Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
อิสยาห์ 66:19 - เยเรมีย์ 10:13

19 และเราจะตั้งสัญญาณท่ามกลางพวกเขา และเราจะให้พวกเขาที่รอดชีวิตไปยังบรรดาประชาชาติ ไปยังทาร์ชิช ปูล ลูด ซึ่งเป็นนักธนู ไปยังทูบัล ยาวาน ไปยังหมู่เกาะต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลที่ยังไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของเรา หรือได้เห็นบารมีของเรา และพวกเขาจะประกาศบารมีของเราในบรรดาประชาชาติ 20 และพวกเขาจะพาพี่น้องของเจ้าทุกคนจากประชาชาติทั้งปวงมาเพื่อเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจะขี่ม้า รถศึก รถพ่วง ล่อ และอูฐ เพื่อมายังภูเขาบริสุทธิ์ของเราคือ เยรูซาเล็ม” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น “เหมือนกับที่ชาวอิสราเอลนำเครื่องธัญญบูชาของพวกเขาใส่มาในภาชนะที่สะอาด มายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 21 และเราจะให้บางคนจากพวกเขาเป็นปุโรหิตและชาวเลวี” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น

22 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “อย่างที่เราสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ซึ่งจะคงอยู่ต่อหน้าเราฉันใด[a] เชื้อสายของเจ้าและชื่อของเจ้าจะคงอยู่ฉันนั้น 23 จากวันข้างขึ้นถึงวันข้างขึ้น และจากวันสะบาโตถึงวันสะบาโต มนุษย์ทุกคนจะมานมัสการ ณ เบื้องหน้าเรา 24 และพวกเขาจะออกไปมองดูศพของคนตายที่ได้ขัดขืนเรา เพราะตัวหนอนที่ชอนไชเนื้อของพวกเขาจะไม่ตาย ไฟที่เผาพวกเขาจะไม่มีวันดับ[b] และพวกเขาจะเป็นที่น่ารังเกียจต่อมนุษย์ทุกคน”

ข้อความบันทึกของเยเรมีย์บุตรฮิลคียาห์ ผู้เป็นหนึ่งในบรรดาปุโรหิตที่อยู่ในอานาโธท ในดินแดนของเบนยามิน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ ในปีที่สิบสามในสมัยของโยสิยาห์[c]บุตรของอาโมนกษัตริย์แห่งยูดาห์ และในสมัยของเยโฮยาคิมบุตรของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ จนกระทั่งปลายปีที่สิบเอ็ดของเศเดคียาห์บุตรของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์[d] จนกระทั่งเยรูซาเล็มถูกยึดครองในเดือนที่ห้า

พระเจ้าเรียกเยเรมีย์

บัดนี้พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า

“เรารู้จักเจ้า ก่อนที่เราจะปั้นเจ้าขึ้นในครรภ์
    และเราเลือกเจ้าไว้ก่อนที่เจ้าจะเกิด
    เราแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแก่บรรดาประชาชาติ”

และข้าพเจ้าตอบว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ดูเถิด ข้าพเจ้าพูดไม่ค่อยจะเป็น เพราะข้าพเจ้าอายุยังน้อย” แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าพูดว่า ‘ข้าพเจ้าอายุยังน้อย’ เพราะเจ้าจงไปยังทุกคนที่เราส่งให้เจ้าไป และเจ้าจงพูดสิ่งที่เราสั่งให้เจ้าพูด อย่ากลัวพวกเขา เพราะเราอยู่กับเจ้าและให้เจ้าพ้นภัย” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ยื่นมือของพระองค์แตะปากข้าพเจ้า และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด เราได้บันดาลให้เจ้าพูดไปตามคำของเราแล้ว 10 ดูเถิด วันนี้เราได้แต่งตั้งเจ้าให้ดูแลบรรดาประชาชาติและอาณาจักรทั้งหลาย เพื่อถอนรากและโค่นลง เพื่อทำลายและกำจัด เพื่อสร้างและปลูก”

11 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “เยเรมีย์ เจ้าเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นก้านอัลมอนด์ก้านหนึ่ง” 12 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นอย่างถูกต้องแล้ว เพราะเรากำลังดู[e]ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นตามคำของเรา”

13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าเป็นครั้งที่สองว่า “เจ้าเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นหม้อต้มน้ำเดือดหันเอียงไปจากทิศเหนือ” 14 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “ความวิบัติจะเดือดพล่านออกมาจากทิศเหนือสู่ผู้อยู่อาศัยทั้งปวงของแผ่นดิน 15 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ดูเถิด เรากำลังเรียกทุกเผ่าของอาณาจักรของทิศเหนือ พวกเขาจะมา และทุกคนจะตั้งบัลลังก์ที่ทางเข้าประตูเมืองของเยรูซาเล็ม โจมตีกำแพงทุกแห่งรอบด้าน และโจมตีทุกเมืองของยูดาห์ 16 และเราจะประกาศคำตัดสินพวกเขา เพราะความชั่วร้ายของพวกเขาที่ทอดทิ้งเรา พวกเขาได้เผาเครื่องหอมแก่ปวงเทพเจ้า และนมัสการสิ่งที่ทำขึ้นด้วยมือของเขาเอง 17 แต่เจ้าจงเตรียมพร้อม ลุกขึ้นและไปบอกพวกเขาถึงทุกสิ่งที่เราสั่งเจ้า อย่าหวาดหวั่นเพราะพวกเขา มิฉะนั้นเราจะทำให้เจ้าหวาดหวั่นต่อหน้าพวกเขา 18 ดูเถิด วันนี้เราทำให้เจ้าเป็นดั่งเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง เสาหลักหล่อด้วยเหล็กกล้า และกำแพงทองสัมฤทธิ์ เพื่อต้านกำลังให้ทั้งแผ่นดิน ต้านกำลังบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ บรรดาผู้นำและปุโรหิต และประชาชนของแผ่นดิน 19 พวกเขาจะรุกรานและต่อสู้กับเจ้า แต่เขาจะไม่ชนะ เพราะเราอยู่กับเจ้าเพื่อช่วยเจ้าให้พ้นภัย” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

อิสราเอลทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “จงไปประกาศให้ทุกคนในเยรูซาเล็มรับรู้ว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

เราระลึกถึงการอุทิศตนเมื่อเจ้ายังเยาว์
    ความรักของเจ้าที่มีต่อเราราวกับเจ้าสาว
และเจ้าติดตามเราอย่างไรในถิ่นทุรกันดาร
    ในแผ่นดินที่ยังไม่มีพันธุ์ไม้เลย
อิสราเอลเคยบริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า
    ดั่งผลแรกของการเก็บเกี่ยว
ทุกคนที่กินผลแรกก็จะมีความผิด
    และได้รับความวิบัติ”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

พวกท่านที่เป็นผู้สืบเชื้อสายของยาโคบ และตระกูลทั้งปวงของพงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“บรรพบุรุษของเจ้าเห็นว่าเราทำสิ่งใดผิด
    จึงได้ห่างเหินไปจากเรา
และกลับติดตามสิ่งอันไร้ค่า
    และกลายเป็นคนไร้ค่า
พวกเขาไม่ได้พูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าอยู่ไหน
    ผู้ที่นำพวกเราขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์
ผู้นำพวกเราในถิ่นทุรกันดาร
    ในแผ่นดินที่เป็นทะเลทรายและเป็นหลุมทราย
ในแผ่นดินแห้งแล้งและปราศจากชีวิต
    ในแผ่นดินที่ไม่มีใครเดินทางผ่าน
    หรืออาศัยอยู่’
และเรานำเจ้าเข้าไปในแผ่นดินอันอุดม
    เพื่อให้เจ้าสุขสำราญกับผลิตผลและสิ่งดีๆ ของแผ่นดิน
แต่เมื่อเจ้าเข้ามาแล้ว เจ้าทำให้แผ่นดินที่เรามอบให้เป็นมรดกเป็นมลทิน
    และทำให้ผืนแผ่นดินของเราเป็นที่น่ารังเกียจ
บรรดาปุโรหิตไม่ได้พูดว่า
    พระผู้เป็นเจ้าอยู่ไหน’
บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎบัญญัติไม่รู้จักเรา
    บรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะก็ล่วงละเมิดต่อเรา
บรรดาผู้เผยคำกล่าวพูดในนามของเทพเจ้าบาอัล
    และไปติดตามสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์”

ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

“เรายังคัดค้านเจ้าอยู่
    เราจะคัดค้านลูกของเจ้าและลูกๆ ของลูกเจ้าด้วย
10 ถ้าเจ้าข้ามไปยังฝั่งทะเลของไซปรัสและมองดู
    หรือให้ผู้ใดไปยังเคดาร์และสำรวจอย่างระมัดระวัง
    ดูสิว่าเคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหรือไม่
11 มีประชาชาติใดที่เปลี่ยนเทพเจ้าบ้าง
    แม้ว่าจะไม่ใช่เทพเจ้าแท้จริง
แต่ชนชาติของเราได้เปลี่ยนจากเราซึ่งเป็นบารมีของพวกเขา
    ไปหาเทพเจ้าซึ่งทำสิ่งใดให้พวกเขาไม่ได้เลย”

12 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงตื่นตระหนก
    และหวาดกลัวจนตัวแข็งเกร็งกับเรื่องดังกล่าว
13 ด้วยว่าชนชาติของเราได้กระทำความชั่ว 2 ประการคือ
    พวกเขาได้ทอดทิ้งเราผู้เป็นน้ำพุแห่งชีวิต
และเขาได้ขุดบ่อน้ำให้แก่ตนเอง
    บ่อน้ำที่พังซึ่งเก็บน้ำไม่ได้

14 อิสราเอลเป็นทาสหรือ เป็นผู้รับใช้ที่เป็นทาสโดยกำเนิดหรือ
    แล้วทำไมพวกเขาจึงกลายเป็นเหยื่อที่ถูกล่า
15 สิงโตได้คำรามใส่เขา
    คำรามเสียงดัง
พวกสิงโตทำให้แผ่นดินของเขารกร้าง
    เมืองของเขาถูกเผาและไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่
16 ยิ่งกว่านั้น ชาวเมมฟิสและทาปานเหส
    ได้โกนศีรษะของพวกเจ้า
17 เจ้าเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์นี้กับตัวเจ้าเอง
    เพราะการทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า
    ครั้งที่พระองค์นำพวกเจ้าไปมิใช่หรือ
18 และบัดนี้เจ้าจะได้ประโยชน์อะไรที่ไปยังประเทศอียิปต์
    เพื่อไปดื่มน้ำจากแม่น้ำไนล์หรือ
หรือเจ้าจะได้ประโยชน์อะไรที่ไปยังอัสซีเรีย
    เพื่อไปดื่มน้ำจากแม่น้ำยูเฟรติสหรือ
19 ความชั่วร้ายของเจ้าจะลงโทษเจ้าเอง
    และเจ้าจะได้รับบทเรียนเมื่อเจ้าหันเหไปจากเรา
จงรับรู้ไว้ว่า สิ่งเลวร้ายและขมขื่นจะเกิดแก่เจ้า
    ที่ทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า
ความเกรงกลัวที่มีต่อเราไม่ได้อยู่ในตัวเจ้าเลย”
    พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

20 “ด้วยว่า นานมาแล้วที่เจ้าหักแอกของเจ้า
    และตัดสิ่งที่ผูกเจ้าให้หลุดออกไป
    และเจ้าพูดว่า ‘เราจะไม่รับใช้’
แต่แล้วเจ้าก็ก้มกราบลงอย่างหญิงแพศยาคนหนึ่ง
    บนเนินเขาสูงทุกลูก
    และใต้ต้นไม้อันเขียวชอุ่มทุกต้น
21 เราปลูกเจ้าให้เป็นดั่งเถาพันธุ์เยี่ยม
    เป็นเมล็ดบริสุทธิ์แท้
แล้วเจ้ากลับเน่า
    และได้กลายเป็นเถาที่ไร้ค่า
22 แม้ว่าเจ้าจะชำระล้างตัวเจ้าด้วยน้ำด่าง
    และใช้สบู่มาก
    แต่ความชั่วที่เป็นรอยเปื้อนของเจ้าก็ยังอยู่เบื้องหน้าเรา”
    พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
23 “เจ้าพูดได้อย่างไรว่า ‘ข้าพเจ้าไม่มีมลทิน
    ข้าพเจ้าไม่ได้นมัสการเทพเจ้าบาอัล’
ดูวิถีทางของเจ้าในหุบเขาสิ
    เจ้ารู้ว่าเจ้าได้ทำอะไรไปบ้าง
เหมือนกับอูฐสาวที่วิ่งไปวิ่งมา
24     ลาป่าเคยชินกับถิ่นทุรกันดาร
ลาตัวเมียสูดตามกลิ่นในสายลมเพื่อหาคู่ของมัน
    ใครจะรั้งความต้องการของมันได้ล่ะ
ไม่มีลาผู้ตัวใดที่จำเป็นจะต้องเหนื่อยจากการมองหาลาตัวเมียเลย
    เมื่อถึงเวลาหาคู่ ลาผู้ก็จะหามันพบ
25 อย่าวิ่งไปมาจนเท้าของเจ้าเจ็บ
    หรือทำให้คอของเจ้าแห้ง
แต่เจ้าพูดว่า ‘ไม่เกิดประโยชน์เลย
    เพราะข้าพเจ้าหลงรักเทพเจ้าต่างชาติ
    และข้าพเจ้าจะติดตามต่อไป’

26 ขโมยที่อับอายเมื่อถูกจับได้เป็นอย่างไร
    พงศ์พันธุ์อิสราเอลก็จะอับอายอย่างนั้น
ทั้งพวกเขา บรรดากษัตริย์ ผู้นำ ปุโรหิต
    และบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพวกเขา
27 ซึ่งเป็นบรรดาผู้ที่พูดกับต้นไม้ว่า
    ‘ท่านเป็นบิดาของข้าพเจ้า’
และพูดกับก้อนหินว่า
    ‘ท่านให้กำเนิดแก่เรา’
เพราะพวกเขาหันหลัง
    แทนที่จะหันหน้ามาหาเรา
แต่เมื่อพวกเขามีความลำบากก็พูดว่า
    ‘ขอพระองค์ลุกขึ้นและช่วยพวกเราให้รอดเถิด’
28 แต่พวกเทพเจ้าของเจ้า ที่เจ้าทำขึ้นเองอยู่ไหนล่ะ
    ถ้าเขาช่วยเจ้าให้รอดได้
    เมื่อเจ้ามีความลำบาก ก็ให้พวกเขาลุกขึ้นสิ
เพราะเทพเจ้าของเจ้ามีมาก
    เท่ากับเมืองของเจ้า โอ ยูดาห์เอ๋ย

29 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

ทำไมเจ้าจึงบ่นกับเรา
    พวกเจ้าทุกคนได้ล่วงละเมิดต่อเรา
30 เราได้ลงโทษคนของเจ้า
    แต่พวกเขาก็ไม่รับเป็นบทเรียน
เจ้าฆ่าบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าด้วยดาบของเจ้าเอง
    เหมือนกับสิงโตที่คอยขม้ำเหยื่อ
31 โอ พวกเจ้าที่อยู่ในยุคนี้เอ๋ย
    จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
อิสราเอลเห็นว่า เราเป็นเหมือนถิ่นทุรกันดาร
    หรือเป็นแผ่นดินอันมืดทึบอย่างนั้นหรือ
เหตุใดชนชาติของเราจึงพูดว่า ‘พวกเรามีอิสระ
    พวกเราจะไม่มาหาพระองค์อีก’
32 หญิงสาวจะลืมเครื่องประดับของเธอ
    หรือเจ้าสาวจะลืมชุดเจ้าสาวได้อย่างนั้นหรือ
ถึงกระนั้นชนชาติของเรายังได้ลืมเราเสียแล้ว
    เป็นเวลานานแสนนาน

33 เจ้าชำนาญในการเลือกหาคนรักได้อย่างดี
    แม้แต่พวกหญิงชั่วร้าย
    เจ้าก็ยังได้สอนวิถีทางของเจ้าให้แก่พวกเขา
34 เสื้อผ้าของเจ้ามีรอยเปื้อนเลือดของผู้ยากไร้ที่ไร้ความผิด
    เจ้าก็รู้ดีว่า พวกเขาไม่ได้บุกเข้าบ้าน
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม
35     เจ้ายังพูดว่า ‘ข้าพเจ้าไม่มีความผิด
    พระองค์ไม่เอาผิดข้าพเจ้า’
ดูเถิด เราจะตัดสินเจ้าที่พูดว่า
    ‘ข้าพเจ้าไม่ได้ทำบาป’
36 เจ้าร่อนไปมา
    เปลี่ยนวิถีทางของเจ้าได้ง่ายอะไรเช่นนี้
อียิปต์จะทำให้เจ้าต้องอับอาย
    เหมือนกับที่อัสซีเรียได้ทำให้เจ้าอับอาย
37 เจ้าจะวางมือไว้บนหัว
    และหันกลับออกมาจากอียิปต์
เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับพวกที่เจ้าไว้วางใจ
    และพวกเขาจะไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้”

พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

“ถ้าชายผู้หนึ่งหย่าจากภรรยาของเขา
    เมื่อนางไปจากเขา และเป็นภรรยาของชายผู้อื่น
แล้วเขาจะกลับไปหานางอีกไหม
    แผ่นดินนั้นจะไม่หมองหรือ
เจ้าได้แสดงความเป็นหญิงแพศยาที่มีคนรักหลายคน
    แล้วเจ้าจะกลับมาหาเราอย่างนั้นหรือ
จงแหงนหน้าดูที่เนินเขาสูงสิ
    ที่ไหนบ้างที่เจ้าไม่ได้ไปหลับนอนกับใครมา
เจ้าได้นั่งคอยบรรดาคนรักที่ริมถนน
    อย่างกับชาวอาหรับในถิ่นทุรกันดาร
เจ้าได้ทำให้แผ่นดินหมอง
    ด้วยความแพศยาอันร้ายกาจของเจ้า
ฉะนั้น ฝนจึงถูกระงับไว้
    และฝนต้นฤดูจึงไม่ตก
แม้แต่หน้าผากของเจ้าก็บ่งบอกถึงการเป็นหญิงแพศยา
    เจ้ายังไม่รับว่าเป็นสิ่งที่น่าอับอาย
เจ้าเพิ่งร้องเรียกถึงเราในเวลานี้ว่า
    ‘พระบิดาของข้าพเจ้า พระองค์เป็นเพื่อนของข้าพเจ้าตั้งแต่เยาว์วัย
พระองค์จะโกรธตลอดไปหรือ
    พระองค์จะกริ้วไปตลอดกาลหรือ’
ดูเถิด เจ้าพูดอย่างนั้น
    แต่เจ้าได้กระทำสิ่งชั่วร้ายทั้งสิ้นเท่าที่เจ้าจะทำได้”

ความไม่ภักดีของอิสราเอลและยูดาห์

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าในสมัยของกษัตริย์โยสิยาห์ดังนี้ว่า “เจ้าเห็นแล้วหรือยังว่า อิสราเอลผู้สิ้นความเชื่อได้ทำอะไรบ้าง นางขึ้นไปบนภูเขาสูงทุกลูกและใต้ต้นไม้อันเขียวชอุ่มทุกต้น และทำตัวเป็นหญิงแพศยาอยู่ที่นั่น และเราคิดว่า ‘หลังจากนางได้กระทำสิ่งเหล่านี้แล้ว นางจะกลับมาหาเรา’ แต่นางไม่กลับมา และยูดาห์พี่สาวผู้ไม่ภักดีของนางเห็นการกระทำ ยูดาห์เห็นว่า เราได้ไล่อิสราเอลไปพร้อมกับใบหย่า เพราะนางสิ้นความเชื่อและประพฤติผิดประเวณี ยูดาห์พี่สาวผู้ไม่ภักดีก็ยังไม่เกรงกลัว แต่กลับทำตัวเป็นหญิงแพศยาไปด้วย เพราะอิสราเอลคิดว่าความแพศยาของตนเป็นเรื่องเล็ก นางได้ทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน ล่วงประเวณีด้วยการนมัสการหินและต้นไม้ 10 หลังจากนั้นแล้ว ยูดาห์พี่สาวผู้ไม่ภักดีของนางแสร้งกลับมาหาเรา แต่ก็ไม่ได้ทำด้วยใจจริง” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

11 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อิสราเอลผู้สิ้นความเชื่อแสดงตนว่ามีความชอบธรรมมากกว่ายูดาห์ผู้ไม่ภักดี 12 จงไปประกาศแก่ทางทิศเหนือว่า

‘อิสราเอลผู้สิ้นความเชื่อจงกลับมา’” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น
    “เราจะไม่ดูเจ้าด้วยความกริ้ว
เพราะเราเปี่ยมด้วยความเมตตา” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น
    “เราจะไม่กริ้วเจ้าไปตลอดกาล
13 เจ้าจงเพียงยอมรับความผิดของเจ้าว่า
    เจ้าขัดขืนพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า
และเจ้าวิ่งตามเทพเจ้าต่างชาติ
    ที่ใต้ต้นไม้อันเขียวชอุ่มทุกต้น
    และเจ้าไม่ได้เชื่อฟังคำของเรา”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

14 “โอ ลูกๆ ที่สิ้นความเชื่อเอ๋ย จงกลับมา” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “เพราะเราเป็นนายของเจ้า เราจะเลือกเจ้ามาจากเมืองละ 1 คน และจากครอบครัวละ 2 คน และเราจะพาเจ้าไปยังศิโยน 15 และเราจะมอบบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะที่เชื่อฟังเรา เขาจะสอนเจ้าให้มีความรู้และความเข้าใจ 16 และเมื่อเจ้าทวีจำนวนคนขึ้นในแผ่นดิน พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ในเวลานั้น พวกเขาจะไม่พูดว่า ‘หีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า’ อีกต่อไปแล้ว เจ้าจะไม่นึกถึง หรือจดจำ หรือคิดถึงอีก และจะไม่ถูกสร้างขึ้นอีก 17 ในเวลานั้น เยรูซาเล็มจะได้รับเรียกว่า บัลลังก์ของพระผู้เป็นเจ้า และประชาชาติทั้งปวงจะมารวมเข้าด้วยกันที่นั่น ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า ในเยรูซาเล็ม และพวกเขาจะไม่ดื้อรั้นกระทำตามใจอันชั่วร้ายของตนอีกต่อไป 18 ในเวลานั้น พงศ์พันธุ์ยูดาห์จะมารวมด้วยกันกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล และพวกเขาจะมาด้วยกันจากดินแดนทางเหนือ มายังแผ่นดินที่เรามอบให้แก่บรรพบุรุษของเจ้าเป็นมรดก 19 เราพูดว่า

เราปรารถนายิ่งนักที่จะให้เจ้าอยู่ในฐานะร่วมกับบรรดาบุตรของเรา
    และมอบแผ่นดินอันน่าอยู่
    มรดกที่งามที่สุดในบรรดาประชาชาติ
และเราคิดว่า เจ้าจะเรียกเราว่า ‘บิดาของข้าพเจ้า’
    และจะไม่หยุดติดตามเรา
20 โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย แน่ทีเดียว ภรรยาที่ไม่ภักดีทอดทิ้งสามีนางไปเช่นไร
    เจ้าก็ไม่ภักดีต่อเราเช่นนั้น”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

21 เสียงที่ได้ยินมาจากที่สูงเป็นเสียงร้องไห้
    และอ้อนวอนของพงศ์พันธุ์อิสราเอล
เพราะพวกเขาได้หลงหาย
    และลืมพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขาแล้ว
22 “โอ ลูกๆ ที่สิ้นความเชื่อเอ๋ย จงกลับมา
    เราจะรักษาเจ้าให้หายจากการสิ้นความเชื่อ”
ดูเถิด ข้าพเจ้าทั้งหลายมาหาพระองค์
    เพราะพระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา
23 จริงทีเดียว เสียงชุลมุนบนเนินเขาสูง
    และบนภูเขาเป็นสิ่งลวงหลอก
จริงทีเดียว ความรอดของอิสราเอล
    อยู่ในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา

24 นับตั้งแต่ครั้งโบราณกาล สิ่งอันน่าอับอายได้ทำให้เราต้องสูญเสียทุกสิ่งที่บรรพบุรุษของเราตรากตรำมา ฝูงแพะแกะและโค บุตรชายบุตรหญิงของพวกเขา 25 ให้พวกเรานอนลงกับความอับอายของเราเถิด และให้ความอัปยศปกคลุมพวกเรา เพราะพวกเราและบรรพบุรุษของเราได้ทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลมาจนถึงบัดนี้ และพวกเราไม่ได้เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา

พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“โอ อิสราเอลเอ๋ย ถ้าเจ้าจะกลับมา
    เจ้าก็จงกลับมาหาเรา
ถ้าเจ้ากำจัดสิ่งที่น่าชังให้พ้นหน้าเรา
    และไม่หลงผิดอีก
และถ้าเจ้าสาบานด้วยความจริง ความเป็นธรรม และความชอบธรรมว่า
    ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด’
แล้วบรรดาประชาชาติจะได้รับพระพรในพระองค์
    และพวกเขาจะยินดีในพระองค์”

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับประชาชนชาวยูดาห์และเยรูซาเล็มดังนี้ว่า

“จงพรวนผืนดินของเจ้าที่ถูกปล่อยทิ้งไว้
    และอย่าหว่านในดงไม้หนาม
จงเข้าสุหนัตเพื่อพระผู้เป็นเจ้า
    จงตัดเนื้อปลายหัวใจของเจ้าออก
    โอ ประชาชนชาวยูดาห์และผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มเอ๋ย
มิฉะนั้น การลงโทษของเราจะเป็นเหมือนกับไฟ
    ที่ลุกไหม้จนไม่มีผู้ใดดับได้
    เพราะการกระทำอันชั่วร้ายของเจ้า”

ความวิบัติจากทิศเหนือ

จงประกาศในยูดาห์ และให้เป็นที่รู้ในเยรูซาเล็มว่า

“จงเป่าแตรงอนทั่วแผ่นดิน
    ส่งเสียงร้องดังและพูดว่า
‘จงมารวมกันให้พร้อมหน้า
    และเข้าไปในเมืองต่างๆ ที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง’
ยกธงขึ้นสู่ศิโยน
    แล้วรีบหนีเพื่อความปลอดภัย อย่ารอช้า
เพราะเรานำความวิบัติจากทิศเหนือ
    และความพินาศมา”
สิงโตตัวหนึ่งได้ขึ้นไปจากที่ซ่อนของมัน
    ผู้ทำลายผู้หนึ่งของบรรดาประชาชาติได้เริ่มเดินออกไปแล้ว
    เขาได้ออกไปจากที่ของเขาแล้ว
เพื่อทำให้แผ่นดินของท่านรกร้าง
    เมืองต่างๆ ของท่านจะพังลง
    และไม่มีผู้อยู่อาศัย
จงสวมผ้ากระสอบ
    ร้องรำพัน และร้องไห้ฟูมฟาย
เพราะความกริ้วอันร้อนแรงของพระผู้เป็นเจ้า
    ที่มีต่อเรายังไม่ลดลง

พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “ในวันนั้น กษัตริย์และบรรดาผู้นำจะท้อถอย บรรดาปุโรหิตจะตื่นตระหนก และบรรดาผู้เผยคำกล่าวจะแปลกใจ” 10 แล้วข้าพเจ้าพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ได้ทำให้ประชาชนเหล่านี้และเยรูซาเล็มหลงกลจริงๆ โดยกล่าวว่า ‘ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีกับเจ้า’ ในขณะที่ดาบจ่ออยู่ที่คอพวกเขา”

11 ในเวลานั้น ชนชาตินี้และเยรูซาเล็มจะได้ยินคำที่กล่าวกับพวกเขาว่า “ลมร้อนจากเนินเขาสูงในถิ่นทุรกันดารพัดไปทางประชาชนอันเป็นที่รักของเรา ไม่ใช่ลมแผ่วเบาที่ใช้ฝัดร่อนหรือชำระล้าง 12 ลมแรงกล้าขนาดนี้มาจากเรา เป็นเรานั่นแหละที่ประกาศโทษแก่พวกเขา”

13 ดูเถิด เขาปรากฏตัวขึ้นเหมือนเมฆ
    รถศึกของเขาเหมือนพายุหมุน
ม้าของเขาว่องไวยิ่งกว่านกอินทรี
    วิบัติเกิดแก่พวกเรา เพราะพวกเราย่อยยับแล้ว
14 “โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย จงชำระจิตใจของเจ้าให้พ้นจากความชั่ว
    เพื่อเจ้าจะได้รอดพ้น
ความคิดชั่วร้ายของเจ้าจะฝังอยู่
    กับเจ้านานแค่ไหน
15 ด้วยว่า มีเสียงประกาศจากดาน
    และประกาศความวิบัติจากภูเขาเอฟราอิม
16 จงเตือนบรรดาประชาชาติว่า เขากำลังมา
    จงประกาศแก่เยรูซาเล็มว่า
‘ผู้ล้อมเมืองมาจากแดนไกล
    พวกเขาร้องตะโกนเสียงดังเพื่อโจมตีเมืองต่างๆ ของยูดาห์
17 พวกเขาตีวงล้อมอย่างผู้ดูแลรักษาไร่นา
    เพราะเมืองนั้นได้ดื้อดึงต่อเรา’”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
18 “วิถีทางและการกระทำของเจ้า
    เป็นเหตุให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวเจ้าเอง
เป็นความพินาศที่เกิดขึ้นกับเจ้า
    และมันขมขื่น
    ทิ่มแทงใจของเจ้า”

ความปวดร้าวมีต่อยูดาห์

19 ความปวดร้าวของข้าพเจ้า ความปวดร้าวของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าบิดตัวด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
ใจข้าพเจ้าทุกข์ระทมและสะอื้น
    ข้าพเจ้านิ่งเงียบไม่ได้แล้ว
เพราะข้าพเจ้าได้ยินเสียงแตรงอน
    ซึ่งเป็นเสียงเตือนศึก
20 สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
    ทั่วทั้งแผ่นดินพังพินาศ
ทันทีทันใดกระโจมของข้าพเจ้าถูกทำลาย
    ม่านของข้าพเจ้าเสียหายในพริบตา
21 ข้าพเจ้าจะต้องเห็นธง
    และได้ยินเสียงแตรงอนนานแค่ไหน

22 “ด้วยว่า ชนชาติของเราโง่เขลา
    พวกเขาไม่รู้จักเรา
เขาเป็นเด็กโง่
    ไม่มีความเข้าใจ
พวกเขาชำนาญในการกระทำความชั่ว
    และไม่รู้ว่ากระทำความดีได้อย่างไร”

23 ข้าพเจ้ามองดูแผ่นดินโลก
    ดูเถิด มันยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง อีกทั้งยังว่างเปล่า
และมองดูฟ้าสวรรค์
    ซึ่งไม่มีแสงสว่าง
24 ข้าพเจ้ามองดูภูเขา
    ดูเถิด มันกำลังสั่นไหว
    และเนินเขาทุกลูกขยับไปมา
25 ข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด ไม่มีมนุษย์
    และนกในอากาศทุกตัวบินหนีไปแล้ว
26 ข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด แผ่นดินอันอุดมกลายเป็นถิ่นทุรกันดาร
    และเมืองทั้งหมดถูกพังทลายลง
    ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เบื้องหน้าความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์

27 เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “ทั่วทั้งแผ่นดินจะเป็นที่รกร้าง แต่เราจะไม่ทำลายจนหมดสิ้น

28 แผ่นดินโลกจะร้องคร่ำครวญให้กับสิ่งนี้
    และฟ้าสวรรค์เบื้องบนมืดลง
เพราะเราได้กล่าวไว้ เราได้ตัดสินใจแล้ว
    เราไม่ได้เปลี่ยนใจ และเราจะไม่หันกลับ”

29 ผู้คนของทุกเมืองเผ่นหนี
    เมื่อได้ยินเสียงทหารม้าและนักธนู
พวกเขาเข้าไปซ่อนในพุ่มไม้ทึบ
    ปีนขึ้นบนก้อนหิน
ทิ้งเมืองให้ร้างไว้
    ไม่มีใครอยู่ในเมืองเลย
30 โอ ผู้ที่หายนะ
เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่เจ้าสวมเครื่องนุ่งห่มสีแดงสด
    และประดับด้วยเครื่องประดับทองคำ
    เจ้าใช้สีทาตาให้ดูโตขึ้น
เจ้าแต่งตัวให้สวยโดยไร้ประโยชน์
    บรรดาคนรักของเจ้าดูหมิ่นเจ้า
    พวกเขาต้องการเอาชีวิตเจ้า
31 ด้วยว่า ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องราวกับหญิงที่เจ็บครรภ์
    ปวดร้าวราวกับคนที่คลอดลูกคนแรก
เสียงร้องของธิดาแห่งศิโยนพยายามสูดลมหายใจเข้า
    ยื่นมือออกพลางพูดว่า
“วิบัติจงเกิดแก่ข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจะเป็นลมต่อหน้าพวกฆาตกร”

เยรูซาเล็มปฏิเสธที่จะกลับใจ

“จงวิ่งไปให้ทั่วทุกถนนของเยรูซาเล็ม
    จงสังเกตดู
ค้นหาที่ลานชุมนุมในเมือง
    และดูซิว่าเจ้าจะพบใครสักคน
ที่มีความเที่ยงธรรม
    และแสวงหาความจริง
เพื่อเราจะให้อภัยทั้งเมืองได้
ถึงแม้พวกเขาจะพูดว่า ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด’
    พวกเขาก็สาบานไม่จริง”
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์มองหาผู้ยึดมั่นในความจริงแน่ทีเดียว
พระองค์ได้ฟาดฟันพวกเขา
    แต่เขากลับไม่รู้สึกปวดร้าวเลย
พระองค์ทำให้พวกเขาเกือบพินาศ
    แต่พวกเขาก็ยังเพิกเฉยต่อบทเรียนที่ได้รับ
พวกเขาทำให้หน้าแข็งกระด้างยิ่งกว่าหิน
    และปฏิเสธที่จะกลับใจ

ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “คนเหล่านี้เป็นเพียงผู้ยากไร้
    พวกเขาไร้ความคิดอ่าน
เพราะพวกเขาไม่รู้จักวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า
    ความเที่ยงธรรมของพระเจ้าของเขา
ข้าพเจ้าจะไปหาบรรดาผู้ที่มีอิทธิพล
    และจะพูดกับเขา
เพราะพวกเขารู้จักวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า
    ความเที่ยงธรรมของพระเจ้าของเขา”
แต่พวกเขาทุกคนเป็นเหมือนกัน คือได้หักแอก
    และตัดสิ่งที่ผูกไว้ให้หลุดออกไป

ฉะนั้น สิงโตจากป่าตัวหนึ่งจะฆ่าพวกเขา
    สุนัขป่าจากทะเลทรายตัวหนึ่งจะฉีกร่างของพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ
เสือดาวตัวหนึ่งคอยจับจ้องเมืองของพวกเขา
    ทุกคนที่ฝ่าออกไปจะถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ
เพราะพวกเขาล่วงละเมิดหลายประการ
    และหันเหไปจากพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า

“เราจะให้อภัยเจ้าได้อย่างไร
    ลูกๆ ของเจ้าได้ทอดทิ้งเราแล้ว
    และยังได้สาบานต่อรูปเคารพซึ่งไม่ใช่เทพเจ้า
เราจัดหาทุกสิ่งให้แก่พวกเขา
    แต่พวกเขาก็ยังไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา
    และกรูกันไปยังบ้านหญิงแพศยา
พวกเขาเป็นเหมือนม้าตัวผู้สำหรับทำพันธุ์ที่ถูกเลี้ยงไว้อย่างดีและมีกำลังมาก
    แต่ละตัวมีความใคร่ต่อภรรยาเพื่อนบ้านของตน

พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

เราควรจะลงโทษพวกเขา
    เพราะเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ
และเราควรจะแก้แค้นประชาชาติ
    ที่เป็นอย่างนี้มิใช่หรือ

10 จงเดินไปให้ทั่วแนวไร่องุ่นและทำลายเสีย
    แต่อย่าทำลายจนหมดสิ้น
ตัดกิ่งก้านองุ่นลงให้หมด
    เพราะไม่ใช่กิ่งก้านของพระผู้เป็นเจ้า

11 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

เพราะพงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์
    ร้ายกาจต่อเราเหลือเกิน
12 พวกเขาไม่ได้พูดความจริงในเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า
    และได้พูดว่า ‘พระองค์จะไม่ทำอะไรหรอก
ความวิบัติจะไม่เกิดขึ้นกับพวกเรา
    เราจะไม่เผชิญกับการสู้รบหรือการอดอยาก
13 บรรดาผู้เผยคำกล่าวจะเป็นดั่งลม
    พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้กล่าวสิ่งใดผ่านพวกเขา
ขอให้สิ่งที่พวกเขาพูดเกิดขึ้นกับพวกเขา’”

พระผู้เป็นเจ้าประกาศคำตัดสิน

14 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้

“เพราะพวกเขาได้พูดเช่นนี้
ดูเถิด เราทำให้คำกล่าวของเราเป็นดั่งไฟในปากของเจ้า
    ประชาชนเหล่านี้จะเป็นดั่งไม้ และไฟจะเผาไหม้พวกเขา”

15 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“ดูเถิด พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย
    เรากำลังนำประชาชาติหนึ่งจากแดนไกลมาโจมตีเจ้า
เป็นประชาชาติที่ทรหดอดทน
    เป็นประชาชาติมาแต่โบราณ
เป็นประชาชาติที่มีภาษาที่เจ้าไม่รู้จัก
    และไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเขาพูดอะไร
16 แล่งธนูของพวกเขาเปรียบได้กับถ้ำเก็บศพที่เปิดไว้
    ทุกคนเป็นนักรบผู้กล้าหาญ
17 พวกเขาจะกินอาหารและสิ่งที่เจ้าเก็บเกี่ยวจนหมดสิ้น
    เขาจะฆ่าบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้าเสียสิ้น
เขาจะฆ่าแพะแกะและโคของเจ้าให้หมด
    เขาจะกินจากเถาองุ่นและต้นมะเดื่อของเจ้าจนหมดสิ้น
พวกเขาจะโจมตีเมืองต่างๆ ของเจ้า
    ที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่งด้วยคมดาบ”

18 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “แต่ถึงแม้ในเวลานั้น เราก็จะไม่กำจัดพวกเจ้าจนหมดสิ้น 19 และเมื่อประชาชนของเจ้าพูดว่า ‘ทำไมพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเราจึงได้กระทำสิ่งเหล่านี้ต่อพวกเรา’ เจ้าจงพูดกับพวกเขาว่า ‘เพราะพวกเจ้าได้ทอดทิ้งเรา และไปนมัสการบรรดาเทพเจ้าต่างชาติในแผ่นดินของเจ้า เจ้าก็จะไปรับใช้พวกชาวต่างชาติในแผ่นดินที่ไม่ได้เป็นของเจ้า’

20 จงประกาศแก่พงศ์พันธุ์ยาโคบ
    ให้เป็นที่รู้ในยูดาห์ว่า
21 โอ จงฟังให้ดี ประชาชนผู้โง่เขลาและไร้สติเอ๋ย
    เจ้ามีตาแต่มองไม่เห็น
    มีหูแต่ไม่ได้ยิน”

22 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“พวกเจ้าไม่เกรงกลัวเราหรือ
    เจ้าไม่สะทกสะท้าน ณ เบื้องหน้าเราหรือ
เราใช้ทรายเป็นเขตกั้นสำหรับทะเล
    เป็นที่กั้นอันถาวรที่จะข้ามไปไม่ได้
แม้ว่าคลื่นซัดแต่ไม่สามารถข้ามไปได้
    แม้ว่าคลื่นคำรามแต่ก็พังทลายผ่านไปไม่ได้
23 แต่ประชาชนเหล่านี้มีใจดื้อดึงและขัดขืน
    พวกเขาออกนอกลู่นอกทางและจากเราไป
24 พวกเขาไม่แม้แต่จะคิดในใจว่า
    ‘พวกเราควรจะเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา
พระองค์ให้ฝนตกตามฤดูกาล
    คือฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดู
และให้พวกเราได้เก็บเกี่ยวตามกำหนด’
25 ความชั่วของพวกเจ้าทำให้สิ่งเหล่านั้นไม่เกิดขึ้น
    และบาปของพวกเจ้าทำให้ไม่ได้รับสิ่งดีๆ
26 เพราะพวกคนชั่วอยู่ในหมู่ชนชาติของเรา
    พวกเขาซุ่มรออย่างคนคอยดักนก
    พวกเขาวางกับดักเพื่อจับมนุษย์
27 บ้านของพวกเขามีแต่ความลวงหลอก
    เหมือนกับกรงที่เต็มไปด้วยนก
ฉะนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นคนใหญ่โตและมั่งมี
28     พวกเขาอ้วนพี พวกเขาอ้วนท้วน
และกระทำความชั่วอย่างไม่มีขอบเขต
    และตัดสินคนด้วยความไม่เป็นธรรม
เขาเอาเปรียบเด็กกำพร้าเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
    และไม่ปกป้องให้ผู้ยากไร้ใช้สิทธิของเขา

29 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

เราควรจะลงโทษพวกเขาเพราะเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ
    และเราควรจะแก้แค้นประชาชาติ
    ที่เป็นอย่างนี้มิใช่หรือ

30 สิ่งที่เลวร้ายและน่ากลัว
    ได้เกิดขึ้นในแผ่นดิน
31 บรรดาผู้เผยคำกล่าวเผยความอย่างผิดๆ
    ส่วนบรรดาปุโรหิตก็ปกครองไปตามคำบัญชาของพวกเขา
ชนชาติของเราก็ยินดีทำตาม
    แต่ในที่สุดพวกเจ้าจะทำอย่างไร

ศัตรูล้อมรอบเยรูซาเล็ม

โอ ชาวเบนยามินเอ๋ย เพื่อความปลอดภัยของเจ้า
    จงหนีไปจากเยรูซาเล็ม
จงเป่าแตรงอนในเทโคอา
    และยกสัญญาณที่เบธฮัคเคเรม
เพราะความเลวร้าย และความวิบัติปรากฏ
    ให้เห็นว่ามาจากทิศเหนือ
เราจะทำลายธิดาแห่งศิโยน
    ผู้น่ารักและบอบบาง
บรรดาผู้นำกับพรรคพวกจะมาโจมตีเมือง
    พวกเขาจะตั้งกระโจมรอบเมือง
    และแต่ละคนจะตั้งค่ายของตนเอง
พวกเขาจะพูดว่า ‘เตรียมอาวุธโจมตีเมือง
    ลุกขึ้นเถิด เราไปโจมตีในเวลาที่ไม่คาดคิดกันเถิด
พวกเราโชคร้ายจริง เพราะชักจะสายแล้ว
    เพราะตะวันจะตกแล้ว
ลุกขึ้นเถิด เราไปโจมตีตอนกลางคืนกันเถิด
    ไปพังวังที่เมืองนั้นกันเถิด’”

เพราะพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า

“จงโค่นต้นไม้ในเมืองลง
    ก่อเชิงเทินขึ้นเพื่อโจมตีเมืองเยรูซาเล็ม
นี่คือเมืองที่ต้องถูกลงโทษ
    ภายในเมืองนั้นไม่มีอะไรนอกจากการกดขี่ข่มเหง
บ่อน้ำมีน้ำไหลซึมออกมาเช่นไร
    เมืองนั้นก็มีความชั่วร้ายซึมออกมาเช่นนั้น
เป็นที่ได้ยินว่า ภายในเมืองมีความรุนแรงและการทำลาย
    เราเห็นผู้คนรับทุกข์ทรมานและบาดเจ็บ
โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย จงรับคำเตือน
    มิฉะนั้นเราจะสะบัดหลังใส่เจ้า
เราจะทำให้เจ้ากลายเป็นที่รกร้าง
    เป็นแผ่นดินที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่”

พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้

“ให้พวกเขารวบรวมชาวอิสราเอลที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่
    อย่าให้ขาดแม้คนเดียว
เหมือนการเก็บผลจากเถาองุ่น จงตรวจดูทุกกิ่งก้านซ้ำอีก
    เหมือนผู้ที่กำลังเก็บผลองุ่น”
10 ข้าพเจ้าควรจะพูดและเตือนใครล่วงหน้า
    เพื่อให้เขาได้ยินบ้าง
ดูเถิด หูของพวกเขาปิด
    พวกเขาไม่ได้ยิน
ดูเถิด คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าเป็นที่น่าดูหมิ่นของพวกเขา
    และพวกเขาไม่ยินดีกับคำกล่าวด้วยเลย
11 ฉะนั้น ความกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อพวกเขาอยู่เต็มอกข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าเก็บไว้ต่อไปไม่ได้แล้ว
พระองค์กล่าวว่า “จงปล่อยออกมาบนเด็กๆ ตามถนน
    และบนชายหนุ่มที่ชุมนุมกันอยู่
ทั้งสามีและภรรยาจะเผชิญกับการลงโทษนี้
    ทั้งผู้สูงวัยและคนชรา
12 บ้านของพวกเขาจะตกเป็นของผู้อื่น
    ไร่นาและภรรยาก็เช่นกัน
เพราะเราจะยื่นมือของเราออก
    เพื่อลงโทษบรรดาผู้อยู่อาศัยของแผ่นดิน”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
13 “นับตั้งแต่ผู้ด้อยสุดจนถึงผู้มีอำนาจมากที่สุด
    ทุกคนโลภเพราะหวังผลประโยชน์ของตนเอง
และนับตั้งแต่ผู้เผยคำกล่าวจนถึงปุโรหิต
    ทุกคนไม่ซื่อสัตย์
14 พวกเขาทำราวกับว่า ปัญหาของชนชาติของเราไม่ร้ายแรง
    จึงได้พูดว่า ‘มีสันติสุข มีสันติสุข’
    ทั้งๆ ที่ไม่มีสันติสุข
15 พวกเขารู้สึกอับอายเมื่อเขาประพฤติสิ่งที่น่าชังหรือ
    ไม่เลย พวกเขาไม่รู้สึกอับอาย
    แม้แต่สีหน้าก็ยังไม่แสดงความอับอาย
ฉะนั้น พวกเขาจะพินาศร่วมกับคนเหล่านั้นที่พินาศ
    เมื่อเราทำโทษพวกเขา พวกเขาก็จะถึงจุดจบ”
    พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น

16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า

“จงยืนที่ข้างถนนและมองดู
    และถามหาทางโบราณ
ซึ่งเป็นหนทางที่ดี เจ้าจงเดินในทางนั้น
    และเจ้าจะพบที่พักพิงของจิตวิญญาณ
แต่พวกเขากลับพูดว่า ‘พวกเราจะไม่เดินในทางนั้น’
17 เราจัดให้มีบรรดาผู้เฝ้ายามให้แก่เจ้าด้วยการพูดว่า
    ‘จงเอาใจใส่ต่อเสียงแตรงอน’
แต่พวกเขากลับพูดว่า ‘พวกเราจะไม่สนใจ’
18 ฉะนั้น โอ บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงฟังเถิด
    และปวงชนเอ๋ย จงเอาใจใส่ให้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขา
19 แผ่นดินโลกเอ๋ย จงฟัง
    ดูเถิด เรากำลังทำให้ชนชาตินี้วิบัติ
    จากผลของความชั่วร้ายของพวกเขา
เพราะเขาไม่เอาใจใส่ต่อคำพูดของเรา
    และพวกเขาไม่ยอมรับกฎบัญญัติของเรา
20 กำยานที่มาจากเช-บา
    หรืออ้อหอมที่มาจากแดนไกล จะเป็นประโยชน์อะไรสำหรับเรา
เราไม่รับสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย
    เครื่องสักการะไม่เป็นที่พอใจเรา”

21 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า

“ดูเถิด เราจะทำให้พวกเขามีอุปสรรค
    ทั้งพ่อและลูกๆ จะอ่อนล้าและสิ้นกำลัง
    บรรดาเพื่อนบ้านและเพื่อนๆ จะสิ้นชีวิต”

22 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า

“ดูเถิด ชนชาติหนึ่งกำลังมา
    จากดินแดนทางเหนือ
ประชาชาติที่มีอำนาจชาติหนึ่งกำลังเตรียมศึก
    จากที่ไกลสุดของแผ่นดินโลก
23 พวกเขาหยิบคันธนูและหอก
    เป็นพวกที่โหดร้ายปราศจากความเมตตา
    เสียงของพวกเขาเป็นเหมือนเสียงทะเลครืนครั่น
ขี่ม้าราวกับคนที่พร้อมจะโจมตีเจ้า
    โอ ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย”
24 พวกเราได้ยินถึงเรื่องนั้น
    มือของเราอ่อนปวกเปียก
ความหวาดหวั่นครอบงำพวกเรา
    และเจ็บปวดราวกับหญิงเจ็บครรภ์
25 อย่าออกไปในไร่นา
    หรือเดินบนถนน
เพราะศัตรูถือดาบ
    มีความน่ากลัวอยู่รอบด้าน
26 โอ บุตรหญิงของชนชาติของข้าพเจ้าเอ๋ย จงสวมผ้ากระสอบ
    และกลิ้งในกองขี้เถ้า
ร้องคร่ำครวญเหมือนร้องให้กับบุตรชายที่มีเพียงคนเดียว
    ร้องรำพันด้วยความขมขื่น
เพราะผู้ทำลาย
    จะโจมตีพวกเราในทันที

27 “เราได้ทำให้เจ้าเป็นผู้ทดสอบในหมู่ชนชาติของเราเหมือนทดสอบโลหะ
    เพื่อให้เจ้ารู้และทดสอบว่าพวกเขาเป็นอย่างไร
28 พวกเขาทุกคนขัดขืนด้วยความดื้อรั้น
    ช่างนินทาว่าร้ายไปทั่ว
พวกเขาแข็งเหมือนทองสัมฤทธิ์และเหล็กกล้า
    ทุกคนคดโกง
29 เตาหลอมโลหะลุกโพลง
    แต่สารตะกั่วถูกไฟเผาจนมอดไหม้
การหลอมจึงไร้ประโยชน์
    เพราะคนชั่วไม่ถูกแยกออก
30 พวกเขาได้ชื่อว่า ขี้เงินที่ไร้ค่า
    เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับพวกเขา”

ความชั่วร้ายในแผ่นดิน

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ว่า “จงยืนที่ประตูพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และประกาศคำกล่าวว่า ชาวยูดาห์ทั้งปวงที่เข้าทางประตู เพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้า จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า “จงเปลี่ยนวิถีทางและการกระทำของพวกเจ้า และเราจะให้เจ้าอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ อย่าวางใจในคำที่ลวงหลอกที่ว่า ‘นี่เป็นพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า พระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า พระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า

เพราะว่าถ้าพวกเจ้าเปลี่ยนวิถีทางและการกระทำของเจ้าจริงๆ ถ้าเจ้าปฏิบัติด้วยความเป็นธรรมต่อกันและกัน ถ้าเจ้าไม่กดขี่ข่มเหงผู้ลี้ภัย ผู้กำพร้าพ่อ หรือแม่ม่าย หรือฆ่าคนไร้ความผิดในที่แห่งนี้ และถ้าพวกเจ้าไม่ไปติดตามบรรดาเทพเจ้าซึ่งเป็นอันตรายต่อตัวเจ้าเอง แล้วเราก็จะให้พวกเจ้าอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ ในแผ่นดินที่เรามอบให้แก่บรรพบุรุษของเจ้าตลอดกาล[f]

ดูเถิด เจ้าไว้วางใจในคำที่ลวงหลอกซึ่งไม่เกิดผลอะไร พวกเจ้าขโมย ฆ่า ผิดประเวณี พูดเท็จในคำสาบาน เผาเครื่องหอมแก่เทพเจ้าบาอัล ไปติดตามบรรดาเทพเจ้า ซึ่งเจ้าไม่เคยรู้จัก 10 แล้วเจ้ามายืนต่อหน้าเราในตำหนักนี้ ซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นของเรา และพวกเจ้าพูดว่า ‘พวกเราปลอดภัย’ แต่ก็ยังกระทำสิ่งที่น่ารังเกียจเหล่านี้ต่อไปอีกอย่างนั้นหรือ 11 ตำหนักอันเป็นที่นมัสการเรานี้ ได้รับเรียกว่าเป็นของเรา กลายเป็นถ้ำโจร[g]ในสายตาของเจ้าหรือ ดูเถิด เราเองได้เห็นว่าเป็นเช่นนั้นแล้ว” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 12 “บัดนี้เจ้าจงไปยังสถานที่ของเราในเมืองชิโลห์[h] ซึ่งในตอนแรกชื่อของเราอยู่ที่นั่น และไปดูว่าเราได้ทำอะไรต่อสถานที่นั้นเนื่องจากความชั่วของอิสราเอลชนชาติของเรา 13 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า และบัดนี้ เป็นเพราะพวกเจ้าได้กระทำสิ่งเหล่านี้ และเราก็ได้พูดกับพวกเจ้าเสมอมา แต่เจ้าก็ไม่ยอมฟัง เมื่อเราเรียกเจ้า เจ้าก็ไม่ตอบ 14 ฉะนั้น เราจะกระทำต่อตำหนักซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นของเรา และเป็นที่เจ้าไว้วางใจ และจะกระทำต่อสถานที่ซึ่งเรามอบให้แก่เจ้าและแก่บรรพบุรุษของเจ้า ดังที่เราได้กระทำต่อชิโลห์ 15 และเราจะขับไล่พวกเจ้าไปให้พ้นหน้าเรา อย่างที่เราขับไล่บรรดาญาติพี่น้องของเจ้า คือเชื้อสายของเอฟราอิมทุกคน

16 ส่วนเจ้าเอง เยเรมีย์ จงอย่าอธิษฐานให้คนเหล่านี้ หรือส่งเสียงร้องหรืออธิษฐานให้พวกเขา และอย่าอธิษฐานต่อเราแทนพวกเขา เพราะเราจะไม่ฟังเจ้า 17 เจ้าไม่เห็นหรือว่า พวกเขากำลังทำอะไรในเมืองของยูดาห์และที่ถนนของเยรูซาเล็ม 18 พวกเด็กๆ รวบรวมกิ่งไม้ พ่อๆ ก็ติดไฟ พวกผู้หญิงนวดแป้งเพื่อทำขนมให้ราชินีแห่งสวรรค์[i] และพวกเขารินเครื่องดื่มบูชาแก่ปวงเทพเจ้าเพื่อจะยั่วโทสะเรา 19 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เราน่ะหรือที่พวกเขายั่วโทสะ ไม่ใช่พวกเขาหรอกหรือที่ทำให้อับอายกันเอง 20 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ฉะนั้น ดูเถิด ความกริ้วและการลงโทษของเราจะหลั่งลงบนที่แห่งนี้ บนมนุษย์และสัตว์ป่า บนต้นไม้ในไร่นาและผลที่ได้จากพื้นดิน มันจะลุกไหม้และไม่มีใครดับมันได้”

21 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ “จงใช้เครื่องสักการะของเจ้ากับสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย แล้วพวกเจ้าก็กินเนื้อสัตว์เองด้วยเลย 22 เพราะในวันที่เรานำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เราไม่ได้บอกบรรพบุรุษของเจ้า หรือบัญชาพวกเขาเรื่องสัตว์ที่เผาเป็นของถวายและเครื่องสักการะบูชา 23 แต่คำบัญชาที่เราสั่งพวกเขาก็คือ ‘จงเชื่อฟังเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นชนชาติของเรา และจงดำเนินในทุกวิถีทางที่เราบัญชาเจ้า เพื่อทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีกับพวกเจ้า’ 24 แต่พวกเขาไม่ฟังและไม่แม้แต่จะเงี่ยหูฟัง แต่ดำเนินในวิถีทางของพวกเขาเอง และจิตใจอันชั่วร้ายซึ่งมีแต่ความดื้อรั้น พวกเขาเดินถอยหลังแทนที่จะเดินหน้า 25 นับตั้งแต่วันที่บรรพบุรุษออกจากแผ่นดินอียิปต์มาจนถึงทุกวันนี้ วันแล้ววันเล่า เราได้ให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าซึ่งเป็นผู้รับใช้ของเราทุกคนมายังพวกเขาอย่างไม่หยุดยั้ง 26 แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมฟังเราหรือแม้แต่จะเงี่ยหูฟัง แต่กลับหัวแข็ง พวกเขาประพฤติเลวร้ายยิ่งกว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเสียอีก

27 ฉะนั้น เจ้าจะไปพูดให้พวกเขาฟัง แต่พวกเขาจะไม่ฟังเจ้า เจ้าจะร้องเรียกพวกเขา แต่เขาจะไม่ตอบเจ้า 28 และเจ้าจงพูดกับพวกเขาว่า ‘นี่เป็นประชาชาติที่ไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา และไม่ยอมรับการสั่งสอน เขาไม่มีความจริงอยู่อีกแล้ว มันถูกตัดออกจากริมฝีปากของพวกเขา

29 จงตัดผมของเจ้าและโยนทิ้งไป
    ร้องคร่ำครวญที่เนินเขาสูง
เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิเสธ
    และทอดทิ้งยุคที่พระองค์กริ้ว’”

หุบเขาแห่งการประหาร

30 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “เพราะบรรดาบุตรแห่งยูดาห์ได้กระทำความชั่วในสายตาของเรา พวกเขาได้ตั้งสิ่งที่น่าชังของพวกเขาไว้ในตำหนักซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นของเรา และทำให้ที่นั้นเป็นมลทิน 31 และพวกเขาได้สร้างแท่นบูชาที่สถานบูชาบนภูเขาสูงแห่งโทเฟท ซึ่งอยู่ในหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนม ใช้ไฟเผาบรรดาบุตรชายบุตรหญิง ซึ่งเราไม่ได้บัญชาให้ทำ หรือแม้แต่จะคิด 32 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ดูเถิด ใกล้จะถึงเวลาที่จะไม่มีชื่อว่า โทเฟท อีกแล้ว หรือหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนม แต่จะเป็นหุบเขาแห่งการประหาร เพราะพวกเขาจะฝังศพในโทเฟท เพราะไม่มีที่อื่นจะฝัง 33 และศพคนตายของคนเหล่านี้จะเป็นอาหารของพวกนกในอากาศ และของสัตว์ป่าบนแผ่นดิน และจะไม่มีใครทำให้พวกสัตว์ตกใจหนีไป 34 และเราจะทำให้เสียงยินดีและเบิกบานใจ เสียงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในเมืองต่างๆ ของยูดาห์และที่ถนนของเยรูซาเล็มยุติลง เพราะแผ่นดินจะกลายเป็นที่ร้าง

พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ในเวลานั้น กระดูกของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ ของผู้นำ ของปุโรหิต ของผู้เผยคำกล่าว และของบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม จะถูกนำออกมาจากถ้ำของพวกเขา และจะถูกโยนในที่แจ้งใต้แสงอาทิตย์ แสงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้าซึ่งพวกเขารักและได้นมัสการ ซึ่งพวกเขาได้ติดตาม แสวงหาและนมัสการ และจะไม่มีใครเก็บหรือฝังกระดูกพวกนั้น แต่จะเป็นอย่างอุจจาระบนพื้นดิน พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศว่า ทุกคนในตระกูลที่ชั่วร้ายนี้ยังมีชีวิตเหลืออยู่ ซึ่งอาศัยอยู่ในทุกแห่งที่เราได้ไล่ให้ออกไป อยากจะตายมากกว่ามีชีวิตอยู่อีก”

บาปและโทษ

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “เจ้าจงพูดกับพวกเขาว่า

เมื่อคนล้มลง เขาไม่ลุกขึ้นอีกหรือ
    ถ้าผู้ใดหันจากไป เขาจะไม่กลับมาหรือ
แล้วทำไมประชาชนพวกนี้
    จึงหันเหไปอย่างไม่กลับมา
พวกเขายึดอยู่ในความลวงหลอก
    และไม่ยอมหันกลับมา
เราได้ใส่ใจและฟัง
    แต่พวกเขาไม่ได้พูดให้ถูกต้อง
ไม่มีใครสักคนที่สารภาพความชั่วร้ายของตนว่า
    ‘ข้าพเจ้าทำอะไรผิดหรือ’
ทุกคนต่างก็เดินไปตามวิถีทางของตน
    เหมือนม้าที่รีบรุดเข้าต่อสู้
แม้แต่นกกระสาในอากาศ
    ก็ยังรู้จักวาระของมัน
และนกเขา นกนางแอ่น และนกกระเรียน
    ก็รอจังหวะการมาของมัน
แต่ชนชาติของเราไม่รู้จัก
    คำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า

พวกเจ้าพูดได้อย่างไรว่า ‘พวกเราเรืองปัญญา
    และกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าอยู่กับพวกเรา’
แต่ดูเถิด บรรดาผู้คัดลอกข้อความร่างกฎที่จอมปลอม
    เพื่อให้เป็นสิ่งเท็จ
พวกเรืองปัญญานั้นจะรับความอับอาย
    พวกเขาจะตกใจกลัวและติดกับดัก
ดูเถิด พวกเขาไม่ยอมรับคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
    ฉะนั้นพวกเขามีสติปัญญาอย่างไร
10 ฉะนั้นเราจะมอบภรรยาของพวกเขาให้แก่คนอื่น
    และให้ไร่นาของพวกเขาแก่บรรดาผู้มาแทนที่เขา
เพราะนับตั้งแต่ผู้ด้อยสุดจนถึงผู้มีอำนาจมากที่สุด
    ทุกคนโลภเพราะหวังผลประโยชน์ของตนเอง
และนับตั้งแต่ผู้เผยคำกล่าวจนถึงปุโรหิต
    ทุกคนไม่ซื่อสัตย์
11 พวกเขาทำราวกับว่า ปัญหาของบุตรหญิงของชนชาติเราไม่ร้ายแรง
    จึงได้พูดว่า ‘มีสันติสุข มีสันติสุข’
    ทั้งๆ ที่ไม่มีสันติสุข
12 พวกเขารู้สึกอับอายเมื่อเขาประพฤติสิ่งที่น่าชังหรือ
    ไม่เลย พวกเขาไม่รู้สึกอับอาย
    แม้แต่สีหน้าก็ยังไม่แสดงความอับอาย
ฉะนั้น พวกเขาจะพินาศร่วมกับคนเหล่านั้นที่พินาศ
    เมื่อเราทำโทษพวกเขา พวกเขาก็จะถึงจุดจบ”
    พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น

13 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“เมื่อเราจะรวบรวมพวกเขาดั่งเก็บผลองุ่น
    เราจะไม่พบองุ่นที่เถา
และไม่มีลูกมะเดื่อบนต้นมะเดื่อ
    แม้แต่ใบก็เหี่ยวเฉา
และสิ่งที่เรามอบให้แก่พวกเขา
    ก็จะถูกริบไปจากพวกเขา”

14 แล้วพวกเราจะนั่งเฉยอยู่ทำไม
    เรามารวมพวกกัน
เราไปยังเมืองที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่งกันเถิด
    และไปตายกันที่นั่นเสียเลย
เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราลงโทษให้พวกเราตาย
    และได้ให้น้ำเป็นพิษแก่เราดื่ม
    เพราะพวกเราทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า
15 พวกเรามองหาสันติสุข
    แต่ไม่เห็นว่ามีอะไรดี
เราหวังว่าจะหายจากโรคภัย
    แต่ดูเถิด มีสิ่งที่ทำให้ต้องกลัว

16 “เสียงม้าร้องดังไปถึงเมืองดาน
    ทั้งแผ่นดินสั่นสะเทือน
    เมื่อม้าตัวผู้สำหรับทำพันธุ์ส่งเสียงร้อง
มันมาเหยียบย่ำแผ่นดินจนทุกสิ่งเสียหายยับเยิน
    ทั้งตัวเมืองและผู้อยู่อาศัยด้วย
17 ดูเถิด เรากำลังให้งูมาอยู่ในหมู่พวกเจ้า
    งูพิษที่ไม่สามารถถูกร่ายมนต์ได้
    และพวกมันจะกัดพวกเจ้า”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

เยเรมีย์ระทมใจเพราะชนชาติของตน

18 ความยินดีของข้าพเจ้าหมดสิ้นไป
    ข้าพเจ้าระทมใจ
19 ดูเถิด เสียงร้องของบุตรหญิงของประชาชนของข้าพเจ้า
    มาจากทุกแห่งหนของแผ่นดินว่า
พระผู้เป็นเจ้าไม่อยู่ในศิโยนหรือ
    กษัตริย์ไม่อยู่ในนั้นหรือ”
“ทำไมพวกเขาจึงยั่วโทสะเราด้วยรูปเคารพสลัก
    และด้วยรูปเคารพต่างชาติซึ่งไร้ค่า”
20 “ฤดูเก็บเกี่ยวผ่านไปแล้ว
    หมดฤดูร้อนแล้ว
    และพวกเรายังไม่รอดเลย”
21 ใจของบุตรหญิงของประชาชนของข้าพเจ้าแตกสลาย ใจข้าพเจ้าก็แตกสลาย
    ข้าพเจ้าเศร้าโศกและท้อใจเป็นที่สุด

22 ไม่มียาทาแผลในกิเลอาดหรือ
    ไม่มีแพทย์ที่นั่นหรือ
แล้วทำไมสุขภาพของบุตรหญิง
    ของประชาชนของข้าพเจ้าไม่ดีดังเดิมเล่า
โอ อยากให้ศีรษะข้าพเจ้าเป็นแอ่งน้ำ
    และดวงตาข้าพเจ้าเป็นน้ำพุของน้ำตา
ข้าพเจ้าจะได้ร้องไห้ทั้งวันและคืน
    ที่บุตรหญิงของประชาชนของข้าพเจ้าถูกฆ่าตาย
โอ ข้าพเจ้าอยากจะมีที่พัก
    สำหรับค้างแรมในทะเลทราย
จะได้ปล่อยประชาชนไว้
    และไปจากพวกเขา
เพราะพวกเขาทุกคนผิดประเวณี
    เป็นกลุ่มชนที่ไม่ภักดี
“พวกเขางอลิ้นได้อย่างคันธนู
    ความจอมปลอมซึ่งไร้ความจริงเกิดขึ้นทั่วแผ่นดิน
ด้วยว่าพวกเขาทำความชั่วเรื่อยไป
    และพวกเขาไม่รู้จักเรา”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“ให้ทุกคนระวังเพื่อนบ้านของตน
    อย่าไว้ใจพี่น้องคนใด
เพราะพี่น้องทุกคนเป็นผู้หลอกลวง
    และเพื่อนบ้านทุกคนพูดว่าร้ายคนอื่น
ทุกคนหลอกลวงเพื่อนบ้านของตน
    ไม่มีผู้ใดพูดความจริง
พวกเขาชำนาญในการพูดเท็จ
    และทำบาปอย่างไม่หยุดหย่อน
กดขี่ข่มเหงและหลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำอีก
    พวกเขาไม่ยอมรู้จักเรา”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้

“ดูเถิด เราจะหลอมพวกเขาอย่างโลหะและทดสอบพวกเขา
    เพราะชนชาติของเราทำความชั่ว
    เราจะทำอะไรต่อพวกเขาอีก
ลิ้นของพวกเขาเป็นเหมือนลูกธนูมีพิษ
    พูดลวงหลอก
เขาแต่ละคนใช้ปากพูดอย่างสันติกับเพื่อนบ้าน
    แต่ในใจก็วางแผนให้เขาติดกับดัก

พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

เราควรจะลงโทษพวกเขาเพราะเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ
    และเราควรจะแก้แค้นประชาชาติที่เป็นอย่างนี้มิใช่หรือ

10 เราจะร้องไห้และคร่ำครวญให้แก่เทือกเขา
    และร้องคร่ำครวญให้แก่ทุ่งหญ้าในถิ่นทุรกันดาร
เพราะมันกลายเป็นที่รกร้างจนไม่มีผู้ใดผ่านไป
    และไม่มีเสียงฝูงโคส่งเสียงร้องถึงกันและกัน
ทั้งนกในอากาศและสัตว์ป่า
    หนีไปกันหมดแล้ว
11 เราจะทำให้เยรูซาเล็มเป็นกองซากปรักหักพัง
    เป็นที่อยู่ของหมาใน
และเราจะทำให้เมืองต่างๆ ของยูดาห์เป็นที่รกร้าง
    ปราศจากผู้อยู่อาศัย”

12 ใครเป็นผู้เรืองปัญญาที่อาจจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวให้ใครฟัง เพื่อให้เป็นผู้ประกาศเรื่องดังกล่าว ทำไมแผ่นดินจึงเสียหายและรกร้างเหมือนถิ่นทุรกันดาร จนถึงกับไม่มีผู้ใดผ่านไป

13 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “เพราะพวกเขาได้ทอดทิ้งกฎบัญญัติที่เราตั้งให้พวกเขาปฏิบัติตาม และเขาไม่ได้เชื่อฟังเรา หรือดำเนินตามกฎ 14 แต่ดื้อรั้นทำตามใจตนเอง และไปติดตามเทพเจ้าบาอัล อย่างที่บรรพบุรุษได้สอนพวกเขา 15 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะให้อาหารขมแก่ชนชาตินี้รับประทาน และให้น้ำมีพิษแก่พวกเขาดื่ม 16 เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ซึ่งพวกเขาและบรรพบุรุษของเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน และเราจะให้พวกเขาต้องเจอกับสงคราม จนกว่าเราจะทำลายพวกเขาจนหมดสิ้น”

17 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ว่า

“จงพิจารณาดู และเรียกพวกผู้หญิงที่ร้องไห้คร่ำครวญให้มาเถิด
    ให้พวกผู้หญิงที่ร้องไห้เป็นอาชีพมา
18 ให้พวกเขารีบมาและส่งเสียงร้องรำพันให้กับพวกเรา
    ให้น้ำตาพวกเราหลั่งไหล
    จนเปลือกตาเปียกชุ่ม
19 เสียงร้องรำพันจากศิโยนเป็นที่ได้ยิน
    ‘พวกเรายับเยินอะไรเช่นนี้
    น่าอับอายเหลือเกิน
ด้วยว่า พวกเราได้ออกไปจากแผ่นดิน
    เพราะพวกเขาพังที่อยู่ของพวกเราลงแล้ว’”

20 โอ พวกผู้หญิงเอ๋ย จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
    และให้หูของท่านรับฟังคำกล่าวที่ออกจากปากของพระองค์
จงสอนบรรดาบุตรหญิงของท่านให้ร้องคร่ำครวญ
    และสอนเพื่อนบ้านของแต่ละคนให้ร้องเพลงเศร้า
21 เพราะความตายได้ขึ้นมายังหน้าต่างของพวกเรา
    มันได้เข้ามาในวังของพวกเรา
ความตายได้มาถึงพวกเด็กๆ ที่ถนน
    และมาถึงชายหนุ่มที่ลานชุมนุม

22 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า จงพูดตามนี้

“ร่างมนุษย์จะล้มตาย
    อย่างอุจจาระบนทุ่งโล่ง
อย่างฟ่อนข้าวตกข้างหลังผู้เก็บเกี่ยว
    และจะไม่มีใครเก็บรวบรวมมันขึ้นมาอีก”

23 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “อย่าให้ผู้เรืองปัญญาโอ้อวดถึงสติปัญญาของเขา อย่าให้ผู้มีอำนาจโอ้อวดถึงอำนาจของเขา อย่าให้ผู้มั่งมีโอ้อวดถึงความมั่งมีของเขา 24 แต่ผู้ที่โอ้อวด ก็จงให้เขาโอ้อวดถึงเรื่องนี้คือ เขาเข้าใจและรู้จักเราว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า[j] ผู้แสดงความรักอันมั่นคง ความยุติธรรม และความชอบธรรมในแผ่นดินโลก เพราะเราชื่นชอบสิ่งเหล่านี้” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

25 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “ดูเถิด จะถึงวันที่เราจะลงโทษทุกคนที่เข้าสุหนัตแต่เพียงร่างกายเท่านั้น 26 อียิปต์ ยูดาห์ เอโดม บรรดาบุตรของอัมโมน โมอับ และทุกคนที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายที่ตัดผมที่จอนหู เพราะประชาชาติทั้งปวงไม่เข้าสุหนัต และใจของพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดไม่ได้เข้าสุหนัต”

รูปเคารพและพระเจ้าผู้มีชีวิต

10 โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังคำที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่พวกท่าน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า

“อย่าเลียนแบบวิถีทางของบรรดาประชาชาติ
    หรือตกใจกับหมายสำคัญในฟ้าสวรรค์
    เพราะบรรดาประชาชาติตกใจกับสิ่งเหล่านั้น
เพราะพิธีกรรมของบรรดาชนชาติไร้ค่า
    ต้นไม้ถูกโค่นในป่า
    ถูกขวานแกะสลักด้วยมือของช่างผู้ชำนาญ
พวกเขาใช้เงินและทองคำประดับรูปเคารพ
    และใช้ค้อนและตะปูประกอบเข้าด้วยกัน
    เพื่อไม่ให้ขยับเขยื้อนได้
รูปเคารพของพวกเขาเป็นเหมือนหุ่นไล่กาในสวนแตงกวา
    พูดไม่ได้
และต้องให้คนแบก
    เพราะเดินไม่ได้
อย่ากลัวสิ่งเหล่านั้น
    เพราะรูปเคารพพวกนั้นกระทำอันตรายไม่ได้
    และจะกระทำสิ่งดีๆ ก็ไม่ได้เช่นกัน”

โอ พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีผู้ใดที่เป็นเหมือนพระองค์
    พระองค์ยิ่งใหญ่ และพระนามของพระองค์มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่
โอ กษัตริย์ของบรรดาประชาชาติ
    มีผู้ใดบ้างที่ไม่เกรงกลัวพระองค์
    สมควรที่พระองค์จะได้รับการยกย่อง
เพราะในบรรดาผู้เรืองปัญญาทุกคนของบรรดาประชาชาติ
    และในอาณาจักรทั้งปวงของพวกเขา
    ไม่มีผู้ใดที่เป็นเหมือนพระองค์
พวกเขาทุกคนทั้งเบาปัญญา และโง่เขลา
    ได้รับการสั่งสอนจากรูปเคารพไม้ที่ไร้ค่า
เงินที่ชุบก็มาจากทาร์ชิช
    และทองคำมาจากอุฟาส
เป็นผลงานของช่างผู้ชำนาญและจากมือของช่างตีเหล็ก
    ใช้ผ้าสีน้ำเงินและสีม่วงตกแต่งเป็นเสื้อผ้า
    ล้วนแต่เป็นผลงานของช่างผู้ชำนาญ
10 แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าที่แท้จริง
    พระองค์เป็นพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่และกษัตริย์ผู้คงอยู่ชั่วนิรันดร์
เมื่อพระองค์กริ้ว แผ่นดินโลกก็สั่นสะท้าน
    และบรรดาประชาชาติไม่สามารถทนต่อความโกรธของพระองค์ได้

11 “ฉะนั้น เจ้าจงพูดกับพวกเขาว่า บรรดาเทพเจ้าที่ไม่ได้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก จะตายไปจากแผ่นดินโลกและจากใต้ฟ้าสวรรค์”[k]

12 พระองค์เป็นผู้สร้างแผ่นดินโลกด้วยอานุภาพของพระองค์
    ผู้สร้างโลกด้วยสติปัญญาของพระองค์
    และแผ่ฟ้าสวรรค์ออกด้วยความเข้าใจของพระองค์
13 เมื่อพระองค์ส่งเสียง ก็มีเสียงคำรามในฟ้าสวรรค์
    และพระองค์สร้างเมฆให้ลอยขึ้นจากสุดมุมโลก
พระองค์สร้างให้มีสายฟ้าแลบเมื่อมีฝน
    และให้มีลมโบกจากแหล่งเก็บลม

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation