Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
เยเรมีย์ 33:23-47:7

23 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ 24 “เจ้าไม่ได้สังเกตหรือว่า ชนชาตินี้กำลังพูดกันว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับ 2 ตระกูลที่พระองค์เลือก’ พวกเขาจึงดูหมิ่นชนชาติของเราและนับว่าเขาเหล่านั้นไม่ใช่ประชาชาติในสายตาของพวกเขา 25 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ถ้าเราไม่รักษาสัญญาเรื่องวันและคืนและกฎของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 26 เราก็จะไม่ยอมรับเชื้อสายของยาโคบและดาวิดผู้รับใช้ของเรา และจะไม่เลือกผู้หนึ่งในบรรดาเชื้อสายของเขาให้ปกครองเชื้อสายของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เพราะเราจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของพวกเขาคืนสู่สภาพเดิม และเราจะมีเมตตาต่อพวกเขา”

การเตือนเศเดคียาห์

34 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ ขณะที่เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนและกองทหารของท่าน และอาณาจักรต่างๆ บนแผ่นดินโลกที่อยู่ใต้การควบคุมของท่านและชนชาติทั้งปวง กำลังสู้รบกับเยรูซาเล็มและเมืองต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า “จงไปพูดกับเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และบอกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ดูเถิด เรากำลังมอบเมืองนี้ไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาจะใช้ไฟเผาเมือง เจ้าจะหนีไม่รอดจากมือของเขา แต่จะถูกจับและมอบไว้ในมือของเขาอย่างแน่นอน เจ้าจะเผชิญหน้าพูดกับกษัตริย์แห่งบาบิโลนโดยตรง และเจ้าจะไปยังบาบิโลน’ โอ เศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าเถิด พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงเจ้าดังนี้ ‘เจ้าจะไม่ถูกฆ่าตาย เจ้าจะตายอย่างสงบ และอย่างที่มีคนเผาเครื่องหอมให้เจ้าและร้องรำพันถึงเจ้าว่า “โธ่เอ๋ย เจ้านายของพวกเรา”’ พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เราเองเป็นผู้ที่กล่าวดังนั้น”

ครั้นแล้วเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดทุกสิ่งกับเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ผู้อยู่ในเยรูซาเล็ม เมื่อกองทหารของกษัตริย์แห่งบาบิโลนกำลังโจมตีเยรูซาเล็มและเมืองของยูดาห์ที่ยังยืนหยัดอยู่ ลาคีชและอาเซคาห์เป็นเมืองที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่งของยูดาห์แต่ก็กำลังถูกโจมตี

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ หลังจากกษัตริย์เศเดคียาห์ได้ทำพันธสัญญากับประชาชนทั้งปวงในเยรูซาเล็ม เพื่อประกาศอิสรภาพแก่พวกเขา ให้ทุกคนปล่อยทาสชาวฮีบรูให้เป็นอิสระ ทั้งชายและหญิง เพื่อไม่ให้ผู้ใดกักตัวพี่น้องชาวยิวให้เป็นทาส 10 และเขาทั้งหลายก็กระทำตาม บรรดาผู้นำทั้งปวงและประชาชนได้ทำพันธสัญญาว่า ทุกคนจะปล่อยทาสของตนให้มีอิสระ ทั้งชายและหญิง เพื่อพวกเขาจะไม่ถูกกักเป็นทาสอีก พวกเขาเชื่อฟังและปล่อยทาสให้เป็นอิสระ 11 แต่หลังจากนั้น พวกเขากลับคำและนำทาสทั้งชายและหญิงที่ได้รับอิสรภาพแล้ว กลับมาเป็นทาสอีก 12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ 13 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ “เราเป็นผู้ที่ทำพันธสัญญากับบรรพบุรุษของพวกเจ้า เมื่อเรานำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ ออกจากบ้านแห่งการเป็นทาส เราบอกพวกเขาว่า 14 ‘ปลายปีที่เจ็ด พวกเจ้าแต่ละคนจะต้องปล่อยพี่น้องชาวฮีบรูที่ถูกขายให้แก่เจ้าและรับใช้เจ้าแล้ว 6 ปีให้เป็นอิสระ จงให้เขาเป็นอิสระจากงานรับใช้ของเจ้า’[a] แต่บรรพบุรุษของเจ้าไม่ได้ฟังเราและไม่แม้แต่จะเงี่ยหูฟัง 15 ไม่นานมานี้ พวกเจ้ากลับใจและกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา ด้วยการที่ทุกคนให้อิสรภาพแก่เพื่อนบ้านของตน และพวกเจ้าให้สัญญากับเราในตำหนักซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นของเรา 16 แต่แล้วพวกเจ้าก็กลับคำพูดและดูหมิ่นชื่อของเรา เมื่อพวกเจ้าแต่ละคนนำทาสชายและหญิงกลับมาเป็นทาสของเจ้าอีก หลังจากที่เจ้าได้ปล่อยพวกเขาให้มีอิสระไปตามความปรารถนาของพวกเขาแล้ว”

17 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “พวกเจ้าไม่ได้เชื่อฟังเรา เพราะไม่ได้ให้อิสรภาพแก่พี่น้องและเพื่อนบ้านของตน ดูเถิด เราประกาศแก่พวกเจ้าให้มีอิสระที่จะตายในการสู้รบ โรคระบาด ความอดอยาก พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น เราจะทำให้อาณาจักรทั้งปวงบนแผ่นดินโลกเห็นพวกเจ้าตกอยู่ในสภาพที่หวาดหวั่น 18 พวกที่ได้ละเมิดพันธสัญญาของเราและไม่รักษากฎของพันธสัญญาซึ่งพวกเขาได้ทำต่อหน้าเรา เราจึงจะทำให้พวกเขาเป็นอย่างลูกโคที่พวกเขาได้ผ่าออกเป็น 2 ซีกและเดินเหยียบระหว่าง 2 ซีก[b] 19 แม้แต่บรรดาผู้นำของยูดาห์และเยรูซาเล็ม บรรดาขันที ปุโรหิต และประชาชนทั้งปวงของแผ่นดินที่ได้เดินระหว่าง 2 ซีกของลูกโค 20 เราก็จะมอบพวกเขาไว้ในมือของศัตรู และในมือของพวกที่ต้องการจะเอาชีวิตพวกเขา และร่างของพวกเขาจะเป็นอาหารของนกในอากาศและสัตว์ป่าในแผ่นดินโลก 21 เราจะมอบเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์และพวกผู้นำของเขาไว้ในมือของศัตรู และในมือของพวกที่ต้องการจะเอาชีวิตพวกเขา ในมือของทหารของกษัตริย์แห่งบาบิโลน ซึ่งได้ถอยทัพไปจากพวกเจ้าแล้ว 22 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ดูเถิด เราจะบัญชาและนำพวกเขากลับมายังเมืองนี้ และพวกเขาจะโจมตีและยึดเมือง แล้วก็จะใช้ไฟเผาเมือง เราจะทำให้เมืองต่างๆ ของยูดาห์เป็นที่รกร้างปราศจากผู้อยู่อาศัย”

ชาวเรคาบเชื่อฟัง

35 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ในรัชสมัยของเยโฮยาคิมบุตรโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ดังนี้ว่า “จงไปที่บ้านของพวกชาวเรคาบ[c] จงพูดและนำพวกเขามายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พาพวกเขาเข้าไปในห้องใดห้องหนึ่งและเชิญให้ดื่มเหล้าองุ่น” ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงพายาอาซันยาห์บุตรเยเรมีย์ ฮาบาซินยาห์และพี่น้องของเขา กับบุตรชายของเขาทุกคน และทุกคนในพงศ์พันธุ์ของชาวเรคาบไป ข้าพเจ้านำพวกเขาไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เข้าไปในห้องของบรรดาบุตรของฮานานบุตรของอิกดาลิยาห์ผู้เป็นคนของพระเจ้า ห้องนั้นอยู่ใกล้ห้องของบรรดาผู้นำ ซึ่งอยู่เหนือห้องของมาอาเสยาห์บุตรของชัลลูมผู้เฝ้าประตู แล้วข้าพเจ้าก็วางเหยือกที่มีเหล้าองุ่นพร้อมถ้วยไว้ที่ตรงหน้าชาวเรคาบ และข้าพเจ้าพูดว่า “เชิญดื่มเหล้าองุ่น” แต่พวกเขาตอบว่า “พวกเราจะไม่ดื่มเหล้าองุ่น เพราะโยนาดับบุตรของเรคาบ ผู้เป็นบรรพบุรุษของเราสั่งพวกเราว่า ‘พวกเจ้าและลูกหลานของเจ้าจงอย่าดื่มเหล้าองุ่นตลอดไป พวกเจ้าจงอย่าสร้างบ้าน อย่าหว่านเมล็ด อย่าปลูกหรือเป็นเจ้าของไร่องุ่น แต่จงอาศัยอยู่ในกระโจมตลอดชีวิต เพื่อเจ้าจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินที่ต่างถิ่นเป็นเวลานาน’ พวกเราได้เชื่อฟังทุกสิ่งที่โยนาดับบุตรของเรคาบ ผู้เป็นบรรพบุรุษของเราสั่งพวกเราไว้ ไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่นตลอดชีวิตของเรา ทั้งตัวเราเอง ภรรยา บุตรชายและบุตรหญิงของเรา และไม่สร้างบ้านอยู่ พวกเราไม่มีไร่องุ่น ไร่นา หรือเมล็ดพันธุ์พืช 10 แต่พวกเราได้อาศัยอยู่ในกระโจม และได้เชื่อฟังและปฏิบัติทุกสิ่งที่โยนาดับบรรพบุรุษของเราได้สั่งเราไว้ 11 แต่เมื่อเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนขึ้นมาโจมตีแผ่นดิน เราพูดว่า ‘พวกเราไปเยรูซาเล็มกันเถิด หนีพวกทหารของชาวเคลเดียและของชาวอารัม’[d] พวกเราจึงอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม”

12 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ 13 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า “จงไปพูดกับผู้คนของยูดาห์และบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มดังนี้ ‘พวกเจ้าจะไม่ยอมรับฟังคำสั่งและเชื่อฟังคำของเราหรือ’ พระผู้เป็นเจ้าประกาศเช่นนั้น 14 โยนาดับบุตรเรคาบสั่งลูกหลานของตนไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่น และพวกเขาก็ยังเชื่อฟังมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยว่า พวกเขาได้เชื่อฟังคำสั่งของบรรพบุรุษ เราได้พูดกับพวกเจ้าเสมอมา แต่พวกเจ้าไม่ได้ฟังเรา 15 เราได้ให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ผู้รับใช้ของเราทั้งปวงมาหาพวกเจ้า ให้พวกเขามาหาและพูดกับเจ้าเสมอว่า ‘บัดนี้พวกเจ้าทุกคนจงเลิกกระทำความชั่ว และเปลี่ยนการกระทำของพวกเจ้า อย่าไปติดตามปวงเทพเจ้าและบูชาสิ่งเหล่านั้น แล้วเจ้าจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินที่เรามอบให้แก่พวกเจ้าและบรรพบุรุษของเจ้า’ แต่พวกเจ้าไม่ฟังและไม่แม้แต่จะเงี่ยหูฟังเรา 16 บรรดาบุตรของโยนาดับบุตรของเรคาบได้รักษาคำสั่งของบรรพบุรุษ แต่ชนชาตินี้ไม่เชื่อฟังเรา” 17 ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ “ดูเถิดเรากำลังทำให้ยูดาห์และบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มประสบกับความวิบัติซึ่งเราได้ลั่นวาจากล่าวโทษพวกเขา เพราะเราได้พูดกับพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ยอมฟัง เมื่อเราเรียกพวกเขา เขาก็ไม่ตอบ”

18 และเยเรมีย์พูดกับพงศ์พันธุ์ของเรคาบว่า “พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ‘เพราะพวกเจ้าได้เชื่อฟังคำสั่งของโยนาดับบรรพบุรุษของเจ้า และรักษาคำสั่งสอนทั้งสิ้นของเขา และทำทุกสิ่งที่เขาสั่งพวกเจ้า 19 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า โยนาดับบุตรเรคาบจะมีผู้สืบเชื้อสายที่จะยืนอยู่เบื้องหน้าเราเสมอ’”

เยโฮยาคิมเผาหนังสือม้วนของเยเรมีย์

36 ในปีที่สี่ของรัชสมัยเยโฮยาคิมบุตรโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ “จงหยิบหนังสือม้วนมาและเขียนทุกคำที่เราได้พูดกับเจ้าถึงอิสราเอล ยูดาห์ และประชาชาติทั้งปวงนับจากเวลาที่เราเริ่มพูดกับเจ้าในสมัยโยสิยาห์จนถึงเวลานี้ พงศ์พันธุ์ยูดาห์อาจจะได้ยินเรื่องความวิบัติที่เราตั้งใจให้เกิดขึ้นกับพวกเขา เพื่อว่าทุกคนจะได้เลิกกระทำความชั่ว และเราจะได้ยกโทษความชั่วและบาปของพวกเขา”

เยเรมีย์จึงเรียกบารุคบุตรเนริยาห์มาพบ เพื่อบอกให้บารุคบันทึกทุกคำพูดของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้กล่าวกับเยเรมีย์ไว้ในหนังสือม้วน เยเรมีย์สั่งบารุคว่า “ข้าพเจ้าถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้น ท่านจะเป็นผู้ที่ไปในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าในวันอดอาหาร และอ่านคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าจากหนังสือม้วนที่ข้าพเจ้าให้ท่านบันทึก อ่านให้แก่ชาวยูดาห์ทั้งปวงที่เดินทางมาจากหมู่บ้านของพวกเขา พวกเขาอาจจะอ้อนวอนขอความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า และทุกคนจะเลิกกระทำความชั่ว เพราะความกริ้วและการลงโทษอันใหญ่หลวงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ลั่นวาจาต่อชนชาตินี้” และบารุคบุตรเนริยาห์ก็ปฏิบัติ ตามที่เยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าสั่งให้เขาอ่านคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าจากหนังสือม้วนในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า

ในปีที่ห้าของรัชสมัยเยโฮยาคิมบุตรโยสิยาห์ ผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ ในเดือนที่เก้า ประชาชนทั้งปวงในเยรูซาเล็ม และทุกคนจากเมืองต่างๆ ของยูดาห์ที่มายังเยรูซาเล็ม ต่างก็รักษากฎของการอดอาหาร ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 10 และบารุคอ่านคำกล่าวจากหนังสือม้วนของเยเรมีย์ให้ประชาชนทั้งปวงฟัง ที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ในห้องของเกมาริยาห์บุตรชาฟานเลขา ซึ่งอยู่ที่ลานบนตรงทางเข้าประตูใหม่ของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า

11 เมื่อมิคายาห์บุตรเกมาริยาห์ผู้เป็นบุตรของชาฟานได้ยินคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าจากหนังสือม้วนหมดแล้ว 12 เขาก็ลงไปยังวังของกษัตริย์ เข้าไปในห้องของเลขา และผู้นำทั้งปวงก็นั่งประชุมอยู่ เอลีชามาเลขา เดไลยาห์บุตรเชไมยาห์ เอลนาธานบุตรอัคโบร์ เกมาริยาห์บุตรชาฟาน เศเดคียาห์บุตรฮานันยาห์ และผู้นำทั้งปวงอยู่ที่นั่น 13 มิคายาห์บอกทุกคนว่าเขาได้ยินคำกล่าวทั้งหมดเวลาที่บารุคอ่านหนังสือม้วนให้ประชาชนฟัง 14 ครั้นแล้วผู้นำทั้งปวงก็ให้เยฮูดีบุตรเนธานิยาห์ผู้เป็นบุตรเชเลมิยาห์ผู้เป็นบุตรคูชี ไปบอกบารุคว่า “ช่วยนำหนังสือม้วนที่ท่านอ่านให้ประชาชนฟังมา” บารุคบุตรเนริยาห์จึงนำหนังสือม้วนมาให้พวกเขา 15 พวกเขาพูดว่า “เชิญนั่งและอ่านเถิด” บารุคจึงอ่านให้พวกเขาฟัง 16 เมื่อพวกเขาได้ยินคำกล่าวทั้งหมด ต่างก็มองหน้ากันและกันด้วยความกลัว และพูดกับบารุคว่า “พวกเราต้องรายงานเรื่องที่ได้ยินทั้งหมดนี้ต่อกษัตริย์” 17 แล้วพวกเขาถามบารุคว่า “กรุณาบอกพวกเราด้วยว่า ท่านเขียนสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร เยเรมีย์เป็นผู้บอกข้อความให้ท่านเขียนหรือ” 18 บารุคตอบว่า “ใช่ ท่านเป็นผู้บอกข้อความ และข้าพเจ้าใช้หมึกเขียนบนหนังสือม้วน” 19 บรรดาผู้นำจึงบอกบารุคว่า “ท่านและเยเรมีย์จงไปซ่อนตัว และอย่าให้ใครทราบว่าท่านอยู่ที่ไหน”

20 เมื่อพวกเขาเก็บหนังสือม้วนในห้องของเอลีชามาเลขาแล้ว พวกเขาก็เข้าไปที่ลานของกษัตริย์ และรายงานให้กษัตริย์ทราบทุกสิ่งที่เขียนในหนังสือม้วน 21 กษัตริย์สั่งเยฮูดีให้นำหนังสือม้วนมา เขาจึงไปเอามาจากห้องของเอลีชามาเลขา และเยฮูดีอ่านให้กษัตริย์และผู้นำทั้งปวงที่ยืนอยู่ใกล้กษัตริย์ฟัง 22 ขณะนั้นเป็นเดือนที่เก้า กษัตริย์กำลังนั่งอยู่ในวังฤดูหนาว ซึ่งมีเตาผิงไฟก่ออยู่เบื้องหน้าท่าน 23 เมื่อเยฮูดีอ่านได้ 3-4 ตอน กษัตริย์ก็จะใช้มีดตัดออก และโยนทิ้งในเตาผิงไฟ จนกระทั่งหนังสือทั้งม้วนถูกเผาไฟในเตาผิงหมด 24 ถึงกระนั้น กษัตริย์และบรรดาผู้รับใช้ของท่านที่ทราบเรื่องก็ไม่เกิดความกลัวหรือฉีกเสื้อของตนให้ขาด 25 แม้ว่าเอลนาธาน เดไลยาห์ และเกมาริยาห์พยายามห้ามกษัตริย์ไม่ให้เผาหนังสือม้วน ท่านก็ยังไม่ฟัง 26 และกษัตริย์ออกคำสั่งให้เยราเมเอลบุตรของกษัตริย์ เสไรยาห์บุตรอัสรีเอล และเชเลมิยาห์บุตรของอับเดเอล จับกุมบารุคเลขาและเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า แต่พระผู้เป็นเจ้าได้ซ่อนตัวคนทั้งสองแล้ว

27 หลังจากที่กษัตริย์ได้เผาหนังสือม้วนซึ่งเยเรมีย์บอกให้บารุคเขียนแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ว่า 28 “จงเขียนในหนังสือม้วนใหม่ ใส่ข้อความเดียวกับที่เขียนในม้วนแรกซึ่งเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์เผาไปแล้ว 29 และเจ้าจงพูดกับเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ดังนี้ ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า เจ้าได้เผาหนังสือม้วนนี้และพูดว่า “ทำไมเจ้าจึงเขียนในหนังสือว่า กษัตริย์แห่งบาบิโลนจะมาทำลายแผ่นดินนี้อย่างแน่นอน และจะกำจัดมนุษย์และสัตว์ออกไปจากแผ่นดิน” 30 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า เขาจะไม่มีสักคนที่จะนั่งบนบัลลังก์ของดาวิด[e] และร่างของเขาจะถูกโยนออกไปให้แดดเผาในยามกลางวันและเผชิญความเหน็บหนาวในยามกลางคืน 31 และเราจะลงโทษเขา ผู้สืบเชื้อสายของเขา และบรรดาผู้รับใช้ของเขาซึ่งต่างก็ทำความชั่ว พวกเขาไม่ยอมฟัง เราจะทำให้บรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มและผู้คนของยูดาห์ประสบกับความวิบัติตามที่เราได้ลั่นวาจาไว้แล้ว’”

32 เยเรมีย์ให้บารุคเลขา บุตรเนริยาห์ เขียนตามคำบอกของเยเรมีย์ลงในหนังสือม้วนใหม่ ให้เหมือนกับทุกคำพูดในหนังสือม้วนแรกที่เยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์เผาไฟแล้ว และเยเรมีย์เพิ่มหลายคำที่คล้ายๆ กับข้อความเดิมลงในหนังสือม้วนที่สองนี้

เยเรมีย์เตือนเศเดคียาห์

37 เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนแต่งตั้งเศเดคียาห์บุตรของโยสิยาห์ให้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์แทนโคนิยาห์บุตรเยโฮยาคิม แต่เศเดคียาห์และบรรดาผู้รับใช้ของท่าน และประชาชนในแผ่นดินไม่ฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์กล่าวผ่านเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า

กษัตริย์เศเดคียาห์ให้เยฮูคัลบุตรของเชเลมิยาห์ และเศฟันยาห์ปุโรหิตบุตรของมาอาเสยาห์ ไปหาเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และพูดกับท่านว่า “โปรดอธิษฐานขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเราเพื่อพวกเรา” ขณะนั้นเยเรมีย์ยังไปมาหาสู่กับประชาชน เพราะท่านยังไม่ถูกจำขัง กองทัพของชาวเคลเดียกำลังล้อมเมืองเยรูซาเล็มอยู่ แต่เมื่อพวกเขาทราบว่ากองทหารของฟาโรห์ได้ออกจากอียิปต์แล้ว พวกเขาจึงถอยทัพออกไปจากเยรูซาเล็ม

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า กษัตริย์แห่งยูดาห์ส่งเจ้าให้มาขอร้องเรา เจ้าจงไปบอกเขาว่า ‘ดูเถิด กองทหารของฟาโรห์ที่มาช่วยเจ้ากำลังจะกลับไปอียิปต์แผ่นดินของพวกเขา และชาวเคลเดียจะกลับมาสู้รบเมืองนี้ พวกเขาจะยึดและเผาเมืองนี้’ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า อย่าหลอกลวงตัวเองด้วยการพูดว่า ‘พวกชาวเคลเดียจะถอยกลับไปจากพวกเรา’ เพราะว่าพวกเขาจะไม่ถอยกลับไป 10 เพราะถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะโจมตีกองทัพของชาวเคลเดียที่กำลังต่อสู้กับเจ้าจนพวกเขาแตกพ่ายไป แต่ทหารบาดเจ็บทุกคนที่อยู่ในกระโจมและยังมีชีวิตอยู่ก็จะลุกขึ้นมาและเผาเมืองนี้”

เยเรมีย์ถูกจำขัง

11 เมื่อทหารชาวเคลเดียถอนทัพออกจากเยรูซาเล็มเนื่องจากกองทัพของฟาโรห์กำลังเข้ามาใกล้ 12 เยเรมีย์ออกเดินทางจากเยรูซาเล็ม ไปยังดินแดนของเบนยามินเพื่อรับส่วนแบ่งที่ดินเช่นเดียวกับประชาชนที่นั่น 13 เมื่อท่านถึงประตูเบนยามิน ยามประตูที่นั่นชื่อ อิรียาห์บุตรเชเลมิยาห์ผู้เป็นบุตรของฮานันยาห์ก็จับกุมเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า โดยพูดว่า “ท่านกำลังทอดทิ้งพวกเราให้แก่ชาวเคลเดีย” 14 เยเรมีย์ตอบว่า “ไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งให้แก่ชาวเคลเดีย” แต่อิรียาห์ไม่ยอมฟังท่าน เขาจับกุมท่านและนำท่านไปให้บรรดาผู้นำ 15 ผู้นำทั้งหลายก็ฉุนเฉียวใส่เยเรมีย์ ทุบตีและจำขังท่านที่บ้านของโยนาธานเลขา ซึ่งได้กลายเป็นที่จองจำนักโทษไปแล้ว

16 เมื่อเยเรมีย์ถูกจำขังอยู่ใต้ดินเป็นเวลาหลายวัน 17 กษัตริย์เศเดคียาห์ให้คนไปตามท่านมาพบ กษัตริย์ถามเยเรมีย์เป็นการส่วนตัวที่วังของท่านว่า “พระผู้เป็นเจ้ามีคำกล่าวอะไรหรือไม่” เยเรมีย์ตอบว่า “มี” และท่านพูดว่า “ท่านจะถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน” 18 เยเรมีย์พูดกับกษัตริย์เศเดคียาห์ด้วยว่า “ข้าพเจ้ากระทำอะไรผิดต่อท่านหรือผู้รับใช้ของท่าน หรือต่อชนชาตินี้ ท่านจึงได้จำขังข้าพเจ้า 19 บรรดาผู้เผยคำกล่าวท่านใดที่รับใช้ท่านและเผยความว่า ‘กษัตริย์แห่งบาบิโลนจะไม่มาสู้รบกับท่านและเมืองนี้’ 20 โอ เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ของข้าพเจ้า บัดนี้ ข้าพเจ้าน้อมตัวลง ณ เบื้องหน้าท่าน ขอให้ท่านโปรดฟังคำขอร้อง โปรดอย่าส่งข้าพเจ้ากลับไปที่บ้านของโยนาธานเลขาอีก มิฉะนั้นข้าพเจ้าตายที่นั่นแน่ๆ” 21 ดังนั้นกษัตริย์เศเดคียาห์จึงออกคำสั่ง และเยเรมีย์ถูกส่งไปที่ลานทหารยาม ให้ท่านได้รับขนมปังประจำทุกวันจากครัวของคนทำขนมปัง จนกระทั่งไม่มีขนมปังในเมืองอีก ดังนั้นเยเรมีย์จึงยังคงอยู่ที่ลานทหารยามต่อไป

เยเรมีย์อยู่ในบ่อเก็บน้ำ

38 เชฟาทิยาห์บุตรมัทธาน เก-ดาลิยาห์บุตรปาชเฮอร์ ยูคาลบุตรเชเลมิยาห์ และปาชเฮอร์บุตรมัลคิยาห์ทราบมาว่า เยเรมีย์กำลังพูดกับประชาชนทั้งปวงดังนี้ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘ผู้ที่อยู่ในเมืองนี้จะตายด้วยการต่อสู้ การอดอยาก และด้วยโรคระบาด แต่ผู้ที่ออกไปพบกับพวกชาวเคลเดียจะมีชีวิตคงอยู่ และจะเอาชีวิตหนีรอดไปได้ และมีชีวิตอยู่ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า เมืองนี้จะถูกมอบไว้ในมือของกองทัพของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และจะถูกยึดไป’” บรรดาผู้นำพูดกับกษัตริย์ดังนี้ว่า “ฆ่าชายผู้นี้เถิด เพราะเขากำลังทำลายกำลังใจเหล่าทหารที่ยังเหลืออยู่ในเมืองนี้และประชาชนทั้งปวง ด้วยการพูดสิ่งเหล่านี้กับพวกเขา เพราะชายผู้นี้ไม่หวังดีต่อประชาชนเลย แต่กลับหวังร้ายต่อพวกเขา” กษัตริย์เศเดคียาห์ตอบว่า “ดูเถิด เขาอยู่ใต้อำนาจของพวกท่าน กษัตริย์ไม่สามารถจะขัดขวางพวกท่านได้” ดังนั้น พวกเขาจึงจับเยเรมีย์ไป และใช้เชือกหย่อนท่านลงในบ่อเก็บน้ำของมัลคิยาห์บุตรของกษัตริย์ บ่อนั้นอยู่ที่ลานทหารยาม เป็นบ่อน้ำแห้งซึ่งมีแต่โคลน เยเรมีย์จึงจมลงในโคลน

เยเรมีย์ขึ้นจากบ่อน้ำ

เมื่อเอเบดเมเลคขันทีชาวคูชผู้อยู่ในวังกษัตริย์ ทราบว่าเยเรมีย์ถูกบังคับให้อยู่ในบ่อน้ำ ขณะนั้นกษัตริย์กำลังนั่งอยู่ที่ประตูเบนยามิน เอเบดเมเลคออกไปจากวังของกษัตริย์ และพูดกับกษัตริย์ว่า “เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ ชายเหล่านี้ได้ทำสิ่งชั่วร้ายต่อเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าในทุกเรื่อง เขาให้เยเรมีย์ลงไปอยู่ในบ่อเก็บน้ำ ท่านจะต้องหิวตายที่นั่น เพราะไม่มีอาหารเหลืออยู่ในเมืองแล้ว” 10 กษัตริย์จึงสั่งเอเบดเมเลคชาวคูชว่า “พาชาย 30 คนจากที่นี่ไปกับเจ้า และช่วยดึงเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าออกจากบ่อเก็บน้ำก่อนที่เขาจะตาย” 11 ดังนั้น เอเบดเมเลคจึงพาพวกผู้ชายไปยังวังของกษัตริย์กับเขา เขาเอาเศษผ้าและเสื้อเก่าจากห้องใต้คลัง พร้อมกับหย่อนเชือกลงในบ่อเก็บน้ำให้เยเรมีย์ 12 เอเบดเมเลคชาวคูชบอกเยเรมีย์ว่า “ใช้เศษผ้าหนุนระหว่างใต้รักแร้กับเชือก” เยเรมีย์ก็ทำตาม 13 แล้วพวกเขาก็ใช้เชือกดึงเยเรมีย์ขึ้นออกจากบ่อน้ำ เยเรมีย์อยู่ที่ลานทหารยามต่อไป

เยเรมีย์ให้คำเตือนแก่เศเดคียาห์อีก

14 กษัตริย์เศเดคียาห์ให้คนไปตามเยเรมีย์มาพบท่านที่ทางเข้าที่สามของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์กล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ “เรามีสิ่งหนึ่งที่อยากจะถามท่าน ท่านอย่าปกปิดเรา” 15 เยเรมีย์ตอบเศเดคียาห์ดังนี้ “ถ้าข้าพเจ้าบอกท่าน แล้วท่านจะไม่ฆ่าข้าพเจ้าหรือ ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าให้คำแนะนำ ท่านก็จะไม่ฟังข้าพเจ้า” 16 กษัตริย์เศเดคียาห์สาบานกับเยเรมีย์เป็นการส่วนตัวดังนี้ “พระผู้เป็นเจ้าผู้ให้ชีวิตแก่พวกเรา ตราบที่พระองค์มีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะไม่ฆ่าท่านและไม่มอบท่านไว้ในมือของบรรดาผู้ที่ต้องการจะฆ่าท่าน”

17 เยเรมีย์จึงตอบเศเดคียาห์ดังนี้ “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ถ้าท่านยอมจำนนต่อบรรดาผู้นำของกษัตริย์แห่งบาบิโลน ท่านก็จะไม่ถูกฆ่า และเมืองนี้จะไม่ถูกไฟเผา ทั้งตัวท่านและครอบครัวก็จะรอดชีวิต 18 แต่ถ้าท่านไม่ยอมจำนนต่อบรรดาผู้นำของกษัตริย์แห่งบาบิโลน เมืองนี้ก็จะถูกมอบไว้ในมือของชาวเคลเดีย และพวกเขาจะเผาเมือง และท่านจะไม่รอดจากมือของพวกเขา” 19 กษัตริย์เศเดคียาห์บอกเยเรมีย์ว่า “เรากลัวชาวยูดาห์ที่ได้ยอมจำนนแก่ชาวเคลเดีย เรากลัวว่าเราจะถูกมอบตัวให้แก่พวกเขา และจะถูกทำร้าย” 20 เยเรมีย์ตอบว่า “ท่านจะไม่ถูกมอบตัวให้แก่พวกเขา เวลานี้ท่านจงเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าในสิ่งที่ข้าพเจ้าบอกท่าน และทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีกับท่าน และท่านจะรอดชีวิต 21 แต่ถ้าท่านไม่ยอมจำนน ภาพนิมิตที่พระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้าเห็นก็คือ 22 ดูเถิด ผู้หญิงทุกคนที่เหลืออยู่ในวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์กำลังถูกนำตัวออกไปยังบรรดาผู้นำของกษัตริย์แห่งบาบิโลน พวกเขาพูดถึงท่านดังนี้ว่า

‘เพื่อนทั้งหลายของท่านที่ท่านไว้วางใจได้หลอกลวงท่าน
    และทำตามที่พวกเขาต้องการ
เท้าของท่านจมอยู่ในโคลน
    พวกเขาทอดทิ้งท่านไป’

23 บรรดาภรรยาและบุตรชายของท่านจะถูกนำออกไปมอบแก่ชาวเคลเดีย และท่านเองจะหนีไม่รอดจากมือของพวกเขา แต่จะถูกกษัตริย์แห่งบาบิโลนจับกุม และเมืองนี้จะถูกไฟไหม้”

24 แล้วเศเดคียาห์พูดกับเยเรมีย์ว่า “อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้ แล้วท่านจะไม่ตาย 25 ถ้าบรรดาผู้นำทราบว่าเราได้พูดกับท่าน และพวกเขามาหาท่านเพื่อถามท่านว่า ‘บอกพวกเราเถิดว่า ท่านพูดอะไรกับกษัตริย์ และกษัตริย์พูดอะไรกับท่านบ้าง อย่าปกปิดพวกเรา และพวกเราจะไม่ฆ่าท่าน’ 26 ท่านจงบอกพวกเขาว่า ‘ข้าพเจ้าน้อมตัวลงด้วยคำขอร้องต่อกษัตริย์ว่า ท่านจะไม่ส่งข้าพเจ้ากลับไปที่บ้านของโยนาธานให้ไปตายที่นั่น’” 27 แล้วผู้นำทั้งปวงมาหาเยเรมีย์ และถามท่าน ท่านก็ตอบพวกเขาตามที่กษัตริย์สั่ง ดังนั้น พวกเขาจึงไม่พูดกับท่านอีก เพราะไม่มีใครทราบว่าท่านพูดสิ่งใดกับกษัตริย์ 28 เยเรมีย์จึงอยู่ที่ลานทหารยามต่อไปจนถึงวันที่เยรูซาเล็มถูกยึด

เยรูซาเล็มถล่ม

39 ในปีที่เก้าของรัชสมัยเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ในเดือนที่สิบ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนและกองทัพของท่านทั้งหมดมาโจมตีเยรูซาเล็มและยึดไว้ได้ ในปีที่สิบเอ็ดของรัชสมัยเศเดคียาห์ วันที่เก้าของเดือนที่สี่ กำแพงเมืองถูกพังลง ครั้นแล้วผู้นำทั้งหมดของกษัตริย์แห่งบาบิโลนจึงเข้าไปนั่งที่ประตูกลาง รวมทั้งเนอร์กัลชาเรเซอร์ สัมการ์เนโบ สาร์เสคิมผู้บัญชาการ เนอร์กัลชาเรเซอร์ผู้นำ ร่วมกับผู้นำอื่นๆ ทั้งหมดของกษัตริย์แห่งบาบิโลน เมื่อเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์และทหารทั้งหมดเห็นพวกเขา ก็พากันหนีออกไปจากเมืองในเวลากลางคืน ไปทางสวนของกษัตริย์ ผ่านทางประตูเมืองระหว่าง 2 กำแพง และพวกเขาไปทางที่จะไปอาราบาห์ แต่กองทัพของชาวเคลเดียไล่ตามพวกเขาไป และจับกุมเศเดคียาห์ได้ในที่ราบเยรีโค เมื่อพวกเขาจับตัวท่านได้แล้วก็นำไปส่งให้เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่เมืองริบลาห์ในอาณาเขตของฮามัท และเนบูคัดเนสซาร์ประกาศโทษแก่ท่าน กษัตริย์แห่งบาบิโลนสังหารบรรดาบุตรชายของเศเดคียาห์ที่ริบลาห์ต่อหน้าท่าน และกษัตริย์แห่งบาบิโลนสังหารบรรดาผู้นำของยูดาห์ทั้งหมด เศเดคียาห์ถูกควักลูกตา และถูกล่ามโซ่ไปยังบาบิโลน ชาวเคลเดียเผาวังกษัตริย์และบ้านประชาชน และพังกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันได้กวาดต้อนประชาชนที่เหลืออยู่ในเมืองและพวกที่ยอมจำนนแก่เขา รวมทั้งประชาชนที่ยังเหลืออยู่ให้ไปเป็นเชลยที่บาบิโลน 10 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันไม่ได้จับกุมคนยากจนบางคนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ให้พวกเขาอยู่ต่อในแผ่นดินของยูดาห์ และในขณะเดียวกันก็ยังให้สวนองุ่นและไร่นาแก่พวกเขาด้วย

พระผู้เป็นเจ้าช่วยเยเรมีย์ให้รอด

11 เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนบัญชาผ่านเนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันเรื่องเยเรมีย์ว่า 12 “จงพาตัวเขาไป ดูแลเขาให้ดี และอย่าทำร้ายเขา เขาขอสิ่งใดก็จงทำตามนั้น” 13 ดังนั้น เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกัน เนบูชัสบานผู้บัญชาการ เนอร์กัลชาเรเซอร์ผู้นำ และบรรดาผู้นำทั้งหมดของกษัตริย์แห่งบาบิโลน 14 ให้คนไปนำเยเรมีย์มาจากลานทหารยาม และให้ท่านอยู่ในความดูแลของเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคามผู้เป็นบุตรของชาฟาน เพื่อให้เขาพาท่านกลับบ้าน ท่านจึงได้อาศัยอยู่ท่ามกลางประชาชน

15 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ขณะที่ท่านถูกกักขังที่ลานทหารยามดังนี้ 16 “จงไปบอกเอเบดเมเลคชาวคูชว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ดูเถิด เราจะให้ความวิบัติเกิดขึ้นกับเมืองนี้ตามคำพูดของเรา ไม่ให้รับความเจริญ และจะเกิดขึ้นต่อหน้าเจ้าในวันนั้น 17 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เราจะช่วยเจ้าให้รอดชีวิตในวันนั้น และเจ้าจะไม่ถูกมอบไว้ในมือของบรรดาผู้ที่เจ้ากลัว 18 เพราะเราจะช่วยเจ้าให้รอดชีวิตอย่างแน่นอน และเจ้าจะไม่ถูกฆ่า และเจ้าจะเอาชีวิตหนีรอดไปได้ เพราะเจ้าได้ไว้วางใจเรา พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น’”

เยเรมีย์อยู่ต่อในยูดาห์

40 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ หลังจากที่เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันได้ปล่อยท่านไปจากรามาห์ เขาเห็นว่าเยเรมีย์ถูกล่ามโซ่ในหมู่เชลยที่มาจากเยรูซาเล็มและยูดาห์ ซึ่งกำลังถูกคุมตัวไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ผู้บัญชาการทหารคุ้มกันพาเยเรมีย์มา และพูดดังนี้ว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านลั่นวาจาถึงความพินาศของที่แห่งนี้ พระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้ความพินาศเกิดขึ้นและกระทำตามที่พระองค์กล่าวไว้ เพราะพวกท่านเองทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า และไม่เชื่อฟังพระองค์ เรื่องจึงได้เกิดขึ้นกับพวกท่าน ดูเถิด วันนี้เราปลดโซ่จากมือท่าน และปล่อยท่านให้เป็นอิสระ ถ้าท่านเห็นว่าเป็นการดีที่จะไปยังบาบิโลนกับเรา ท่านก็มากับเรา และเราจะดูแลท่านเป็นอย่างดี แต่ถ้าท่านเห็นว่าเป็นการกระทำผิดที่จะไปยังบาบิโลนกับเรา ท่านก็อย่ามา ท่านก็เห็นแล้วว่าแผ่นดินทั้งหมดอยู่ตรงหน้าท่าน ท่านไปที่ไหนก็ได้ตามที่ท่านเห็นว่าดีและเหมาะควร” ในเมื่อเยเรมีย์ยังอยู่ที่นั่น เขาพูดต่ออีกว่า “ท่านกลับไปหาเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคามผู้เป็นบุตรของชาฟาน ผู้ที่กษัตริย์แห่งบาบิโลนแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการของเมืองต่างๆ ในยูดาห์ และท่านไปอาศัยอยู่กับเขาท่ามกลางประชาชน หรือไม่ก็ไปยังที่ที่ท่านต้องการ” ดังนั้นผู้บัญชาการทหารคุ้มกันจึงให้อาหารแก่เยเรมีย์ติดตัวไป พร้อมกับให้ของขวัญและปล่อยท่านไป ครั้นแล้ว เยเรมีย์จึงไปหาเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคามที่มิสปาห์ และอาศัยอยู่กับเขาท่ามกลางประชาชนที่เหลืออยู่ในแผ่นดิน

เมื่อบรรดาผู้บัญชาการและเหล่าทหารที่ประจำอยู่ในทุ่งโล่งทราบว่า กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้แต่งตั้งเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคามให้เป็นผู้ว่าราชการของแผ่นดิน และได้ให้เขาปกครองคนที่ยากจนที่สุดในแผ่นดินทุกเพศทุกวัย ซึ่งไม่ถูกจับไปเป็นเชลยที่บาบิโลน พวกเขาจึงพากันไปหาเก-ดาลิยาห์ที่มิสปาห์ อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ โยฮานานบุตรคาเรอัค เสไรยาห์บุตรทันหุเมท บรรดาบุตรของเอฟายชาวเนโทฟาห์ เยซานิยาห์บุตรตระกูลมาอาคาห์ และเหล่าทหารของพวกเขา เก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคามผู้เป็นบุตรของชาฟานสาบานต่อชายเหล่านั้นและเหล่าทหารว่า “อย่ากลัวที่จะรับใช้ชาวเคลเดีย จงอาศัยอยู่ในแผ่นดิน และรับใช้กษัตริย์แห่งบาบิโลน แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปด้วยดีกับท่าน 10 สำหรับเราแล้ว เราจะอาศัยอยู่ที่มิสปาห์ เพื่อเป็นผู้แทนของพวกท่านให้กับชาวเคลเดียที่จะมาหาเรา ส่วนพวกท่านจงสะสมเหล้าองุ่น ผลไม้ฤดูร้อน และน้ำมัน และเก็บไว้ในภาชนะ และอาศัยอยู่ในเมืองที่พวกท่านยึดไป” 11 ในขณะเดียวกัน ชาวยูดาห์ทั้งปวงที่อยู่ในโมอับและท่ามกลางชาวอัมโมน ในเอโดม และในอาณาเขตอื่นๆ ทราบว่ากษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ให้ผู้คนจำนวนหนึ่งมีชีวิตเหลืออยู่ในยูดาห์ อีกทั้งแต่งตั้งเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคามผู้เป็นบุตรของชาฟานให้เป็นผู้ว่าราชการปกครองพวกเขา 12 และชาวยูดาห์ทั้งปวงออกไปจากทุกที่ซึ่งพวกเขาถูกขับไล่ให้ไปอยู่ แล้วก็กลับมายังยูดาห์ ไปหาเก-ดาลิยาห์ที่มิสปาห์ พวกเขาเก็บสะสมเหล้าองุ่นและผลไม้ฤดูร้อนได้มากมาย

13 โยฮานานบุตรคาเรอัคและบรรดาผู้บัญชาการที่อยู่ในทุ่งโล่งมาหาเก-ดาลิยาห์ที่มิสปาห์ 14 และพูดกับเขาว่า “ท่านทราบไหมว่า บาอาลิสกษัตริย์ของชาวอัมโมนได้ให้อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์มาฆ่าท่าน” แต่เก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคามไม่เชื่อพวกเขา 15 โยฮานานบุตรคาเรอัคจึงพูดกับเก-ดาลิยาห์เป็นการลับที่มิสปาห์ดังนี้ว่า “โปรดให้เราไปฆ่าอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ และจะไม่มีใครทราบเรื่องนี้ ทำไมท่านจึงจะยอมให้เขาฆ่าท่าน ซึ่งจะทำให้ชาวยิวทั้งปวงที่อยู่รอบตัวท่านกระเจิดกระเจิงไป และผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของยูดาห์จะพลอยวอดวายไปด้วย” 16 แต่เก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคามพูดกับโยฮานานบุตรคาเรอัคว่า “ท่านอย่าทำอย่างนั้นเลย เพราะสิ่งที่ท่านกำลังพูดเกี่ยวกับอิชมาเอลนั้นไม่เป็นความจริง”

เก-ดาลิยาห์ถูกฆ่า

41 ในเดือนที่เจ็ด อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ผู้เป็นบุตรของเอลีชามา ซึ่งมีเลือดเนื้อเชื้อไขกษัตริย์และเป็นหนึ่งในบรรดาผู้นำของกษัตริย์ มากับชาย 10 คนเพื่อพบกับเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคามที่มิสปาห์ และขณะที่เขาทั้งหลายกำลังรับประทานอาหารที่มิสปาห์ อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์พร้อมกับชาย 10 คนก็ลุกขึ้นและใช้ดาบฆ่าเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคามผู้เป็นบุตรของชาฟาน และเขาก็สิ้นชีวิต เขาเป็นผู้ที่กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้แต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการในแผ่นดิน อิชมาเอลยังได้ฆ่าชาวยูดาห์ทุกคนและทหารชาวเคลเดียซึ่งบังเอิญอยู่กับเก-ดาลิยาห์ที่มิสปาห์ด้วย

วันรุ่งขึ้น ก่อนที่จะมีใครทราบเกี่ยวกับการฆาตกรรมของเก-ดาลิยาห์ มีชาย 80 คนมาจากเชเคม ชิโลห์ และสะมาเรีย ชายเหล่านั้นโกนเครา เสื้อผ้าที่สวมก็ขาด กรีดเนื้อตัวเอง นำเครื่องธัญญบูชาและกำยานมาถวายที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ออกจากมิสปาห์มาพบพวกเขา และร้องไห้ขณะที่มาพบชายเหล่านั้นและพูดดังนี้ “เข้ามาสิ มาหาเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคาม” เมื่อชายเหล่านั้นเข้าไปในเมือง อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์กับคนของเขาจึงสังหารพวกเขาและโยนร่างลงในบ่อเก็บน้ำ แต่มี 10 คนในกลุ่มพูดกับอิชมาเอลว่า “อย่าฆ่าพวกเราเลย เพราะเรามีข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ น้ำมัน และน้ำผึ้งเก็บซ่อนไว้ในนา” ดังนั้นเขาจึงไว้ชีวิตและไม่เอาชีวิตพวกเขาพร้อมกับเพื่อนร่วมทาง

บ่อเก็บน้ำที่อิชมาเอลโยนร่างของพวกผู้ชายที่เขาได้สังหาร รวมทั้งร่างของเก-ดาลิยาห์ด้วยนั้น เป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่กษัตริย์อาสาให้ขุดไว้สำหรับป้องกันการโจมตีของบาอาชากษัตริย์ของอิสราเอล อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์โยนศพลงในบ่อจนเต็ม 10 แล้วอิชมาเอลก็จับตัวประชาชนที่อยู่ในมิสปาห์ไปเป็นเชลย บรรดาธิดาของกษัตริย์และทุกคนที่เหลืออยู่ที่มิสปาห์ ซึ่งเนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันได้มอบให้อยู่ใต้การดูแลของเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคาม อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์จับตัวพวกเขาไปเป็นเชลย และเริ่มข้ามน้ำไปยังเขตแดนของชาวอัมโมน

11 แต่เมื่อโยฮานานบุตรคาเรอัคและบรรดาผู้บัญชาการทราบเรื่องชั่วร้ายทั้งสิ้นที่อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ได้กระทำ 12 พวกเขาจึงให้พรรคพวกของตนไปด้วยเพื่อต่อสู้กับอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ พวกเขาจู่โจมอิชมาเอลที่สระน้ำใหญ่ในกิเบโอน 13 ครั้นประชาชนทั้งปวงที่อยู่กับอิชมาเอลเห็นโยฮานานบุตรคาเรอัคและบรรดาผู้บัญชาการมาด้วยกัน พวกเขาก็ดีใจมาก 14 ดังนั้นประชาชนทั้งปวงที่อิชมาเอลได้ต้อนไปเป็นเชลยจากมิสปาห์จึงหันกลับไปร่วมกลุ่มกับโยฮานานบุตรคาเรอัค 15 แต่อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์กับชาย 8 คนหนีรอดไปจากโยฮานานได้ และไปหาชาวอัมโมน 16 โยฮานานบุตรคาเรอัคและบรรดาผู้บัญชาการที่อยู่กับเขา จึงพาประชาชนที่เหลือซึ่งรอดชีวิตจากมิสปาห์กลับมาหลังจากที่อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ได้ฆ่าเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคาม โยฮานานนำบรรดาทหาร ผู้หญิง เด็ก และขันทีกลับจากกิเบโอน 17 เขาเหล่านั้นไปอยู่ที่เกรูธ-คิมฮามใกล้เบธเลเฮม โดยที่ตั้งใจจะไปยังอียิปต์ 18 เพื่อหลบหนีชาวเคลเดีย เขาเหล่านั้นกลัวชาวเคลเดีย ก็เพราะอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ได้ฆ่าเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคาม ซึ่งกษัตริย์แห่งบาบิโลนแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการของแผ่นดิน

การเตือนไม่ให้ไปอียิปต์

42 ครั้นแล้วบรรดาผู้บัญชาการทั้งปวง โยฮานานบุตรคาเรอัค เยซานิยาห์บุตรโฮชายาห์ และประชาชนทั้งปวงตั้งแต่ผู้ด้อยสุดจนถึงผู้มีอำนาจมากที่สุด ก็มาหาเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และพูดดังนี้ว่า “พวกเราอ้อนวอนขอความเมตตาจากท่าน ขอท่านโปรดอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านให้พวกเราเถิด เพื่อผู้คนทั้งหมดที่มีชีวิตเหลืออยู่นี้ เนื่องจากพวกเรามีชีวิตเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน อย่างที่ท่านก็เห็น เพื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะได้ชี้ให้พวกเราเห็นว่า เราควรจะไปทางไหนและควรจะทำสิ่งใด” เยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าตอบพวกเขาว่า “เราได้ยินคำขอของพวกท่าน ดูเถิด ข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ตามคำขอของท่าน และอะไรก็ตามที่พระผู้เป็นเจ้าตอบท่าน ข้าพเจ้าก็จะบอกพวกท่าน เราจะไม่นิ่งเฉย” พวกเขาพูดกับเยเรมีย์ดังนี้ว่า “ถ้าหากว่าพวกเราไม่กระทำตามทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสั่งให้ท่านมาแจ้งแก่พวกเรา ขอพระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานที่แท้จริงและสัตย์จริงที่ไม่มีใครฝ่าฝืนได้ ไม่ว่าจะเป็นการดีหรือร้าย พวกเราจะเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา พวกเราให้ท่านไปหาพระองค์ เพื่อทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีกับพวกเราเมื่อเราเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา”

หลังจาก 10 วันผ่านไป พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ และท่านเรียกประชุมกับโยฮานานบุตรคาเรอัค และบรรดาผู้บัญชาการที่อยู่กับเขา และประชาชนทั้งปวงตั้งแต่ผู้ด้อยสุดจนถึงผู้มีอำนาจมากที่สุด และท่านพูดกับเขาทั้งหลายว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ผู้ที่ท่านให้ข้าพเจ้าไปเป็นตัวแทนเพื่อขอร้องขอความเมตตากล่าวดังนี้ 10 ‘ถ้าพวกเจ้าอยู่บนแผ่นดินนี้ต่อไป เราก็จะช่วยเสริมสร้างพวกเจ้าขึ้น เราจะไม่โค่นพวกเจ้าลง เราจะปลูกสร้างพวกเจ้า และจะไม่ถอนรากถอนโคน เราเสียใจที่เราให้ความวิบัติเกิดขึ้นกับพวกเจ้า 11 ไม่ต้องกลัวกษัตริย์แห่งบาบิโลนที่พวกเจ้ากลัว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ไม่ต้องกลัวเขาเพราะเราอยู่กับพวกเจ้า เพื่อช่วยพวกเจ้าให้ปลอดภัย และช่วยให้รอดจากมือของเขา 12 เราจะให้ความเมตตาแก่เจ้า โดยที่เขาจะมีเมตตาต่อเจ้า และปล่อยให้เจ้าอยู่ในแผ่นดินของเจ้าเองต่อไป’ 13 แต่ถ้าพวกท่านพูดว่า ‘พวกเราจะไม่อยู่ในแผ่นดินนี้’ และไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 14 และถ้าท่านพูดว่า ‘ไม่ พวกเราจะไปอาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเราจะไม่ต้องเผชิญกับสงคราม หรือได้ยินสัญญาณแตรงอน หรืออดอยากอาหาร พวกเราจะไปอาศัยอยู่ที่นั่น’ 15 ท่านก็จงฟังคำของพระผู้เป็นเจ้าเถิด โอ ผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของยูดาห์เอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ ‘ถ้าพวกเจ้าตั้งหน้าจะไปยังอียิปต์และเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น 16 สงครามที่เจ้ากลัวก็จะตามเจ้าไปที่นั่น ที่แผ่นดินอียิปต์ และความอดอยากที่เจ้ากลัวจะตามหลังพวกเจ้าไปที่อียิปต์อย่างใกล้ชิด และพวกเจ้าจะตายที่นั่น 17 ทุกคนที่ตั้งหน้าไปอียิปต์และเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่นจะตายเพราะสงคราม ความอดอยาก และโรคระบาด จะไม่มีใครเหลืออยู่หรือพ้นจากความวิบัติที่เราจะให้เกิดขึ้นกับพวกเขาได้’

18 เพราะพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ ‘ความกริ้วและการลงโทษของเราที่มีต่อบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มเป็นเช่นไร การลงโทษของเราก็จะมีต่อพวกเจ้าเช่นนั้นเมื่อเจ้าไปยังอียิปต์ พวกเจ้าจะเป็นสิ่งที่คนสาปแช่ง เป็นที่น่าหวาดกลัว เป็นคำสาปแช่ง และเป็นที่หัวเราะเยาะ พวกเจ้าจะไม่เห็นที่นี่อีก’ 19 โอ ผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของยูดาห์เอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแก่พวกท่านดังนี้ ‘อย่าไปที่อียิปต์’ ขอให้รับทราบอย่างแน่นอนว่า วันนี้ข้าพเจ้าได้เตือนพวกท่านล่วงหน้าแล้วว่า 20 พวกท่านได้หลงผิดขั้นถึงชีวิตของท่าน เพราะท่านให้ข้าพเจ้าไปหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน พวกท่านพูดว่า ‘โปรดอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราเพื่อพวกเรา และอะไรก็ตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรากล่าว ก็ช่วยแจ้งแก่พวกเรา และพวกเราจะกระทำตาม’ 21 และในวันนี้ ข้าพเจ้าได้แจ้งแก่พวกท่านแล้ว แต่พวกท่านไม่ได้เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านในเรื่องใดๆ ที่พระองค์ให้ข้าพเจ้ามาบอกท่าน 22 ฉะนั้น ท่านจงแน่ใจได้ว่า ท่านจะตายเพราะสงคราม ความอดอยาก และโรคระบาดในที่ซึ่งพวกท่านต้องการจะไปอาศัยอยู่”

เยเรมีย์ถูกพาไปยังอียิปต์

43 เมื่อเยเรมีย์พูดทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขาให้ประชาชนทั้งปวงฟังจบแล้ว คือทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าสั่งให้ท่านแจ้งแก่พวกเขา อาซาริยาห์บุตรโฮชายาห์ โยฮานานบุตรคาเรอัค รวมทั้งพวกผู้ชายใจยโสทุกคน ได้พูดกับเยเรมีย์ว่า “ท่านกำลังพูดเท็จ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราไม่ได้ส่งท่านให้มาพูดว่า ‘อย่าไปอาศัยอยู่ในอียิปต์’ แต่บารุคบุตรเนริยาห์ได้กระตุ้นท่านให้ขัดกับพวกเรา เพื่อมอบเราไว้ในมือของชาวเคลเดีย พวกเขาจะได้ฆ่าพวกเรา หรือไม่ก็จับไปเป็นเชลยที่บาบิโลน” ดังนั้น โยฮานานบุตรคาเรอัค บรรดาผู้บัญชาการ และประชาชนทั้งปวงไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการปฏิเสธที่จะอยู่ในยูดาห์ โยฮานานบุตรคาเรอัคและบรรดาผู้บัญชาการจึงพาผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของยูดาห์ทั้งหมดไปยังอียิปต์ ซึ่งพวกเขาเคยถูกขับไล่ไปยังประชาชาติทั้งปวงก่อนหน้านี้ และได้กลับมาอาศัยอยู่ในแผ่นดินยูดาห์ ทั้งพวกผู้ชาย ผู้หญิง เด็กๆ บรรดาธิดาของกษัตริย์ และทุกๆ คนที่เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันปล่อยให้อยู่กับเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคามผู้เป็นบุตรของชาฟาน รวมทั้งเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และบารุคบุตรเนริยาห์ และพวกเขาทุกคนก็มาถึงทาปานเหสในแผ่นดินอียิปต์ เพราะไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า

และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ที่ทาปานเหสดังนี้ “จงหยิบก้อนหินขนาดใหญ่ไปซ่อนในปูนสอที่ถนนทางเข้าไปวังของฟาโรห์ในทาปานเหส และทำให้คนยูดาห์เห็น 10 และจงพูดกับพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ดูเถิด เราจะนำเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนผู้รับใช้ของเรามา และเราจะตั้งบัลลังก์ของเขาบนก้อนหินพวกนี้ที่เราได้ซ่อนไว้ และเขาจะแผ่ปะรำของเขาบนก้อนหิน 11 เขาจะมาโจมตีแผ่นดินอียิปต์ ผู้คนทั้งหลายที่ต้องตายด้วยโรคระบาดก็จะตายด้วยโรคระบาด ที่ต้องถูกจับเป็นเชลยก็จะถูกจับไปเป็นเชลย และที่ต้องตายจากการสู้รบก็จะตายจากการสู้รบ 12 เขาจะเผาวิหารของปวงเทพเจ้าของอียิปต์ และจะขนรูปเคารพไป เขาจะกวาดล้างแผ่นดินอียิปต์จนเกลี้ยง อย่างผู้เลี้ยงดูฝูงแกะกำจัดตัวหมัดออกจากเสื้อคลุมของเขา และเขาจะกลับไปด้วยความมีชัย 13 เขาจะพังเสาหินที่วิหารแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ และเขาจะเผาวิหารทั้งหลายของปวงเทพเจ้า’”

การตัดสินลงโทษเรื่องรูปเคารพ

44 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์เรื่องชาวยูดาห์ทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ ที่มิกดล ทาปานเหส เมมฟิส และในแผ่นดินของปัทโรส พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า “พวกเจ้าเห็นความพินาศที่เราทำให้เกิดขึ้นกับเยรูซาเล็มและเมืองต่างๆ ของยูดาห์ ดูเถิด ในวันนี้ เมืองเหล่านี้พังทลายและไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ เพราะพวกเขาประพฤติชั่ว ยั่วโทสะเราด้วยการเผาเครื่องหอมและบูชาปวงเทพเจ้าซึ่งพวกเขาไม่รู้จัก แม้พวกเจ้าเองหรือบรรพบุรุษของพวกเจ้าก็ไม่รู้จัก เราได้ให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าซึ่งเป็นผู้รับใช้ของเราทุกคนมาพูดกับพวกเจ้าอย่างไม่หยุดยั้งว่า ‘โอ อย่ากระทำสิ่งที่น่ารังเกียจที่เราเกลียดชังเช่นนี้’ แต่พวกเขาไม่ได้ฟังและไม่แม้แต่จะเงี่ยหูฟัง เพื่อหันจากความชั่วและไม่เผาเครื่องหอมแก่ปวงเทพเจ้า ฉะนั้น การลงโทษและความกริ้วของเราจึงได้หลั่งออกและพลุ่งขึ้นต่อเมืองต่างๆ ของยูดาห์และที่ถนนในเยรูซาเล็ม จนพังทลายและกลายเป็นที่รกร้าง อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้” และบัดนี้ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงกระทำความชั่วอันร้ายแรงเช่นนี้ให้แก่ตนเอง ด้วยการตัดขาดจากผู้ชายและผู้หญิง เด็กและทารก จากท่ามกลางยูดาห์ โดยไม่ให้มีผู้ใดมีชีวิตเหลืออยู่ไว้แก่เจ้าเลย ทำไมพวกเจ้าจึงยั่วโทสะเราด้วยสิ่งที่พวกเจ้าทำขึ้นด้วยมือของเจ้าเอง เผาเครื่องหอมแก่ปวงเทพเจ้าในแผ่นดินอียิปต์ซึ่งเป็นที่พวกเจ้ามาอาศัยอยู่ พวกเจ้าจะถูกตัดขาดและกลายเป็นที่สาปแช่งและเป็นที่หัวเราะเยาะในท่ามกลางประชาชาติทั้งปวงของแผ่นดินโลก พวกเจ้าลืมความชั่วของบรรพบุรุษของตนแล้วหรือ ความชั่วของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ ความชั่วของภรรยาของพวกเขา ความชั่วของพวกเจ้าเอง ความชั่วของภรรยาของพวกเจ้า ที่ได้กระทำในแผ่นดินของยูดาห์และที่ถนนในเยรูซาเล็ม 10 พวกเขาไม่ได้ถ่อมตนแม้กระทั่งในวันนี้ และไม่เกรงกลัวหรือดำเนินตามกฎบัญญัติและกฎเกณฑ์ของเราที่เรากำหนดไว้ให้เจ้าและบรรพบุรุษของพวกเจ้าปฏิบัติตาม”

11 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เราตั้งใจจะให้เมืองนี้ประสบกับภัยอันตราย จะตัดขาดจากยูดาห์ทั้งหมด 12 เราจะจัดการกับผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของยูดาห์ คือพวกที่ตั้งหน้าไปยังแผ่นดินอียิปต์และเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น และพวกเขาทุกคนจะต้องตาย พวกเขาจะตายจากการสู้รบ และจะตายเพราะความอดอยากในแผ่นดินอียิปต์ นับตั้งแต่ผู้ด้อยสุดจนถึงผู้มีอำนาจมากที่สุด พวกเขาจะตายจากการสู้รบและความอดอยาก และพวกเขาจะเป็นสิ่งที่คนสาปแช่ง เป็นที่น่าหวาดกลัว เป็นคำสาปแช่ง และเป็นที่หัวเราะเยาะ 13 เราจะลงโทษบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ อย่างที่เราได้ลงโทษเยรูซาเล็ม ด้วยการสู้รบ ความอดอยาก และโรคระบาด 14 จนกระทั่งผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของยูดาห์ที่มาอาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์จะไม่มีชีวิตรอด หรือหลบหนี หรือกลับไปยังแผ่นดินยูดาห์ได้ พวกเขาอยากจะกลับไปอาศัยอยู่ที่ยูดาห์อีก แต่ก็จะกลับไปไม่ได้ ยกเว้นพวกลี้ภัยบางคนเท่านั้น”

15 ครั้นแล้ว ผู้ชายทุกคนที่ทราบว่าภรรยาของตนได้เผาเครื่องหอมแก่ปวงเทพเจ้า อีกทั้งผู้หญิงทุกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ รวมเป็นกลุ่มใหญ่ ประชาชนทั้งปวงที่อาศัยอยู่ที่ปัทโรสในแผ่นดินอียิปต์จึงตอบเยเรมีย์ดังนี้ว่า 16 “พวกเราจะไม่ฟังคำที่ท่านได้พูดกับเราในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า 17 แต่พวกเราจะทำทุกสิ่งตามที่ได้บอกแล้วว่าเราจะทำ จะเผาเครื่องหอมแก่ราชินีแห่งสวรรค์ จะรินเครื่องดื่มบูชาให้แก่นาง อย่างที่พวกเราและบรรพบุรุษของเรา บรรดากษัตริย์และผู้นำของเราเคยทำในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ และที่ถนนในเยรูซาเล็ม เพราะในเวลานั้น พวกเรามีอาหารอย่างสมบูรณ์ เจริญรุ่งเรือง และไม่ได้ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด 18 แต่นับจากเวลาที่พวกเราหยุดเผาเครื่องหอมแก่ราชินีแห่งสวรรค์ และหยุดรินเครื่องดื่มบูชาให้แก่นาง พวกเราขาดทุกสิ่ง และตายจากการสู้รบและความอดอยาก” 19 บรรดาผู้หญิงพูดว่า “เวลาที่พวกเราเผาเครื่องหอมและรินเครื่องดื่มบูชาให้แก่ราชินีแห่งสวรรค์ สามีของพวกเราไม่ทราบหรือว่า เราทำขนมเป็นรูปนางและรินเครื่องดื่มบูชาให้แก่นาง”

20 เยเรมีย์จึงพูดกับประชาชนทั้งปวงทั้งชายและหญิง กับประชาชนทุกคนที่ได้ตอบคำถามดังนี้ว่า 21 “พวกท่านและบรรพบุรุษของท่าน บรรดากษัตริย์และผู้นำของท่าน และประชาชนในแผ่นดินได้เผาเครื่องหอมในเมืองต่างๆ ของยูดาห์และที่ถนนในเยรูซาเล็มนั้น ท่านคิดว่า พระผู้เป็นเจ้าจำไม่ได้และไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นหรือ 22 พระผู้เป็นเจ้าทนต่อการกระทำอันชั่วร้ายและน่าชังที่พวกท่านปฏิบัติต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ฉะนั้นแผ่นดินของท่านจึงได้พังทลายและกลายเป็นที่รกร้าง เป็นที่น่าหวาดกลัวและเป็นคำสาปแช่ง ปราศจากผู้อยู่อาศัย อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 23 เป็นเพราะพวกท่านได้เผาเครื่องหอมและทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า และไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า และไม่ดำเนินชีวิตตามกฎบัญญัติ กฎเกณฑ์ และคำสั่งของพระองค์ ความวิบัตินี้จึงได้เกิดขึ้นกับพวกท่าน อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

24 เยเรมีย์พูดกับประชาชนและผู้หญิงทั้งปวงว่า “คนของยูดาห์ทุกท่านที่อยู่ในแผ่นดินอียิปต์ 25 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ‘พวกเจ้าและภรรยาของเจ้าได้กระทำตามที่ท่านเปิดปากประกาศ เมื่อเจ้าพูดว่า “พวกเราจะกระทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ คือเผาเครื่องหอมแก่ราชินีแห่งสวรรค์ และรินเครื่องดื่มบูชาแก่นาง” ฉะนั้นเจ้าก็จงรักษาและทำตามสัญญาของเจ้า’ 26 ฉะนั้น คนของยูดาห์ทุกท่านที่อยู่ในแผ่นดินอียิปต์จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ ‘ดูเถิด เราได้ปฏิญาณด้วยนามอันยิ่งใหญ่ของเราว่า เราจะไม่ให้ชาวยูดาห์ผู้ใดทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์กล่าวใช้ชื่อของเราอีกว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่มีชีวิตอยู่ฉันใด” 27 ดูเถิด เรากำลังดูว่า พวกเขาจะประสบกับภัยอันตราย ไม่ใช่ความปลอดภัย คนของยูดาห์ทุกคนที่อยู่ในแผ่นดินอียิปต์จะตายจากการสู้รบและความอดอยาก จนกว่าไม่มีพวกเจ้าสักคนเหลืออยู่ 28 และบรรดาผู้ที่หนีรอดจากการสู้รบจะกลับจากแผ่นดินอียิปต์ และไปยังแผ่นดินของยูดาห์มีจำนวนน้อยมาก และผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของยูดาห์ที่มาอาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์จะรู้ว่า คำกล่าวของผู้ใดจะเป็นจริง ของเราหรือของพวกเขา’ 29 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า ‘สิ่งที่จะพิสูจน์ให้พวกเจ้าเห็นก็คือ เราจะลงโทษพวกเจ้าในที่นี้ เพื่อให้พวกเจ้ารู้ว่า เราจะให้ความวิบัติเกิดขึ้นกับพวกเจ้าตามคำพูดของเราอย่างแน่นอน’ 30 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘ดูเถิด เราจะมอบฟาโรห์โฮฟรากษัตริย์แห่งอียิปต์[f]ไว้ในมือของศัตรูของเขา และในมือของพวกที่ต้องการจะฆ่าเขา อย่างที่เรามอบเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ไว้ในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนผู้เป็นศัตรูของเขาและต้องการจะฆ่าเขา’”

ข้อความถึงบารุค

45 ในปีที่สี่ของเยโฮยาคิมบุตรโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ หลังจากที่บารุคบุตรเนริยาห์ได้บันทึกในหนังสือม้วนตามคำพูดของเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแล้ว เยเรมีย์บอกบารุคว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวกับท่านว่า บารุคเอ๋ย เจ้าพูดว่า ‘วิบัติตกอยู่กับข้าพเจ้า เพราะนอกจากความเจ็บปวดแล้ว พระผู้เป็นเจ้ายังทำให้ข้าพเจ้าเศร้าใจอีก ข้าพเจ้าเหนื่อยล้าด้วยการคร่ำครวญ และไม่บรรเทาลงเลย’ เจ้าจงไปบอกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ ‘ดูเถิด เราจะโค่นสิ่งที่เราได้สร้าง และเราจะถอนรากสิ่งที่เราได้ปลูก นั่นคือทั้งแผ่นดิน และเจ้าคิดว่าเจ้าจะพิเศษกว่าคนอื่นๆ หรือ อย่าคิดเลยเพราะว่า ดูเถิด เรากำลังนำความวิบัติมาสู่ทุกชีวิต พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น แต่เราจะให้เจ้าเอาชีวิตหนีรอดไปได้ ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหนก็ตาม’”

การตัดสินลงโทษอียิปต์

46 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ถึงเรื่องบรรดาประชาชาติว่า

เกี่ยวกับอียิปต์ ในเรื่องกองทัพของฟาโรห์เนโคกษัตริย์แห่งอียิปต์ ซึ่งถูกเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนตีพ่ายไป ที่คาร์เคมิชใกล้แม่น้ำยูเฟรติส ในปีที่สี่ของสมัยเยโฮยาคิมบุตรโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์[g]

“จงเตรียมโล่และดั้งให้พร้อม
    เดินหน้าประชิดสงคราม
โอ ทหารม้าเอ๋ย จงผูกอานม้า
    และขึ้นขี่
ยืนประจำที่ของพวกเจ้าพร้อมด้วยหมวกเหล็ก
    จงขัดหอกให้มันขลับ
    และสวมเกราะของเจ้า”

พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

“ทำไมเราจึงเห็น
    พวกเขาตกใจและหันกลับ
    นักรบของพวกเขาถูกตีพ่ายไป
และรีบหนีเตลิดไป
    โดยไม่หันหลัง
    ดูน่าตกใจรอบด้าน

แม้แต่พวกที่ฝีเท้าเร็วก็ยังหนีไม่พ้น
    นักรบก็หนีไม่รอด
พวกเขาล้มลุกคลุกคลาน
    อยู่ทางทิศเหนือข้างแม่น้ำยูเฟรติส

นี่คือใครที่ลุกขึ้นอย่างแม่น้ำไนล์
    อย่างแม่น้ำที่เอ่อขึ้น
อียิปต์ลุกขึ้นอย่างแม่น้ำไนล์
    อย่างแม่น้ำที่เอ่อขึ้น
เขาพูดว่า ‘เราจะลุกขึ้น เราจะท่วมทั้งโลก
    เราจะทำลายเมืองต่างๆ และผู้อยู่อาศัยด้วย’
โอ ฝูงม้าเอ๋ย รุดหน้าเถิด
    โอ สารถีเอ๋ย จงบุกเข้าไป
ให้นักรบเดินหน้าออกไป
    พวกชาวคูชและชาวพูตผู้ถือดั้ง
    พวกชาวลูดผู้ขมังธนู
10 วันนั้นเป็นวันที่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ยิ่งใหญ่จะมา
    วันแห่งการแก้แค้นของพระองค์
    เพื่อแก้แค้นปฏิปักษ์ของพระองค์
ดาบจะฟาดฟันจนกว่าจะพอใจ
    จนกว่าจะหยุดกระหายเลือดของพวกเขา
เพราะพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ยิ่งใหญ่จะมอบเครื่องบูชาบนแผ่นดิน
    ที่ทิศเหนือข้างแม่น้ำยูเฟรติส
11 โอ ธิดาพรหมจารีแห่งอียิปต์เอ๋ย
    จงขึ้นไปหายาทาแผลที่กิเลอาด
เจ้าได้ใช้ยาหลายขนานอย่างไร้ประโยชน์
    คือแผลเจ้าจะไม่หายขาด
12 บรรดาประชาชาติทราบว่าเจ้ารู้สึกละอายใจ
    และทั้งโลกได้ยินเสียงร้องระทมของเจ้า
เพราะนักรบสะดุด
    และต่างก็พากันหกล้ม”

13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ถึงเรื่องเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่มาโจมตีแผ่นดินอียิปต์

14 “จงประกาศในอียิปต์ และประกาศในมิกดล
    ประกาศในเมมฟิสและในทาปานเหสว่า
‘จงยืนเตรียมตัวให้พร้อม
    เพราะสงครามจะทำลายทุกสิ่งรอบข้างเจ้า’
15 ทำไมพวกนักรบของเจ้าจึงก้มหน้าลง
    พวกเขายืนไม่ได้
    เพราะพระผู้เป็นเจ้าทำให้ล้มลง
16 พระองค์ทำให้หลายคนสะดุด
    และพวกเขาก็ล้มลง
และพูดต่อกันและกันว่า ‘ลุกขึ้นเถิด พวกเรากลับไปหาชนชาติพวกเราเองเถิด
    กลับไปยังถิ่นกำเนิดของพวกเรา
    เพราะผู้กดขี่ข่มเหงจะฆ่าเรา’
17 เรียกฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ว่า
    ‘ผู้ที่ทำเสียงดังหนวกหู
    ปล่อยเวลาให้ผ่านไป’”

18 กษัตริย์ผู้มีพระนามว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้

“ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด
    มีผู้หนึ่งที่จะมา
เขาเป็นดั่งภูเขาทาโบร์ที่ตระหง่านท่ามกลางเทือกเขา
    และเป็นดั่งภูเขาคาร์เมลที่ใกล้ฝั่งทะเล
19 โอ ผู้อยู่อาศัยของอียิปต์เอ๋ย
    จงเตรียมข้าวของไปเป็นเชลยเถิด
เพราะเมมฟิสจะกลายเป็นที่รกร้าง
    พังทลาย และไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่

20 อียิปต์เป็นเช่นโคสาวตัวงาม
    แต่กำลังถูกแมลงจากทิศเหนือกัดต่อย
21 แม้แต่พวกทหารที่ถูกเกณฑ์ในประเทศ
    ก็เป็นเหมือนลูกโคอ้วนพี
พวกเขาหันกลับและพากันหนีไปด้วย
    พวกเขาไม่ยืนหยัดต่อสู้
เพราะวันแห่งความวิบัติของพวกเขาได้มาถึงแล้ว
    เป็นเวลาที่พวกเขาถูกลงโทษ

22 อียิปต์ทำเสียงขู่ฟู่เหมือนงูที่กำลังเลื้อยหนีไป
    เพราะพวกศัตรูใช้กำลังบุก
และใช้ขวานเข้าโจมตีอียิปต์
    เหมือนกับขวานที่ใช้ตัดต้นไม้

23 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

พวกเขาจะตัดป่าไม้ของอียิปต์จนเตียน
    แม้ว่าป่าจะหนาทึบก็ตาม
เพราะพวกเขามีจำนวนมากกว่าฝูงตั๊กแตน
    มากจนนับไม่ถ้วน
24 ธิดาของอียิปต์จะละอายใจ
    และอียิปต์จะถูกมอบไว้ในมือของชนชาติจากทิศเหนือ”

25 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ “ดูเถิด เรากำลังจะลงโทษอาโมนเทพเจ้าแห่งเธเบส และลงโทษฟาโรห์ บรรดาเทพเจ้าและกษัตริย์ของอียิปต์ และบรรดาผู้ที่ไว้วางใจในฟาโรห์ 26 เราจะมอบพวกเขาไว้ในมือของพวกที่ต้องการล่าชีวิต แม้แต่ในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนและพวกผู้นำของเขา ต่อมาหลังจากนั้นอียิปต์จะมีผู้คนอาศัยอยู่เหมือนกาลก่อนอีก” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

27 “โอ ยาโคบผู้รับใช้ของเรา แต่เจ้าไม่ต้องกลัว
    โอ อิสราเอล เจ้าไม่ต้องตกใจ
เพราะว่าดูเถิด เราจะช่วยเจ้าให้รอดปลอดภัยจากแผ่นดินที่ห่างไกล
    และช่วยเชื้อสายของเจ้าจากแผ่นดินที่ไปอยู่เป็นเชลย
ยาโคบจะกลับไปและมีสันติสุขและความมั่นคง
    และไม่มีใครที่จะทำให้เขากลัว”

28 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“โอ ยาโคบผู้รับใช้ของเรา
    เพราะเราอยู่กับเจ้า
เราได้ขับไล่เจ้าไปอยู่ท่ามกลางประชาชาติทั้งปวง
    และเราจะทำลายพวกเขาให้สิ้นซาก
    แต่เราจะไม่ทำลายเจ้าให้สิ้นซาก
เราจะลงโทษเจ้าอย่างยุติธรรม
    เราจะไม่ปล่อยเจ้าไปโดยไม่ถูกลงโทษอย่างแน่นอน”

การตัดสินลงโทษฟีลิสเตีย

47 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าถึงเรื่องชาวฟีลิสเตีย ก่อนที่ฟาโรห์โจมตีกาซา

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า

“ดูเถิด กระแสน้ำกำลังไหลหลากจากทิศเหนือ
    และจะกลายเป็นลุ่มน้ำที่ไหลล้น
จะท่วมแผ่นดินและทุกสิ่งในแผ่นดิน
    คือเมืองและบรรดาผู้อยู่อาศัย
ผู้คนจะส่งเสียงร้อง
    และทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินจะร้องรำพัน
จะมีเสียงกระทบของกีบม้า
    เสียงรถศึกควบด้วยความเร็ว
    ล้อรถส่งเสียงกระหึ่ม
พ่อๆ ไม่หันหลังกลับไปดูลูกๆ
    มือของพวกเขาอ่อนปวกเปียก
เพราะถึงวันที่จะให้ชาวฟีลิสเตีย
    ทั้งหมดพินาศ
ให้กำจัดทุกคนที่มีชีวิตรอด
    ซึ่งช่วยเหลือไทระและไซดอน
เพราะพระผู้เป็นเจ้ากำลังจะทำให้ชาวฟีลิสเตียพินาศ
    คือผู้ที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่ของเกาะคัฟโทร์
กาซาจะอยู่ในสภาพที่โกนศีรษะให้ล้าน
    อัชเคโลนก็ตายแล้ว
โอ ผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ในหุบเขา
    เจ้าจะกรีดเนื้อตัวเองไปอีกนานแค่ไหน
โอ ดาบของพระผู้เป็นเจ้า
    เมื่อไหร่ดาบจึงจะเงียบลง
กลับเข้าไปอยู่ในฝักเถิด
    หยุดและเงียบเถิด
ดาบจะพักได้อย่างไร
    ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าบัญชา
เมื่อพระองค์ได้สั่งให้ดาบโจมตี
    อัชเคโลนและแถบชายฝั่งทะเล”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation