Bible in 90 Days
14 มนุษย์ทุกคนเบาปัญญาและไร้ความรู้
ช่างตีเหล็กทุกคนจะอับอายก็เพราะรูปเคารพของเขา
เพราะรูปที่เขาหล่อขึ้นนั้นจอมปลอม
และไม่มีลมหายใจ
15 รูปเหล่านั้นไร้ค่าและเป็นที่ดูแคลน
และจะถูกทำลายเมื่อถึงเวลาพิพากษาโทษ
16 องค์ผู้ที่ยาโคบนมัสการไม่เป็นเหมือนสิ่งเหล่านี้
เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง
และอิสราเอลเป็นเผ่าพันธุ์ของผู้สืบมรดกของพระองค์
พระองค์มีพระนามว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา
17 ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ถูกล้อมเอ๋ย
จงเก็บข้าวของของพวกท่านเถิด
18 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
“ดูเถิด เรากำลังจะโยนบรรดาผู้อยู่อาศัย
ในแผ่นดินออกไปในเวลานี้
และเราจะทำให้พวกเขาเป็นทุกข์
เพื่อพวกเขาจะได้รู้สึก”
19 วิบัติเกิดแก่ข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าเจ็บปวด
บาดแผลของข้าพเจ้ารักษาไม่หาย
ข้าพเจ้ายังจะพูดกับตัวเองว่า
นี่เป็นความทุกข์ทรมานของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าต้องทน
20 กระโจมของข้าพเจ้าพังยับเยิน
เชือกผูกกระโจมก็ขาด
ลูกๆ ของข้าพเจ้าต่างก็ไปจากข้าพเจ้าแล้ว
ไม่มีใครตั้งกระโจม
และที่กำบังให้ข้าพเจ้าอีก
21 เพราะบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะเบาปัญญา
และไม่ขอความเห็นจากพระผู้เป็นเจ้า
ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เจริญรุ่งเรือง
และฝูงแกะของพวกเขากระจัดกระจายไป
22 ดูเถิด จงฟังเสียงอึกทึก
ที่มาจากดินแดนทางทิศเหนือ
เขาจะทำให้เมืองของยูดาห์กลายเป็นที่รกร้าง
เป็นที่อยู่ของหมาใน
23 โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าทราบว่าชีวิตของมนุษย์ไม่ได้เป็นของเขาเอง
เขาไม่สามารถจัดการชีวิตในทุกขั้นตอนได้
24 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดแก้ไขข้าพเจ้าด้วย
แต่ไม่ใช่จากความโกรธของพระองค์
ขอโปรดให้ความเป็นธรรม
มิฉะนั้น พระองค์จะทำให้ชีวิตข้าพเจ้าสูญสิ้นไป
25 ขอพระองค์กระหน่ำการลงโทษลงบนบรรดาประชาชาติ
ที่ไม่รู้จักพระองค์
บนตระกูลทั้งหลายที่ไม่ร้องเรียกพระนามของพระองค์
เพราะพวกเขาได้กลืนกินพงศ์พันธุ์ยาโคบ
ทำให้พวกเขาพินาศ
และทำให้บ้านเมืองเป็นที่รกร้าง[a]
ไม่รักษาพันธสัญญา
11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ว่า 2 “จงฟังคำที่กล่าวในพันธสัญญานี้ และจงพูดกับผู้คนของยูดาห์และบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม 3 เจ้าจงพูดกับพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ ‘คำสาปแช่งจะตกอยู่กับผู้ที่ไม่ฟังคำกล่าวในพันธสัญญานี้ 4 ซึ่งเราได้บัญชาแก่บรรพบุรุษของพวกเจ้า เมื่อเรานำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากเตาผิงเหล็ก[b] เราบอกพวกเขาว่า จงเชื่อฟังเรา และทำตามทุกสิ่งที่เราบัญชาพวกเจ้า เพื่อให้พวกเจ้าเป็นชนชาติของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า 5 เพื่อเราจะรักษาสัญญาที่เราได้ปฏิญาณกับบรรพบุรุษของพวกเจ้า เพื่อมอบแผ่นดินที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้’” แล้วข้าพเจ้าตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เป็นไปตามนั้นเถิด”
6 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงประกาศคำกล่าวนี้ในเมืองทั้งหลายของยูดาห์และที่ถนนของเยรูซาเล็มว่า จงฟังคำที่กล่าวในพันธสัญญานี้และปฏิบัติตาม 7 เพราะเราได้เตือนบรรพบุรุษของพวกเจ้าล่วงหน้าอย่างจริงจัง เมื่อเรานำพวกเขาขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ เราเตือนพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกมาจนถึงทุกวันนี้ เราบอกว่าให้เชื่อฟังเรา 8 พวกเขาก็ยังไม่ฟังและไม่แม้แต่จะเงี่ยหูฟัง แต่ทุกคนยังดื้อรั้นกระทำตามใจอันชั่วร้ายของตน ฉะนั้นเราจึงให้คำสาปแช่งเกิดแก่พวกเขา ตามพันธสัญญาที่เราบัญชาพวกเขาให้ปฏิบัติ แต่พวกเขาก็ยังไม่ทำตาม”
9 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าอีกว่า “ผู้คนของยูดาห์และบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มมีแผนการร้าย 10 พวกเขาได้กลับไปทำความชั่วเหมือนบรรพบุรุษของพวกเขาที่ไม่ยอมฟังคำของเรา พวกเขาไปติดตามปวงเทพเจ้าเพื่อบูชาสิ่งเหล่านั้น พงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์ละเมิดพันธสัญญาของเราที่เราได้ทำกับบรรพบุรุษของพวกเขา” 11 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เรากำลังนำความพินาศมาสู่พวกเขา และเขาจะหนีไม่พ้น แม้จะร้องเรียกถึงเรา เราก็จะไม่ฟังพวกเขา 12 แล้วเมืองทั้งหลายของยูดาห์และบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มจะไปร้องต่อปวงเทพเจ้าที่พวกเขาเผาเครื่องหอมเพื่อบูชา แต่เทพเจ้าจะไม่สามารถช่วยพวกเขาให้รอดในยามที่พวกเขาทุกข์ร้อน 13 ด้วยว่าเทพเจ้าของพวกเจ้ามีมากเท่ากับเมืองของพวกเจ้า โอ ยูดาห์เอ๋ย แท่นบูชาที่พวกเจ้าได้สร้างขึ้นเพื่อเผาเครื่องหอมแก่เทพเจ้าบาอัลที่น่าอับอาย มีจำนวนมากเท่ากับถนนของเยรูซาเล็ม
14 ฉะนั้น อย่าอธิษฐานให้แก่ชนชาตินี้ หรือส่งเสียงร้องหรืออธิษฐานแทนพวกเขา เพราะเราจะไม่ฟังเมื่อพวกเขาร้องเรียกถึงเราในยามที่พวกเขาทุกข์ร้อน 15 ผู้เป็นที่รักของเรามีสิทธิ์อะไรในตำหนักของเรา เมื่อนางได้เตรียมทำความชั่วมากมาย เนื้อสัตว์ที่เป็นเครื่องสักการะจะช่วยเจ้าให้พ้นจากความวิบัติได้หรือ แล้วเจ้าชื่นชมยินดีได้หรือ 16 พระผู้เป็นเจ้าเคยเรียกเจ้าว่า ‘ต้นมะกอกเขียวชอุ่ม งามและมีลูกดก’ แต่ด้วยเสียงคำรามของฟ้าร้อง เราจะทำให้ไฟลุก และกิ่งก้านจะถูกเผาไหม้ 17 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาเป็นผู้ปลูกเจ้า ได้ออกคำสั่งให้เจ้าได้รับความทุกข์ร้อนเพราะสิ่งชั่วร้ายที่พงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์ได้กระทำ พวกเขายั่วโทสะเราด้วยการมอบของถวายแก่เทพเจ้าบาอัล”
18 พระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้ารับทราบและข้าพเจ้าก็ทราบ แล้วพระองค์ชี้ให้ข้าพเจ้าเห็นการกระทำของพวกเขา 19 แต่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกแกะเชื่องที่ถูกนำไปประหาร ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าพวกเขาวางแผนโจมตีข้าพเจ้า พวกเขาพูดว่า
“เรามากำจัดต้นไม้ที่มีลูกเถิด
เรามาโค่นเขาให้ออกไปจากดินแดนของคนเป็นเถิด
จะได้ไม่มีใครจำเขาได้อีกต่อไป”
20 แต่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ตัดสินด้วยความชอบธรรม
ผู้ทดสอบจิตใจและความคิด
ขอให้ข้าพเจ้าเห็นพระองค์แก้แค้นพวกเขาเถิด
เพราะข้าพเจ้าได้มอบเรื่องนี้ไว้กับพระองค์แล้ว
21 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงปวงชนของอานาโธทดังนี้ว่า “พวกเขาต้องการจะฆ่าเจ้า และพวกเขาพูดว่า ‘อย่าเผยคำกล่าวของพระเจ้าในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า มิฉะนั้นพวกเราจะฆ่าท่าน’” 22 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ดูเถิด เราจะลงโทษพวกเขา พวกคนหนุ่มจะถูกดาบฆ่าตาย บุตรชายบุตรหญิงของพวกเขาจะอดตาย 23 และจะไม่มีผู้ใดมีชีวิตเหลืออยู่ เพราะเราจะทำให้ผู้คนของอานาโธทพินาศ ซึ่งนับว่าเป็นปีแห่งการลงโทษของพวกเขา”
เยเรมีย์ร้องทุกข์
12 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์มีความชอบธรรมเสมอ
เมื่อข้าพเจ้าร้องทุกข์ต่อพระองค์
ข้าพเจ้ายังจะพูดกับพระองค์ถึงความเป็นธรรมของพระองค์
เหตุใดวิถีทางของคนชั่วจึงเจริญรุ่งเรือง
เหตุใดคนที่ไม่ภักดีทั้งปวงจึงใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย
2 พระองค์ปลูกพวกเขา และพวกเขาก็งอกราก
เติบโต และออกผล
พวกเขาพูดถึงพระองค์เสมอ
แต่จิตใจของพวกเขาห่างไกลจากพระองค์
3 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์รู้จักข้าพเจ้า
พระองค์เห็นข้าพเจ้า และทดสอบจิตใจข้าพเจ้าที่มีต่อพระองค์
ขอพระองค์แยกพวกเขาออกมาเหมือนแกะที่จะถูกประหาร
และเตรียมพวกเขาไว้สำหรับวันประหาร
4 แผ่นดินจะแห้งผาก
และหญ้าในทุ่งทุกแห่งจะเหี่ยวเฉานานแค่ไหน
เพราะพวกที่อาศัยอยู่ที่นั่นชั่วร้าย
สัตว์ป่าและนกตายสิ้น
พวกเขาก็ยังพูดอีกว่า
“พระองค์จะไม่เห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเรา”
พระผู้เป็นเจ้าตอบเยเรมีย์
5 “ถ้าหากว่าเจ้าแข่งขันเดินกับมนุษย์
และพวกเขาทำให้เจ้าอ่อนล้า
แล้วเจ้าจะแข่งกับม้าได้อย่างไร
และถ้าเจ้าวางใจขณะที่อยู่ในแผ่นดินที่ปลอดภัย
แล้วเจ้าจะทำอย่างไรในพุ่มไม้ทึบของจอร์แดน
6 เพราะแม้แต่ญาติพี่น้องและคนในครอบครัวของเจ้าเอง
กระทำต่อเจ้าอย่างโหดร้าย
และร้องเสียงลั่นไล่ตามหลังเจ้า
แม้ว่าพวกเขาพูดกับเจ้าด้วยความเป็นมิตร
ก็จงอย่าเชื่อพวกเขา
7 เราได้ทอดทิ้งที่พำนักของเราเอง
เราได้ละทิ้งมรดกของเรา
เราได้มอบผู้เป็นที่รักดั่งชีวิตจิตใจของเรา
ไว้ในมือของพวกศัตรูของนาง
8 ผู้สืบมรดกของเราได้กลายเป็น
ดั่งสิงโตในป่า
นางได้ส่งเสียงร้องโจมตีเรา
เราจึงเกลียดชังนาง
9 ผู้สืบมรดกของเรา
เป็นเหมือนแร้งมีจุดตัวหนึ่ง
ที่ถูกพวกแร้งชนิดอื่นรุมล้อมและจิกมิใช่หรือ
จงไปรวบรวมสัตว์ป่าทั้งปวงมา
พาพวกมันมากินเสีย
10 ผู้เลี้ยงดูฝูงแกะหลายคนได้ทำให้สวนองุ่นของเราเสียหาย
พวกเขาได้เหยียบย่ำไร่ของเรา
และทำให้ไร่อันน่าชื่นชมของเรา
เป็นถิ่นทุรกันดารอันรกร้าง
11 พวกเขาทำให้ไร่นั้นรกร้าง
มันรกร้างอยู่เบื้องหน้าเรา
ทั่วทั้งแผ่นดินถูกทำให้เป็นที่รกร้าง
แต่ก็ยังไม่มีใครใส่ใจ
12 ผู้คนมาปล้นทุกแห่ง
บนที่สูงในทะเลทราย
เพราะพระผู้เป็นเจ้ากระตุ้นให้เกิดการสู้รบ
จากสุดแผ่นดินโลกด้านหนึ่งจนถึงอีกด้านหนึ่ง
ไม่มีใครอยู่อย่างสันติได้
13 พวกเขาหว่านข้าวสาลีแต่เก็บเกี่ยวหนาม
พวกเขาเหน็ดเหนื่อยแต่ไม่ได้ผลประโยชน์เลย
พวกเขาจะอับอายกับผลที่เก็บเกี่ยวได้
เพราะความกริ้วอันร้อนแรงของพระผู้เป็นเจ้า”
14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “เพื่อนบ้านชั่วร้ายของเราทุกคนที่ยึดมรดกซึ่งเราได้มอบให้แก่อิสราเอลชนชาติของเรา เราจะกำจัดพวกเขาไปจากแผ่นดินของพวกเขาอย่างถอนรากต้นไม้ และเราจะถอนรากพงศ์พันธุ์ยูดาห์ให้ออกมาจากพวกเขา 15 หลังจากที่เราได้ถอนรากพวกเขาออกมาแล้ว เราจะมีเมตตาต่อพวกเขา และเราจะนำพวกเขากลับมายังที่ซึ่งเป็นมรดกของเขาเอง และยังแผ่นดินของเขา 16 หลังจากนั้น ถ้าพวกเขาจะเรียนตามวิถีทางของชนชาติของเรา และสาบานในนามของเราว่า ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด’ ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาสอนชนชาติของเราให้สาบานในนามของเทพเจ้าบาอัล และพวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของชนชาติของเราและจะเจริญรุ่งเรือง 17 แต่ถ้าประชาชาติใดไม่ฟัง เราก็จะถอนรากของเขาออกและทำให้เขาพินาศโดยสิ้นเชิง” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
ผ้าป่านคาดเอว
13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “จงไปซื้อผ้าป่านมาคาดเอวเจ้า อย่าจุ่มผ้าลงในน้ำ” 2 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงซื้อผ้ามาคาดเอวข้าพเจ้าตามคำของพระผู้เป็นเจ้า 3 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าเป็นครั้งที่สองว่า 4 “จงไปที่แม่น้ำยูเฟรติส และเอาผ้าคาดเอวที่เจ้าได้ซื้อและคาดรอบเอวเจ้าอยู่ เอาไปซ่อนที่นั่นในซอกหิน” 5 ข้าพเจ้าจึงไปซ่อนมันไว้ที่ข้างแม่น้ำยูเฟรติสดังที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาข้าพเจ้า 6 หลายวันต่อมาพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “จงไปที่แม่น้ำยูเฟรติส นำผ้าคาดเอวที่เราบัญชาให้เจ้าซ่อนไว้ที่นั่นมา” 7 และข้าพเจ้าไปที่แม่น้ำยูเฟรติส ค้นหาผ้าคาดเอว และนำมาจากที่ข้าพเจ้าได้ซ่อนไว้ และดูเถิด ผ้าคาดเอวผืนนั้นขาดยุ่ยเสียแล้ว จะใช้ทำอะไรก็ไม่ได้
8 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้า 9 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “เราจะทำให้ความจองหองของยูดาห์และความหยิ่งจองหองของเยรูซาเล็มสูญสิ้นไปอย่างนั้น 10 ชนชาติชั่วร้ายนี้ไม่ยอมฟังคำของเรา ดื้อรั้นกระทำตามใจของพวกเขาเอง และไปติดตามปวงเทพเจ้าเพื่อบูชาและนมัสการสิ่งเหล่านั้น ก็จะเป็นอย่างผ้าคาดเอวผืนนี้ที่ใช้ทำอะไรไม่ได้ 11 เพราะอย่างที่ผ้าคาดเอวแนบอยู่กับเอวเช่นไร เราทำให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์ทั้งสิ้นแนบอยู่กับเราเช่นนั้น” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “เพื่อจะให้พวกเขาเป็นชนชาติของเรา เป็นชื่อ คำสรรเสริญ และความสง่างามของเรา แต่พวกเขาจะไม่ยอมฟัง
โถเหล้าองุ่น
12 เจ้าจงไปพูดกับพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ ‘โถทุกใบจะบรรจุด้วยเหล้าองุ่น’ และพวกเขาจะพูดกับเจ้าว่า ‘พวกเราไม่ทราบหรอกหรือว่า โถทุกใบจะบรรจุด้วยเหล้าองุ่น’ 13 และเจ้าจะพูดตอบพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะให้บรรดาผู้อยู่อาศัยทั้งปวงของแผ่นดินนี้เมามายด้วยเหล้าองุ่นคือ บรรดากษัตริย์ที่นั่งบนบัลลังก์ของดาวิด บรรดาปุโรหิต บรรดาผู้เผยคำกล่าว และบรรดาผู้อยู่อาศัยทั้งปวงของเยรูซาเล็ม 14 และเราจะให้พวกเขาปะทะกันเอง แม้จะเป็นพ่อกับลูก เราจะไม่ยอมให้ความสงสาร ความกรุณา หรือความเมตตามาขัดขวางการที่เราจะให้พวกเขาพินาศไป’” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
เยเรมีย์เตือนครั้งสุดท้าย
15 จงฟังและเงี่ยหูฟังให้ดี
อย่าจองหอง
เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแล้ว
16 จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่าน
ก่อนที่พระองค์จะทำให้เกิดความมืด
ก่อนที่เท้าของท่านจะสะดุด
บนภูเขาที่กำลังสิ้นแสงอาทิตย์
และขณะที่ท่านมองหาแสงสว่าง
พระองค์ก็ทำให้มันกลายเป็นความมืดมน
และทำให้กลายเป็นความมืดทึบ
17 แต่ถ้าพวกท่านยังจะไม่ฟัง
จิตวิญญาณของข้าพเจ้าจะแอบร้องไห้
ถึงความจองหองของท่าน
ข้าพเจ้าจะร้องไห้อย่างขมขื่น
และน้ำตาจะไหลริน
เพราะฝูงแกะของพระผู้เป็นเจ้าถูกเนรเทศ
18 จงพูดกับกษัตริย์และมารดากษัตริย์ว่า
“เชิญนั่งที่ต่ำกว่าบัลลังก์
เพราะมงกุฎอันสง่างามของท่าน
ได้ตกจากศีรษะของท่านแล้ว”
19 เมืองทั้งหลายของเนเกบจะถูกปิด
และไม่มีผู้ใดจะเปิดได้อีก
คนทั่วทั้งยูดาห์ถูกเนรเทศออกไป
ถูกเนรเทศโดยสิ้นเชิง
20 จงเงยหน้าขึ้น
ดูบรรดาผู้ที่มาจากทิศเหนือ
ฝูงแกะที่น่าภูมิใจของท่าน
ที่มอบให้ท่านดูแลน่ะอยู่ไหน
21 พวกท่านจะว่าอย่างไรเมื่อบรรดาผู้ที่ท่านสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรด้วย
ได้มาเป็นหัวหน้าปกครองท่าน
ท่านจะไม่เจ็บปวดเหมือนกับ
ที่ผู้หญิงเจ็บครรภ์หรอกหรือ
22 และถ้าพวกท่านคิดในใจว่า
“ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า”
เป็นเพราะความชั่วอันมากมายของท่าน
ที่ทำให้ผ้าตอนล่างของท่านถูกถลกขึ้น
และท่านได้รับความทุกข์อย่างรุนแรง
23 ชาวคูช[c]สามารถเปลี่ยนสีผิว
หรือเสือดาวเปลี่ยนลายจุดของมันได้หรือ
ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ ท่านก็จะสามารถทำความดีได้
แม้ท่านเคยชินกับการทำความชั่ว
24 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“เราจะทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจาย
อย่างที่ลมพัดมาจากทะเลทราย
25 นี่คือส่วนที่เป็นของเจ้า
เราได้ตวงส่วนนั้นให้แก่เจ้าแล้ว
เพราะเจ้าได้ลืมเราเสียแล้ว
และวางใจในสิ่งลวงหลอก
26 เราจะเป็นผู้ที่ถลกผ้าส่วนล่างของเจ้าขึ้นปิดหน้าเจ้า
และความอับอายของเจ้าจะเป็นที่ประจักษ์
27 เราได้เห็นสิ่งที่น่ารังเกียจต่างๆ ของเจ้า
การผิดประเวณีและร้องหาคู่ของเจ้า การทำตัวเยี่ยงโสเภณี
ในไร่นาบนเนินเขา
โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย วิบัติจงเกิดแก่เจ้า
จะอีกนานแค่ไหนเจ้าจึงจะสะอาดได้”
ความอดอยาก สงคราม และโรคระบาด
14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์เรื่องความแล้งน้ำดังนี้
2 “ยูดาห์ร้องคร่ำครวญ
และประตูเมืองเศร้าสลด
พวกเขาร้องรำพันอยู่บนพื้นโลก
และเสียงร้องของเยรูซาเล็มดังขึ้น
3 บรรดาผู้สูงศักดิ์ของเมืองให้ผู้รับใช้ของเขาไปหาน้ำมา
พวกเขาก็มาถึงบ่อน้ำ แต่เห็นว่าไม่มีน้ำ
พวกเขาจึงแบกภาชนะเปล่า รู้สึกทั้งละอายใจ
และสับสน จึงคลุมศีรษะกลับมา
4 เพราะพื้นดินแห้งผาก
เนื่องจากแผ่นดินแล้งฝน
ชาวสวนละอายใจ
จึงได้คลุมศีรษะกัน
5 แม้แต่แม่กวางในทุ่งก็ยังละทิ้งลูกที่เกิดใหม่
เพราะไม่มีหญ้า
6 ลาป่ายืนบนเนินเขาสูงที่เตียน
พวกมันกระหืดกระหอบสูดลมเหมือนหมาใน
สายตาไม่ดี
เพราะไม่มีพืชผัก”
7 ถึงแม้ว่าความชั่วของพวกเราเป็นพยานฟ้องเรา
โอ พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระนามของพระองค์ โปรดช่วยด้วยเถิด
พวกเราหันเหไปจากพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า
และได้กระทำบาปต่อพระองค์
8 พระองค์เป็นความหวังของอิสราเอล
องค์ผู้ช่วยให้รอดพ้นในยามทุกข์
เหตุใดพระองค์จึงจะเป็นอย่างคนแปลกหน้าในแผ่นดิน
อย่างนักเดินทางที่พักแรมอยู่เพียงคืนเดียว
9 เหตุใดพระองค์จึงจะเป็นอย่างคนที่งงงัน
อย่างนักรบผู้เก่งกล้าที่ช่วยให้รอดไม่ได้
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ยังอยู่ท่ามกลางพวกเรา
และพวกเราได้รับเรียกว่าเป็นคนของพระองค์
โปรดอย่าจากพวกเราไป
10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงชนชาตินี้ว่า
“พวกเขาชอบเร่ร่อน
ไม่ยั้งเท้าที่ก้าวออกไป
ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับพวกเขา
บัดนี้ พระองค์จะนึกถึงความชั่วของพวกเขา
และลงโทษบาปของพวกเขา”
11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “อย่าอธิษฐานให้คนเหล่านี้เป็นสุข 12 แม้ว่าพวกเขาจะอดอาหาร เราจะไม่ได้ยินเสียงร้องของพวกเขา และถึงแม้ว่าพวกเขามอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายและเครื่องธัญญบูชา เราก็จะไม่รับ แต่เราจะให้พวกเขาสิ้นชีวิตด้วยการสู้รบ ความอดอยาก และด้วยโรคระบาด”
ผู้เผยคำกล่าวที่พูดเท็จ
13 ข้าพเจ้าจึงพูดดังนี้ว่า “พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ดูเถิด บรรดาผู้เผยคำกล่าวพูดกับพวกเขาว่า ‘พวกเจ้าจะไม่เผชิญกับการสู้รบ และจะไม่ประสบกับความอดอยาก แต่เราจะให้สถานที่นี้มีสันติสุขอย่างแน่นอน’” 14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บรรดาผู้เผยคำกล่าวกำลังเผยความเท็จในนามของเรา เราไม่ได้ส่งพวกเขาไป และไม่ได้บัญชาอะไรหรือพูดอะไรกับพวกเขา พวกเขากำลังเผยความแก่เจ้าถึงภาพนิมิตเท็จ การทำนายอันไร้ค่า และในความคิดของพวกเขาเป็นภาพลวงตา 15 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงบรรดาผู้เผยคำกล่าว ซึ่งเผยความในนามของเรา แม้เราจะไม่ได้ส่งพวกเขาไป และพวกเขาเป็นผู้ที่พูดว่า ‘การสู้รบและความอดอยากจะไม่เกิดขึ้นกับแผ่นดินนี้’ ผู้เผยคำกล่าวเหล่านั้นจะเสียชีวิตจากการสู้รบและความอดอยาก 16 และประชาชนที่ฟังพวกเขาเผยความจะถูกโยนออกไปที่ถนนของเยรูซาเล็ม และประสบกับความอดอยากและการสู้รบ ไม่มีใครฝังศพให้พวกเขาหรือภรรยา ลูกชายและลูกสาว เพราะเราจะให้พวกเขารับความชั่วร้ายจากพวกเขาเอง
17 เจ้าจงพูดกับพวกเขาดังนี้
‘ให้ข้าพเจ้าหลั่งน้ำตาทั้งวันและคืน
อย่าให้หยุดร้องไห้เลย
เพราะธิดาพรหมจารีของประชาชนของข้าพเจ้าถูกโจมตี
และบาดเจ็บแสนสาหัส
18 ถ้าข้าพเจ้าเข้าไปในไร่นา
ดูเถิด พวกเขาถูกฆ่าจากการสู้รบ
และถ้าข้าพเจ้าเข้าไปในเมือง
ดูเถิด เกิดโรคเนื่องจากความอดอยาก
เพราะทั้งผู้เผยคำกล่าวและปุโรหิตทำงานของพวกเขาต่อไป
โดยไม่รู้ว่าตนกำลังทำอะไร’”
19 พระองค์ไม่ยอมรับยูดาห์จริงๆ หรือ
พระองค์เกลียดชังศิโยนหรือ
เหตุใดพระองค์จึงได้เข่นฆ่าพวกเรา
จนกระทั่งไม่มีการรักษาให้หายขาด
เรามองหาสันติสุข แต่ไม่มีสิ่งดีอันใดเกิดขึ้น
เราหวังว่าจะหายจากโรคภัย แต่ดูเถิด มีสิ่งที่ทำให้ต้องกลัว
20 โอ พระผู้เป็นเจ้า พวกเราทราบดีถึงความชั่วร้ายของเรา
และความผิดของบรรพบุรุษของเรา
เพราะพวกเราได้กระทำบาปต่อพระองค์
21 ขอพระองค์อย่าดูหมิ่นพวกเราเพื่อพระนามของพระองค์
ขอพระองค์อย่าหลู่เกียรติบัลลังก์อันสง่างามของพระองค์
ขอพระองค์ระลึกและอย่ายกเลิกพันธสัญญาที่มีกับพวกเรา
22 มีรูปเคารพไร้ค่าของบรรดาประชาชาติใดบ้างที่โปรดให้มีฝนได้
หรือท้องฟ้าจะสามารถโปรยฝนได้หรือ
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเรา พระองค์เป็นผู้นั้นมิใช่หรอกหรือ
พวกเราตั้งความหวังในพระองค์
เพราะพระองค์เป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้
พระผู้เป็นเจ้าจะไม่เปลี่ยนใจ
15 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “แม้ว่าโมเสสและซามูเอลจะมายืนต่อหน้าเรา ใจของเราก็จะยังไม่หันเข้าหาชนชาตินี้ ให้พวกเขาไปให้พ้นหน้าเรา และปล่อยให้พวกเขาไป 2 และเมื่อพวกเขาถามเจ้าว่า ‘จะให้พวกเราไปไหน’ เจ้าจงตอบพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า
ผู้ที่ถูกกำหนดให้ตายก็จะต้องตาย
ผู้ที่ถูกกำหนดให้สู้รบก็จะออกไปสู้รบ
ผู้ที่ถูกกำหนดให้อดอยากก็จะอดอยาก
และผู้ที่ถูกกำหนดให้เป็นเชลยก็จะเป็นเชลย’”
3 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “เราจะกำหนด 4 สิ่งให้ทำลายพวกเขาคือ ให้ถูกฆ่าในการสู้รบ ให้สุนัขลากตัวไป ให้นกในอากาศและสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลกกินและทำให้พินาศ 4 และเราจะทำให้อาณาจักรทั้งปวงบนแผ่นดินโลกเห็นพวกเขาตกอยู่ในสภาพที่หวาดหวั่น เหตุเพราะสิ่งที่มนัสเสห์บุตรของเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์กระทำในเยรูซาเล็ม[d]
5 โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย ใครจะสงสารเจ้า
หรือใครจะคร่ำครวญถึงเจ้า
ใครจะแวะถามข่าวคราวของเจ้า
6 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
เจ้าไม่ยอมรับเราแล้ว
เจ้าหันหลังให้เราซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ดังนั้นเราได้ยื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษและทำให้เจ้าพินาศ
เราจะเปลี่ยนใจไม่ได้อีกแล้ว
7 เราได้ฝัดร่อนพวกเขาด้วยพลั่ว
สำหรับแยกแกลบที่ประตูเมือง
เราได้สูญเสียพวกเขา เราได้ทำให้ชนชาติของเราพินาศ
พวกเขาไม่เลิกไปจากวิถีทางของเขา
8 เราได้ทำให้พวกเขามีจำนวนหญิงม่าย
มากยิ่งกว่าเม็ดทรายในทะเล
เรากระทำต่อมารดาของบรรดาชายหนุ่ม
ด้วยการส่งผู้ทำลายในยามที่พวกเขาไม่ได้คาดคะเน
เราได้ทำให้พวกเขาเจ็บปวดรวดร้าว
และหวาดหวั่นในทันใด
9 ผู้หญิงที่มีลูก 7 คนก็อ่อนแรง
นางเป็นลมไปแล้ว
แสงตะวันล่วงลับไปขณะที่ยังวันอยู่
นางได้รับความอับอายและอัปยศ
และเราจะให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
เผชิญกับการสู้รบกับพวกศัตรู”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
เยเรมีย์ร้องทุกข์
10 มารดาของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าวิบัติที่ท่านให้กำเนิดข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนที่ก่อให้เกิดการวิวาทและมีปัญหากับคนทั้งแผ่นดิน ข้าพเจ้าไม่ได้ให้ยืมหรือขอยืมผู้ใด แต่ทุกคนก็ยังสาปแช่งข้าพเจ้า 11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “เราประสงค์ดีเมื่อช่วยเจ้าให้รอดพ้น เราจะทำให้ศัตรูของเจ้าวิงวอนกับเจ้าเมื่อประสบกับความวิบัติและเป็นทุกข์ 12 ใครจะหักเหล็กได้ โดยเฉพาะเหล็กจากทิศเหนือ และทองสัมฤทธิ์
13 เราจะมอบความมั่งมีและทรัพย์สมบัติของเจ้าให้ศัตรูริบไปเปล่าๆ เพราะบาปทั้งสิ้นของเจ้าที่กระทำกันทั่วอาณาเขตของเจ้า 14 เราจะทำให้เจ้าไปรับใช้พวกศัตรูของเจ้าในแผ่นดินที่เจ้าไม่รู้จัก ความโกรธของเราทำให้ไฟถูกจุดขึ้น ซึ่งจะไหม้ตัวเจ้า”
15 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทราบดี
พระองค์ระลึกถึงข้าพเจ้าและช่วยเหลือข้าพเจ้า
และแก้แค้นพวกที่บีบบังคับแทนข้าพเจ้า
พระองค์มีความอดกลั้นต่อพวกเขา
อย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าตายเลย
ดูเถิดว่าข้าพเจ้าทนต่อการติเตียนก็เพื่อพระองค์
16 เมื่อข้าพเจ้าพบคำกล่าวของพระองค์ ข้าพเจ้าก็กินเข้าไป
และคำกล่าวของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้ามีใจยินดีและชื่นชอบ
เพราะข้าพเจ้าได้รับเรียกว่าเป็นคนของพระองค์
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา
17 ข้าพเจ้าไม่ได้สังสรรค์กับบรรดาผู้หาความสำราญ
ไม่เคยสนุกสนานร่วมกับพวกเขา
ข้าพเจ้าอยู่ตามลำพัง เพราะมือของพระองค์สถิตกับข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าท่วมท้นด้วยความเดือดดาล
18 เหตุใดข้าพเจ้าจึงเจ็บปวดเรื่อยไป
บาดแผลของข้าพเจ้าก็รักษาไม่หาย
และไม่ยอมหายขาด
พระองค์จะเป็นเหมือนกับธารน้ำที่แห้งเหือด
เหมือนกับแหล่งน้ำที่หยุดไหลหรือ
19 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“ถ้าเจ้ากลับมาหาเรา เราจะรับเจ้าไว้
และเจ้าจะยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
ถ้าเจ้าพูดในสิ่งที่มีคุณค่าแทนสิ่งที่ไร้ค่า
เจ้าก็จะเป็นผู้แทนกล่าวคำของเรา
พวกเขาจะกลับมาหาเจ้า
และเจ้าจะไม่ต้องไปหาพวกเขา
20 และเราจะทำให้เจ้าเป็นดั่ง
กำแพงเมืองทองสัมฤทธิ์ที่แข็งกล้า
พวกเขาจะต่อสู้กับเจ้า
แต่พวกเขาจะไม่ชนะเจ้า
เพราะเราอยู่กับเจ้า
เพื่อช่วยเจ้าให้รอดปลอดภัย
พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
21 เราจะช่วยเจ้าให้รอดจากมือของคนชั่ว
และช่วยเจ้าให้พ้นจากอำนาจของคนโหดเหี้ยม”
ความอดอยาก การสู้รบ และความตาย
16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ 2 “เจ้าจงอย่ามีภรรยา หรือมีลูกชายและลูกสาวในที่แห่งนี้ 3 เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงเรื่องลูกชายและลูกสาวที่เกิดในที่แห่งนี้ และเรื่องบรรดาผู้เป็นแม่ที่อุ้มครรภ์ และบรรดาผู้เป็นพ่อที่เลี้ยงดูพวกเขาในแผ่นดินนี้ 4 พวกเขาจะสิ้นชีวิตจากโรคร้ายแรง พวกเขาจะไม่มีใครร้องรำพันถึง หรือฝังศพพวกเขา พวกเขาจะเป็นดั่งอุจจาระบนพื้นดิน พวกเขาจะตายจากการสู้รบและความอดอยาก และร่างของพวกเขาจะเป็นอาหารสำหรับนกในอากาศและสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลก”
5 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “อย่าเข้าไปในบ้านที่ร้องคร่ำครวญ หรือเข้าไปร้องรำพันหรือแสดงความเศร้าใจแก่พวกเขา เพราะเราได้พรากความสันติสุข ความรักอันมั่นคงของเราและความเมตตาไปจากชนชาตินี้” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 6 “ทั้งผู้สูงส่งและผู้ต่ำต้อยในแผ่นดินนี้จะตาย และจะไม่มีใครฝัง และไม่มีใครร้องรำพันถึงพวกเขา หรือเชือดเนื้อหนังตนเองหรือโกนศีรษะเพื่อพวกเขา 7 จะไม่มีใครนำอาหารมาให้แก่ผู้ร้องคร่ำครวญเป็นการปลอบใจที่มีคนเสียชีวิต และไม่มีใครนำเครื่องดื่มมาให้เพื่อปลอบประโลมที่พ่อหรือแม่ของเขาเสียชีวิต 8 เจ้าอย่าเข้าไปนั่งในบ้านที่มีการเลี้ยงฉลองเพื่อดื่มกินกับพวกเขา 9 เพราะพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ดูเถิดเราจะทำให้เสียงยินดีและเบิกบานใจ เสียงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในที่นี้ยุติลง และเจ้าจะได้เห็นในช่วงชีวิตของเจ้า
10 เมื่อเจ้าบอกชนชาตินี้ถึงสิ่งเหล่านี้ และพวกเขาพูดกับเจ้าว่า ‘ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึงออกคำสั่งให้พวกเราได้รับความทุกข์ร้อน พวกเรามีความชั่วอะไร พวกเรากระทำบาปอะไรต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา’ 11 เจ้าจงบอกพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เพราะบรรพบุรุษของเจ้าได้ทอดทิ้งเรา และได้ไปติดตามปวงเทพเจ้า ไปบูชาและนมัสการสิ่งเหล่านั้น และได้ทอดทิ้งเราและไม่ได้รักษากฎบัญญัติของเรา 12 และเพราะเจ้าได้กระทำเลวร้ายกว่าบรรพบุรุษของเจ้า ดูเถิด พวกเจ้าทุกคนกระทำตามความดื้อรั้น ตามความตั้งใจที่ชั่วร้ายของตน และไม่ยอมฟังเรา 13 ฉะนั้น เราจะเหวี่ยงพวกเจ้าออกไปจากแผ่นดินนี้ ให้เข้าไปยังแผ่นดินที่พวกเจ้าและบรรพบุรุษของพวกเจ้าไม่รู้จัก และเจ้าจะบูชาปวงเทพเจ้าทั้งวันทั้งคืนที่นั่น เราจะไม่แสดงความเมตตาต่อพวกเจ้า’
พ้นจากการเนรเทศ
14 ฉะนั้น ดูเถิด จะถึงเวลาที่จะไม่มีใครพูดว่า ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้าผู้นำชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์มีชีวิตอยู่ฉันใด’ 15 แต่จะเป็นที่พูดกันว่า ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้าผู้นำชาวอิสราเอลออกจากดินแดนทางเหนือ และออกจากดินแดนทั้งปวงที่พระองค์เคยขับไล่ออกไป มีชีวิตอยู่ฉันใด’ เพราะเราจะนำพวกเขากลับมายังแผ่นดินของพวกเขาเอง ซึ่งเรามอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขา
16 ดูเถิด จะมีหลายคนที่เรากำลังส่งมาดั่งชาวประมงเพื่อนำฝูงชนมา และหลังจากนั้นจะมีหลายคนที่เราจะส่งมาดั่งนายพรานเพื่อตามตัวพวกเขาให้ออกมาจากทุกเทือกเขาและเนินเขา และจากทุกซอกหิน 17 เพราะเราจับตาอยู่ที่วิถีทางทั้งปวงของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นไปจากเราได้ ความชั่วของพวกเขาก็ไม่พ้นไปจากสายตาของเราได้ 18 แต่แรกทีเดียว เราจะกระทำตอบต่อความชั่วและบาปของพวกเขาเป็นเท่าตัว เพราะเขาได้ทำให้แผ่นดินของเราเป็นมลทินด้วยรูปเคารพไร้ชีวิตอันน่าชังของพวกเขา”
19 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นพละกำลังและที่คุ้มภัย
ที่พึ่งพิงในยามลำบาก
บรรดาประชาชาติจากทุกมุมโลก
จะมาหาพระองค์และพูดว่า
“บรรพบุรุษของพวกเราครอบครองแต่เพียงสิ่งลวงหลอก
สิ่งไร้ค่าซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เลย
20 มนุษย์สร้างเทพเจ้าให้ตนเองได้หรือ
แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เทพเจ้า”
21 “ฉะนั้น ดูเถิด เราจะสอนให้พวกเขารู้ ครั้งนี้เราจะสอนให้พวกเขารู้ถึงอานุภาพและพลานุภาพของเรา และพวกเขาจะรู้ว่านามของเราคือ พระผู้เป็นเจ้า
บาปของยูดาห์
17 บาปของยูดาห์ถูกบันทึกด้วยปากกาเหล็ก ถูกจารึกบนหัวใจของพวกเขาด้วยเพชรที่ปลายปากกา และสลักที่เขาสัตว์บนแท่นบูชา 2 แม้แต่ลูกๆ ของพวกเขาก็ยังจำแท่นบูชาและเทวรูปอาเชราห์[e]ของพวกเขาได้ ที่ข้างต้นไม้อันเขียวชอุ่มทุกต้นและบนเนินเขาสูง 3 บนเทือกเขาในที่โล่ง เราจะให้ศัตรูริบความมั่งคั่งและสมบัติของเจ้าไปทั้งหมด เพราะบาปที่สถานบูชาบนภูเขาสูงทั่วอาณาเขตของเจ้า 4 แผ่นดินที่เรามอบให้แก่เจ้าเป็นมรดกจะหลุดไปจากมือของเจ้า และเราจะทำให้เจ้าไปรับใช้พวกศัตรูของเจ้าในแผ่นดินที่เจ้าไม่รู้จัก เนื่องจากการที่เราถูกยั่วโทสะ ไฟจะลุกไปตลอดกาล”
5 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“ผู้ที่ถูกสาปแช่งคือผู้ที่ไว้วางใจในมนุษย์
และในพละกำลังของสิ่งที่เป็นเพียงเนื้อหนัง
จิตใจของเขาหันเหไปจากพระผู้เป็นเจ้า
6 เขาเป็นอย่างพุ่มไม้ในทะเลทราย
และจะไม่เห็นสิ่งดีอันใดเกิดขึ้น
เขาจะอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
ในแผ่นดินเค็มซึ่งไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่
7 ผู้ที่เป็นสุขคือผู้ที่ไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้า
พระผู้เป็นเจ้าคือผู้ที่เขาไว้วางใจ
8 เขาเป็นอย่างต้นไม้ที่ปลูกไว้ข้างริมน้ำ
ที่แผ่รากไปถึงแหล่งน้ำ
และไม่กลัวเมื่ออากาศร้อน
เพราะใบยังเขียวชอุ่ม
และไม่กังวลเมื่อแล้งฝน
เพราะออกผลได้เสมอ”
9 จิตใจลวงหลอกยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
และบิดเบือนยิ่งนัก
ใครจะเข้าใจได้
10 “เราคือพระผู้เป็นเจ้า ผู้สำรวจจิตใจ
และทดสอบความคิด
เพื่อตอบแทนทุกคนตามวิถีทางที่เขาดำเนิน
ตามผลของการกระทำของเขา”
11 นกกระทากกไข่ที่ไม่ได้ออกมาเองเป็นเช่นไร
คนที่ร่ำรวยโดยไร้ความเป็นธรรมก็เป็นเช่นนั้น
เมื่อถึงวัยกลางคนความมั่งมีก็จะจากเขาไป
และบั้นปลายก็จะปรากฏว่าเขาเป็นคนโง่เขลา
12 สถานที่บริสุทธิ์ของพวกเราเป็นดั่งบัลลังก์อันสง่างาม
ที่ตั้งอยู่ในที่สูงตั้งแต่แรกเริ่ม
13 โอ พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นความหวังของอิสราเอล
ทุกคนที่ไปจากพระองค์จะได้รับความอับอาย
ชื่อของบรรดาผู้ที่หันไปจากพระองค์จะถูกบันทึกในแดนของคนตาย
เพราะพวกเขาได้ทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า
ผู้เป็นน้ำพุแห่งชีวิต[f]
เยเรมีย์อธิษฐานขอความรอด
14 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดรักษาข้าพเจ้าให้หายขาด และข้าพเจ้าจะได้รับการรักษา
ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น และข้าพเจ้าจะรอดพ้น
เพราะพระองค์คือผู้ที่ข้าพเจ้าสรรเสริญ
15 ดูเถิด พวกเขาพูดกับข้าพเจ้าว่า
“ไหนล่ะที่เป็นคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
ก็จงให้เป็นไปตามนั้นสิ”
16 ข้าพเจ้าไม่ได้หลบเลี่ยงจากการเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะให้แก่พระองค์
และข้าพเจ้าไม่ปรารถนาให้พวกเขารับความทุกข์
พระองค์ทราบดีว่าข้าพเจ้าพูดอะไร
ต่อหน้าพระองค์บ้าง
17 ขอพระองค์อย่าทำให้ข้าพเจ้าหวาดหวั่น
พระองค์เป็นที่พึ่งพิงของข้าพเจ้าในยามวิบัติ
18 ขอให้บรรดาผู้ที่กดขี่ข่มเหงข้าพเจ้าอับอาย
แต่อย่าให้ข้าพเจ้าอับอาย
ให้พวกเขาหวาดหวั่นพรั่นพรึง
แต่อย่าให้ข้าพเจ้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ขอพระองค์ให้พวกเขาได้รับความวิบัติ
ทำลายพวกเขาให้พินาศ
ถือกฎวันสะบาโตให้เป็นวันบริสุทธิ์
19 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงไปยืนที่ประตูหลักของเมือง ซึ่งบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ผ่านเข้าออก และที่ประตูทุกประตูของเยรูซาเล็ม 20 และจงพูดว่า ‘บรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ ชาวยูดาห์ทั้งปวง และผู้อยู่อาศัยทั้งหลายของเยรูซาเล็ม ซึ่งผ่านเข้ามาทางประตูดังกล่าว จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ถ้าเจ้าเห็นว่าชีวิตตนมีค่า เจ้าก็อย่าแบกหามสิ่งใดในวันสะบาโต หรือนำมันเข้ามาทางประตูของเยรูซาเล็ม 22 และอย่าแบกหามสิ่งใดออกจากบ้านของพวกเจ้าในวันสะบาโต และอย่าทำงานใดๆ แต่จงถือกฎวันสะบาโตให้เป็นวันบริสุทธิ์ ตามที่เราบัญชาบรรพบุรุษของพวกเจ้า[g] 23 แต่พวกเขาไม่ฟังและไม่แม้แต่จะเงี่ยหูฟัง แต่กลับหัวแข็งไม่ฟังหรือรับคำสั่งสอน
24 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ถ้าพวกเจ้าฟังเรา และไม่แบกหามสิ่งใดเข้าทางประตูของเมืองนี้ในวันสะบาโต แต่ถือกฎวันสะบาโตให้เป็นวันบริสุทธิ์ ไม่ทำงานในวันนั้น 25 แล้วจะมีบรรดากษัตริย์จากเชื้อสายของดาวิด และบรรดาผู้นำ ที่ผ่านทางประตูเมืองแห่งนี้ พวกเขาจะขี่รถศึกและม้า รวมทั้งผู้คนของยูดาห์และเยรูซาเล็มจะมาด้วย จะมีผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล 26 พวกเขาจะมาจากเมืองต่างๆ ของยูดาห์และจากที่ต่างๆ รอบเยรูซาเล็ม จากอาณาเขตของเบนยามินและที่ลุ่ม จากแถบภูเขาและเนเกบ ต่างก็นำสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายและเครื่องสักการะ เครื่องธัญญบูชา และกำยาน และนำเครื่องสักการะแห่งการขอบคุณมายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 27 แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ฟังเราที่จะถือกฎวันสะบาโตให้เป็นวันบริสุทธิ์ แบกหามสิ่งใดและเข้าผ่านมาทางประตูของเยรูซาเล็มในวันสะบาโต เราก็จะจุดไฟให้ลุกที่ประตูของเยรูซาเล็มซึ่งจะเผาไหม้ป้อมปราการ และจะไม่มีใครดับไฟนั้นได้’”
ช่างปั้นหม้อและดินเผา
18 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ว่า 2 “จงลุกขึ้น และลงไปยังบ้านของช่างปั้นหม้อ และเราจะพูดกับเจ้า” 3 ข้าพเจ้าจึงลงไปยังบ้านของช่างปั้นหม้อ และเห็นเขากำลังใช้แป้นหมุน 4 และภาชนะดินเผาอยู่ในมือช่างปั้นหม้อที่กำลังปั้นซึ่งไม่ได้รูปทรง เขาจึงปั้นให้เป็นภาชนะทรงใหม่ ตามที่ช่างปั้นหม้อเห็นสมควร
5 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ 6 “โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะทำกับพวกเจ้าอย่างที่ช่างปั้นหม้อผู้นี้ทำไม่ได้หรือ พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ดูเถิด ดินเหนียวอยู่ในมือช่างปั้นหม้อเช่นไร พวกเจ้าก็อยู่ในมือเราเช่นนั้น โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย 7 ถ้าเวลาใดก็ตามที่เราประกาศถึงชาติหนึ่งหรืออาณาจักรหนึ่งว่า เราจะถอนและทำให้พังและพินาศ 8 และถ้าประชาชาติที่เราได้พูดถึงนั้นหันไปจากความชั่ว เราก็จะเปลี่ยนความตั้งใจและไม่ให้ความวิบัติเกิดขึ้น 9 และถ้าเวลาใดก็ตามที่เราประกาศถึงประชาชาติหนึ่งหรืออาณาจักรหนึ่งว่า เราจะสร้างและปลูกพวกเขาขึ้นมา 10 และถ้าพวกเขากระทำความชั่วในสายตาของเรา ไม่เชื่อฟังเรา เราก็จะเปลี่ยนความตั้งใจจากเดิมที่จะทำให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้น 11 ฉะนั้น บัดนี้จงพูดกับผู้คนของยูดาห์และบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ดูเถิด เรากำลังเตรียมความวิบัติให้เกิดขึ้นแก่พวกเจ้า กำลังวางแผนขัดขวางพวกเจ้า ทุกคนจงหันไปจากวิถีทางชั่วของตน และเปลี่ยนวิถีทางและการกระทำของพวกเจ้า’
12 แต่พวกเขาพูดว่า ‘ไร้ประโยชน์ พวกเราจะทำตามแผนของเราเอง เราแต่ละคนจะกระทำตามใจดื้อรั้น ตามใจอันชั่วร้ายของตนต่อไป’”
13 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“จงถามบรรดาประชาชาติว่า
ใครเคยได้ยินเช่นนี้บ้างว่า
อิสราเอลผู้บริสุทธิ์
ได้กระทำสิ่งที่เลวร้ายมาก
14 หิมะของเลบานอน
เคยละลายไปจากเนินหินหรือ
ธารน้ำเย็นๆ จากเทือกเขา
จะเหือดแห้งหรือ
15 แต่ชนชาติของเราได้ลืมเราแล้ว
พวกเขาเผาเครื่องหอมแก่สิ่งไร้ค่า
ซึ่งทำให้พวกเขาสะดุดในทางที่พวกเขาไป
และในหนทางของโบราณกาล
และกลับไปเดินทางลัด
แทนที่จะเป็นทางสายใหญ่
16 ทำให้แผ่นดินของพวกเขาเป็นที่น่าหวาดกลัว
เป็นสิ่งที่ต้องถูกเหน็บแนมไปตลอดกาล
ทุกคนที่ผ่านไปก็จะหวาดผวา
และสั่นศีรษะ
17 เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายออกไป
ต่อหน้าศัตรูอย่างลมตะวันออก
ในวันแห่งความวิบัติ
เราจะหันหลังให้พวกเขา ไม่ใช่หันหน้า”
18 แล้วพวกเขาพูดว่า “มาเถิด เรามาวางแผนคัดค้านเยเรมีย์ เพราะยังจะมีปุโรหิตที่ใช้กฎบัญญัติสั่งสอน และมีการให้คำแนะนำจากผู้เรืองปัญญา และมีการเผยความจากผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า มาเถิด เรามาพูดโจมตีเขา และเราอย่าสนใจในสิ่งที่เขาพูดเลย”
19 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดฟังข้าพเจ้า
และฟังว่าศัตรูของข้าพเจ้าพูดอะไรบ้าง
20 ความดีควรจะได้รับความชั่วเป็นการตอบแทนหรือ
พวกเขาขุดหลุมพรางดักเพื่อเอาชีวิตข้าพเจ้า
พระองค์จำได้ไหมว่า ข้าพเจ้ายืน ณ เบื้องหน้าพระองค์
และพูดแทนพวกเขา
เพื่อไม่ให้พระองค์ลงโทษพวกเขา
21 ฉะนั้น ขอพระองค์ให้พวกลูกๆ ของพวกเขาอดอยาก
ให้พวกเขาตายในการสู้รบ
ให้ภรรยาของพวกเขาเสียสามีและลูกๆ
ขอให้พวกผู้ชายเป็นโรคตาย
ชายหนุ่มถูกดาบฆ่าตายในการต่อสู้
22 เมื่อพระองค์ให้มีคนปล้นบ้านพวกเขาอย่างฉับพลัน
ก็ขอให้เสียงร้องจากบ้านของพวกเขาเป็นที่ได้ยิน
เพราะพวกเขาได้ขุดหลุมพรางดักข้าพเจ้า
และวางกับดักเท้าข้าพเจ้า
23 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทราบ
แผนการทุกอย่างที่พวกเขาจะปลิดชีวิตข้าพเจ้า
ขอพระองค์อย่าลืมความชั่วของพวกเขา
และอย่าลบล้างบาปของพวกเขาให้พ้นไปจากสายตาของพระองค์
ปล่อยให้พวกเขาถูกกำจัดต่อหน้าพระองค์
โปรดจัดการพวกเขาเมื่อพระองค์กริ้วเถิด
โถแตก
19 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “จงไปซื้อโถดินเผาของช่างปั้นหม้อ และขอให้บรรดาผู้ใหญ่ของประชาชน และผู้ใหญ่ของปุโรหิตบางคนไปด้วย 2 และจงไปยังหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนม ที่ทางเข้าของประตูหม้อแตก และประกาศสิ่งที่เราบอกเจ้าที่นั่น 3 เจ้าจงพูดดังนี้ ‘จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า โอ บรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์และผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลกล่าวว่า ดูเถิด เรากำลังจะนำความวิบัติมาสู่ที่นี้ ซึ่งจะทำให้ทุกคนที่ได้ยินต้องหูดับ 4 เพราะพวกเขาได้ทอดทิ้งเรา และได้ดูหมิ่นสถานที่นี้ด้วยการมอบของถวายให้แก่บรรดาเทพเจ้า ซึ่งทั้งพวกเขาและบรรพบุรุษของพวกเขา และบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่รู้จัก และเพราะว่าพวกเขาได้ทำให้สถานที่นี้เต็มไปด้วยผู้ไร้ความผิดซึ่งถูกฆ่า 5 และได้สร้างสถานบูชาบนภูเขาสูงแก่เทพเจ้าบาอัลเพื่อเผาลูกๆ ของพวกเขาในกองไฟเพื่อเป็นสิ่งที่ใช้เผาเป็นของถวายแก่เทพเจ้าบาอัล ซึ่งเราไม่ได้บัญชาหรือออกคำสั่งให้ทำ และไม่เคยแม้แต่จะคิด 6 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ดูเถิด ใกล้จะถึงเวลาที่จะไม่มีชื่อว่า โทเฟท อีกแล้ว หรือหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนม แต่จะเป็นหุบเขาแห่งการประหาร 7 และเราจะทำให้แผนของยูดาห์และเยรูซาเล็มพังในที่นี้ และทำให้พวกเขาล้มตายในการสู้รบต่อหน้าพวกศัตรู และด้วยมือของบรรดาผู้ตามล่าชีวิตพวกเขา เราจะให้ร่างของพวกเขาเป็นอาหารแก่พวกนกในอากาศ และแก่สัตว์ป่าบนแผ่นดินโลก 8 และเราจะทำให้เมืองนี้เป็นที่น่าหวาดกลัว เป็นสิ่งที่ต้องถูกเหน็บแนม ทุกคนที่ผ่านไปก็จะหวาดผวาและเหน็บแนมเพราะความวิบัติทั้งสิ้น 9 เราจะทำให้พวกเขากินเนื้อลูกชายและลูกสาวของตนเอง และทุกคนจะกินเนื้อเพื่อนบ้านในยามถูกล้อมและเป็นทุกข์ อันเกิดจากศัตรูของพวกเขาเอง และจากบรรดาผู้ที่ตามล่าชีวิตซึ่งทำให้พวกเขาลำบาก’
10 แล้วเจ้าจงทุบโถให้แตกต่อหน้าพวกที่ไปกับเจ้า 11 และจงพูดกับพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า เราจะทำให้ชนชาตินี้และเมืองนี้แตกหัก อย่างเช่นผู้ที่ทำให้ภาชนะของช่างปั้นหม้อแตกหัก จนไม่มีใครจะซ่อมได้ พวกเขาจะฝังศพในโทเฟท เพราะไม่มีที่อื่นจะฝัง 12 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ฉะนั้นเราจะทำเช่นนั้นกับที่แห่งนี้และกับบรรดาผู้อยู่อาศัย ทำให้เมืองนี้เป็นอย่างโทเฟท 13 บ้านทั้งหลายของเยรูซาเล็มและของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ บ้านทุกหลังที่มีการเผาเครื่องหอมบนหลังคาให้แก่สรรพสิ่งบนท้องฟ้า และเครื่องดื่มบูชาที่รินให้แก่ปวงเทพเจ้า จะเป็นมลทินอย่างโทเฟท’”[h]
14 แล้วเยเรมีย์ก็ไปจากโทเฟท ซึ่งเป็นเมืองที่พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งท่านไปเผยความ ท่านยืนที่ลานพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และพูดกับชนชาติทั้งปวงว่า 15 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ “ดูเถิด เรากำลังนำความวิบัติที่เราได้พูดคัดค้านเมืองนี้และหมู่บ้านใกล้เคียง เพราะพวกเขาหัวแข็ง ไม่ยอมฟังคำของเรา”
ปาชเฮอร์กดขี่ข่มเหงเยเรมีย์
20 ปาชเฮอร์บุตรของอิมเมอร์ เป็นปุโรหิตผู้เป็นหัวหน้าของเจ้าหน้าที่ประจำพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ได้ยินเยเรมีย์เผยความถึงสิ่งเหล่านี้ 2 ปาชเฮอร์จึงโบยตีเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และจับท่านใส่ขื่อกักไว้ที่ประตูเบนยามินด้านบนของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 3 วันรุ่งขึ้นเมื่อปาชเฮอร์ปลดปล่อยเยเรมีย์ออกจากขื่อ เยเรมีย์พูดกับเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่เรียกชื่อท่านว่า ปาชเฮอร์ แต่เป็น ‘ความน่ากลัวอยู่รอบด้าน’ 4 เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘ดูเถิด เราจะทำให้เจ้าเป็นความน่ากลัวต่อตัวเจ้าเองและต่อเพื่อนของเจ้าทุกคน เจ้าจะเห็นพวกเขาถูกศัตรูฆ่า และเราจะมอบชาวยูดาห์ทั้งปวงไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และจะถูกจับไปเป็นเชลยของบาบิโลน หรือไม่ก็จะถูกฆ่าฟันตาย 5 ยิ่งกว่านั้น เราจะมอบความมั่งคั่งของเมือง ทุกสิ่งที่ตรากตรำได้มา ของทุกสิ่งที่มีค่า และสมบัติทั้งสิ้นของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ ไว้ในมือของพวกศัตรูที่มาปล้น จับกุมและนำตัวพวกเขาไปยังบาบิโลน 6 ตัวเจ้าเองปาชเฮอร์และทุกคนที่อาศัยอยู่ในบ้านของเจ้าจะถูกจับไปเป็นเชลย เจ้าจะไปยังบาบิโลนและจะตายที่นั่น ทั้งตัวเจ้าและเพื่อนทั้งปวงของเจ้าจะถูกฝัง เจ้าได้เผยความเท็จแก่พวกเพื่อนๆ ของเจ้า’”
7 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทำให้ข้าพเจ้าหลงเชื่อ
และข้าพเจ้าก็เชื่อ
พระองค์เข้มแข็งกว่าข้าพเจ้า
และพระองค์ก็ชนะ
ข้าพเจ้าเป็นที่หัวเราะเยาะตลอดวันเวลา
ทุกคนล้อเลียนข้าพเจ้า
8 เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าพูด ข้าพเจ้าส่งเสียงร้อง
ข้าพเจ้าตะโกนขึ้นว่า “ความรุนแรงและความพินาศ”
เพราะข้าพเจ้าถูกติเตียนและล้อเลียน
ก็เพราะคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าตลอดวันเวลา
9 แต่ถ้าข้าพเจ้าพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่เอ่ยถึงพระองค์
หรือพูดในพระนามของพระองค์อีกต่อไป”
ใจข้าพเจ้าก็จะร้อนดั่งไฟเผา
ร้อนลึกถึงกระดูก
และข้าพเจ้าอ่อนกำลังเมื่อยับยั้งปาก
และข้าพเจ้าก็ยับยั้งไว้ไม่ได้
10 เพราะข้าพเจ้าได้ยินเสียงกระซิบจากหลายคน
ความน่ากลัวอยู่รอบด้าน
เพื่อนสนิทของข้าพเจ้าทุกคน
ที่กำลังคอยดูข้าพเจ้าล้มเหลวพูดกันว่า
“ไปรายงานเรื่องของเขา เราไปรายงานเรื่องของเขาเถิด
เขาอาจจะหลงกล
แล้วพวกเราจะเอาชนะเขาได้
และแก้แค้นเขา”
11 แต่พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้าอย่างนักรบผู้แข็งแกร่ง
ดังนั้น พวกที่กดขี่ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุด
พวกเขาจะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้
และจะต้องอับอาย
เพราะจะไม่พบความสำเร็จ
พวกเขาจะถูกหลู่เกียรติ
อย่างไม่มีวันลืมได้
12 โอ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา ผู้ทดสอบด้วยความชอบธรรม
ผู้เห็นจิตใจและความคิด
ขอให้ข้าพเจ้าเห็นพระองค์แก้แค้นพวกเขาเถิด
เพราะข้าพเจ้าได้มอบเรื่องนี้ไว้กับพระองค์แล้ว
13 จงร้องเพลงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า
สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
เพราะพระองค์ช่วยชีวิตของผู้ยากไร้
ให้พ้นภัยจากมือของพวกทำความชั่ว
14 ให้วันที่ข้าพเจ้าเกิดมาถูกสาปแช่ง
วันที่มารดาของข้าพเจ้าตั้งครรภ์
ข้าพเจ้าก็ขออย่าให้วันนั้นได้รับพระพร
15 ขอให้คนที่ทำให้บิดาข้าพเจ้าดีใจ
ด้วยการนำข่าวมาบอกท่านว่า
“เป็นเด็กผู้ชาย ท่านได้บุตรชาย”
ถูกสาปแช่งเถิด
16 ขอให้ชายคนนั้นเป็นเหมือนเมือง
ที่พระผู้เป็นเจ้าทำลายอย่างไม่ปรานี
ขอให้เขาได้ยินเสียงร้องในตอนเช้า
และสัญญาณเตือนตอนเที่ยงวัน
17 เพราะเขาไม่ได้ฆ่าข้าพเจ้าขณะที่ยังอยู่ในครรภ์
เพื่อครรภ์มารดาของข้าพเจ้าจะได้เป็นหลุมศพของข้าพเจ้า
และจะเป็นครรภ์โตตลอดไป
18 ทำไมข้าพเจ้าจึงออกมาจากครรภ์
เพื่อเห็นการตรากตรำและความเศร้า
และอยู่กับความอับอายอย่างนั้นหรือ
เยรูซาเล็มจะถล่ม
21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ เมื่อกษัตริย์เศเดคียาห์ใช้ปาชเฮอร์บุตรของมัลคิยาห์ และเศฟันยาห์ปุโรหิตบุตรของมาอาเสยาห์ ขอร้องท่านว่า 2 “ช่วยพูดกับพระผู้เป็นเจ้าให้พวกเราด้วยเถิด เนื่องจากเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนกำลังโจมตีพวกเรา[i] พระผู้เป็นเจ้าอาจจะแสดงสิ่งมหัศจรรย์เพื่อพวกเรา และจะทำให้เขาถอยทัพกลับไป”
3 เยเรมีย์พูดกับพวกเขาว่า “ท่านไปบอกเศเดคียาห์ดังนี้ 4 ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลได้กล่าวว่า ดูเถิด เราจะให้อาวุธสงครามที่อยู่ในมือของเจ้ากลับมาต่อต้านเจ้า ซึ่งเจ้าใช้ต่อสู้กับกษัตริย์แห่งบาบิโลน และต่อสู้กับชาวเคลเดียซึ่งใช้กำลังล้อมนอกกำแพงเมือง และเราจะรวมพวกเขาเข้าด้วยกันเพื่อเข้าไปสู่ใจกลางเมืองนี้ 5 เราเองที่จะต่อสู้กับพวกเจ้าด้วยอานุภาพและพลานุภาพ ด้วยความกริ้วและความฉุนเฉียว และด้วยการลงโทษอย่างหนัก 6 และเราจะฆ่าบรรดาผู้อยู่อาศัยของเมืองนี้ ทั้งมนุษย์และสัตว์ ซึ่งจะตายด้วยโรคระบาด 7 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า หลังจากนั้น เราจะมอบเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ รวมทั้งบรรดาผู้รับใช้และประชาชนของเมืองนี้ ที่รอดจากโรคระบาด การสู้รบ และการอดอยาก ไว้ในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และในมือของศัตรูของพวกเขา และในมือของบรรดาผู้ที่ต้องการจะฆ่าพวกเขา เนบูคัดเนสซาร์จะฆ่าพวกเขาด้วยคมดาบ เขาจะไม่มีเมตตาหรือไว้ชีวิตพวกเขา หรือแม้แต่ความสงสาร’
8 และเจ้าจงไปพูดกับประชาชนพวกนี้ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ดูเถิด เรามอบวิถีทางแห่งชีวิตและวิถีทางแห่งความตายไว้ตรงหน้าพวกเจ้าแล้ว 9 ผู้ที่อยู่ในเมืองนี้จะตายด้วยการสู้รบ การอดอยาก และด้วยโรคระบาด แต่ผู้ที่ออกไปและยอมจำนนกับพวกชาวเคลเดียที่ใช้กำลังล้อมเมือง ก็จะมีชีวิตคงอยู่ และจะเอาชีวิตหนีรอดไปได้ 10 เพราะเราได้ตั้งใจให้เมืองนี้ประสบกับภัยอันตราย ไม่ใช่ความปลอดภัย พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เมืองนี้จะถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาจะใช้ไฟเผาเมือง’
ข้อความถึงพงศ์พันธุ์ของดาวิด
11 และจงพูดกับพงศ์พันธุ์ของกษัตริย์แห่งยูดาห์ดังนี้ ‘จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 12 โอ พงศ์พันธุ์ของดาวิดเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า
จงให้ความเป็นธรรมทุกเช้าค่ำ
ช่วยปกป้องผู้ที่ถูกปล้นสิทธิ
ให้พ้นจากมือของผู้กดขี่ข่มเหง
มิฉะนั้น ความกริ้วของเราจะพลุ่งออกไปอย่างไฟ
และเผาผลาญอย่างไม่มีใครจะดับได้
เพราะการกระทำอันชั่วร้ายของพวกเจ้า
13 โอ ผู้อยู่อาศัยแห่งหุบเขา
หินแห่งที่ราบเอ๋ย ดูเถิด เราจะโจมตีเจ้า
พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
พวกที่พูดว่า “ใครจะลงมาโจมตีพวกเรา
หรือใครจะบุกรุกเข้ามาในถิ่นของเราได้”
14 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
เราจะลงโทษพวกเจ้าตามการกระทำของเจ้า
เราจะจุดไฟในป่าของเมืองนั้น
และไฟจะเผาผลาญทุกสิ่งที่อยู่รอบข้าง’”
22 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “จงลงไปที่วังของกษัตริย์แห่งยูดาห์ และพูดตามนี้ 2 จงบอกดังนี้ว่า ‘จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า โอ กษัตริย์แห่งยูดาห์ผู้นั่งบนบัลลังก์ของดาวิด ทั้งตัวเจ้า บรรดาผู้รับใช้ของเจ้า และประชาชนของเจ้าที่เข้ามาทางประตูเมือง 3 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า จงให้ความเป็นธรรมและความชอบธรรม ช่วยปกป้องผู้ที่ถูกปล้นสิทธิให้พ้นจากมือของผู้กดขี่ข่มเหง และอย่ากระทำผิดหรือความรุนแรงต่อผู้ลี้ภัย ผู้กำพร้าพ่อ หรือแม่ม่าย หรือฆ่าคนไร้ความผิดในที่แห่งนี้ 4 เพราะถ้าพวกเจ้าเชื่อฟังและทำตามนี้ บรรดากษัตริย์ผู้นั่งบนบัลลังก์ของดาวิดจะเข้ามาทางประตูวังแห่งนี้ พวกเขาจะนั่งบนรถศึกและม้า รวมทั้งกษัตริย์ บรรดาผู้รับใช้ และประชาชนของเขา 5 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า แต่ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟังและทำตาม เรารับประกันว่า วังแห่งนี้จะกลายเป็นที่รกร้าง’” 6 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์ดังนี้ว่า
“เราเห็นว่า เจ้าเป็นเช่นเมืองกิเลอาด
เหมือนยอดสูงของเทือกเขาเลบานอน
แต่เราจะทำให้เป็นถิ่นทุรกันดาร
ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่
7 เราจะส่งบรรดาผู้ทำลายที่จะมาโจมตีเจ้า
ให้แต่ละคนมีอาวุธพร้อม
และพวกเขาจะล้มต้นซีดาร์ต้นงาม
และโยนมันลงในกองไฟ
8 ประชาชาติจำนวนมากจะผ่านมาทางเมืองนี้ ทุกๆ คนจะพูดกับเพื่อนบ้านของเขาว่า ‘ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึงได้กระทำเช่นนี้ต่อเมืองอันยิ่งใหญ่นี้’ 9 และพวกเขาจะตอบว่า ‘เพราะพวกเขาได้ละเลยต่อพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา และนมัสการปวงเทพเจ้า และบูชาสิ่งเหล่านั้น’”
10 อย่าร้องไห้ให้คนที่ตายแล้ว
และอย่าแสดงความเศร้าใจให้เขา
แต่จงร้องไห้อย่างขมขื่นให้กับผู้ที่จากไป
เพราะเขาจะไม่กลับมาเห็นแผ่นดิน
ที่เป็นบ้านเกิดของเขาอีก
ข้อความถึงบรรดาบุตรของโยสิยาห์
11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงเรื่องชัลลูม[j]บุตรของโยสิยาห์ ผู้ครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ต่อจากบิดาของท่าน และท่านได้จากที่นี่ไป “เจ้าจะไม่กลับมาที่นี่อีก 12 แต่จะอยู่ในสถานที่พวกเขาได้จับตัวเจ้าไปเป็นเชลย เจ้าจะเสียชีวิตอยู่ที่นั่น และเจ้าจะไม่มีวันเห็นแผ่นดินนี้อีก
13 วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่สร้างบ้านของตนขึ้นด้วยความไม่ชอบธรรม
และสร้างห้องชั้นบนด้วยความไม่เป็นธรรม
ผู้ที่ทำให้ผู้อื่นทำงานรับใช้เขาเปล่าๆ
และไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่เขา
14 ผู้ที่พูดว่า ‘เราจะสร้างบ้านหรูหราให้ตัวเราเอง
ทำห้องชั้นบนให้กว้างใหญ่’
เป็นบ้านมีหน้าต่างขนาดใหญ่
กรุกำแพงด้วยไม้ซีดาร์
และทาสีแดง
15 เจ้าคิดหรือว่าเจ้าเป็นกษัตริย์ได้
เพราะเจ้ามีไม้ซีดาร์มาก ที่บิดาของเจ้ามีกินมีดื่ม
เพราะเขามีความเป็นธรรมและความชอบธรรมมิใช่หรือ
แล้วทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีกับเขา
16 เขาปกป้องผู้ขัดสนและยากไร้
แล้วทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี
นั่นก็หมายถึงการรู้จักเรามิใช่หรือ”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
17 “แต่ทั้งตาและใจของเจ้า
มุ่งหาแต่สินบน
เพื่อฆ่าคนไร้ความผิด
และเพื่อกดขี่ข่มเหงและใช้ความรุนแรง”
18 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงเยโฮยาคิมบุตรของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ดังนี้
“พวกเขาจะไม่ร้องรำพันถึงเขาด้วยการพูดว่า
‘โธ่เอ๋ย พี่ชายของฉัน’ หรือ ‘โธ่เอ๋ย พี่สาวของฉัน’
พวกเขาจะไม่ร้องรำพันถึงเขาด้วยการพูดว่า
‘โธ่เอ๋ย เจ้านาย’ หรือ ‘โธ่เอ๋ย ผู้ยิ่งใหญ่’
19 เขาจะถูกฝังเหมือนกับการฝังศพลาตัวหนึ่ง
ที่ถูกลากและโยนทิ้งให้พ้นประตูเมืองเยรูซาเล็ม
20 จงขึ้นไปยังเลบานอน และส่งเสียงร้อง
และเจ้า[k]ร้องเสียงดังในบาชาน
ส่งเสียงร้องจากอาบาริม
เพราะพวกมิตรสหายของเจ้าถูกทำลาย
21 เราพูดกับเจ้าเมื่อเวลาที่เจ้าอยู่อย่างสุขสบาย
แต่เจ้ากลับพูดว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ฟัง’
นั่นก็เป็นวิถีทางของเจ้าตั้งแต่ครั้งยังเยาว์
ที่เจ้าไม่ได้เชื่อฟังเรา
22 บรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะของเจ้าจะถูกลมพัดไป
และพวกมิตรสหายของเจ้าจะถูกจับไปเป็นเชลย
และเจ้าจะอับอายและสับสน
เพราะความชั่วร้ายของเจ้า
23 โอ ผู้อยู่อาศัยของเลบานอน
และซุกตัวอยู่ท่ามกลางไม้ซีดาร์เอ๋ย
เจ้าจะโอดครวญเพียงไรเมื่อเจ้าเจ็บปวด
ความเจ็บปวดอย่างผู้หญิงเจ็บครรภ์”
24 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด ถึงแม้ว่าโคนิยาห์[l]บุตรของเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์จะเป็นแหวนประทับตราที่มือขวาของเรา เราก็ยังจะถอดเจ้าออก 25 และมอบเจ้าไว้ในมือของบรรดาผู้ที่ต้องการจะฆ่าเจ้า ในมือของพวกที่เจ้ากลัว แม้แต่จะมอบไว้ในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และในมือของชาวเคลเดีย 26 เราจะเหวี่ยงเจ้าและแม่ที่ให้กำเนิดเจ้า ให้เข้าไปในดินแดนอื่นซึ่งไม่ใช่ที่กำเนิดของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะตายที่นั่น 27 พวกเขาอยากกลับไปยังแผ่นดินนั้น แต่ก็ไม่มีวันที่จะกลับไปที่นั่นได้”
28 โคนิยาห์ผู้นี้เป็นเหมือนโถแตกที่ถูกดูหมิ่น
ภาชนะที่ไม่มีใครต้องการหรือ
เหตุใดเขาและลูกๆ ของเขาจึงถูกเหวี่ยงและโยนทิ้ง
ไปในแผ่นดินที่พวกเขาไม่รู้จัก
29 โอ แผ่นดิน แผ่นดิน แผ่นดินเอ๋ย
จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
30 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวเช่นนี้ว่า
“จงบันทึกเรื่องของชายผู้นี้ว่าเขาเป็นผู้ที่ไม่มีลูกหลาน
เป็นชายที่จะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
เพราะไม่มีผู้ใดในบรรดาผู้สืบทายาทของเขา
ที่จะนั่งบนบัลลังก์ของดาวิด
และขึ้นปกครองในยูดาห์อีก”
อังกูรผู้มีความชอบธรรม
23 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “วิบัติจงเกิดแก่บรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะที่ทำลายและทำให้แกะที่อยู่ในทุ่งหญ้าของเรากระจัดกระจายไป” 2 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวถึงเรื่องบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะที่ดูแลชนชาติของเราดังนี้ “พวกเจ้าได้ทำให้ฝูงแกะของเรากระจัดกระจายไป และได้ขับไล่ให้พวกเขาออกไป และพวกเจ้าไม่ได้เอาใจใส่ต่อเขาเหล่านั้น ดูเถิด เราจะเอาใจใส่ต่อพวกเจ้ากับการกระทำชั่วของเจ้า พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 3 แล้วเราจะรวบรวมแกะของเราที่เหลืออยู่ในฝูง ให้ออกจากทุกประเทศที่เราได้ขับไล่ให้พวกเขาออกไป และเราจะนำพวกเขากลับมาสู่ทุ่งหญ้าเดิม พวกเขาจะเกิดผลและทวีจำนวนขึ้น 4 เราจะแต่งตั้งผู้เลี้ยงดูฝูงแกะที่จะเอาใจใส่ต่อพวกเขา และพวกเขาจะไม่กลัวอีกต่อไป จะไม่ตกใจ และจะไม่มีใครขาดหายไปไหน” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
5 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “ดูเถิด จะถึงวันที่เราจะกำหนดอังกูร[m]ผู้หนึ่งซึ่งกอปรด้วยความชอบธรรมให้แก่ดาวิด และท่านจะครองราชย์อย่างกษัตริย์และดำเนินการด้วยการไตร่ตรองจากสติปัญญา และจะปฏิบัติด้วยความเป็นธรรมและความชอบธรรมในแผ่นดิน 6 เมื่อท่านมา ยูดาห์จะปลอดภัย และอิสราเอลจะอยู่อย่างมั่นคง ผู้คนจะเรียกชื่อท่านว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าเป็นความชอบธรรมของพวกเรา’”
7 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “ดูเถิด จะถึงเวลาที่จะไม่มีใครพูดว่า ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้าผู้นำชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์มีชีวิตอยู่ฉันใด’ 8 แต่จะเป็นที่พูดกันว่า ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้าผู้นำเชื้อสายของพงศ์พันธุ์อิสราเอลออกจากดินแดนทางเหนือ และจากดินแดนทั้งปวงที่พระองค์เคยขับไล่ออกไป มีชีวิตอยู่ฉันใด’ พวกเขาจึงจะกลับมาอยู่ในแผ่นดินของพวกเขาเอง”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation