Bible in 90 Days
21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 22 “บุตรมนุษย์เอ๋ย สุภาษิตนี้ซึ่งพวกเจ้าพูดถึงในแผ่นดินอิสราเอลว่า ‘วันเวลาผ่านไป และไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปตามภาพนิมิตเลย’ มันหมายถึงอะไร 23 ฉะนั้น จงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ ‘เราจะทำให้ไม่มีการพูดถึงสุภาษิตนี้อีก และพวกเขาจะไม่อ้างถึงสุภาษิตนี้ในอิสราเอลอีกต่อไป’ แต่เจ้าจงบอกพวกเขาว่า ‘วันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว ที่ทุกสิ่งจะเป็นไปตามภาพนิมิต’ 24 เพราะจะไม่มีภาพนิมิตเท็จอีกต่อไป หรือการทำนายที่ยกยอในหมู่พงศ์พันธุ์อิสราเอล 25 แต่เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราจะพูดสิ่งที่เราต้องการจะพูด และสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นโดยไม่ล่าช้า แต่จะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของพวกเจ้า โอ พงศ์พันธุ์ที่ขัดขืนเอ๋ย เราจะพูดและจะทำให้เกิดขึ้น” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
26 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 27 “บุตรมนุษย์เอ๋ย ดูเถิด พงศ์พันธุ์อิสราเอลพูดกันว่า ‘ภาพนิมิตที่เขาเห็นนั้น ยังอีกนานหลายปีนับจากเวลานี้ และเขาเผยความเรื่องอนาคตอันไกล’” 28 ฉะนั้น เจ้าจงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “คำพูดของเราจะไม่ล่าช้าอีกต่อไป แต่สิ่งที่เราพูดจะเกิดขึ้น” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
ผู้เผยคำกล่าวจอมปลอมถูกกล่าวโทษ
13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงเผยความกล่าวโทษบรรดาผู้เผยคำกล่าวของอิสราเอล พวกเขากำลังเผยความ และเจ้าจงบอกบรรดาผู้ที่เผยความจากความนึกคิดของพวกเขาเอง จงบอกพวกเขาว่า จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 3 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า วิบัติจงเกิดแก่บรรดาผู้เผยคำกล่าว ซึ่งกระทำตามจิตวิญญาณของตนเอง และยังไม่ได้เห็นอะไรเลย 4 โอ อิสราเอลเอ๋ย บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพวกเจ้าเป็นเหมือนพวกหมาในที่อยู่ท่ามกลางสถานที่ร้าง 5 เจ้าไม่ได้ขึ้นไปที่ช่องกำแพงแตก หรือซ่อมแซมกำแพงให้พงศ์พันธุ์อิสราเอล เพื่อจะได้ยืนหยัดในการสู้รบในวันของพระผู้เป็นเจ้า 6 พวกเขาเห็นภาพนิมิตเท็จ และการทำนายที่ไม่จริง พวกเขาพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าประกาศ’ เมื่อพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ส่งพวกเขาไป และพวกเขายังหวังว่าพระองค์จะทำให้สิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเกิดขึ้น 7 พวกเจ้าไม่เคยเห็นภาพนิมิตเท็จและการทำนายที่ไม่จริงหรือ เมื่อใดที่เจ้าพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าประกาศ’ แม้ว่าเราจะไม่ได้กล่าวก็ตาม”
8 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “เพราะพวกเจ้าได้ทำนายสิ่งที่เท็จ และได้เห็นภาพนิมิตที่ไม่จริง ฉะนั้นดูเถิด เราจะขัดขวางพวกเจ้า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศ 9 มือของเราจะกล่าวโทษบรรดาผู้เผยความที่เห็นภาพนิมิตเท็จและการทำนายที่ไม่จริง พวกเขาจะไม่อยู่ในที่ประชุมของชนชาติของเรา หรืออยู่ในรายชื่อบันทึกของพงศ์พันธุ์อิสราเอล หรือจะเข้าไปในแผ่นดินของอิสราเอล และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ 10 เพราะพวกเขาได้ชักนำชนชาติของเราให้หลงผิดโดยพูดว่า ‘สันติสุข’ ทั้งๆ ที่ไม่มีสันติสุข และเมื่อประชาชนสร้างกำแพง ผู้เผยคำกล่าวเหล่านั้นก็ฉาบมันด้วยปูนขาว 11 จงบอกบรรดาคนเหล่านั้นที่ฉาบกำแพงด้วยปูนขาวว่า มันจะพังทลาย ฝนจะหลั่งเป็นกระแสน้ำ และเราจะให้พายุลูกเห็บกระหน่ำลง และลมพายุแรงจะพัด 12 และเมื่อกำแพงพังทลาย ประชาชนจะไม่ถามพวกเจ้าหรือว่า ‘ปูนขาวที่พวกท่านฉาบไว้น่ะอยู่ไหนล่ะ’ 13 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า เราจะทำให้ลมพายุแรงพัดมากับการลงโทษของเรา และจะมีฝนหลั่งเป็นกระแสน้ำมากับความโกรธของเรา และพายุลูกเห็บกับการลงโทษเป็นการยุติอย่างเต็มเปี่ยม 14 และเราจะพังกำแพงที่พวกเจ้าฉาบด้วยปูนขาว ทำให้มันพังทลายลงพื้น จนฐานกำแพงไม่มีซากเหลืออยู่เลย เวลามันพังลง พวกเจ้าจะตายอยู่ท่ามกลางกำแพงนั้น และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า 15 เราจะใช้การลงโทษกระหน่ำอย่างนั้นต่อกำแพงและบรรดาผู้ที่ฉาบกำแพงด้วยปูนขาว และเราจะบอกพวกเจ้าว่า ทั้งกำแพงและคนเหล่านั้นที่ฉาบกำแพงไม่มีอีกต่อไปแล้ว 16 บรรดาผู้เผยคำกล่าวของอิสราเอลที่เผยความเกี่ยวกับเยรูซาเล็ม และเห็นภาพนิมิตแห่งสันติสุขสำหรับเยรูซาเล็ม ทั้งๆ ที่ไม่มีสันติสุข” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
17 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงขัดขวางบรรดาบุตรหญิงของประชาชนของเจ้า พวกเขาเผยความจากความนึกคิดของพวกเขาเอง จงเผยความกล่าวโทษพวกเขา 18 และบอกว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘วิบัติจงเกิดแก่บรรดาหญิงที่ทำเครื่องรางสวมที่ข้อมือของพวกเขาทุกคน และทำผ้าคลุมศีรษะที่มีความยาวต่างๆ กันเป็นการล่าชีวิตคน เจ้าจะล่าชีวิตที่เป็นของชนชาติของเรา แล้วรักษาชีวิตของตนไว้ได้หรือ 19 พวกเจ้าดูหมิ่นเราท่ามกลางชนชาติของเราเพื่อข้าวบาร์เลย์สองสามกำมือ และเพื่อขนมปังเพียงไม่กี่ชิ้น สังหารคนที่ไม่สมควรตาย และไว้ชีวิตพวกที่ไม่สมควรจะอยู่ ด้วยการพูดเท็จกับชนชาติของเราซึ่งฟังความเท็จ’”
20 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เราไม่ยอมรับเครื่องรางของเจ้าซึ่งเจ้าใช้ล่าชีวิตคนอย่างล่านก และเราจะทำให้เครื่องรางขาดออกจากแขนของเจ้า และเราจะปล่อยชีวิตที่เจ้าล่าอย่างล่านกให้เป็นอิสระ 21 เราจะทำให้ผ้าคลุมศีรษะของเจ้าขาด และเราจะช่วยชนชาติของเราให้หลุดจากมือของเจ้า พวกเขาจะไม่อยู่ในมือของเจ้าดั่งเหยื่ออีกต่อไป และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า 22 เพราะเจ้าพูดเท็จจึงได้ทำให้ผู้มีความชอบธรรมท้อใจ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้นำความเศร้าใจมาให้เขา นอกจากนั้น เจ้ายังได้สนับสนุนคนชั่วไม่ให้หันจากวิถีแห่งความชั่วเพื่อเขาจะรักษาชีวิตของตนไว้ 23 ฉะนั้น เจ้าจะไม่เห็นภาพนิมิตเท็จหรือการทำนายอีก เราจะให้ชนชาติของเรารอดจากมือของเจ้า และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า”
ผู้บูชารูปเคารพถูกกล่าวโทษ
14 แล้วบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลมาหาข้าพเจ้า และนั่งที่ตรงหน้าข้าพเจ้า 2 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 3 “บุตรมนุษย์เอ๋ย ชายเหล่านี้ได้ใฝ่ใจในรูปเคารพ และวางเครื่องกีดขวางแห่งความชั่วที่ตรงหน้าของพวกเขา ควรแล้วหรือที่เราจะให้พวกเขาขอคำปรึกษาจากเรา 4 ฉะนั้นจงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า ผู้ใดก็ตามในพงศ์พันธุ์อิสราเอลที่ใฝ่ใจในรูปเคารพ และวางเครื่องกีดขวางแห่งความชั่วที่ตรงหน้าของตน และยังจะมาหาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า เราผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้าก็จะให้คำตอบแก่เขาขณะที่เขามาพร้อมด้วยรูปเคารพมากมาย 5 เราจะได้ชนะใจพงศ์พันธุ์อิสราเอลซึ่งได้ทอดทิ้งเราไปเพราะรูปเคารพของพวกเขา
6 ฉะนั้น จงบอกพงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า จงกลับใจและเลิกบูชารูปเคารพ และหันไปเสียจากการกระทำที่น่าชังทั้งปวงของเจ้า 7 เพราะผู้ใดก็ตามในพงศ์พันธุ์อิสราเอลหรือคนแปลกหน้าที่แรมรอนในอิสราเอล ซึ่งผละตัวไปจากเรา และใฝ่ใจในรูปเคารพ และวางเครื่องกีดขวางแห่งความชั่วที่ตรงหน้าของเขา และยังจะมาหาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเพื่อขอคำปรึกษาจากเรา เราผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้าก็จะให้คำตอบแก่เขาเอง 8 และเราจะขัดขวางคนนั้น และจะทำให้เขาเป็นตัวอย่างของการตักเตือน เป็นที่หัวเราะเยาะ เราจะตัดเขาขาดจากชนชาติของเรา และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า 9 และถ้าผู้เผยคำกล่าวถูกชักจูงให้เผยความ เราผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้าได้ชักจูงผู้เผยคำกล่าวคนนั้น และเราจะยื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษและทำให้เขาพินาศไปจากท่ามกลางอิสราเอลชนชาติของเรา 10 พวกเขาจะแบกรับความผิด ผู้เผยคำกล่าวจะมีความผิดเหมือนกับผู้ขอคำปรึกษา 11 และพงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่หลงหายไปจากเราอีกต่อไป หรือทำตัวเองให้มีมลทินด้วยบาปทั้งสิ้นของพวกเขาอีกต่อไป แต่พวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
เยรูซาเล็มไม่พ้นจากการลงโทษ
12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 13 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เมื่อแผ่นดินใดกระทำบาปต่อเราด้วยความไม่ภักดี และเรายื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษและทำให้แผ่นดินนั้นขาดแคลนอาหาร และเกิดทุพภิกขภัยในแผ่นดิน อีกทั้งสังหารผู้คนและสัตว์เลี้ยงของพวกเขา 14 แม้ว่าถ้าชายทั้งสามเหล่านี้ คือโนอาห์ ดาเนียล และโยบ จะอยู่ในแผ่นดินนั้น พวกเขาก็จะเอาชีวิตรอดได้ก็เฉพาะตัวเองเท่านั้น เพราะความชอบธรรมของตน” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
15 “ถ้าเราให้สัตว์ป่าผ่านเข้ามาในแผ่นดิน และทำความเสียหายมากจนทำให้แผ่นดินเป็นที่รกร้าง และไม่มีผู้ใดสามารถผ่านเข้าไปได้เพราะสัตว์ป่า” 16 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด แม้ว่าถ้าชายทั้งสามเหล่านี้อยู่ในแผ่นดิน พวกเขาจะไม่สามารถรักษาชีวิตบุตรชายหรือบุตรหญิงไว้ได้ พวกเขาเองเท่านั้นที่จะเอาชีวิตรอดได้ แต่แผ่นดินก็ยังจะเป็นที่รกร้าง
17 หรือถ้าเราให้เกิดมีการฆ่าฟันในแผ่นดินและพูดว่า ให้มีการฆ่าฟันทั่วแผ่นดิน และเรากำจัดทั้งมนุษย์และสัตว์ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดิน” 18 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด แม้ว่าถ้าชายทั้งสามนี้อยู่ในแผ่นดิน พวกเขาจะไม่สามารถรักษาชีวิตบุตรชายหรือบุตรหญิงไว้ได้ พวกเขาเองเท่านั้นที่จะเอาชีวิตรอดได้
19 หรือถ้าเราจะให้เกิดโรคระบาดในแผ่นดิน และจะกระหน่ำการลงโทษของเราลงที่นั่นโดยให้มีการหลั่งเลือด เพื่อกำจัดทั้งมนุษย์และสัตว์ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดิน” 20 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด แม้ว่าถ้าโนอาห์ ดาเนียล และโยบอยู่ในแผ่นดิน พวกเขาจะไม่สามารถรักษาชีวิตบุตรชายหรือบุตรหญิงไว้ได้ พวกเขาก็จะเอาชีวิตรอดได้ก็เฉพาะตัวเองเท่านั้น เพราะความชอบธรรมของตน”
21 เพราะพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “จะเลวร้ายยิ่งกว่านั้นเพียงไรถ้าเราให้ความวิบัติทั้งสี่เป็นการลงโทษเยรูซาเล็ม คือการฆ่าฟัน ทุพภิกขภัย สัตว์ป่า และโรคระบาด เพื่อกำจัดทั้งมนุษย์และสัตว์ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดิน 22 แต่ก็ยังจะมีบรรดาผู้ที่มีชีวิตรอดเหลืออยู่ บรรดาบุตรชายและบุตรหญิงที่จะถูกนำออกมาจากแผ่นดิน ดูเถิด เมื่อพวกเขาออกมาหาพวกเจ้า และเจ้าเห็นความประพฤติและการกระทำของพวกเขา พวกเจ้าจะได้รับการปลอบประโลมเรื่องความวิบัติที่เราได้กระทำต่อเยรูซาเล็ม ความวิบัติทั้งสิ้นที่เราได้กระทำต่อเมืองนั้น 23 พวกเขาจะปลอบประโลมพวกเจ้า เมื่อเจ้าเห็นความประพฤติและการกระทำของพวกเขา และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราไม่ได้กระทำสิ่งใดโดยไร้สาเหตุ” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
เยรูซาเล็มเป็นเถาองุ่นอันไร้ประโยชน์
15 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย ไม้จากเถาองุ่นจะดีกว่ากิ่งก้านของต้นไม้อื่นใดในป่าได้อย่างไร 3 ไม้จากเถาองุ่นเอามาทำสิ่งใดได้บ้างไหม มีใครใช้ไม้เถาทำเป็นเดือยแขวนภาชนะได้ไหม 4 ดูเถิด มันถูกโยนเป็นเชื้อเพลิงในกองไฟ เมื่อปลายไม้ถูกเผาไหม้ทั้งสองข้าง และตรงกลางก็เป็นถ่าน แล้วมันใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง 5 ดูเถิด เมื่อมันเป็นไม้ท่อน มันถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ไม่ได้เลย เมื่อถูกไฟไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน มันยิ่งจะใช้ทำอะไรไม่ได้อีกเลย” 6 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เราได้โยนไม้เถาลงในท่ามกลางต้นไม้ในป่าซึ่งเราใช้เป็นเชื้อเพลิงอย่างไร เราก็จะกระทำต่อบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มอย่างนั้น 7 เราจะขัดขวางพวกเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาหนีรอดจากไฟได้ ไฟก็ยังจะเผาไหม้พวกเขา และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราขัดขวางพวกเขา 8 และเราจะทำให้แผ่นดินเป็นที่รกร้าง เพราะพวกเขาไม่ภักดี” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
เจ้าสาวผู้ไม่ภักดีของพระผู้เป็นเจ้า
16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงให้เยรูซาเล็มรู้การกระทำอันน่าชังของตน 3 จงไปบอกว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวแก่เยรูซาเล็มดังนี้ว่า ‘บรรพบุรุษและแหล่งกำเนิดของพวกเจ้าอยู่ในแผ่นดินของชาวคานาอัน บิดาของเจ้าเป็นชาวอาโมร์ และมารดาของเจ้าเป็นชาวฮิต 4 วันที่เจ้าเกิด สายสะดือก็ไม่ได้ตัด และเจ้าไม่มีใครใช้น้ำชำระล้างเจ้าให้สะอาด ไม่ได้ใช้เกลือถูตัวหรือพันผ้าให้เจ้า 5 ไม่มีใครมองดูตัวเจ้าหรือมีเมตตาต่อเจ้าด้วยความสงสารพอที่จะทำสิ่งเหล่านี้ให้เจ้า แต่เจ้ากลับถูกโยนออกไปในทุ่งนากว้าง เพราะวันที่เจ้าเกิด เจ้าถูกดูหมิ่น
6 เมื่อเราเดินผ่านเจ้า และเห็นเจ้าขยับตัวอยู่ในเมือกเลือด เราพูดกับเจ้าซึ่งอยู่ในเมือกเลือดของเจ้าว่า “จงมีชีวิตเถิด” เราพูดกับเจ้าว่า “จงมีชีวิตเถิด” 7 เราทำให้เจ้าเติบโตอย่างพืชในทุ่งนา และเจ้าเติบโตขึ้นและเติบใหญ่ กลายเป็นพลอยเม็ดงาม เจ้าถูกบันดาลให้มีหน้าอก และผมของเจ้ายาว แต่เจ้าก็ยังเปลือยกายและไร้เครื่องนุ่งห่ม
8 เมื่อเราเดินผ่านเจ้าไปอีก ดูเถิด เราแลดูเจ้า และเห็นว่า เจ้ามีอายุที่จะมีความรัก และเรากางชายเสื้อของเราให้เจ้าได้ห่มและปิดกายที่เปลือยของเจ้า เราปฏิญาณกับเจ้าและทำพันธสัญญากับเจ้า และเจ้าก็เป็นของเรา’” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น 9 “แล้วเราใช้น้ำชำระล้างเจ้า ล้างเลือดออก และเจิมน้ำมันให้เจ้า 10 เราสวมเสื้อให้เจ้าด้วยผ้าปักลวดลาย และสวมรองเท้าหนังให้เจ้า เราให้เจ้านุ่งห่มด้วยผ้าป่านเนื้อดีและคลุมด้วยผ้าไหม 11 เราตกแต่งตัวเจ้าด้วยเครื่องประดับ และสวมกำไลมือและสร้อยคอให้แก่เจ้า 12 เราคล้องห่วงที่จมูกและสวมตุ้มหูให้แก่เจ้า อีกทั้งสวมมงกุฎงามบนศีรษะของเจ้า 13 เจ้าได้รับการตกแต่งด้วยเงินและทองดังกล่าว และเสื้อผ้าของเจ้าเป็นผ้าป่านเนื้อดี ผ้าไหม และผ้าปักลวดลาย เจ้ารับประทานแป้งชั้นเยี่ยม น้ำผึ้ง และน้ำมัน เจ้ากลายเป็นผู้ที่งดงามยิ่งนัก และเลื่อนระดับสู่ความเป็นเจ้าหญิง 14 กิตติศัพท์ของเจ้าเป็นที่เลื่องลือในบรรดาประชาชาติเพราะความงามของเจ้า เพราะความงามตระการที่เราได้มอบให้แก่เจ้าได้ทำให้เจ้างามอย่างหาที่ติมิได้” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
15 “แต่ว่าเจ้าวางใจในความงามของเจ้า และทำตนเป็นหญิงแพศยาเพราะเจ้ามีกิตติศัพท์ และแสดงความโปรดปรานแก่ผู้ที่ผ่านมาเพื่อทำให้เขาพอใจ ความงามของเจ้าทำให้เจ้ากลายเป็นของเขา 16 เจ้าเอาเสื้อผ้าของเจ้าไปจัดสถานบูชาบนภูเขาสูงให้ฉูดฉาด และเป็นที่ซึ่งเจ้ากระทำตนเป็นหญิงแพศยาเรื่อยมา การกระทำเช่นนี้ไม่เคยเป็นมาก่อน และจะไม่มีวันเป็นเช่นนี้อีก 17 เครื่องประดับเงินและทองคำอันงดงามของเจ้าที่เราให้เจ้า เจ้าเอาไปหล่อเป็นรูปเคารพซึ่งเป็นร่างของผู้ชาย และกระทำตนเป็นหญิงแพศยาต่อรูปเคารพเหล่านั้น 18 และเจ้าเอาเสื้อผ้าที่ปักลวดลายไปห่มรูปเคารพ และมอบน้ำมันและเครื่องหอมของเราที่ตรงหน้ารูปเคารพ 19 ขนมปังที่เราให้แก่เจ้า เราให้เจ้ารับประทานแป้งชั้นเยี่ยม น้ำมัน และน้ำผึ้ง เจ้าก็เอาไปมอบให้ที่ตรงหน้าเขาด้วย ให้ส่งกลิ่นหอม นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าทำ” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น 20 “เจ้าเอาบุตรชายและบุตรหญิงที่เจ้าได้ให้กำเนิดและมอบให้แก่เราแล้ว เจ้ากลับมอบพวกเขาเป็นเครื่องสักการะดั่งเป็นอาหารสำหรับรูปเคารพ เจ้ากระทำตนเป็นหญิงแพศยาเท่านั้นยังไม่เพียงพออีกหรือ 21 เจ้าจึงได้ฆ่าลูกๆ ของเรา และมอบให้เป็นของถวายด้วยไฟแก่รูปเคารพ 22 เมื่อเจ้ากระทำสิ่งอันน่ารังเกียจ และทำตนเป็นหญิงแพศยา เจ้าไม่ได้นึกถึงสมัยที่เจ้ายังเยาว์ ในเวลาที่เจ้าเปลือยกายและปราศจากเครื่องนุ่งห่ม ขยับตัวอยู่ในเมือกเลือดของเจ้า
23 วิบัติ วิบัติจงเกิดแก่เจ้า” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น “นอกจากความชั่วร้ายทั้งสิ้นของเจ้าแล้ว 24 เจ้าก่อเนินขึ้นและสร้างวิหารอันตระหง่านที่ลานเมืองทุกแห่ง 25 ที่หัวถนนทุกแห่ง เจ้าสร้างวิหารอันตระหง่าน และใช้ความงามของเจ้ากระทำสิ่งอันน่าชัง ขายตัวให้แก่ทุกคนที่ผ่านมา และทำตนเป็นหญิงแพศยามากขึ้น 26 เจ้าทำตนเป็นหญิงแพศยาให้กับชาวอียิปต์ เพื่อนบ้านที่บ้ากาม ทำตนเป็นหญิงแพศยามากขึ้น เพื่อยั่วโทสะเรา 27 ฉะนั้น ดูเถิด เราจะยื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษเจ้า และลดอาณาเขตที่เป็นส่วนแบ่งของเจ้าให้น้อยลง และมอบเจ้าให้แก่ความโลภของศัตรูของเจ้า บรรดาบุตรหญิงของชาวฟีลิสเตียซึ่งอับอายต่อการมักมากในกามของเจ้า 28 เจ้าทำตนเป็นหญิงแพศยาต่อชาวอัสซีเรียด้วย เพราะเจ้าไม่หนำใจ และแม้แต่จากนั้นแล้ว เจ้าก็ยังไม่หนำใจอีก 29 เจ้าทำตนเป็นหญิงแพศยามากขึ้นด้วยกับดินแดนพ่อค้าแห่งเคลเดีย และถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่หนำใจ”
30 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “เจ้าช่างใจง่ายอะไรเช่นนี้ เป็นเพราะเจ้ากระทำสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นการกระทำของผู้ที่บ่งบอกว่าเป็นหญิงแพศยา 31 เมื่อเจ้าก่อเนินขึ้นที่หัวถนนทุกแห่ง และสร้างวิหารอันตระหง่านที่ลานเมืองทุกแห่ง แต่เจ้าไม่เป็นอย่างหญิงแพศยาเพราะเจ้าดูหมิ่นการจ่ายค่าตัว 32 ภรรยาผู้ผิดประเวณี เจ้าต้อนรับบรรดาคนแปลกหน้าแทนสามีของตน 33 หญิงแพศยาทุกคนรับค่าบริการ แต่เจ้าให้ของกำนัลแก่คนรักของเจ้าทุกคน ใช้สินบนกับพวกเขาเพื่อให้มาหาเจ้าจากทุกแห่งหนด้วยความแพศยาของเจ้า 34 ฉะนั้น เจ้าต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ ในการทำตนเป็นหญิงแพศยา ไม่มีผู้ใดวิ่งไล่ตามเจ้าและทำตนเป็นหญิงแพศยาต่อเจ้า และเจ้าเองที่เป็นฝ่ายจ่ายค่าจ้าง ในขณะที่ไม่มีใครจ่ายค่าจ้างให้แก่เจ้า เจ้าต่างจากคนอื่นในข้อนี้”
35 ฉะนั้น โอ หญิงแพศยาเอ๋ย จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 36 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เพราะเจ้าปล่อยราคะออกมา เปิดกายอันเปลือยเปล่าของเจ้าให้เห็นเมื่อทำตนเป็นหญิงแพศยากับบรรดาคนรักของเจ้า และกับรูปเคารพอันน่ารังเกียจทั้งสิ้นของเจ้า และเพราะเลือดของลูกๆ ของเจ้าที่เจ้าถวายให้แก่รูปเคารพ 37 ฉะนั้น เราจะรวบรวมบรรดาคนรักทั้งสิ้นของเจ้าที่เจ้าสนุกสนานด้วย ทุกคนที่เจ้ารักและทุกคนที่เจ้าเกลียด เราจะรวบรวมพวกเขาจากทุกแห่งหนเพื่อมากล่าวโทษเจ้า และจะเปลื้องกายของเจ้าต่อหน้าพวกเขา เพื่อให้พวกเขาเห็นความเปลือยเปล่าของเจ้า 38 และเราจะตัดสินเจ้าให้รับโทษสำหรับผู้หญิงที่ประพฤติผิดประเวณีและเป็นเหตุให้มีการหลั่งเลือด เราจะนำเลือดแห่งการลงโทษและความหวงแหนของเรามาลงที่ตัวเจ้า 39 และเราจะมอบเจ้าไว้ในมือของบรรดาคู่รักของเจ้า และพวกเขาจะพังเนินและวิหารอันสูงตระหง่านของเจ้าให้ทลายลง พวกเขาจะเปลื้องเสื้อผ้าของเจ้า และเอาเครื่องประดับอันสวยงามของเจ้าไป ปล่อยให้กายของเจ้าเปลือยเปล่า 40 พวกเขาจะนำฝูงชนมาโจมตีเจ้า พวกเขาจะใช้หินขว้างเจ้า และใช้ดาบฟันให้ขาดเป็นท่อนๆ 41 พวกเขาจะเผาบ้านเรือนของเจ้า และลงโทษเจ้าต่อหน้าบรรดาผู้หญิง เราจะทำให้เจ้าหยุดทำตนเป็นหญิงแพศยา และเจ้าจะไม่จ่ายค่าจ้างบรรดาคนรักของเจ้าอีกต่อไป 42 แล้วความกริ้วของเราที่มีต่อเจ้าก็จะสงบลง และความโกรธอันเกิดจากความหวงแหนจะหายไปจากเจ้า เราจะสงบลงและจะไม่โกรธกริ้วเจ้าอีกต่อไป 43 เพราะเจ้าไม่ได้นึกถึงสมัยที่เจ้ายังเยาว์ แต่ได้ทำให้เรากริ้วด้วยสิ่งเหล่านี้ สิ่งใดที่เจ้าได้กระทำ เจ้าจะได้รับสนองตอบอย่างแน่นอน พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น นอกจากการกระทำที่น่าชังดังกล่าวแล้ว เจ้ายังจะมักมากในกามอีกมิใช่หรือ
44 ดูเถิด ทุกคนที่ใช้คำในสุภาษิต จะใช้สุภาษิตนี้อ้างถึงเจ้าคือ ‘มารดาเป็นอย่างไร บุตรหญิงก็เป็นอย่างนั้น’ 45 เจ้าเป็นบุตรหญิงของมารดาของเจ้า ซึ่งดูหมิ่นสามีและลูกๆ และเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาพี่น้องผู้หญิงของเจ้า ซึ่งดูหมิ่นสามีและลูกๆ ของพวกเขา มารดาของเจ้าเป็นชาวฮิต และบิดาของเจ้าเป็นชาวอาโมร์ 46 พี่สาวของเจ้าคือสะมาเรีย ซึ่งอาศัยอยู่กับบรรดาบุตรหญิงของนางทางเหนือของเจ้า และน้องสาวของเจ้าอาศัยอยู่ทางใต้ของเจ้า คือโสโดม 47 เจ้าไม่เพียงดำเนินในวิถีทางของพวกเขา แต่กระทำตามแบบอย่างอันน่ารังเกียจของพวกเขา แต่ในเวลาอันสั้นเจ้าปฏิบัติอย่างเสื่อมทรามยิ่งกว่าพวกเขาในทุกเรื่อง” 48 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด โสโดมน้องสาวของเจ้ากับบรรดาบุตรหญิงของนางไม่เคยกระทำอย่างที่เจ้าและบรรดาบุตรหญิงของเจ้าได้กระทำ 49 ดูเถิด บาปของโสโดมน้องสาวของเจ้าคือ ทั้งนางและบรรดาบุตรหญิงของนางหยิ่งยโส รับประทานเกินขนาด สุขสบายไร้กังวล แต่ไม่ได้ช่วยผู้ขัดสนและผู้ยากไร้ 50 พวกเขาหยิ่งยโสและกระทำสิ่งอันน่ารังเกียจต่อหน้าเรา เราจึงจัดการกับพวกเขาเมื่อเราแลเห็น[a] 51 สะมาเรียทำบาปไม่ถึงครึ่งของบาปที่เจ้าทำ เจ้าได้กระทำสิ่งอันน่ารังเกียจมากกว่าพวกเขา และเจ้าทำให้พี่น้องผู้หญิงของเจ้าดูเหมือนมีความชอบธรรม เพราะสิ่งเหล่านี้ที่เจ้าได้กระทำ 52 จงแบกรับความอัปยศของเจ้า เพราะเจ้าได้ช่วยทำให้พี่น้องผู้หญิงของเจ้าพ้นผิด เพราะบาปของเจ้ามีมลทินมากกว่าของพวกเขา พวกเขาจึงดูเหมือนมีความชอบธรรมมากกว่าเจ้า ฉะนั้นเจ้าควรจะอับอายและแบกรับความอัปยศของเจ้า เพราะเจ้าได้ทำให้พี่น้องผู้หญิงของเจ้าดูเหมือนมีความชอบธรรม
53 เราจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของโสโดมและบรรดาบุตรหญิงของนาง และของสะมาเรียและบรรดาบุตรหญิงของนางคืนสู่สภาพเดิม เราจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของเจ้าคืนสู่สภาพเดิมในท่ามกลางพวกเขา 54 เพื่อให้เจ้าแบกรับความอัปยศ และอับอายต่อทุกสิ่งที่เจ้าได้กระทำโดยเป็นที่ปลอบใจของพวกเขา 55 บรรดาพี่น้องผู้หญิงของเจ้าคือ โสโดมและบรรดาบุตรหญิงของนาง สะมาเรียและบรรดาบุตรหญิงของนาง จะกลับไปสู่สภาพที่พวกเขาเคยเป็นมาก่อน ทั้งตัวเจ้าและบรรดาบุตรหญิงของเจ้าก็จะกลับไปสู่สภาพที่เจ้าเคยเป็นมาก่อน 56 เจ้าเคยพูดเปรียบเปรยโสโดมน้องสาวของเจ้าในครั้งที่เจ้าหยิ่งยโส 57 ก่อนที่ความชั่วร้ายของเจ้าถูกเปิดโปง บัดนี้เจ้ากลายเป็นที่ดูหมิ่นของบรรดาบุตรหญิงของเอโดมและประชาชาติรอบข้างนาง และของบรรดาบุตรหญิงของชาวฟีลิสเตีย บรรดาผู้ที่อยู่รอบข้างเจ้าที่ดูหมิ่นเจ้า 58 เจ้าจะแบกรับโทษของการมักมากในกามและการปฏิบัติสิ่งอันน่าชัง” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
พันธสัญญาอันชั่วนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า
59 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เราจะกระทำต่อเจ้าอย่างที่เจ้าได้กระทำแล้ว เพราะเจ้าดูหมิ่นคำสาบานของเราเมื่อเจ้ายกเลิกพันธสัญญา 60 แต่เราก็ยังระลึกถึงพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้กับเจ้าในครั้งที่เจ้ายังเยาว์ และเราจะทำพันธสัญญาอันชั่วนิรันดร์กับเจ้า 61 แล้วเจ้าจะระลึกถึงวิถีทางของเจ้าและอับอายเมื่อเจ้ารับพี่น้องผู้หญิงซึ่งมีอายุมากกว่าและอ่อนกว่า เราจะมอบพวกเขาให้เป็นบุตรหญิงแก่เจ้า แต่ไม่ใช่ในฐานะของพันธสัญญาของเราที่มีกับเจ้า 62 ดังนั้น เราจะทำพันธสัญญากับเจ้า และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า 63 และเมื่อเรายกโทษบาปให้แก่เจ้าสำหรับทุกสิ่งที่เจ้าได้กระทำ เจ้าจะระลึกได้และละอายใจ และเจ้าจะไม่มีวันเปิดปากของเจ้าอีกเพราะความอับอายของเจ้า” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
อุปมาเรื่องนกอินทรี 2 ตัวกับเถาไม้
17 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงตั้งปริศนาและเล่าเรื่องอุปมาแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล 3 จงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘นกอินทรีใหญ่ตัวหนึ่งมีปีกอันแข็งแกร่ง ขนยาวหลากสีเต็มตัวมายังเลบานอน เกาะแน่นที่ยอดต้นซีดาร์ 4 มันหักกิ่งไม้บนยอดอ่อน และคาบไปยังดินแดนของพ่อค้า และปักไว้ในเมืองที่เป็นศูนย์การค้าขาย 5 แล้วนกตัวนั้นเอาเมล็ดจากแผ่นดินของเจ้าไปหว่านบนดินอันอุดม มันปลูกเมล็ดอย่างปลูกกิ่งต้นหลิวที่ข้างแหล่งน้ำ 6 เมล็ดงอกและกลายเป็นเถาไม้เลื้อยพันธุ์เตี้ย กิ่งก้านโน้มเข้าหามัน แต่รากอยู่ที่เดิม ฉะนั้นมันเป็นเถาไม้ที่งอกกิ่งก้านและใบออกมา
7 แต่มีนกอินทรีใหญ่อีกตัวหนึ่งซึ่งมีปีกอันแข็งแกร่งและขนเต็มตัว ดูเถิด เถาไม้นี้มีรากที่ยื่นเข้าหานกตัวนี้ และงอกกิ่งก้านโน้มจากบริเวณที่ปลูกไว้เข้าหานก เพื่อให้มันรดน้ำ 8 เถาไม้ถูกปลูกในดินดีใกล้แหล่งน้ำอันอุดม เพื่อจะให้กิ่งก้านงอก ออกผล และกลายเป็นเถาไม้อันวิเศษ’
9 จงบอกกับพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘เถาไม้จะงอกงามหรือไม่ นกตัวนี้จะไม่ขุดคุ้ยรากและกินผลจนเกลี้ยงจนทำให้เถาเหี่ยวเฉาหรือ และทุกใบที่เพิ่งงอกใหม่ก็จะเหี่ยวเฉา ถ้าจะดึงรากทิ้งก็ไม่ต้องใช้กำลังมากหรือหลายคน 10 ถึงแม้ว่าเถาไม้จะถูกย้ายที่ปลูกใหม่ มันจะงอกงามหรือไม่ มันจะไม่เหี่ยวเฉาตายเมื่อลมตะวันออกพัดกระหน่ำหรือ มันจะเหี่ยวตายในบริเวณที่มันงอก’”
11 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 12 “จงบอกพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืนดังนี้ ‘พวกเจ้าไม่ทราบว่าสิ่งเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไรหรือ’ จงบอกพวกเขาว่า ‘ดูเถิด กษัตริย์แห่งบาบิโลนมายังเยรูซาเล็มและจับกษัตริย์และเจ้าหน้าที่ชั้นสูงกลับไปยังบาบิโลนพร้อมกับเขา 13 และเขาให้สมาชิกผู้หนึ่งของกษัตริย์[b]สาบานตนให้คำมั่นสัญญากับเขา และจับบรรดาผู้นำของแผ่นดินไปด้วย 14 เพื่ออาณาจักรจะตกต่ำลงและลุกขึ้นยืนไม่ได้อีก จะอยู่รอดได้ก็ด้วยการทำตามสัญญาของเขา 15 แต่กษัตริย์[c]ขัดขืนคำสั่งของเขาด้วยการให้ผู้ส่งสาสน์ไปยังอียิปต์ เพื่อหวังจะได้ม้าและกองทัพทหาร เขาจะทำสำเร็จหรือ ผู้ที่กระทำอย่างนั้นจะหนีรอดหรือ เขาไม่ทำตามคำมั่นสัญญาแล้วยังจะรอดไปได้หรือ’”
16 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เขาจะสิ้นชีวิตในบาบิโลน ในแผ่นดินของกษัตริย์ผู้ที่ตั้งให้เขาเป็นกษัตริย์ และเขาดูหมิ่นคำปฏิญาณและไม่รักษาคำมั่นสัญญา 17 ฟาโรห์พร้อมกับกองทัพใหญ่และคนจำนวนมากจะไม่ช่วยเหลือเขาในสงคราม เมื่อสร้างกำแพงสูงเพื่อล้อมเมือง และก่อเชิงเทินขึ้นเพื่อทำลายชีวิตคนจำนวนมาก 18 เขาดูหมิ่นคำปฏิญาณและไม่รักษาคำมั่นสัญญา เขาสาบานตนและกระทำสิ่งเหล่านี้ เขาก็จะหนีไม่รอด” 19 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะลงโทษเขาที่ดูหมิ่นคำปฏิญาณของเรา และคำมั่นสัญญาที่เขาไม่รักษา 20 และเราจะเหวี่ยงตาข่ายคลุมตัวเขา และเขาจะตกในกับดักของเรา เราจะนำเขาไปยังบาบิโลนและลงโทษเขาที่นั่น[d] เพราะเขาไม่ภักดีต่อเรา 21 และบรรดาทหารที่ลี้ภัยทั้งปวงจะตายด้วยคมดาบ และบรรดาผู้รอดชีวิตจะกระจัดกระจายไปทุกสารทิศ และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้กล่าวดังนั้น”
22 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เราเองจะเด็ดกิ่งเล็กจากยอดต้นซีดาร์และปลูกกิ่งนั้น เราจะหักกิ่งเล็กที่ยังอ่อนจากยอดสุดของต้น และเราเองจะปลูกยอดอ่อนบนภูเขาอันสูงตระหง่าน 23 เราจะปลูกมันไว้บนภูเขาสูงของอิสราเอล เพื่อให้แตกกิ่งก้าน ออกผล และโตเป็นต้นซีดาร์อันวิเศษ นกทุกชนิดจะทำรังและอาศัยอยู่ภายใต้ร่มไม้ 24 และต้นไม้ทุกต้นในทุ่งจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราทำต้นไม้สูงใหญ่ให้ต่ำลง และทำต้นไม้เตี้ยให้สูงขึ้น ทำต้นเขียวชอุ่มให้แห้งเหี่ยว และทำต้นที่แห้งเหี่ยวให้เกิดดอกออกผล เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้กล่าวดังนั้น และเราจะทำตามนั้น”
จิตวิญญาณที่ทำบาปจะตาย
18 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “พวกเจ้าหมายถึงอะไรเมื่อพูดเป็นสุภาษิตซ้ำๆ ถึงแผ่นดินอิสราเอลว่า
‘พ่อได้กินองุ่นเปรี้ยว
และลูกๆ ก็เข็ดฟัน’”
3 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด พวกเจ้าจะไม่พูดถึงสุภาษิตนี้อีกในอิสราเอล 4 ดูเถิด ชีวิตทุกคนเป็นของเรา ชีวิตพ่อและชีวิตลูกเป็นของเรา ทุกคนที่ทำบาปจะตาย
5 ถ้าผู้ใดมีความชอบธรรมและปฏิบัติด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม 6 ถ้าเขาไม่รับประทานบนภูเขาสูงหรืออธิษฐานต่อรูปเคารพของพงศ์พันธุ์อิสราเอล ไม่ทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านเป็นมลทิน หรือมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาเวลาที่มีรอบเดือน 7 ไม่กดขี่ข่มเหงผู้ใด แต่คืนของประกันให้แก่ผู้ยืม ไม่ปล้น แบ่งปันอาหารให้แก่ผู้อดอยาก จัดหาเครื่องนุ่งห่มให้แก่ผู้ที่ขัดสน 8 ไม่เก็บดอกเบี้ยหรือรับผลกำไรจากการให้ยืม ยั้งมือจากการกระทำสิ่งที่ไม่ยุติธรรม ให้คำตัดสินที่ยุติธรรมอย่างแท้จริงกับทุกคน 9 เขารักษากฎเกณฑ์และทำตามคำบัญชาของเรา เขามีความชอบธรรมและจะมีชีวิตอย่างแน่นอน” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
10 “ถ้าเขามีบุตรที่กระทำผิดและฆ่าคน หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดดังกล่าว 11 (แม้ว่าตัวเขาเองไม่ได้กระทำสิ่งเลวร้ายดังกล่าว) เขารับประทานบนภูเขาสูง ทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านของเขาเป็นมลทิน 12 กดขี่ข่มเหงผู้ขัดสนและยากไร้ ปล้น ไม่คืนของประกันที่รับมา อธิษฐานต่อรูปเคารพ กระทำสิ่งที่น่ารังเกียจ 13 เก็บดอกเบี้ยและรับผลกำไรจากการให้ยืม แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่หรือ เขาจะไม่มีชีวิตอยู่ เขาได้กระทำสิ่งที่น่ารังเกียจเหล่านี้ เขาจะตายอย่างแน่นอน และเขาจะต้องรับผิดชอบการตายของตนเอง
14 แต่ถ้าชายผู้นี้มีบุตรซึ่งเห็นว่าบิดาของเขากระทำบาปทั้งสิ้น เขาเห็นแต่ไม่กระทำตาม 15 เขาไม่รับประทานบนภูเขาสูงหรืออธิษฐานต่อรูปเคารพของพงศ์พันธุ์อิสราเอล ไม่ทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านของเขาเป็นมลทิน 16 ไม่กดขี่ข่มเหงผู้ใดหรือเอาของประกันจากการให้ยืม ไม่ปล้น แต่แบ่งปันอาหารให้แก่ผู้อดอยาก และจัดหาเครื่องนุ่งห่มให้แก่ผู้ที่ขัดสน 17 ยั้งมือจากการกระทำความชั่ว ไม่เก็บดอกเบี้ยหรือผลกำไร รักษากฎเกณฑ์และทำตามคำบัญชาของเรา เขาก็จะไม่ตายเพราะความชั่วของบิดาของเขา เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน 18 ส่วนบิดาของเขารับสินบน ปล้นพี่น้อง และกระทำสิ่งไม่ดีในหมู่ชนชาติของเขา เขาก็จะตายเพราะความชั่วของตนเอง
19 แต่พวกเจ้ายังจะพูดว่า ‘ทำไมบุตรจึงไม่รับทุกข์เพราะการกระทำชั่วของบิดาเล่า’[e] เมื่อบุตรดำเนินชีวิตด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม และมัดระวังรักษากฎเกณฑ์ของเรา เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน 20 ผู้ที่กระทำบาปก็จะตาย บุตรจะไม่รับทุกข์เพราะการกระทำชั่วของบิดา และบิดาจะไม่รับทุกข์เพราะการกระทำชั่วของบุตร ความชอบธรรมของผู้มีความชอบธรรมจะตกอยู่กับเขา และความชั่วร้ายของผู้ชั่วร้ายก็จะตกอยู่กับเขา
21 แต่ถ้าคนชั่วหันไปจากบาปทั้งสิ้นที่เขาได้กระทำ และรักษากฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของเรา และดำเนินชีวิตด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เขาจะไม่ตาย 22 สิ่งใดก็ตามที่เขาได้ล่วงละเมิดจะไม่เป็นที่จดจำและปรักปรำเขา แต่เขาจะมีชีวิตอยู่เพราะความชอบธรรมที่เขาได้กระทำ” 23 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “เราพอใจในความตายของคนชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ เราจะไม่ชื่นชอบกว่าหรือถ้าเขาจะหันไปจากวิถีทางชั่วของเขาและมีชีวิตอยู่ 24 แต่เมื่อคนมีความชอบธรรมหันไปจากความชอบธรรมและดำเนินชีวิตด้วยความไม่ยุติธรรมอีก ทั้งกระทำสิ่งอันน่ารังเกียจเหมือนกับที่คนชั่วกระทำ แล้วเขาควรจะมีชีวิตอยู่หรือ ความชอบธรรมทั้งสิ้นที่เขากระทำจะไม่เป็นที่จดจำเพราะเขามีความผิดเนื่องจากความไม่ภักดีและบาปที่เขากระทำ เขาก็จะตายเพราะการกระทำเหล่านั้น
25 แต่พวกเจ้ายังจะพูดดังนี้ ‘วิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด วิถีทางของเราไม่ยุติธรรมหรือ วิถีทางของพวกเจ้ามิใช่หรือที่ไม่ยุติธรรม 26 เมื่อผู้มีความชอบธรรมหันไปจากความชอบธรรมของเขา และปฏิบัติด้วยความไม่ยุติธรรม เขาก็จะตายเพราะเหตุนั้น เนื่องจากความไม่ยุติธรรมที่เขาปฏิบัติ เขาจึงตาย 27 และเมื่อคนชั่วร้ายหันไปจากความชั่วที่เขาได้กระทำ และกลับดำเนินชีวิตด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาจะรักษาชีวิตของเขาไว้ 28 เพราะเขาพิจารณาและหันไปจากการล่วงละเมิดที่เขากระทำทั้งสิ้น เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เขาจะไม่ตาย 29 แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลยังพูดว่า ‘วิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย วิถีทางของเราไม่ยุติธรรมหรือ วิถีทางของพวกเจ้ามิใช่หรือที่ไม่ยุติธรรม
30 ฉะนั้น พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะพิพากษาลงโทษพวกเจ้าทุกคนตามวิถีทางของเขา” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น “พวกเจ้าจงกลับใจและหันไปจากการล่วงละเมิดทั้งสิ้น มิฉะนั้นความชั่วจะทำให้เจ้าจมดิ่งลง 31 จงกำจัดการล่วงละเมิดที่เจ้ากระทำทั้งสิ้นให้พ้นไปจากเจ้า และทำตัวให้มีใจใหม่ และวิญญาณดวงใหม่ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ทำไมเจ้าจะตายเล่า 32 เพราะว่าเราไม่ยินดีในความตายของผู้ใด” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น “ฉะนั้นจงกลับใจและมีชีวิตเถิด
ร้องคร่ำครวญให้กับบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ของอิสราเอล
19 เจ้าจงร้องคร่ำครวญให้กับบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ของอิสราเอลเถิด 2 จงพูดว่า
‘แม่ของเจ้าเป็นอย่างสิงโตตัวเมีย
ที่คู้ตัวอยู่ในหมู่สิงโต
ในท่ามกลางสิงโตหนุ่ม
นางดูแลลูกๆ ของนาง
3 นางฟูมฟักลูกสิงโตตัวหนึ่ง
ซึ่งเติบโตจนเป็นสิงโตหนุ่ม
และรู้จักหาเหยื่อ
เขาขย้ำมนุษย์กิน
4 บรรดาประชาชาติได้ยินเรื่องของสิงโตตัวนั้น
เขาตกในหลุมพรางของพวกเขา
และถูกขอเกี่ยว
นำไปยังแผ่นดินอียิปต์
5 เมื่อนางเห็นว่านางรอโดยไร้ประโยชน์
และหมดหวังที่จะรอเขา
นางจึงฟูมฟักลูกสิงโตอีกตัว
ซึ่งเติบโตเป็นสิงโตหนุ่ม
6 เขาวนเวียนด้อมมองหาเหยื่อในหมู่สิงโต
เขาเป็นสิงโตหนุ่ม
และรู้จักหาเหยื่อ
เขาขย้ำมนุษย์กิน
7 เขาตะครุบบรรดาแม่ม่าย
และทำให้เมืองของพวกเขาไม่เหลือแม้แต่ซาก
เสียงคำรามของเขาทำให้แผ่นดินและทุกคน
ที่นั่นตื่นตระหนก
8 บรรดาประชาชาติจากแคว้น
รอบข้างต่างก็มาโจมตีเขา
พวกเขาเหวี่ยงตาข่ายคลุมตัวเขา
เขาถูกนำไปไว้ในหลุมพรางของพวกเขา
9 พวกเขาดึงตัวเขาไปไว้ในกรงด้วยขอเกี่ยว
และนำเขาไปให้กษัตริย์แห่งบาบิโลน
เขาถูกควบคุมตัว
ฉะนั้นเสียงคำรามของเขาจึงไม่เป็นที่ได้ยินอีกต่อไป
ในเทือกเขาของอิสราเอล
10 แม่ของเจ้าเป็นอย่างเถาองุ่น
ในสวนองุ่นที่ถูกปลูกไว้ริมน้ำ
มีผลดกและกิ่งก้านมากมาย
เนื่องจากได้น้ำรดอย่างอุดมสมบูรณ์
11 กิ่งก้านแข็งแรง
เหมาะที่จะเป็นคทาของกษัตริย์
ตั้งสูงตระหง่านระดับเมฆ
เป็นที่แลเห็นว่าเป็นเถาสูง
และออกกิ่งก้านมากมาย
12 แต่เถานั้นถูกถอนรากเพราะความกริ้ว
และถูกโยนทิ้งบนพื้นดิน
ลมตะวันออกทำให้เถาเหี่ยว
และผลก็ร่วงหล่น
กิ่งก้านที่ใหญ่แห้งตาย
และถูกไฟเผา
13 บัดนี้เถาองุ่นถูกปลูกในถิ่นทุรกันดาร
ซึ่งเป็นแผ่นดินที่แห้งผาก
14 ไฟลุกจากกิ่งที่งอกขึ้นใหม่
ได้ไหม้ผลของมัน
จึงไม่มีกิ่งก้านแข็งแรงติดอยู่ที่เถา
คือไร้คทาสำหรับการครองราชย์’
นี่คือบทร้องคร่ำครวญ และต้องใช้เป็นบทร้องคร่ำครวญ”
อิสราเอลฝ่าฝืนร่ำไป
20 ในวันที่สิบของเดือนห้า ปีที่เจ็ด[f] หัวหน้าชั้นผู้ใหญ่บางคนของอิสราเอลมาถามพระผู้เป็นเจ้า และพวกเขานั่งที่ตรงหน้าข้าพเจ้า 2 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 3 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงบอกบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘พวกเจ้ามาหาเราเพื่อจะถามเราหรือ ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้ามาถามเรา’” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น 4 “เจ้าจะตัดสินโทษพวกเขาไหม บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจะตัดสินโทษพวกเขาไหม จงบอกให้พวกเขาทราบถึงการกระทำอันน่าชังของบรรพบุรุษของเขา 5 จงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘ในวันที่เราเลือกอิสราเอล เรายกมือปฏิญาณกับบรรดาผู้สืบเชื้อสายของพงศ์พันธุ์ของยาโคบ และเผยให้พวกเขารู้ในแผ่นดินอียิปต์ เรายกมือและพูดกับพวกเขาดังนี้ “เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า”[g] 6 ในวันนั้น เราปฏิญาณกับพวกเขาว่า เราจะนำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ ไปยังดินแดนที่เราได้เลือกให้พวกเขา ซึ่งอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง เป็นดินแดนอันงดงามที่สุด 7 และเราบอกพวกเขาว่า “จงกำจัดสิ่งอันน่ารังเกียจซึ่งเจ้าเชยชม พวกเจ้าทุกคนจงอย่าทำตนให้มีมลทินด้วยรูปเคารพของอียิปต์ เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า”[h] 8 แต่พวกเขาขัดขืน และไม่ยอมเชื่อฟังเรา ไม่มีใครในหมู่พวกเขาทิ้งสิ่งอันน่ารังเกียจที่พวกเขาเชยชม และไม่ละทิ้งรูปเคารพของอียิปต์’
ดังนั้น เรากล่าวว่า เราจะกระหน่ำการลงโทษของเราลงบนพวกเขา และเราจะให้ความกริ้วของเราลงที่พวกเขาในแผ่นดินอียิปต์
9 แต่เพื่อนามของเรา เรากระทำเพื่อไม่ให้เป็นที่ดูหมิ่นในสายตาของบรรดาประชาชาติที่อาศัยอยู่ในหมู่พวกเขา เราทำให้พวกเขาเห็นว่า เรานำชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ 10 ดังนั้นเรานำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ และพาไปยังถิ่นทุรกันดาร 11 เราให้กฎเกณฑ์และคำบัญชาแก่พวกเขา และให้พวกเขารู้ด้วยว่า ถ้าผู้ใดกระทำตาม เขาจะมีชีวิตอยู่ 12 และยิ่งกว่านั้น เราให้พวกเขามีวันสะบาโต เป็นเครื่องเตือนใจระหว่างเรากับพวกเขา เพื่อจะได้รู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าที่ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ 13 แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลขัดขืนเราในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ของเรา และไม่ยอมรับคำบัญชาของเรา ซึ่งถ้าผู้ใดกระทำตาม เขาจะมีชีวิตอยู่ พวกเขาดูหมิ่นวันสะบาโตของเรายิ่งนัก
เราจึงกล่าวว่า เราจะกระหน่ำการลงโทษของเราลงบนพวกเขาในถิ่นทุรกันดารให้พินาศเสีย 14 แต่เพื่อนามของเรา เรากระทำเพื่อไม่ให้เป็นที่ดูหมิ่นในสายตาของบรรดาประชาชาติ เราทำให้พวกเขาเห็นว่า เรานำพวกเขาออกมา 15 และยิ่งกว่านั้น เราปฏิญาณกับพวกเขาในถิ่นทุรกันดารว่า เราจะไม่นำพวกเขาเข้าไปในดินแดนที่เราได้มอบให้แก่พวกเขา ดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง เป็นดินแดนอันงดงามที่สุด 16 เพราะพวกเขาไม่ยอมรับคำบัญชาของเรา และไม่ดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ของเรา และดูหมิ่นวันสะบาโตของเรา เนื่องจากได้มอบใจให้กับรูปเคารพเสียแล้ว 17 ถึงกระนั้น เราก็ยังมองดูพวกเขาด้วยความสงสาร และไม่ได้กำจัดหรือทำให้พวกเขาสิ้นไปในถิ่นทุรกันดาร
18 และเรากล่าวกับบุตรหลานของพวกเขาในถิ่นทุรกันดารว่า ‘อย่าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของบรรพบุรุษของเจ้า หรือรักษาคำบัญชาของพวกเขา หรือทำตนให้เป็นมลทินด้วยรูปเคารพของพวกเขา 19 เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า จงดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และจงระมัดระวังเชื่อฟังคำบัญชาของเรา 20 และรักษาวันสะบาโตของเราให้บริสุทธิ์เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจระหว่างเรากับพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า’[i] 21 แต่บรรดาบุตรหลานขัดขืนเรา พวกเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ของเรา และไม่ระมัดระวังเชื่อฟังคำบัญชาของเรา ถ้าผู้ใดกระทำตาม เขาจะมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขากลับดูหมิ่นวันสะบาโตของเรา
เราจึงกล่าวว่า เราจะกระหน่ำการลงโทษของเราลงบนพวกเขา และเราจะให้ความกริ้วของเราลงที่พวกเขาในถิ่นทุรกันดาร 22 แต่เรายั้งมือของเราไว้ และเรากระทำเพื่อไม่ให้เป็นที่ดูหมิ่นในสายตาของบรรดาประชาชาติ เราทำให้พวกเขาเห็นว่าเรานำพวกเขาออกมา 23 และยิ่งกว่านั้น เราปฏิญาณในถิ่นทุรกันดารว่า เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และกระจายไปยังหลายดินแดน 24 เพราะพวกเขาไม่ได้เชื่อฟังคำบัญชาของเรา ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ของเรา และดูหมิ่นวันสะบาโตของเรา และสิ่งที่เขามองเห็นทำให้เกิดกิเลสในรูปเคารพของบรรพบุรุษของพวกเขา 25 และยิ่งกว่านั้น เราได้ปล่อยให้พวกเขาอยู่ใต้กฎเกณฑ์ที่ไม่ดี และคำบัญชาซึ่งไม่สามารถให้ชีวิตแก่พวกเขาได้ 26 และเราได้ประกาศว่าพวกเขาทำตนเป็นมลทินเพราะของถวายของพวกเขา[j] เมื่อเขาถวายบุตรหัวปีทุกคนเป็นเครื่องสักการะ เราจะทำให้พวกเขาหายนะ เพื่อพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า
27 ฉะนั้น บุตรมนุษย์เอ๋ย จงบอกพงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ ‘บรรพบุรุษของพวกเจ้าหมิ่นประมาทเรา ด้วยการทรยศต่อเรา 28 เพราะเวลาที่เราได้นำพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินที่เราปฏิญาณว่าจะมอบให้ และไม่ว่าที่ไหนก็ตามที่พวกเขาเห็นเนินเขาสูงหรือต้นไม้เขียวชอุ่ม พวกเขาก็ถวายเครื่องสักการะและมอบของถวายซึ่งเป็นการยั่วโทสะเรา ด้วยการมอบเครื่องหอมและเทเครื่องดื่มบูชา 29 เราพูดกับพวกเขาว่า สถานบูชาบนภูเขาสูงที่พวกเจ้าไปนั้นคืออะไร’ (ที่นั่นมีชื่อว่า บามาห์ มาจนถึงทุกวันนี้)[k]
30 ฉะนั้น จงบอกพงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘พวกเจ้าจะทำตนเป็นมลทินตามอย่างบรรพบุรุษของพวกเจ้า และทำตามกิเลสโดยเชื่อสิ่งที่น่ารังเกียจของพวกเขาหรือ 31 เมื่อพวกเจ้ามอบของถวายและถวายบุตรของตนในไฟ พวกเจ้าทำตนให้เป็นมลทินด้วยรูปเคารพทั้งสิ้นมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วเราจะปล่อยให้เจ้าถามเราหรือ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้ามาถามเรา’” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
32 “พวกเจ้าคิดในใจว่า ‘ให้พวกเราเป็นอย่างบรรดาประชาชาติ อย่างตระกูลของหลายดินแดนที่นมัสการไม้และหิน’ สิ่งที่อยู่ในความคิดของพวกเจ้าจะไม่มีวันเกิดขึ้น”
พระผู้เป็นเจ้าจะฟื้นฟูอิสราเอล
33 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเจ้า ด้วยอานุภาพและพลานุภาพ และด้วยการลงโทษที่หลั่งออก 34 เราจะนำพวกเจ้าออกมาจากบรรดาชนชาติ และรวบรวมพวกเจ้าจากดินแดนทั้งหลายที่เจ้ากระจัดกระจายไปอยู่ ด้วยอานุภาพและพลานุภาพ และด้วยการลงโทษที่หลั่งออก 35 และเราจะนำพวกเจ้าเข้าไปในถิ่นทุรกันดารของบรรดาชนชาติ และเราจะลงโทษพวกเจ้าที่นั่นต่อหน้า 36 เราจะลงโทษพวกเจ้า อย่างที่เราลงโทษบรรพบุรุษของเจ้าในถิ่นทุรกันดารของแผ่นดินอียิปต์” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น 37 “เราจะทำให้พวกเจ้าลอดใต้ไม้เท้าของเรา[l] และเราจะให้พวกเจ้าผูกพันกับเราในพันธสัญญา 38 เราจะกำจัดพวกที่ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองและขัดขืนเราให้ออกไปจากพวกเจ้า เราจะนำพวกเขาออกจากแผ่นดินที่เร่ร่อนไปอาศัยอยู่ แต่จะไม่ได้เข้าไปยังแผ่นดินของอิสราเอล แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า
39 ส่วนเจ้าเอง โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า พวกเจ้าทุกคนไปบูชารูปเคารพของตนเอง แต่หลังจากนั้นพวกเจ้าจะฟังเราอย่างแน่นอน เจ้าจะไม่ดูหมิ่นนามอันบริสุทธิ์ของเราด้วยของถวายและรูปเคารพของพวกเจ้าอีกต่อไป”
40 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดจะรับใช้เราบนภูเขาอันบริสุทธิ์ซึ่งเป็นภูเขาสูงในแผ่นดินของอิสราเอล เราจะรับสิ่งที่นำมามอบให้เราที่นั่น และเจ้าต้องนำของถวาย และมอบส่วนที่ดีที่สุด พร้อมกับเครื่องสักการะอันบริสุทธิ์ทั้งสิ้น 41 เราจะรับพวกเจ้าอย่างเครื่องหอมอันเป็นที่น่าพอใจ เมื่อเรานำเจ้าออกมาจากหลายดินแดน และรวบรวมพวกเจ้าจากบรรดาชนชาติที่เจ้ากระจัดกระจายไปอยู่ และเราจะให้ความบริสุทธิ์ของเราปรากฏในหมู่พวกเจ้า ให้บรรดาประชาชาติเห็น 42 และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเรานำพวกเจ้าเข้าไปในแผ่นดินของอิสราเอลซึ่งเป็นดินแดนที่เราปฏิญาณจะมอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเจ้า 43 และเจ้าจะนึกถึงความประพฤติและการกระทำของเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งได้ทำให้เจ้าเป็นมลทิน และพวกเจ้าจะเกลียดตนเองที่ได้กระทำสิ่งชั่วร้ายทั้งสิ้น 44 และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเรากระทำต่อเจ้าเพื่อนามของเรา มิใช่กระทำต่อเจ้าตามวิถีทางอันชั่วของเจ้า หรือตามความประพฤติอันเสื่อมทรามของเจ้า โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
45 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 46 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงหันหน้าไปทางใต้ เทศนากล่าวโทษดินแดนทางใต้และเผยความกล่าวโทษแดนป่าไม้ในเนเกบ 47 จงพูดกับแดนป่าไม้ของเนเกบดังนี้ ‘จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า ดูเถิด เรากำลังจะก่อไฟในตัวเจ้า และมันจะลุกผลาญต้นไม้ทุกต้นที่ทั้งเขียวชอุ่มและต้นที่แห้ง เปลวไฟที่ลุกโพลงจะไม่ถูกดับ ใบหน้าทุกหน้าจากทิศใต้ถึงทิศเหนือจะถูกไฟลวก 48 ทุกคนจะเห็นว่า เราผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้าได้จุดไฟให้ลุกขึ้น และมันจะไม่ถูกดับ’” 49 แล้วข้าพเจ้าพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขากำลังพูดถึงข้าพเจ้าว่า ‘เขาเพียงแต่พูดเป็นอุปมาใช่ไหม’”
พระผู้เป็นเจ้าชักดาบของพระองค์
21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงหันหน้าไปทางเยรูซาเล็ม และเทศนากล่าวโทษที่พำนัก เผยความกล่าวโทษแผ่นดินของอิสราเอล 3 และจงพูดกับแผ่นดินของอิสราเอลว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘ดูเถิด เราคัดค้านเจ้า และเราจะชักดาบของเราออกจากฝักและจะกำจัดบรรดาผู้มีความชอบธรรมและคนชั่วร้ายออกไปจากเจ้า 4 เพราะเราจะกำจัดบรรดาผู้มีความชอบธรรมและคนชั่วร้ายออกไปจากเจ้า ฉะนั้นดาบของเราจะถูกชักออกจากฝักต่อต้านมนุษย์ทุกคนตั้งแต่ทิศใต้จรดทิศเหนือ 5 และมนุษย์ทุกคนจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้ชักดาบของเราออกจากฝักแล้ว และมันจะไม่ถูกเก็บคืนในฝักอีก’
6 บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงโอดครวญด้วยใจที่แตกสลายและขมขื่นยิ่งนัก จงโอดครวญต่อหน้าต่อตาพวกเขา 7 เมื่อพวกเขาพูดกับเจ้าว่า ‘ทำไมท่านจึงโอดครวญ’ เจ้าจะตอบว่า ‘เพราะสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตามข่าว ใจของทุกคนจะหลอมละลาย มือทุกมือจะง่อยเปลี้ย จิตวิญญาณของทุกคนจะอ่อนระโหย หัวเข่าของทุกคนจะอ่อนปวกเปียกเหมือนน้ำ ดูเถิด มันกำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และจะบรรลุผล’” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
8 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 9 “บัดนี้ บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเผยคำกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
ดาบเล่มหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่งถูกลับ
และขัดเงาแล้ว
10 มันถูกลับเพื่อสังหาร
ถูกขัดเงาให้วาววับดุจสายฟ้าแลบ
(เราควรจะยินดีกับไม้คทาของบุตรของเราหรือ ดาบดูหมิ่นทุกสิ่งที่เป็นไม้) 11 ดาบถูกขัดเงาเพื่อให้มือถือไว้ ดาบถูกลับและขัดเงาเพื่อมอบไว้ในมือของผู้สังหาร 12 บุตรมนุษย์เอ๋ย จงส่งเสียงร้องและคร่ำครวญ เพราะดาบเล่มนั้นโจมตีชนชาติของเราและบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ของอิสราเอล พวกเขาถูกโยนเข้าหาดาบพร้อมกับชนชาติของเรา ฉะนั้นจงตีอกชกหัวของเจ้า 13 การทดลองจะเกิดขึ้นแน่ ถ้าหากว่าดาบดูหมิ่นคทา แล้วอะไรจะเกิดขึ้น” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนั้น
14 “ฉะนั้น บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงเผยคำกล่าว ปรบมือ และปล่อยให้ดาบฟันสองครั้ง หรือสามครั้ง มันเป็นดาบแห่งการสังหาร ดาบแห่งการสังหารครั้งใหญ่ซึ่งประชิดรอบตัว 15 ใจของพวกเขาจะอ่อนระโหย และคนจำนวนมากล้มลุกคลุกคลาน เราได้กำหนดดาบให้สังหารที่ทุกประตูเมืองของพวกเขา โอ ดาบอันวาววับดุจสายฟ้าแลบ ดาบถูกหยิบขึ้นเพื่อประหาร 16 ดาบฟันทางขวาและทางซ้าย ไม่ว่าหน้าของเจ้าจะหันไปทางไหนก็ตาม 17 เราจะปรบมือด้วย และความกริ้วของเราจะสงบลง เราคือพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวดังนั้น”
18 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 19 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงทำเครื่องหมายไว้สองเส้นทางเพื่อดาบของกษัตริย์แห่งบาบิโลนที่จะมา ทั้งสองเส้นทางจะมาจากแผ่นดินเดียวกัน และทำเครื่องหมายป้ายหนึ่งตรงถนนที่จะแยกเข้าเมือง 20 จงทำเครื่องหมายถนนสายหนึ่งให้ดาบมายังเมืองรับบาห์ของชาวอัมโมน มายังยูดาห์ และมายังเมืองเยรูซาเล็มซึ่งมีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง 21 เพราะกษัตริย์แห่งบาบิโลนยืนที่ทางแยกถนน ที่หัวถนน 2 สายเพื่อใช้การทำนายจากการเขย่าฉลากด้วยลูกศร เขาใช้รูปเคารพประจำครัวเรือนในการตัดสินใจ และตรวจโดยดูจากตับ[m] 22 ฉลากบอกการทำนายให้ไปทางขวามือของเขาซึ่งไปยังเยรูซาเล็ม เพื่อเตรียมไม้ซุง เพื่อออกคำสั่งแก่ผู้สังหารและร้องตะโกนเสียงดัง เพื่อกระทุ้งประตูเมือง สร้างสะพานข้ามและเชิงเทินล้อมเมือง 23 แต่จะดูเหมือนว่าเป็นการทำนายที่จอมปลอมสำหรับชาวอิสราเอล พวกเขาได้ให้คำสาบานต่อพระองค์ แต่พระองค์ระลึกถึงความผิดบาปของพวกเขา จึงให้พวกเขาถูกจับตัวไป”
24 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “เพราะพวกเจ้าทำให้เราระลึกถึงความผิดบาป และการล่วงละเมิดของพวกเจ้าถูกเปิดโปง การกระทำของพวกเจ้าทำให้บาปเป็นที่ปรากฏ พวกเจ้าจึงจะถูกจับไปเพราะสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ 25 โอ ผู้ยิ่งใหญ่ของอิสราเอลซึ่งช่างดูหมิ่นและชั่วร้าย วันของเจ้าได้มาถึงแล้ว เวลาแห่งการลงโทษของเจ้าถึงขีดสุดแล้ว” 26 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “จงถอดผ้าโพกศีรษะและมงกุฎของเจ้า สิ่งต่างๆ จะไม่เหมือนเดิม ผู้ที่ต่ำต้อยจะได้รับการยกย่อง ผู้ที่สูงส่งจะถูกทำให้ต่ำลง 27 หายนะ หายนะ เราจะทำให้หายนะ และจะไม่เป็นเช่นนั้นจนถึงเวลาที่เขาจะมา การตัดสินโทษเป็นของเขา และเราจะมอบให้แก่เขา
28 บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจะเผยคำกล่าว จงบอกว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวเรื่องชาวอัมโมนและการดูหมิ่นของพวกเขาว่า ดาบเล่มหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่งถูกชักเพื่อประหาร มันถูกขัดเงาเพื่อฟันแทงและวาววับดุจสายฟ้าแลบ 29 ขณะที่พวกเขาเห็นภาพนิมิตอันลวงหลอก ขณะที่พวกเขาทำนายเท็จเกี่ยวกับเจ้า มันจะถูกวางไว้บนคอของผู้ดูหมิ่นที่ชั่วร้าย ซึ่งวันของเขาได้มาถึงแล้ว เวลาแห่งการลงโทษของพวกเขาถึงขีดสุดแล้ว 30 เก็บดาบคืนในฝัก เราจะลงโทษเจ้า ในที่ที่เจ้าถูกสร้างขึ้น ในแผ่นดินของบรรพบุรุษของเจ้า 31 และเราจะกระหน่ำการลงโทษของเราลงบนเจ้า เราจะพ่นลมหายใจเป็นไฟแห่งการลงโทษของเรา และเราจะมอบเจ้าไว้ในมือของคนที่เหี้ยมโหดและชำนาญเรื่องทำความพินาศ 32 เจ้าจะเป็นเชื้อเพลิงให้ไฟลุก เลือดของเจ้าจะตกในแผ่นดิน เจ้าจะไม่เป็นที่ระลึกถึงอีกต่อไป เพราะเราผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวดังนั้น”
อิสราเอลหลั่งเลือด
22 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจะตัดสินโทษพวกเขาไหม เจ้าจะตัดสินโทษเมืองที่นองเลือดไหม จงบอกเมืองนั้นเรื่องการกระทำอันน่าชังทั้งสิ้นของพวกเขา 3 เจ้าจงพูดว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘จะถึงเวลาของเมืองที่นำการพิพากษาให้แก่ตนเองเนื่องจากการนองเลือดในท่ามกลางเมือง และทำให้ตนเป็นมลทินจากการทำรูปเคารพ 4 เจ้ามีความผิดเพราะทำให้คนนองเลือดและเป็นมลทินจากรูปเคารพที่เจ้าทำขึ้น และเจ้าได้ทำให้ถึงวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว ถึงเวลาสิ้นสุดแล้ว ฉะนั้น เราได้ทำให้เจ้าเป็นที่ดูหมิ่นของบรรดาประชาชาติ และเป็นที่ล้อเลียนของดินแดนทั้งปวง 5 บรรดาผู้ที่อยู่ใกล้และไกลจากเจ้าจะล้อเลียนเจ้า ชื่อของเจ้าเป็นมลทิน เจ้าเป็นเมืองที่เต็มด้วยความชุลมุนวุ่นวาย
6 ดูเถิด บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ของอิสราเอลที่อยู่ในเยรูซาเล็มใช้อำนาจซึ่งทำให้นองเลือด 7 พวกเขาดูหมิ่นบิดามารดา กดขี่ข่มเหงคนต่างด้าวในท่ามกลางเจ้า กระทำผิดต่อเด็กกำพร้าและหญิงม่าย 8 เจ้าดูหมิ่นสิ่งบริสุทธิ์และวันสะบาโตของเรา 9 มีบรรดาผู้นินทาว่าร้ายเพื่อต้องการนองเลือดในเยรูซาเล็ม และมีคนที่รับประทานบนภูเขา พวกเขามักมากในกามในท่ามกลางเจ้า 10 ในเยรูซาเล็มมีบรรดาผู้ละเมิดสิทธิของบิดาของตน[n] พวกเขาข่มขืนบรรดาผู้หญิงที่มีมลทินระหว่างมีรอบเดือน 11 มีคนกระทำสิ่งอันน่ารังเกียจต่อภรรยาของเพื่อนบ้าน บางคนมักมากในกามทำให้บุตรสะใภ้เป็นมลทิน บางคนข่มขืนพี่น้องผู้หญิงของเขาคือบุตรหญิงของบิดาของตน 12 ในเยรูซาเล็มมีคนรับสินบนเพื่อฆ่าคน เจ้าเก็บดอกเบี้ยและกำไร[o] และบีบคั้นเพื่อนร่วมชาติของเจ้าอย่างไม่ยุติธรรม และเจ้าลืมเราเสียแล้ว’” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
13 “ดูเถิด เราจะใช้มือฟาดสินบนที่เจ้ารับมา และเลือดที่เจ้าทำให้หลั่งในท่ามกลางเจ้า 14 เจ้าจะยังกล้าหาญต่อไปได้อีกหรือ หรือว่ากำลังของเจ้าจะแข็งแกร่งได้ในเวลาที่เราจะกระทำต่อเจ้า เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้กล่าวดังนี้ และเราจะกระทำตามนั้น 15 เราจะทำให้เจ้ากระจัดกระจายไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และจะทำให้เจ้ากระเจิดกระเจิงไปในหลายดินแดน และเราจะทำให้มลทินของเจ้าหมดไปจากเมืองนี้ 16 และเจ้าจะถูกดูหมิ่นในสายตาของบรรดาประชาชาติเพราะการกระทำของเจ้า และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า”
17 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 18 “บุตรมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์อิสราเอลได้กลายเป็นขี้แร่สำหรับเรา พวกเขาทุกคนเป็นทองสัมฤทธิ์ ดีบุก เหล็กกล้า และสารตะกั่วในเตาผิง พวกเขาเป็นขี้เงิน” 19 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “เพราะพวกเจ้าทุกคนได้กลายเป็นขี้แร่ ดูเถิด เราจะรวบรวมพวกเจ้าเข้าด้วยกันในท่ามกลางเยรูซาเล็ม 20 ผู้หนึ่งรวบรวมเงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็กกล้า สารตะกั่ว และดีบุกใส่ในเตาผิง เพื่อสุมไฟให้ไหม้และหลอมละลายอย่างไร เราก็จะรวบรวมพวกเจ้าในความโกรธและการลงโทษของเราอย่างนั้น และเราจะสุมพวกเจ้าไว้และทำให้พวกเจ้าละลายไป 21 เราจะรวบรวมพวกเจ้าและพ่นไฟแห่งการลงโทษใส่พวกเจ้า และพวกเจ้าจะถูกหลอมละลายท่ามกลางเมือง 22 อย่างกับเงินที่ถูกหลอมในเตาผิง เจ้าก็จะถูกหลอมในท่ามกลางเมือง และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้กระหน่ำการลงโทษของเราลงบนพวกเจ้าแล้ว”
23 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 24 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงพูดกับแผ่นดินนั้นว่า ‘เจ้าเป็นแผ่นดินที่ไม่ได้รับการชำระล้างหรือปราศจากฝนในวันแห่งความขัดเคือง’ 25 บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองมีแผนการร้ายดั่งสิงโตขู่คำรามและฉีกเหยื่อ กัดกินประชาชน พวกเขาริบสมบัติและของมีค่าต่างๆ และทำให้ผู้หญิงในเมืองจำนวนมากเป็นม่าย 26 บรรดาปุโรหิตของเมืองฝ่าฝืนกฎของเราและได้ดูหมิ่นสิ่งบริสุทธิ์ของเรา พวกเขาไม่ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างสิ่งบริสุทธิ์และสิ่งไม่บริสุทธิ์ และไม่ได้สอนความแตกต่างระหว่างสิ่งสะอาดและสิ่งที่เป็นมลทิน และพวกเขาไม่ได้ให้เกียรติวันสะบาโตของเรา เราจึงเป็นที่ดูหมิ่นในหมู่พวกเขา 27 บรรดาผู้นำที่อยู่ในเมืองเป็นเหมือนสุนัขป่าที่ฉีกเหยื่อ ทำให้นองเลือด ทำลายชีวิตคนเพื่อรับสินบน 28 บรรดาผู้เผยคำกล่าวฉาบปูนขาว เห็นภาพนิมิตเท็จ และโป้ปดในการทำนายให้พวกเขาด้วยการพูดดังนี้ ‘พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า’ ทั้งๆ ที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้กล่าว 29 ประชาชนของแผ่นดินบีบคั้นและจี้ปล้น พวกเขากดขี่ข่มเหงผู้ขัดสนและยากไร้ และได้รีดนาทาเน้นจากคนต่างด้าวอย่างไม่ยุติธรรม 30 และเราเสาะหาคนในหมู่พวกเขาสักคนหนึ่งที่จะสร้างกำแพง และยืน ณ เบื้องหน้าเราที่ช่องกำแพงเพื่อแผ่นดิน เพื่อเราไม่ต้องทำลายเมือง แต่เราหาไม่พบสักคน 31 ฉะนั้น เราได้กระหน่ำการลงโทษของเราลงบนพวกเขา เราได้เผาผลาญพวกเขาด้วยไฟแห่งการลงโทษของเรา เราได้กระทำต่อพวกเขากลับคืน” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
โอโฮลาห์และโอโฮลีบาห์
23 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย มีผู้หญิง 2 คนซึ่งเป็นบุตรหญิงของมารดาเดียวกัน 3 ทั้งสองคนนี้ทำตัวเป็นหญิงใจง่ายในอียิปต์ เขาใจง่ายตั้งแต่วัยสาว อกของนางถูกจับต้องและหน้าอกอันบริสุทธิ์ถูกสัมผัส 4 หญิงผู้พี่ชื่อโอโฮลาห์[p] และน้องสาวของนางชื่อโอโฮลีบาห์[q] ทั้งสองเป็นของเรา และนางทั้งสองให้กำเนิดบุตรชายและบุตรหญิง โอโฮลาห์คือสะมาเรีย และโอโฮลีบาห์คือเยรูซาเล็ม
5 โอโฮลาห์ทำตนเป็นหญิงใจง่ายขณะที่นางเป็นของเรา และนางต้องตาต้องใจในบรรดาชู้ของนางคือชาวอัสซีเรียผู้เป็นนักรบ 6 พวกเขาสวมผ้าสีม่วง เป็นบรรดาเจ้าเมืองและผู้บังคับบัญชา ทุกคนล้วนเป็นชายหนุ่มที่พึงปรารถนา และเป็นทหารม้า 7 นางมอบตนด้วยความใจง่ายให้กับบรรดาผู้ชายที่เลอเลิศของอัสซีเรียทั้งสิ้น และนางเป็นมลทินเพราะนางต้องตาต้องใจในรูปเคารพทั้งหลายของทุกๆ คน 8 นางไม่เลิกล้มทำตนเป็นหญิงใจง่ายซึ่งได้เริ่มขึ้นในอียิปต์ บรรดาผู้ชายได้นอนกับนางตั้งแต่ครั้งที่นางยังสาว และสัมผัสหน้าอกอันบริสุทธิ์ของนาง และกระทำกลับต่อนางด้วยตัณหาของพวกเขา 9 ฉะนั้น เรามอบนางไว้ในมือของบรรดาชู้ของนาง ในมือของชาวอัสซีเรียซึ่งนางต้องตาต้องใจด้วย 10 คนเหล่านั้นเปลื้องกายนาง และจับตัวบุตรชายและบุตรหญิงของนางไป และใช้ดาบฆ่านาง และนางกลายเป็นที่หัวเราะเยาะในหมู่ผู้หญิงหลังจากที่นางถูกตัดสินลงโทษแล้ว
11 โอโฮลีบาห์น้องของนางเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น นางกลับทำตนเลวยิ่งกว่าพี่สาวของนางในเรื่องตัณหาและการเป็นหญิงใจง่าย 12 นางต้องตาต้องใจในบรรดาชาวอัสซีเรีย เจ้าเมือง และผู้บังคับบัญชา นักรบที่สวมเกราะป้องกันตัวครบครัน ทหารม้า พวกเขาทุกคนล้วนเป็นชายหนุ่มที่พึงปรารถนา 13 และเราเห็นว่านางถูกทำให้เป็นมลทิน ทั้งสองคนกระทำตนในวิถีทางเดียวกัน 14 แต่ความใจง่ายของนางถลำลึกลงยิ่งกว่า นางเห็นรูปพวกผู้ชายที่กำแพง รูปสลักของชาวเคลเดียที่มีโครงร่างเป็นรูปสีแดงสด 15 มีผ้าคาดเอว ผ้าโพกศีรษะ ทุกคนมีลักษณะเหมือนผู้บังคับการรถศึก คุณลักษณะของชาวบาบิโลนซึ่งมีเคลเดียเป็นถิ่นกำเนิด 16 เมื่อนางเห็นพวกเขา นางต้องตาต้องใจในพวกเขา และให้บรรดาผู้ส่งข่าวไปหาพวกเขาที่เคลเดีย 17 และชาวบาบิโลนมาหานางที่เตียงแห่งความรัก และพวกเขาทำให้นางเป็นมลทินด้วยตัณหาของตน และหลังจากที่พวกเขาทำให้นางเป็นมลทินแล้ว นางก็หันไปจากพวกเขาด้วยความขยะแขยง 18 เมื่อนางกระทำตนเป็นคนใจง่ายต่อไปอย่างเปิดเผยและเปลือยร่างของนาง เราหันไปจากนางด้วยความขยะแขยง เหมือนกับที่เราได้หันไปจากพี่สาวของนางด้วยความขยะแขยง 19 แม้กระนั้น นางยังกระทำตนเป็นคนใจง่ายมากยิ่งขึ้นในขณะที่นึกถึงวัยสาวของนาง เวลานางทำตัวเป็นหญิงใจง่ายในแผ่นดินอียิปต์ 20 และต้องตาต้องใจในบรรดาชู้ของนางที่นั่น ซึ่งมีเลือดเนื้อเหมือนกับของลา และมีสิ่งไหลออกเหมือนกับของม้า 21 เจ้าจึงใคร่หาความมักมากในกามของวัยสาวของเจ้าเมื่อชาวอียิปต์สัมผัสหน้าอกของเจ้าและจับต้องอกสาวของเจ้า”
22 ฉะนั้น โอโฮลีบาห์เอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะทำให้บรรดาชู้ของเจ้าที่เจ้าหันจากไปด้วยความขยะแขยงนั้นมาแข็งข้อกับเจ้า เราจะนำพวกเขามาจากทุกทิศเพื่อบุกรุกเจ้า 23 ชาวบาบิโลนและชาวเคลเดียทั้งหมด ชาวเปโขด โชอา โคอา และชาวอัสซีเรียทั้งหมด ชายหนุ่มที่พึงปรารถนาทั้งหลาย บรรดาเจ้าเมืองและผู้บังคับการรถศึกทุกคน ผู้บังคับการและบรรดาผู้มีชื่อเสียง พวกเขาทุกคนขี่ม้ามา 24 พวกเขาจะมาบุกรุกเจ้าจากทางเหนือด้วยรถศึก รถพ่วง และคนอีกจำนวนมาก พวกเขาพร้อมที่จะประจันหน้ากับเจ้าในทุกทิศทุกทาง ด้วยเครื่องป้องกันตัว โล่ และหมวกเหล็ก และเราจะมอบสิทธิในการตัดสินโทษแก่พวกเขา พวกเขาจะตัดสินโทษเจ้าตามมาตรฐานของการตัดสินโทษของพวกเขาเอง 25 เราจะเบนความกริ้วอันเกิดจากความหวงแหนมาที่ตัวเจ้า เพื่อพวกเขาจะกระทำต่อเจ้าด้วยความฉุนเฉียว พวกเขาจะตัดจมูกและหูของเจ้า และบรรดาผู้ที่รอดชีวิตมาได้จะตายด้วยคมดาบ พวกเขาจะจับตัวบรรดาบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้า และบรรดาผู้ที่รอดชีวิตมาได้จะถูกไฟเผา 26 พวกเขาจะเปลื้องเสื้อผ้าของเจ้า และเอาเครื่องประดับอันสวยงามของเจ้าไป 27 ความมักมากในกามและความใจง่ายที่เจ้าเริ่มมีขึ้นในแผ่นดินอียิปต์นั้น เราจะทำให้ยุติลง เพื่อเจ้าจะไม่ใส่ใจกับมันหรือคิดถึงอียิปต์อีกต่อไป”
28 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะมอบเจ้าไว้ในมือของบรรดาผู้ที่เจ้าเกลียดชัง ในมือของบรรดาผู้ที่เจ้าหันจากไปด้วยความขยะแขยง 29 และพวกเขาจะกระทำต่อเจ้าด้วยความเกลียดชัง และเอาผลจากแรงงานทั้งหมดของเจ้าไป และทิ้งให้เจ้าเปลือยเปล่า และความใจง่ายของเจ้าจะถูกเปิดโปง ความมักมากในกามและความใจง่ายของเจ้านั่นแหละ 30 ที่ทำให้เจ้ามาถึงจุดนี้ เพราะเจ้าทำตัวเป็นคนใจง่ายกับบรรดาประชาชาติและทำตัวเองให้เป็นมลทินเพราะรูปเคารพของพวกเขา 31 เจ้าเดินตามวิถีทางของพี่สาวของเจ้า ฉะนั้นเราจะยื่นถ้วยที่เขาใช้ดื่มให้กับเจ้า” 32 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้
“เจ้าจะดื่มจากถ้วยของพี่สาวของเจ้า
เป็นถ้วยที่ลึกและใหญ่
เจ้าจะถูกหัวเราะเยาะและล้อเลียน
เพราะเป็นถ้วยที่บรรจุได้มาก
33 เจ้าจะเมาไม่สร่างและเศร้าใจ
ถ้วยแห่งความพินาศและความวิบัติ
เป็นถ้วยของพี่สาวของเจ้า คือสะมาเรีย
34 เจ้าจะดื่มจนหยดสุดท้าย
ไม่เหลือแม้ก้นตะกอน
และจะตีอกชกหัว
เพราะเราได้กล่าวแล้ว” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
35 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “เพราะเจ้าได้ลืมเราแล้ว และหันหลังให้เรา เจ้าจะต้องรับผิดในเรื่องความมักมากในกามและความใจง่ายของเจ้า”
36 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจะตัดสินโทษโอโฮลาห์และโอโฮลีบาห์ไหม จงบอกพวกนางเรื่องการกระทำอันน่าชังทั้งสิ้นของพวกนาง 37 เพราะพวกนางผิดประเวณี และมือของนางเปื้อนเลือด พวกนางผิดประเวณีกับรูปเคารพ และบรรดาบุตรที่นางให้กำเนิดซึ่งเป็นของเรา นางถึงกับถวายเป็นอาหารให้แก่รูปเคารพ 38 และยิ่งกว่านั้น สิ่งที่พวกนางได้กระทำต่อเราคือ พวกนางได้ทำให้ที่พำนักของเราเป็นมลทินในวันเดียวกัน และดูหมิ่นวันสะบาโตของเรา 39 เพราะเมื่อพวกนางได้ฆ่าบุตรของพวกนางเพื่อถวายแก่รูปเคารพ ในวันเดียวกันพวกนางเข้าไปในที่พำนักของเราและดูหมิ่นที่ของเรา นั่นแหละที่พวกนางทำในตำหนักของเรา
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation