Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ลูกา 20:20 - ยอห์น 5:47

พวกผู้นำชาวยิวพยายามใช้กลอุบายลวงพระเยซู

(มธ. 22:15-22; มก. 12:13-17)

20 พวกเขาจึงเฝ้าดูพระเยซูอย่างใกล้ชิด และส่งพวกสอดแนมที่แกล้งทำเป็นคนดีเพื่อไปจับผิดคำพูดของพระองค์ เพื่อจะได้จับตัวพระองค์ส่งไปให้ผู้พิพากษาและเจ้าเมืองโรม 21 พวกสอดแนมถามพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ พวกเรารู้ว่าคำพูดและคำสอนของท่านนั้นถูกต้องและท่านก็ไม่กลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร และสอนความจริงในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ทำ 22 อาจารย์ช่วยบอกหน่อยว่า มันถูกต้องตามกฎหรือเปล่าที่จ่ายภาษีให้กับซีซาร์”

23 พระเยซูรู้ถึงอุบายของพวกเขา จึงบอกพวกเขาว่า 24 “ไหน ส่งเหรียญอันหนึ่งมาให้ดูสิ นี่รูปใคร แล้วมีชื่อใครสลักอยู่”

พวกเขาก็ตอบว่า “ซีซาร์”

25 พระองค์จึงพูดกับพวกเขาว่า “ของๆซีซาร์ก็ให้ซีซาร์ ของๆพระเจ้าก็ให้พระเจ้า”

26 พวกเขาไม่สามารถจะจับผิดคำพูดของพระองค์ต่อหน้าผู้คนได้ ได้แต่ตะลึงในคำตอบจนถึงกับพูดไม่ออก

ชาวสะดูสีพยายามจับผิดพระเยซู

(มธ. 22:23-33; มก. 12:18-27)

27 มีพวกสะดูสีบางคนมาหาพระเยซู พวกนี้ไม่เชื่อว่าคนตายแล้วจะฟื้นขึ้นจากความตาย เขาถามพระองค์ว่า 28 “อาจารย์ครับ โมเสสเขียนสั่งไว้ว่า ถ้าชายคนไหนตายและทิ้งเมียไว้โดยยังไม่มีลูก ก็ให้น้องชายของคนตายแต่งกับหญิงม่ายคนนั้น จะได้มีลูกไว้สืบสกุลให้กับพี่ชายของเขา 29 ครั้งหนึ่งมีพี่น้องอยู่เจ็ดคน พี่ชายคนโตแต่งงาน แล้วตายไปแต่ยังไม่มีลูก 30 น้องคนที่สองก็ได้แต่งกับหญิงม่ายนั้น แต่เขาก็ตายไปและยังไม่มีลูกเหมือนกัน 31 น้องคนที่สามก็ทำแบบเดียวกัน และในที่สุด พี่น้องทั้งเจ็ดคนนี้ก็ได้แต่งงานกับหญิงนั้น แล้วพวกเขาก็ตายโดยไม่มีลูกสักคน 32 ต่อมาหญิงคนนั้นก็ตายด้วย 33 ช่วยบอกหน่อยสิว่า ในวันที่ทุกคนฟื้นขึ้นจากความตายนั้น ผู้หญิงคนนี้จะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้งเจ็ดคนนั้นก็เคยเป็นสามีของเธอ”

34 พระเยซูจึงตอบว่า “คนในโลกนี้เท่านั้นที่แต่งงานกัน และยกให้เป็นผัวเมียกัน 35 ส่วนในโลกหน้า คนที่เหมาะสมที่จะได้อยู่ที่นั่นและฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว จะไม่แต่งงานกัน หรือยกให้เป็นผัวเมียกันอีกต่อไปแล้ว 36 เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตายอีกครั้ง แต่เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์และจะเป็นลูกของพระเจ้า เพราะพระเจ้าจะทำให้เขาฟื้นขึ้นจากความตาย

37 เรื่องการฟื้นขึ้นจากความตายนี้ ขนาดโมเสสก็ยังพูดถึงเลย ตอนที่เขาเขียนเรื่องพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ[a] เขาได้เรียกองค์เจ้าชีวิตว่า ‘พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’[b] 38 พระเจ้าเป็นพระเจ้าของคนมีชีวิต ไม่ใช่ของคนตาย เพราะสำหรับพระเจ้าแล้วทุกคนยังมีชีวิตอยู่”

39 พวกครูสอนกฎปฏิบัติบางคนชมพระเยซูว่า “อาจารย์ พูดได้เยี่ยมมากเลยครับ” 40 แล้วก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรพระเยซูอีกเลย

พระคริสต์เป็นลูกของดาวิดหรือ

(มธ. 22:41-46; มก. 12:35-37)

41 พระเยซูถามว่า “คุณพูดได้ยังไงว่า พระคริสต์เป็นลูกของดาวิด 42 ทั้งๆที่ตัวดาวิดเองพูดในหนังสือสดุดีว่า

‘พระเจ้าได้พูดกับองค์เจ้าชีวิตของผมผู้เป็นพระคริสต์ว่า
นั่งลงทางขวามือของเรา
43     จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นที่วางเท้าของท่าน’[c]

44 แม้แต่ดาวิดยังเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์เจ้าชีวิตเลย แล้วพระคริสต์จะเป็นลูกของดาวิดได้ยังไง”

พระเยซูต่อว่าพวกครูสอนกฎปฏิบัติ

(มธ. 23:1-36; มก. 12:38-40; ลก. 11:37-54)

45 ขณะที่ฝูงชนกำลังฟังอยู่นั้น พระเยซูก็หันไปพูดกับพวกศิษย์ว่า 46 “ระวังพวกครูสอนกฎปฏิบัติให้ดี พวกนี้ชอบใส่เสื้อคลุมยาวๆเดินไปมาให้คนคำนับตามท้องตลาด และชอบนั่งในที่สำคัญๆในที่ประชุม และชอบนั่งที่หัวโต๊ะในงานเลี้ยงต่างๆ 47 พวกเขามักจะโกงเอาบ้านของหญิงม่าย และแกล้งอธิษฐานซะยืดยาวเพื่ออวดคน คนพวกนี้จะต้องถูกลงโทษหนักกว่าคนที่ไม่ได้ทำอย่างนั้น”

การให้ที่แท้จริง

(มก. 12:41-44)

21 พระเยซูเงยหน้ามอง เห็นพวกคนรวยเอาเงินมาใส่ในตู้บริจาคของวิหาร แล้วพระองค์ได้เห็นหญิงม่ายจนๆคนหนึ่งเอาเหรียญทองแดง[d] เล็กๆสองเหรียญใส่ลงในกล่องด้วย พระองค์จึงพูดว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า หญิงม่ายจนๆคนนี้ได้ใส่เงินมากกว่าทุกๆคน เพราะคนอื่นเอาเงินที่เหลือกินเหลือใช้มาให้ แต่หญิงม่ายจนๆคนนี้เอาเงินเลี้ยงชีพทั้งหมดของเธอมาให้”

วิหารจะถูกทำลาย

(มธ. 24:1-14; มก. 13:1-13)

ศิษย์บางคนได้พูดถึงความสวยงามของวิหาร พูดถึงหินแต่ละก้อนและของถวายแต่ละชิ้น ว่าช่างสวยงามเหลือเกิน พระเยซูจึงพูดขึ้นมาว่า

“ทั้งหมดที่คุณเห็นนี้ วันหนึ่งจะถูกทำลายจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่ซากหินวางซ้อนทับกันเลย”

พวกเขาก็เลยถามว่า “อาจารย์ เรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แล้วจะมีอะไรบอกเหตุไหมครับว่ามันจะเกิดขึ้นแล้ว”

พระเยซูตอบว่า “ระวังตัวให้ดี อย่าให้ใครมาหลอกเอาได้ เพราะจะมีหลายคนมาแอบอ้างว่าเป็นเรา และยังบอกอีกว่า ‘เวลานั้นมาถึงแล้ว’ อย่าไปหลงเชื่อเขา เมื่อพวกคุณได้ยินว่าเกิดสงคราม และเกิดจลาจลวุ่นวาย ก็ไม่ต้องตกใจกลัว เพราะเรื่องพวกนี้จะต้องเกิดขึ้นก่อน แต่วันสุดท้ายนั้นจะยังไม่มาถึงทันทีหรอก”

10 แล้วพระองค์ก็พูดว่า “ชนชาติต่างๆและแผ่นดินต่างๆจะลุกขึ้นมาต่อสู้กัน 11 จะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในที่ต่างๆ เกิดกันดารอาหาร เกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้น จะมีเรื่องที่น่ากลัวและสิ่งแปลกประหลาดมากมายจะเกิดขึ้นบนท้องฟ้า

12 แต่ก่อนที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น พวกคุณจะถูกจับไปทรมาน ถูกนำตัวไปในที่ประชุมชาวยิวและถูกจับขังคุก และจะถูกสอบสวนอยู่ต่อหน้ากษัตริย์และเจ้าเมือง เพราะพวกคุณเป็นศิษย์ของเรา 13 นี่จะเป็นโอกาสดีของคุณที่จะได้พูดเรื่องของเราให้พวกเขาฟัง 14 พวกคุณไม่ต้องกังวลล่วงหน้าว่าจะพูดแก้ตัวยังไง 15 เพราะเราจะให้สติปัญญาและคำพูดที่เฉียบคมกับคุณ เมื่อศัตรูของคุณฟังแล้ว จะไม่มีทางคัดค้านหรือโต้แย้งได้เลย 16 แม้แต่คนที่ใกล้ชิดกับคุณ ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ญาติๆและเพื่อนฝูง ก็จะหักหลังคุณ และพวกคุณบางคนก็จะถูกฆ่าด้วย 17 ทุกคนจะเกลียดพวกคุณ เพราะพวกคุณเป็นศิษย์ของเรา 18 แต่ไม่ต้องกลัว เพราะแม้แต่ผมสักเส้นบนหัวของพวกคุณก็จะไม่ถูกทำลาย 19 ให้อดทนไว้จนถึงที่สุด แล้วคุณจะได้รับความรอด”

เมืองเยรูซาเล็มจะพินาศ

(มธ. 24:15-21; มก. 13:14-19)

20 “เมื่อพวกคุณเห็นกองทัพมาล้อมเมืองเยรูซาเล็ม ก็ให้รู้ว่าเมืองนี้ใกล้จะถูกทำลายแล้ว 21 ถ้าตอนนั้นคุณอยู่ในแคว้นยูเดีย ก็ให้รีบหนีขึ้นไปบนภูเขา ถ้าคุณอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ก็ให้รีบหนีออกไปนอกเมือง คนที่อยู่นอกเมือง ก็อย่าได้เข้ามาในเมือง 22 เพราะวันนั้นจะเป็นวันของการลงโทษเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อทุกอย่างจะได้เป็นจริงตามที่ได้เขียนไว้แล้ว 23 ในวันนั้นจะน่ากลัวมากสำหรับคนท้องและแม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูก เพราะจะเกิดภัยพิบัติในแผ่นดินยูเดีย และพระเจ้าจะลงโทษชนชาติอิสราเอลเหล่านี้ 24 พวกเขาจะถูกฆ่าฟัน และจะถูกจับไปเป็นเชลยของชนชาติอื่นๆ คนต่างชาติจะบุกรุกย่ำยีเมืองเยรูซาเล็ม ไปจนกว่าจะถึงเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้”

อย่ากลัวเลย

(มธ. 24:29-31; มก. 13:24-27)

25 “จะมีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆ ส่วนในโลกนี้ ชนชาติต่างๆก็จะหวาดกลัว และสับสนวุ่นวายกับเสียงร้องกึกก้องของคลื่นในทะเล 26 คนจะเป็นลมล้มพับไปเพราะกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับโลกนี้ พวกผู้มีอำนาจในฟ้าสวรรค์ก็จะถูกสั่นคลอน 27 แล้วพวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆ เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจและสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ 28 เมื่อสิ่งเหล่านี้เริ่มเกิดขึ้น ขอให้ลุกขึ้นด้วยความมั่นใจ เพราะใกล้ถึงเวลาที่พระเจ้าจะทำให้พวกคุณเป็นอิสระแล้ว”

ถ้อยคำของเราจะคงอยู่ตลอดไป

(มธ. 24:32-35; มก. 13:28-31)

29 แล้วพระองค์ก็เล่าเรื่องเปรียบเทียบให้ฟังว่า “เมื่อพวกคุณเห็นต้นมะเดื่อหรือต้นไม้อื่นๆ 30 แตกใบอ่อนออกมา คุณก็รู้ว่าใกล้ถึงฤดูร้อนแล้ว 31 ก็เหมือนกัน เมื่อคุณเห็นสิ่งเหล่านี้ที่เราพูดไว้เกิดขึ้น คุณบอกได้เลยว่าอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว

32 เราจะบอกให้รู้ว่า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะเกิดขึ้นก่อนที่คนรุ่นนี้จะตายไป 33 สวรรค์และโลกจะสูญสิ้นไป แต่ถ้อยคำของเราจะไม่มีวันสูญหายไป

ควรเตรียมพร้อมอยู่เสมอ

34 ระวังตัวให้ดี อย่าให้ใจหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องการดื่มกินกันหรือเมาเหล้ากัน หรือมัวแต่ห่วงกังวลเกี่ยวกับชีวิตนี้ เพราะถ้าทำอย่างนั้น วันนั้นจะมาถึงโดยไม่ทันตั้งตัวเหมือนกับดัก 35 เพราะวันนั้นจะมาถึงทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ 36 คุณต้องระวังตัวทุกเวลา และอธิษฐานให้ผ่านพ้นไปอย่างปลอดภัยจากสิ่งต่างๆเหล่านี้ที่จะเกิดขึ้น และจะได้สามารถมายืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์”

37 พระเยซู สั่งสอนอยู่ในวิหารทุกวัน และกลับไปนอนที่ภูเขามะกอกเทศทุกคืน 38 ทุกคนจะตื่นแต่เช้ามาฟังพระองค์สอนที่วิหาร

พวกผู้นำชาวยิวอยากจะฆ่าพระเยซู

(มธ. 26:1-5, 14-16; มก. 14:1-2, 10-11; ยน. 11:45-53)

22 เมื่อใกล้ถึงเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อที่เรียกว่าเทศกาลวันปลดปล่อย พวกผู้นำนักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติต่างพยายามหาทางที่จะฆ่าพระเยซู แต่พวกเขาก็กลัวชาวบ้าน

ยูดาสวางแผนหักหลังพระเยซู

(มธ. 26:14-16; มก. 14:10-11)

ซาตานได้เข้าสิงยูดาส อิสคาริโอทซึ่งเป็นศิษย์เอกคนหนึ่งในสิบสองคน ยูดาสไปหาพวกผู้นำนักบวชและพวกทหารเฝ้าวิหาร เพื่อเสนอตัวที่จะช่วยจับพระเยซูให้ พวกเขาดีใจมาก และสัญญาว่าจะให้เงินกับยูดาส ยูดาสตกลงและเริ่มหาโอกาสที่จะส่งตัวพระเยซูไปให้พวกเขาตอนที่ไม่มีฝูงชนอยู่กับพระองค์

จัดเตรียมอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อย

(มธ. 26:17-25; มก. 14:12-21; ยน. 13:21-30)

เมื่อถึงเทศกาลวันกินขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งเป็นวันที่พวกยิวจะฆ่าลูกแกะถวายพระเจ้าสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยด้วย พระเยซูบอกเปโตรกับยอห์นว่า “ไปเตรียมอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยให้พวกเรากินกัน”

พวกเขาจึงถามว่า “จะให้ไปเตรียมที่ไหนดีครับ” 10 พระองค์ตอบว่า “ให้เข้าไปในเมือง แล้วจะเจอผู้ชายที่แบกเหยือกน้ำ ให้ตามเขาเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง 11 ให้พูดกับเจ้าของบ้านนั้นว่า ‘อาจารย์ถามว่า ห้องที่เราจะใช้กินอาหารในเทศกาลวันปลดปล่อยกับพวกศิษย์อยู่ที่ไหน’ 12 เขาก็จะพาคุณขึ้นไปดูห้องใหญ่ชั้นบนที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว ก็ให้จัดเตรียมอาหารที่นั่น” 13 พวกเขาก็ไปและมันก็เป็นไปตามที่พระเยซูบอกทุกอย่าง พวกเขาจึงจัดเตรียมอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยที่นั่น

อาหารมื้อเย็นขององค์เจ้าชีวิต

(มธ. 26:26-30; มก. 14:22-26; 1 คร. 11:23-25)

14 เมื่อถึงเวลากินอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อย พระเยซูนั่งเอนตัวอยู่ที่โต๊ะอาหารกับพวกศิษย์เอก 15 แล้วพูดว่า “เราอยากจะกินอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยมื้อนี้กับพวกคุณมาก ก่อนที่เราจะถูกทรมาน 16 เราจะบอกให้รู้ว่า เราจะไม่กินอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยนี้อีก จนกว่าความหมายที่แท้จริงของเทศกาลวันปลดปล่อยนี้จะสำเร็จครบถ้วนในอาณาจักรของพระเจ้า”

17 แล้วพระองค์ก็ยกถ้วยขึ้นมาและขอบคุณพระเจ้า พร้อมกับพูดว่า “รับถ้วยนี้ไปแบ่งกันดื่ม 18 เราจะบอกให้รู้ว่า เราจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นอีกจนกว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึง”

19 หลังจากนั้นพระองค์ก็หยิบขนมปังขึ้นมา ขอบคุณพระเจ้า พร้อมหักส่งให้พวกเขา พระองค์พูดว่า “นี่คือร่างกายของเราที่ให้กับพวกคุณ ให้ทำอย่างนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงเรา” 20 เมื่อพวกเขากินอาหารเย็นเสร็จแล้ว พระองค์ก็หยิบถ้วยขึ้นมาทำเหมือนเดิม แล้วพูดว่า “นี่เป็นเลือดของเราที่ได้หลั่งไหลออกมาเพื่อคุณ พระเจ้าได้ทำสัญญาขึ้นใหม่กับพวกคุณด้วยเลือดนี้”[e]

คนที่หักหลังพระเยซูเป็นใคร

21 พระเยซูพูดว่า “คนที่จะหักหลังเรา ก็นั่งอยู่ที่โต๊ะนี้กับเราด้วย 22 บุตรมนุษย์จะต้องตายตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วล่วงหน้า แต่คนที่หักหลังพระองค์นี้น่าละอายที่สุด”

23 พวกศิษย์เอกเหล่านั้นถามกันใหญ่ว่าใครจะทำอย่างนั้น

ให้เป็นเหมือนคนรับใช้

24 พวกศิษย์เอกต่างเถียงกันว่า พวกเขาคนไหนใหญ่ที่สุด 25 พระเยซูบอกว่า “พวกกษัตริย์ของคนต่างชาติชอบออกคำสั่งประชาชนของเขาไปทั่ว ส่วนพวกนั้นที่มีอำนาจ ก็ชอบให้คนเรียกว่า ‘ผู้ทำประโยชน์เพื่อสังคม’ 26 แต่พวกคุณต้องไม่เป็นอย่างนั้น ในพวกคุณ คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดควรจะเป็นเหมือนเด็กที่สุด คนที่เป็นหัวหน้าควรจะเป็นเหมือนคนรับใช้ 27 ใครใหญ่กว่ากัน คนที่นั่งโต๊ะหรือคนที่ยืนรับใช้ คนนั่งไม่ใช่หรือ แต่เราอยู่ท่ามกลางพวกคุณเหมือนกับคนรับใช้

28 ตลอดเวลาที่ผ่านมา เมื่อเราถูกข่มเหง พวกคุณยืนเคียงข้างเราเสมอ 29 เราก็จะให้พวกคุณปกครองเป็นกษัตริย์ เหมือนกับที่พระบิดาของเราให้เราเป็นกษัตริย์ 30 เพื่อพวกคุณจะได้ดื่มกินกับเราในอาณาจักรของเรา และพวกคุณจะได้นั่งบนบัลลังก์ตัดสินชนชาติอิสราเอลสิบสองเผ่า”

อย่าทิ้งความเชื่อ

(มธ. 26:31-35; มก. 14:27-31; ยน. 13:36-38)

31 “เปโตรเอ๋ย เปโตร[f] ฟังให้ดี ซาตานได้ขอนำพวกคุณแต่ละคน ไปฝัดร่อนเหมือนข้าวเปลือก 32 แต่ เปโตร เราได้อธิษฐานให้คุณมีความเชื่อที่มั่นคง และเมื่อคุณหันกลับมาหาเราแล้ว ก็ให้ช่วยเหลือพี่น้องคนอื่นๆให้ตั้งมั่นคงอยู่ในความเชื่อด้วย”

33 เปโตรบอกว่า “ผมพร้อมที่จะติดคุกและตายพร้อมกับอาจารย์ครับ” 34 พระองค์ตอบว่า “เปโตร เราจะบอกให้รู้ว่า คืนนี้ก่อนไก่ขัน คุณจะพูดว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง”

ให้เตรียมพร้อมสำหรับปัญหายุ่งยาก

35 พระเยซูถามพวกศิษย์เอกว่า “แล้วตอนที่เราส่งพวกคุณออกไป โดยไม่มีกระเป๋าเงิน ถุงย่าม และรองเท้า พวกคุณขาดแคลนอะไรกันหรือเปล่า”

พวกเขาตอบว่า “ไม่ขาดแคลนอะไรเลยครับ”

36 พระองค์พูดว่า “แต่ตอนนี้ คนที่มีกระเป๋าเงินหรือถุงย่าม ก็ให้เอาติดตัวไปด้วย และถ้าใครไม่มีดาบ ก็ให้เอาเสื้อผ้าไปขาย แล้วไปซื้อดาบซะ 37 ที่เราบอกให้ทำอย่างนี้ ก็เพราะว่า มีข้อพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า

‘เขาถูกนับเป็นอาชญากรคนหนึ่งด้วย’ ซึ่งหมายถึงตัวเราเอง
และมันก็จะเป็นจริงตามนั้น”[g]

38 พวกเขาจึงบอกว่า “อาจารย์ครับ นี่ไง ดาบสองเล่ม” แต่พระองค์บอกว่า “เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว”

อธิษฐานบนภูเขา

(มธ. 26:36-46; มก. 14:32-42)

39 พระเยซูออกไปที่ภูเขามะกอกเทศอีกตามเคย พวกศิษย์ก็ตามไปด้วย 40 เมื่อไปถึง พระองค์พูดว่า “ให้อธิษฐาน ขออย่าให้ตัวเองแพ้ต่อการยั่วยวน”

41 พระองค์ปลีกตัวออกไปใกล้ๆแค่ระยะขว้างหินตก แล้วพระองค์ก็คุกเข่าลงอธิษฐานว่า 42 “พระบิดา ถ้าพระองค์พอใจ ช่วยเอาถ้วย[h] แห่งความทุกข์นี้ไปจากลูกด้วยเถิด แต่ขอให้เป็นไปตามใจของพระบิดา ไม่ใช่ตามใจตัวลูกเอง” 43 แล้วก็มีทูตสวรรค์ลงมาให้กำลังใจพระองค์ 44 พระองค์ต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักในการอธิษฐาน จนเหงื่อไหลเหมือนหยดเลือดตกบนพื้นดิน[i] 45 เมื่ออธิษฐานแล้ว พระองค์ลุกขึ้นเดินกลับไป แต่เห็นพวกศิษย์นอนหลับกันหมด เพราะเสียใจจนหมดแรง 46 พระองค์จึงพูดว่า “ทำไมยังนอนกันอยู่อีก ลุกขึ้นมาอธิษฐานสิ จะได้ไม่แพ้ต่อการยั่วยวน”

พระเยซูถูกจับกุมตัว

(มธ. 26:47-56; มก. 14:43-50; ยน. 18:3-11)

47 พระเยซูพูดยังไม่ทันขาดคำ ยูดาสศิษย์คนหนึ่งในสิบสองคนของพระองค์ ก็นำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา ยูดาสทำท่าจะเข้ามาจูบทักทายพระองค์

48 พระเยซูถามยูดาสว่า “ยูดาส จะหักหลังบุตรมนุษย์ด้วยการจูบหรือ” 49 เมื่อพวกศิษย์ของพระเยซูเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น จึงถามพระองค์ว่า “อาจารย์ เอาดาบลุยมันเลยดีไหม” 50 ศิษย์คนหนึ่งของพระองค์ได้ชักดาบออกมา แล้วก็ฟันถูกหูขวาของทาสคนหนึ่งของหัวหน้านักบวชสูงสุดขาดไป

51 พระเยซูห้ามว่า “พอแล้ว” แล้วพระองค์ก็จับหูคนนั้นและรักษาให้เหมือนเดิม

52 แล้วพระเยซูหันไปพูดกับพวกหัวหน้านักบวช พวกนายทหารรักษาวิหาร และพวกผู้นำที่เป็นผู้ใหญ่ทั้งหลายที่มาจับพระองค์ว่า “เห็นเราเป็นโจรหรือยังไง ถึงได้ถือดาบและไม้กระบองมา 53 เราอยู่กับพวกคุณทุกวันในวิหาร ก็ไม่เห็นคุณจับเราเลย แต่ตอนนี้เป็นเวลาของคุณแล้ว เป็นเวลาที่ความมืดครอบครอง”

เปโตรกลัวที่จะยอมรับว่ารู้จักพระเยซู

(มธ. 26:57-58, 69-75; มก. 14:53-54, 66-72; ยน. 18:12-18, 25-37)

54 พวกเขาจับพระองค์ และนำตัวไปที่บ้านของหัวหน้านักบวชสูงสุด เปโตรได้ตามไปห่างๆ 55 เมื่อพวกเขาก่อกองไฟขึ้นกลางลานบ้าน และนั่งล้อมวงกัน เปโตรก็เข้าไปนั่งอยู่ด้วย 56 มีสาวใช้คนหนึ่งเห็นเปโตรนั่งอยู่ใกล้แสงไฟ นางก็จ้องมองดูเขาใกล้ๆและพูดขึ้นว่า “ชายคนนี้อยู่กับเยซูด้วย”

57 แต่เปโตรปฏิเสธว่า “แม่นาง ผมไม่รู้จักเขาเลย”

58 ต่อมาไม่นานอีกคนหนึ่งก็เห็นเปโตรและพูดขึ้นว่า “แกก็เป็นคนหนึ่งในพวกมันด้วยนี่”

แต่เปโตรปฏิเสธว่า “พ่อหนุ่ม ไม่ใช่ผมนะ”

59 ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา ก็มีชายคนหนึ่งยืนยันว่า

“ไอ้คนนี้ ต้องอยู่กับเยซูแน่ๆเพราะมันเป็นชาวกาลิลีเหมือนกัน”

60 แต่เปโตรพูดว่า “พ่อหนุ่ม ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร”

และเมื่อเปโตรพูดยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงไก่ขันขึ้นมา

61 พระเยซูหันมามองเปโตร ทำให้เขานึกขึ้นได้ถึงคำพูดของพระองค์ที่บอกว่า

“คืนนี้ก่อนไก่ขัน คุณจะพูดว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง”

62 แล้วเปโตรก็ออกไปร้องไห้อย่างขมขื่น

คนหัวเราะเยาะพระเยซู

(มธ. 26:67-68; มก. 14:65)

63 พวกที่ควบคุมตัวพระเยซูพากันเยาะเย้ยและทุบตีพระองค์ 64 พวกเขาเอาผ้ามาปิดตาพระองค์ และถามว่า “ทายดูซิว่าใครเป็นคนตีแก” 65 แล้วพวกเขาก็พูดดูถูก เหยียดหยามพระองค์อีกมากมาย

พระเยซูอยู่ต่อหน้าพวกผู้นำชาวยิว

(มธ. 26:59-66; มก. 14:55-64; ยน. 18:19-24)

66 เมื่อถึงตอนเช้า พวกผู้นำอาวุโส พวกหัวหน้านักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติ พากันมาประชุม และเอาตัวพระเยซูเข้ามาในศาลสูงของพวกเขา 67 พวกเขาพูดขึ้นว่า “บอกพวกเรามาซิว่า แกเป็นพระคริสต์หรือเปล่า”

พระเยซูจึงตอบพวกเขาว่า “ถึงเราบอก คุณก็ไม่เชื่ออยู่ดี 68 ถ้าเราถามอะไรคุณ คุณก็ไม่ตอบเหมือนกัน 69 แต่ว่านับจากนี้ไป บุตรมนุษย์จะนั่งอยู่ทางขวาของพระเจ้าผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น”

70 พวกเขาทั้งหมดจึงถามพระองค์ว่า “ถ้างั้น แกก็เป็นบุตรของพระเจ้าสิ” พระองค์จึงตอบว่า “ใช่ อย่างที่ท่านว่า”

71 แล้วพวกเขาก็พูดขึ้นว่า “เรายังต้องการพยานอีกทำไม ในเมื่อเราก็ได้ยินจากปากของมันเองแล้วนี่”

เจ้าเมืองปีลาตไต่สวนพระเยซู

(มธ. 27:1-2, 11-14; มก. 15:1-5; ยน. 18:28-38)

23 ทุกคนในที่ประชุมลุกขึ้น พาพระเยซูไปหาเจ้าเมืองปีลาต พวกเขาเริ่มกล่าวหาพระองค์ ว่า “เราได้พบว่า ชายคนนี้พยายามปลุกปั่นประชาชนให้กระด้างกระเดื่อง เขายุยงให้พวกประชาชนเลิกจ่ายภาษีให้แก่ซีซาร์ แถมยังอ้างตัวเองเป็นพระคริสต์ กษัตริย์ของพวกเราอีกด้วย”

ปีลาตจึงถามพระเยซูว่า “แกเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ”

พระเยซูจึงตอบเขาว่า “ใช่ อย่างที่ท่านว่า”

ปีลาตจึงพูดกับพวกหัวหน้านักบวชและฝูงชนว่า “เราไม่เห็นเขาผิดอะไร” แต่พวกเขายืนกรานเสียงแข็งว่า “แต่เขาก็ได้สอนและปลุกปั่นประชาชนไปทั่วแคว้นยูเดีย เริ่มจากแถวกาลิลีเรื่อยมาจนถึงเมืองเยรูซาเล็มนี้”

ปีลาตส่งตัวพระเยซูไปพบเฮโรด

เมื่อปีลาตได้ยินอย่างนั้น ก็สอบถามจนรู้ว่าพระเยซูเป็นชาวกาลิลี ซึ่งอยู่ในการปกครองของกษัตริย์เฮโรด เขาจึงส่งตัวพระเยซูไปให้กับกษัตริย์เฮโรด ซึ่งตอนนั้นอยู่ที่เมืองเยรูซาเล็มพอดี เมื่อกษัตริย์เฮโรดพบพระเยซูก็ดีใจมาก เพราะอยากพบมานานแล้ว เขาได้ยินชื่อเสียงของพระองค์ และเขาหวังว่าพระเยซูจะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ดูบ้าง เฮโรดถามพระเยซูหลายอย่าง แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตอบอะไรเลย 10 พวกหัวหน้านักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติที่ยืนอยู่ที่นั่นก็พากันกล่าวหาพระองค์อย่างดุเดือด 11 เฮโรดกับพวกทหารของเขาต่างพากันหัวเราะเยาะ และดูถูกเหยียดหยามพระองค์ พวกเขาให้พระองค์แต่งชุดของกษัตริย์ แล้วส่งตัวกลับไปหาปีลาต 12 ในวันนั้นเอง ทั้งเฮโรดและปีลาตได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน ก่อนหน้านี้ พวกเขาเป็นศัตรูกัน

พระเยซูต้องตาย

(มธ. 27:15-26; มก. 15:6-15; ยน. 18:39-19:16)

13 ปีลาตเรียกพวกหัวหน้านักบวช พวกผู้นำและประชาชนมาชุมนุมกัน 14 แล้วปีลาตบอกว่า “พวกคุณนำชายคนนี้มาหาเรา และกล่าวหาเขาว่าปลุกปั่นยุยงประชาชนให้กระด้างกระเดื่องนั้น หลังจากที่เราได้สอบสวนเขาต่อหน้าพวกคุณแล้ว ก็ไม่เห็นว่าเขาทำผิดอะไรตามที่พวกคุณกล่าวหา 15 ส่วนกษัตริย์เฮโรด ก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน พระองค์ก็เลยส่งชายคนนี้กลับมาหาเรา เขาไม่ได้ทำผิดอะไรที่สมควรตาย 16 เราจะสั่งเฆี่ยนเขาแล้วปล่อยตัวไป” 17 [j]

18 แต่ฝูงชนร้องตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า “ฆ่ามันซะ แล้วปล่อยบารับบัสให้เรา”

19 บารับบัสถูกขังอยู่ในคุก เพราะได้ก่อการจลาจลขึ้นในเมืองเยรูซาเล็มและฆ่าคนตาย

20 ปีลาตจึงเกลี้ยกล่อมพวกเขาอีก เพราะอยากปล่อยพระเยซู 21 แต่พวกเขากลับตะโกนว่า “ตรึงมันที่กางเขน ตรึงมันที่กางเขน”

22 ปีลาตถามพวกเขาอีกเป็นครั้งที่สามว่า “ทำไม เขาทำผิดอะไร เราไม่เห็นเขาทำผิดอะไรที่สมควรตาย เราจะสั่งให้เฆี่ยนเขา แล้วก็ปล่อยตัวไป”

23 แต่พวกเขาก็ร้องตะโกนดังขึ้นๆให้ตรึงพระเยซูที่กางเขน และในที่สุดเสียงนั้นก็ชนะ

24 ปีลาตตัดสินใจทำตามที่พวกนั้นขอ 25 คือปล่อยตัวบารับบาสที่ติดคุกเพราะก่อการจลาจลและฆ่าคน และให้ทำกับพระเยซูอย่างที่พวกเขาต้องการ

พระเยซูตายบนไม้กางเขน

(มธ. 27:32-44; มก. 15:21-32; ยน. 19:17-27)

26 ในระหว่างทางที่นำตัวพระเยซูไปนั้น พวกเขาก็จับตัวซีโมนชาวไซรีน ที่เพิ่งมาจากชนบท บังคับให้เขาแบกไม้กางเขนเดินตามหลังพระเยซูไป

27 ฝูงชนจำนวนมากเดินตามไป รวมทั้งผู้หญิงหลายคนที่ร้องห่มร้องไห้ คร่ำครวญสงสารพระเยซู 28 พระเยซูก็ได้หันไปบอกพวกนางว่า

“หญิงชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้ให้กับเราเลย แต่ร้องไห้ให้กับตัวเองและลูกๆของคุณเองดีกว่า 29 เวลานั้นจะมาถึง ที่คนจะพูดว่า ‘หญิงที่เป็นหมัน ไม่เคยคลอดลูก และไม่เคยเลี้ยงนมลูก ก็ได้เปรียบจริงๆ’ 30 แล้วพวกเขาก็จะขอร้องกับภูเขาว่า ‘ช่วยพังลงมาทับเราด้วย’ และอ้อนวอนกับเนินเขาว่า ‘ช่วยฝังเราหน่อย’[k] 31 เพราะถ้าพวกเขาทำอย่างนี้กับคนที่บริสุทธิ์ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ทำผิด”[l]

32 ยังมีผู้ร้ายอีกสองคนที่ถูกนำตัวมาฆ่าพร้อมๆกับพระเยซูด้วย 33 เมื่อเขามาถึงสถานที่ที่เรียกว่า “หัวกะโหลก” พวกเขาก็ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขนระหว่างผู้ร้ายสองคนนั้น ทางขวาคนหนึ่งและทางซ้ายคนหนึ่ง 34 แล้วพระเยซูก็พูดว่า “พระบิดา ช่วยยกโทษให้กับพวกเขาด้วย เพราะพวกเขาไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังทำอะไรลงไป”[m]

แล้วพวกเขาเอาเสื้อผ้าของพระองค์มาจับสลากแบ่งกัน 35 ประชาชนก็ยืนดูอยู่ ส่วนพวกผู้นำชาวยิวต่างพากันหัวเราะเยาะและพูดถากถางว่า “ในเมื่อเขาช่วยคนอื่นได้ ก็ให้เขาช่วยตัวเองด้วยสิ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ผู้ที่พระเจ้าได้เลือกไว้จริง”

36 พวกทหารก็พากันมาล้อเลียน พวกเขาเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวให้พระองค์ 37 พวกเขาพูดว่า “ถ้าแกเป็นกษัตริย์ของชาวยิวจริง ก็ช่วยตัวเองสิ”

38 เหนือตัวพระองค์ขึ้นไปมีป้ายเขียนไว้ว่า “นี่คือกษัตริย์ของชาวยิว”

39 ผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่พูดเสียดสีว่า

“แกเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ ช่วยตัวแกเองและพวกเราด้วยสิ”

40 แต่ผู้ร้ายอีกคนหนึ่งห้ามเขา และพูดขึ้นว่า “แกก็มีโทษถึงตายเหมือนกับเขา แกไม่กลัวพระเจ้าหรือยังไง 41 พวกเรามันสมควรตายอยู่แล้ว แต่ชายคนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” 42 แล้วเขาก็พูดว่า “เยซู อย่าลืมผมนะครับ เมื่อพระองค์เข้าสู่อาณาจักรของพระองค์”

43 พระองค์จึงตอบว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า วันนี้คุณจะได้อยู่กับเราในสวนสวรรค์อย่างแน่นอน”

พระเยซูตาย

(มธ. 27:45-56; มก. 15:33-41; ยน. 19:28-30)

44 ประมาณเที่ยง มีแต่ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง 45 เพราะดวงอาทิตย์หยุดส่องแสงและม่านในวิหาร[n] ก็ขาดกลางออกเป็นสองท่อน 46 พระเยซูร้องตะโกนว่า “พระบิดา ลูกขอมอบจิตวิญญาณของลูกไว้ในมือพระองค์”[o] เมื่อพูดจบพระองค์ก็สิ้นใจตาย

47 เมื่อนายร้อยคนหนึ่งเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็สรรเสริญพระเจ้าและพูดว่า “เขาเป็นคนบริสุทธิ์แน่ๆ”

48 ส่วนฝูงชนที่ได้พากันมามุงดูเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นนี้ เมื่อพวกเขาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็กลับบ้านและทุบอกตัวเองด้วยความเสียอกเสียใจ 49 ส่วนเพื่อนสนิททั้งหมดของพระเยซู และพวกผู้หญิงที่ติดตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีนั้น ยังคงยืนดูอยู่ห่างๆ

โยเซฟชาวอาริมาเธีย

(มธ. 27:57-61; มก. 15:42-47; ยน. 19:38-42)

50 มีชายคนหนึ่งชื่อว่า โยเซฟ เป็นสมาชิกสภาสูงของชาวยิว เขาเป็นคนซื่อสัตย์ที่ทำตามใจพระเจ้า 51 เขาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจและการกระทำของพวกผู้นำชาวยิวคนอื่นๆเกี่ยวกับพระเยซู เขามาจากเมืองอาริมาเธียในแคว้นยูเดีย และเฝ้าคอยอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ 52 เขาไปหาปีลาตเพื่อขอศพพระเยซู 53 แล้วจึงเอาศพของพระองค์ลงมาจากไม้กางเขน และพันด้วยผ้าลินิน แล้วนำไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพ ซึ่งเจาะไว้ในหิน และยังไม่เคยใช้วางศพใครมาก่อน 54 วันนั้นเป็นวันศุกร์[p] ซึ่งเป็นวันจัดเตรียมและวันหยุดทางศาสนา ก็ใกล้จะเริ่มต้นแล้ว 55 ส่วนพวกผู้หญิงที่ติดตามพระเยซูมาจากแคว้นกาลิลีก็ตามโยเซฟไปที่อุโมงค์ และเห็นว่าเขาวางศพไว้ที่นั่น 56 หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับบ้านไปเตรียมเครื่องหอมกับน้ำมันหอมไว้อาบศพพระองค์ แล้วในวันหยุดทางศาสนาพวกเขาก็หยุดพักผ่อนตามที่กฎของโมเสสสั่ง

ข่าวพระเยซูฟื้นคืนชีพ

(มธ. 28:1-10; มก. 16:1-8; ยน. 20:1-10)

24 ตอนเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ พวกผู้หญิงก็พากันเอาเครื่องหอมที่ได้เตรียมไว้ไปที่อุโมงค์ แล้วพบว่าหินที่ปิดปากอุโมงค์นั้นถูกกลิ้งเปิดออกแล้ว พวกนางจึงเข้าไปในอุโมงค์ แต่ก็ไม่พบศพองค์เจ้าชีวิต พวกนางก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นก็มีชายสองคนใส่เสื้อผ้าสีขาวเป็นประกายมายืนอยู่ข้างๆ พวกนางก็ตกใจกลัวซบหน้าลงกับพื้นดิน ชายทั้งสองก็พูดว่า “พวกเธอมาหาคนที่มีชีวิตในที่ของคนตายทำไม พระเยซูไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว พระองค์ฟื้นขึ้นมาแล้ว จำได้หรือเปล่าตอนที่อยู่แคว้นกาลิลี พระองค์บอกว่า บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไปไว้ในมือของพวกคนบาป และจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วพระองค์จะฟื้นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม” พวกผู้หญิงก็เลยจำได้ว่าพระองค์เคยพูดถึงสิ่งเหล่านี้

พวกนางรีบกลับไปเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้พวกศิษย์เอกทั้งสิบเอ็ดคนและพวกศิษย์คนอื่นๆของพระเยซูฟัง 10 พวกผู้หญิงที่มาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็มี มารีย์ชาวมักดาลา โยอันนา มารีย์แม่ของยากอบ และรวมทั้งหญิงคนอื่นๆ 11 แต่พวกศิษย์เอกไม่เชื่อ และหาว่าเป็นเรื่องเหลวไหล 12 แต่เปโตรวิ่งไปดูที่อุโมงค์ เมื่อเขาก้มลงไปดูก็เห็นแต่ผ้าลินินที่ห่อศพของพระเยซูวางอยู่ แล้วเขาก็จากไปด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น[q]

บนเส้นทางไปเมืองเอมมาอูส

(มก. 16:12-13)

13 ในวันนั้นศิษย์สองคนของพระเยซูกำลังเดินทางไปที่หมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเยรูซาเล็มราวๆสิบเอ็ดกิโลเมตร 14 พวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น 15 พระเยซูก็เข้ามาใกล้ และเดินไปกับพวกเขา 16 แต่พระเจ้าทำให้พวกเขา จำพระองค์ไม่ได้ 17 พระเยซูจึงถามว่า “พวกคุณกำลังเดินคุยกันเรื่องอะไรหรือ” พวกเขาก็หยุดเดิน ทำหน้าตาเศร้าหมอง 18 ชายคนหนึ่งชื่อเคลโอปัสก็ตอบว่า “ในเมืองเยรูซาเล็ม สงสัยจะมีแต่คุณเท่านั้น ที่ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่นเมื่อสองสามวันมานี้”

19 พระเยซูตอบว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

พวกเขาตอบว่า “ก็เรื่องที่เกิดกับเยซูชาวนาซาเร็ธไง เขาเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า ในสายตาของพระเจ้าและคนทั้งปวงเห็นว่าเยซูเป็นคนที่มีฤทธิ์เดชมาก ทั้งในด้านคำพูดและการกระทำ 20 แต่พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำของเรา ส่งเขาไปให้ผู้มีอำนาจของโรมตัดสินประหารชีวิต แล้วเขาก็ถูกตรึงบนไม้กางเขน 21 พวกเราเคยหวังไว้ว่า เขาจะมาปลดปล่อยชนชาติอิสราเอลให้เป็นอิสระ เรื่องนี้ก็ได้เกิดขึ้นสามวันมาแล้ว 22 แต่เมื่อเช้าตรู่วันนี้เอง มีผู้หญิงบางคนในพวกเราไปที่อุโมงค์ แล้วมาพูดให้เราประหลาดใจว่า 23 พวกนางหาเขาไม่เจอ และยังบอกอีกว่าได้เห็นทูตสวรรค์สององค์ในนิมิตมาบอกว่า เยซูยังมีชีวิตอยู่ 24 พวกเราบางคนวิ่งไปดูที่อุโมงค์ ก็ไม่พบศพจริงๆเหมือนกับที่ผู้หญิงกลุ่มนั้นบอก”

25 แล้วพระเยซูก็พูดว่า “ทำไมพวกคุณถึงได้โง่อย่างนี้ ไม่ยอมเชื่อสิ่งที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้าบอก 26 ก่อนที่พระคริสต์จะได้รับสง่าราศีนั้น พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมานก่อนไม่ใช่หรือ” 27 แล้วพระเยซูก็เริ่มอธิบายข้อพระคัมภีร์ต่างๆที่พูดถึงพระองค์จนหมดเกลี้ยง เริ่มตั้งแต่โมเสสตลอดไปจนถึงผู้พูดแทนพระเจ้าทุกคน

28 เมื่อเกือบจะถึงหมู่บ้านเอมมาอูส พระเยซูทำท่าเหมือนจะเดินเลยไป 29 พวกเขาก็คะยั้นคะยอให้พระองค์อยู่ และบอกว่า “นี่ก็เย็นมากแล้ว ใกล้มืดแล้วด้วย ไปพักกับพวกเราก่อนเถอะ” พระเยซูจึงเข้าไปพักอยู่กับพวกเขา

30 เมื่อพวกเขาอยู่ที่โต๊ะอาหารนั้น พระองค์หยิบขนมปังขึ้นมาขอบคุณพระเจ้า แล้วก็หักขนมปังแบ่งให้กับพวกเขา 31 แล้วตาของพวกเขาก็สว่างขึ้น จำพระเยซูได้ แล้วพระองค์ก็หายวับไปกับตา 32 พวกเขาจึงพูดกันว่า “มิน่าล่ะ ใจของเราถึงได้ร้อนรุ่มน่าดูเลย ในระหว่างทางที่พระองค์พูดและอธิบายข้อพระคัมภีร์ให้ฟัง”

33 ทั้งสองจึงรีบลุกขึ้นกลับไปเมืองเยรูซาเล็มทันที และพบกับพวกศิษย์เอกทั้งสิบเอ็ดคนที่ชุมนุมกันอยู่กับศิษย์คนอื่นๆ 34 กลุ่มที่ชุมนุมนั้นก็บอกกับสองคนนี้ว่า “องค์เจ้าชีวิต ฟื้นขึ้นมาแล้วจริงๆพระองค์มาปรากฏตัวให้ซีโมนเห็น”

35 แล้วทั้งสอง ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างทาง และเล่าให้ฟังว่าพวกเขาจำพระเยซูได้ตอนที่พระองค์หักขนมปังให้

พระเยซูปรากฏตัวต่อหน้าลูกศิษย์

(มธ. 28:16-20; มก. 16:14-18; ยน. 20:19-23; กจ. 1:6-8)

36 ขณะที่ทั้งสองยังเล่าเรื่องนี้อยู่นั้น พระเยซูมายืนอยู่กับพวกเขา และพูดว่า “ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข”

37 พวกเขาก็สะดุ้งตกใจกลัว คิดว่าเจอผี 38 พระเยซูจึงพูดว่า “ตกใจทำไม ทำไมถึงขี้สงสัยอย่างนี้ 39 ดูมือและเท้าของเราสิ นี่เป็นตัวเราจริงๆ ไม่เชื่อลองจับดู จะได้รู้ว่าไม่ใช่ผี เพราะผีไม่มีเนื้อไม่มีกระดูกอย่างที่คุณเห็นเรามีหรอก”

40 เมื่อพูดเสร็จ พระองค์ก็ยื่นมือและเท้าให้พวกเขาดู 41 พวกศิษย์ดีใจและแปลกใจมาก ไม่อยากเชื่อว่าเป็นจริง แล้วพระเยซูก็ถามขึ้นว่า “มีอะไรกินบ้าง” 42 พวกเขาจึงเอาปลาย่างชิ้นหนึ่งมาให้พระองค์ 43 พระองค์ก็เอามากินต่อหน้าพวกเขา

44 แล้วพระองค์ก็พูดกับพวกเขาว่า “เมื่อก่อนตอนที่เราอยู่กับพวกคุณ เราได้บอกแล้วว่า ทุกเรื่องที่ได้เขียนไว้เกี่ยวกับเราในกฎปฏิบัติของโมเสส ในหนังสือของพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และในหนังสือสดุดี จะต้องเกิดขึ้นตามนั้น”

45 แล้วพระองค์เปิดใจพวกเขาให้เข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์บอกพวกเขาว่า “พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และจะฟื้นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม 47 แล้วเรื่องการกลับตัวกลับใจเพื่อจะได้รับการอภัยโทษจากบาปจะต้องถูกประกาศไปในนามของเราให้คนทุกชาติรู้ เริ่มจากเมืองเยรูซาเล็มก่อน 48 พวกคุณจะต้องเป็นพยานเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ที่คุณเห็น 49 แล้วเราจะส่งพระวิญญาณมาให้ เป็นพระวิญญาณที่พระบิดาของเราได้สัญญาว่าจะให้กับพวกคุณ แต่พวกคุณต้องคอยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มก่อน จนกว่าจะได้รับฤทธิ์อำนาจนั้นจากสวรรค์”

พระเยซูกลับสู่สวรรค์

(มก. 16:19-20; กจ. 1:9-11)

50 จากนั้นพระเยซูก็นำพวกเขาไปที่หมู่บ้านเบธานี และยกมือขึ้นอวยพรพวกเขา 51 ขณะที่ยังอวยพรอยู่นั้น พระองค์ก็จากพวกเขาไป โดยถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ 52 พวกเขากราบไหว้พระองค์ และกลับไปที่เมืองเยรูซาเล็มด้วยความปลาบปลื้มใจ 53 แล้วพวกเขาก็อยู่ในวิหารเป็นประจำเพื่อสรรเสริญพระเจ้า

พระคำได้มาเกิดเป็นมนุษย์

ตอนเริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้นก็มีพระคำอยู่แล้ว พระคำนี้อยู่กับพระเจ้า และเป็นพระเจ้าด้วย พระคำอยู่กับพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่นี้เกิดมาจากพระคำทั้งนั้น ไม่มีอะไรเลยที่ไม่ได้เกิดมาจากพระคำ พระคำเป็นแหล่งของชีวิตที่เที่ยงแท้ ชีวิตนั้นได้นำความสว่างมาให้มนุษย์ทุกคน ความสว่างส่องเข้ามาในความมืดอยู่ แต่ความมืดไม่สามารถเอาชนะ[r] ความสว่างนั้นได้

พระเจ้าได้ส่งชายชื่อยอห์น มาเป็นผู้ส่งข่าวของพระองค์ เขามาบอกผู้คนเกี่ยวกับความสว่าง เพื่อทุกคนจะได้เชื่อในเรื่องที่เขาบอก ตัวยอห์นเองไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่เขามาเพื่อเล่าเรื่องความสว่างนั้น ความสว่างเที่ยงแท้ ที่ให้ความสว่างกับมนุษย์ทุกคนกำลังเข้ามาในโลก

10 พระองค์ได้อยู่ในโลกนี้ แต่โลกนี้กลับไม่รู้จักพระองค์ ทั้งๆที่โลกนี้ถูกสร้างผ่านทางพระองค์ 11 เมื่อพระองค์มาถึงบ้านเมืองของพระองค์เอง คนของพระองค์ก็ยังไม่ยอมรับพระองค์ 12 แต่ส่วนคนที่ยอมรับและไว้วางใจพระองค์ พระองค์ให้สิทธิ์พวกเขาเป็นลูกของพระเจ้า 13 ลูกของพระเจ้านี้ไม่ใช่ลูกที่เกิดมาจากเลือดเนื้อหรือจากความต้องการของมนุษย์ หรือจากความตั้งใจของพ่อ แต่เกิดมาจากพระเจ้า

14 พระคำได้กลายมาเป็นมนุษย์ และใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเรา พระคำนั้นเต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและความจริง พวกเราได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซึ่งเป็นความยิ่งใหญ่ของพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระบิดา 15 ยอห์นร้องตะโกนบอกผู้คนเกี่ยวกับพระองค์ว่า “คนที่มาภายหลังผมนั้น ยิ่งใหญ่กว่าผมอีก เพราะเขาเป็นอยู่นานแล้วก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก”

16 พระองค์เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา พวกเราทุกคนก็เลยได้รับพระพรจากพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า 17 พระเจ้าได้ให้กฎปฏิบัติที่เป็นข้อบังคับผ่านมาทางโมเสส แต่พระเจ้าได้แสดงความเมตตากรุณาและความจริงผ่านมาทางพระเยซูคริสต์ 18 ไม่เคยมีใครเห็นพระเจ้า มีแต่พระบุตรเพียงองค์เดียวของพระองค์ ผู้ที่เป็นพระเจ้าเอง[s]และอยู่ใกล้ชิดกับพระบิดาด้วย ได้เปิดเผยพระเจ้าให้เรารู้จัก

ยอห์นพูดถึงตัวเองและคนที่ยิ่งใหญ่กว่าเขา

(มธ. 3:1-12; มก. 1:2-8; ลก. 3:1-9, 15-17)

19 นี่คือสิ่งที่ยอห์นบอก เมื่อพวกยิวในเมืองเยรูซาเล็มส่งพวกนักบวช และพวกเลวี[t] มาถามยอห์นว่า “คุณเป็นใคร”

20 ยอห์นไม่ได้ปิดบังความจริง เขาตอบไปอย่างเปิดเผยและชัดเจนว่า “ผมไม่ใช่พระคริสต์”

21 พวกเขาก็เลยถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณเป็นใคร เป็นเอลียาห์หรือ”

ยอห์นตอบว่า “ไม่ใช่”

“หรือเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้น”[u]

ยอห์นก็ตอบว่า “ไม่ใช่”

22 พวกเขาถามยอห์นว่า “แล้วคุณเป็นใครกันแน่ ช่วยบอกหน่อย เราจะได้ไปบอกคนที่ส่งเรามา ว่าไง คุณว่าคุณเป็นใครกันล่ะ”

23 ยอห์นตอบโดยยกเอาคำของอิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า ที่ว่า

“ผมเป็นเสียงของคนที่ร้องตะโกนอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งว่า
ทำทางให้ตรงสำหรับองค์เจ้าชีวิต”[v]

24 ส่วนคนที่พวกฟาริสีส่งมา 25 ได้ถามยอห์นว่า “ถ้าคุณไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่เอลียาห์ แล้วก็ไม่ใช่ผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้น แล้วทำไมคุณถึงทำพิธีจุ่มน้ำให้ชาวบ้านล่ะ”

26 ยอห์นจึงตอบว่า “ผมทำพิธีจุ่มด้วยน้ำ แต่มีคนหนึ่งในท่ามกลางพวกคุณที่พวกคุณเองก็ไม่รู้จัก 27 คนๆนี้แหละที่มาภายหลังผม ขนาดสายรัดรองเท้าของเขาผมยังไม่มีค่าพอที่จะแก้ให้เลย”

28 เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานี ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งเป็นที่ที่ยอห์นกำลังทำพิธีจุ่มน้ำให้ผู้คนอยู่

29 ในวันต่อมา ยอห์นเห็นพระเยซูเดินตรงมาหาเขา แล้วยอห์นป่าวประกาศว่า “นี่ไง ลูกแกะของพระเจ้า ที่จะมาเอาความผิดบาปของโลกไป 30 คนนี้ไงที่ผมพูดถึงว่า ‘จะมีชายคนหนึ่งมาภายหลังผม เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าผม เพราะเขาเป็นอยู่นานแล้วก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก’ 31 ตัวผมเองก็ไม่รู้มาก่อนหรอกว่าคนที่จะมาภายหลังนั้นจะเป็นใคร แต่ผมมาทำพิธีจุ่มด้วยน้ำก็เพื่อจะได้เปิดเผยตัวเขาให้คนอิสราเอลได้รู้จัก”

32 แล้วยอห์นก็บอกว่า “ผมได้เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาจากสวรรค์เหมือนนกพิราบ และมาอยู่บนชายคนนี้ 33 ตัวผมเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าคนที่จะมาภายหลังนั้นจะเป็นใคร แต่พระองค์ผู้ที่ส่งผมมาให้ทำพิธีจุ่มน้ำบอกว่า ‘เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณลงมาอยู่บนใคร คนนั้นแหละคือคนที่จะทำพิธีจุ่มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ 34 ผมเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตา และผมเป็นพยานได้ว่า ‘ชายคนนี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า’”[w]

ศิษย์รุ่นแรกของพระเยซู

35 วันต่อมา ยอห์นยืนอยู่กับศิษย์ของเขาสองคน 36 เมื่อเขาเห็นพระเยซูเดินผ่านไป ยอห์นก็พูดขึ้นว่า “นั่นไง ลูกแกะของพระเจ้า”

37 พอศิษย์สองคนนั้นได้ยินอย่างนั้น เขาก็เดินตามพระเยซูไป 38 เมื่อพระองค์หันไปเห็นพวกเขาเดินตามหลังมา ก็ถามว่า “มีอะไรหรือ”

พวกเขาถามไปว่า “ราบีครับ ท่านพักอยู่ที่ไหนครับ” (ราบีแปลว่าอาจารย์)

39 พระเยซูตอบว่า “ตามมาดูสิ” พวกเขาก็ได้ตามไปยังที่พักของพระองค์ ตอนนั้นเป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว พวกเขาจึงพักอยู่กับพระองค์ตลอดวันนั้น

40 อันดรูว์เป็นคนหนึ่งในสองคนนั้นที่เดินตามพระเยซูไป เขามีพี่ชายชื่อซีโมนเปโตร หลังจากได้ยินยอห์นพูด 41 สิ่งแรกที่อันดรูว์ทำ คือไปหาซีโมนพี่ชายของเขาและบอกซีโมนว่า “พวกเราได้พบพระเมสสิยาห์ (หมายถึง พระคริสต์) แล้ว”

42 อันดรูว์พาซีโมนไปหาพระเยซู เมื่อพระองค์เห็นเขาก็พูดว่า “คุณคือซีโมน ลูกของยอห์นสินะ คนจะเรียกคุณว่า เคฟาส” (เหมือนกับ เปโตร ซึ่งแปลว่า “หิน”)

43 วันต่อมา พระเยซูตัดสินใจไปแคว้นกาลิลี พระองค์พบฟีลิปและพูดกับเขาว่า “ตามเรามา” 44 ฟีลิปมาจากเมืองเบธไซดาเหมือนกับอันดรูว์และเปโตร 45 ฟีลิปพบนาธานาเอล และบอกเขาว่า “พวกเราพบคนที่โมเสสและพวกผู้พูดแทนพระเจ้าเขียนถึงแล้ว เขาคือเยซูชาวเมืองนาซาเร็ธ ลูกของโยเซฟ”

46 นาธานาเอลย้อนถามฟีลิปว่า “นาซาเร็ธน่ะหรือ จะมีของดีอะไรมาจากเมืองนั้นได้” ฟีลิปตอบว่า “ตามมาดูสิ”

47 เมื่อพระเยซูเห็นนาธานาเอลเดินเข้ามาหา พระองค์ก็พูดถึงเขาว่า “นี่ไง คนอิสราเอลขนานแท้ที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม”

48 นาธานาเอลถามพระองค์ว่า “ท่านรู้จักผมได้ยังไง”

พระเยซูตอบว่า “เราเห็นคุณตั้งแต่อยู่ใต้ต้นมะเดื่อแล้วก่อนที่ฟีลิปจะเรียกคุณเสียอีก”

49 นาธานาเอลตอบว่า “อาจารย์ ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล”

50 พระเยซูก็พูดว่า “ที่คุณเชื่อเราก็เพราะเราบอกว่า ได้เห็นคุณอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ ใช่ไหมล่ะ คุณจะได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก” 51 แล้วพระเยซูพูดอีกว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า พวกคุณจะได้เห็นสวรรค์เปิดออกเป็นช่อง และพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็จะขึ้นๆลงๆอยู่เหนือบุตรมนุษย์”[x]

งานแต่งงานที่หมู่บ้านคานา

ในวันที่สาม มีงานแต่งงานที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี แม่ของพระเยซูก็อยู่ที่นั่นด้วย พระเยซูและศิษย์ของพระองค์ก็ได้รับเชิญมาในงานนี้เหมือนกัน เมื่อเหล้าองุ่นหมด แม่ของพระเยซูมาบอกพระองค์ว่า “เหล้าองุ่นหมดแล้ว”

พระเยซูพูดว่า “แม่ครับ มาบอกลูกทำไม ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของลูก”

แล้วแม่ของพระเยซูก็ไปบอกกับพวกคนใช้ว่า “เขาสั่งอะไร ก็ให้ทำตามนั้น”

มีโอ่งใส่น้ำตั้งอยู่ที่นั่นหกใบเพื่อใช้ในพิธีชำระล้าง โอ่งแต่ละใบใส่น้ำได้ประมาณแปดสิบถึงหนึ่งร้อยยี่สิบลิตร[y]

พระเยซูได้สั่งพวกคนใช้ว่า “ไปตักน้ำใส่โอ่งพวกนั้นให้เต็ม” พวกเขาก็ตักน้ำใส่จนเต็มถึงปากโอ่ง

แล้วพระองค์สั่งอีกว่า “ตักน้ำนี้ไปให้ผู้ดูแลงานเลี้ยงสิ”

พวกคนใช้ก็ตักน้ำไปให้ผู้ดูแลงานเลี้ยง เมื่อผู้ดูแลงานเลี้ยงได้ชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้ว (โดยที่เขาไม่รู้ว่า เหล้าองุ่นนั้นมาจากไหน มีแต่พวกคนใช้ที่ตักน้ำนั้นมาเท่านั้นที่รู้) ผู้ดูแลงานเลี้ยงก็เรียกเจ้าบ่าวมาบอกว่า 10 “ใครๆเขาก็เอาเหล้าองุ่นดีๆออกมาให้แขกดื่มก่อน พอดื่มจนเมาได้ที่แล้วถึงจะเอาเหล้าองุ่นถูกๆมาวาง แต่คุณกลับเก็บเหล้าองุ่นที่ดีที่สุดไว้จนถึงตอนนี้”

11 นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ครั้งแรกที่พระเยซูได้ทำ ตอนที่พระองค์อยู่ที่หมู่บ้านคานา ในแคว้นกาลิลี พวกศิษย์ต่างก็พากันไว้วางใจพระองค์เพราะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์

12 หลังจากนั้นพระเยซูไปเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับแม่ น้องๆ และพวกศิษย์ของพระองค์ แต่ก็พักอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วัน

สิ่งที่พระเยซูทำในวิหาร

(มธ. 21:12-13; มก. 11:15-17; ลก. 19:45-46)

13 เมื่อใกล้จะถึงเทศกาลวันปลดปล่อย พระเยซูเดินทางขึ้นไปเมืองเยรูซาเล็ม 14 ในบริเวณวิหารนั้น พระองค์เห็นคนขายวัว แกะ และนกพิราบ สำหรับใช้เป็นเครื่องบูชา และยังเห็นพวกรับแลกเงิน[z] นั่งอยู่ที่โต๊ะของพวกเขาด้วย 15 พระเยซูเอาเชือกมาทำเป็นแส้แล้วหวดไล่คนพวกนั้น รวมทั้งแกะและวัวออกไปจากบริเวณวิหาร พระองค์ยังเทเหรียญและคว่ำโต๊ะของพวกรับแลกเงินด้วย 16 พระองค์บอกพวกคนขายนกพิราบว่า “ขนออกไปให้หมด อย่ามาทำให้บ้านของพระบิดาเรากลายเป็นตลาด”

17 พวกศิษย์นึกขึ้นมาได้ถึงข้อความที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ ว่า

“การที่เราทุ่มเทใจให้กับบ้านของพระเจ้า จะเป็นเหตุทำให้เราถูกทำลาย”[aa]

18 พวกยิวทักท้วงกับพระเยซูว่า “แกมีสิทธิ์อะไรไปทำอย่างนั้น ทำเรื่องอัศจรรย์พิสูจน์ตัวเองสิ”

19 พระเยซูตอบว่า “ทำลายวิหารนี้ลงมาสิ แล้วเราจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ภายในสามวัน”

20 พวกยิวพูดว่า “วิหารนี้กว่าจะสร้างเสร็จต้องใช้เวลาถึงสี่สิบหกปี แล้วแกคิดว่าแกจะสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวันหรือ” 21 แต่วิหารที่พระองค์กำลังพูดถึงนั้น หมายถึงร่างกายของพระองค์เอง 22 เมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว ศิษย์ของพระองค์ถึงนึกขึ้นได้ว่า พระองค์เคยพูดอย่างนี้ พวกเขาก็เลยเชื่อพระคัมภีร์ และเชื่อคำพูดของพระองค์

23 ช่วงที่พระเยซูอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม เป็นช่วงฉลองเทศกาลวันปลดปล่อย พระองค์ได้ทำเรื่องอัศจรรย์มากมาย ทำให้มีคนจำนวนมากมาไว้วางใจพระองค์ 24 แต่พระเยซูก็ไม่ได้ไว้ใจพวกเขา เพราะพระองค์รู้จักมนุษย์ทุกคนดี 25 ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอกพระองค์ว่ามนุษย์เป็นอย่างไรเพราะพระองค์รู้จักความคิดของมนุษย์ดี

พระเยซูกับนิโคเดมัส

มีชายคนหนึ่งเป็นพวกฟาริสี ชื่อนิโคเดมัส เป็นผู้นำชาวยิวคนหนึ่ง เขามาหาพระเยซูตอนกลางคืน และพูดว่า “อาจารย์ครับ พวกเรารู้ว่าพระเจ้าส่งอาจารย์มาสอนพวกเรา เพราะไม่มีใครทำเรื่องอัศจรรย์อย่างที่อาจารย์ทำได้ นอกจากจะมีพระเจ้าอยู่ด้วยเท่านั้น” พระเยซูบอกว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนที่ไม่ได้เกิดใหม่[ab]ก็จะไม่เห็นอาณาจักรของพระเจ้า”

นิโคเดมัสถามพระเยซูว่า “คนแก่แล้วจะเกิดใหม่ได้ยังไงครับ จะให้เข้าไปในท้องแม่เป็นครั้งที่สอง แล้วเกิดออกมาใหม่ได้หรือ”

พระเยซูตอบว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนที่ไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้ พ่อแม่ให้เราเกิดมาเป็นได้แค่ลูกของมนุษย์ แต่พระวิญญาณของพระเจ้าทำให้เราเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ต้องแปลกใจหรอกที่เราบอกว่า ‘พวกคุณจะต้องเกิดใหม่’ ลม[ac] อยากพัดไปทางไหนมันก็พัดไป คุณได้ยินเสียงลม แต่ไม่รู้หรอกว่าพัดมาจากไหนหรือจะพัดไปไหน คนที่เกิดจากพระวิญญาณก็จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน”

นิโคเดมัสถามว่า “มันจะเป็นไปได้ยังไงครับอาจารย์”

10 พระเยซูตอบว่า “คุณเป็นอาจารย์ที่นับหน้าถือตาของคนอิสราเอล แต่ยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้อีกหรือ 11 เราจะบอกให้รู้ว่า พวกเราเล่าเรื่องที่พวกเราได้รู้ได้เห็นมา แต่พวกคุณไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่พวกเราบอก 12 นี่ขนาดเราเล่าเรื่องบนโลกนี้ให้ฟัง พวกคุณยังไม่ยอมเชื่อเราเลย แล้วถ้าเราเล่าเรื่องบนสวรรค์ให้ฟัง คุณจะเชื่อเราหรือ 13 ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ ซึ่งก็คือ บุตรมนุษย์

14 โมเสสเคยยกงูขึ้นในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง[ad] บุตรมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้นเหมือนกัน 15 เพื่อทุกคนที่ไว้วางใจในบุตรมนุษย์นั้นจะได้มีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป”

16 เพราะว่าพระเจ้ารักผูกพันกับมนุษย์ในโลกนี้มาก จนถึงขนาดยอมสละพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระองค์ เพื่อว่าทุกคนที่ไว้วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่สูญสิ้น แต่จะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป 17 พระเจ้าไม่ได้ส่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกนี้ เพื่อตัดสินลงโทษโลกนี้ แต่เพื่อช่วยโลกนี้ให้รอดพ้น 18 คนที่ไว้วางใจพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่คนที่ไม่ไว้วางใจก็ได้ถูกตัดสินลงโทษไปแล้ว เพราะพวกเขาไม่ไว้วางใจพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระเจ้า 19 นี่คือวิธีที่พระเจ้าตัดสินว่าใครผิดหรือใครถูก ความสว่างได้เข้ามาในโลกนี้ แต่คนรักความมืดมากกว่าความสว่างเพราะพวกเขาทำชั่ว 20 ทุกคนที่ทำชั่วก็เกลียดความสว่าง และจะไม่เข้ามาอยู่ในความสว่าง กลัวว่าความสว่างจะเปิดเผยความชั่วที่เขาทำออกมาให้เห็น 21 แต่คนที่ทำดีจะเข้ามาอยู่ในความสว่าง เพื่อว่าความสว่างจะทำให้ทุกคนเห็นว่าที่เขาทำดีได้นั้นเป็นเพราะพึ่งอำนาจของพระเจ้า[ae]

พระเยซูกับยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ

22 หลังจากนั้นพระเยซูและพวกศิษย์ของพระองค์เดินทางไปในเขตแดนของแคว้นยูเดีย พระองค์พักอยู่ที่นั่นกับพวกศิษย์ และทำพิธีจุ่มน้ำให้กับประชาชน 23 ส่วนยอห์นทำพิธีจุ่มน้ำอยู่ที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิม เพราะที่นั่นมีน้ำมาก คนจึงมาให้ยอห์นทำพิธีจุ่มน้ำกัน 24 (เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่ยอห์นจะติดคุก)

25 วันหนึ่งพวกศิษย์ของยอห์นได้เถียงกับชาวยิวคนหนึ่งเรื่องพิธีชำระล้าง 26 พวกเขาจึงพากันมาหายอห์น และบอกกับยอห์นว่า “อาจารย์ครับ คนที่อาจารย์พูดถึงและเคยอยู่กับอาจารย์ที่ฝั่งโน้นของแม่น้ำจอร์แดน กำลังทำพิธีจุ่มน้ำอยู่ และคนก็แห่กันไปหาเขากันหมดแล้ว”

27 ยอห์นตอบว่า “คนเราเป็นได้แค่ที่พระเจ้าให้เป็นเท่านั้น 28 พวกคุณก็เป็นพยานได้ว่าผมบอกว่า ‘ผมไม่ใช่พระคริสต์ แต่ถูกส่งมาล่วงหน้าเพื่อเตรียมทางให้กับพระองค์’”

29 “เจ้าสาวเป็นของเจ้าบ่าว แต่เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนรออยู่ก็ดีใจที่ได้ยินเสียงเจ้าบ่าวมีความสุขกับเจ้าสาว ก็เหมือนกับผมที่ดีใจที่สุดเมื่อได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับพระเยซู 30 พระเยซูต้องยิ่งใหญ่ขึ้น และตัวผมเองต้องด้อยลง”

ผู้ที่ลงมาจากสวรรค์

31 พระองค์ผู้ที่ลงมาจากเบื้องบนนั้นใหญ่เหนือทุกคน คนที่มาจากโลกก็เหมือนกับคนทั่วไปในโลกนี้ที่พูดแต่เรื่องของโลก แต่พระองค์ผู้ลงมาจากสวรรค์นั้นเป็นใหญ่เหนือทุกคน 32 พระองค์เล่าเรื่องที่พระองค์ได้เห็นและได้ยินมา แต่ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่พระองค์บอก 33 ส่วนคนที่เชื่อในสิ่งที่พระองค์บอกนั้นก็แสดงว่าเขาเชื่อว่า พระเจ้าพูดความจริงด้วย 34 เพราะผู้ที่พระเจ้าส่งมานั้นพูดตามที่พระเจ้าพูด เพราะพระเจ้าให้พระองค์มีฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเต็มที่ไม่จำกัดเลย 35 พระบิดารักพระบุตร และให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับพระบุตร 36 คนที่ไว้วางใจพระบุตรนั้นก็มีชีวิตอยู่กับพระเจ้าตลอดไป แต่คนที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระบุตรนั้นก็จะไม่พบกับชีวิตนั้น และยังต้องตกอยู่ภายใต้การลงโทษของพระเจ้า[af]

พระเยซูคุยกับหญิงชาวสะมาเรีย

เมื่อพระเยซูรู้เรื่องที่พวกฟาริสีได้ข่าวว่า พระองค์มีศิษย์มากกว่ายอห์น และทำพิธีจุ่มน้ำให้กับผู้คนอยู่ (ความจริงพระเยซูไม่ได้เป็นคนทำพิธีจุ่มน้ำเอง แต่พวกศิษย์ของพระองค์เป็นคนทำให้) พระเยซูก็เลยออกจากแคว้นยูเดีย กลับไปแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะต้องผ่านแคว้นสะมาเรีย

ในแคว้นสะมาเรีย พระองค์เดินทางมาถึงเมืองสิคาร์ที่อยู่ใกล้ๆกับที่ดินที่ยาโคบได้ยกให้กับโยเซฟลูกชายของเขา[ag] บ่อน้ำของยาโคบตั้งอยู่ที่นั่น พระเยซูนั่งพักเหนื่อยอยู่ข้างๆบ่อน้ำนั้นเพราะเดินทางมาไกล ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน มีหญิงชาวสะมาเรีย คนหนึ่งมาตักน้ำที่บ่อ พระเยซูพูดกับเธอว่า “ขอน้ำดื่มหน่อย” (พระเยซูอยู่คนเดียว เพราะพวกศิษย์ไปหาซื้ออาหารในเมือง)

หญิงชาวสะมาเรียพูดว่า “คุณมาขอน้ำฉันดื่มได้ยังไงกัน คุณเป็นคนยิว ฉันเป็นหญิงสะมาเรีย” (ปกติแล้วคนยิวจะไม่ยุ่งเกี่ยว[ah] กับคนสะมาเรีย)

10 พระเยซูตอบหญิงนั้นว่า “นี่ถ้าคุณรู้ว่าพระเจ้าอยากให้อะไรกับคุณ และรู้ว่าเราที่ขอน้ำคุณดื่มอยู่นี้เป็นใคร คุณก็คงจะขอจากเรา และเราก็จะให้น้ำที่ให้ชีวิต[ai] กับคุณ”

11 หญิงคนนั้นพูดว่า “คุณคะ แล้วคุณจะไปเอาน้ำที่ให้ชีวิตนั้นมาจากไหนล่ะ ในเมื่อถังตักน้ำก็ไม่มี แถมบ่อนี้ก็ลึก 12 คุณคงไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราที่ให้บ่อน้ำนี้มาหรอกนะ ตัวยาโคบเองกับลูกๆและฝูงสัตว์เลี้ยงของเขาก็ดื่มน้ำจากบ่อนี้กันทั้งนั้นแหละ”

13 พระองค์ตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำจากบ่อนี้ก็จะหิวน้ำอีก 14 แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราให้จะไม่หิวน้ำอีกเลย เพราะน้ำที่เราให้เขาดื่มจะกลายเป็นน้ำพุที่ไหลไม่หยุดอยู่ในตัวเขาและนำชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไปมาให้”

15 หญิงคนนั้นจึงพูดว่า “คุณคะ ขอน้ำนั้นให้ฉันดื่มบ้างสิคะ จะได้ไม่หิวน้ำอีกและไม่ต้องกลับมาตักน้ำอีก”

16 พระองค์จึงบอกเธอว่า “ไปเรียกสามีของคุณมาที่นี่หน่อย”

17 เธอตอบว่า “ฉันไม่มีสามีค่ะ” พระองค์บอกว่า “เออ ก็จริงของคุณที่บอกว่าไม่มีสามี 18 เพราะคุณมีสามีมาห้าคนแล้ว และคนที่อยู่ด้วยตอนนี้ก็ไม่ใช่สามีของคุณ มันก็จริงอย่างที่คุณบอก”

19 เธอร้องว่า “คุณคะ ฉันเชื่อแล้วว่าคุณเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า 20 บรรพบุรุษของเราได้กราบไหว้บูชาพระเจ้าที่ภูเขานี้ แต่พวกคุณชาวยิวกลับพูดว่าจะต้องไปกราบไหว้บูชาพระเจ้าที่เมืองเยรูซาเล็มเท่านั้น”

21 พระองค์ตอบว่า “เชื่อเราสิ ใกล้จะถึงเวลาแล้วที่มันจะไม่สำคัญอีกต่อไปว่าจะกราบไหว้บูชาพระเจ้าพระบิดาที่ภูเขานี้หรือที่เมืองเยรูซาเล็ม 22 จริงๆแล้วพวกคุณชาวสะมาเรียไม่รู้จักพระเจ้าที่พวกคุณกราบไหว้บูชาอยู่ แต่พวกเราชาวยิวรู้จักพระเจ้าที่พวกเรากราบไหว้บูชา เพราะพระเจ้าจะช่วยโลกนี้ให้รอดโดยผ่านทางชาวยิว 23 แต่เวลานั้นใกล้จะมาถึงแล้ว และตอนนี้ก็มาถึงแล้ว ที่ผู้คนกราบไหว้บูชาอย่างแท้จริงจะต้องกราบไหว้บูชาพระบิดาด้วยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยความจริง คนอย่างนี้แหละที่พระบิดาตามหาให้มากราบไหว้บูชาพระองค์อยู่ 24 พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ดังนั้นคนที่กราบไหว้บูชาพระองค์จะต้องกราบไหว้บูชาด้วยอำนาจของพระวิญญาณและด้วยความจริง”

25 หญิงคนนั้นจึงพูดว่า “ฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่า ‘พระคริสต์’) กำลังจะมา และเมื่อพระองค์มาแล้ว พระองค์จะอธิบายทุกอย่างให้เรารู้”

26 พระเยซูบอกเธอว่า “เราเองที่กำลังคุยกับคุณอยู่นี่ คือพระเมสสิยาห์”

27 ขณะนั้นพวกศิษย์ของพระองค์กลับมาถึงพอดี พวกเขาแปลกใจที่เห็นพระองค์กำลังพูดคุยอยู่กับผู้หญิง แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามพระองค์ว่า “อาจารย์ต้องการอะไรหรือครับ” หรือ “ไปพูดกับเธอทำไมครับ”

28 ผู้หญิงคนนั้นทิ้งหม้อน้ำเอาไว้ และเข้าไปบอกผู้คนในเมืองว่า 29 “มาดูผู้ชายที่บอกอดีตของฉันได้สิ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นพระเมสสิยาห์ก็ได้” 30 คนก็พากันออกจากเมืองไปหาพระเยซู

31 ขณะนั้น พวกศิษย์กำลังคะยั้นคะยอพระเยซูว่า “อาจารย์ กินอะไรบ้างสิครับ”

32 แต่พระองค์บอกว่า “เรามีอาหารที่พวกคุณไม่รู้จัก”

33 พวกศิษย์ต่างก็ถามกันว่า “คงไม่มีใครแถวนี้เอาอาหารมาให้อาจารย์นะ”

34 พระองค์จึงบอกกับพวกเขาว่า “อาหารของเราคือการทำตามใจพระองค์ผู้ส่งเรามา และทำงานที่พระองค์ให้เราทำให้เสร็จ 35 เมื่อหว่านเมล็ดพืช คุณพูดว่า ‘ต้องคอยอีกสี่เดือนถึงจะเก็บเกี่ยว’ แต่เราบอกให้คุณลืมตาขึ้นมาดูทุ่งนาที่เต็มไปด้วยพืชผล ซึ่งพร้อมแล้วที่จะให้เก็บเกี่ยวเดี๋ยวนี้ 36 ตอนนี้คนเก็บเกี่ยวก็รับค่าจ้างอยู่ และพืชผลที่เก็บรวบรวมมานี้ก็คือคนที่จะได้รับชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไป ดังนั้นทั้งคนปลูกและคนเก็บเกี่ยวก็จะมีความสุขร่วมกัน 37 จะได้เป็นไปตามคำพูดที่ว่า ‘คนหนึ่งปลูก และอีกคนหนึ่งเก็บเกี่ยว’ 38 เราได้ส่งคุณไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่คุณไม่ได้ลงแรงปลูก คนอื่นเป็นคนลงแรงและคุณก็ได้ผลประโยชน์จากน้ำพักน้ำแรงของเขา”

39 จากคำพูดของผู้หญิงคนนั้นที่บอกว่า “ชายที่บอกอดีตของฉันได้” ทำให้ชาวสะมาเรียจำนวนมากในเมืองนั้นมาไว้วางใจในพระองค์ 40 เมื่อชาวสะมาเรียมาหาพระองค์ พวกเขาขอร้องให้พระองค์พักอยู่กับพวกเขา พระองค์จึงพักอยู่ที่นั่นสองวัน 41 คำพูดของพระองค์ ทำให้อีกหลายคนมาไว้วางใจพระองค์

42 ชาวเมืองบอกกับหญิงคนนั้นว่า “ตอนนี้พวกเราได้ไว้วางใจพระเยซู ไม่ใช่เพราะได้ยินจากคุณเท่านั้น แต่เพราะได้ยินกับหูของพวกเราเอง ตอนนี้เรารู้ว่าชายคนนี้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้อย่างแน่นอน”

พระเยซูรักษาลูกชายของข้าราชการ

(มธ. 8:5-13; ลก. 7:1-10)

43 หลังจากนั้นสองวันพระเยซูเดินทางต่อไปที่แคว้นกาลิลี 44 (พระเยซูเคยพูดว่า ผู้พูดแทนพระเจ้าจะไม่ได้รับเกียรติในบ้านเมืองของตน) 45 เมื่อพระองค์มาถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีต้อนรับพระองค์เป็นอย่างดี เพราะพวกเขาเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทำในเทศกาลวันปลดปล่อยที่เมืองเยรูซาเล็ม (พวกเขาได้ไปร่วมงานที่นั่นด้วย)

46 พระเยซูไปหมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่พระองค์เคยเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นเหล้าองุ่นมาก่อน ข้าราชการคนหนึ่งของกษัตริย์อาศัยอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม ลูกชายของเขากำลังป่วยหนัก 47 เมื่อข้าราชการคนนั้นได้ยินว่าพระเยซูเดินทางจากแคว้นยูเดียมาที่แคว้นกาลิลี เขามาขอร้องให้พระเยซูไปรักษาลูกของเขาที่เมืองคาเปอรนาอุม เพราะลูกของเขากำลังจะตาย 48 พระเยซูพูดกับเขาว่า “คนอย่างพวกคุณคงไม่เชื่อเราหรอก นอกจากจะได้เห็นเรื่องอัศจรรย์หรือปาฏิหาริย์เสียก่อน”

49 ข้าราชการคนนั้นบอกพระองค์ว่า “ท่านครับ ช่วยไปก่อนที่ลูกของผมจะตายด้วยเถิด”

50 พระเยซูบอกว่า “กลับบ้านไปเถอะ ลูกคุณหายดีแล้ว” เขาก็เชื่อในคำพูดของพระเยซู แล้วกลับไป 51 ในระหว่างทางนั้นเขาก็ได้พบกับพวกคนใช้ของเขาที่มาส่งข่าวว่าลูกชายของเขาหายเป็นปกติแล้ว

52 เขาถามพวกคนใช้ว่าลูกชายของเขาหายป่วยตอนไหน

พวกคนใช้ตอบว่า “หายไข้เมื่อวานนี้ตอนบ่ายโมงครับ”

53 พ่อของเด็กก็รู้ว่าเป็นเวลาเดียวกับที่พระเยซูพูดว่า “ลูกคุณหายดีแล้ว” ดังนั้นตัวเขาและทุกคนในบ้านเขาได้ไว้วางใจในพระเยซู

54 นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ครั้งที่สองที่พระเยซูทำตั้งแต่ออกจากแคว้นยูเดียมาที่แคว้นกาลิลี

พระเยซูรักษาคนป่วยที่สระน้ำ

หลังจากนั้นก็ถึงช่วงเทศกาลของชาวยิว พระเยซูไปที่เมืองเยรูซาเล็ม ใกล้ๆกับประตูแกะในเมืองเยรูซาเล็ม มีสระน้ำอยู่แห่งหนึ่งชื่อเป็นภาษาอารเมค[aj] ว่า “เบธซาธา”[ak] รอบๆสระน้ำนั้นมีศาลาอยู่ห้าหลัง ภายในศาลามีคนเจ็บป่วยนอนอยู่เต็มไปหมด รวมทั้งคนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต[al] [am] มีชายคนหนึ่งที่ป่วยมานานถึงสามสิบแปดปี เมื่อพระเยซูเห็นเขานอนอยู่ที่นั่น ก็รู้ว่าเขาป่วยมานานแล้ว พระองค์ถามเขาว่า “อยากจะหายไหม”

ชายคนนั้นตอบว่า “ท่านครับ ตอนที่น้ำในสระกระเพื่อมก็ไม่มีใครเอาผมลงไป แต่พอผมจะลงไปคนอื่นก็แย่งลงไปก่อน”

พระเยซูสั่งเขาว่า “ลุกขึ้น เก็บที่นอนแล้วเดินไปสิ” เขาหายทันที เขาเก็บที่นอนแล้วเดินไป

วันนั้นเป็นวันหยุดทางศาสนา 10 พวกชาวยิวพูดกับชายที่หายป่วยว่า “รู้รึเปล่ามันผิดกฎวันหยุดทางศาสนา ที่เที่ยวเดินหอบที่นอนไปไหนมาไหน”

11 ชายคนนั้นตอบว่า “คนที่รักษาผมเป็นคนบอกว่า ‘เก็บที่นอนแล้วเดินไปสิ’”

12 พวกยิวจึงถามเขาว่า “ใครเป็นคนบอกให้เก็บที่นอนแล้วเดิน”

13 แต่ชายคนนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนรักษาเขา เพราะพระเยซูได้หายเข้าไปในฝูงชนที่อยู่ที่นั่นเสียก่อน

14 ต่อมาพระเยซูได้เจอชายคนเดิมนั้นในวิหาร และพูดกับเขาว่า “ตอนนี้คุณหายแล้ว อย่าทำบาปอีกล่ะ จะได้ไม่มีเรื่องเลวร้ายกว่านี้เกิดขึ้นกับคุณอีก”

15 ชายคนนั้นก็จากไป และไปบอกพวกยิวว่า พระเยซูคือผู้ที่รักษาเขาจนหาย

16 พวกยิวจึงเริ่มคิดที่จะทำร้ายพระเยซู เพราะพระองค์ทำสิ่งเหล่านี้ในวันหยุดทางศาสนา

17 พระเยซูบอกพวกยิวว่า “พระบิดาของเราไม่เคยหยุดทำงาน แล้วทำไมเราจะต้องหยุดด้วย” 18 ทำให้พวกยิวยิ่งพยายามมากขึ้นที่จะฆ่าพระองค์ เพราะนอกจากพระองค์จะทำผิดกฎวันหยุดทางศาสนาแล้ว พระองค์ยังเรียกพระเจ้าเป็นพระบิดาของตัวเองอีกด้วย ซึ่งเท่ากับเป็นการทำตัวเสมอกับพระเจ้า

พระเยซูได้รับอำนาจจากพระเจ้า

19 พระเยซูบอกพวกยิวว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า พระบุตรจะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้เลย เขาจะทำได้แต่สิ่งที่เขาเห็นพระบิดาทำเท่านั้น พระบิดาทำอะไร พระบุตรก็จะทำสิ่งนั้นด้วย 20 พระบิดารักพระบุตร และให้พระบุตรเห็นทุกอย่างที่พระองค์ทำ พระบิดาจะแสดงบางสิ่งให้พระบุตรเห็น เป็นสิ่งที่พระองค์จะให้พระบุตรทำ ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าการรักษาชายคนนี้เสียอีก แล้วพวกคุณจะตกตะลึง 21 พระบิดาทำให้คนที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ พระบุตรก็ให้ชีวิตกับใครที่พระองค์อยากช่วยได้เหมือนกัน 22 พระบิดาไม่ได้ตัดสินลงโทษใคร แต่ได้มอบสิทธิอำนาจทั้งหมดในการตัดสินลงโทษให้กับพระบุตร 23 เพื่อทุกคนจะได้ให้เกียรติพระบุตรนั้นเหมือนกับที่พวกเขาให้เกียรติพระบิดา คนที่ไม่ให้เกียรติพระบุตรก็เท่ากับไม่ให้เกียรติพระบิดาผู้ส่งพระบุตรมาด้วย

24 เราจะบอกให้รู้ว่า คนที่ฟังคำพูดเราและไว้วางใจพระองค์ผู้ส่งเรามา ก็มีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป และเขาจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ เขาได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว 25 เราจะบอกให้รู้ว่าเวลานั้นกำลังมา และตอนนี้ก็มาถึงแล้วที่คนตายจะได้ยินเสียงของพระบุตรของพระเจ้า แล้วคนที่เชื่อฟังก็จะมีชีวิต 26 พระบิดามีฤทธิ์อำนาจที่จะให้ชีวิต และพระองค์ทำให้พระบุตรมีฤทธิ์อำนาจที่จะให้ชีวิตเหมือนกัน 27 พระบิดาให้พระบุตรมีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้พิพากษาด้วย เพราะพระบุตรนั้นเป็นบุตรมนุษย์ 28 พวกคุณไม่ต้องแปลกใจในเรื่องนี้หรอก เพราะเวลาที่พวกคนตายทั้งหมดจะได้ยินเสียงบุตรมนุษย์ใกล้จะมาถึงแล้ว 29 แล้วพวกเขาจะออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ คนที่ทำดีก็จะฟื้นขึ้นมามีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป ส่วนคนที่ทำชั่วก็จะฟื้นขึ้นมาเพื่อรับการตัดสินลงโทษ”

ผู้ที่เป็นพยานให้กับพระเยซู

30 “เราทำอะไรเองไม่ได้ เราได้ยินจากพระเจ้ามาอย่างไร เราก็ตัดสินไปอย่างนั้น และคำตัดสินของเรานั้นก็ถูกต้อง เพราะเราไม่อยากตามใจตัวเอง แต่อยากตามใจพระเจ้าที่ส่งเรามา

31 ถ้าเราเป็นพยานให้กับตัวเอง สิ่งที่เราพูดก็เชื่อถือไม่ได้ 32 แต่ยังมีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานให้กับเรา เรารู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับเรานั้นเป็นความจริง”

33 “พวกคุณได้ส่งคนไปถามยอห์นเกี่ยวกับตัวเรา และยอห์นก็ได้บอกความจริงกับพวกเขา 34 เราไม่จำเป็นต้องให้มนุษย์มาเป็นพยานให้กับเราหรอก แต่เราพูดถึงเรื่องนี้เพราะอยากให้คุณเชื่อและรอด 35 ยอห์นเป็นเหมือนตะเกียงที่จุดให้แสงสว่างอยู่ พวกคุณก็มีความสุขกับแสงสว่างนั้นอยู่พักหนึ่ง

36 แต่เรามีพยานที่ยิ่งใหญ่กว่ายอห์นอีก นั่นก็คืองานต่างๆที่เรากำลังทำอยู่นี้ ซึ่งเป็นงานที่พระบิดาให้เราทำให้เสร็จ งานนี้พิสูจน์ว่าพระบิดาส่งเรามา 37 พระบิดาผู้ที่ส่งเรามาเป็นพยานให้เราด้วย พวกคุณไม่เคยได้ยินเสียงของพระองค์ และไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของพระองค์ 38 คำพูดของพระองค์ไม่อยู่ในตัวคุณ เพราะพวกคุณไม่ไว้วางใจผู้ที่พระบิดาส่งมา 39 พวกคุณศึกษาพระคัมภีร์อย่างละเอียด เพราะคิดว่ามันจะให้คุณมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป พระคัมภีร์นั้นได้พูดถึงเรา 40 แต่พวกคุณกลับไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้มีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป

41 เราไม่สนใจคำชมจากมนุษย์ 42 แล้วเราก็รู้ด้วยว่า พวกคุณไม่ได้รักพระเจ้าจริงๆหรอก 43 เรามาพูดแทนพระบิดาผู้ที่ส่งเรามา พวกคุณกลับไม่ยอมรับเรา แต่เวลามีบางคนมาพูดเพื่อตัวเอง พวกคุณกลับยอมรับเขา 44 พวกคุณจะไว้วางใจเราได้อย่างไร ในเมื่อคุณชอบคำชมจากพวกเดียวกัน แต่ไม่อยากได้คำชมจากพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว 45 อย่าคิดว่าเราจะเป็นคนฟ้องคุณต่อหน้าพระบิดา โมเสสคนที่คุณคาดหวังว่าจะช่วยคุณนั่นแหละ จะเป็นคนที่ฟ้องคุณเอง 46 ถ้าคุณเชื่อโมเสสจริงๆคุณก็จะเชื่อเราด้วย เพราะโมเสสได้เขียนถึงเรา 47 ถ้าคุณไม่เชื่อในสิ่งที่โมเสสเขียน แล้วคุณจะเชื่อในสิ่งที่เราพูดได้ยังไง”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International