Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 พงศาวดาร 35:16 - เอสรา 10:44

16 ดังนั้น ในวันนั้น การนมัสการพระยาห์เวห์ก็สำเร็จลุล่วงไปตามคำสั่งของกษัตริย์โยสิยาห์ มีทั้งการเฉลิมฉลองเทศกาลปลดปล่อย และมีการเผาเครื่องเผาบูชาบนแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ 17 ชาวอิสราเอลที่อยู่ที่นั่นได้เฉลิมฉลองเทศกาลปลดปล่อยในเวลานั้น และพวกเขาได้เฉลิมฉลองเทศกาลขนมปังไร้เชื้อต่อไปอีกเป็นเวลาเจ็ดวัน 18 นับตั้งแต่สมัยของซามูเอลผู้พูดแทนพระเจ้าเป็นต้นมา ยังไม่เคยมีการเฉลิมฉลองเทศกาลปลดปล่อยอย่างนี้ในอิสราเอลมาก่อน ไม่เคยมีกษัตริย์ของอิสราเอลองค์ไหนที่เคยเฉลิมฉลองเทศกาลปลดปล่อยอย่างที่กษัตริย์โยสิยาห์ พวกนักบวช ชาวเลวี ชาวยูดาห์และชาวอิสราเอลทั้งหมดที่อยู่ที่นั่น รวมทั้งชาวเมืองเยรูซาเล็มเฉลิมฉลองกัน 19 งานเทศกาลปลดปล่อยนี้ได้จัดให้มีขึ้นในปีที่สิบแปดในสมัยของโยสิยาห์

โยสิยาห์ตาย

(2 พกษ. 23:28-30)

20 เมื่อโยสิยาห์ได้จัดการวิหารให้อยู่ในระเบียบเรียบร้อยแล้ว ต่อมากษัตริย์เนโคของประเทศอียิปต์ได้ยกทัพขึ้นไปสู้รบกับเมืองคารเคมิชที่แม่น้ำยูเฟรตีส โยสิยาห์ยกกองทัพออกไปสู้รบกับเขา 21 แต่เนโคส่งพวกคนส่งข่าวมาหาโยสิยาห์โดยพูดว่า

“กษัตริย์ของยูดาห์ ทำไมท่านกับเราจะต้องมาทะเลาะกันด้วย เราไม่ได้มาโจมตีท่าน แต่เราจะสู้กับครอบครัวที่เราจะทำสงครามด้วยต่างหาก พระเจ้าบอกให้เราเร่งมือด้วย ดังนั้น หยุดต่อต้านพระเจ้าที่อยู่กับเราซะ ไม่อย่างนั้นพระองค์จะทำลายท่าน”

22 แต่โยสิยาห์ก็ไม่ยอมถอยไปไหน และได้ปลอมตัวปะปนอยู่ในการสู้รบ เขาไม่ยอมฟังสิ่งที่เนโคพูดเกี่ยวกับคำสั่งของพระเจ้า แต่ยังออกไปสู้รบกับเขาในที่ราบเมกิดโด 23 พวกพลธนูยิงธนูถูกกษัตริย์โยสิยาห์และเขาบอกกับพวกเจ้าหน้าที่ของเขาว่า “พาเราออกไป เราได้รับบาดเจ็บสาหัส”

24 ดังนั้นพวกเขาจึงนำตัวโยสิยาห์ออกจากรถรบของเขา และวางเขาไว้ในรถรบอีกคันหนึ่งที่มีอยู่ และนำตัวเขากลับเยรูซาเล็ม เขาตายที่นั่น ศพของเขาถูกฝังอยู่ในหลุมฝังศพของบรรพบุรุษของเขา และชาวยูดาห์กับชาวเยรูซาเล็มทั้งหมดก็ไว้ทุกข์ให้กับเขา 25 เยเรมียาห์แต่งเพลงไว้อาลัยให้กับโยสิยาห์และพวกนักร้องชายหญิงก็ยังคงร้องเพื่อระลึกถึงเขาอยู่จนถึงทุกวันนี้ เพลงนี้ได้กลายเป็นประเพณีอย่างหนึ่งในอิสราเอลและได้รับการเขียนรวมอยู่ในหนังสือเพลงไว้อาลัย

26-27 เหตุการณ์อื่นๆในสมัยของโยสิยาห์และการกระทำต่างๆที่เขาทำตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ถูกจดบันทึกไว้ในหนังสือพงศ์กษัตริย์ของอิสราเอลและยูดาห์ หนังสือนี้พูดถึงสิ่งที่เขาทำอย่างซื่อสัตย์ ตามสิ่งที่เขียนไว้ในกฎของพระยาห์เวห์

กษัตริย์เยโฮอาหาสปกครองยูดาห์

(2 พกษ. 23:30-35)

36 และประชาชนชาวยูดาห์ก็ยกเยโฮอาหาสลูกชายของโยสิยาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์ในเมืองเยรูซาเล็มต่อจากพ่อของเขา เยโฮอาหาสมีอายุยี่สิบสามปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ เขาครองบัลลังก์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มได้สามเดือน กษัตริย์เนโคของประเทศอียิปต์ได้ปลดเขาออกจากบัลลังก์ในเยรูซาเล็ม และบีบบังคับให้ชาวยูดาห์ส่งส่วยเป็นเงินหนักประมาณสามตันครึ่ง และทองคำหนักประมาณสามตันครึ่ง กษัตริย์เนโคของประเทศอียิปต์ตั้งเอลียาคิมน้องชายของเยโฮอาหาสขึ้นเป็นกษัตริย์เหนือยูดาห์และเยรูซาเล็ม และเปลี่ยนชื่อของเอลียาคิมเป็นเยโฮยาคิม แต่เนโคได้เอาตัวเยโฮอาหาสพี่ชายของเอลียาคิมไปที่ประเทศอียิปต์

กษัตริย์เยโฮยาคิมปกครองยูดาห์

(2 พกษ. 23:36-24:7)

เยโฮยาคิมมีอายุยี่สิบห้าปีเมื่อเขาเป็นกษัตริย์ และเขาครองบัลลังก์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มสิบเอ็ดปี เขาได้ทำชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนได้เข้าโจมตีเขาและจับตัวเขาล่ามโซ่ทองสัมฤทธิ์และพาไปที่บาบิโลน เนบูคัดเนสซาร์ยังได้ขนเอาพวกเครื่องใช้ออกมาจากวิหารของพระยาห์เวห์ และขนไปไว้ที่วิหารของเขาที่บาลิโลนด้วย เหตุการณ์อื่นๆในสมัยของเยโฮยาคิม สิ่งที่น่ารังเกียจที่เขาได้ทำและสิ่งต่างๆที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวเขา ได้ถูกจดบันทึกไว้ในหนังสือพงศ์กษัตริย์ของอิสราเอลและยูดาห์ และเยโฮยาคีนลูกชายของเขาก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากเขา

กษัตริย์เยโฮยาคีนปกครองยูดาห์

(2 พกษ. 24:8-17)

เยโฮยาคีนมีอายุสิบแปดปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ และเขาครองบัลลังก์อยู่ในเยรูซาเล็มสามเดือน[a] เขาทำชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ 10 ในฤดูใบไม้ผลิ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ส่งคนไปพาตัวเขามาที่บาบิโลนพร้อมกับพวกเครื่องใช้ที่มีค่าจากวิหารของพระยาห์เวห์ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ให้เศเดคียาห์ อาของเยโฮยาคีนขึ้นเป็นกษัตริย์เหนือยูดาห์และเยรูซาเล็มแทนเขา

กษัตริย์เศเดคียาห์ปกครองยูดาห์

(2 พกษ. 24:18-20; ยรม. 52:1-3)

11 เศเดคียาห์มีอายุยี่สิบเอ็ดปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ และเขาครองบัลลังก์อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มสิบเอ็ดปี 12 เขาทำชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา และไม่ยอมถ่อมตัวและไม่ยอมเชื่อฟังคำพูดของพระยาห์เวห์ที่ผ่านมาทางเยเรมียาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า

เมืองเยรูซาเล็มถูกทำลาย

13 เศเดคียาห์กบฏต่อกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก่อนหน้านี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์บังคับให้เขาสาบานโดยอ้างชื่อของพระเจ้าว่าเขาจะจงรักภักดีต่อบาบิโลน แต่ต่อมาเขาเริ่มดื้อดึงและใจแข็งกระด้าง ไม่ยอมหันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของชนชาติอิสราเอล 14 ยิ่งกว่านั้น พวกผู้นำทั้งหลายของเหล่านักบวชและประชาชนก็ยิ่งไม่ซื่อสัตย์มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไปทำตามการกระทำที่น่าขยะแขยงของชนชาติอื่นๆและทำให้วิหารของพระยาห์เวห์ที่พระองค์ได้ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองเยรูซาเล็มนั้นต้องเสื่อมไป 15 พระยาห์เวห์ พระเจ้าของบรรพบุรุษพวกเขา ส่งคำพูดมาถึงพวกเขาผ่านทางพวกผู้ส่งข่าวของพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะพระองค์ไม่อยากทำลายประชาชนของพระองค์และสถานที่อาศัยของพระองค์ 16 แต่พวกเขากลับล้อเลียนพวกผู้ส่งข่าวพระเจ้าเหล่านั้น พวกเขาดูถูกคำพูดของพระองค์ เย้ยหยันพวกผู้พูดแทนพระเจ้า จนในที่สุดพระยาห์เวห์ก็ทนไม่ไหว พระองค์โกรธประชาชนของพระองค์จนไม่มีอะไรสามารถหยุดความโกรธของพระองค์ได้ 17 พระองค์ได้ยกกษัตริย์ของชาวบาบิโลนขึ้นมาต่อต้านเขา กษัตริย์บาบิโลนได้ฆ่าพวกคนหนุ่มของพวกเขาตายด้วยดาบในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และไม่ไว้ชีวิตใครเลยแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มคนสาว คนชราหรือแม้แต่คนแก่ พระเจ้าได้มอบพวกเขาทั้งหมดไว้ในเงื้อมมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ 18 เขาได้ขนเอาข้าวของเครื่องใช้ออกจากวิหารของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นของชิ้นเล็กหรือชิ้นใหญ่ และยังเอาสมบัติในวิหารของพระยาห์เวห์และสมบัติของกษัตริย์กับพวกเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์ไปจนหมดด้วย 19 พวกเขาจุดไฟเผาวิหารของพระเจ้าและทำลายกำแพงเยรูซาเล็มลง พวกเขายังเผาพวกวังทั้งหมดและทำลายของมีค่าทุกอย่าง 20 ที่นั่น กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้กวาดต้อนเอาคนที่ยังมีชีวิตเหลือรอดจากคมดาบกลับไปที่บาบิโลนเพื่อไปเป็นทาสของเขากับพวกลูกชายของเขา จนกว่าอาณาจักรเปอร์เซียจะมาตั้งแทนอาณาจักรบาบิโลน 21 ดังนั้นสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้บอกกับคนอิสราเอลผ่านมาทางเยเรมียาห์ผู้พูดแทนพระเจ้าก็เกิดขึ้นจริง ที่ว่า “สถานที่นี้จะต้องถูกทิ้งให้รกร้างอยู่เป็นเวลาเจ็ดสิบปี เพื่อแผ่นดินจะได้หยุดพัก ชดเชยให้กับปีที่เจ็ดเหล่านั้น[b] ที่คนยูดาห์ไม่ยอมหยุดหว่านพืช”

22 ในปีแรก[c]ที่ไซรัสขึ้นมาเป็นกษัตริย์ของเปอร์เซีย พระยาห์เวห์ดลใจให้กษัตริย์ไซรัสออกคำสั่งไปทั่วอาณาจักรของเขาและจดมันไว้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพื่อให้สำเร็จตามคำพูดของพระยาห์เวห์ที่พูดผ่านมาทางเยเรมียาห์ ข้อความที่กษัตริย์ไซรัสป่าวประกาศออกไปนั้น คือ

23 “กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียพูดว่าอย่างนี้

‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ให้อาณาจักรทั้งหมดบนโลกนี้แก่เรา พระองค์ได้แต่งตั้งให้เราเป็นผู้สร้างวิหารให้กับพระองค์ในเมืองเยรูซาเล็ม ที่อยู่ในยูดาห์ บัดนี้ ใครก็ตามท่ามกลางพวกเจ้าที่เป็นชนชาติของพระองค์ สามารถกลับไปเยรูซาเล็มได้ ขอให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตอยู่กับเจ้า’”

ไซรัสช่วยเชลยกลับมา

(2 พศด. 36:22-23)

ในปีแรก[d] ที่ไซรัส[e] ขึ้นเป็นกษัตริย์ของเปอร์เซีย พระยาห์เวห์ได้กระตุ้นให้กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ประกาศไปทั่วราชอาณาจักรของพระองค์ และเขียนออกมาเป็นกฎหมายด้วย เพื่อสิ่งที่พระยาห์เวห์พูดผ่านมาทางปากของเยเรมียาห์[f] จะได้เกิดขึ้นจริง ประกาศนั้นว่าอย่างนี้ คือ

“กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย พูดว่าอย่างนี้

‘พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งสวรรค์ ได้มอบอาณาจักรทุกแห่งบนโลกให้กับเรา พระองค์ยังได้มอบหมายให้เราสร้างวิหารให้กับพระองค์ที่เมืองเยรูซาเล็มในยูดาห์ มีใครบ้างในกลุ่มพวกเจ้าทั้งหมดนี้ที่เป็นคนของพระองค์ ขอให้พวกเขาขึ้นไปที่เมืองเยรูซาเล็มในยูดาห์และสร้างวิหารของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล คือพระเจ้าที่อยู่ในเยรูซาเล็ม ขอให้พระเจ้าของพวกเขาอยู่กับพวกเขาด้วย คนที่ไม่ใช่ชาวยิวที่อาศัยอยู่ตามที่ต่างๆที่มีคนยิวหลงเหลืออยู่[g][h] จะต้องช่วยบริจาคเงิน และทองคำ ข้าวของเครื่องใช้และสัตว์ต่างๆรวมทั้งของถวายที่ให้ด้วยความสมัครใจ ให้แก่วิหารของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็ม’”

แล้วพวกหัวหน้าของตระกูลยูดาห์และเบนยามิน รวมทั้งนักบวชทั้งหลาย และพวกชาวเลวีต่างก็ลุกขึ้นเตรียมตัวจากไป คือ ทุกคนที่พระเจ้าได้กระตุ้นให้ขึ้นไปสร้างวิหารของพระยาห์เวห์ในเมืองเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่ เพื่อนบ้านของชาวยิวทุกคนได้ช่วยพวกเขา ด้วยการให้สิ่งของต่างๆที่ทำจากเงินรวมทั้งทองคำ ข้าวของเครื่องใช้ และสัตว์ต่างๆตลอดจนของมีค่า และของถวายที่ให้ด้วยความสมัครใจ กษัตริย์ไซรัสได้เอาพวกเครื่องใช้ต่างๆสำหรับวิหารของพระยาห์เวห์ออกมา เป็นเครื่องใช้ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์[i] ได้นำมาจากเมืองเยรูซาเล็ม และเอามาเก็บรักษาไว้ในวิหารของเหล่าเทพเจ้าของพระองค์ กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ได้มอบสิ่งของเหล่านี้ให้กับมิทเรดาท ผู้ดูแลด้านการเงินของกษัตริย์ และมิทเรดาทก็ได้ตรวจนับของเหล่านั้น ให้กับเชชบัสซาร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้นำของยูดาห์

และนี่คือรายการทรัพย์สินเหล่านั้น

อ่างทองคำ สามสิบใบ

อ่างเงิน หนึ่งพันใบ

มีด[j] ยี่สิบเก้าเล่ม

10 ชามทองคำขนาดเล็ก สามสิบใบ

ชามเงินเข้าชุดกันขนาดเล็ก สี่ร้อยสิบใบ

ภาชนะอื่นๆหนึ่งพันใบ

11 มีภาชนะที่ทำด้วยทองคำและเงินรวมทั้งสิ้น ห้าพันสี่ร้อยใบ เชชบัสซาร์ นำสิ่งของเหล่านี้ขึ้นมาที่เมืองเยรูซาเล็ม ตอนที่พระเจ้านำตัวพวกเชลยออกจากบาบิโลนมายังเมืองเยรูซาเล็ม

รายชื่อเชลยที่กลับมา

(นหม. 7:4-73)

ต่อไปนี้คือรายชื่อของคนที่อยู่ในมณฑลยูดาห์ หลังจากที่กลับมาจากการถูกจับไปเป็นเชลย ก่อนหน้านี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ได้จับครอบครัวพวกเขาไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ตอนนี้พวกเขาได้กลับมาที่เมืองเยรูซาเล็มและยูดาห์ และต่างคนต่างก็กลับไปยังบ้านเมืองของตน พวกเขาทั้งหลายกลับมาพร้อมกับเศรุบบาเบล[k] เยชูอา เนหะมียาห์ เสไรอาห์ เรเอไลยาห์ โมรเดคัย บิลชาน มิสปาร์ บิกวัย เรฮูม และบาอานาห์

ต่อไปนี้คือจำนวนชายอิสราเอลของแต่ละตระกูลที่ได้กลับมา

ผู้สืบตระกูลปาโรช สองพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองคน

ผู้สืบตระกูลเชฟาทิยาห์ สามร้อยเจ็ดสิบสองคน

ผู้สืบตระกูลอาราห์ เจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าคน

ผู้สืบตระกูลปาหัทโมอับ คือ ตระกูลของเยชูอา และโยอาบ สองพันแปดร้อยสิบสองคน

ผู้สืบตระกูลเอลาม หนึ่งพันสองร้อยห้าสิบสี่คน

ผู้สืบตระกูลศัทธู เก้าร้อยสี่สิบห้าคน

ผู้สืบตระกูลศักคัย เจ็ดร้อยหกสิบคน

10 ผู้สืบตระกูลบานี หกร้อยสี่สิบสองคน

11 ผู้สืบตระกูลเบบัย หกร้อยยี่สิบสามคน

12 ผู้สืบตระกูลอัสกาด หนึ่งพันสองร้อยยี่สิบสองคน

13 ผู้สืบตระกูลอาโดนีคัม หกร้อยหกสิบหกคน

14 ผู้สืบตระกูลบิกวัย สองพันห้าสิบหกคน

15 ผู้สืบตระกูลอาดีน สี่ร้อยห้าสิบสี่คน

16 ผู้สืบตระกูลอาเทอร์ คือเฮเซคียาห์ เก้าสิบแปดคน

17 ผู้สืบตระกูลเบไซ สามร้อยยี่สิบสามคน

18 ผู้สืบตระกูลโยราห์ หนึ่งร้อยสิบสองคน

19 ผู้สืบตระกูลฮาชูม สองร้อยยี่สิบสามคน

20 ผู้สืบตระกูลกิบบาร์ เก้าสิบห้าคน

21 ชายจากเมืองเบธเลเฮม หนึ่งร้อยยี่สิบสามคน

22 ชายจากเมืองเนโทฟาห์ ห้าสิบหกคน

23 ชายจากเมืองอานาโธท หนึ่งร้อยยี่สิบแปดคน

24 ชายจากเมืองอัสมาเวท สี่สิบสองคน

25 ชายจากเมืองคิริยาทอาริม เคฟีราห์ และ เบเอโรท เจ็ดร้อยสี่สิบสามคน

26 ชายจากเมืองรามาห์ และเกบา หกร้อยยี่สิบเอ็ดคน

27 ชายจากเมืองมิคมาส หนึ่งร้อยยี่สิบสองคน

28 ชายจากเมืองเบธเอล และอัย สองร้อยยี่สิบสามคน

29 ชายจากเมืองเนโบ ห้าสิบสองคน

30 ชายจากเมืองมักบิช หนึ่งร้อยห้าสิบหกคน

31 ชายจากเมืองเอลาม หนึ่งพันสองร้อยห้าสิบสี่คน

32 ชายจากเมืองฮาริม สามร้อยยี่สิบคน

33 ชายจากเมืองโลด ฮาดิด และโอโน เจ็ดร้อยยี่สิบห้าคน

34 ชายจากเมืองเยริโค สามร้อยสี่สิบห้าคน

35 ชายจากเมืองเสนาอาห์ สามพันหกร้อยสามสิบคน

36 ต่อไปนี้คือพวกนักบวช

ผู้สืบตระกูลเยดายาห์ คือครอบครัวของเยชูอา เก้าร้อยเจ็ดสิบสามคน

37 ผู้สืบตระกูลอิมเมอร์ หนึ่งพันห้าสิบสองคน

38 ผู้สืบตระกูลปาชเฮอร์ หนึ่งพันสองร้อยสี่สิบเจ็ดคน

39 ผู้สืบตระกูลฮาริม หนึ่งพันสิบเจ็ดคน

40 ต่อไปนี้คือพวกชาวเลวี

ผู้สืบตระกูลเยชูอา และขัดมีเอล คือครอบครัวโฮดาวิยาห์ เจ็ดสิบสี่คน

41 ต่อไปนี้คือพวกนักร้อง

ผู้สืบตระกูลอาสาฟ หนึ่งร้อยยี่สิบแปดคน

42 ต่อไปนี้คือพวกตระกูลของคนเฝ้าประตูวิหารได้แก่

ผู้สืบตระกูลชัลลูม อาเทอร์ ทัลโมน อักขูบ ฮาทิธา โชบัย รวมหนึ่งร้อยสามสิบเก้าคน

43 ต่อไปนี้คือพวกตระกูลของคนรับใช้ประจำวิหารได้แก่

ผู้สืบตระกูลศีหะ ฮาสูฟา ทับบาโอท

44 ตระกูลเคโรส สีอาฮา พาโดน

45 ตระกูลเลบานาห์ ฮากาบาห์ อักขูบ

46 ตระกูลฮากาบ ชัมลัย ฮานัน

47 ตระกูลกิดเดล กาฮาร์ เรอายาห์

48 ตระกูลเรซีน เนโคดา กัสซาม

49 ตระกูลอุสซาห์ ปาเสอาห์ เบสัย

50 ตระกูลอัสนาห์ เมอูนิม เนฟิสิม

51 ตระกูลบัคบูค ฮาคูฟา ฮารฮูร

52 ตระกูลบัสลูท เมหิดา ฮารชา

53 ตระกูลบารโขส สิเสรา เทมาห์

54 ตระกูลเนซิยาห์ ฮาทิฟา

55 ต่อไปนี้คือผู้สืบตระกูลจากข้าราชการของซาโลมอน

ตระกูลโสทัย หัสโสเฟเรท เปรุดา

56 ตระกูลยาอาลาห์ ดารโคน กิดเดล

57 ตระกูลเชฟาทิยาห์ ฮัทธิล โปเคเรทหัสซาบาอิม อามี

58 ผู้สืบตระกูลของคนรับใช้ของวิหารทุกคน และผู้สืบตระกูลข้าราชการของซาโลมอน รวมทั้งหมด สามร้อยเก้าสิบสองคน

59 คนต่อไปนี้มาจากเมืองเทลเมลาห์ เมืองเทลหารชา เมืองเครูบ เมืองอัดดาน และเมืองอิมเมอร์ แต่พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ว่า บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นชาวอิสราเอล

60 ผู้สืบตระกูลเดไลยาห์ โทบีอาห์ เนโคดา รวมหกร้อยห้าสิบสองคน

61 ผู้สืบตระกูลของพวกนักบวช คือ

ตระกูลของฮาบายาห์ ฮักโขส และบารซิลลัย (บารซิลลัยคนนี้ได้แต่งงานกับ ลูกสาวของบารซิลลัยชาวกิเลอาด แล้วใช้ชื่อของพ่อตา)

62 คนพวกนี้เมื่อค้นหาประวัติครอบครัวในสำมะโนครัวที่เป็นทางการ แต่หาไม่พบ ก็เลยถือว่าเป็นคนธรรมดา และชื่อของพวกเขาถูกตัดออกจากกลุ่มของพวกนักบวช

63 ผู้ว่าราชการเมืองบอกกับพวกเขาว่า จะต้องไม่กินอาหารที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด จนกว่าจะมีนักบวชที่สามารถจะปรึกษากับ อูริมและทูมมิมว่าพวกนี้เป็นนักบวชจริงหรือไม่

64-65 ชุมชนทั้งหมดรวมกันมีสี่หมื่นสองพันสามร้อยหกสิบคน ไม่นับทาสชายหญิงของพวกเขา ที่มีจำนวนเจ็ดพันสามร้อยสามสิบเจ็ดคน นอกจากนั้นแล้วพวกเขายังมีนักร้องทั้งหญิงและชายอีกสองร้อยคน 66-67 พวกเขามีม้ารวมเจ็ดร้อยสามสิบหกตัว มีล่อสองร้อยสี่สิบห้าตัว มีอูฐสี่ร้อยสามสิบห้าตัว และมีลาหกพันเจ็ดร้อยยี่สิบตัว

68 หัวหน้าครอบครัวบางคน มาถึงวิหารของพระยาห์เวห์ในเมืองเยรูซาเล็ม พวกเขาได้ถวายของด้วยความสมัครใจ ให้กับวิหารของพระเจ้า เพื่อเอาไปสร้างวิหารขึ้นมาใหม่บนสถานที่ตั้งเดิม 69 พวกเขาได้ถวายตามกำลังความสามารถ พวกเขาได้ถวายเพื่อใช้ในงานนี้ให้กับกองคลัง เป็นทองคำประมาณห้าร้อยกิโลกรัม เงินประมาณสามพันสี่ร้อยกิโลกรัม

70 พวกนักบวช พวกชาวเลวี ประชาชนส่วนหนึ่ง พวกนักร้อง คนเฝ้าประตู และคนรับใช้ของวิหาร ได้ย้ายเข้ามาอยู่ตามเมืองของตน และชาวอิสราเอลที่เหลือทั้งหมด ก็ย้ายเข้ามาอยู่ตามเมืองของตนเหมือนกัน

สร้างแท่นบูชา

เมื่อถึงเดือนเจ็ด[l] และประชาชนชาวอิสราเอลได้อาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆแล้ว ประชาชนทั้งหมดได้เข้ามาชุมนุมกันในเมืองเยรูซาเล็ม เยชูอา ลูกชายของโยซาดัก กับพวกเพื่อนนักบวชด้วยกัน และเศรุบบาเบล ลูกชายเชอัลทิเอลกับญาติของเขา ได้เริ่มสร้างแท่นบูชาของพระเจ้าแห่งอิสราเอล เพื่อพวกเขาจะได้ถวายพวกเครื่องเผาบูชาทั้งตัวบนแท่นนั้น ตามที่ได้บันทึกไว้ในกฎบัญญัติของโมเสส ผู้เป็นคนของพระเจ้า

พวกเขาสร้างแท่นบูชาขึ้นมาใหม่ไว้ตรงจุดเดิม เพราะกลัวประชาชนที่อยู่ล้อมรอบพวกเขา พวกเขาได้ถวายเครื่องเผาบูชาทั้งตัวบนแท่นบูชาต่อพระยาห์เวห์ ถวายทั้งเช้าและเย็น แล้วพวกเขาจึงฉลองเทศกาลอยู่เพิง ตามที่เขียนไว้ในกฎบัญญัติ พวกเขาถวายเครื่องเผาบูชาทั้งตัวตามจำนวนที่กำหนดไว้สำหรับเทศกาลแต่ละวัน และหลังจากนั้น พวกเขาจึงถวายเครื่องเผาบูชาทั้งตัวอย่างสม่ำเสมอ และถวายในวันพระจันทร์ใหม่ และถวายเครื่องบูชาทั้งตัวสำหรับทุกๆเทศกาลอันศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์ที่ได้กำหนดไว้ และพวกเขาก็ถวายเครื่องบูชาทั้งตัวสำหรับทุกๆคน ที่ตั้งใจถวายให้กับพระยาห์เวห์ด้วยความสมัครใจ พวกเขาเริ่มถวายเครื่องเผาบูชาทั้งตัวแด่พระยาห์เวห์ ในวันที่หนึ่งของเดือนที่เจ็ดด้วย ถึงแม้ว่าพวกเขายังไม่ได้วางรากฐานของวิหารของพระยาห์เวห์

สร้างวิหารใหม่

แล้วพวกผู้คนที่ได้กลับมานั้นได้ให้เงินกับช่างตัดหินและช่างไม้ พวกเขายังส่งเสบียงอาหาร เหล้าองุ่น และน้ำมันมะกอกไปให้กับคนไซดอนและคนไทระ เพื่อให้พวกเขานำท่อนไม้สนซีดาร์ล่องทะเลจากเลบานอนไปยังยัฟฟา ตามคำอนุญาตที่พวกเขาได้รับจากกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย

ในเดือนที่สอง[m] ของปีที่สอง หลังจากที่พวกเขามาถึงวิหารของพระเจ้าในเยรูซาเล็ม เศรุบบาเบล ลูกชายของเชอัลทิเอล และเยชูอา ลูกชายของโยซาดัก ก็เริ่มลงมือทำงานพร้อมกับพี่น้องทั้งหมดของพวกเขา คือพวกนักบวช พวกชาวเลวี และทุกคนที่เคยเป็นเชลยและได้กลับมาอยู่ที่เมืองเยรูซาเล็ม พวกเขาแต่งตั้งชาวเลวีที่มีอายุยี่สิบปีขึ้นไป ให้เป็นหัวหน้าควบคุมงาน เพื่อสร้างวิหารของพระยาห์เวห์ขึ้นมาใหม่ เยชูอากับพวกลูกชายและพี่น้องของเขา รวมทั้งขัดมีเอล บินนุย และโฮดาวิยาห์ พวกนี้เป็นลูกหลานของยูดาห์ พวกเขาได้ช่วยกันดูแลคนงานที่สร้างวิหารของพระเจ้า รวมกับพวกลูกชายของเฮนาดัดและพวกลูกชายและพี่น้องของพวกเขาที่เป็นชาวเลวี 10 เมื่อช่างก่อสร้างวางรากฐานให้กับวิหารของพระยาห์เวห์ พวกนักบวชที่แต่งตัวด้วยผ้าคลุมพิเศษพร้อมถือแตรอยู่ในมือ และพวกชาวเลวี ผู้เป็นลูกชายของอาสาฟ ซึ่งถือฉิ่งฉาบ ก็เข้าประจำที่เพื่อสรรเสริญพระยาห์เวห์ ตามคำสั่งของกษัตริย์ดาวิดแห่งอิสราเอล[n] 11 พวกเขาต่างก็ร้องเพลงรับกันไปมา[o] ในขณะที่สรรเสริญและขอบคุณพระยาห์เวห์ โดยร้องว่า

“พระยาห์เวห์นั้นช่างดียิ่งนัก
    ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่ออิสราเอล ยั่งยืนตลอดไป”

แล้วประชาชนทั้งหมดก็โห่ร้องเสียงดังสรรเสริญพระยาห์เวห์ เพราะรากฐานวิหารของพระยาห์เวห์ได้วางเสร็จเรียบร้อยแล้ว

12 แต่มีพวกนักบวชแก่ๆหลายคน รวมทั้งชาวเลวี และพวกหัวหน้าครอบครัว คนเหล่านี้เคยเห็นวิหารหลังเดิม เมื่อพวกนี้เห็นรากฐานของวิหารหลังใหม่ที่ได้สร้างขึ้นมานี้ ต่างก็พากันร้องไห้เสียงดัง[p] ถึงแม้ว่าคนอื่นๆจำนวนมากจะโห่ร้องด้วยความดีใจก็ตาม 13 ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถแยกออกว่าอันไหนเป็นเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี หรืออันไหนเป็นเสียงร้องไห้ เพราะ ประชาชนต่างพากันโห่ร้องเสียงดังมาก จนสามารถได้ยินจากที่ไกลๆ

ศัตรูที่ไม่ต้องการให้สร้างวิหารใหม่

1-2 เมื่อพวกศัตรูของยูดาห์และเบนยามิน ได้ยินว่าพวกเชลยที่กลับมากำลังสร้างวิหารของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลขึ้นมาใหม่ พวกเขาจึงมาพบเศรุบบาเบล และพวกหัวหน้าครอบครัว พวกศัตรูพูดว่า “ให้พวกเราช่วยท่านสร้างด้วยสิ เพราะเราก็นมัสการพระเจ้าของท่าน เหมือนกับท่าน และเราก็ได้ถวายเครื่องบูชาต่อพระองค์ ตั้งแต่วันที่กษัตริย์เอสารฮัดโดน[q] แห่งอัสซีเรีย นำพวกเรามาที่นี่”

แต่เศรุบบาเบล เยชูอา รวมทั้งพวกหัวหน้าครอบครัวที่เหลือในอิสราเอล พูดกับพวกเขาว่า “ไม่ต้องมาช่วยพวกเราสร้างวิหารให้กับพระเจ้าของเราหรอก เพราะพวกเราจะสร้างวิหารให้พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลเอง ตามที่กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียสั่งพวกเราไว้”

เพราะอย่างนี้ ประชาชนที่อยู่ในแผ่นดินนั้น จึงได้พยายามทำให้คนยูดาห์หมดกำลังใจ และกลัวที่จะสร้างวิหาร คนเหล่านั้นยังได้ติดสินบนพวกเจ้าหน้าที่ของเปอร์เซีย ให้ขัดขวางพวกคนยิวมาตลอดตั้งแต่สมัยของกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ไปจนถึงสมัยของกษัตริย์ดาริอัสแห่งเปอร์เซีย เพื่อไม่ให้คนยิวทำตามแผนของพวกเขาที่จะสร้างวิหาร ในรัชกาลของกษัตริย์เซอร์ซีส[r] ในช่วงต้นรัชกาลของพระองค์ พวกศัตรูของคนยิว ได้เขียนคำฟ้องร้องพวกชาวยิว ที่อาศัยอยู่ในยูดาห์และเยรูซาเล็ม

ศัตรูต่อต้านการสร้างเยรูซาเล็มใหม่

เรื่องแบบนี้ต่อมาก็เกิดขึ้นอีกในรัชกาลของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส[s] เมื่อ บิชลาม มิทเรดาท และทาเบเอล รวมทั้งเพื่อนร่วมงานของพวกเขา ได้เขียนคำร้องต่อกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสแห่งเปอร์เซีย ข้อความนั้นเขียนเป็นภาษาอารเมค และได้รับการแปลออกมา (เรื่องราวต่อไปนี้เขียนเป็นภาษาอารเมค[t])

[u] เรฮูม ผู้เป็นเจ้าเมือง[v] และชิมชัยผู้เป็นเลขาธิการ ได้เขียนจดหมายเพื่อต่อต้านเมืองเยรูซาเล็ม ส่งไปให้กับกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส มีใจความว่า

จากเรฮูม ผู้เป็นเจ้าเมือง และชิมชัย ผู้เป็นเลขาธิการ รวมทั้งเพื่อนร่วมงานของพวกเขา พวกผู้พิพากษา พวกทูตทั้งหลาย พวกเจ้าหน้าที่ พวกชาวเปอร์เซีย ชาวเอเรก ชาวบาบิโลน ชาวสุสาซึ่งก็คือชาวเอลาม 10 และจากพวกที่เหลืออยู่ คือพวกที่อาเชอร์บานิปอล[w] ผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงได้ขับไล่ออกจากประเทศของพวกเขา อาเชอร์บานิปอลให้คนพวกนี้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองต่างๆของสะมาเรีย และในส่วนอื่นๆที่เหลือของแม่น้ำยูเฟรติสฝั่งตะวันตก

11 (นี่คือสำเนาจดหมาย ที่พวกเขาส่งไปให้กษัตริย์อารทาเซอร์ซีส)

ถึง กษัตริย์อารทาเซอร์ซีส

จาก พวกผู้รับใช้ของพระองค์ ประชาชนที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส

12 ขอเรียนให้กษัตริย์ทราบว่า พวกชาวยิวที่มาจากพระองค์ที่ได้มาหาพวกเรานั้น ตอนนี้พวกเขาได้ขึ้นไปที่เมืองเยรูซาเล็มและกำลังก่อสร้างเมืองชั่วร้ายนั้นขึ้นมาใหม่ เป็นเมืองที่ชอบก่อการกบฏ พวกเขากำลังสร้างกำแพงให้แล้วเสร็จ และกำลังซ่อมแซมพวกฐานรากอยู่

13 ขอเรียนให้กษัตริย์ทราบว่า ถ้าเมืองนั้นถูกสร้างขึ้นใหม่ และกำแพงเมืองถูกสร้างจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว พวกเขาจะไม่ยอมส่งเครื่องบรรณาการ ภาษี และส่วย และในที่สุดคลังหลวงก็จะขาดรายได้ไป

14 เนื่องจากเราไม่เคยลืมข้าวแดงแกงร้อนที่พระองค์เลี้ยงดูเรามา[x] เราจึงเห็นว่าเป็นการไม่สมควรที่จะให้เกียรติของพระองค์ต้องเสื่อมเสียไป ด้วยเหตุนี้เราจึงส่งสารนี้มาถึงพระองค์

15 เพื่อพระองค์จะได้ค้นดูสมุดบันทึกของบรรพบุรุษของพระองค์ ในสมุดบันทึกนี้พระองค์จะได้ค้นพบและเรียนรู้ว่า เมืองเยรูซาเล็มนั้น เป็นเมืองที่ชอบก่อการกบฏ ที่สร้างความเสียหายให้กับพวกกษัตริย์และประเทศต่างๆและมีการปลุกระดมให้ก่อการกบฏภายในเมืองนั้นมาเป็นเวลาช้านานแล้ว นั่นเป็นเหตุที่เมืองเยรูซาเล็มถึงได้ถูกทำลายไป

16 เราขอรายงานให้พระองค์รู้ว่า ถ้าเมืองนั้นถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และกำแพงเมืองถูกสร้างจนเสร็จแล้ว พระองค์จะไม่ได้ครอบครองมณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติสอีกต่อไป

17 กษัตริย์จึงส่งสารตอบกลับมาว่า

“ถึงเรฮูม ผู้เป็นเจ้าเมือง และชิมชัย ผู้เป็นเลขาธิการ รวมทั้งเพื่อนร่วมงานทั้งหลายของท่านที่อยู่ในสะมาเรีย และส่วนอื่นๆของอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติส

ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข

18 ตอนนี้ จดหมายที่ท่านส่งมาถึงพวกเรา ได้แปลและอ่านให้เราฟังแล้ว 19 เราได้สั่งให้ทำการตรวจสอบ และพวกเขาก็พบว่า เมืองเยรูซาเล็มนั้นเคยลุกขึ้นต่อต้านพวกกษัตริย์มาช้านานแล้ว และเคยมีการกบฏรวมทั้งมีการก่อการจลาจลในเมืองนั้นด้วย 20 แต่เคยมีกษัตริย์ผู้เรืองอำนาจบางองค์ซึ่งปกครองเมืองเยรูซาเล็ม และควบคุมเมืองทั้งหมดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ กษัตริย์เหล่านี้ได้รับเครื่องบรรณาการ ภาษี และส่วย

21 ตอนนี้ ให้ท่านทั้งหลายออกคำสั่งให้คนยิวพวกนั้นหยุดทำงานนี้ เพื่อไม่ให้เมืองนั้นถูกสร้างขึ้นมาใหม่ จนกว่าเราจะออกคำสั่งให้สร้างได้ 22 ระวังให้ดี อย่าได้เพิกเฉยกับเรื่องนี้ เพื่อกษัตริย์จะได้ไม่ขาดรายได้อีกต่อไป”

23 พอได้อ่านสำเนาจดหมายของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส ให้กับเรฮูมและชิมชัย ผู้เป็นเลขาธิการ รวมทั้งพวกเพื่อนร่วมงานของพวกเขาฟังแล้ว พวกเขาก็รีบไปหาพวกยิวที่เยรูซาเล็มทันที[y]

พวกเขาระงับการสร้างวิหาร

24 แล้วพวกเขาก็ใช้กำลังบีบบังคับให้พวกยิวหยุดทำงาน แล้วการสร้างวิหารของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็มก็ถูกระงับลง และก็ไม่ได้สร้างต่ออีกเลย จนกระทั่งถึงปีที่สอง[z] ของกษัตริย์ดาริอัสแห่งเปอร์เซีย

ต่อมาผู้พูดแทนพระเจ้า คือ ฮักกัย[aa] และเศคาริยาห์ลูกชายของอิดโด[ab] ได้พูดแทนพระเจ้าต่อคนยิวที่อาศัยอยู่ในยูดาห์และในเมืองเยรูซาเล็ม ในนามของพระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้ที่อยู่เหนือพวกเขาทั้งหลาย แล้วเศรุบบาเบล ลูกชายของเชอัลทิเอล และเยชูอา ลูกชายของโยซาดัก ก็เริ่มสร้างวิหารของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่ และผู้พูดแทนพระเจ้าทั้งสองคนนี้ก็ได้อยู่และคอยสนับสนุนพวกเขา ในเวลานั้น ทัทเธนัย ซึ่งเป็นเจ้าเมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และเชธาร์โบเซนัย รวมทั้งเพื่อนร่วมงานของพวกเขา ก็ได้มาหาเศรุบบาเบล และคนที่อยู่กับเศรุบบาเบล และได้ถามพวกเขาว่า “ใครเป็นคนอนุญาตให้เจ้าสร้างวิหารนี้ขึ้นมาใหม่และทำงานไม้พวกนี้จนเสร็จ” พวกเขายังถามต่อไปอีกว่า “พวกคนงานที่สร้างตึกนี้มีชื่อว่าอะไรบ้าง”

แต่พระเจ้าได้สอดส่องดูแลพวกผู้อาวุโสของชาวยิวอยู่ และทัทเธนัยกับพรรคพวกไม่สามารถหยุดชาวยิวเหล่านั้นให้เลิกทำงานได้ ในช่วงที่พวกเขาส่งรายงานไปยังกษัตริย์ดาริอัส และกษัตริย์มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ตอบกลับมา

นี่คือสำเนาจดหมายที่ ทัทเธนัย เจ้าเมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และเชธาร์โบเซนัย รวมทั้งบรรดาเพื่อนร่วมงาน ที่เป็นผู้ตรวจราชการเมือง ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ได้ส่งไปถึงกษัตริย์ดาริอัส พวกเขาส่งรายงานไปให้กับกษัตริย์ และในจดหมายนั้นมีใจความว่าอย่างนี้ คือ

ถึง กษัตริย์ดาริอัส ขอให้พระองค์อยู่เย็นเป็นสุข

ขอให้พระองค์รู้ไว้เถิดว่า พวกเราได้ไปยังมณฑลยูดาห์เพื่อไปยังวิหารของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งกำลังถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยหินก้อนใหญ่ ส่วนท่อนไม้ก็กำลังติดตั้งบนฝาผนัง งานนี้กำลังดำเนินไปอย่างขยันขันแข็งและก้าวหน้าเป็นอย่างดี ในกำมือของพวกเขา

แต่เมื่อพวกเราไต่ถามพวกผู้อาวุโสเหล่านั้นว่า “ใครเป็นคนอนุญาตให้สร้างวิหารนี้ขึ้นใหม่ และใครสั่งให้ทำงานไม้พวกนี้จนเสร็จ” 10 เราได้ถามชื่อคนงานเหล่านั้นด้วย เพื่อพวกเราจะได้แจ้งให้พระองค์ทราบ เพื่อว่าเราจะได้จดรายชื่อของพวกคนเหล่านั้นที่เป็นหัวหน้าของพวกเขาไว้ 11 พวกเขาตอบพวกเรามาอย่างนี้ว่า

“พวกเราคือผู้รับใช้ของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และพวกเรากำลังสร้างวิหารขึ้นมาใหม่ ซึ่งเคยสร้างมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน โดยกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิสราเอล 12 แต่เป็นเพราะบรรพบุรุษของเรา ได้ทำให้พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์โกรธ พระองค์จึงมอบพวกเขาให้ตกไปอยู่ในกำมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์[ac] แห่งบาบิโลนชาวเคลเดีย และกษัตริย์ก็ได้ทำลายวิหารแห่งนี้ลง และจับตัวประชาชนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน 13 แต่ในปีแรกของรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งบาบิโลน พระองค์ได้มีคำสั่งให้สร้างวิหารของพระเจ้าแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ 14 ยังมีเครื่องใช้ทองคำและเงินของวิหารของพระเจ้า ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ขนย้ายออกมาจากวิหารในเมืองเยรูซาเล็ม และเอาไปวางไว้ในวิหารของบาบิโลน กษัตริย์ไซรัสได้เคลื่อนย้ายเครื่องใช้เหล่านั้นจากวิหารของบาบิโลน ไปมอบให้ชายที่ชื่อเชชบัสซาร์ ซึ่งพระองค์ได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง

15 กษัตริย์ไซรัสได้สั่งเชชบัสซาร์ว่า

‘ให้เอาเครื่องใช้เหล่านี้ไปเก็บไว้ในวิหารในเมืองเยรูซาเล็ม และให้สร้างวิหารของพระเจ้าขึ้นมาใหม่บนสถานที่ตั้งเดิม’ 16 แล้วเชชบัสซาร์คนนั้น ก็ได้มาวางรากฐานให้วิหารของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็ม และตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ วิหารก็ได้รับการก่อสร้างเรื่อยมาแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์

17 ตอนนี้ ถ้าพระองค์อยากจะค้นดูบันทึกจากห้องเก็บเอกสารของวังที่อยู่ในบาบิโลน เพื่อตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ที่ กษัตริย์ไซรัสได้ออกคำสั่งให้สร้างวิหารของพระเจ้าในเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่ แล้วจากนั้นพระองค์ค่อยส่งจดหมายมาให้กับพวกเรารู้ว่า พระองค์ตัดสินใจยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้”

คำสั่งของกษัตริย์ดาริอัส

กษัตริย์ดาริอัสจึงได้ออกคำสั่ง ให้พวกเขาค้นห้องเก็บเอกสารที่บาบิโลนใช้เก็บทรัพย์สมบัติ แล้วพวกเขาก็พบหนังสือม้วนหนึ่ง ที่ป้อมปราการในเอกบาทานา ซึ่งอยู่ในมณฑลมีเดีย และในหนังสือม้วนนั้นเขียนไว้ว่าอย่างนี้

บันทึกความจำ ในปีแรกของรัชกาลกษัตริย์ไซรัส กษัตริย์ไซรัสได้มีคำสั่งที่เกี่ยวกับวิหารของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็มว่าอย่างนี้

ให้สร้างวิหารขึ้นมาใหม่ ในสถานที่ที่พวกเขาเคยถวายเครื่องบูชา และให้วางรากฐานให้เหมือนกับสภาพเดิม ให้มีความสูงหกสิบศอก และกว้างหกสิบศอก ให้สร้างด้วยหินใหญ่สามชั้น และสร้างด้วยไม้หนึ่งชั้น ให้คลังหลวงเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย นอกจากนั้น พวกเครื่องใช้ทองคำและเงินของวิหารของพระเจ้า ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้เอามาจากวิหารในเมืองเยรูซาเล็ม และเอามาไว้ที่บาบิโลนนั้น จะต้องส่งกลับคืนไปยังวิหารในเมืองเยรูซาเล็ม เอาไปไว้ในที่ของมัน และเก็บรักษาไว้ในวิหารของพระเจ้า

ดังนั้น ทัทเธนัยเจ้าเมืองมณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และเชธาร์โบเซนัย รวมทั้งพวกท่านที่เป็นเพื่อนร่วมงานของพวกเขา ที่เป็นผู้ตรวจราชการของมณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส อยู่ให้ห่างจากที่นั่น อย่าไปรบกวนงานสร้างวิหารของพระเจ้า ปล่อยให้เจ้าเมืองของชาวยิวและพวกผู้อาวุโสของพวกเขา สร้างวิหารของพระเจ้าขึ้นมาใหม่บนพื้นที่เดิม

และตอนนี้ เราขอสั่งพวกท่านให้ช่วยพวกผู้อาวุโสของชาวยิวเหล่านั้น ที่กำลังสร้างวิหารของพระเจ้าขึ้นมาใหม่ ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างของคนพวกนี้ ให้จ่ายจากเงินหลวงทั้งหมด คือเงินที่เก็บได้จากภาษีของมณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ต้องหยุดงาน ให้จัดหาทุกสิ่งให้กับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นพวกวัวหนุ่ม แกะตัวผู้ หรือลูกแกะ ที่ต้องใช้สำหรับถวายเป็นเครื่องเผาบูชาให้กับพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ หรือจะเป็นข้าวสาลี เกลือ เหล้าองุ่น หรือน้ำมัน ที่พวกนักบวชในเมืองเยรูซาเล็มขอ ก็ให้จัดหามาให้กับพวกเขาทุกๆวันอย่าให้ขาดเลย 10 เพื่อพวกเขาจะได้ถวายเครื่องบูชาอันมีกลิ่นหอมให้กับพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และให้อธิษฐานเผื่อเราผู้เป็นกษัตริย์และพวกลูกชายของเรา

11 และถ้าใครไม่เชื่อฟังคำสั่งนี้ เราขอสั่งให้ดึงเสาไม้ค้ำบ้านของคนๆนั้นมาอันหนึ่ง และเอามาผูกคนๆนั้นและเฆี่ยนเขา และให้เอาบ้านของเขามาทำเป็นส้วมสาธารณะ

12 ขอให้พระเจ้า ที่ได้เลือกสถานที่นั้นให้เป็นที่นมัสการพระองค์ โค่นล้มกษัตริย์องค์ไหนๆหรือประชาชนกลุ่มใดก็ตาม ที่ฝ่าฝืนคำสั่งนี้ และอยากจะทำลายวิหารของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็ม

เรา กษัตริย์ดาริอัส เป็นผู้ออกคำสั่งนี้เอง ให้เชื่อฟังคำสั่งนี้อย่างเคร่งครัด

วิหารสร้างเสร็จ

13 แล้วทัทเธนัย เจ้าเมืองฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และเชธาร์โบเซนัย รวมทั้งเพื่อนร่วมงานของพวกเขา ก็ทำทุกอย่างตามที่กษัตริย์ดาริอัสสั่ง 14 พวกผู้อาวุโสของชาวยิว ได้ก่อสร้างวิหารสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ภายใต้การพูดแทนพระเจ้าของฮักกัย ผู้พูดแทนพระเจ้า และเศคาริยาห์ลูกชายของอิดโด พวกเขาสร้างวิหารเสร็จตามคำสั่งของพระเจ้าแห่งอิสราเอล และตามคำสั่งของพวกกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย คือไซรัส ดาริอัส และอารทาเซอร์ซีส 15 แล้ววิหารนี้ก็สร้างเสร็จในวันที่สามของเดือนอาดาร์[ad] ในปีที่หกแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส[ae]

16 แล้วประชาชนของอิสราเอล รวมทั้งพวกนักบวช และพวกชาวเลวี และเชลยทุกคนที่ได้กลับมา ได้อุทิศวิหารนี้ให้กับพระเจ้า และพวกเขาก็มีความสุขมากที่ได้ทำอย่างนั้น

17 ในการอุทิศวิหารนี้ พวกเขาได้ถวายเครื่องบูชาโดยมีวัวตัวผู้หนึ่งร้อยตัว แกะตัวผู้สองร้อยตัว ลูกแกะสี่ร้อยตัว และเครื่องบูชาชำระล้างสำหรับอิสราเอลทั้งหมด คือแพะตัวผู้สิบสองตัว เผ่าละตัว 18 พวกเขาแต่งตั้งนักบวชให้อยู่ในแผนกต่างๆของพวกเขา และแต่งตั้งชาวเลวีให้อยู่ในแต่ละหน่วย เพื่อรับใช้ในวิหารของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็ม ตามที่ได้เขียนไว้ในหนังสือของโมเสส

เทศกาลปลดปล่อย

19 [af] พวกชาวยิวที่กลับมาจากการเป็นเชลย ได้เฉลิมฉลองเทศกาลปลดปล่อย ในวันที่สิบสี่ของเดือนแรก[ag] 20 นักบวชทุกคนได้ชำระตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว และชาวเลวีก็เป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยในสายตาผู้อื่น ดังนั้นชาวเลวีจึงฆ่าแกะในเทศกาลปลดปล่อย เพื่อชาวยิวทุกคนที่กลับจากการเป็นเชลย เพื่อพี่น้องทั้งหลายของเขาที่เป็นนักบวช และเพื่อตัวเขาเองด้วย 21 ประชาชนของอิสราเอลที่กลับจากการเป็นเชลย ได้กินอาหารในเทศกาลปลดปล่อยนี้ เหมือนกับคนอื่นๆทั้งหมดที่ได้แยกตัวเองออกจากสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์[ah]ของพวกคนต่างชาติในแผ่นดิน เพื่อจะได้นมัสการพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล 22 พวกเขาได้เฉลิมฉลองเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวันด้วยความยินดี เพราะพระยาห์เวห์ได้ทำให้พวกเขามีความสุข ที่พระองค์ได้เปลี่ยนทัศนคติของกษัตริย์อัสซีเรีย[ai] ที่มีต่อพวกเขา ดังนั้นกษัตริย์ จึงได้ช่วยพวกเขาในการสร้างวิหารของพระเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล

เอสรามาเมืองเยรูซาเล็ม

หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ผ่านไป[aj] ในช่วงรัชกาลของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส[ak] แห่งเปอร์เซีย เอสราได้ขึ้นมาจากบาบิโลนมาที่เมืองเยรูซาเล็ม เอสราเป็นลูกของเสไรอาห์ ที่เป็นลูกของอาซาริยาห์ ที่เป็นลูกของฮิลคียาห์ ที่เป็นลูกของชัลลูม ที่เป็นลูกของศาโดก ที่เป็นลูกของอาหิทูบ ที่เป็นลูกของอามาริยาห์ ที่เป็นลูกของอาซาริยาห์ ที่เป็นลูกของเมราโยท ที่เป็นลูกของเศราหิยาห์ ที่เป็นลูกของอุสซี ที่เป็นลูกของบุคคี ที่เป็นลูกของอาบีชูวา ที่เป็นลูกของฟีเนหัส ที่เป็นลูกของเอเลอาซาร์ ที่เป็นลูกของอาโรน ที่เป็นหัวหน้านักบวช

เอสราคนนี้ขึ้นมาจากบาบิโลนมาที่เมืองเยรูซาเล็ม เขาเป็นครู[al] เป็นผู้เชี่ยวชาญกฎของโมเสสเป็นอย่างดี ซึ่งพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้มอบกฎนี้ให้กับอิสราเอล กษัตริย์ได้ให้เอสราทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เขาขอ เพราะมือของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาคอยช่วยเหลือเขา มีประชาชนอิสราเอลบางคน รวมทั้งนักบวชบางคน พวกชาวเลวี พวกนักร้อง บรรดาคนเฝ้าประตู และพวกผู้รับใช้ในวิหาร ได้ขึ้นมาที่เมืองเยรูซาเล็มในปีที่เจ็ดในรัชกาลของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส เอสรามาถึงเมืองเยรูซาเล็มในเดือนที่ห้า[am] ของปีที่เจ็ด ในรัชกาลของกษัตริย์นี้ เขาได้เตรียมตัวที่จะออกเดินทางจากบาบิโลน ในวันที่หนึ่งของเดือนแรก และได้มาถึงเมืองเยรูซาเล็มในวันที่หนึ่งของเดือนห้า เพราะมือของพระเจ้าคอยช่วยเหลือเขา 10 เพราะเอสราได้อุทิศตัวในการศึกษากฎคำสอนของพระยาห์เวห์ ในการทำตัวตามกฎนั้น และในการสั่งสอนกฎระเบียบและกฎหมายของพระองค์ในอิสราเอล

จดหมายอารทาเซอร์ซีสถึงเอสรา

11 นี่คือสำเนาจดหมาย ที่กษัตริย์อารทาเซอร์ซีส[an] มอบให้กับเอสรา ผู้เป็นนักบวชและครูผู้รอบรู้คำสอนของบัญญัติของพระยาห์เวห์ และกฎระเบียบต่างๆของพระองค์ที่มีไว้สำหรับคนอิสราเอล

12 [ao] จาก อารทาเซอร์ซีส ผู้เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง

ถึง เอสรา ผู้เป็นนักบวช ครูผู้รอบรู้กฎของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์

ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขในทุกเรื่อง

13 เราขอสั่งว่า ใครก็ตามในอาณาจักรของเรา ไม่ว่าจะเป็นประชาชนของอิสราเอล หรือนักบวชของพวกเขา หรือชาวเลวี ที่สมัครใจจะไปยังเมืองเยรูซาเล็มกับเจ้า ก็ไปได้

14 เนื่องจากตัวเราและที่ปรึกษาทั้งเจ็ดของเราได้ส่งเจ้าไป เพื่อไปดูว่าประชาชนของยูดาห์และเยรูซาเล็ม เชื่อฟังกฎแห่งพระเจ้าที่อยู่ในมือของเจ้าหรือไม่

15 เราและพวกที่ปรึกษาของเรา ก็ยังส่งเจ้าไป เพื่อขนเอาเงินและทองคำที่พวกเราสมัครใจมอบให้กับพระเจ้าแห่งอิสราเอล ที่มีวิหารอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม 16 ให้เจ้ารวบรวมเงินและทองคำทั้งหมด ที่เจ้าหามาได้จากมณฑลบาบิโลน พร้อมกับพวกของถวาย ที่ประชาชนและพวกนักบวชเอามาให้ด้วยความสมัครใจ สำหรับถวายให้กับวิหารของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็ม

17 และด้วยเงินนี้แหละ เจ้าต้องเอาไปซื้อพวกวัวตัวผู้ แกะตัวผู้ และลูกแกะ รวมทั้งเครื่องบูชาจากเมล็ดพืชและเครื่องดื่มบูชา และเจ้าจะต้องถวายสิ่งต่างๆเหล่านี้บนแท่นบูชาในวิหารของพระเจ้าของเจ้าในเมืองเยรูซาเล็ม 18 ส่วนเงินและทองคำที่เหลือนั้น เจ้าและพี่น้องชาวยิวของเจ้า เห็นดีเห็นชอบที่จะทำยังไงก็ให้ทำไป ให้สอดคล้องกับความต้องการของพระเจ้าของพวกเจ้า 19 เครื่องใช้ต่างๆที่ได้มอบให้กับเจ้า สำหรับการบูชาในวิหารของพระเจ้าของเจ้านั้น ก็ให้เจ้าเอาไปวางไว้ต่อหน้าพระเจ้าแห่งเยรูซาเล็ม 20 ส่วนสิ่งอื่นๆที่เหลือ ที่จำเป็นสำหรับวิหารของพระเจ้าของเจ้านั้น ก็ตกเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วที่จะจัดหามา ก็ให้เจ้าเบิกจากเงินหลวงได้

21 นอกจากนั้นแล้ว เรา กษัตริย์อารทาเซอร์ซีส ได้ออกคำสั่งนี้ให้กับผู้ดูแลเงินกองคลังทุกคนที่อยู่ในมณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติสว่าอย่างนี้ คือไม่ว่าเอสราผู้เป็นนักบวช และครูผู้รอบรู้กฎบัญญัติของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ จะขออะไรจากเจ้า ก็ให้ทำตามนั้นอย่างรวดเร็วและอย่างเต็มที่ 22 ให้ช่วยได้มากถึงจำนวนเงินสามตันครึ่ง ข้าวสาลี เหล้าองุ่นและน้ำมันมะกอก อย่างละสองหมื่นสองพันลิตร ส่วนเกลือให้ได้ไม่อั้น 23 ไม่ว่าพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะสั่งให้ทำอะไร ก็ให้เป็นไปตามนั้นอย่างรวดเร็วและอย่างเต็มที่ สำหรับวิหารของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ เพื่อว่าความโกรธของพระเจ้าจะได้ไม่ตกลงมาบนอาณาจักรของเราผู้เป็นกษัตริย์ และบนพวกลูกชายของเรา

24 เราขอแจ้งให้พวกเจ้าทั้งหลายรู้ว่า พวกคนเหล่านี้ทั้งหมดคือ พวกนักบวช พวกชาวเลวี พวกนักร้อง พวกคนเฝ้าประตู พวกผู้รับใช้ในวิหาร และคนรับใช้อื่นๆในวิหารของพระเจ้า จะไม่ต้องเสียเครื่องบรรณาการ ภาษี และส่วยใดๆทั้งสิ้น 25 ส่วนตัวเจ้า เอสรา ตามสติปัญญาของพระเจ้าของเจ้า ที่เจ้ามีนั้น ก็ให้เจ้าแต่งตั้งผู้พิพากษา และผู้ปกครอง ให้มาตัดสินคนทั้งหมดที่อยู่ในมณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส ซึ่งหมายถึงทุกคนที่รู้จักพวกกฎของพระเจ้าของเจ้า และเจ้าก็ควรที่จะสอนคนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักกฎพวกนั้นด้วย 26 ใครก็ตามที่ไม่เชื่อฟังกฎของพระเจ้าของเจ้า และกฏหมายของกษัตริย์ ก็ให้เขาได้รับโทษอย่างรวดเร็วอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นโทษตาย หรือเนรเทศไปอยู่เมืองอื่น หรือยึดทรัพย์ หรือจำคุก ก็ตาม

เอสราสรรเสริญพระเจ้า

27 [ap] สรรเสริญพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกเรา ผู้ทำให้กษัตริย์ มีจิตใจที่อยากจะให้เกียรติกับวิหารของพระยาห์เวห์ในเมืองเยรูซาเล็มอย่างนี้ 28 พระองค์ได้แสดงความรักต่อข้าพเจ้า ต่อหน้ากษัตริย์ พวกที่ปรึกษา และข้าราชการชั้นสูงทั้งหลายของกษัตริย์ เนื่องจากมือของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าคอยช่วยเหลือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถึงมีกำลังใจที่จะรวบรวมพวกผู้นำจากประชาชนของอิสราเอลเพื่อเดินทางขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็มกับข้าพเจ้า

รายชื่อพวกผู้นำที่กลับมาพร้อมเอสรา

ต่อไปนี้คือพวกหัวหน้าครอบครัว และเชื้อสายของพวกเขา ซึ่งเดินทางออกจากบาบิโลนไปกับข้าพเจ้า ในช่วงสมัยของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส

จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากฟีเนหัส คือเกอร์โชม

จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากอิธามาร์ คือดาเนียล

จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากดาวิด คือฮัทธัช จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากเชคานิยาห์

จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากปาโรช คือเศคาริยาห์

พร้อมกับชายที่ขึ้นทะเบียนกับเขาอีกหนึ่งร้อยห้าสิบคน

จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากปาหัทโมอับ คือเอลีโฮนัย ลูกชายของเศราหิยาห์

พร้อมกับชายที่อยู่กับเขาอีกสองร้อยคน

จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากศัทธู คือเชคานิยาห์ลูกชายของยาฮาซีเอล

พร้อมกับชายที่อยู่กับเขาอีกสามร้อยคน

จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากอาดีน คือเอเบคลูกชายของโยนาธาน

พร้อมกับชายที่อยู่กับเขาอีกห้าสิบคน

จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากเอลาม คือเยชายาห์ลูกชายของอาธาลิยาห์

พร้อมกับชายที่อยู่กับเขาอีกเจ็ดสิบคน

จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากเชฟาทิยาห์ คือเศบาดิยาห์ลูกชายของมีคาเอล

พร้อมกับชายที่อยู่กับเขาอีกแปดสิบคน

จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากโยอาบ คือโอบาดียาห์ลูกชายของเยฮีเอล

พร้อมกับชายที่อยู่กับเขาอีกสองร้อยสิบแปดคน

10 จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากบานี่ คือเชโลมิทลูกชายของโยสิฟิยาห์

พร้อมกับชายที่อยู่กับเขาอีกหนึ่งร้อยหกสิบคน

11 จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากเบบัย คือเศคาริยาห์ลูกชายของเบบัย

พร้อมกับชายที่อยู่กับเขาอีกยี่สิบแปดคน

12 จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากอัสกาด คือ โยฮานัน

ลูกชายของฮักคาทาน

พร้อมกับชายที่อยู่กับเขาอีกหนึ่งร้อยสิบคน

13 จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากอาโดนีคัม

พวกสุดท้ายที่ตามมาทีหลัง

มีชื่อว่าเอลีเฟเลท เยอูเอล และเชไมยาห์

พร้อมกับชายที่อยู่กับพวกเขาอีกหกสิบคน

14 จากคนเหล่านั้นที่สืบเชื้อสายจากบิกวัย คือ อุธัยและศักเกอร์

พร้อมกับชายที่อยู่กับพวกเขาอีกเจ็ดสิบคน

การกลับมาเมืองเยรูซาเล็ม

15 ข้าพเจ้ารวบรวมพวกเขาไว้บริเวณแม่น้ำที่ไหลไปสู่อาหะวา พวกเราตั้งค่ายอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามวัน ข้าพเจ้าสำรวจดูประชาชนและพวกนักบวช แต่ไม่พบพวกชาวเลวีเลยสักคนที่นั่น 16 ข้าพเจ้าจึงเรียกคนเหล่านี้มาหา คือ

เอลีเยเซอร์ อารีเอล เชไมยาห์ เอลนาธัน ยารีบ เอลนาธัน นาธัน เศคาริยาห์ และเมชุลลาม ซึ่งเป็นพวกผู้นำ พร้อมด้วยโยยาริบ และเอลนาธัน ซึ่งเป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลม 17 แล้วข้าพเจ้าก็ส่งพวกเขาไปหาอิดโด ซึ่งเป็นหัวหน้าของสถานที่ที่มีชื่อว่า คาสิเฟีย ข้าพเจ้าบอกพวกเขาว่าควรจะพูดอะไรกับอิดโดและพี่น้องของเขา รวมทั้งพวกผู้รับใช้ในวิหารที่อยู่ในคาสิเฟีย เพื่อพวกเขาจะได้นำพวกผู้ช่วยมา เพื่อรับใช้ในวิหารของพระเจ้าของเรา 18 เนื่องจากมือของพระเจ้าของเราคอยช่วยเหลือเรา พวกเขาจึงส่งชายที่มีความเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง ชื่อเชเรบิยาห์ พร้อมกับลูกๆและพี่น้องของเขา รวมทั้งหมดสิบแปดคน มาให้กับพวกเรา เชเรบิยาห์ เป็นผู้สืบตระกูลมาจากมาห์ลี ที่เป็นลูกของเลวี ที่เป็นลูกชายของอิสราเอล

19 พวกเขายังส่งฮาชาบิยาห์ มาพร้อมกับเยชายาห์จากตระกูลของเมราวี พร้อมด้วยพี่น้องและพวกลูกชายของพวกเขา รวมทั้งหมดยี่สิบคน 20 พวกเขายังส่งผู้รับใช้ในวิหารมาให้ด้วย รวมสองร้อยยี่สิบคน กษัตริย์ดาวิดและพวกเจ้านายได้แต่งตั้งบรรพบุรุษของผู้รับใช้พวกนี้ ให้เป็นผู้ช่วยของพวกเลวี คนที่มาเหล่านี้มีรายชื่อบันทึกไว้ทุกคน

21 ที่ข้างแม่น้ำอาหะวา ข้าพเจ้าก็ได้ประกาศให้ถือศีลอดอาหาร เพื่อเราจะได้ถ่อมตัวลงต่อหน้าพระเจ้าของเรา และขอให้พระองค์ช่วยให้พวกเราเดินทางด้วยความปลอดภัย สำหรับตัวเราเอง ลูกหลาน และทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเรา 22 ข้าพเจ้าอับอายที่จะขอทหารและทหารม้าจากกษัตริย์ เพื่อปกป้องพวกเราจากศัตรูในระหว่างเดินทาง เพราะพวกเราได้พูดกับกษัตริย์ไปแล้วว่า “มือของพระเจ้าของเราคอยช่วยเหลือทุกคนที่แสวงหาพระองค์ เพื่อให้พวกเขาปลอดภัย แต่ฤทธิ์อำนาจและความโกรธของพระองค์จะต่อต้านทุกคนที่ละทิ้งพระองค์” 23 ดังนั้นเราจึงอดอาหารและอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อขอให้การเดินทางนี้ปลอดภัย และพระองค์ก็ตอบคำอธิษฐานของพวกเรา

24 แล้วข้าพเจ้าได้เลือกผู้นำนักบวชมาสิบสองคน พร้อมกับเชเรบิยาห์ ฮาชาบิยาห์ และพี่น้องของพวกเขาอีกสิบคน 25 แล้วข้าพเจ้าก็ชั่งเงิน ทองคำ พร้อมด้วยเครื่องใช้ต่างๆให้กับพวกเขาทั้งสิบสองคน ซึ่งเป็นของถวายสำหรับวิหารของพระเจ้าของเรา ของพวกนี้เป็นของที่กษัตริย์และที่ปรึกษาของพระองค์ รวมทั้งพวกเจ้าหน้าที่ และประชาชนทั้งหลายของอิสราเอลที่อยู่ที่นั่นได้ถวายไว้ 26 สิ่งที่ข้าพเจ้าชั่งและมอบให้พวกเขาประกอบด้วย เงินหนักประมาณยี่สิบสองตัน เครื่องใช้ที่ทำด้วยเงินหนักประมาณสามตันครึ่ง และทองคำประมาณสามตันครึ่ง 27 มีชามทองคำยี่สิบใบ หนักแปดกิโลกรัมครึ่ง และเครื่องใช้สองชิ้นที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ขัดเงาชั้นดี ซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่าทองคำ 28 แล้วข้าพเจ้าพูดกับพวกนักบวชว่า “พวกท่านถูกอุทิศไว้สำหรับพระยาห์เวห์ และข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้ ก็ถูกอุทิศไว้สำหรับพระยาห์เวห์ด้วย เงินและทองคำพวกนี้เป็นของที่คนสมัครใจเอามาถวายให้กับพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา 29 ขอให้เฝ้าระวังรักษาสิ่งของเหล่านี้ไว้ให้ดี จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านชั่งสิ่งของเหล่านี้ ต่อหน้าพวกหัวหน้าของเหล่านักบวช และชาวเลวี รวมทั้งหัวหน้าครอบครัวของอิสราเอลในเมืองเยรูซาเล็ม ภายในห้องของวิหารของพระยาห์เวห์”

30 ดังนั้น พวกนักบวชและพวกชาวเลวีจึงรับเงินและทองคำ รวมทั้งเครื่องใช้ต่างๆที่ชั่งแล้ว และนำสิ่งเหล่านั้นไปยังวิหารของพระเจ้าของเราในเมืองเยรูซาเล็ม

31 เราเดินทางออกจากบริเวณแม่น้ำอาหะวา ในวันที่สิบสองของเดือนแรก[aq] เพื่อไปยังเมืองเยรูซาเล็ม มือของพระเจ้าของเราคอยช่วยเหลือเรา และพระองค์ช่วยปกป้องเราให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูและพวกโจรในระหว่างทาง 32 แล้วในที่สุด เราก็มาถึงเมืองเยรูซาเล็ม และได้หยุดพักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามวัน 33 ในวันที่สี่เราได้ชั่งเงินและทองคำ รวมทั้งเครื่องใช้ภายในวิหารของพระเจ้าของเรา และมอบสิ่งเหล่านั้นไว้ในมือของเมเรโมท ลูกชายของอุรียาห์ ผู้เป็นนักบวช และเอเลอาซาร์ ลูกชายฟีเนหัส และคนอื่นที่อยู่กับพวกเขาคือ ชาวเลวี โยซาบาดลูกชายเยชูอา และโนอัดยาห์ ลูกชายบินนุย 34 ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการตรวจสอบ ด้วยการนับจำนวนและการชั่งน้ำหนัก แล้วจึงบันทึกน้ำหนักรวมทั้งหมดไว้ในเวลานั้น

35 แล้วพวกชาวยิวที่กลับจากการเป็นเชลย ก็ถวายเครื่องเผาบูชาให้กับพระเจ้าของอิสราเอล ประกอบด้วยวัวตัวผู้สิบสองตัว สำหรับอิสราเอลทั้งหมด แกะตัวผู้เก้าสิบหกตัว ลูกแกะเจ็ดสิบสองตัว (และถวายเครื่องบูชาชำระล้างเป็นแพะตัวผู้สิบสองตัว) ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องเผาบูชาที่ถวายให้กับพระยาห์เวห์

36 พวกเขายังได้ส่งมอบพวกคำสั่งของกษัตริย์ ให้เจ้าหน้าที่หลวงทั้งหลาย รวมทั้งพวกเจ้าเมืองมณฑลฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส แล้วเจ้าหน้าที่และเจ้าเมืองพวกนี้ ต่างก็สนับสนุนประชาชนของอิสราเอล และวิหารของพระเจ้า

การแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว

หลังจากเหตุการณ์เหล่านั้นเสร็จสิ้นลงแล้ว พวกหัวหน้าก็มาพบข้าพเจ้าและพูดว่า “ประชาชนชาวอิสราเอล พวกนักบวช รวมทั้งชาวเลวีทั้งหลาย ไม่ได้แยกตัวเองออกจากชนชาติอื่นๆในดินแดนที่อยู่รอบๆเขา ชาวอิสราเอลได้ทำในสิ่งที่น่ารังเกียจเหมือนกับคนเหล่านั้น คือชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวเยบุส ชาวอัมโมน ชาวโมอับ ชาวอียิปต์ และชาวอาโมไรต์ เพราะคนอิสราเอล ได้รับเอาลูกสาวของชนชาติรอบข้างเหล่านั้น มาเป็นเมียของพวกเขาและของพวกลูกชายของพวกเขาด้วย และพวกเขาได้ทำให้เชื้อสายที่อุทิศไว้สำหรับพระเจ้า ไปผสมปนเปกับชนชาติอื่นที่อยู่ในดินแดนแถบนั้น พวกเจ้าหน้าที่และพวกหัวหน้าเป็นผู้เริ่มลงมือทำก่อน ซึ่งเป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า” เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้ฉีกทั้งเสื้อและเสื้อคลุมของข้าพเจ้า และดึงผมและเคราของตัวเอง แล้วนั่งตกตะลึงอย่างมาก ทุกคนที่สั่นเทิ้มเมื่อได้ยินถ้อยคำของพระเจ้าแห่งอิสราเอล ก็มาหาข้าพเจ้า เพราะประชาชนที่ได้กลับจากการเป็นเชลยนั้นไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ข้าพเจ้านั่งตกตะลึงอยู่ จนถึงเวลาถวายเครื่องบูชาตอนเย็น

เมื่อได้เวลาถวายเครื่องบูชาตอนเย็น ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากตรงที่ข้าพเจ้านั่งด้วยความอับอาย พร้อมกับเสื้อและเสื้อคลุมที่ฉีกขาด ข้าพเจ้าคุกเข่าลงกราบ และยื่นมือทั้งสองขึ้นต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า และพูดว่า

“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกอับอายและละอายใจเกินกว่าจะสู้หน้าพระองค์ได้ ข้าแต่พระเจ้า บาปของพวกเราได้เพิ่มมากขึ้นจนสูงท่วมหัวของพวกเราแล้ว และความผิดของเรา ก็พอกพูนมากจนถึงสวรรค์แล้ว ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของพวกเรามาจนถึงทุกวันนี้ เรามีความผิดที่ร้ายแรงมาก และเพราะบาปของเรา พวกเรา รวมทั้งพวกกษัตริย์ของเรา และพวกนักบวชของเราต้องตกไปอยู่ในกำมือของพวกกษัตริย์ต่างชาติทั้งหลาย ถูกดาบฆ่าฟัน ถูกจับไปเป็นเชลย ถูกปล้น และได้รับความอับอายขายหน้าจนถึงทุกวันนี้

แต่แล้วในช่วงระยะเวลาอันสั้น พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเราก็ได้แสดงความเมตตาต่อเรา โดยยอมให้พวกเราบางคนหลุดพ้นจากการเป็นเชลย และมอบสถานที่ที่ปลอดภัยให้กับเรา ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ดังนั้นพระเจ้าของเราจึงให้ความหวังใหม่กับเรา และได้ช่วยกู้พวกเราบางคนให้พ้นจากการเป็นเชลยและให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ใช่แล้ว เราเป็นทาสกัน แต่พระเจ้าของพวกเราก็ไม่ได้ทอดทิ้งเรา ในขณะที่เราตกเป็นทาสนั้น พระองค์ได้แสดงความรักต่อเรา ต่อหน้าพวกกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ด้วยการมอบชีวิตใหม่ให้กับพวกเรา โดยให้สร้างวิหารของพระเจ้าของเราขึ้นมาใหม่ และให้ซ่อมแซมส่วนที่ปรักหักพัง รวมทั้งให้เราได้รับความคุ้มครอง[ar] ในยูดาห์และในเยรูซาเล็ม

10 แต่บัดนี้ พระเจ้าของเรา พวกเราจะพูดอะไรได้อีกหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว เนื่องจากเราได้ทอดทิ้งกฎบัญญัติของพระองค์ 11 ที่พระองค์ได้ให้ผ่านมาทางมือของพวกผู้รับใช้ของพระองค์ คือพวกผู้พูดแทนพระองค์ เมื่อพระองค์พูดว่า ‘แผ่นดินที่พวกเจ้ากำลังเข้าไปเป็นเจ้าของ คือแผ่นดินที่เคยเสื่อมเสีย เนื่องจากการกระทำอันชั่วร้ายของประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นั่น แผ่นดินจึงถูกทำลายไป เพราะการกระทำอันน่าขยะแขยงที่พวกเขาได้ทำ พวกเขาได้ทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยการกระทำอันสกปรกทั้งหลายของพวกเขาจากด้านนี้ไปสุดอีกด้านหนึ่ง 12 ดังนั้นอย่าได้ยกลูกสาวของเจ้าให้ไปเป็นเมียลูกชายพวกนั้น และอย่าได้รับลูกสาวของพวกนั้นมาเป็นเมียของลูกชายเจ้าด้วย และอย่าได้ส่งเสริมให้พวกนั้นอยู่ดีมีสุข หรือเจริญรุ่งเรือง เพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้แข็งแรง และได้กินสิ่งดีๆจากแผ่นดิน และพวกเจ้าจะได้สืบทอดมรดกนี้ให้กับลูกหลานตลอดไป’

13 หลังจากเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกับเรา เพราะการกระทำอันชั่วร้ายและความผิดอันใหญ่หลวงของเรา ถึงแม้ว่าพระองค์ พระเจ้าของเราได้ลงโทษเราน้อยกว่าที่เราสมควรจะได้รับสำหรับบาปของเรา แล้วในเมื่อพระองค์ได้ให้พวกเรามีกลุ่มที่เหลือรอดอย่างนี้ 14 เรายังจะกลับไปหักข้อบัญญัติของพระองค์อีกหรือ เรายังจะไปแต่งงานกับชนชาติต่างๆที่ทำสิ่งน่าขยะแขยงเหล่านี้อีกหรือ ถ้าทำอย่างนั้น พระองค์คงจะโกรธเรา และทำลายเราจนไม่มีใครเหลือรอดเลยสักคนใช่ไหมพระองค์

15 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระองค์ช่างดีนักที่ปล่อยให้เราเป็นกลุ่มที่เหลือรอดจนถึงวันนี้ เราอยู่ต่อหน้าพระองค์ด้วยความผิดของเรา ความผิดนี้ทำให้เราไม่สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ในฐานะผู้บริสุทธิ์ได้”

ประชาชนสารภาพบาปของตนเอง

10 ในขณะที่เอสราอธิษฐานและสารภาพบาป พร้อมทั้งร้องไห้และทิ้งตัวลงต่อหน้าวิหารของพระเจ้า ได้มีชาวอิสราเอล ฝูงชนใหญ่มีทั้งชายหญิง และเด็ก เข้ามาหาเขา ประชาชนต่างพากันร้องไห้ด้วยความขมขื่น เชคานิยาห์ ลูกชายของเยฮีเอล ซึ่งเป็นผู้สืบทอดตระกูลหนึ่งของเอลาม ได้พูดกับเอสราว่า “พวกเราไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าของเรา ที่ไปแต่งงานกับหญิงต่างชาติจากชนชาติต่างๆที่อยู่ในแผ่นดินนี้ แต่ตอนนี้ยังคงมีความหวังให้อิสราเอลในเรื่องนี้อยู่ ดังนั้น ขอให้พวกเราทำข้อตกลงกับพระเจ้าของเราว่า จะส่งภรรยาเหล่านี้และลูกๆของพวกเขากลับไปตามคำแนะนำของเอสราผู้เป็นเจ้านายของข้าพเจ้า และตามคำแนะนำของคนอื่นๆที่สั่นเทิ้มเมื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าของเรา ดังนั้นขอให้มันเป็นไปตามกฎเถิด ลุกขึ้นเพราะเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของท่าน แล้วเราจะสนับสนุนท่าน ให้มีความกล้าและลงมือทำเถิด”

เอสราก็ลุกขึ้น และเขาทำให้พวกหัวหน้านักบวช พวกชาวเลวี และชาวอิสราเอลทั้งหมดสัญญาว่าจะทำตามคำแนะนำดังกล่าวนี้ แล้วพวกเขาก็ให้สัญญาว่าจะทำตามนั้น เอสราได้ออกไปจากหน้าวิหารของพระเจ้า แล้วเข้าไปในห้องของเยโฮฮานันลูกชายของเอลียาชีบ แล้วเขาก็นอนค้างคืนที่นั่น[as] เอสราไม่ได้กินขนมปังหรือดื่มน้ำเลยที่นั่น เนื่องจากเขายังเศร้าโศกเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ของพวกที่กลับมาจากการเป็นเชลย พวกเขาประกาศไปทั่วยูดาห์และเมืองเยรูซาเล็ม ให้ทุกคนที่กลับจากการเป็นเชลยมารวมตัวกันในเมืองเยรูซาเล็ม ใครก็ตามที่ไม่มาภายในสามวันจะถูกยึดทรัพย์ที่มีทั้งหมด และถูกแยกออกจากสังคมของผู้ที่กลับมาจากการเป็นเชลยตามที่พวกเจ้าหน้าที่และพวกผู้ใหญ่ได้ตัดสินใจไว้

ดังนั้นชายทุกคนของยูดาห์และเบนยามิน ก็มารวมตัวกันในเมืองเยรูซาเล็มภายในสามวัน ในวันที่ยี่สิบของเดือนที่เก้า[at] ทุกคนนั่งอยู่ที่ลานของวิหารแห่งพระเจ้า แต่ละคนต่างสั่นเทิ้มเพราะเรื่องนี้ และเพราะฝนตกหนัก 10 แล้วเอสราผู้เป็นนักบวชก็ยืนขึ้นและพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านไม่ซื่อสัตย์ที่ไปแต่งงานกับหญิงต่างชาติ จึงเพิ่มความผิดให้กับอิสราเอล 11 ดังนั้น ตอนนี้ให้สารภาพต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าของบรรพบุรุษของเรา และทำตามที่พระองค์ต้องการ นั่นคือ ให้แยกตัวออกจากชนชาติอื่นๆของแผ่นดินนี้ และไปจากพวกภรรยาต่างชาติของท่านซะ”

12 ที่ชุมนุมทั้งหมดต่างตอบรับเสียงดังว่า “ถูกต้องแล้ว เราต้องทำตามที่ท่านพูด 13 แต่มีคนมากมายที่นี่ และตอนนี้ก็เป็นหน้าฝน เราจึงไม่สามารถยืนอยู่ข้างนอกนี้ได้ และงานนี้ก็ไม่ใช่งานที่จะทำให้เสร็จได้ในวันสองวัน เพราะเราได้ทำบาปอันยิ่งใหญ่ในเรื่องนี้ 14 ขอให้หัวหน้าของเรายืนเป็นตัวแทนที่ชุมนุมทั้งหมดนี้ และให้ทุกคนในเมืองของเราที่แต่งงานกับหญิงต่างชาติ มาตามนัดที่กำหนดไว้ โดยมีพวกผู้ใหญ่ของแต่ละเมือง รวมทั้งพวกผู้พิพากษามากับพวกเขาด้วย จนกว่าความโกรธที่เผาผลาญของพระเจ้าของเราในเรื่องนี้จะหันไปจากพวกเรา”

15 มีแต่โยนาธาน ลูกชายของอาสาเฮล และยาไซอาห์ ลูกชายของทิกวาห์เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ และเมชุลลาม และชับเบธัย ผู้เป็นชาวเลวีสนับสนุนพวกเขา

16 แล้วพวกที่กลับมาจากการเป็นเชลยก็ทำตามนั้น นักบวชเอสรา จึงคัดเลือกพวกผู้ชายบางคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว เพื่อเป็นตัวแทนให้ครอบครัวของพวกเขา และให้พวกเขาทั้งหมดถูกระบุตามชื่อ ในวันแรกของเดือนที่สิบ[au] พวกเขาก็ได้นั่งลงเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ 17 พวกเขาจัดการกับชายทุกคนที่แต่งงานกับหญิงต่างชาติเสร็จเรียบร้อย ในวันที่หนึ่งของเดือนแรก[av] ของปี

รายชื่อชายที่แต่งงานกับหญิงต่างชาติ

18 รายชื่อผู้สืบตระกูลของนักบวช ที่ได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติมีดังนี้

รายชื่อจากผู้สืบตระกูลของเยชูอา ลูกชายของโยซาดัก และพี่น้องของเขาคือ มาอาเสอาห์ เอลีเยเซอร์ ยารีบ และเกดาลิยาห์ 19 (พวกเขาทุกคนสัญญาว่า จะหย่ากับภรรยาของตน และพวกเขาแต่ละคนได้มอบแกะตัวผู้จากฝูง เป็นของถวายชดเชยสำหรับความผิดของเขา)

20 จากผู้สืบตระกูลของอิมเมอร์ มี ฮานานี และเศบาดิยาห์

21 จากผู้สืบตระกูลของฮาริม มี มาอาเสอาห์ เอลียาห์ เชไมอาห์ เยฮีเอล และอุสซียาห์

22 จากผู้สืบตระกูลของปาชเฮอร์ มี เอลีโอเอนัย มาอาเสอาห์ อิชมาเอล เนธันเอล โยซาบาด และ เอลาสาห์

23 จากชนชาวเลวี มี

โยซาบาด ชิเมอี เคลายาห์ (นั่นคือ เคลิทา) เปธาหิยาห์ ยูดาห์ และเอลีเยเซอร์

24 จากพวกนักร้อง มี เอลียาชีบ

จากคนเฝ้าประตูมี ชัลลูม เทเลม และอุรี

25 แล้วส่วนชาวอิสราเอลที่เหลือ ประกอบด้วย

จากผู้สืบตระกูลของปาโรช มี รามียาห์ อิสซียาห์ มัคคิยาห์ มิยามิน เอเลอาซาร์ มัคคีอาห์ และเบไนยาห์

26 จากผู้สืบตระกูลของเอลาม มี มัทธานิยาห์ เศคาริยาห์ เยฮีเอล อับดี เยเรโมท และเอลียาห์

27 จากผู้สืบตระกูลของศัทธู มี เอลีโอเอนัย เอลียาชีบ มัทธานิยาห์ เยเรโมท ศาบาด และอาซีซา

28 จากผู้สืบตระกูลของเบบัย มี เยโฮฮานัน ฮานันยาห์ ศับบัย และอัทลัย

29 จากผู้สืบตระกูลของบานี มี เมชุลลาม มัลลูค อาดายาห์ ยาชูบ เชอัล และ เยเรโมท

30 จากผู้สืบตระกูลของปาหัทโมอับ มี อัดนา เคลาล เบไนยาห์ มาอาเสอาห์ มัทธานิยาห์ เบซาเลล บินนุย และ มนัสเสห์

31 จากผู้สืบตระกูลของฮาริม มี เอลีเยเซอร์ อิสชีอาห์ มัลคิยาห์ เชไมอาห์ ชิเมโอน 32 เบนยามิน มัลลูค และเชมาริยาห์

33 จากผู้สืบตระกูลของฮาชูม มี มัทเธนัย มัทธัตตาห์ ศาบาด เอลีเฟเลท เยเรมัย มนัสเสห์ และชิเมอี

34 จากผู้สืบตระกูลของบานี มี มาอาดัย อัมราม อูเอล 35 เบไนยาห์ เบดัยยาห์ เคลุฮี 36 วานิยาห์ เมเรโมท เอลียาชีบ 37 มัทธานิยาห์ มัทเธนัย และยาอาสุ

38 จากผู้สืบตระกูลของบินนุย มี ชิเมอี 39 เชเลมิยาห์ นาธัน อาดายาห์ 40 มัคนาเดบัย ชาชัย ชารัย 41 อาซาเรล เชเลมิยาห์ เชมาริยาห์ 42 ชัลลูม อามาริยาห์ และโยเซฟ

43 จากผู้สืบตระกูลของเนโบ มี เยอีเอล มัททีธิยาห์ ศาบาด เศบินา ยาดดัย โยเอล และเบไนยาห์

44 คนเหล่านี้ได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติ โดยบางคนมีลูกกับภรรยาเหล่านั้นของพวกเขาด้วย

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International