Print Page Options Listen to Reading
Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the CSB. Switch to the CSB to read along with the audio.

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ผู้วินิจฉัย 15-16

แซมสันแก้แค้นชาวฟีลิสเตีย

15 หลังจากนั้น วันหนึ่งในฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลี แซมสันไปเยี่ยมภรรยาของเขา โดยเอาลูกแพะตัวหนึ่งมาฝากด้วย เขาพูดว่า “ฉันจะเข้าไปหาเมียของฉันในห้อง” แต่พ่อของนางไม่ยอมให้เข้าไป และพูดว่า “เราเข้าใจจริงๆว่า เจ้าเกลียดลูกสาวของเรา เราเลยยกนางให้เพื่อนเจ้าบ่าวของเจ้าไปแล้ว น้องสาวของนางสวยกว่านางอีกนะ เอานางไปเป็นเมียแทนก็แล้วกัน”

แซมสันพูดกับพวกเขาว่า “คราวนี้ถ้าเราจะทำร้ายคนฟีลิสเตีย ก็โทษเราไม่ได้แล้ว”

แซมสันจับหมาจิ้งจอกสามร้อยตัวแล้วเอาคบเพลิงไปด้วย เขาผูกหางหมาจิ้งจอกเข้าด้วยกันเป็นคู่ๆและผูกคบเพลิงไว้ระหว่างหางของหมาจิ้งจอกทุกคู่ แล้วเขาก็จุดไฟที่คบเพลิง แล้วปล่อยหมาจิ้งจอกทั้งหมดให้วิ่งเข้าไปในทุ่งนาของชาวฟีลิสเตีย มันเผาทุกอย่างจนเกลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นข้าวที่มัดอยู่เป็นฟ่อน ข้าวที่อยู่ในนา ไร่องุ่น หรือสวนมะกอก

ชาวฟีลิสเตียถามว่า “ใครเป็นคนทำอย่างนี้”

คนหนึ่งตอบว่า “แซมสันลูกเขยทิมนาห์ทำ เพราะพ่อตาเขาได้ยกเมียของเขาให้กับเพื่อนเจ้าบ่าว” ชาวฟีลิสเตียจึงไปเผาเมียและพ่อตาของแซมสัน

แซมสันพูดกับพวกเขาว่า “เมื่อพวกเจ้าทั้งหลายทำอย่างนี้ เราสาบานว่า เราจะต้องแก้แค้นพวกเจ้าก่อน เราถึงจะเลิก”

เขาก็ฆ่าฟันชาวฟีลิสเตียตายเป็นจำนวนมาก แล้วเขาก็ลงไปอาศัยอยู่ในถ้ำหินของเอตาม

ชาวฟีลิสเตียก็ขึ้นไปตั้งค่ายในเขตยูดาห์ และโจมตีเมืองเลฮี[a] 10 ชาวยูดาห์จึงถามว่า “ทำไมพวกท่านจึงขึ้นมาสู้รบกับพวกเรา”

ชาวฟีลิสเตียก็ตอบว่า “เราขึ้นมามัดตัวแซมสัน เพื่อจัดการกับเขาเหมือนที่เขาทำกับพวกเรา”

11 คนยูดาห์สามพันคนจึงไปตามแซมสันที่ถ้ำหินเอตาม และพูดกับเขาว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าชาวฟีลิสเตียปกครองพวกเราอยู่ เห็นไหมว่าเจ้ากำลังก่อเรื่องให้กับพวกเรา”

แซมสันตอบว่า “พวกมันทำกับข้ายังไง ข้าก็จะทำกับมันอย่างนั้น”

12 ชาวยูดาห์พูดกับแซมสันว่า “พวกเรามาเพื่อมัดเจ้าส่งให้กับชาวฟีลิสเตีย”

แซมสันพูดกับพวกเขาว่า “ช่วยสัญญากับข้าหน่อยว่าพวกท่านเองจะไม่ทำอันตรายข้า”

13 พวกเขาตอบว่า “พวกเราจะแค่มัดเจ้าแล้วส่งไปให้กับพวกฟีลิสเตียเท่านั้น เราจะไม่ฆ่าเจ้าหรอก” จากนั้นพวกเขาก็มัดแซมสันด้วยเชือกใหม่ๆสองเส้น และนำเขาออกจากถ้ำหิน

14 เมื่อแซมสันมาถึงเลฮี ชาวฟีลิสเตียก็เดินตรงมาที่เขา และโห่ร้องด้วยความดีใจ ขณะนั้นพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็พุ่งเข้าสิงแซมสัน พวกเชือกที่มัดแขนเขาอยู่กลายเป็นเหมือนป่านที่ถูกไฟไหม้ เครื่องจองจำนั้นก็สลายไปจากมือของเขา

15 เขาเจอกระดูกขากรรไกรลาที่ยังสดๆอยู่ เขาเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา และใช้มันฆ่าคนเหล่านั้นไปหนึ่งพันคน

16 แล้วแซมสันพูดว่า

“ด้วยกระดูกขากรรไกรลา
    ฉันฆ่าพวกเขาเป็นกองๆ[b]
ด้วยกระดูกขากรรไกรลา
    ฉันฆ่าคนไปหนึ่งพันคน”

17 เมื่อพูดจบเขาก็เหวี่ยงกระดูกขากรรไกรลาทิ้งไปที่ตรงนั้น ต่อมาที่นั่นถูกเรียกว่า รามาท-เลฮี[c]

18 เขารู้สึกหิวน้ำจึงร้องขอกับพระยาห์เวห์ว่า “พระองค์ให้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่กับผู้รับใช้ของพระองค์คนนี้ ตอนนี้พระองค์จะปล่อยให้ข้าพเจ้าหิวน้ำตาย และตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกที่ไม่ได้ทำพิธีขลิบหรือ”

19 พระเจ้าจึงเปิดช่องที่เลฮี ให้น้ำไหลออกมา แซมสันก็ได้กินน้ำจนสดชื่นและตาน้ำนั้นได้ชื่อว่า เอนหักโคร์[d] และมันก็ยังคงอยู่ที่เมืองเลฮีจนถึงทุกวันนี้

20 แซมสันนำอิสราเอลในสมัยของชาวฟีลิสเตีย เป็นเวลายี่สิบปี

แซมสันไปเมืองกาซา

16 วันหนึ่งแซมสันไปเมืองกาซา ที่นั่นเขาพบกับโสเภณีคนหนึ่งและได้ร่วมหลับนอนกับเธอ มีคนบอกชาวเมืองว่า “แซมสันอยู่ที่นี่” พวกเขาเลยมาล้อมที่นั่นไว้ และดักซุ่มคอยแซมสันที่ประตูเมืองตลอดทั้งคืน พวกเขาซุ่มเงียบอยู่ทั้งคืนและคิดว่า “ให้รอถึงเช้าก่อน แล้วเราจะได้ฆ่ามันทิ้ง”

แซมสันนอนจนถึงเที่ยงคืนแล้วลุกขึ้นมา ยกประตูเมืองและถอนเสาประตูทั้งสองด้าน พร้อมทั้งกลอนประตู แล้วเอาทั้งหมดใส่บ่าแบกไปไว้ที่ยอดเขาที่อยู่ด้านหน้าของเมืองเฮโบรน

แซมสันและเดลิลาห์

หลังจากนั้นแซมสันก็ตกหลุมรักหญิงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในหุบเขาโสเรก เธอชื่อว่าเดลิลาห์

พวกผู้ครอบครองชาวฟีลิสเตียมาพบเธอและสั่งว่า “เกลี้ยกล่อมเขาและค้นหาดูสิว่าอะไรทำให้เขามีพละกำลังมากมายขนาดนั้น ทำยังไงเราถึงจะเอาชนะเขาได้ เพื่อเราจะได้มัดตัวเขาและทำให้เขาหมดฤทธิ์ แล้วเราแต่ละคนจะจ่ายเงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยชิ้นให้กับเธอ”

เดลิลาห์จึงถามแซมสันว่า “บอกน้องหน่อยสิคะว่าอะไรทำให้พี่มีพละกำลังมหาศาลอย่างนี้ และทำยังไงถึงจะมัดพี่ให้หมดฤทธิ์ได้”

แซมสันตอบนางว่า “ถ้าเขามัดพี่ด้วยสายธนูใหม่ๆที่ยังไม่แห้งเจ็ดสาย พี่ก็จะอ่อนแอเหมือนกับชายทั่วไป”

ดังนั้นพวกผู้ครอบครองฟีลิสเตีย จึงเอาสายธนูใหม่เจ็ดสายมาให้เดลิลาห์มัดแซมสันให้พวกเขา เธอให้คนแอบซ่อนในห้องด้านใน และบอกว่า “แซมสัน ชาวฟีลิสเตียมาจับพี่แล้ว” แต่เขาก็ดึงสายธนูที่มัดตัวเขาขาดกระจุย เหมือนเชือกที่แค่ได้กลิ่นไฟก็ขาดแล้ว และความลับเรื่องพละกำลังมหาศาลของเขาก็ยังคงเป็นความลับต่อไป

10 เดลิลาห์พูดกับแซมสันว่า “พี่แกล้งน้อง พี่โกหกน้อง ตอนนี้บอกน้องเถิดว่า ทำยังไงถึงจะมัดพี่ได้”

11 แซมสันบอกว่า “ถ้ามัดพี่ด้วยเชือกใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ พี่ก็จะอ่อนแอเหมือนชายทั่วไป”

12 ดังนั้นเดลิลาห์จึงหาเชือกใหม่ๆมามัดเขา ขณะที่มีคนแอบอยู่ด้านใน เธอบอกเขาว่า “พี่แซมสัน ชาวฟีลิสเตียมาจับพี่แล้ว” แซมสันจึงทำเชือกที่มัดแขนเขาขาดกระจุยเหมือนเส้นด้าย

13 เดลิลาห์จึงพูดกับแซมสันว่า “พี่จะแกล้งน้องและโกหกน้องไปอีกนานแค่ไหน บอกน้องเถอะว่า ทำยังไงถึงจะมัดพี่ได้”

เขาตอบเธอว่า “ถ้าน้องเอาผมเจ็ดปอยของพี่ทอเข้ากับหูกทอผ้าแล้วเอาหมุดปักมันไว้ที่ผนัง พี่ก็จะอ่อนแอเหมือนชายทั่วไป”

14 เมื่อเขาหลับ เดลิลาห์ก็เอาผมเจ็ดปอยของเขาทอเข้ากับหูกทอผ้า[e] และยึดให้แน่นด้วยหมุด แล้วเธอก็บอกว่า “พี่แซมสัน ชาวฟีลิสเตียมาจับพี่แล้ว” แต่เมื่อเขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ดึงทั้งหมุด เครื่องทอ และผ้าทอ ทิ้งไป

15 เธอจึงพูดกับเขาว่า “พี่พูดได้ยังไงว่า ‘พี่รักน้อง’ ในเมื่อพี่ไม่ได้ไว้ใจน้องเลย พี่แกล้งน้องสามหนแล้ว พี่ยังไม่ได้บอกน้องเลยว่าอะไรทำให้พี่มีพละกำลังมหาศาล” 16 เธอตามเซ้าซี้เขาวันแล้ววันเล่า กวนเขาจนเขาเบื่อแทบตาย 17 จนเขาบอกความลับทั้งหมดกับเธอ เขาบอกกับเธอว่า “ไม่มีมีดโกนอันไหนเคยถูกหัวพี่ เพราะพี่เป็นนาศีร์อุทิศแก่พระเจ้า ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ถ้าโกนหัวพี่ พละกำลังอันมหาศาลจะหายไป พี่ก็จะอ่อนแอเหมือนชายทั่วไป”

18 เดลิลาห์เห็นว่าเขาบอกความลับทั้งหมดกับเธอ เธอก็ใช้คนไปบอกพวกผู้ครอบครองของฟีลิสเตียว่า “ให้ขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เขาได้บอกความลับทั้งหมดกับฉันแล้ว” พวกผู้ครอบครองฟีลิสเตียก็รีบขึ้นมา และเอาเงินมาให้กับเธอด้วย

19 เธอปล่อยให้แซมสันนอนหลับอยู่บนตักเธอ และเรียกชายคนหนึ่งออกมาโกนผมเจ็ดปอยบนหัวของเขา เธอเริ่มแกล้งรบกวนเขาและกำลังของเขาก็หายไป 20 เธอพูดว่า “พี่แซมสัน ชาวฟีลิสเตียมาจับพี่แล้ว” เขาตื่นขึ้นและคิดว่า “ข้าจะออกไปเหมือนครั้งก่อนและสลัดตัวหลุดออกมา” แต่เขาไม่รู้ว่าพระยาห์เวห์ได้ไปจากเขาแล้ว

21 พวกชาวฟีลิสเตียจับตัวเขาและควักลูกตาของเขาออก แล้วพาเขาลงมาที่กาซา พวกเขาล่ามแซมสันด้วยโซ่สัมฤทธิ์ และใช้เขาโม่แป้งอยู่ในคุก 22 แต่ผมของแซมสันก็เริ่มงอกขึ้นมาใหม่หลังจากถูกโกน

23 พวกผู้ครอบครองของฟีลิสเตียมาประชุมกัน เพื่อจัดพิธีบวงสรวงอันยิ่งใหญ่ให้กับพระดาโกน[f] และเพื่อเฉลิมฉลองกัน พวกเขาพูดว่า “พระของเราได้ยกแซมสันศัตรูของเราไว้ในกำมือของพวกเราแล้ว” 24 เมื่อประชาชนเห็นแซมสัน พวกเขาก็เลยสรรเสริญพระของพวกเขาว่า

“พระของเราทำให้ศัตรูตกอยู่ในกำมือเรา
    คือคนที่ทำลายบ้านเมืองของเรา
และเคยฆ่าพวกเราไปหลายคน”

25 ขณะที่พวกเขากำลังสนุกสนานกันอยู่ ก็มีคนพูดว่า “เรียกแซมสันออกมาทำอะไรสนุกๆให้พวกเราดูหน่อย” แซมสันจึงถูกนำออกมาจากคุก เพื่อมาแสดงต่อหน้าพวกเขา เมื่อพวกเขาปล่อยให้แซมสันยืนอยู่ระหว่างเสา 26 แซมสันพูดกับเด็กรับใช้ที่เป็นคนจูงมือเขาว่า “พาเราไปที่เสาค้ำตึกหน่อย เราจะได้พิงเสาเหล่านั้น”

27 ตึกนี้มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายเต็มไปหมด และพวกผู้ครอบครองชาวฟีลิสเตียทุกคนก็อยู่ที่นั่นด้วย มีชายหญิงประมาณสามพันคนที่กำลังดูการแสดงของแซมสันอยู่บนดาดฟ้าตึก 28 จากนั้นแซมสันได้ร้องขอต่อพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิตของข้าพเจ้า โปรดระลึกถึงข้าพเจ้า ข้าแต่พระเจ้า โปรดให้พละกำลังมหาศาลแก่ข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อข้าพเจ้าจะได้แก้แค้นชาวฟีลิสเตียทดแทนตาทั้งสองข้างของข้าพเจ้า” 29 แซมสันเข้าไปจับเสากลางสองต้นที่รองรับตึกนั้นไว้ และพิงที่เสานั้น มือขวายันเสาต้นหนึ่งและมือซ้ายก็ยันอีกต้นหนึ่ง แล้วเขาก็พูดว่า “ปล่อยให้ข้าตายกับชาวฟีลิสเตียเถิด” 30 แล้วเขาก็ผลักเสาทั้งสองต้นด้วยกำลังมหาศาล ตัวตึกก็พังทลายลงมาบนพวกผู้ครอบครองชาวฟีลิสเตีย และทุกคนที่อยู่ในตึกนั้น ดังนั้นคนที่เขาฆ่าตอนที่เขาตาย ก็มีมากกว่าคนที่เขาฆ่าตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่

31 จากนั้นพี่น้องและครอบครัวของเขาก็มารับศพเขาไปฝังที่สุสานของมาโนอาห์พ่อของเขา ที่อยู่ระหว่างโศราห์และเอชทาโอล แซมสันนำอิสราเอลอยู่ทั้งหมดยี่สิบปี

ยอห์น 2

งานแต่งงานที่หมู่บ้านคานา

ในวันที่สาม มีงานแต่งงานที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี แม่ของพระเยซูก็อยู่ที่นั่นด้วย พระเยซูและศิษย์ของพระองค์ก็ได้รับเชิญมาในงานนี้เหมือนกัน เมื่อเหล้าองุ่นหมด แม่ของพระเยซูมาบอกพระองค์ว่า “เหล้าองุ่นหมดแล้ว”

พระเยซูพูดว่า “แม่ครับ มาบอกลูกทำไม ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของลูก”

แล้วแม่ของพระเยซูก็ไปบอกกับพวกคนใช้ว่า “เขาสั่งอะไร ก็ให้ทำตามนั้น”

มีโอ่งใส่น้ำตั้งอยู่ที่นั่นหกใบเพื่อใช้ในพิธีชำระล้าง โอ่งแต่ละใบใส่น้ำได้ประมาณแปดสิบถึงหนึ่งร้อยยี่สิบลิตร[a]

พระเยซูได้สั่งพวกคนใช้ว่า “ไปตักน้ำใส่โอ่งพวกนั้นให้เต็ม” พวกเขาก็ตักน้ำใส่จนเต็มถึงปากโอ่ง

แล้วพระองค์สั่งอีกว่า “ตักน้ำนี้ไปให้ผู้ดูแลงานเลี้ยงสิ”

พวกคนใช้ก็ตักน้ำไปให้ผู้ดูแลงานเลี้ยง เมื่อผู้ดูแลงานเลี้ยงได้ชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้ว (โดยที่เขาไม่รู้ว่า เหล้าองุ่นนั้นมาจากไหน มีแต่พวกคนใช้ที่ตักน้ำนั้นมาเท่านั้นที่รู้) ผู้ดูแลงานเลี้ยงก็เรียกเจ้าบ่าวมาบอกว่า 10 “ใครๆเขาก็เอาเหล้าองุ่นดีๆออกมาให้แขกดื่มก่อน พอดื่มจนเมาได้ที่แล้วถึงจะเอาเหล้าองุ่นถูกๆมาวาง แต่คุณกลับเก็บเหล้าองุ่นที่ดีที่สุดไว้จนถึงตอนนี้”

11 นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ครั้งแรกที่พระเยซูได้ทำ ตอนที่พระองค์อยู่ที่หมู่บ้านคานา ในแคว้นกาลิลี พวกศิษย์ต่างก็พากันไว้วางใจพระองค์เพราะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์

12 หลังจากนั้นพระเยซูไปเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับแม่ น้องๆ และพวกศิษย์ของพระองค์ แต่ก็พักอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วัน

สิ่งที่พระเยซูทำในวิหาร

(มธ. 21:12-13; มก. 11:15-17; ลก. 19:45-46)

13 เมื่อใกล้จะถึงเทศกาลวันปลดปล่อย พระเยซูเดินทางขึ้นไปเมืองเยรูซาเล็ม 14 ในบริเวณวิหารนั้น พระองค์เห็นคนขายวัว แกะ และนกพิราบ สำหรับใช้เป็นเครื่องบูชา และยังเห็นพวกรับแลกเงิน[b] นั่งอยู่ที่โต๊ะของพวกเขาด้วย 15 พระเยซูเอาเชือกมาทำเป็นแส้แล้วหวดไล่คนพวกนั้น รวมทั้งแกะและวัวออกไปจากบริเวณวิหาร พระองค์ยังเทเหรียญและคว่ำโต๊ะของพวกรับแลกเงินด้วย 16 พระองค์บอกพวกคนขายนกพิราบว่า “ขนออกไปให้หมด อย่ามาทำให้บ้านของพระบิดาเรากลายเป็นตลาด”

17 พวกศิษย์นึกขึ้นมาได้ถึงข้อความที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ ว่า

“การที่เราทุ่มเทใจให้กับบ้านของพระเจ้า จะเป็นเหตุทำให้เราถูกทำลาย”[c]

18 พวกยิวทักท้วงกับพระเยซูว่า “แกมีสิทธิ์อะไรไปทำอย่างนั้น ทำเรื่องอัศจรรย์พิสูจน์ตัวเองสิ”

19 พระเยซูตอบว่า “ทำลายวิหารนี้ลงมาสิ แล้วเราจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ภายในสามวัน”

20 พวกยิวพูดว่า “วิหารนี้กว่าจะสร้างเสร็จต้องใช้เวลาถึงสี่สิบหกปี แล้วแกคิดว่าแกจะสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวันหรือ” 21 แต่วิหารที่พระองค์กำลังพูดถึงนั้น หมายถึงร่างกายของพระองค์เอง 22 เมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว ศิษย์ของพระองค์ถึงนึกขึ้นได้ว่า พระองค์เคยพูดอย่างนี้ พวกเขาก็เลยเชื่อพระคัมภีร์ และเชื่อคำพูดของพระองค์

23 ช่วงที่พระเยซูอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม เป็นช่วงฉลองเทศกาลวันปลดปล่อย พระองค์ได้ทำเรื่องอัศจรรย์มากมาย ทำให้มีคนจำนวนมากมาไว้วางใจพระองค์ 24 แต่พระเยซูก็ไม่ได้ไว้ใจพวกเขา เพราะพระองค์รู้จักมนุษย์ทุกคนดี 25 ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอกพระองค์ว่ามนุษย์เป็นอย่างไรเพราะพระองค์รู้จักความคิดของมนุษย์ดี

สดุดี 103

คำสรรเสริญสำหรับความรักมั่นคงของพระยาห์เวห์

บทเพลงของดาวิด

จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด
    หัวใจทั้งดวงของข้าพเจ้าเอ๋ย สรรเสริญชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เถิด
จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด
    และอย่าลืมบุญคุณทั้งสิ้นของพระองค์
พระองค์คือผู้ที่อภัยให้กับความผิดบาปทั้งสิ้นของเจ้า
    พระองค์คือผู้ที่รักษาเจ้าให้หายจากความเจ็บป่วยทั้งสิ้น
พระองค์คือผู้ที่ไถ่ชีวิตเจ้าจากหลุมศพ
    พระองค์คือผู้ที่เอาความรักมั่นคงและความเมตตากรุณามาสวมเป็นมงกุฎให้กับเจ้า
พระองค์คือผู้ที่ทำให้ชีวิตของเจ้าเต็มอิ่มไปด้วยของดีๆ
    และพระองค์ทำให้เจ้าเป็นหนุ่มอีกครั้งหนึ่งเหมือนกับนกอินทรีหนุ่ม

พระยาห์เวห์ให้ความยุติธรรมและความเป็นธรรม
    กับทุกคนที่ถูกข่มเหง
พระองค์สั่งสอนหนทางทั้งหลายของพระองค์ให้กับโมเสส
    และแสดงการกระทำอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ให้อิสราเอลเห็น
พระยาห์เวห์นั้นใจดี มีเมตตา โกรธช้า
    และเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักมั่นคง
พระองค์จะไม่คอยกล่าวหาเราอยู่ตลอด
    และถ้าโกรธพระองค์ก็จะไม่โกรธตลอดไปหรอก
10 พระองค์ไม่ได้จัดการกับเราตามความผิดบาปของเรา
    พระองค์ไม่ได้ลงโทษพวกเราให้สาสมกับความผิดของเรา
11 ฟ้าสวรรค์อยู่สูงเหนือโลกยังไง
    ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อคนที่ยำเกรงพระองค์ก็ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น
12 ทิศตะวันออกห่างจากทิศตะวันตกขนาดไหน
    พระองค์ก็ยกความผิดที่เกิดจากการกบฏต่างๆของเราให้ห่างไกลจากเราขนาดนั้น
13 พ่อใจดีต่อลูกยังไง
    พระยาห์เวห์ก็ใจดีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์อย่างนั้น
14 พระองค์รู้ว่าเราทำมาจากอะไร
    พระองค์รู้ว่าเราเป็นแค่ดิน

15 ชีวิตของมนุษย์นั้นสั้นเหมือนกับต้นหญ้า
    หรือเหมือนกับดอกไม้ในท้องทุ่งที่ออกดอกอย่างรวดเร็ว
16 แต่เมื่อถูกลมร้อนพัด มันก็หายวับไป
    และไม่มีใครบอกได้ว่ามันเคยอยู่ตรงไหน
17 ส่วนคนเหล่านั้นที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ พระองค์รักพวกเขาตลอดมา และจะรักพวกเขาตลอดไป
    และพระองค์จะสัตย์ซื่อต่อลูกหลานของพวกเขาตลอดไป
18 คือคนเหล่านั้นที่รักษาคำมั่นสัญญาของพระองค์
    และไม่ลืมที่จะทำตามคำสั่งต่างๆของพระองค์

19 พระยาห์เวห์ตั้งบัลลังก์ของพระองค์อยู่บนฟ้าสวรรค์
    และพระองค์ครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง
20 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ทั้งหลาย
    คือพวกนักรบอันเกรียงไกรที่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์
    ให้สรรเสริญพระองค์เถิด
21 กองทัพสวรรค์ทั้งหมด คือพวกผู้รับใช้พระองค์ที่ทำตามความต้องการของพระองค์
    ให้สรรเสริญพระองค์เถิด
22 ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์สร้างขึ้นมา ให้สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด
    ในที่ทุกหนแห่งในอาณาจักรของพระองค์
    จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด

สุภาษิต 14:17-19

17 คนขี้โมโหทำสิ่งโง่ๆ
    คนวางแผนชั่วเป็นที่เกลียดชัง
18 คนที่อ่อนต่อโลกได้รับความโง่เป็นมรดก
    แต่คนฉลาดได้รับมงกุฎแห่งความรู้
19 พวกคนชั่วกราบลงต่อหน้าพวกคนดี
    พวกคนเลวกราบลงที่ประตูบ้านของคนที่ทำตามใจพระเจ้า

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International