Bible in 90 Days
ฝูงแกะถูกกำหนดให้ถูกเชือด
11 โอ เลบานอนเอ๋ย จงเปิดประตูของเจ้า
ให้ไฟลุกผลาญดงซีดาร์ของเจ้า
2 โอ ต้นสนเอ๋ย จงร้องไห้ฟูมฟายเถิด เพราะต้นซีดาร์โค่นลงแล้ว
ต้นไม้ซึ่งสูงตระหง่านถูกทำลาย
ต้นโอ๊กของบาชานเอ๋ย จงร้องไห้ฟูมฟายเถิด
เพราะป่าไม้ทึบถูกตัดลงแล้ว
3 มีเสียงร้องไห้ฟูมฟายของบรรดาผู้ดูแลฝูงแกะ
เพราะความมั่งคั่งของพวกเขาถูกทำลาย
มีเสียงคำรามของบรรดาสิงโต
เพราะป่าไม้ของจอร์แดนเสียหาย
4 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้ากล่าวดังนี้ “จงดูแลฝูงแกะซึ่งกำหนดให้ถูกประหาร 5 บรรดาผู้ซื้อประหารพวกเขา แต่ก็ไม่ถูกลงโทษ พวกที่ขายพวกเขาพูดว่า ‘สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ามั่งมีแล้ว’ และบรรดาผู้ดูแลฝูงไร้ความเมตตาต่อพวกเขา 6 เพราะเราจะไม่มีความเมตตาต่อผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนี้” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ดูเถิด เราจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในมือของเพื่อนบ้านของเขา และแต่ละคนอยู่ในมือของกษัตริย์ของเขา และพวกเขาจะกดขี่ข่มเหงแผ่นดิน และเราจะไม่ช่วยพวกเขาให้พ้นจากมือของคนเหล่านั้นแม้แต่คนเดียว”
7 ดังนั้น ข้าพเจ้ากลายเป็นผู้ดูแลฝูงแกะซึ่งกำหนดให้ถูกประหารโดยบรรดาพ่อค้าแกะ และข้าพเจ้าเอาไม้เท้า 2 อันมา ข้าพเจ้าตั้งชื่อไม้เท้าอันหนึ่งว่า ชื่นชอบ และอีกอันหนึ่งชื่อว่า สหภาพ แล้วข้าพเจ้าก็ดูแลฝูงแกะ 8 ข้าพเจ้ากำจัดผู้ดูแลฝูง 3 คนในเดือนเดียว ฝูงแกะเกลียดข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเหนื่อยหน่ายพวกเขา 9 ข้าพเจ้าจึงพูดดังนี้ว่า “ข้าพเจ้าจะไม่เป็นผู้ดูแลฝูงของพวกท่าน อะไรจะตายก็ปล่อยให้ตายไป อะไรจะถูกทำให้พินาศก็ปล่อยให้พินาศไป และปล่อยให้พวกที่เหลืออยู่กินเลือดกินเนื้อกันเอง” 10 ข้าพเจ้าหักไม้เท้าที่ชื่อ ชื่นชอบ และพันธสัญญาที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้กับประชาชนทั้งปวงกลายเป็นโมฆะ 11 ดังนั้นมันก็กลายเป็นโมฆะไปในวันนั้น และบรรดาผู้รับทุกข์ของฝูงที่กำลังเฝ้ามองข้าพเจ้าทราบว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านข้าพเจ้า 12 ข้าพเจ้าบอกพวกเขาดังนี้ว่า “หากว่าเป็นสิ่งดีในสายตาพวกท่าน ก็จ่ายค่าแรงให้แก่ข้าพเจ้า แต่ถ้าไม่เห็นด้วย ท่านก็เก็บค่าแรงไว้เอง” พวกเขาจ่ายเงิน 30 เหรียญให้แก่ข้าพเจ้า 13 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “โยนให้แก่ช่างปั้นหม้อ มันเป็นราคาสูงส่งซึ่งเราถูกตั้งราคาโดยพวกเขา” ข้าพเจ้าจึงเอาเงิน 30 เหรียญไปโยนไว้ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้แก่ช่างปั้นหม้อ[a] 14 และข้าพเจ้าหักไม้เท้าอันที่สองที่ชื่อ สหภาพ ทำให้ความเป็นพี่น้องระหว่างยูดาห์และอิสราเอลเป็นโมฆะ
15 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงเอาภาชนะชิ้นหนึ่งซึ่งผู้ดูแลฝูงที่ไร้ค่าใช้ 16 ดูเถิด เรากำลังกำหนดผู้ดูแลฝูงผู้หนึ่งในแผ่นดิน ซึ่งไม่ห่วงใยบรรดาผู้ที่ถูกทำให้พินาศ หรือตามหาบรรดาผู้อ่อนวัย หรือรักษาคนง่อยเปลี้ย หรือเลี้ยงดูผู้มีสุขภาพดี แต่กินเลือดเนื้อแกะตัวอ้วนพี และฉีกกีบเท้าแกะด้วย
17 วิบัติเกิดแก่ผู้ดูแลฝูงแกะที่ไร้ค่า
ซึ่งได้ทอดทิ้งฝูงแกะ
ขอให้ดาบฟันแขนของเขา
และฟันตาขวาของเขา
ให้แขนของเขาลีบ
ให้ตาขวาของเขามืดบอด”
พระผู้เป็นเจ้าจะให้ความรอดพ้น
12 คำพยากรณ์แห่งคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับอิสราเอล พระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์ให้แผ่กว้างออกไป และวางฐานรากของแผ่นดินโลก และสร้างจิตวิญญาณให้อยู่ในร่างของมนุษย์ ประกาศดังนี้ 2 “ดูเถิด เรากำลังจะทำเยรูซาเล็มให้เป็นถ้วยมึนเมาแก่ประชาชนที่อยู่โดยรอบ การที่เยรูซาเล็มถูกล้อมทำให้ยูดาห์ถูกกระทำเช่นเดียวกัน 3 ในวันนั้น เราจะทำให้เยรูซาเล็มเป็นหินหนักก้อนหนึ่งสำหรับชนชาติทั้งปวง ทุกคนที่ยกหินก็จะเจ็บตัวอย่างแน่นอน และประชาชาติทั้งปวงของแผ่นดินโลกจะร่วมกันต่อต้านเมือง 4 ในวันนั้น เราจะทำให้ม้าทุกตัวตื่นตระหนก และคนขี่จะบ้าระห่ำ” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “เราจะจับตาเฝ้าดูพงศ์พันธุ์ของยูดาห์ แต่เราจะทำให้ม้าทั้งปวงของทุกชนชาติตาบอด 5 แล้วบรรดาผู้นำของยูดาห์จะคิดในใจว่า ‘ผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มเข้มแข็งได้ก็เพราะพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาเป็นพระเจ้าของพวกเขา’
6 ในวันนั้น เราจะทำให้บรรดาผู้นำของยูดาห์เป็นเหมือนหม้อที่ร้อนดั่งเพลิงในกองถ่าน เหมือนคบไฟลุกฟางข้าว และเขาจะปราบประชาชนทั้งปวงที่อยู่รอบด้านทั้งซ้ายและขวา ขณะที่เยรูซาเล็มจะมีผู้อยู่อาศัยในที่ของตนอย่างมั่นคง
7 พระผู้เป็นเจ้าจะให้ยูดาห์ได้รับความรอดพ้นก่อนผู้อื่น เพื่อเกียรติของพงศ์พันธุ์ของดาวิดและผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มจะไม่ล้ำหน้ายูดาห์ 8 ในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะปกป้องผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม เพื่อบรรดาผู้อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาจะเป็นเหมือนดาวิด และพงศ์พันธุ์ของดาวิดจะเป็นเหมือนกับพระเจ้า เหมือนทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าที่นำหน้าพวกเขาไป 9 และในวันนั้น เราพร้อมที่จะทำลายประชาชาติทั้งปวงที่มาต่อต้านเยรูซาเล็ม
องค์ผู้ที่พวกเขาได้แทง
10 และเราจะหลั่งวิญญาณแห่งพระคุณและคำขอร้องสู่พงศ์พันธุ์ของดาวิดและสู่บรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม พวกเขาจะมองดูองค์ผู้ที่พวกเขาได้แทง[b] พวกเขาจะครวญคร่ำร่ำไห้ถึงพระองค์ ราวกับผู้ที่ครวญคร่ำร่ำไห้ถึงบุตรคนเดียวของตน และร้องไห้อย่างขมขื่นถึงพระองค์ อย่างผู้ที่ร้องไห้ถึงบุตรหัวปี 11 ในวันนั้น การครวญคร่ำร่ำไห้ในเยรูซาเล็มจะหนักเท่ากับการครวญคร่ำร่ำไห้แก่ฮาดัดริมโมนบนที่ราบเมกิดโด 12 แผ่นดินจะครวญคร่ำร่ำไห้ แต่ละครอบครัวตามลำพัง ครอบครัวของพงศ์พันธุ์ของดาวิดตามลำพัง และบรรดาภรรยาของพวกเขาตามลำพัง ครอบครัวของพงศ์พันธุ์ของนาธาน[c]ตามลำพัง และบรรดาภรรยาของพวกเขาตามลำพัง 13 ครอบครัวของพงศ์พันธุ์ของเลวีตามลำพัง และบรรดาภรรยาของพวกเขาตามลำพัง ครอบครัวของชาวชิเมอี[d]ตามลำพัง และบรรดาภรรยาของพวกเขาตามลำพัง 14 และครอบครัวทั้งปวงที่เหลือ ต่างก็ครวญคร่ำร่ำไห้ตามลำพัง และบรรดาภรรยาของพวกเขาตามลำพัง
13 ในวันนั้น จะมีน้ำพุแห่งหนึ่งพวยพุ่งให้แก่พงศ์พันธุ์ของดาวิดและบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม เพื่อชำระพวกเขาให้สะอาดจากบาปและมลทิน”
กำจัดรูปเคารพ
2 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ “ในวันนั้น เราจะกำจัดชื่อของรูปเคารพไปจากแผ่นดิน จะได้ไม่เป็นที่จดจำอีกต่อไป และเราจะกำจัดบรรดาผู้เผยคำกล่าวและวิญญาณซึ่งมีมลทินไปจากแผ่นดิน 3 และถ้าผู้ใดเผยความอีก บิดาและมารดาผู้ให้กำเนิดแก่เขาจะพูดกับเขาดังนี้ว่า ‘เจ้าจะต้องตาย เพราะเจ้าพูดเท็จในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า’ และบิดามารดาผู้ให้กำเนิดแก่เขาก็จะแทงเขาเมื่อเขาเผยความ
4 ในวันนั้น ผู้เผยคำกล่าวทุกคนจะอับอายเรื่องภาพนิมิตที่เขาเผย จะไม่มีใครสวมเสื้อคลุมขนสัตว์เพื่อจะหลอกลวงคน 5 แต่เขาจะพูดว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ข้าพเจ้าทำสวนทำไร่ ชายคนหนึ่งขายข้าพเจ้าตั้งแต่ครั้งยังเยาว์’ 6 และถ้ามีใครถามเขาว่า ‘บาดแผลเหล่านี้บนหลังของท่านเป็นอะไร’ เขาจะตอบว่า ‘ข้าพเจ้าได้รับบาดแผลที่บ้านเพื่อนๆ ของข้าพเจ้า’
ผู้ดูแลฝูงแกะถูกกำจัด
7 โอ ดาบเอ๋ย จงตื่นขึ้นและต่อต้านผู้ดูแลฝูงแกะของเรา
ต่อต้านชายผู้ยืนอยู่ใกล้ตัวเรา”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
“จงฟาดฟันผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ
และบรรดาแกะจะกระจัดกระจายไป[e]
เราจะหันมือของเราต่อต้านเด็กๆ”
8 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
“ทั่วทั้งแผ่นดิน
สองในสามจะถูกฟาดฟันและสิ้นชีวิต
หนึ่งในสามจะมีชีวิตอยู่
9 และเราจะโยนหนึ่งในสามที่เหลือนี้ลงในกองไฟ
และจะหลอมพวกเขาเหมือนคนหลอมเงิน
และทดสอบพวกเขาเหมือนทดสอบทองคำ
พวกเขาจะเรียกนามของเรา
และเราจะตอบพวกเขา
เราจะพูดว่า ‘พวกเขาเป็นชนชาติของเรา’
และพวกเขาจะพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า’”
วันของพระผู้เป็นเจ้ากำลังจะมาถึง
14 ดูเถิด วันของพระผู้เป็นเจ้ากำลังจะมาถึง เมื่อสิ่งที่ริบมาได้จะถูกแบ่งในท่ามกลางท่าน 2 เราจะรวบรวมประชาชาติทั้งปวงให้มาโจมตีเยรูซาเล็ม และเมืองจะถูกยึด บ้านเรือนจะถูกปล้น และผู้หญิงจะถูกข่มขืน คนครึ่งเมืองจะต้องลี้ภัยไป แต่ชนชาติที่เหลือจะไม่ถูกกำจัดออกจากเมือง 3 แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะออกไปต่อสู้กับประชาชาติเหล่านั้น เช่นเดียวกับเวลาที่พระองค์ต่อสู้ในสงคราม 4 ในวันนั้น เท้าของพระองค์จะยืนบนภูเขามะกอก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเยรูซาเล็ม และภูเขามะกอกจะถูกแยกออกเป็นสองส่วนจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตก ทำให้เกิดหุบเขากว้างใหญ่ โดยครึ่งหนึ่งของภูเขาเคลื่อนไปทางทิศเหนือ และอีกครึ่งหนึ่งเคลื่อนไปทางทิศใต้ 5 และพวกเจ้าจะหนีไปยังหุบเขาของภูเขาของเรา เพราะหุบเขาจะมีระยะไกลถึงอาซัล และพวกเจ้าจะหนีราวกับหนีจากแผ่นดินไหวในสมัยของอุสซียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์[f] แล้วพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราจะมา ผู้บริสุทธิ์ทั้งปวงจะมากับพระองค์
6 ในวันนั้น จะไม่มีแสงสว่าง ไม่หนาว และไม่เป็นน้ำแข็ง 7 จะเป็นวันที่ไม่เหมือนวันใด ซึ่งเป็นที่ทราบดีสำหรับพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ทั้งกลางวันหรือกลางคืน แต่จะมีแสงสว่างเมื่อถึงเวลาเย็น
8 ในวันนั้น น้ำแห่งชีวิตจะไหลจากเยรูซาเล็ม[g] ครึ่งหนึ่งไหลสู่ทะเลด้านตะวันออก อีกครึ่งหนึ่งไหลสู่ทะเลด้านตะวันตก[h] น้ำไหลตลอดทั้งฤดูร้อนและฤดูหนาว
