องจากทุกสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

38 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ดูเถิด จะถึงเวลาที่เมืองนี้จะถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อเกียรติของพระผู้เป็นเจ้า ตั้งแต่หอคอยฮานันเอลจนถึงประตูมุม 39 และเส้นแบ่งเขตจะยื่นออกไปจากที่นั่น ตรงไปถึงเนินเขากาเรบ และเลี้ยวไปยังโกอาห์ 40 ทั้งหุบเขาที่ฝังร่างของคนตายและขี้เถ้า และทั้งไร่นาไปจนถึงธารน้ำขิดโรน ถึงมุมประตูม้าทางด้านตะวันออก จะบริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า และจะไม่ถูกถอนรากหรือถูกกำจัดอีกต่อไปจนชั่วนิรันดร์”

เยเรมีย์ซื้อที่นา

32 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ ในปีที่สิบของเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ซึ่งเป็นปีที่สิบแปดของเนบูคัดเนสซาร์ ในเวลานั้น กองทหารของกษัตริย์แห่งบาบิโลนกำลังล้อมเยรูซาเล็ม และเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าถูกกักตัวอยู่ที่ลานทหารยาม ในวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์ เพราะเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์สั่งให้จำขังท่านโดยกล่าวว่า “ทำไมท่านจึงเผยความว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ดูเถิด เรากำลังมอบเมืองนี้ไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาจะยึดเมือง เศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์จะหนีไม่รอดจากเงื้อมมือของชาวเคลเดีย แต่จะถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลนอย่างแน่นอน และจะเผชิญหน้าพูดกับเขาโดยตรง และเขาจะนำเศเดคียาห์ไปยังบาบิโลน และเขาจะอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะมาช่วยเขา พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น ถึงแม้ว่าเจ้าจะต่อสู้กับชาวเคลเดีย เจ้าก็จะไม่ชนะ’”

เยเรมีย์พูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า ‘ดูเถิด ฮานัมเอลบุตรของชัลลูมลุงของเจ้าจะมาหาเจ้าและพูดว่า “ซื้อที่นาของเราที่อยู่ในอานาโธทเถิด เพราะสิทธิที่จะซื้อกลับคืนเป็นของท่านแล้ว”’[k] ฮานัมเอลลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้ามาหาข้าพเจ้าที่ลานทหารยาม ซึ่งเป็นไปตามคำของพระผู้เป็นเจ้า และพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘ซื้อที่นาของเราที่อยู่ในอานาโธทในอาณาเขตของเบนยามินเถิด เพราะสิทธิของการเป็นเจ้าของและซื้อกลับคืนเป็นของท่านแล้ว ซื้อเก็บไว้เอง’ ข้าพเจ้าจึงทราบว่าคำพูดนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้า

ข้าพเจ้าจึงได้ซื้อที่นาในอานาโธทจากฮานัมเอลลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้า และชั่งเงินให้เขาไป 17 เชเขล[l] 10 ข้าพเจ้าเซ็นสัญญาและผนึกตรา มีพยาน และชั่งเงินบนตราชั่ง 11 และข้าพเจ้าเอาสัญญาซื้อขายที่ผนึกแล้ว ซึ่งระบุข้อตกลงและเงื่อนไข กับสำเนาสัญญาอีกฉบับที่ไม่ได้ผนึก 12 ข้าพเจ้ามอบสัญญาซื้อขายให้แก่บารุคบุตรของเนริยาห์ซึ่งเป็นบุตรของมัคเสยาห์ ต่อหน้าฮานัมเอลลูกพี่ลูกน้องข้าพเจ้า และต่อหน้าบรรดาพยานที่เซ็นสัญญาซื้อขาย และต่อหน้าชาวยูดาห์ทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่ลานทหารยาม 13 ข้าพเจ้ากล่าวกับบารุคต่อหน้าทุกคนที่นั่นว่า 14 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า จงเอาสัญญาสองฉบับ ทั้งสัญญาซื้อขายที่ผนึกแล้ว กับสำเนาที่ไม่ได้ผนึก เก็บในภาชนะดินเผาเพื่อเก็บรักษาไว้ได้นาน 15 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า บ้านเรือน ที่นา และสวนองุ่นจากแผ่นดินนี้จะมีการซื้อขายกันอีก’

เยเรมีย์อธิษฐานขอความเข้าใจ

16 หลังจากที่ข้าพเจ้าได้มอบสัญญาซื้อขายแก่บารุคบุตรของเนริยาห์แล้ว ข้าพเจ้าก็อธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า

17 ‘โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่และด้วยพลานุภาพของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดยากเกินไปสำหรับพระองค์ 18 พระองค์แสดงความรักอันมั่นคงแก่มนุษย์นับพันๆ คน แต่พระองค์ลงโทษบุตรเพราะความผิดของบิดา โอ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และมีอานุภาพผู้มีพระนามว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา 19 พระองค์มีจุดประสงค์ที่วิเศษและกระทำการด้วยอานุภาพยิ่งนัก พระองค์เห็นทุกวิถีทางที่มนุษย์ทำ และกระทำตอบกลับให้แต่ละคน ตามวิถีทางของเขาและตามแต่ผลของการกระทำของเขา 20 พระองค์ได้แสดงปรากฏการณ์และสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ในแผ่นดินอียิปต์ และแสดงต่ออิสราเอลและท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงจนถึงวันนี้ และพระองค์ได้ทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่เลื่องลือ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 21 พระองค์นำอิสราเอลชนชาติของพระองค์ออกจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยปรากฏการณ์และสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ด้วยอานุภาพและพลานุภาพ และความหวาดหวั่น 22 พระองค์มอบแผ่นดินนี้ให้แก่พวกเขา ซึ่งพระองค์ปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะมอบให้ แผ่นดินอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง 23 แล้วพวกเขาก็เข้าไปในแผ่นดินนั้นและยึดเป็นเจ้าของ แต่พวกเขาไม่เชื่อฟังหรือดำเนินชีวิตตามกฎบัญญัติของพระองค์ พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดตามที่พระองค์บัญชาให้พวกเขาทำเลย ฉะนั้นพระองค์ได้ให้พวกเขาประสบความวิบัติเหล่านี้ 24 ดูเถิด พวกเขาก่อเชิงเทินประชิดด้านนอกกำแพงเพื่อจะยึดเมือง และก็ได้ขึ้นมาถึงเมืองแล้ว และเพราะการสู้รบ ความอดอยาก และโรคระบาด เมืองนี้จึงถูกมอบไว้ในมือของชาวเคลเดียผู้ที่กำลังโจมตีเมือง สิ่งที่พระองค์กล่าวก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ดังที่พระองค์เห็น 25 โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์กลับกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “จงใช้เงินซื้อที่นา พร้อมทั้งหาคนเป็นพยานด้วย” แม้ว่าเมืองนี้กำลังจะถูกยึดโดยชาวบาบิโลน’”

26 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ว่า 27 “ดูเถิด เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของมนุษย์ทั้งปวง มีสิ่งใดยากเกินไปสำหรับเราหรือ” 28 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ดูเถิด เรากำลังมอบเมืองนี้ไว้ในมือของชาวเคลเดียและเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาจะยึดเมืองนี้ไว้[m] 29 ชาวเคลเดียที่กำลังต่อสู้กับเมืองนี้จะมาและเผาเมืองนี้จนมอดไหม้ รวมทั้งบ้านที่มีหลังคาเป็นที่เผาเครื่องหอมแก่เทพเจ้าบาอัลและรินเครื่องดื่มบูชาให้แก่บรรดาเทพเจ้า ซึ่งเป็นการยั่วโทสะเรา 30 เพราะลูกหลานของอิสราเอลและของยูดาห์ไม่ได้กระทำสิ่งใดนอกจากความชั่วในสายตาของเราตั้งแต่ต้น ลูกหลานของอิสราเอลไม่ได้กระทำสิ่งใดนอกจากการยั่วโทสะเราด้วยความประพฤติของพวกเขาเอง พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 31 เมืองนี้ได้ยั่วโทสะเราและทำให้เรากริ้วเป็นที่สุด ตั้งแต่วันที่สร้างเมืองขึ้นมาจนถึงวันนี้ เราจึงจะกำจัดให้พ้นไปจากหน้าเรา 32 เพราะความชั่วของลูกหลานของอิสราเอลและของยูดาห์ที่พวกเขากระทำจนยั่วโทสะเรา อีกทั้งบรรดากษัตริย์และผู้นำของพวกเขา บรรดาปุโรหิตและผู้เผยคำกล่าวของพวกเขา ประชาชนของยูดาห์และเยรูซาเล็ม 33 พวกเขาหันหลัง แทนที่จะหันหน้ามาหาเรา และถึงแม้ว่าเราได้สอนพวกเขาเสมอมา แต่เขาก็ยังไม่ฟังหรือเรียนรู้อะไรทั้งสิ้น 34 พวกเขาได้ตั้งสิ่งที่น่าชังของพวกเขาไว้ในตำหนักซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นของเรา และทำให้ที่นั้นเป็นมลทิน 35 พวกเขาได้สร้างแท่นบูชาที่สถานบูชาบนภูเขาสูงของเทพเจ้าบาอัล ซึ่งอยู่ในหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนม เพื่อถวายบุตรชายและบุตรหญิงแก่เทพเจ้าโมเลค ซึ่งเราไม่ได้บัญชาให้ทำ[n] เราไม่เคยแม้แต่จะคิดว่า พวกเขาจะกระทำสิ่งที่น่ารังเกียจ อันเป็นเหตุให้ยูดาห์ทำบาปเช่นนี้

พวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา

36 ฉะนั้น บัดนี้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวถึงเมืองซึ่งพวกเจ้าพูดว่า ‘เมืองนี้ถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลนด้วยการสู้รบ ความอดอยาก และโรคระบาด’ 37 ดูเถิด เราจะรวบรวมพวกเขาจากแผ่นดินทั้งปวงที่เราได้ขับไล่ให้พวกเขาออกไปในเวลาที่เราโกรธและกริ้วมาก เราจะนำพวกเขากลับมายังที่นี้ และเราจะให้พวกเขาอาศัยอยู่ในที่ปลอดภัย 38 และพวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา 39 เราจะให้พวกเขามีใจและวิถีทางเป็นหนึ่งเดียวคือ พวกเขาจะเกรงกลัวเราจนชั่วนิรันดร์ เพื่อเขาจะได้ดี และลูกหลานที่ตามมาภายหลังก็จะได้ดีด้วย 40 เราจะทำพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์กับพวกเขาว่า[o] เราจะดีต่อพวกเขาเสมอไป และเราจะทำให้พวกเขาเกรงกลัวเรา เพื่อพวกเขาจะไม่หันเหไปจากเรา 41 เราจะทำดีต่อพวกเขาด้วยความยินดี และเราจะปลูกสร้างพวกเขาในแผ่นดินนี้ด้วยสุดดวงใจและสุดดวงจิตของเรา”

42 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “เราได้ทำให้คนเหล่านี้ประสบความวิบัติเช่นนี้อย่างไร เราก็จะให้พวกเขาได้รับสิ่งดีๆ ทั้งสิ้นที่เราสัญญาพวกเขาอย่างนั้น 43 จะมีการซื้อขายไร่นาในแผ่นดินนี้ ซึ่งเป็นที่ที่เจ้าพูดว่า ‘เป็นที่รกร้าง ไร้มนุษย์และสัตว์ และอยู่ในมือของพวกเคลเดีย’ 44 ไร่นาจะถูกซื้อด้วยเงิน และสัญญาซื้อขายจะมีการเซ็นชื่อและผนึกพร้อมด้วยพยาน ในอาณาเขตของเบนยามิน ในที่ต่างๆ รอบเยรูซาเล็ม และในเมืองต่างๆ ของยูดาห์และในแถบภูเขา ในเมืองต่างๆ ในที่ลุ่มและในเนเกบ เพราะเราจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของพวกเขาคืนสู่สภาพเดิม” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

พระผู้เป็นเจ้าสัญญาให้มีสันติสุข

33 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ครั้งที่สอง ขณะที่ท่านยังถูกกักตัวอยู่ที่ลานทหารยาม พระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างแผ่นดินโลก ผู้ปั้นและสถาปนามันขึ้นมา พระผู้เป็นเจ้าคือพระนามของพระองค์ พระองค์กล่าวดังนี้ว่า “จงร้องถึงเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกเจ้าถึงสิ่งต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่และถูกซ่อนไว้ซึ่งเจ้ายังไม่รู้” พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวถึงบ้านเรือนของเมืองนี้และวังทั้งหลายของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ที่ถูกพังลง เนื่องจากพวกเขาป้องกันและต่อสู้เมื่อศัตรูใช้อาวุธและก่อเชิงเทินประชิดตัว ในการต่อสู้กับชาวเคลเดีย “จะมีร่างของคนตายในบ้านเรือน เราเป็นผู้ที่ฆ่าพวกเขาเนื่องจากความโกรธและกริ้วมาก เราได้ซ่อนหน้าของเราไปจากเมืองนี้แล้วก็เพราะความชั่วร้ายของพวกเขา ดูเถิด เราจะทำให้เมืองนี้ได้รับการเยียวยารักษาและได้สุขภาพดีกลับคืนมา เราจะรักษาพวกเขาให้หายขาดและได้อยู่อย่างสุขสบายและปลอดภัย เราจะให้ยูดาห์และอิสราเอลเจริญรุ่งเรืองในแผ่นดินอีก และสร้างเมืองขึ้นใหม่เหมือนกับที่เคยเป็นมาตั้งแต่แรก เราจะชำระพวกเขาให้สะอาดจากความผิดบาปที่มีต่อเราทั้งสิ้น และเราจะยกโทษความผิดบาปและการขัดขืนที่มีต่อเราทั้งสิ้น เมืองนี้จะเป็นเมืองแห่งความยินดี การสรรเสริญ และเกียรติสำหรับเรา เมื่อประชาชาติทั้งปวงของแผ่นดินโลกทราบถึงสิ่งดีๆ ทั้งปวงที่เรากระทำให้แก่เมืองนี้ พวกเขาจะหวาดกลัวและตัวสั่นเทาเพราะสิ่งดีๆ ทุกสิ่งและความสุขสบายที่เราให้พวกเขาได้รับ”

10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “พวกเจ้าพูดว่า ‘นี่เป็นที่รกร้าง ไร้มนุษย์และสัตว์’ ในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ และถนนของเยรูซาเล็มที่ถูกทิ้งเป็นที่ร้าง ไร้มนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ แต่ผู้คนจะได้ยินอีก 11 เสียงแห่งความยินดีและดีใจ เสียงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว และเสียงร้องเพลง ขณะที่พวกเขานำของถวายแห่งการขอบคุณมายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า

‘จงขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา
    เพราะพระผู้เป็นเจ้าประเสริฐ
    เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล’[p]

เพราะเราจะให้แผ่นดินเจริญรุ่งเรืองอย่างที่เคยเป็นมาตั้งแต่แรก” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น

12 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ว่า “ในที่รกร้างเช่นนี้ ซึ่งไร้มนุษย์และสัตว์ อีกทั้งเมืองต่างๆ ก็จะมีทุ่งหญ้าให้บรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะพาแกะมาเล็มหญ้าอีก 13 ในเมืองต่างๆ ในแถบภูเขา ในที่ลุ่ม และในเนเกบ ในดินแดนของเบนยามิน และในที่ต่างๆ รอบเยรูซาเล็ม และในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ ผู้เลี้ยงดูฝูงแกะจะนับจำนวนแกะอีก” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น

พันธสัญญาอันยั่งยืนของพระผู้เป็นเจ้าที่มีกับดาวิด

14 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ดูเถิด จะถึงวันเมื่อเราจะทำตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์ 15 ในครั้งนั้น และในเวลานั้นเราจะให้มีอังกูร[q]ผู้หนึ่งซึ่งกอปรด้วยความชอบธรรมสืบเชื้อสายมาจากดาวิด และท่านจะปฏิบัติด้วยความเป็นธรรมและความชอบธรรมในแผ่นดิน 16 ในวันนั้น ยูดาห์จะปลอดภัย และเยรูซาเล็มจะอยู่อย่างมั่นคง ผู้คนจะเรียกชื่อเมืองนี้ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าเป็นความชอบธรรมของพวกเรา’”

17 ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “ผู้สืบเชื้อสายของดาวิดที่จะนั่งบนบัลลังก์ของพงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่มีวันสูญไป 18 และจะมีบรรดาปุโรหิตจากเผ่าเลวีมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย เผาเครื่องธัญญบูชา และมอบเครื่องสักการะ ณ เบื้องหน้าเราเป็นนิตย์”

19 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ 20 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “ถ้าเจ้าสามารถทำให้กลางวันและกลางคืนหยุดหมุนเวียนตามกำหนดเวลาที่เราระบุไว้ได้ 21 พันธสัญญาของเราที่มีกับดาวิดผู้รับใช้ของเราก็จะเลิกล้มได้ โดยที่เขาจะไม่มีบุตรชายที่จะครองบัลลังก์ของเขา และจะไม่มีพันธสัญญาของเราที่มีกับบรรดาปุโรหิตจากเผ่าเลวีผู้ปฏิบัติรับใช้เรา 22 ในเมื่อไม่มีผู้ใดนับดวงดาวทั้งหลายในฟ้าสวรรค์ หรือนับเม็ดทรายในทะเลได้ ดังนั้นเราก็จะทวีจำนวนเชื้อสายของดาวิดผู้รับใช้ของเราและบรรดาปุโรหิตจากเผ่าเลวีผู้ปฏิบัติรับใช้เราให้มากมายเช่นนั้น”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation