Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the NIV. Switch to the NIV to read along with the audio.

Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ปัญญาจารย์ 1-3

ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง

ถ้อยคำของปัญญาจารย์[a] กษัตริย์ในเยรูซาเล็ม เชื้อสายดาวิด

ปัญญาจารย์กล่าวว่า
“อนิจจัง! อนิจจัง!
อนิจจังแท้ๆ!
ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง”

มนุษย์ได้ประโยชน์อะไรจากการงานทั้งสิ้น
ที่เขาตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์?
คนรุ่นหนึ่งผ่านมาแล้วอีกรุ่นหนึ่งผ่านไป
แต่โลกยังคงอยู่ตลอดกาล
ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ลับไป
และรีบวนมาขึ้นที่เดิมอีก
ลมพัดไปทางใต้แล้ว
กลับมาทางเหนือ
มันพัดวนไปเวียนมา
เป็นวัฏจักร
แม่น้ำไหลลงสู่ทะเล
แต่ทะเลก็ไม่เคยอิ่ม
และน้ำกลับไปสู่แม่น้ำอีกครั้ง
แล้วไหลลงสู่มหาสมุทรอยู่ร่ำไป
ทุกสิ่งทุกอย่างอ่อนระโหย
เกินที่จะบรรยาย
ไม่ว่าเห็นสักเท่าไร เราก็ไม่อิ่ม
ไม่ว่าได้ยินสักแค่ไหน เราก็ไม่จุใจ
อะไรที่เกิดขึ้นแล้วก็เกิดขึ้นอีก
สิ่งที่ทำไปแล้วก็ทำกันอีก
ไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์
10 อะไรบ้างที่เราจะบอกได้ว่า
“ดูเถิด นี่เป็นสิ่งใหม่”
เพราะมันมีมาตั้งนานแล้ว
มีมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยของเรา
11 ไม่มีการระลึกถึงคนรุ่นก่อน
และแม้แต่คนรุ่นที่กำลังจะเกิดมา
คนรุ่นต่อจากเขา
ก็ยังไม่ระลึกถึงพวกเขา

สติปัญญาอนิจจัง

12 ข้าพเจ้าปัญญาจารย์ เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลอยู่ในเยรูซาเล็ม 13 ได้ทุ่มเทศึกษาและใช้สติปัญญาใคร่ครวญทุกสิ่งที่ทำกันใต้ฟ้าสวรรค์ พระเจ้าทรงวางภาระหนักแก่มนุษย์จริงๆ! 14 ข้าพเจ้าได้เห็นทุกสิ่งซึ่งทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ ล้วนแต่อนิจจังเหมือนวิ่งไล่ตามลม

15 สิ่งที่คดงอก็ทำให้เหยียดตรงไม่ได้
สิ่งที่ขาดอยู่ก็นับไม่ได้

16 ข้าพเจ้ารำพึงว่า “ดูเถิด เรามีสติปัญญามากกว่ากษัตริย์องค์ก่อนๆ ที่ครองเยรูซาเล็ม เราเข้าถึงสติปัญญาและความรู้” 17 แล้วข้าพเจ้าก็ทุ่มเทสุดตัวที่จะเข้าใจสติปัญญา ความบ้าคลั่ง และความโฉดเขลาด้วย แต่ได้เรียนรู้ว่านี่ก็วิ่งไล่ตามลมเช่นกัน

18 เพราะยิ่งฉลาดมากก็ยิ่งโศกเศร้ามาก
ยิ่งรู้ก็ยิ่งทุกข์โศก

ความสนุกสนานเพลิดเพลินก็อนิจจัง

ข้าพเจ้าคิดในใจว่า “งั้นมาเถอะ รื่นเริง สนุกสนาน บันเทิงใจเพื่อค้นหาสิ่งดีๆ” แต่ก็พบว่า นี่ก็อนิจจังอีก ข้าพเจ้ากล่าวว่า “การหัวเราะก็โง่เขลา ความสนุกสนานเพลิดเพลินให้ประโยชน์อะไรบ้าง?” ข้าพเจ้าพยายามทำตัวให้เบิกบานด้วยเหล้าองุ่นและทำอะไรโง่ๆ แต่จิตใจก็ยังนำข้าพเจ้าไว้ด้วยสติปัญญา ข้าพเจ้าอยากจะดูว่าอะไรบ้างที่มีคุณค่าซึ่งมนุษย์ควรจะทำกันใต้ฟ้าสวรรค์ในชั่วอายุสั้นๆ ของตน

ข้าพเจ้าดำเนินโครงการใหญ่ๆ คือ สร้างบ้านให้ตัวเองหลายหลัง ทำสวนองุ่นหลายแห่ง สร้างสวนหย่อนใจและปลูกผลไม้นานาชนิดในสวนเหล่านั้น ทำแหล่งเก็บน้ำ ส่งน้ำไปรดแมกไม้ที่กำลังงอกงาม ข้าพเจ้าซื้อทาสชายหญิงและมีทาสอื่นๆ อีกที่ถือกำเนิดในครัวเรือน ข้าพเจ้ามีฝูงสัตว์มากกว่าใครๆ ในเยรูซาเล็มซึ่งอยู่มาก่อนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสะสมเงินทองไว้สำหรับตัวเอง ทั้งยังได้รับเครื่องบรรณาการจากกษัตริย์และแว่นแคว้นต่างๆ ข้าพเจ้าจัดให้มีนักร้องชายหญิง และมีฮาเร็ม[b]อันเป็นสิ่งถูกใจผู้ชาย ข้าพเจ้ากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าใครๆ ในเยรูซาเล็มก่อนหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีสติปัญญาอยู่กับตัวในทุกสิ่งเหล่านี้

10 ตาอยากดูอะไร ข้าพเจ้าก็ไม่ปฏิเสธตัวเอง
ใจอยากสนุกอย่างไร ข้าพเจ้าก็ไม่ห้าม
ข้าพเจ้าชื่นชมผลงานทั้งปวงของตน
และนี่เป็นรางวัลจากการลงทุนลงแรงของข้าพเจ้า
11 ถึงกระนั้นเมื่อข้าพเจ้าสำรวจดูทุกสิ่งที่ทำไป
และที่ตรากตรำเพื่อให้ได้มา
ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง เหมือนวิ่งไล่ตามลม
ไม่ก่อประโยชน์อะไรขึ้นมาภายใต้ดวงอาทิตย์

สติปัญญาและความโฉดเขลาล้วนอนิจจัง

12 แล้วข้าพเจ้าจึงหันไปพิจารณาสติปัญญา
กับความบ้าคลั่งและความโง่เขลา
ผู้ครองราชย์ต่อจากกษัตริย์จะทำอะไรได้
นอกจากสิ่งที่เคยทำกันมาก่อนแล้ว?
13 ข้าพเจ้าเห็นว่าสติปัญญาดีกว่าความโฉดเขลา
เฉกเช่นแสงสว่างย่อมดีกว่าความมืด
14 คนฉลาดมีตาอยู่ในสมอง
ขณะที่คนโฉดเขลาเดินไปในความมืด
แต่ข้าพเจ้าได้ประจักษ์ว่า
ชะตากรรมเดียวกันเกิดขึ้นแก่ทั้งสองฝ่าย

15 ข้าพเจ้าจึงรำพึงในใจว่า

“ชะตากรรมที่เกิดกับคนโง่ก็จะเกิดกับเราด้วย
ฉะนั้นเราฉลาดไปจะได้อะไรขึ้นมา?”
ข้าพเจ้าบอกตัวเองว่า
“นี่ก็อนิจจังเหมือนกัน”
16 เพราะคนฉลาดก็เป็นเช่นเดียวกับคนโง่
เขาจะไม่อยู่ในความทรงจำเนิ่นนาน
ในวันข้างหน้าก็ถูกลืมเลือนไปทั้งคู่
คนฉลาดก็ต้องตายเช่นเดียวกับคนโง่!

การตรากตรำก็อนิจจัง

17 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเกลียดชีวิต เพราะการงานที่ทำภายใต้ดวงอาทิตย์เป็นความโศกสลดแก่ข้าพเจ้าล้วนแต่อนิจจัง เหมือนวิ่งไล่ตามลม 18 ข้าพเจ้าเกลียดชังสิ่งทั้งปวงที่ตนเองตรากตรำทำไปภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะข้าพเจ้าจำต้องทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้ให้คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า 19 และใครเล่าจะรู้ว่าเขาจะเป็นคนโง่หรือฉลาด? ถึงกระนั้นเขาก็จะได้ครอบครองผลงานทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าได้ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายและความชำนาญลงไปภายใต้ดวงอาทิตย์ นี่ก็อนิจจังด้วยเช่นกัน 20 ฉะนั้นจิตใจของข้าพเจ้าจึงท้อแท้สิ้นหวังต่อการงานอันตรากตรำทั้งปวงของตนภายใต้ดวงอาทิตย์ 21 เพราะมนุษย์อาจทำงานด้วยสติปัญญา ความรู้ และความเชี่ยวชาญ แต่แล้วก็ต้องละทิ้งทุกสิ่งที่เขาครอบครองให้แก่ใครบางคนซึ่งไม่ได้ลงมือลงแรง นี่ก็เช่นกัน อนิจจังและโชคร้ายเหลือเกิน 22 คนเราได้ประโยชน์อะไรจากการดิ้นรนต่อสู้และการตรากตรำคร่ำเครียดทั้งปวงภายใต้ดวงอาทิตย์? 23 ตลอดชีวิตของเขา งานก็เป็นความเจ็บปวดและความทุกข์โศก แม้ยามค่ำคืนจิตใจก็ไม่สงบสุข นี่ก็อนิจจัง

24 คนเราไม่อาจทำอะไรได้ดีไปกว่ากินดื่มและหาความอิ่มใจในงานของตน ข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งนี้ก็มาจากพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วย 25 เพราะปราศจากพระองค์แล้ว ใครเล่าจะกินหรือพบความชื่นชมยินดีได้? 26 พระเจ้าประทานสติปัญญา ความรู้ และความสุขแก่ผู้ที่พระองค์พอพระทัย แต่สำหรับคนบาป พระองค์ทรงมอบงานที่เขาต้องรวบรวมและสะสมทรัพย์สมบัติไว้เพื่อจะมอบให้บุคคลที่พระองค์พอพระทัย นี่ก็อนิจจัง เหมือนวิ่งไล่ตามลม

มีเวลาสำหรับทุกสิ่ง

มีเวลาสำหรับทุกสิ่ง
มีกำหนดเวลาสำหรับกิจกรรมทุกอย่าง ภายใต้ฟ้าสวรรค์นี้

มีเวลาเกิด เวลาตาย
เวลาปลูก เวลาถอน
เวลาฆ่า เวลาเยียวยารักษา
เวลารื้อถอน เวลาสร้างขึ้นใหม่
เวลาร้องไห้ เวลาหัวเราะ
เวลาไว้ทุกข์ เวลาเต้นรำ
เวลาโยนก้อนหิน เวลาเก็บรวบรวมก้อนหิน
เวลาโอบกอด เวลาหันหนี
เวลาค้นหา เวลาเลิกรา
เวลาทะนุถนอม เวลาเหวี่ยงทิ้งไป
เวลาฉีกขาด เวลาซ่อมแซม
เวลานิ่งเงียบ เวลาพูดจา
เวลารัก เวลาเกลียด
เวลาสงคราม เวลาสันติ

คนเราได้อะไรจากการตรากตรำทำงานหรือ? 10 ข้าพเจ้าเห็นภาระซึ่งพระเจ้าทรงวางไว้บนมนุษย์ 11 พระองค์ทรงทำให้ทุกสิ่งงดงามตามเวลาของมัน ทั้งทรงตั้งนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ ถึงอย่างนั้นมนุษย์ก็ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำตั้งแต่ต้นจนจบได้ 12 ข้าพเจ้ารู้ว่าสำหรับมนุษย์ไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำตัวให้มีความสุข และทำดีขณะยังมีชีวิตอยู่ 13 คนเราทุกคนควรกิน ดื่ม และหาความอิ่มใจในการตรากตรำทำงานทั้งสิ้น เพราะนี่คือของขวัญจากพระเจ้า 14 ข้าพเจ้ารู้ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำจะดำรงอยู่นิรันดร์ ไม่สามารถเพิ่มอะไรเข้าไป หรือตัดทอนอะไรออกได้ พระเจ้าทรงทำไว้เพื่อมนุษย์จะยำเกรงพระองค์

15 อะไรก็ตามที่เป็นอยู่ และอะไรที่จะเกิดขึ้น
ก็เป็นอยู่มาก่อนแล้ว
และพระเจ้าจะทรงนำอดีตมาพิพากษาอีก[c]

16 ยิ่งกว่านั้น ภายใต้ดวงอาทิตย์ ข้าพเจ้ายังเห็นอีกว่า

ในที่แห่งการพิพากษาก็มีความชั่วร้ายอยู่ด้วย
ในที่ของความยุติธรรมก็มีความเลวทรามอยู่ด้วย

17 ข้าพเจ้ารำพึงว่า

“พระเจ้าจะทรงนำทั้งคนชอบธรรมและคนอธรรมมาพิพากษา
เพราะจะมีเวลาสำหรับทุกเรื่อง
มีเวลาสำหรับการกระทำทุกอย่าง”

18 ข้าพเจ้าคิดอีกว่า “สำหรับมนุษย์ พระเจ้าทรงทดสอบพวกเขา ก็เพื่อพวกเขาจะเห็นว่าตนเองก็เหมือนสัตว์ 19 ชะตากรรมของมนุษย์ก็เหมือนของสัตว์ ทั้งสองมีอันเป็นไปเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายหนึ่งก็ตาย ต่างก็มีลมปราณ[d]เช่นกัน มนุษย์ไม่ได้เปรียบมากกว่าสัตว์ ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง 20 ทั้งสองพวกต่างไปสู่ที่แห่งเดียวกัน ล้วนมาจากธุลีดินและต้องกลับกลายเป็นธุลีดิน 21 ใครจะรู้ได้ว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ขึ้นไปยังเบื้องบนหรือไม่ และวิญญาณของสัตว์[e]ลงสู่พิภพโลกหรือไม่?”

22 ฉะนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าสำหรับมนุษย์แล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่าที่จะสนุกกับงาน เพราะนั่นเป็นส่วนของเขา ใครเล่าจะทำให้เขาเห็นได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากเขา?

2 โครินธ์ 6:1-13

ในฐานะผู้ร่วมงานของพระเจ้า เราวิงวอนท่านว่าอย่าสักแต่รับพระคุณของพระเจ้า เพราะพระองค์ตรัสว่า

“ในวาระแห่งความโปรดปรานเราได้ฟังเจ้า
และในวันแห่งความรอดเราได้ช่วยเจ้า”[a]

ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าบัดนี้คือวาระแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า บัดนี้คือวันแห่งความรอด

ความทุกข์ยากที่เปาโลเผชิญ

เราไม่ทำให้ใครสะดุดเพื่อไม่ให้พันธกิจของเราเสียความเชื่อถือ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้าเราพิสูจน์ตัวเองในทุกทาง ไม่ว่าในการอดทนอดกลั้น ในความทุกข์ร้อน ความยากเข็ญและความลำเค็ญ ในการถูกเฆี่ยนตี การถูกจองจำและการจลาจล ในการตรากตรำทำงาน การอดหลับอดนอน และความหิวโหย ในความบริสุทธิ์ ความเข้าใจ ความอดทน และความกรุณา ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ และในความรักจริงใจ ในคำพูดสัตย์จริง และในฤทธานุภาพของพระเจ้า ด้วยอาวุธแห่งความชอบธรรมทั้งในมือขวาและมือซ้าย ทั้งในยามทรงเกียรติและไร้เกียรติ ในยามที่เขาว่าชั่วและในยามที่เขาว่าดี จริงแท้แต่ถูกมองว่าเป็นคนหลอกลวง เป็นที่รู้จักแต่ถูกมองว่าไม่มีใครรู้จัก กำลังจะตายแต่เราก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ถูกเฆี่ยนตีแต่ก็ยังไม่ถึงตาย 10 ทุกข์โศกแต่ก็ยังชื่นชมยินดีเสมอ ยากจนแต่ก็ยังทำให้หลายคนมั่งคั่ง และไม่มีอะไรแต่ก็ยังเป็นเจ้าของทุกสิ่ง

11 พี่น้องชาวโครินธ์ เราพูดกับท่านอย่างตรงไปตรงมาและเปิดใจของเราให้แก่ท่าน 12 เราไม่ได้เป็นฝ่ายระงับความรักจากท่าน แต่ท่านเป็นฝ่ายระงับจากเรา 13 เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรม เราขอพูดกับท่านเสมือนพูดกับบุตรว่าจงเปิดใจของท่านด้วย

สดุดี 46

(ถึงหัวหน้านักร้อง บทเพลงของบุตรโคราห์ ตามทำนองอาลาโมธ)

46 พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา
เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมเสมอในยามทุกข์ร้อน
ฉะนั้นเราจะไม่กลัว ถึงแม้โลกจะสั่นสะเทือน
และภูเขาทลายราบลงสู่ใจกลางทะเล
ถึงแม้มหาสมุทรคำรามก้องและซัดคลื่นเป็นฟองฟูฟ่อง
และภูเขาสะเทือนเลื่อนลั่น
เสลาห์

มีแม่น้ำสายหนึ่งที่ให้ความยินดีแก่นครของพระเจ้า
ซึ่งเป็นที่ประทับบริสุทธิ์ขององค์ผู้สูงสุด
พระเจ้าสถิตในนคร นครนั้นจะไม่ล่มสลาย
พระเจ้าจะทรงช่วยในยามรุ่งอรุณ
ประชาชาติทั้งหลายโกลาหลอลหม่าน อาณาจักรต่างๆ ล่มสลาย
พระเจ้าทรงเปล่งพระสุรเสียง แผ่นดินโลกก็หลอมละลายไป

พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์สถิตกับเรา
พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นป้อมปราการของเรา
เสลาห์

มาเถิด มาดูพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ดูความเริศร้างที่พระองค์ทรงนำมาสู่โลก
พระองค์ทรงกระทำให้สงครามยุติทั่วโลก
ทรงหักคันธนู และทำให้หอกหักสะบั้น
พระองค์ทรงเผาโล่[a]
10 “จงนิ่งสงบและรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า
เราจะได้รับการยกย่องท่ามกลางประชาชาติ
เราจะได้รับการยกย่องในโลก”

11 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์สถิตกับเรา
พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นป้อมปราการของเรา
เสลาห์

สุภาษิต 22:15

15 ความเขลาฝังแน่นอยู่ในใจของเด็ก
แต่ไม้เรียวที่ตีสั่งสอนจะช่วยไล่มันออกไป

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.