9 พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นกษัตริย์ของทั่วทั้งแผ่นดินโลก ในวันนั้นจะมีพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว และพระนามของพระองค์เพียงผู้เดียว
10 ทั่วทั้งแผ่นดินจะเป็นเหมือนอาราบาห์ จากเก-บาถึงริมโมนใต้เยรูซาเล็ม แต่เยรูซาเล็มจะสูงเด่นตั้งอยู่ที่เดิม จากประตูเบนยามินถึงประตูแรก ถึงประตูมุม และจากหอคอยฮานันเอลถึงเครื่องสกัดเหล้าองุ่นของกษัตริย์ 11 และจะเป็นที่อยู่อาศัย และจะไม่มีวันที่จะถูกทำลายอีก เยรูซาเล็มจะอยู่อย่างปลอดภัย
12 พระผู้เป็นเจ้าจะให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นกับชนชาติทั้งปวงที่โจมตีเยรูซาเล็มคือ เนื้อหนังของพวกเขาจะเน่าขณะที่พวกเขายังยืนอยู่ ลูกตาของพวกเขาจะเน่าในเบ้าตา และลิ้นของพวกเขาจะเน่าในปาก
13 และในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้พวกเขาตื่นตระหนกยิ่งนัก แต่ละคนจะคว้ามือของอีกคนหนึ่ง และต่างก็จะโจมตีกันเอง 14 ยูดาห์จะต่อสู้ที่เยรูซาเล็ม สมบัติของประชาชาติทั้งปวงโดยรอบจะถูกเก็บรวบรวมคือ ทองคำ เงิน และเครื่องแต่งกายจำนวนมหาศาล 15 และภัยพิบัติอย่างเดียวกันนี้จะเกิดแก่ม้า ล่อ อูฐ ลา และสัตว์ป่าชนิดใดก็ตามที่อยู่ในค่ายเหล่านั้น
16 แล้วทุกคนจากประชาชาติทั้งปวงที่มีชีวิตรอดที่ได้โจมตีเยรูซาเล็ม ก็จะขึ้นไปปีแล้วปีเล่าเพื่อนมัสการกษัตริย์ คือพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา และฉลองเทศกาลอยู่เพิง 17 และถ้าครอบครัวใดของแผ่นดินไม่ขึ้นไปยังเยรูซาเล็มเพื่อนมัสการกษัตริย์ คือพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พวกเขาก็จะแล้งฝน 18 และถ้าครอบครัวของอียิปต์ไม่ขึ้นไปด้วยตนเอง พวกเขาก็จะแล้งฝน แต่จะมีภัยพิบัติที่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาทำให้บรรดาประชาชาติที่ไม่ขึ้นไปฉลองเทศกาลอยู่เพิงได้รับทุกข์ 19 การลงโทษนี้จะเกิดแก่อียิปต์และประชาชาติทั้งปวงที่ไม่ขึ้นไปฉลองเทศกาลอยู่เพิง
20 และในวันนั้น จะมีคำจารึกบนลูกพรวนม้าทั้งหลายว่า “บริสุทธิ์สำหรับพระผู้เป็นเจ้า”[i] และหม้อในพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นเช่นอ่างที่หน้าแท่นบูชา 21 หม้อทุกใบในเยรูซาเล็มและยูดาห์จะบริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา และทุกคนที่ถวายเครื่องสักการะจะรับเอาหม้อไปใช้หุงต้ม และในวันนั้นจะไม่มีชาวคานาอัน[j]อีกต่อไปในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา
1 คำพยากรณ์แห่งคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับอิสราเอลโดยมาลาคี[k]
ความรักของพระผู้เป็นเจ้ามีต่ออิสราเอล
2 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “เรารักพวกเจ้า” แต่พวกเจ้าถามว่า “พระองค์รักพวกเราอย่างไร” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “เอซาวเป็นพี่ชายยาโคบมิใช่หรือ แม้ว่าเรารักยาโคบ 3 แต่เราชังเอซาว[l] และเราได้ทำให้ดินแดนเนินเขาของเขากลายเป็นที่ร้างอันแร้นแค้น และยกมรดกของเขาให้แก่หมาในในถิ่นทุรกันดาร” 4 ถ้าเอโดมพูดว่า “พวกเราถูกเหยียบย่ำ แต่เราก็จะสร้างสิ่งปรักหักพังขึ้นใหม่” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “พวกเขาจะสร้างก็ได้ แต่เราจะทำให้พังทลายลง และพวกเขาจะได้ชื่อว่า ‘ดินแดนชั่วร้าย’ และ ‘ประชาชนที่พระผู้เป็นเจ้ากริ้วตลอดไป’ 5 พวกเจ้าจะเห็นด้วยตาเอง และจะพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่แม้กระทั่งนอกเขตแดนอิสราเอล’”
เครื่องสักการะที่มีตำหนิของปุโรหิต
6 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “บุตรชายให้เกียรติบิดาของเขา และผู้รับใช้ให้เกียรติเจ้านาย ถ้าเราเป็นบิดา เกียรติของเราอยู่ที่ไหน และถ้าเราเป็นเจ้านาย ความเคารพที่มีต่อเราอยู่ที่ไหน โอ บรรดาปุโรหิตเอ๋ย พวกเจ้านั่นแหละที่ดูหมิ่นนามของเรา แต่พวกเจ้าถามว่า ‘พวกเราดูหมิ่นพระนามของพระองค์อย่างไร’ 7 พวกเจ้าถวายอาหารที่เป็นมลทินบนแท่นบูชาของเรา แต่พวกเจ้าถามว่า ‘พวกเราทำให้พระองค์เป็นมลทินได้อย่างไร’ การที่พูดเช่นนั้น โต๊ะของพระผู้เป็นเจ้าถูกดูหมิ่น 8 การที่พวกเจ้ามอบสัตว์ตาบอดเป็นเครื่องสักการะนั้น ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายหรือ และเมื่อพวกเจ้ามอบเครื่องสักการะพิการหรือเป็นโรค นั่นไม่เลวร้ายหรือ ลองมอบของเหล่านั้นแก่ผู้ว่าราชการของเจ้า เขาจะพอใจในตัวเจ้าหรือเขาจะยอมรับเจ้าไหม” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น 9 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า “จงอ้อนวอนพระเจ้าให้กรุณาต่อพวกเรา มือพวกท่านถวายของเช่นนี้ แล้วพระองค์จะพอใจผู้ใดในหมู่ท่านไหม” 10 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “คนหนึ่งในพวกเจ้าจะปิดประตู เพื่อจะได้ไม่จุดไฟที่แท่นบูชาโดยไร้ประโยชน์ เราไม่พอใจในตัวพวกเจ้า และเราจะไม่รับของถวายจากมือของพวกเจ้า 11 นามของเราจะยิ่งใหญ่ในบรรดาประชาชาติตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตก ทั่วทุกแห่งจะมีคนนำเครื่องหอมและของถวายอันบริสุทธิ์มาให้เพื่อนามของเรา เพราะนามของเราจะยิ่งใหญ่ในบรรดาประชาชาติ” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น 12 “แต่พวกเจ้าดูหมิ่นเมื่อเจ้าพูดถึงโต๊ะของพระผู้เป็นเจ้าว่า ‘เป็นมลทิน’ และพูดถึงอาหารว่า ‘เป็นที่น่าดูหมิ่น’ 13 และพวกเจ้าพูดว่า ‘เป็นภาระเสียจริง’ และพวกเจ้าเหยียดหยามเชิดหน้าใส่” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น “เมื่อพวกเจ้านำสิ่งที่เอามาได้ด้วยการกระทำผิด หรือสิ่งที่พิการ หรือเป็นโรค พวกเจ้านำมาให้เป็นของถวาย เราควรจะรับสิ่งเหล่านั้นจากมือของพวกเจ้าหรือ 14 คนโกงถูกแช่งสาป คนที่มีสัตว์ตัวผู้จากฝูง และสาบานว่าจะถวายให้ แต่แล้วก็มอบสัตว์มีตำหนิเป็นเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า เพราะเราเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ และนามของเราจะต้องเป็นที่เกรงขามในบรรดาประชาชาติ” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น
พระผู้เป็นเจ้าตักเตือนบรรดาปุโรหิต
2 “และบัดนี้ ปุโรหิตเอ๋ย คำสั่งนี้สำหรับเจ้า” 2 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า “ถ้าพวกเจ้าจะไม่ฟัง ถ้าพวกเจ้าจะไม่ใส่ใจเพื่อยกย่องนามของเรา เราก็จะให้คำสาปแช่งตกอยู่กับพวกเจ้า และเราจะแช่งสาปพรที่เป็นของพวกเจ้า จริงๆ แล้วเราได้แช่งสาปพรแล้ว เพราะพวกเจ้าไม่ใส่ใจเลย 3 ดูเถิด เราจะห้ามเชื้อสายของพวกเจ้า และจะละเลงหน้าพวกเจ้าด้วยสิ่งปฏิกูลจากของถวายของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะถูกรวมไปทิ้งด้วยกัน 4 เจ้าจะรู้ว่า เราได้ส่งคำบัญชานี้มาให้พวกเจ้า เพื่อพันธสัญญาของเราที่มีกับเลวีนั้นจะคงอยู่ต่อไป” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น 5 “พันธสัญญาของเราที่มีกับเขาเป็นพันธสัญญาแห่งชีวิตและสันติสุขซึ่งเรามอบให้แก่เขา เป็นพันธสัญญาแห่งความเกรงกลัว และเขาเกรงกลัวเรา เขายำเกรงนามของเรา 6 การสั่งสอน[m]ที่แท้จริงอยู่ในปากของเขา เขาไม่ได้พูดสิ่งใดผิด เขาดำเนินไปกับเราด้วยสันติสุขและความเที่ยงธรรม และเขาทำให้คนจำนวนมากหันไปจากบาป 7 เพราะปากของปุโรหิตควรเป็นที่เก็บรักษาความรู้ และประชาชนควรแสวงหาการสั่งสอนจากปากของเขา เพราะเขาเป็นผู้ส่งข่าวของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา 8 แต่พวกเจ้าได้หันเหไปจากวิถีทาง พวกเจ้าเป็นเหตุให้คนจำนวนมากสะดุดด้วยการสั่งสอนของพวกเจ้า พวกเจ้าฝ่าฝืนพันธสัญญาที่มีกับเลวี” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น 9 “ดังนั้น เราได้ทำให้เจ้าเป็นที่ดูหมิ่นและอับอายต่อหน้าชนชาติทั้งปวง เพราะพวกเจ้าไม่ได้ดำเนินตามทางของเรา แต่กลับแสดงความลำเอียงในการสอนกฎบัญญัติ”
ยูดาห์ไม่เคารพพันธสัญญา
10 พวกเราทุกคนมีพระบิดาองค์เดียวมิใช่หรือ พระเจ้าองค์เดียวเป็นผู้สร้างพวกเรามิใช่หรือ แล้วทำไมพวกเราจึงไม่สัตย์ซื่อต่อกัน ซึ่งเป็นการไม่เคารพพันธสัญญาของบรรพบุรุษของเรา 11 ยูดาห์ไร้ความเชื่อ และได้กระทำสิ่งที่น่ารังเกียจในอิสราเอลและเยรูซาเล็ม เพราะยูดาห์ไม่เคารพสถานที่บริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระองค์รัก และเขาได้แต่งงานกับบุตรสาวของเทพเจ้าต่างชาติ[n] 12 ชายใดก็ตามที่กระทำเช่นนี้ ขอให้พระผู้เป็นเจ้าตัดเขาออกจากกระโจมของยาโคบ แม้เขาจะนำของถวายมามอบแด่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาก็ตาม
13 มีอีกสิ่งที่พวกท่านทำก็คือ พวกท่านทำแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้าเปียกโชกด้วยน้ำตา ท่านร้องไห้และโอดครวญเพราะพระองค์ไม่สนใจของถวายจากมือของพวกท่าน หรือรับมันไว้ด้วยความยินดี 14 แต่พวกท่านกลับถามว่า “ทำไมจึงไม่รับ” เพราะพระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานระหว่างท่านกับภรรยาที่ท่านมีตั้งแต่ยังหนุ่ม ซึ่งท่านไม่ซื่อสัตย์ต่อนาง แม้นางจะเป็นทั้งเพื่อนและภรรยาโดยพันธสัญญาก็ตาม 15 พระองค์ไม่ได้ให้เขาทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกันหรือ[o] ทั้งสองเป็นของพระองค์ทั้งฝ่ายกายและวิญญาณ และเหตุใดจึงเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็เพราะพระองค์ต้องการเชื้อสายที่มีความภักดี ฉะนั้นพวกท่านจงระวังตัวด้วยฝ่ายวิญญาณ และอย่าให้คนใดในพวกท่านไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยาที่ท่านมีตั้งแต่ยังหนุ่ม 16 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า “เราเกลียดการหย่าร้าง และเราเกลียดคนที่คลุมกายด้วยการกระทำผิดดั่งเครื่องนุ่งห่ม” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น ฉะนั้นพวกท่านจงระวังตัวในฝ่ายวิญญาณ และอย่าเป็นคนไม่ซื่อสัตย์
ผู้ส่งข่าวของพระผู้เป็นเจ้า
17 พวกท่านทำให้พระผู้เป็นเจ้าเหนื่อยใจด้วยคำพูดของท่าน และท่านพูดว่า “พวกเราได้ทำให้พระองค์เหนื่อยใจอย่างไร” ก็ด้วยการพูดว่า “ทุกคนที่กระทำความชั่วเป็นคนดีในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ชื่นชอบในพวกเขา” หรือด้วยการที่ท่านถามว่า “พระเจ้าแห่งความยุติธรรมอยู่ไหน”
3 “ดูเถิด เราใช้ผู้ส่งข่าวของเราไป และเขาจะเตรียมทางล่วงหน้าเรา[p] และพระผู้เป็นเจ้าผู้ที่พวกเจ้าแสวงหาจะมายังพระวิหารของพระองค์ในทันใด และ ดูเถิด ผู้ส่งข่าวแห่งพันธสัญญาซึ่งพวกเจ้าชื่นชอบกำลังมา” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น 2 แต่ใครสามารถทนต่อวันนั้นได้เมื่อพระองค์มา และใครจะสามารถทนเมื่อพระองค์ปรากฏ เพราะพระองค์เป็นเหมือนเปลวไฟสำหรับหลอมเหล็ก และเหมือนผงซักฟอกของผู้ซักเสื้อผ้า 3 พระองค์จะนั่งราวกับผู้หลอมเหล็กและผู้ทำให้เงินบริสุทธิ์ และพระองค์จะทำให้บรรดาบุตรของเลวีบริสุทธิ์ และหลอมพวกเขาเหมือนทองคำและเงิน และพวกเขาจะนำของถวายในความชอบธรรมมามอบแด่พระผู้เป็นเจ้า 4 แล้วของถวายของยูดาห์และเยรูซาเล็มจะเป็นที่พอใจของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนในสมัยดึกดำบรรพ์ เหมือนสมัยโบราณกาล
5 “เราจะมาใกล้พวกเจ้าเพื่อพิพากษา เราจะรีบเป็นพยานต่อต้านบรรดาผู้ใช้วิทยาคม ผู้ผิดประเวณี ผู้เป็นพยานเท็จ ผู้เอาเปรียบค่าจ้างของคนงานรับจ้าง หญิงม่ายและเด็กกำพร้า ผู้บิดเบือนความเป็นธรรมซึ่งคนต่างด้าวควรได้รับ และผู้ไม่เกรงกลัวเรา” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น
การปล้นพระเจ้า
6 “เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราไม่เปลี่ยนแปลง ฉะนั้น โอ บรรดาผู้สืบเชื้อสายของยาโคบเอ๋ย พวกเจ้าจะไม่ถูกทำให้พินาศ 7 นับตั้งแต่สมัยของบรรพบุรุษของพวกเจ้า พวกเจ้าหันเหไปจากกฎเกณฑ์ของเรา และไม่ได้ปฏิบัติตาม จงกลับมาหาเรา และเราจะกลับมาหาพวกเจ้า” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น “แต่พวกเจ้าถามว่า ‘พวกเราจะกลับมาหาพระองค์อย่างไร’ 8 คนจะปล้นพระเจ้าหรือไม่ แต่พวกเจ้ากำลังปล้นเรา แต่พวกเจ้าถามว่า ‘พวกเราปล้นพระองค์ได้อย่างไร’ ในของถวายหนึ่งในสิบ[q] และของถวายที่เจ้าบริจาค 9 ประชาชาติของเจ้าอยู่ใต้คำสาปแช่ง เพราะพวกเจ้ากำลังปล้นเรา 10 จงนำของถวายหนึ่งในสิบเข้ามาในคลัง เพื่อให้มีอาหารในตำหนักของเรา” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น “จงทดสอบเราในเรื่องนี้ และดูซิว่า เราจะเปิดประตูสวรรค์ให้แก่พวกเจ้า และหลั่งพรให้แก่พวกเจ้าจนกระทั่งล้นที่เก็บหรือไม่ 11 เราจะป้องกันแมลงกินพืชให้พวกเจ้า เพื่อไม่ให้ทำลายพืชผลบนพื้นดิน และเถาองุ่นในไร่จะติดดอกออกผล” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น 12 “แล้วประชาชาติทั้งปวงจะเรียกพวกเจ้าว่า ผู้ได้รับพระพร เพราะแผ่นดินของพวกเจ้าจะเป็นที่น่าอยู่” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น
13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “สิ่งที่พวกเจ้าพูดนั้นบาดใจเรา แล้วพวกเจ้ายังถามอีกว่า ‘พวกเราพูดสิ่งใดที่บาดใจพระองค์’ 14 พวกเจ้าพูดว่า ‘เป็นการไร้ประโยชน์ที่จะรับใช้พระเจ้า พวกเราได้รับประโยชน์อะไรในการกระทำตามคำสั่งของพระองค์ หรือดำเนินชีวิตด้วยการร้องคร่ำครวญ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา 15 และบัดนี้พวกเราเรียกคนยโสว่า ผู้ได้รับพระพร และพวกที่กระทำความชั่วไม่เพียงแต่จะรุ่งเรือง แต่เขาท้าทายพระเจ้าและก็ยังรอดตัวไปได้’”
หนังสืออนุสรณ์
16 ครั้นแล้วบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าจึงพูดโต้ตอบกัน พระผู้เป็นเจ้าตั้งใจฟังและได้ยิน หนังสืออนุสรณ์ถูกบันทึก ณ เบื้องหน้าพระองค์ ถึงบรรดาผู้เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าและเชิดชูพระนามของพระองค์
17 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ว่า “พวกเขาจะเป็นคนของเรา เป็นสมบัติอันมีค่าของเราในวันที่เราจะกระทำ เราจะไว้ชีวิตพวกเขาเช่นเดียวกับที่ชายคนหนึ่งไว้ชีวิตบุตรที่รับใช้เขา 18 และเจ้าจะเห็นอีกครั้งถึงความแตกต่างระหว่างผู้มีความชอบธรรมและผู้ชั่วร้าย ระหว่างบรรดาผู้ที่รับใช้พระเจ้าและบรรดาผู้ที่ไม่รับใช้พระองค์
วันอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า
4 วันนั้นแหละกำลังจะมาถึง มันจะร้อนดั่งเตาอบ ผู้หยิ่งยโสและผู้ชั่วร้ายทั้งปวงจะเป็นฟาง และวันนั้นกำลังจะมาถึงซึ่งจะเผาพวกเขาให้ลุกเป็นไฟ” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น “จะไม่มีรากหรือกิ่งก้านเหลืออยู่ 2 แต่สำหรับพวกเจ้าที่เกรงกลัวนามของเรา ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมจะขึ้นพร้อมด้วยปีกซึ่งรักษาให้หายขาด พวกเจ้าจะออกไปและโลดเต้นอย่างลูกโคที่ถูกปล่อยให้ออกไปจากคอก 3 และพวกเจ้าจะเหยียบย่ำคนชั่วร้าย เพราะพวกเขาจะเป็นดั่งเถ้าใต้เท้าของพวกเจ้าในวันที่เรากระทำสิ่งเหล่านี้” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น
4 “จงระลึกถึงกฎบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของเรา กฎเกณฑ์ และคำบัญชาที่เรามอบให้แก่เขาที่โฮเรบสำหรับอิสราเอลทั้งปวง
5 ดูเถิด เราจะส่งเอลียาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ก่อนที่วันอันยิ่งใหญ่และน่าหวาดหวั่นของพระผู้เป็นเจ้าจะมาถึง 6 และเขาจะทำให้บิดาทั้งหลายเปิดใจเข้าหาบรรดาบุตรของพวกเขา[r] และทำให้บุตรทั้งหลายเปิดใจเข้าหาบรรดาบิดาของพวกเขา มิฉะนั้นเราจะมาและทำให้แผ่นดินพินาศด้วยคำสาปแช่ง”
ลำดับวงศ์ของพระเยซูคริสต์
1 บันทึกลำดับวงศ์ของพระเยซูคริสต์[s] ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิดผู้สืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม
2 อับราฮัมเป็นบิดาของอิสอัค
อิสอัคเป็นบิดาของยาโคบ
ยาโคบเป็นบิดาของยูดาห์และพี่น้องของเขา
3 ยูดาห์เป็นบิดาของเปเรศกับเศรัคซึ่งเกิดจากนางทามาร์
เปเรศเป็นบิดาของเฮสโรน
เฮสโรนเป็นบิดาของราม
4 รามเป็นบิดาของอัมมีนาดับ
อัมมีนาดับเป็นบิดาของนาโชน
นาโชนเป็นบิดาของสัลโมน
5 สัลโมนเป็นบิดาของโบอาสซึ่งเกิดจากนางราหับ
โบอาสเป็นบิดาของโอเบดซึ่งเกิดจากนางรูธ
โอเบดเป็นบิดาของเจสซี
6 เจสซีเป็นบิดาของกษัตริย์ดาวิด
ดาวิดเป็นบิดาของซาโลมอน ซึ่งเกิดจากภรรยาของอุรียาห์
7 ซาโลมอนเป็นบิดาของเรโหโบอัม
เรโหโบอัมเป็นบิดาของอาบียาห์
อาบียาห์เป็นบิดาของอาสา
8 อาสาเป็นบิดาของเยโฮชาฟัท
เยโฮชาฟัทเป็นบิดาของเยโฮรัม
เยโฮรัมเป็นบิดาของอุสซียาห์
9 อุสซียาห์เป็นบิดาของโยธาม
โยธามเป็นบิดาของอาหัส
อาหัสเป็นบิดาของเฮเซคียาห์
10 เฮเซคียาห์เป็นบิดาของมนัสเสห์
มนัสเสห์เป็นบิดาของอาโมน
อาโมนเป็นบิดาของโยสิยาห์
11 โยสิยาห์เป็นบิดาของเยโคนิยาห์กับพวกพี่น้อง เกิดในยามที่ถูกเนรเทศไปยังบาบิโลน
12 หลังจากช่วงเวลาที่ถูกเนรเทศไปยังบาบิโลนแล้ว
เยโคนิยาห์เป็นบิดาของเชอัลทิเอล
เชอัลทิเอลเป็นบิดาของเศรุบบาเบล
13 เศรุบบาเบลเป็นบิดาของอาบียุด
อาบียุดเป็นบิดาของเอลียาคิม
เอลียาคิมเป็นบิดาของอาซอร์
14 อาซอร์เป็นบิดาของศาโดก
ศาโดกเป็นบิดาของอาคิม
อาคิมเป็นบิดาของเอลีอูด
15 เอลีอูดเป็นบิดาของเอเลอาซาร์
เอเลอาซาร์เป็นบิดาของมัทธาน
มัทธานเป็นบิดาของยาโคบ
16 ยาโคบเป็นบิดาของโยเซฟสามีของมารีย์ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดพระเยซูที่เรียกว่า พระคริสต์
17 ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมมาจนถึงดาวิดนับได้ 14 ชั่วอายุคน และระยะเวลานับจากดาวิดมาจนถึงช่วงเวลาการเนรเทศไปยังบาบิโลนก็มีอีก 14 ชั่วอายุคน และนับจากการเนรเทศไปยังบาบิโลนมาจนถึงพระคริสต์มี 14 ชั่วอายุคนเช่นกัน
การเกิดของพระเยซูคริสต์
18 เรื่องการเกิดของพระเยซูคริสต์เป็นไปดังนี้คือ มารีย์มารดาของพระองค์ได้รับหมั้นไว้กับโยเซฟ แต่ก่อนที่ทั้งสองจะอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา มารีย์ทราบว่าเธอตั้งครรภ์แล้วโดยอานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์[t] 19 โยเซฟสามีของนางเป็นคนมีความชอบธรรม และไม่ปรารถนาที่จะให้นางได้รับความอับอายจากคนทั่วไป จึงคิดจะถอนหมั้นอย่างลับๆ[u] 20 แต่หลังจากที่โยเซฟได้ไตร่ตรองเรื่องนี้แล้ว ทูตสวรรค์[v]ของพระผู้เป็นเจ้าก็ได้มาปรากฏแก่เขาในฝันกล่าวว่า “โยเซฟ บุตรของดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์เป็นภรรยาของท่าน ที่นางตั้งครรภ์ก็เนื่องจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 นางจะได้บุตรชาย และท่านจะตั้งชื่อบุตรว่า เยซู เพราะพระองค์จะเป็นผู้ที่โปรดให้ชนชาติของพระองค์รอดพ้นจากบาปของพวกเขา”
22 เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น เพื่อเป็นไปตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้โดยผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า
23 “ดูเถิด พรหมจาริณีผู้หนึ่งจะตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชายผู้หนึ่ง
และคนทั้งหลายจะเรียกพระนามของพระองค์ว่า อิมมานูเอล”[w]
ซึ่งแปลได้ความว่า “พระเจ้าสถิตกับเรา”
24 เมื่อโยเซฟตื่นขึ้นก็กระทำตามที่ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้สั่งไว้ โดยรับมารีย์มาเป็นภรรยาของตน 25 และให้นางดำรงความเป็นพรหมจาริณีอยู่จนนางได้ให้กำเนิดบุตรชาย และโยเซฟตั้งชื่อบุตรนั้นว่า เยซู
โหราจารย์จากทิศตะวันออก
2 หลังจากที่พระเยซูได้ถือกำเนิดที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย ซึ่งเป็นสมัยของกษัตริย์เฮโรด[x]ก็ได้มีพวกโหราจารย์จากทิศตะวันออกมายังเมืองเยรูซาเล็มกล่าวว่า 2 “ผู้ที่ได้เกิดมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิวอยู่ที่ไหน เพราะว่าพวกเราเห็นดาวของพระองค์ปรากฏทางทิศตะวันออก จึงได้พากันมานมัสการพระองค์” 3 เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินดังนั้นก็กระวนกระวายใจ รวมไปถึงชาวเมืองเยรูซาเล็มด้วย 4 ท่านเรียกบรรดามหาปุโรหิตและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติของประชาชนมาประชุม และไต่ถามว่าพระคริสต์จะบังเกิดที่ไหน 5 พวกเขาพูดว่า “ที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย เพราะผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้บันทึกไว้ว่า
6 ‘และเจ้าเอง เมืองเบธเลเฮม ดินแดนแห่งแคว้นยูดาห์
หาใช่จะด้อยที่สุดในบรรดาผู้นำในแคว้นยูเดียไม่
เพราะผู้นำท่านหนึ่งซึ่งมาจากเจ้า
จะเป็นผู้นำทางให้แก่อิสราเอล ชนชาติของเรา’”[y]
7 ครั้นแล้วเฮโรดก็เรียกพวกโหราจารย์มาเป็นการลับ เพื่อถามให้ถ้วนถี่ถึงเวลาที่ดาวนั้นปรากฏขึ้น 8 แล้วก็ให้โหราจารย์ไปยังเมืองเบธเลเฮมโดยสั่งว่า “จงไปค้นหาทารกนั้นให้ทั่วจนกว่าจะพบ เมื่อพบแล้วก็มารายงานให้เราทราบ เราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย”
9 เมื่อรับคำสั่งจากกษัตริย์แล้ว พวกโหราจารย์ก็จากไป ดาวที่พวกเขาเห็นทางทิศตะวันออกก็นำทางล่วงหน้าพวกเขาไป และมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ที่ทารกอยู่ 10 เมื่อพวกเขาเห็นดาวดวงนั้นก็ยินดียิ่ง 11 ครั้นเข้าไปในเรือน ก็เห็นทารกและมารีย์มารดา จึงกราบนมัสการพระองค์ แล้วเปิดห่อของอันมีค่ามอบแด่พระองค์ ได้แก่ ทองคำ กำยาน และมดยอบ 12 พระเจ้าได้เตือนพวกโหราจารย์ในฝันไม่ให้กลับไปหาเฮโรด พวกเขาจึงเดินทางกลับประเทศของตนโดยใช้เส้นทางอื่น
หนีไปยังประเทศอียิปต์
13 เมื่อพวกเขาได้จากไปแล้ว ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่โยเซฟในฝันกล่าวว่า “จงลุกขึ้นเถิด พาทารกและมารดาของพระองค์หนีไปประเทศอียิปต์ จงอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกท่าน เพราะว่าเฮโรดจะค้นหาทารกนี้เพื่อจะฆ่าเสีย” 14 โยเซฟจึงลุกขึ้นและพามารดาและทารกออกเดินทางไปในคืนนั้น แล้วเดินทางไปยังอียิปต์ 15 และอยู่ที่นั่นจนเฮโรดเสียชีวิต ซึ่งเป็นไปตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้โดยผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า “เราเรียกบุตรของเราออกมาจากประเทศอียิปต์”[z]
เฮโรดฆ่าเด็ก
16 เมื่อเฮโรดเห็นว่าตนหลงกลพวกโหราจารย์ก็ยิ่งโกรธมากขึ้น จึงสั่งให้ฆ่าเด็กชายทุกคนที่อายุตั้งแต่สองขวบลงมา ทั้งในเมืองเบธเลเฮมและย่านใกล้เคียง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ได้ทราบเรื่องจากโหราจารย์ 17 แล้วก็เป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้โดยเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า
18 “เสียงที่ได้ยินในหมู่บ้านรามาห์คือ
เสียงร้องไห้และร้องคร่ำครวญอันดัง
นางราเชลร่ำไห้เพราะลูกๆ ของนาง
และนางไม่ยอมให้ปลอบใจ
เพราะลูกๆ ตายเสียแล้ว”[aa]
กลับไปยังนาซาเร็ธ
19 หลังจากเฮโรดสิ้นชีวิตแล้ว ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่โยเซฟที่ประเทศอียิปต์ในฝันกล่าวว่า 20 “จงลุกขึ้นเถิด พาทารกกับมารดาของพระองค์ไปยังดินแดนของประเทศอิสราเอล เพราะว่าบรรดาคนที่ค้นหาเพื่อเอาชีวิตของทารกได้ตายไปแล้ว” 21 โยเซฟก็ลุกขึ้นและพามารดากับทารกไปยังดินแดนของประเทศอิสราเอล 22 แต่เมื่อเขาได้ยินว่าอาร์เค-ลาอัสครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดา เขาก็ไม่กล้าไปที่นั่น พระเจ้าเตือนเขาในฝันให้เดินทางไปยังแคว้นกาลิลี 23 ไปอาศัยอยู่ในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ ดังที่เป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้โดยบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า “ผู้คนจะพากันเรียกพระองค์ว่า ชาวนาซาเร็ธ”
ยอห์นประกาศข่าวประเสริฐ
3 ในครั้งนั้นยอห์นผู้ให้บัพติศมา[ab]มาประกาศในถิ่นทุรกันดารแคว้นยูเดียว่า 2 “จงกลับใจ เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์ใกล้จะมาถึงแล้ว”[ac] 3 เพราะยอห์นคือผู้ที่กล่าวถึงโดยอิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า
“เสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นทุรกันดาร
‘จงเตรียมทางของพระผู้เป็นเจ้าให้พร้อม
จงทำทางของพระองค์ให้ตรง’”[ad]
4 ยอห์นเองสวมเสื้อผ้าทำด้วยขนอูฐ คาดเอวด้วยหนังสัตว์ และอาหารคือตั๊กแตนและน้ำผึ้งป่า 5 คนทั้งเมืองเยรูซาเล็ม ทั้งแคว้นยูเดีย และทั่วทั้งย่านแม่น้ำจอร์แดนก็ออกไปหายอห์น 6 พวกผู้คนสารภาพบาปและได้รับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน
7 เมื่อยอห์นเห็นฟาริสี[ae]และสะดูสี[af]จำนวนมากมารับบัพติศมา จึงพูดกับพวกเขาว่า “พวกชาติอสรพิษ ใครเตือนให้ท่านหนีจากการลงโทษที่จะมาถึง 8 ฉะนั้นจงประพฤติตนเพื่อพิสูจน์ว่าท่านกลับใจจากการทำบาป 9 และอย่าคิดว่าท่านพูดต่อกันไปได้ว่า ‘เรามีอับราฮัมเป็นบิดาของเรา’ ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า พระเจ้าสามารถทำให้หินพวกนี้กลายเป็นลูกๆ ของอับราฮัมก็ได้ 10 มีขวานจ่อไว้ที่รากต้นไม้แล้ว หากว่าต้นไม้ต้นใดก็ตามไม่สามารถให้ผลงามได้ ก็จะถูกโค่นลงและถูกโยนลงในกองไฟ
11 ข้าพเจ้าให้บัพติศมาแก่ท่านด้วยน้ำเป็นการแสดงถึงการกลับใจของท่าน แต่พระองค์ผู้กำลังมาหลังจากข้าพเจ้ามีอานุภาพยิ่งกว่าข้าพเจ้า แม้แต่รองเท้าของพระองค์ ข้าพเจ้าก็มิบังควรที่จะถือ พระองค์จะให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และไฟ 12 พลั่วสำหรับแยกแกลบอยู่ในมือของพระองค์ เพื่อปรับลานของพระองค์ให้เรียบ และเพื่อแยกเก็บข้าวสาลีของพระองค์ไว้ในยุ้ง แต่พระองค์จะเผาแกลบด้วยไฟซึ่งลุกโชติช่วงอยู่ตลอดเวลา”
พระเยซูรับบัพติศมา
13 ครั้นพระเยซูจากแคว้นกาลิลีมาจนถึงแม่น้ำจอร์แดน พระองค์มาหายอห์นเพื่อรับบัพติศมาจากท่าน 14 แต่ยอห์นพยายามห้ามพระองค์โดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าสมควรที่จะรับบัพติศมาจากพระองค์ แล้วพระองค์จะมารับจากข้าพเจ้าอย่างนั้นหรือ” 15 แต่พระเยซูกล่าวตอบยอห์นว่า “ในเวลานี้ ขอให้เป็นไปตามนั้นเถิด เพราะสมควรที่เราทั้งสองจะกระทำการนี้เพื่อเป็นไปตามความชอบธรรมทุกประการ” แล้วยอห์นก็ยินยอม
16 หลังจากรับบัพติศมาแล้ว พระเยซูขึ้นจากน้ำทันที และสวรรค์ก็เปิดออก และเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าในรูปลักษณ์ของนกพิราบลงมาสถิตบนพระองค์ 17 มีเสียงกล่าวจากสวรรค์ว่า “ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา คือผู้ที่เราพอใจมาก”
พญามารผู้ยั่วยุท้าพระเยซู
4 ครั้นแล้ว พระวิญญาณได้นำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อพญามารจะได้ยั่วยุพระองค์[ag] 2 หลังจากพระองค์อดอาหารเป็นเวลา 40 วัน 40 คืนแล้ว พระองค์จึงรู้สึกหิว 3 พญามารผู้ยั่วยุมาพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ก็ทำให้ก้อนหินพวกนี้กลายเป็นขนมปังสิ” 4 แต่พระองค์กล่าวตอบว่า “มีบันทึกไว้ว่า
‘มนุษย์มิอาจยังชีพได้ด้วยขนมปังเพียงอย่างเดียว
แต่อยู่ได้ด้วยทุกถ้อยคำที่กล่าวจากปากของพระเจ้า’”[ah]
5 แล้วพญามารก็นำพระองค์เข้าไปยังเมืองบริสุทธิ์ ให้พระองค์ยืนบนยอดสูงสุดของพระวิหาร 6 และพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ก็กระโดดลงไปสิ เพราะมีบันทึกไว้ว่า
‘พระองค์จะสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์มาปกป้องท่าน’
และ
‘ทูตสวรรค์จะช่วยรับท่านไว้ในมือ
เพื่อว่าเท้าของท่านจะได้ไม่กระทบแม้หินสักก้อน’”[ai]
7 พระเยซูกล่าวกับพญามารว่า “มีบันทึกไว้ด้วยว่า ‘อย่าลองดีกับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า’”[aj] 8 พญามารจึงนำพระองค์ไปยังภูเขาสูงเพื่อให้ดูทุกอาณาจักรในโลกพร้อมกับความรุ่งเรือง 9 พญามารพูดกับพระองค์ว่า “เราจะยกสิ่งเหล่านี้ให้ท่านหากท่านก้มลงนมัสการเรา” 10 พระเยซูกล่าวกับพญามารว่า “ไปเสียให้พ้นเถิดซาตาน[ak] เพราะมีบันทึกไว้ว่า
‘เจ้าจงกราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า
และรับใช้พระองค์เพียงผู้เดียว’”[al]
11 ครั้นแล้วพญามารก็จากพระเยซูไป และเหล่าทูตสวรรค์ได้มาปรนนิบัติพระองค์
พระเยซูเริ่มประกาศ
12 เมื่อพระเยซูได้ยินว่ายอห์นถูกจับกุม พระองค์ก็เดินทางไปยังแคว้นกาลิลี 13 เมื่อพระองค์เดินทางออกจากเมืองนาซาเร็ธก็ได้ไปอาศัยอยู่ที่เมืองคาเปอร์นาอุม ซึ่งอยู่ริมทะเลสาบในเขตแดนของเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลี 14 ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้โดยผ่านอิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า
15 “เขตแดนของเผ่าเศบูลุน
และเขตแดนของเผ่านัฟทาลี
ตามทางข้างทะเลโพ้นแม่น้ำจอร์แดน
คือกาลิลีของบรรดาคนนอก[am]
16 ผู้คนที่อาศัยอยู่ในความมืด
ได้เห็นความสว่างอันยิ่งใหญ่
ผู้ที่นั่งอยู่ในดินแดนของเงาแห่งความตาย
ได้รับความสว่างที่สาดส่องมาถึงแล้ว”[an]
17 ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูก็เริ่มประกาศว่า “จงกลับใจ เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์ใกล้จะมาถึงแล้ว”
สาวกกลุ่มแรกติดตามพระเยซู
18 พระเยซูเดินเลียบไปตามทะเลสาบกาลิลี พระองค์เห็นพี่น้องสองคน คือซีโมนซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าเปโตร และอันดรูว์น้องชายกำลังทอดแหอยู่ที่ทะเลสาบ ด้วยว่าทั้งสองเป็นชาวประมง 19 พระองค์กล่าวกับเขาทั้งสองว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะสอนให้เจ้าเป็นชาวประมงที่นำฝูงชนมาหาเรา” 20 ทั้งสองจึงทิ้งแหและอวนเพื่อติดตามพระองค์ไปทันที 21 ขณะที่เดินต่อไป พระองค์เห็นพี่น้องอีกสองคน คือยากอบบุตรของเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขาอยู่ในเรือกับเศเบดีบิดาของเขากำลังชุนแหและอวนอยู่ พระองค์จึงเรียกเขา 22 เขาทั้งสองก็ละจากเรือและบิดาเพื่อติดตามพระองค์ไปทันที
การปฏิบัติงานของพระเยซู
23 พระเยซูสั่งสอนตามศาลาที่ประชุมทั่วทั้งแคว้นกาลิลี เพื่อประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และพระองค์รักษาผู้คนให้หายขาดจากโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิด 24 ข่าวเกี่ยวกับพระองค์แพร่ไปทั่วแคว้นซีเรีย มีผู้คนพาคนป่วยมาหาพระองค์ คนเหล่านั้นป่วยด้วยโรคนานาชนิด เช่น คนที่ทนทุกข์ทรมาน คนที่มีมารสิง คนที่เป็นโรคลมชักและคนง่อย แล้วพระองค์ก็รักษาพวกเขาให้หายขาดจากโรค 25 ฝูงชนจำนวนมากติดตามพระองค์จากแคว้นกาลิลี แคว้นทศบุรี เมืองเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดีย และจากอีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation