Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ยากอบ 3:13 - 3 ยอห์น 15

สติปัญญาจากเบื้องบน

13 ใครในพวกท่านบ้างที่มีสติปัญญาและเฉลียวฉลาด จงให้ผู้นั้นแสดงความประพฤติที่ดีงาม คือการกระทำซึ่งแสดงออกถึงการถ่อมตัวอันเนื่องมาจากสติปัญญา 14 แต่หากใจของท่านเต็มด้วยความอิจฉาและความทะเยอทะยานที่เห็นแก่ตัว ก็อย่าโอ้อวดตัว และคิดผิดจากความเป็นจริงเลย 15 สติปัญญาเช่นนี้ไม่ได้ลงมาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาอย่างโลกซึ่งไม่ใช่ฝ่ายวิญญาณ คือเป็นอย่างมาร 16 ที่ใดมีความอิจฉาและความทะเยอทะยานที่เห็นแก่ตัว ที่นั่นมีความไม่เป็นระเบียบและมีความชั่วทุกชนิด 17 แต่สติปัญญาที่มาจากเบื้องบนบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข อ่อนโยน ยอมเชื่อฟัง เปี่ยมด้วยความเมตตาและการกระทำที่ดี ไม่อ่อนไหวง่าย ไม่หน้าไหว้หลังหลอก 18 ผู้ที่สร้างสันติก็หว่านเมล็ดที่มีสันติ และจะเก็บเกี่ยวผลคือความชอบธรรม

เชื่อฟังพระเจ้า

อะไรเป็นเหตุให้พวกท่านสู้รบและทะเลาะวิวาทกัน เหตุนั้นไม่ได้มาจากความต้องการอันเร่าร้อนในตัวท่านหรือ ท่านอยากได้เหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้ ท่านจึงฆ่า ท่านโลภอยากได้ แต่ก็ไม่ได้มาเป็นของตน ท่านจึงทะเลาะวิวาทและสู้รบกัน ท่านไม่มี เพราะท่านไม่ได้อธิษฐานขอ ท่านขอ และไม่ได้รับ เพราะท่านขอด้วยแรงจูงใจที่ผิด ท่านหวังจะได้ใช้เพื่อความสำราญของตน พวกท่านที่ไม่ภักดี ท่านไม่รู้หรือว่าการเป็นมิตรกับโลกเป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ปรารถนาจะเป็นเพื่อนกับโลก ก็ทำตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้า ท่านคิดว่าพระคัมภีร์ระบุอย่างไม่มีเหตุผลหรือ ที่ว่า “พระเจ้าหวงแหนวิญญาณที่พระองค์มอบให้อยู่ในตัวเรามาก” แต่พระองค์มอบพระคุณให้เรามากยิ่งขึ้น พระคัมภีร์จึงระบุว่า “พระเจ้าต่อต้านผู้หยิ่งยโส แต่แสดงพระคุณแก่คนที่ถ่อมตน”[a] ฉะนั้นจงเชื่อฟังพระเจ้า และต่อต้านพญามาร แล้วมันจะหนีจากท่านไป จงโน้มใจเข้าหาพระเจ้า และพระองค์ก็จะโน้มใจเข้าหาท่าน ท่านที่เป็นคนบาป จงชำระมือของท่านเถิด และท่านที่เป็นคนสองใจก็จงทำใจให้บริสุทธิ์เถิด จงเป็นทุกข์ คร่ำครวญ และร้องไห้ ให้การหัวเราะกลับกลายเป็นการร้องคร่ำครวญ และความยินดีของท่านกลายเป็นความโศกสลด 10 จงถ่อมตัว ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะยกย่องท่าน

11 พี่น้องเอ๋ย อย่าพูดว่าร้ายต่อกันเลย คนที่พูดว่าร้ายหรือตำหนิพี่น้องของตน ผู้นั้นก็คัดค้านกฎบัญญัติและตำหนิกฎบัญญัติ แต่ถ้าท่านกล่าวโทษกฎบัญญัติ ท่านก็ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติตามกฎบัญญัติ แต่กลับเป็นผู้กล่าวโทษ 12 มีผู้ตั้งกฎและผู้กล่าวโทษอยู่เพียงผู้เดียว คือผู้ที่สามารถช่วยให้รอดพ้นและทำลายได้ แต่ท่านเป็นใครที่กล่าวโทษเพื่อนบ้านของท่าน

โอ้อวดถึงอนาคต

13 จงฟังให้ดี ท่านที่พูดว่า “วันนี้ หรือพรุ่งนี้ เราจะไปยังเมืองนั้นเมืองนี้ เพื่อจะไปอยู่ที่นั่น 1 ปีทำธุรกิจและหากำไร” 14 แต่ท่านยังไม่ทราบว่าชีวิตของท่านจะเป็นอย่างไรในวันพรุ่งนี้ ท่านเป็นเหมือนไอน้ำที่ปรากฏขึ้นเพียงชั่วขณะหนึ่งแล้วจางหายไป 15 ท่านควรจะพูดเช่นนี้ต่างหาก “ถ้าเป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เราจะมีชีวิตอยู่อีกเพื่อทำสิ่งนี้สิ่งนั้น” 16 แต่เท่าที่เป็นอยู่ ท่านโอ้อวดตามความยโส การโอ้อวดทุกอย่างเช่นนี้เป็นสิ่งชั่วร้าย 17 ฉะนั้นผู้ที่ทราบว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรกระทำแต่ไม่กระทำ ก็นับว่าเป็นผู้ทำบาป

เตือนผู้มั่งมี

ท่านผู้มั่งมี จงฟังให้ดี ท่านร้องไห้และคร่ำครวญเถิด เพราะความทุกข์ต่างๆ กำลังจะเกิดกับท่าน ความมั่งมีของท่านสูญเสียไปแล้ว และเครื่องนุ่งห่มก็ถูกแมลงกัดกิน ทองคำและเงินของท่านก็ขึ้นสนิม และสนิมนั้นจะเป็นพยานต่อต้านท่าน และจะเผาผลาญเลือดเนื้อของท่านดุจเปลวเพลิง ท่านเก็บสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในช่วงเวลาแห่งวาระสุดท้าย ดูเถิด ค่าจ้างที่ท่านไม่ได้จ่ายคนงานซึ่งเก็บเกี่ยวนาของท่านกำลังร้องต่อต้านท่าน เสียงร้องของบรรดาผู้เก็บเกี่ยวได้ทราบถึงหูของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกอย่างฟุ่มเฟือย และหาความสำราญใส่ตัว ท่านบำเรอจิตใจจนอ้วนพีไว้เพื่อวันประหาร ท่านได้กล่าวโทษและฆ่าคนที่มีความชอบธรรม เขาก็ไม่ต่อต้านท่าน

การทนทุกข์และความอดทน

ฉะนั้น พี่น้องเอ๋ย จงอดทนจนถึงวันที่พระผู้เป็นเจ้าจะมา ดูสิว่า ชาวนาชาวสวนรอคอยผลอันล้ำค่าจากที่นา และมีความอดทนรอคอยฝนตอนต้นและปลายฤดู ท่านก็ควรอดทนเช่นกัน จงทำใจให้ดีไว้ เพราะใกล้วันที่พระผู้เป็นเจ้าจะมาแล้ว พี่น้องเอ๋ย อย่าบ่นต่อว่ากันเลย ท่านเองจะได้ไม่ถูกกล่าวโทษ ดูเถิด ผู้พิพากษากำลังยืนอยู่ที่ประตู 10 พี่น้องเอ๋ย จงเอาแบบอย่างในการทนทุกข์และความอดทนของผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าที่พูดในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า 11 ดูเถิด เรานับว่าบรรดาผู้ที่มีความบากบั่นเป็นผู้มีความสุข ท่านได้ยินเรื่องความบากบั่นของโยบ และได้เห็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าในที่สุดแล้วว่า พระผู้เป็นเจ้ามีความเมตตาและความเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง

12 พี่น้องของข้าพเจ้าเอ๋ย ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดแล้วท่านอย่าสบถสาบาน ไม่ว่าต่อสวรรค์ หรือต่อโลก หรือต่อคำมั่นสัญญาอื่นใดเลย แต่จงเป็นเพียง ใช่ก็ว่าใช่ และไม่ก็ว่าไม่ เพื่อท่านจะได้ไม่ถูกกล่าวโทษ

อธิษฐานด้วยความเชื่อ

13 มีพวกท่านคนใดไหมที่กำลังทนทุกข์ทรมานอยู่ ให้เขาอธิษฐานเถิด มีใครร่าเริงไหม ให้เขาร้องเพลงสรรเสริญเถิด 14 มีพวกท่านคนใดไหมที่เจ็บป่วย ให้เขาขอให้บรรดาผู้ปกครองของคริสตจักรมาอธิษฐานเพื่อเขา เจิมเขาด้วยน้ำมันในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า 15 การอธิษฐานด้วยความเชื่อจะทำให้คนป่วยหายได้ พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้เขามีสุขภาพดีอีก และถ้าเขาได้กระทำบาป เขาก็จะได้รับการยกโทษ 16 ฉะนั้นจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อว่าท่านจะได้รับการรักษาให้หาย คำอธิษฐานของคนมีความชอบธรรมมีอานุภาพและเกิดผลมาก 17 เอลียาห์เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา ท่านได้อธิษฐานอย่างแรงกล้าเพื่อไม่ให้ฝนตก และฝนก็ไม่ตกบนแผ่นดินถึงสามปีครึ่ง 18 ท่านอธิษฐานอีก และฟ้าสวรรค์ก็ให้ฝนตกลงมา และแผ่นดินโลกได้ผลิตพืชผลต่างๆ

19 พี่น้องของข้าพเจ้าเอ๋ย ถ้ามีคนใดในพวกท่านหลงผิดไปจากความจริง และมีคนพาเขากลับคืนมา 20 จงทราบด้วยว่า คนที่พาคนบาปกลับจากทางที่ผิด จะช่วยให้จิตวิญญาณของเขาพ้นจากความตาย และบาปมากมายจะได้รับการให้อภัย

การทักทายของเปโตร

ข้าพเจ้าเปโตรอัครทูตของพระเยซูคริสต์

เรียน ท่านทั้งหลายผู้เป็นชนต่างแดนที่พระเจ้าได้เลือกไว้ ซึ่งได้กระจัดกระจายไปอยู่ทั่วแคว้นปอนทัส แคว้นกาลาเทีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นเอเชีย และแคว้นบิธีเนีย ท่านได้รับเลือกตามที่พระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาทราบดีมาแต่แรก และโดยการชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ เพื่อจะได้เชื่อฟังพระเยซูคริสต์ และรับการประพรมด้วยโลหิตของพระองค์

ขอพระคุณและสันติสุขจงมีแก่ท่านอย่างเต็มเปี่ยมเถิด

ความหวังอันดำรงอยู่

สรรเสริญพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ด้วยความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระองค์จึงโปรดให้เราได้บังเกิดใหม่เพื่อเข้าสู่ความหวังแห่งชีวิต โดยผ่านการฟื้นคืนชีวิตจากความตายของพระเยซูคริสต์ และให้ได้รับมรดกซึ่งไม่มีวันสูญสิ้น ปราศจากมลทินและไม่ร่วงโรย ซึ่งได้เก็บรักษาไว้ให้ท่านในสวรรค์แล้ว ท่านผู้มีความเชื่อก็จะได้รับการคุ้มครองโดยอานุภาพของพระเจ้า จนกระทั่งถึงวันแห่งความรอดพ้น ซึ่งจะได้เผยให้ทราบในวาระสุดท้าย ท่านควรชื่นชมยินดีอย่างยิ่งในสิ่งเหล่านี้ ถึงแม้ว่า ในขณะนี้ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานนานัปการชั่วขณะหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อพิสูจน์ความถ่องแท้ของความเชื่อของท่าน แม้แต่ทองคำซึ่งถูกทำลายได้เมื่อถูกทดสอบด้วยไฟ ฉะนั้นความเชื่อของท่านมีค่ามากกว่าทองคำก็ต้องถูกทดสอบด้วย และผลที่จะได้รับคือคำสรรเสริญ บารมี และเกียรติในเวลาที่พระเยซูคริสต์มาปรากฏ แม้ว่าท่านยังไม่เคยเห็นพระองค์ ท่านก็ยังรักพระองค์ และแม้ว่าท่านไม่เห็นพระองค์ในขณะนี้ ท่านก็ยังเชื่อพระองค์ ท่านร่าเริงด้วยความยินดีเป็นล้นพ้นเกินที่จะกล่าวได้ เพราะท่านกำลังรับผลของความเชื่อของท่าน คือความรอดพ้นของจิตวิญญาณ

10 บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้เผยความถึงพระคุณซึ่งจะบังเกิดแก่ท่าน พวกเขาได้สืบเสาะและสอบถามอย่างระมัดระวังเรื่องความรอดพ้นนี้ 11 พระวิญญาณของพระคริสต์สถิตกับพวกเขา และพระวิญญาณได้พยากรณ์ถึงการทนทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และหลังจากการทรมานนั้นแล้ว พระองค์จะได้รับพระบารมี พวกเขาพยายามสืบหาว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และเกิดกับผู้ใด 12 พระเจ้าเปิดเผยให้พวกเขาทราบว่า เขาไม่ได้กระทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แต่เพื่อพวกท่าน สิ่งใดก็ตามที่เขากล่าวไว้ พวกท่านก็ได้รับรู้แล้วโดยบรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งได้รับการดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์จากสวรรค์ให้ประกาศแก่ท่านในเวลานี้ แม้เหล่าทูตสวรรค์ก็ปรารถนาจะได้ทราบสิ่งเหล่านี้

จงเป็นผู้บริสุทธิ์

13 ดังนั้น พวกท่านจงเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม จงควบคุมตนเอง และตั้งความหวังทั้งหมดที่มีไว้ในพระคุณ ซึ่งจะให้แก่ท่านเวลาพระเยซูคริสต์มาปรากฏ 14 ตามอย่างบุตรที่เชื่อฟัง อย่าทำตัวตามกิเลสเหมือนครั้งที่ท่านยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 15 แต่เป็นไปตามพระองค์ผู้บริสุทธิ์ที่ได้เรียกท่าน ท่านก็จงกระทำทุกสิ่งด้วยความบริสุทธิ์ 16 ดังที่มีบันทึกไว้ว่า “จงเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”[b] 17 ถ้าท่านร้องเรียกพระนามของพระบิดาผู้พิพากษาการกระทำของทุกคนโดยปราศจากความลำเอียง ท่านก็จงดำเนินชีวิตดั่งเป็นคนแปลกถิ่นด้วยความยำเกรง 18 เพราะท่านทราบว่าพระองค์ได้ไถ่ท่านจากวิถีชีวิตอันว่างเปล่าอันตกทอดจากบรรพบุรุษมาสู่ท่าน ด้วยสิ่งที่ไม่อาจเสื่อมสลายได้ดังเช่นเงินและทอง 19 แต่ไถ่ด้วยโลหิตอันล้ำค่าของพระคริสต์ เหมือนลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง 20 พระเจ้าได้กำหนดพระคริสต์ก่อนสร้างโลก แต่ให้พระองค์ปรากฏในวาระสุดท้ายนี้เพื่อท่านทั้งหลาย 21 เพราะพระคริสต์ ท่านจึงเชื่อในพระเจ้าที่โปรดให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย และมอบพระบารมีแก่พระองค์ ดังนั้นความเชื่อและความหวังของท่านจึงอยู่ในพระเจ้า

22 ในเมื่อท่านทั้งหลายได้ชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์แล้วโดยการเชื่อฟังความจริง เพื่อรักกันฉันพี่น้องอย่างแท้จริง ท่านจงรักกันอย่างลึกซึ้งด้วยใจจริงเถิด 23 เพราะท่านบังเกิดใหม่แล้วจากเมล็ดที่มีชีวิต ไม่ใช่จากเมล็ดที่ฝ่อ คือด้วยคำกล่าวของพระเจ้าซึ่งมีชีวิตและดำรงอยู่ 24 ด้วยว่า

“มนุษย์ทุกคนเป็นเสมือนต้นหญ้า
    และบารมีของเขาเป็นเสมือนดอกหญ้า
ต้นหญ้านั้นเหี่ยวแห้ง และดอกร่วงโรย
25     แต่คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ายั่งยืนอยู่ตลอดกาล”[c]

นี่คือคำกล่าวซึ่งได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายแล้ว

ดังนั้น จงกำจัดความคิดปองร้ายและการล่อลวงทั้งปวง ความเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ความอิจฉา และการว่าร้ายทุกชนิด เช่นเดียวกับเด็กทารกแรกเกิดซึ่งกระหายน้ำนมอันบริสุทธิ์ฝ่ายวิญญาณ น้ำนมจะทำให้ท่านเติบโตสู่ความรอดพ้น และท่านก็ได้ลิ้มรสแล้วว่า พระผู้เป็นเจ้าประเสริฐ

ศิลาที่ดำรงอยู่ และชนชาติของพระเจ้า

จงเข้าหาพระองค์ผู้เป็นเสมือนศิลาที่ดำรงอยู่ ซึ่งมนุษย์ไม่ยอมรับ แต่ในสายตาของพระเจ้าแล้ว พระองค์ถูกเลือกและมีค่ายิ่ง ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน ท่านเป็นดังศิลาที่มีชีวิต ซึ่งกำลังถูกสร้างให้เป็นเรือนฝ่ายวิญญาณ เพื่อเป็นปุโรหิตผู้บริสุทธิ์ที่ถวายเครื่องสักการะฝ่ายวิญญาณ อันเป็นที่พอใจของพระเจ้าโดยผ่านพระเยซูคริสต์ เพราะพระคัมภีร์ระบุว่า

“ดูเถิด เราวางศิลาก้อนหนึ่งลงในศิโยน
    เป็นศิลามุมเอกที่ถูกเลือกไว้และล้ำค่า
ผู้ที่ไว้วางใจในพระองค์
    จะไม่ได้รับความอับอาย”[d]

ศิลานี้ล้ำค่าสำหรับท่านที่เชื่อ แต่สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ

“ศิลาที่พวกช่างก่อสร้างทิ้ง
    ได้กลายเป็นศิลามุมเอก”[e]

และ

“ศิลาก้อนหนึ่งที่เป็นเหตุให้คนสะดุด
    และเป็นหินที่ทำให้พวกเขาล้มลง”[f]

เขาสะดุดก็เพราะไม่เชื่อฟังคำประกาศ ตามที่เขาถูกกำหนดไว้เช่นนั้น

แต่พวกท่านถูกเลือกให้เป็นเชื้อชาติ พวกท่านเป็นทั้งปุโรหิตหลวง ประชาชาติที่บริสุทธิ์ และชนชาติของพระเจ้า เพื่อให้ท่านประกาศการกระทำอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ โดยเรียกท่านให้พ้นจากความมืดสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ 10 เมื่อก่อนท่านทั้งหลายไม่ได้เป็นชนชาติ แต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้า เมื่อก่อนท่านทั้งหลายไม่ได้รับความเมตตา แต่บัดนี้ท่านได้รับความเมตตาแล้ว

11 ท่านที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้ท่าน ในฐานะที่ท่านเป็นคนแปลกถิ่นและคนต่างแดน ละเว้นจากตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งยังคงต่อสู้กับจิตวิญญาณของท่าน 12 จงรักษาความประพฤติอันดีของท่านไว้ให้มั่นในท่ามกลางคนนอก เพื่อว่าในกรณีที่เขาจะกล่าวหาว่าท่านประพฤติผิด เขาจะได้เห็นความดีของท่าน และจะได้สรรเสริญพระเจ้าในวันแห่งการพิพากษา[g]

เชื่อฟังผู้มีสิทธิ์บังคับบัญชา

13 ท่านจงยอมเชื่อฟังผู้มีสิทธิ์บังคับบัญชาที่มนุษย์ตั้งไว้ทุกแขนง เพื่อเห็นแก่พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ผู้มีสิทธิอำนาจยิ่ง 14 หรือจะเป็นบรรดาผู้ว่าราชการ ซึ่งได้รับคำสั่งจากกษัตริย์ให้ลงโทษผู้ประพฤติชั่ว และส่งเสริมผู้ประพฤติดี 15 เป็นความประสงค์ของพระเจ้า ที่ท่านจะทำให้คนโง่เขลานิ่งอึ้งโดยความประพฤติที่ดีของท่าน 16 จงดำเนินชีวิตอย่างผู้เป็นอิสระ แต่อย่าใช้อิสรภาพนั้นเป็นข้ออ้างเพื่อทำความชั่ว จงดำเนินชีวิตเช่นผู้รับใช้ของพระเจ้า 17 จงให้เกียรติแก่ทุกคน รักเหล่าพี่น้อง ยำเกรงพระเจ้า และจงให้เกียรติแก่กษัตริย์

18 บรรดาทาส จงยอมเชื่อฟังนายของท่านด้วยความยำเกรงทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะนายที่ดีและสุภาพเท่านั้น แต่นายที่แข็งกระด้างด้วย 19 ถ้าผู้ใดอดทนต่อความทุกข์ทรมานที่ตนไม่สมควรได้รับ และใจของเขายังตระหนักถึงความประสงค์ของพระเจ้า เขาก็จะเป็นที่พอใจของพระองค์ 20 ถ้าท่านทนต่อการเฆี่ยนตีเมื่อท่านกระทำผิด แล้วท่านจะได้รับการยกย่องอะไร แต่ถ้าท่านทนทุกข์ทรมานเนื่องจากการกระทำดีและอดกลั้นไว้ พระเจ้าก็จะชมเชยท่าน 21 พระเจ้าเรียกท่านมาด้วยจุดประสงค์นี้ เพราะพระคริสต์ได้ทนทุกข์ทรมานเพื่อท่าน และเป็นตัวอย่างให้ท่านปฏิบัติตาม 22 “พระองค์ไม่ได้กระทำบาปเลย และพระองค์ไม่เคยกล่าวคำที่ล่อลวง”[h] 23 เมื่อผู้คนกล่าวคำหยาบคายต่อพระองค์ พระองค์ก็มิได้ว่ากลับ เมื่อพระองค์รับทุกข์ทรมานก็มิได้ขู่ประการใด แต่ได้มอบพระองค์เองให้แก่พระเจ้าผู้ทำการพิพากษาด้วยความชอบธรรม 24 พระองค์รับบาปของเราทั้งหลายไว้ในร่างกายของพระองค์บนไม้กางเขนนั้น เพื่อให้เราตายต่อบาปและดำเนินชีวิตเพื่อความชอบธรรม ท่านทั้งหลายได้รับการรักษาให้หายได้ก็เพราะบาดแผลของพระองค์ 25 พวกท่านเป็นเสมือนแกะที่พลัดจากฝูง แต่บัดนี้ท่านกลับมาหาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะและผู้ดูแลจิตวิญญาณของท่าน

ภรรยาและสามี

ภรรยาทั้งหลายก็เช่นกัน จงยอมเชื่อฟังสามี หากสามีบางคนไม่เชื่อฟังคำกล่าวของพระเจ้า แต่ความประพฤติของภรรยาอาจจะจูงใจพวกเขาได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดเลย เขาจะได้เห็นความบริสุทธิ์และความยำเกรงในชีวิตของท่าน ความงามของท่านไม่ควรเกิดจากการประดับกายภายนอก เช่น การถักผม สวมเครื่องประดับทองและเสื้อผ้าสวยงาม แต่ควรเป็นความงามภายในที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย คือความอ่อนโยนและความสงบของวิญญาณ ซึ่งมีคุณค่ายิ่งในสายตาของพระเจ้า เพราะในวิธีนี้ที่บรรดาหญิงบริสุทธิ์ในอดีตมีความหวังในพระเจ้า และเคยแต่งกายให้งามโดยการยอมเชื่อฟังสามีของตน ดังเช่นนางซาราห์ที่ได้เชื่อฟังอับราฮัม และเรียกท่านว่า นายท่าน ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติถูกต้องและไม่หวาดกลัวสิ่งใด ท่านก็เป็นลูกสาวของนาง

สามีทั้งหลายก็เช่นกัน จงเข้าใจภรรยาที่อยู่ร่วมกัน ให้เกียรติว่านางเป็นเพศที่อ่อนแอกว่า และเป็นผู้รับมรดกร่วมกับท่าน คือชีวิตแห่งพระคุณ เพื่อว่าจะได้ไม่มีสิ่งใดขัดขวางคำอธิษฐานของท่านได้

รับทุกข์ทรมานจากการทำดี

สุดท้ายนี้ท่านทั้งหลาย จงดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกัน มีความเห็นใจกัน รักกันฉันพี่น้อง จงมีใจสงสารและถ่อมตน อย่าสนองตอบความเลวร้ายด้วยความเลวร้าย หรือสบประมาทด้วยการสบประมาท แต่จงตอบด้วยการอวยพรเขา พระองค์เรียกท่านมาด้วยจุดประสงค์นี้ เพื่อท่านจะได้รับพระพร 10 ด้วยว่า

“ใครก็ตามที่ยินดีกับชีวิต
    และประสบกับสิ่งดีงาม
ต้องบังคับลิ้นไม่ให้พูดสิ่งที่ชั่ว
    และไม่ให้ปากพูดล่อลวง
11 เขาต้องหลีกเลี่ยงการทำความชั่วเพื่อทำความดี
    เขาต้องใฝ่หาสันติสุขและมุ่งมั่นเพื่อจะได้มาซึ่งสันติสุขนั้น
12 เพราะว่าตาของพระผู้เป็นเจ้าเฝ้าดูคนที่มีความชอบธรรม
    และพระองค์ฟังคำอธิษฐานของเขา
แต่พระผู้เป็นเจ้าขัดขวางบรรดาผู้กระทำความชั่ว”[i]

13 ถ้าท่านมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะทำความดีแล้ว ใครจะปองร้ายท่านได้ 14 แต่ถ้าหากว่าท่านต้องรับทุกข์ทรมานจากการประพฤติที่ถูกต้อง ท่านก็จะเป็นสุข “อย่ากลัวสิ่งที่เขากลัว และอย่าตระหนกตกใจ”[j] 15 จงยกย่องนับถือในใจท่าน ว่าพระคริสต์เป็นพระผู้เป็นเจ้า และพร้อมเสมอที่จะตอบทุกคนที่ถามท่าน ว่าเหตุใดท่านจึงมีความหวัง แต่จงกระทำด้วยความอ่อนโยนและความเคารพ 16 จงมีมโนธรรมที่ดี เพื่อว่าเวลามีคนพูดคัดค้านต่อความประพฤติดีของท่านที่มีในพระคริสต์ เขาจะรู้สึกละอายใจกับการว่าร้ายของเขา 17 หากว่าเป็นความประสงค์ของพระเจ้าแล้ว ให้เรารับทุกข์ทรมานจากการทำดี ก็ยังจะดีกว่ารับทุกข์ทรมานจากการทำชั่ว

18 เพราะว่าพระคริสต์สิ้นชีวิตเพื่อบาปเพียงครั้งเดียวเป็นพอ องค์ผู้มีความชอบธรรมกระทำให้สำหรับคนที่ไม่มีความชอบธรรม เพื่อพาท่านเข้าถึงพระเจ้า คือพระองค์สิ้นชีวิตฝ่ายกาย แต่พระองค์มีชีวิตฝ่ายวิญญาณ 19 และโดยทางวิญญาณ พระองค์ไปประกาศแก่เหล่าวิญญาณที่ถูกจำคุกอยู่ 20 คือนานมาแล้วพวกเขาไม่เชื่อฟัง เมื่อครั้งที่พระเจ้ารอด้วยความอดทน ในสมัยของโนอาห์ขณะที่มีการสร้างเรือใหญ่อยู่ มีเพียงไม่กี่คน คือรวมทั้งหมดได้ 8 คนที่อยู่ในเรือใหญ่เท่านั้นที่รอดชีวิตจากน้ำ 21 และน้ำนี้เป็นสัญลักษณ์ของบัพติศมาซึ่งขณะนี้ช่วยท่านให้รอดพ้นเช่นกัน ไม่ใช่เป็นการล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย แต่เป็นการขอร้องพระเจ้าเพื่อช่วยให้เรามีมโนธรรมที่ดี โดยการฟื้นคืนชีวิตจากความตายของพระเยซูคริสต์ 22 พระองค์ได้ไปสวรรค์และสถิต ณ เบื้องขวาของพระเจ้า มีบรรดาทูตสวรรค์ บรรดาผู้มีสิทธิอำนาจ และผู้มีอานุภาพฝ่ายวิญญาณอยู่ใต้บัญชาของพระองค์ด้วย

ใช้ชีวิตเพื่อพระเจ้า

ฉะนั้น ในเมื่อพระคริสต์ถูกทรมานทางร่างกาย ท่านจงมีความคิดอย่างเดียวกัน อันเป็นเสมือนอาวุธป้องกันตัวด้วย เพราะว่าผู้ที่ได้รับทุกข์ทรมานทางร่างกายไม่อยู่ใต้อำนาจบาป ผลที่ได้รับก็คือ จะไม่ใช้ชีวิตที่ยังเหลืออยู่ในโลกเพื่อปฏิบัติตามกิเลสของมนุษย์ แต่อยู่เพื่อปฏิบัติตามความประสงค์ของพระเจ้า พวกท่านได้ใช้ชีวิตที่ผ่านมาในสิ่งที่คนนอกเลือกกระทำ คือใช้ชีวิตหมดไปกับความมักมากในกาม กิเลส ดื่มสุราเมามาย เฮฮามั่วสุม ดื่มจนหัวราน้ำ และบูชารูปเคารพอันน่าชัง พวกเขาคงแปลกใจที่ท่านไม่ประพฤติชั่วคล้อยตามความเหลวแหลก และเขาก็ว่าร้ายท่าน แต่พวกเขาจะต้องให้การต่อพระองค์ ซึ่งพร้อมที่จะพิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย ด้วยเหตุนี้ข่าวประเสริฐได้ถูกประกาศ แม้แก่ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว และถึงแม้ว่าฝ่ายกายนั้นเขาถูกพิพากษาอย่างเช่นมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่เขาจะได้มีชีวิตฝ่ายวิญญาณตามความประสงค์ของพระเจ้า

การสิ้นสุดของสิ่งทั้งหลายใกล้เข้ามาแล้ว ฉะนั้นจงมีสติสัมปชัญญะ และรู้จักควบคุมตนเองเพื่ออธิษฐาน เหนือสิ่งอื่นใดแล้วท่านจงรักกันและกันอย่างลึกซึ้ง เพราะว่าความรักให้อภัยบาปมากมายได้ จงต้อนรับกันและกันโดยไม่บ่น 10 ทุกคนควรใช้ของประทานที่ตนได้รับเพื่อรับใช้ผู้อื่น เป็นผู้รับมอบหมายที่ดี โดยการแสดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า 11 ถ้าผู้ใดจะพูด ก็ให้พูดเสมือนเป็นคำที่มาจากพระเจ้า ถ้าผู้ใดรับใช้ก็ควรปฏิบัติด้วยพลังซึ่งพระเจ้าให้ เพื่อว่าในทุกสิ่งที่ท่านกระทำไป พระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญโดยผ่านพระเยซูคริสต์ ขอพระบารมีและอานุภาพจงมีแด่พระองค์ชั่วนิรันดร์กาลเถิด อาเมน

ทนทุกข์ทรมานเพราะเป็นคริสเตียน

12 ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าประหลาดใจกับความทุกข์ที่ท่านรับอย่างแสนสาหัส เสมือนว่าเป็นสิ่งแปลกที่เกิดขึ้นกับท่าน 13 แต่จงชื่นชมยินดีว่าท่านร่วมรับความทุกข์กับพระคริสต์ เพื่อท่านจะได้ร่าเริงใจยิ่งเมื่อพระบารมีของพระองค์มาปรากฏ 14 ถ้าท่านถูกเหยียดหยามเพราะพระนามของพระคริสต์ ท่านก็ได้รับพระพร เพราะพระวิญญาณพระเจ้าอันกอปรด้วยพระสง่าราศีสถิตกับท่าน 15 ถ้าท่านทนทุกข์ทรมาน ก็อย่าให้เป็นเหตุอันเนื่องมาจากฆาตกรรม การลักขโมย เป็นคนชั่วร้าย หรือเป็นคนเข้าไปยุ่งกับกิจธุระของผู้อื่นโดยไม่จำเป็น 16 อย่างไรก็ตามถ้าท่านทนทุกข์ทรมานเพราะว่าท่านเป็นคริสเตียน ก็อย่าได้ละอายใจ แต่จงสรรเสริญพระเจ้าเพราะพระนามนั้น 17 ถึงเวลาที่การพิพากษาจะเริ่มต้นกับครอบครัวของพระเจ้า และถ้าเริ่มต้นกับพวกเราแล้ว ผู้ที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะได้รับผลเช่นไร 18 และ

“ถ้ายากสำหรับคนที่มีความชอบธรรมจะได้รับความรอดพ้น
    แล้วคนที่ไร้คุณธรรมกับคนบาปเล่าจะเป็นอย่างไร”[k]

19 ดังนั้นแล้ว เมื่อผู้ใดปฏิบัติตามความประสงค์ของพระเจ้าและต้องทนทุกข์ทรมาน ก็จงให้ผู้นั้นฝากฝังจิตวิญญาณของเขากับผู้ที่ไว้วางใจได้ คือองค์ผู้สร้างสิ่งทั้งปวง และจงประพฤติดีต่อไปเถิด

เลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้า

ฉะนั้น ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ปกครองร่วมกับท่าน และเป็นพยานในเรื่องการทนทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และจะเป็นผู้ร่วมในพระบารมีที่จะปรากฏด้วย ข้าพเจ้าจึงขอร้องบรรดาผู้ปกครองในหมู่ท่าน คือจงเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของท่านด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการฝืนใจ แต่ตามความประสงค์ของพระเจ้า และกระทำอย่างกระตือรือร้นโดยไม่โลภมักได้ ไม่ยกตนข่มท่านกับคนที่อยู่ใต้การดูแลของท่าน แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น เมื่อหัวหน้าผู้เลี้ยงดูฝูงแกะมาปรากฏ ท่านจะได้รับมงกุฎแห่งพระสง่าราศีซึ่งไม่มีวันสูญสลาย ในทำนองเดียวกัน คือท่านผู้เยาว์จงยอมเชื่อฟังผู้อาวุโสกว่า ทุกท่านจงรับใช้กันและกันอย่างถ่อมตนเพราะ “พระเจ้าต่อต้านผู้หยิ่งยโส แต่แสดงพระคุณแก่คนที่ถ่อมตน”[l]

ฉะนั้น ท่านจงถ่อมตนอยู่ใต้อานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะยกย่องท่านเมื่อถึงเวลา จงมอบความกังวลทั้งสิ้นไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ห่วงใยท่าน จงควบคุมตนเองและคอยระวังระไวไว้ ศัตรูของท่านคือพญามาร มันวนเวียนดุจสิงโตคำรามที่แสวงหาเหยื่อ จงต่อต้านศัตรูนั้นด้วยการยืนหยัดในความเชื่อ เพราะท่านทราบว่า เหล่าพี่น้องทั่วโลกกำลังรับทุกข์ทรมานแบบเดียวกัน 10 พระเจ้าผู้มีพระคุณล้ำเลิศ ได้เรียกท่านเข้าสู่พระบารมีอันเป็นนิรันดร์ในพระคริสต์ หลังจากที่ท่านได้รับทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระองค์จะเสริมสร้างท่านให้มีกำลังเข้มแข็งและมั่นคง 11 ขอพระอานุภาพจงมีแด่พระองค์ชั่วนิรันดร์กาลเถิด อาเมน

คำลงท้าย

12 สิลวานัส คือคนที่ข้าพเจ้านับว่าเป็นพี่น้องผู้ภักดีคนหนึ่ง เขาได้ช่วยข้าพเจ้าเขียนถึงท่านอย่างสั้นๆ เพื่อให้กำลังใจและยืนยันว่า นี่แหละคือพระคุณที่แท้จริงของพระเจ้า จงตั้งมั่นอยู่ในพระคุณนั้น 13 คริสตจักรที่เมืองบาบิโลนซึ่งพระองค์เลือกไว้เช่นเดียวกัน ส่งความคิดถึงมายังท่าน และมาระโกบุตรของข้าพเจ้าก็ส่งความคิดถึงมาด้วย 14 จงทักทายกันด้วยการจูบแก้ม[m]อันเป็นการแสดงความรักต่อกัน

สันติสุขจงมีแก่ท่านทุกคนในพระคริสต์เถิด

การทักทายของเปโตร

ข้าพเจ้าซีโมนเปโตรผู้รับใช้และอัครทูตของพระเยซูคริสต์

เรียน บรรดาผู้ได้รับความเชื่ออันล้ำค่า ซึ่งเท่าเทียมกับความเชื่อของเราโดยความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระเจ้าและองค์ผู้ช่วยให้รอดพ้นของเรา

ขอพระคุณและสันติสุขจงมีแก่ท่านอย่างเต็มเปี่ยมโดยที่ท่านรู้จักพระเจ้า และพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

พระเจ้าเป็นผู้เรียกและผู้เลือก

ฤทธานุภาพของพระองค์ได้ให้ทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต ซึ่งดำเนินตามวิถีทางของพระเจ้าโดยที่เรารู้จักพระองค์ พระองค์เรียกเราก็เพราะพระบารมีและคุณธรรมของพระองค์ และผลที่ได้คือ พระองค์ได้ให้พระสัญญาอันล้ำค่าและยิ่งใหญ่ เพื่อให้ท่านได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติตามคุณลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามที่มีอยู่ในโลกอันเกิดจากกิเลสต่างๆ เพราะเหตุนี้เองท่านจงบากบั่นเอาคุณธรรมผนวกไปกับความเชื่อ เอาความรู้ผนวกไปกับคุณธรรม เอาการควบคุมตนเองผนวกไปกับความรู้ เอาความบากบั่นผนวกไปกับการควบคุมตนเอง เอาการปฏิบัติตามทางของพระเจ้าผนวกไปกับความบากบั่น เอาความกรุณาฉันพี่น้องผนวกไปกับการปฏิบัติตามทางของพระเจ้า และเอาความรักผนวกไปกับความกรุณาฉันพี่น้อง ถ้าท่านมีคุณสมบัติเหล่านี้อย่างเพิ่มพูน ก็จะบังเกิดประโยชน์และให้ผลดีแก่ท่านโดยที่รู้จักพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา แต่คนที่ไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้เป็นคนตาบอดตาสั้น และลืมว่าเขาได้รับการชำระล้างบาปที่ทำมาแต่ก่อน 10 ฉะนั้นพี่น้องของข้าพเจ้าจงกระตือรือร้นให้มากยิ่งขึ้นในการปฏิบัติตน ให้สมกับที่พระเจ้าได้เรียกและเลือกท่าน เพราะถ้าท่านประพฤติตามสิ่งเหล่านี้แล้ว ท่านจะไม่มีวันพลาด 11 และท่านจะมีสิทธิ์อย่างบริบูรณ์ ที่จะเข้าสู่อาณาจักรอันเป็นนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้าและองค์ผู้ช่วยให้รอดพ้นของเรา

มั่นใจในคำกล่าว

12 ดังนั้นข้าพเจ้ายังจะตักเตือนท่านถึงสิ่งเหล่านี้เสมอ แม้ว่าท่านจะทราบและมีความมั่นคงในความจริงที่ท่านได้รับแล้วก็ตาม 13 ข้าพเจ้าคิดว่าสมควรอย่างยิ่งที่จะเตือนความจำท่าน ตราบที่ข้าพเจ้ายังอยู่ในร่างกาย[n]นี้ 14 เพราะข้าพเจ้าทราบว่าอีกไม่ช้าข้าพเจ้าจะต้องจากร่างกายนี้ไป ตามที่พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นอย่างชัดเจน 15 และข้าพเจ้าจะพยายามทุกวิถีทาง เพื่อว่าหลังจากที่ข้าพเจ้าจากไปแล้ว ท่านก็จะยังนึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้

16 เมื่อเราบอกท่านเกี่ยวกับอานุภาพและการมาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พวกเราไม่ได้กล่าวคล้อยตามไปกับนิยายต่างๆ ที่มีคนแต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด แต่เรารู้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์มาแต่แรกเอง 17 เพราะพระองค์ได้รับพระเกียรติและพระบารมีจากพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดา เมื่อมีเสียงจากพระบารมีอันยิ่งใหญ่กล่าวกับพระองค์ว่า “ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา คือผู้ที่เราพอใจมาก”[o] 18 พวกเราเองได้ยินเสียงนั้นจากสวรรค์ ในเวลาที่เราอยู่กับพระองค์บนภูเขาอันบริสุทธิ์ 19 และพวกเรามีความมั่นใจยิ่งขึ้นในคำที่เหล่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้กล่าวไว้ และจะเป็นการดีที่ท่านเอาใจใส่ต่อคำประกาศนั้น เพราะเป็นเสมือนแสงที่ส่องทอในที่มืด จนกว่ารุ่งอรุณและดาวประกายพรึกจะปรากฏขึ้นในใจของท่าน 20 สิ่งแรกที่ท่านควรเข้าใจคือ ไม่มีคำกล่าวอันใดของพระเจ้าที่เผยไว้ในพระคัมภีร์ซึ่งผู้เผยคำกล่าวจะตีความหมายเอง 21 เพราะว่าการเผยคำกล่าวของพระเจ้าไม่เคยเกิดขึ้นจากความประสงค์ของมนุษย์ แต่มวลมนุษย์กล่าวคำประกาศที่มาจากพระเจ้า และดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

ความพินาศของผู้สอนจอมปลอม

แต่ในอดีต มีพวกผู้เผยคำกล่าวจอมปลอมในหมู่ชน เช่นเดียวกับที่จะมีผู้สอนจอมปลอมในกลุ่มพวกท่าน เขาเหล่านั้นจะแอบเสี้ยมสอนลัทธิที่นำความพินาศมา จนถึงกับปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าผู้สูงสุดที่ได้ไถ่พวกเขาไว้ การทำเช่นนี้จะทำให้เขาพินาศอย่างรวดเร็ว มีหลายคนจะกระทำตามราคะตัณหาของพวกเขา และจะทำให้หนทางแห่งความจริงถูกดูหมิ่นดูแคลน เพราะความโลภ พวกเขาจึงเอาเปรียบท่านด้วยการอ้างถึงหลักคำสอนที่ผิด การกล่าวโทษสำหรับพวกเขาก็มีมานานแล้ว และพวกเขาจะต้องพินาศ

ถ้าพระเจ้ามิได้ยกเว้นเหล่าทูตสวรรค์เมื่อกระทำบาป แต่ส่งพวกเขาไปยังนรก แล้วล่ามโซ่ไว้ในความมืดเพื่อรอวันพิพากษา ถ้าพระองค์มิได้ยกเว้นมนุษย์ในสมัยโบราณเมื่อพระองค์ปล่อยให้น้ำท่วมโลกของผู้ไร้คุณธรรม แต่คุ้มครองโนอาห์ผู้ประกาศถึงความชอบธรรมและคนอื่นอีก 7 คนด้วย ถ้าพระองค์ได้กล่าวโทษเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ให้ไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน ซึ่งเป็นตัวอย่างอันแสดงให้เห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผู้ไร้คุณธรรม ถ้าพระองค์ช่วยชีวิตของโลทผู้มีความชอบธรรมและมีความทุกข์จากคนชั่วที่มีราคะตัณหา ผู้มีความชอบธรรมผู้นั้นใช้ชีวิตวันแล้ววันเล่าในหมู่คนเหล่านั้น จะได้รับความทรมานในจิตใจอันเป็นที่ชอบธรรม เมื่อได้เห็นและได้ยินเรื่องการกระทำที่ชั่วร้ายของพวกเขา ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าทราบว่า จะช่วยชีวิตของคนที่เดินในทางของพระเจ้าได้อย่างไร เพื่อให้พ้นจากความลำบาก และพระองค์กักขังพวกที่ไม่มีความชอบธรรมไว้ เพื่อให้รับโทษจนถึงวันพิพากษา 10 โดยเฉพาะพวกที่ประพฤติตามความต้องการอันเป็นมลทินฝ่ายเนื้อหนัง[p] และดูหมิ่นผู้มีอำนาจหน้าที่สูง

คนเหล่านี้บังอาจ หยิ่งยโส และไม่สะทกสะท้านในการพูดหมิ่นประมาทชาวสวรรค์ 11 ขณะที่เหล่าทูตสวรรค์ผู้มีพลังและอำนาจเหนือกว่า ก็ยังมิอาจกล่าวหมิ่นประมาทชาวสวรรค์เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 12 แต่คนเหล่านี้หมิ่นประมาทในเรื่องที่ตนไม่เข้าใจ เขาเป็นเสมือนสัตว์ป่าดุร้ายที่ทำตามสัญชาตญาณ เกิดมาเพื่อถูกจับฆ่า และก็จะพินาศเยี่ยงสัตว์ป่าเช่นกัน 13 เมื่อคนเหล่านั้นทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ เขาก็จะต้องได้รับทุกข์กลับคืน เขามีมลทินด่างพร้อยติดตัว เพราะเขาหาความเพลิดเพลินให้ตนเองในเวลากลางวันอย่างหรูหรา หาความสำราญขณะที่เขาเลี้ยงฉลองอยู่กับท่าน 14 เขามั่วสุมกับพวกที่ประพฤติผิดประเวณี เขากระทำบาปอย่างไม่หยุดยั้ง ชักจูงคนใจเขว ด้วยว่าเขามีใจโลภอยู่เป็นพื้น เขาจึงตกอยู่ภายใต้คำสาปแช่งของพระเจ้า 15 เขาเหล่านั้นละทิ้งทางที่ถูกต้อง และหลงไปตามทางของบาลาอัมบุตรของเบโอร์ซึ่งรักค่าแรงแห่งความชั่ว 16 แต่ลาซึ่งเป็นสัตว์พูดภาษาคนไม่ได้ มันได้ห้ามบาลาอัมไม่ให้ทำผิด โดยที่ครั้งนั้นมันพูดเป็นเสียงคน และยับยั้งความบ้าคลั่งของผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าคนนั้นไว้ได้

17 คนเหล่านี้เป็นเสมือนน้ำพุที่ปราศจากน้ำ และเป็นเมฆหมอกที่ถูกพายุพัดพา ความมืดมิดกำลังรอรับพวกเขาอยู่ 18 เพราะเขาพูดเรื่องไร้สาระอย่างหยิ่งยโส และใช้เนื้อหนังเป็นเครื่องชักจูงบรรดาผู้ที่เพิ่งหลุดพ้นจากชีวิตเดิม 19 พวกเขาสัญญากับคนเหล่านั้นว่าจะมีอิสระ แต่ตนเองยังเป็นทาสของความเสื่อมทราม เพราะคนที่พ่ายแพ้แก่สิ่งใดย่อมเป็นทาสของสิ่งนั้น 20 ถ้าเขาได้หลุดพ้นจากมลทินของโลกด้วยการรู้จักพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าและผู้ช่วยให้รอดพ้นของเราแล้ว แต่กลับไปติดกับดักอีกจนพ่ายแพ้ ในบั้นปลายเขาย่อมเสื่อมทรามยิ่งกว่าตอนต้น 21 หากว่าพวกเขาไม่รู้ทางไปสู่ความชอบธรรม ก็จะดีกว่ารู้แล้วหันหลังให้กับพระบัญญัติอันบริสุทธิ์ซึ่งเขาเคยยอมรับ 22 เขาก็เป็นจริงตามสุภาษิตที่ว่า “สุนัขกลับไปกินสิ่งที่มันสำรอกออกมา”[q] และ “สุกรที่ถูกทำความสะอาดแล้วกลับไปลุยลงในเลนอีก”

วันของพระผู้เป็นเจ้าจะมา

ท่านที่รักทั้งหลาย จดหมายฉบับนี้เป็นฉบับที่สอง ที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน และทั้ง 2 ฉบับนี้เป็นคำเตือนที่ข้าพเจ้าได้กระตุ้นความคิดอันบริสุทธิ์ของท่าน ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านรำลึกถึงคำซึ่งบรรดาผู้เผยคำกล่าวผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้ากล่าวไว้ในอดีต และพระบัญญัติซึ่งพระผู้เป็นเจ้า องค์ผู้ช่วยให้รอดพ้นของเรามอบไว้โดยผ่านบรรดาอัครทูตของท่านทั้งหลาย ก่อนอื่นท่านต้องเข้าใจว่า ในช่วงเวลาแห่งวาระสุดท้าย คนที่ชอบเยาะเย้ยจะมาปรากฏ เขาจะเยาะเย้ยและประพฤติตามกิเลสตามใจชอบของเขา โดยพูดว่า “คำที่ได้สัญญาไว้ว่า พระองค์จะมานั้น อยู่ที่ไหน ตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของเราเสียชีวิตไป ทุกสิ่งก็เป็นไปตามเดิมนับตั้งแต่การสร้างโลก” แต่เขาเหล่านั้นเจตนาลืมว่า ตั้งแต่โบราณกาลมา ด้วยคำกล่าวของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์มีขึ้น และแผ่นดินโลกถูกสร้างขึ้นจากน้ำ และผุดโผล่ขึ้นจากน้ำ และในเวลานั้น น้ำนี้ได้ท่วมและทำลายโลก ด้วยคำกล่าวเดียวกันนั้นเอง ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกของปัจจุบันนี้ถูกเก็บไว้เพื่อให้ไฟเผาผลาญ เก็บไว้เพื่อวันพิพากษาและวันพินาศของบรรดาคนที่ไร้คุณธรรม

แต่ท่านที่รักทั้งหลาย ท่านอย่าลืมสิ่งหนึ่งคือ 1 วันของพระผู้เป็นเจ้านานเหมือน 1,000 ปี และ 1,000 ปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว พระผู้เป็นเจ้ามิได้ล่าช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์อย่างที่บางคนคิด แต่พระองค์อดทนต่อท่าน และไม่ประสงค์ให้ผู้ใดพินาศ แต่ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจ 10 แต่วันที่พระผู้เป็นเจ้าจะมานั้นประดุจขโมยมา ฟ้าสวรรค์จะล่วงหายไปด้วยเสียงคำราม วัตถุธาตุต่างๆ จะถูกไฟทำลาย ทั้งแผ่นดินโลกและทุกสิ่งบนโลกจะถูกไฟไหม้หมด

11 ในเมื่อทุกสิ่งจะถูกทำลายด้วยวิธีนี้ แล้วท่านควรจะเป็นคนเช่นใด ท่านควรจะใช้ชีวิตอย่างบริสุทธิ์และดำเนินตามวิถีทางของพระเจ้า 12 ท่านกำลังเฝ้ารอวันที่พระเจ้าจะมา และเร่งให้ถึงวันนั้น ซึ่งเป็นวันที่ไฟจะเผาผลาญฟ้าสวรรค์ และวัตถุธาตุต่างๆ จะถูกหลอมละลาย 13 แต่ตามพระสัญญาของพระองค์แล้ว เรารอคอยสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ซึ่งเป็นที่ๆ ความชอบธรรมปรากฏอยู่

คำลงท้าย

14 ในเมื่อท่านที่รักทั้งหลายรอคอยถึงเวลานั้น ท่านจงพยายามอย่างที่สุด เพื่อพระองค์จะได้พบว่าท่านไร้มลทินหรือด่างพร้อยและมีใจสงบ 15 จงระลึกในใจว่า ความอดทนของพระผู้เป็นเจ้าหมายถึงความรอดพ้น ดังเช่นเปาโลน้องชายที่รักของเราได้เขียนถึงท่านด้วยสติปัญญาที่พระเจ้าได้ให้แก่เขา 16 จดหมายทุกฉบับที่เปาโลเขียนได้กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ มีบางข้อที่เข้าใจยาก คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และคนใจเขวได้บิดเบือนข้อความ เช่นเดียวกับที่เขาบิดเบือนข้ออื่นๆ ในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขาเองพินาศ 17 ฉะนั้นท่านที่รักทั้งหลาย ในเมื่อท่านทราบสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้าแล้ว ก็จงระวังไว้ให้ดี เพื่อว่าท่านจะได้ไม่ถูกคนชั่วชักนำให้หลงผิดและทำให้สูญเสียหลักอันมั่นคง 18 แต่จงเจริญขึ้นในพระคุณและความรู้ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้าและองค์ผู้ช่วยให้รอดพ้นของเรา

ขอพระบารมีจงมีแด่พระองค์ ทั้งในปัจจุบันและตลอดกาล อาเมน

คำกล่าวแห่งชีวิต

เราประกาศให้ท่านทราบถึงสิ่งที่มีมาตั้งแต่ครั้งปฐมกาล อันเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคำกล่าวแห่งชีวิตที่พวกเราได้ยิน ได้เห็นด้วยตา พินิจพิจารณามาแล้ว และสัมผัสด้วยมือของเรา ชีวิตนั้นปรากฏขึ้นดังที่เราได้เห็นและได้ยืนยัน เราประกาศชีวิตอันเป็นนิรันดร์แก่ท่าน ซึ่งเป็นชีวิตที่ดำรงอยู่กับพระบิดาและได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินนั้น เราประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบ เพื่อว่าท่านจะได้มีสามัคคีธรรมร่วมกับเราด้วย และเรามีสามัคคีธรรมร่วมกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ เราเขียนสิ่งเหล่านี้เพื่อเราจะได้มีความยินดีอย่างเต็มเปี่ยม

พระเจ้าคือความสว่าง

ข้อความที่พวกเราได้ยินจากพระองค์และบอกให้ท่านทราบคือ พระเจ้าคือความสว่าง และไม่มีความมืดอยู่ในพระองค์เลย ถ้าเรากล่าวว่าเรามีสามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์ แต่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในความมืด เราก็กลายเป็นคนโกหก และไม่ดำเนินชีวิตตามความเป็นจริง แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่าง เช่นเดียวกับที่พระองค์อยู่ในความสว่างแล้ว เราก็มีสามัคคีธรรมร่วมกัน และโลหิตของพระเยซูพระบุตรของพระองค์ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่มีบาป เราก็หลอกลวงตนเอง และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเรา ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์เป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญาและมีความเที่ยงธรรม ดังนั้นพระองค์จะยกโทษบาปแก่เรา และชำระเราให้พ้นจากความไม่ชอบธรรมทั้งปวง 10 ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่เคยทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้โกหก และไม่มีคำกล่าวของพระองค์อยู่ในตัวเรา

บรรดาลูกที่รักของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเหล่านี้ถึงท่าน ก็เพื่อท่านจะได้ไม่กระทำบาป แต่ถ้าใครกระทำบาป เรามีองค์ผู้ช่วยพูดปกป้องต่อพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ผู้มีความชอบธรรม พระองค์เป็นเครื่องสักการะเพื่อชดใช้บาปของเรา ซึ่งไม่เพียงแต่บาปของเราเท่านั้น แต่เป็นบาปของคนทั้งโลกด้วย เราทราบแน่ได้ว่าเรารู้จักพระองค์ ถ้าเราปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ ผู้ที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” และไม่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ ก็นับว่าเป็นคนโกหก และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามคำกล่าวของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็อยู่ในคนนั้นแล้วโดยบริบูรณ์ ด้วยเหตุนี้เราจึงทราบว่าเราอยู่ในพระองค์ ผู้ที่กล่าวว่าตนดำรงอยู่ในพระองค์ ก็ควรดำเนินชีวิตตามวิถีทางที่พระองค์เดิน

ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนถึงท่านที่รักทั้งหลายเกี่ยวกับข้อบัญญัติใหม่ แต่เป็นข้อบัญญัติเก่าซึ่งท่านมีมาแต่แรกเริ่ม คือข้อบัญญัติเก่าอันเป็นคำกล่าวที่ท่านได้ยินได้ฟังมาแล้ว อีกนัยหนึ่ง ก็นับได้ว่าข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน เกี่ยวกับข้อบัญญัติใหม่ถึงความจริงที่ปรากฏในพระองค์และในท่านทั้งหลาย เพราะว่าความมืดกำลังผ่านไป และความสว่างที่แท้จริงก็ทอแสงแล้ว ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในความสว่าง แต่ใจเกลียดชังพี่น้องของตนก็นับว่ายังอยู่ในความมืด 10 ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็นับว่าดำรงอยู่ในความสว่าง และไม่มีสิ่งใดในตัวเขาที่เป็นเหตุให้เขาพลาดได้ 11 แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็นับว่าอยู่ในความมืด เดินอยู่ในความมืด และไม่ทราบหนทางที่จะไป เพราะว่าความมืดได้ทำให้ตาเขาบอดเสียแล้ว

12 บรรดาลูกที่รักเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
    ก็เพราะพระองค์ยกโทษบาปให้แก่ท่านโดยพระนามของพระองค์
13 พวกท่านที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
    ก็เพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้เป็นมาตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว
พวกหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
    ก็เพราะท่านได้มีชัยชนะต่อมารร้ายนั้นแล้ว
ลูกๆ เอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
    ก็เพราะพวกท่านรู้จักพระบิดา
14 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
    ก็เพราะท่านได้รู้จักพระองค์ผู้เป็นมาตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว
พวกหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
    ก็เพราะท่านเข้มแข็ง
และคำกล่าวของพระเจ้าดำรงอยู่ในตัวท่าน
    และท่านได้มีชัยชนะต่อมารร้ายนั้นแล้ว

อย่ารักโลก

15 อย่ารักโลกหรือสิ่งใดในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักของพระบิดาก็ไม่อยู่ในตัวคนนั้น 16 เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลกเช่น ความอยากฝ่ายเนื้อหนัง[r] ความอยากอันเกิดจากตามองเห็น และการโอ้อวดในสิ่งที่ตนมี หาใช่มาจากพระบิดาไม่ แต่มาจากโลก 17 โลกและกิเลสของโลกก็กำลังล่วงลับไป แต่ผู้ที่กระทำตามความประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไป

ศัตรูจำนวนมากของพระคริสต์

18 บรรดาลูกที่รักเอ๋ย นี่เป็นวาระสุดท้าย และตามที่ท่านได้ยินได้ฟังมาแล้วว่า ศัตรูผู้นั้นของพระคริสต์กำลังมา แต่บัดนี้ศัตรูของพระคริสต์จำนวนมากมายได้ปรากฏตัวขึ้น ด้วยเหตุนี้เราจึงทราบว่าถึงวาระสุดท้ายแล้ว 19 เพราะเขาเหล่านั้นได้ออกไปจากกลุ่มเรา แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนของพวกเรา ด้วยว่าถ้าเขาเป็นคนของเรา เขาก็จะอยู่กับเรา แต่เขาได้จากเราไป แสดงว่าไม่มีใครสักคนในพวกเขาที่เป็นคนของเรา 20 พวกท่านได้รับการเจิมจากองค์ผู้บริสุทธิ์ และท่านทุกคนก็ทราบความจริง[s] 21 ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน มิใช่ว่าท่านไม่ทราบความจริง ท่านทราบแล้ว และไม่มีข้อความเท็จใดที่มาจากความจริง 22 ใครคือคนโกหก คนโกหกคือผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูคือพระคริสต์ ผู้นี้คือศัตรูของพระคริสต์ เป็นผู้ที่ปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร 23 ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบุตรก็เป็นผู้ที่ไม่มีพระบิดา ผู้ใดที่รับพระบุตรก็เป็นผู้ที่มีพระบิดาด้วย 24 จงให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรกเริ่มดำรงอยู่ในตัวท่าน ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ท่านก็จะดำรงอยู่ในพระบุตรและพระบิดาด้วย 25 และสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาเราไว้ก็คือชีวิตอันเป็นนิรันดร์

26 ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเหล่านี้ถึงท่าน เกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่พยายามจะพาให้ท่านหลงผิด 27 สำหรับตัวท่านเอง การเจิมที่ได้รับจากพระองค์ก็ดำรงอยู่ในตัวท่าน และไม่จำเป็นต้องให้ใครสั่งสอนท่าน เพราะการเจิมของพระองค์สอนทุกสิ่งแก่ท่าน และการเจิมนั้นเป็นความจริง ไม่ใช่เป็นความเท็จ และท่านจงดำรงอยู่ในพระองค์ตามที่การเจิมได้สอนท่านเถิด

บรรดาบุตรของพระเจ้า

28 มาบัดนี้ บรรดาลูกที่รักเอ๋ย จงดำรงอยู่ในพระองค์เถิด เพื่อว่าเมื่อพระองค์มาปรากฏ เราจะได้มีความมั่นใจ และไม่ต้องหลบหน้าด้วยความละอายเวลาพระองค์มา 29 ถ้าท่านทราบว่าพระองค์มีความชอบธรรม ท่านก็ทราบว่าผู้กระทำสิ่งที่ถูกต้องทุกคนล้วนเกิดมาจากพระองค์

จงดูเถิดว่า พระบิดาให้ความรักแก่เรามากมายเพียงใด พระองค์จึงได้เรียกเราว่าบรรดาบุตรของพระเจ้า และเราก็เป็นเช่นนั้น เหตุที่โลกไม่รู้จักเรา ก็เพราะโลกไม่ได้รู้จักพระองค์ ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้พวกเราเป็นบุตรของพระเจ้า และยังไม่เป็นที่ทราบกันว่าเราจะเป็นอย่างไรต่อไป เราทราบว่าเวลาพระองค์มาปรากฏ เราก็จะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์เป็นอยู่ ทุกคนที่มีความหวังในพระองค์เช่นนี้ ก็จะชำระตนเองให้บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์

ทุกคนที่กระทำบาป ก็เท่ากับกระทำผิดต่อกฎบัญญัติด้วย เพราะบาปเป็นสิ่งที่ผิดต่อกฎบัญญัติ และท่านทราบว่าพระองค์ได้มาปรากฏแล้ว ก็เพื่อรับเอาบาปของเรา ทั้งที่ไม่มีบาปในพระองค์เองเลย คนที่ดำรงอยู่ในพระองค์จะไม่กระทำบาปอีกต่อไป ส่วนคนที่ยังกระทำบาปก็ยังไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ บรรดาลูกที่รักเอ๋ย อย่าให้ผู้ใดชักนำท่านให้หลงผิด ผู้กระทำสิ่งที่ถูกต้องก็เป็นผู้มีความชอบธรรมเหมือนกับพระองค์ผู้มีความชอบธรรม คนที่กระทำบาปคือผู้ที่มาจากพญามาร เพราะพญามารได้กระทำบาปเรื่อยมาตั้งแต่แรกเริ่ม ด้วยเหตุนี้พระบุตรของพระเจ้าได้มาปรากฏ เพื่อจะทำลายงานของพญามาร ไม่มีใครที่เกิดจากพระเจ้าจะกระทำบาปเรื่อยไป เพราะเมล็ดที่พระองค์ปลูกฝังไว้ดำรงอยู่กับคนนั้น และเขาไม่สามารถกระทำบาปเรื่อยไปเพราะเขาเกิดจากพระเจ้า 10 เราจะทราบได้ว่าผู้ใดเป็นบุตรของพระเจ้า และผู้ใดเป็นบุตรของพญามาร คือว่าผู้ที่ประพฤติในทางที่ผิดและไม่รักพี่น้อง แสดงว่าไม่ได้มาจากพระเจ้า

รักซึ่งกันและกัน

11 เรื่องที่ท่านได้ยินได้ฟังตั้งแต่แรกเริ่ม คือเราควรรักซึ่งกันและกัน 12 อย่าเป็นอย่างคาอินผู้เป็นคนของมารร้ายนั้น และได้ฆ่าน้องชายของเขา เหตุใดเขาจึงฆ่า เพราะการกระทำของเขาเองชั่ว แต่น้องชายมีความชอบธรรม 13 พี่น้องเอ๋ย ไม่ต้องแปลกใจถ้าโลกเกลียดชังท่าน 14 เราทราบแล้วว่า เราได้พ้นจากความตายไปสู่การมีชีวิตเพราะเรารักบรรดาพี่น้อง คนที่ไม่รักก็ยังดำรงอยู่ในความตาย 15 ผู้ใดเกลียดชังพี่น้องของตนก็นับว่าเป็นฆาตกร และท่านก็ทราบแล้วว่า ไม่มีฆาตกรคนใดที่มีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ในตัวเขา

16 เราจะรู้ว่าความรักนั้นเป็นอย่างไร คือพระเยซูคริสต์ยอมสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา และเราก็ควรสละชีวิตของเราเพื่อบรรดาพี่น้อง 17 ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลก และไม่ใยดีต่อพี่น้องผู้ขัดสนของตน ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในคนนั้นได้อย่างไร 18 บรรดาลูกที่รักเอ๋ย อย่ารักกันแต่เพียงคำพูดและลมปากเลย แต่จงรักด้วยการกระทำและความจริงเถิด

19 ด้วยเหตุนี้เราจึงจะทราบว่าเรามาจากความจริง ในเวลาที่ใจของเราตำหนิตัวเราเอง เราก็สบายใจได้เมื่ออยู่เบื้องหน้าพระองค์ 20 ด้วยว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทราบทุกสิ่ง 21 ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่ตำหนิตัวเราเอง เราก็มีความมั่นใจเบื้องหน้าพระเจ้า 22 และสิ่งใดก็ตามที่เราขอ เราก็ได้รับจากพระองค์ เพราะว่าเราปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ และกระทำสิ่งอันเป็นที่พอใจของพระองค์ 23 และข้อบัญญัติของพระเจ้าคือ เราควรเชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และรักซึ่งกันและกันตามที่พระองค์ได้บัญญัติพวกเราไว้ 24 คนที่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ก็ดำรงอยู่ในพระองค์ และพระองค์ดำรงอยู่ในผู้นั้น และเราทราบได้ว่าพระองค์ดำรงอยู่ในเรา ก็โดยพระวิญญาณที่พระองค์มอบให้แก่เรา

ทดสอบวิญญาณ

ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อในทุกวิญญาณ แต่จงทดสอบว่าวิญญาณนั้นมาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะในโลกมีผู้เผยคำกล่าวจอมปลอมมากมายแล้ว ท่านจะทราบพระวิญญาณของพระเจ้าได้ก็คือ ทุกวิญญาณที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้มาบังเกิดเป็นร่างกายมนุษย์ เป็นผู้ที่มาจากพระเจ้า แต่วิญญาณใดที่ไม่ยอมรับพระเยซู ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า และเป็นวิญญาณฝ่ายศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งท่านได้ยินได้ฟังแล้วว่ากำลังมา และขณะนี้อยู่ในโลกแล้ว ลูกๆ เอ๋ย ท่านมาจากพระเจ้า และมีชัยชนะต่อเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ผู้สถิตในตัวท่านนั้นยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก เขาเหล่านั้นเป็นฝ่ายโลก ฉะนั้นเขาจึงพูดถึงฝ่ายโลก และโลกก็ฟังเขา พวกเราทั้งหลายเป็นฝ่ายพระเจ้า ใครก็ตามที่รู้จักพระเจ้าก็ฟังเรา ใครที่ไม่อยู่ฝ่ายพระเจ้าก็ไม่ฟังเรา ทั้งนี้พวกเราจึงแยกแยะวิญญาณฝ่ายความจริงและวิญญาณฝ่ายเท็จได้

พระเจ้าคือความรัก

ท่านที่รักทั้งหลาย จงรักซึ่งกันและกันเถิด เพราะความรักมาจากพระเจ้า ทุกคนที่มีความรักก็เกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระองค์ ใครก็ตามที่ไม่มีความรักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าคือความรัก ความรักของพระเจ้าได้ปรากฏแก่เรา ก็คือพระองค์ได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาในโลก เพื่อให้เราได้มีชีวิตโดยผ่านพระองค์ 10 ความรักเป็นเช่นนี้คือ มิใช่ว่าเรารักพระเจ้า แต่พระองค์ได้รักเรา และส่งพระบุตรของพระองค์ให้เป็นเครื่องสักการะเพื่อชดใช้บาปของเรา 11 ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้ารักเราเช่นนั้น เราก็ควรรักซึ่งกันและกันด้วย 12 ยังไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเรารักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ดำรงอยู่ในตัวเรา และความรักของพระองค์ก็บริบูรณ์อยู่ในเราด้วย

13 เราทราบว่าเราดำรงอยู่ในพระองค์ และพระองค์ดำรงอยู่ในเรา เพราะว่าพระองค์ได้มอบพระวิญญาณของพระองค์ให้แก่เราแล้ว 14 เราได้เห็นและยืนยันว่าพระบิดาได้ส่งพระบุตรให้เป็นผู้ช่วยโลกให้รอดพ้น 15 ผู้ใดที่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็ดำรงอยู่ในผู้นั้น และผู้นั้นก็ดำรงอยู่ในพระเจ้า 16 เราทราบและเชื่อในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา พระเจ้าคือความรัก ผู้ใดที่ดำรงอยู่ในความรักก็ดำรงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าดำรงอยู่ในผู้นั้น 17 ทั้งนี้ความรักจึงบริบูรณ์ในตัวเรา เพื่อว่าเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะตามที่พระองค์เป็นอยู่ เราก็เป็นอยู่ด้วยในโลกนี้ 18 ไม่มีความกลัวอยู่ในความรัก เพราะความรักที่บริบูรณ์ขจัดความกลัวเสีย ความกลัวเกี่ยวโยงกับการลงโทษ ผู้มีความกลัวจึงไม่มีความรักที่บริบูรณ์ 19 เรารักก็เพราะพระองค์ได้รักเราก่อน 20 ถ้าผู้ใดกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” แต่ก็ยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นเป็นคนโกหก ด้วยว่าผู้ไม่รักพี่น้องที่ตนมองเห็น ผู้นั้นก็ไม่สามารถรักพระเจ้าที่ตนไม่เคยเห็นได้ 21 และเราได้ข้อบัญญัติที่มาจากพระองค์ คือผู้ใดที่รักพระเจ้าก็ต้องรักพี่น้องของตนด้วย

มีชัยชนะเหนือโลกได้ด้วยความเชื่อ

ทุกคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ นับว่าเป็นผู้ที่เกิดจากพระเจ้า ทุกคนที่รักพระบิดาก็รักพระบุตรของพระองค์ เราจะทราบได้ว่าเรารักบรรดาบุตรของพระเจ้า ก็ต่อเมื่อเรารักพระเจ้า และปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ ความรักที่เรามีต่อพระเจ้า คือเราปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์ไม่เป็นภาระหนัก ใครก็ตามที่เกิดจากพระเจ้า นับว่าชนะโลก ชัยชนะนี้มีชัยเหนือโลกได้ด้วยความเชื่อ ใครเล่าจะเป็นผู้มีชัยเหนือโลก นอกจากผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า

ผู้ที่มาโดยน้ำและโลหิตนี้แหละคือพระเยซูคริสต์ มิใช่เพียงน้ำเท่านั้น แต่โดยน้ำและโลหิต พระวิญญาณเป็นผู้ยืนยัน เพราะว่าพระวิญญาณคือความจริง ด้วยว่ามี 3 ประการที่ยืนยัน พระวิญญาณ น้ำ และโลหิต ทั้ง 3 ประการนี้สอดคล้องกัน ถ้าเรายังรับพยานหลักฐานของมนุษย์ได้ พยานหลักฐานของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่า เพราะพยานหลักฐานของพระเจ้าคือพระองค์เอง ที่ยืนยันถึงพระบุตรของพระองค์ 10 ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้ามีพยานหลักฐานในตนเอง ผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้าทำให้พระองค์เป็นผู้โกหก เพราะว่าเขาไม่ได้เชื่อคำยืนยันที่พระเจ้าได้อ้างถึงพระบุตรของพระองค์ 11 พยานหลักฐานนั้นคือ พระเจ้าได้มอบชีวิตอันเป็นนิรันดร์ให้แก่เราทั้งหลาย และชีวิตนี้อยู่ในพระบุตรของพระองค์ 12 ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระเจ้าก็ไม่มีชีวิต

คำลงท้าย

13 ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้ทราบว่าท่านมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 14 ความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์คือ ถ้าเราขอสิ่งใดที่เป็นไปตามความประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ได้ยินเรา 15 ถ้าเราทราบว่าสิ่งใดก็ตามที่เราขอ และพระองค์ได้ยินเรา เราก็ทราบว่าเราได้รับสิ่งที่เราขอนั้นจากพระองค์

16 ถ้าผู้ใดเห็นพี่น้องกระทำบาปที่ไม่นำไปสู่ความตายก็ควรอธิษฐาน และพระเจ้าจะมอบชีวิตแก่ผู้ที่ทำบาปนั้น ข้าพเจ้าอ้างถึงบรรดาผู้ที่ได้กระทำบาปซึ่งไม่นำไปสู่ความตาย แต่มีบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย ข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงว่าเขาควรอธิษฐานในเรื่องบาปอย่างนั้น 17 การกระทำผิดทุกประเภทเป็นบาป และมีบาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย

18 เราทราบว่าผู้ที่เกิดจากพระเจ้าจะไม่กระทำบาปเรื่อยไป แต่องค์ผู้เกิดจากพระเจ้าคุ้มกันเขาให้ปลอดภัย และมารร้ายนั้นไม่สามารถแตะต้องเขาได้

19 เราทราบว่าเราเป็นบรรดาบุตรของพระเจ้าทั้งๆ ที่ทั้งโลกอยู่ภายใต้อำนาจของมารร้ายนั้น

20 เราทราบว่าพระบุตรของพระเจ้าได้มาแล้ว พระองค์ได้ช่วยให้เราเข้าใจ เพื่อเราจะได้รู้จักพระองค์ผู้แท้จริง และเราอยู่ในพระองค์ผู้แท้จริง ในพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ พระองค์เป็นพระเจ้าที่แท้จริงและเป็นชีวิตอันเป็นนิรันดร์

21 บรรดาลูกที่รักเอ๋ย จงระวังตัวให้พ้นจากรูปเคารพทั้งปวง

การทักทายของยอห์น

ข้าพเจ้าผู้ปกครอง

เรียน ท่านสุภาพสตรีที่พระเจ้าได้เลือกไว้ และลูกๆ ของเธอผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักในความจริง[t] ไม่เพียงข้าพเจ้าเท่านั้น แต่ทุกคนที่รู้ถึงความจริงด้วย เพราะความจริงดำรงอยู่ในตัวเรา และจะอยู่กับเราไปตลอดกาล

พระคุณ พระเมตตา และสันติสุขจากพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดา และจากพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระบุตรของพระบิดา จะอยู่กับเราในความจริงและในความรัก

ความจริงและความรัก

ข้าพเจ้ายินดีอย่างยิ่งที่ได้ทราบว่าลูกของท่านบางคนดำเนินชีวิตตามความจริง ตามที่พระบิดาได้สั่งเราไว้ ท่านสุภาพสตรี บัดนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนถึงท่านเกี่ยวกับข้อบัญญัติใหม่ แต่เป็นข้อบัญญัติที่เรามีมาแต่แรกเริ่ม คือข้าพเจ้าขอให้เรารักซึ่งกันและกัน และความรักนี้ก็คือ การที่เราดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระองค์ ดังที่ท่านได้ยินมาแต่แรกเริ่ม ข้อบัญญัตินี้คือท่านดำเนินชีวิตในความรัก

มีผู้ล่อลวงมากมายอยู่ในโลกแล้ว คือเป็นพวกที่ไม่ยอมรับว่า พระเยซูคริสต์ได้มาในร่างกายซึ่งเป็นมนุษย์ คนประเภทนี้เป็นผู้ล่อลวงและเป็นศัตรูของพระคริสต์ จงระวังว่าท่านไม่สูญเสียแรงที่ทำลงไป แต่จะได้รับรางวัลอย่างบริบูรณ์ ทุกคนที่ล่วงล้ำเกินขอบเขต และไม่ดำรงอยู่ในคำสั่งสอนของพระคริสต์ คือพวกที่ไม่มีพระเจ้า ผู้ที่ดำรงอยู่ในคำสั่งสอน คือผู้ที่มีทั้งพระบิดาและพระบุตร 10 ถ้าหากว่ามีผู้ใดมาหาท่าน โดยไม่นำคำสั่งสอนนี้มา ก็อย่ารับเขาเข้าบ้าน หรือทักทายเขา 11 ผู้ที่ทักทายเขาก็มีส่วนร่วมในงานอันชั่วร้ายของเขา

คำลงท้าย

12 มีอีกหลายเรื่องที่ข้าพเจ้าอยากจะเขียนถึงท่าน มิใช่ด้วยการใช้กระดาษและน้ำหมึก แต่ข้าพเจ้าหวังว่าจะมาพูดกับท่านต่อหน้า เพื่อเราจะได้มีความยินดีอย่างเต็มเปี่ยม

13 บรรดาบุตรของน้องสาวของท่านที่พระองค์เลือกไว้แล้ว ได้ฝากความระลึกถึงมายังท่าน

การทักทายของยอห์น

ข้าพเจ้าผู้ปกครอง

เรียน ท่านกายอัสที่รัก ซึ่งเป็นผู้ที่ข้าพเจ้ารักในความจริง[u]

ท่านที่รัก ข้าพเจ้าอธิษฐานให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง และทุกสิ่งดำเนินไปด้วยดี เช่นเดียวกับจิตวิญญาณของท่านที่เป็นไปด้วยดี ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่ง เพราะมีพวกพี่น้องมาบอกกล่าวถึงความจริงในชีวิตของท่าน ซึ่งก็เป็นไปตามที่ท่านกำลังดำเนินอยู่ในความจริง ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ข้าพเจ้ามีความยินดีมากกว่านี้ นั่นคือเมื่อได้ทราบว่า ลูกๆ ของข้าพเจ้าดำเนินชีวิตในความจริง

ช่วยเหลือผู้ทำงานของพระเจ้า

ท่านที่รัก ท่านลงมือช่วยเหลือพี่น้องอย่างสัตย์ซื่อในทุกสิ่ง แม้ว่าเขาจะเป็นคนแปลกหน้าก็ตาม พวกพี่น้องเหล่านั้นได้เล่าถึงความรักของท่านให้คริสตจักรฟัง ถ้าท่านจะส่งเขาเหล่านั้นให้เดินทางกันออกไปอย่างเป็นที่พอใจของพระเจ้าได้ก็จะดียิ่ง พวกเขาเดินทางกันออกไปก็เพื่อพระนาม และไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนนอกเลย ฉะนั้นเราจึงควรช่วยเหลือคนเหล่านี้ เพื่อว่าเราจะได้ทำงานเพื่อความจริงร่วมกัน

ข้าพเจ้าได้เขียนบางสิ่งบางอย่างถึงคริสตจักร แต่ดิโอเตรเฟสอยากจะเป็นผู้นำเสียเอง จึงไม่ยอมรับพวกเรา 10 ฉะนั้นถ้าข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะเตือนถึงสิ่งที่เขากระทำ เช่นการนินทาว่าร้ายพวกเรา เท่านั้นยังไม่พอ เขาไม่ยอมรับพี่น้อง ซ้ำยังห้ามคนที่ต้องการจะต้อนรับพวกเขา และยังไล่พวกเขาออกไปจากคริสตจักรด้วย

11 ท่านที่รัก อย่าทำตามสิ่งที่ชั่ว แต่ทำตามสิ่งที่ดี ผู้กระทำความดีก็คือคนของพระเจ้า ผู้กระทำความชั่วแสดงว่าไม่เคยเห็นพระเจ้า 12 ทุกคนกล่าวถึงความดีของเดเมตริอัส ซึ่งได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริงด้วยความจริงนั่นเอง เราก็กล่าวถึงความดีของเขาด้วย และท่านทราบว่าคำยืนยันของเราเป็นความจริง

คำลงท้าย

13 ข้าพเจ้ามีอีกหลายเรื่องที่จะเขียนถึงท่าน แต่ไม่อยากจะเขียนถึงด้วยปากกาและน้ำหมึก 14 ข้าพเจ้าหวังว่าจะพบท่านในเร็วๆ นี้ และเราจะได้พูดกันต่อหน้า

15 ขอสันติสุขจงมีแก่ท่าน บรรดาเพื่อนๆ ที่นี่ฝากความระลึกถึงมายังท่าน ช่วยฝากความระลึกถึงมายังเพื่อนๆ แต่ละคนด้วย

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation