Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Bible in 90 Days

An intensive Bible reading plan that walks through the entire Bible in 90 days.
Duration: 88 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ฮีบรู 1:1 - ยากอบ 3:12

พระเจ้าพูดผ่านพระบุตรของพระองค์

ในสมัยก่อน พระเจ้าได้พูดกับบรรพบุรุษของเราผ่านทางพวกผู้พูดแทนพระองค์หลายครั้ง ด้วยวิธีการที่หลากหลาย แต่ในยุคสุดท้ายนี้ พระองค์พูดกับเราผ่านทางพระบุตร พระบุตรนั้นเป็นผู้ที่พระองค์แต่งตั้งให้รับทุกสิ่งทุกอย่างเป็นมรดก พระเจ้าสร้างจักรวาลโดยผ่านทางพระบุตรด้วย พระบุตรนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเป็นพิมพ์เดียวกับพระเจ้าทุกอย่าง พระบุตรใช้คำพูดอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ค้ำจุนทุกสิ่งในโลกไว้แล้ว เมื่อพระบุตรได้ล้างบาปให้มนุษย์เสร็จ พระองค์ได้นั่งลงทางขวามือของผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในสวรรค์[a] ดังนั้นพระบุตรจึงยิ่งใหญ่กว่าพวกทูตสวรรค์มากมายนัก เหมือนกับชื่อที่พระองค์ได้รับนั้นก็ยิ่งใหญ่กว่าชื่อของพวกทูตสวรรค์ด้วย

เพราะพระเจ้าไม่เคยพูดกับทูตสวรรค์องค์ไหนเลยว่า

“เจ้าคือลูกของเรา
    วันนี้เราได้เป็นพ่อของเจ้าแล้ว”[b]

และพระเจ้าก็ไม่เคยพูดถึงทูตสวรรค์องค์ไหนด้วยว่า

“เราจะเป็นพ่อของเขา
    และเขาจะเป็นลูกของเรา”[c]

เมื่อพระเจ้านำบุตรหัวปีของพระองค์มาที่โลกนี้ พระองค์พูดว่า

“ขอให้พวกทูตสวรรค์ทั้งหมดของพระเจ้ากราบไหว้เขา”[d]

เมื่อพระเจ้าพูดถึงทูตสวรรค์ พระองค์พูดว่า

“พระเจ้าทำให้พวกทูตสวรรค์ของพระองค์เป็นสายลม[e]
    และทำให้พวกทาสรับใช้ของพระองค์เป็นเปลวไฟ”[f]

แต่พระเจ้าพูดกับพระบุตรว่า

“ข้าแต่พระเจ้า บัลลังก์ของพระองค์ จะอยู่ถาวรตลอดไป
    และพระองค์จะปกครองอาณาจักรของพระองค์อย่างยุติธรรม
พระองค์รักความถูกต้องและเกลียดความชั่ว
    นั่นเป็นเหตุที่เรา พระเจ้าของลูก[g] ได้เจิมลูกด้วยการเทน้ำมันบนหัว
เพื่อลูกจะมีเกียรติและมีความยินดีมากกว่าเพื่อนๆของลูก”[h]

10 พระเจ้ายังพูดอีกว่า

“ข้าแต่องค์เจ้าชีวิต ในตอนเริ่มต้นนั้น
พระองค์วางรากฐานของแผ่นดินโลกนี้
    และพระองค์สร้างฟ้าสวรรค์ด้วยมือของพระองค์เอง
11 สิ่งเหล่านี้จะสูญสลายไป แต่พระองค์จะยังคงอยู่
    สิ่งเหล่านี้จะเปื่อยไปเหมือนเสื้อผ้า
12 พระองค์จะม้วนสิ่งเหล่านี้เก็บเหมือนกับเสื้อคลุม
    สิ่งเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนไปเหมือนกับเปลี่ยนเสื้อผ้า
แต่พระองค์จะยังคงเหมือนเดิม
    และวันเวลาของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุด”[i]

13 พระเจ้าไม่เคยพูดกับทูตสวรรค์องค์ไหนด้วยว่า

“นั่งลงทางขวามือของเราสิ
    จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นที่วางเท้าสำหรับเจ้า”[j]

14 ทูตสวรรค์พวกนี้ เป็นวิญญาณที่รับใช้พระเจ้า ที่พระองค์ส่งไปช่วยคนที่กำลังจะได้รับความรอด ไม่ใช่หรือ

ความรอดอันยิ่งใหญ่ของเรา

นั่นเป็นเหตุที่เราจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษกับความจริงที่เราได้ยินมา ไม่อย่างนั้นเราจะค่อยๆห่างเหินไป เพราะถ้าข้อความที่พระเจ้าพูดผ่านทูตสวรรค์ ยังมีผลบังคับในตอนนั้น จนทุกคนที่ฝ่าฝืนมันหรือไม่เชื่อฟัง ได้รับโทษที่สาสม แล้วเราล่ะจะพ้นโทษได้หรือ ถ้าหากเราไม่สนใจในความรอดอันยิ่งใหญ่นี้ ความรอดนี้องค์เจ้าชีวิตได้มาประกาศในตอนแรกๆ แล้วคนพวกแรกนั้นที่ฟังพระองค์ก็มายืนยันเรื่องความรอดนี้ให้กับเรา พระเจ้ามายืนยันเรื่องความรอดนี้ให้กับเราด้วย คือพระองค์ได้ใช้หมายสำคัญ การอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ต่างๆ และพรสวรรค์ที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระองค์แจกจ่ายไปตามที่ใจของพระองค์ต้องการ

พระเยซูถูกทดลองเหมือนพี่น้องของพระองค์

โลกใหม่ที่เรากำลังพูดถึงนี้ พระเจ้าไม่ได้มอบให้อยู่ใต้อำนาจของพวกทูตสวรรค์ แต่มีคนเขียนไว้ในพระคัมภีร์แห่งหนึ่งว่า

“มนุษย์เป็นใครกันพระองค์ถึงได้ห่วงใย
    หรือบุตรมนุษย์[k]เป็นใครกันพระองค์ถึงเอาใจใส่นัก
พระองค์ทำให้เขาต่ำกว่าพวกทูตสวรรค์แค่ชั่วคราว
    แล้วพระองค์มอบสง่าราศีและเกียรติยศให้กับเขาเป็นรางวัล
และวางทุกสิ่งไว้ใต้เท้าของเขา”[l]

เมื่อพระเจ้าวางทุกสิ่งไว้ใต้เท้าเขา แสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ใต้อำนาจของเขา แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้เห็นทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของเขา แต่ก่อนพระเจ้าทำให้พระเยซูอยู่ต่ำกว่าพวกทูตสวรรค์แค่ชั่วคราว แต่ตอนนี้เราเห็นพระเยซูได้รับสง่าราศีและเกียรติยศเป็นรางวัลแล้ว เพราะพระองค์ทนทุกข์ทรมานจนตาย พระเจ้ามีเมตตากรุณาต่อเรา พระเยซูถึงมาลิ้มรสความตายเพื่อประโยชน์ให้กับมนุษย์ทุกคน

10 พระเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นมาเพื่อพระองค์ พระเจ้าอยากให้พระเยซูที่เป็นลูกของพระองค์นำพวกลูกชายลูกสาวอีกมากมายเข้ามามีส่วนร่วมในสง่าราศีของพระองค์ อย่างนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว ที่พระเจ้าให้พระเยซูมาทนทุกข์ทรมาน เพื่อพระเยซูจะได้สมบูรณ์แบบครบถ้วน แล้วนำคนมาถึงความรอด 11 ทั้งพระเยซูผู้ที่ทำให้คนอื่นบริสุทธิ์ และคนที่พระองค์ทำให้บริสุทธิ์ด้วย ต่างมาจากครอบครัวเดียวกัน พระเยซูเลยไม่อายที่จะเรียกพวกเขาว่าเป็นพี่น้องของพระองค์ 12 พระองค์พูดว่า

“เราจะประกาศชื่อของพระองค์ให้กับพี่น้องของเรา
    เราจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ต่อหน้าหมู่ประชุม”[m]

13 พระองค์พูดอีกว่า

“เราจะไว้วางใจในพระองค์”[n]

และยังพูดอีกว่า

“เราอยู่ที่นี่พร้อมๆกับลูกๆที่พระเจ้าให้กับเรา”[o]

14 เพราะพวกลูกๆนั้นเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ พระเยซูก็เลยมาเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเหมือนกัน พระองค์ทำอย่างนี้เพื่อจะได้ตายและทำลายมารที่มีอำนาจทำให้คนตายได้ 15 คนพวกนี้กลัวตาย เลยตกเป็นทาสของความกลัว พระเยซูมาตายเพื่อปลดปล่อยคนพวกนี้ให้เป็นอิสระ 16 แน่นอนพระเยซูไม่ได้มาช่วยพวกทูตสวรรค์ แต่มาช่วยลูกหลานของอับราฮัม 17 เพราะอย่างนี้ พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง เพื่อพระองค์จะได้เป็นหัวหน้านักบวชสูงสุด ที่มีความเมตตาและซื่อสัตย์ในการรับใช้พระเจ้า และเพื่อจะจัดการกับความบาปของประชาชนได้ด้วย 18 เดี๋ยวนี้ พระองค์สามารถช่วยคนที่ถูกทดลองได้แล้ว เพราะพระองค์เองได้รับความทรมานและถูกทดลองมาก่อน

พระเยซูนั้นยิ่งใหญ่กว่าโมเสส

ดังนั้น พี่น้องผู้เป็นคนของพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้าเรียกมา ขอให้มีใจจดจ่ออยู่กับพระเยซูผู้ที่เรายอมรับกัน พระองค์เป็นทั้งทูตพิเศษจากพระเจ้า และเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุดด้วย พระองค์ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าผู้ที่ได้แต่งตั้งพระองค์ เหมือนกับที่โมเสสซื่อสัตย์เมื่อรับใช้อยู่ในบ้านเรือนของพระเจ้า จะเห็นว่าพระเยซูนั้นสมควรที่จะได้รับเกียรติมากกว่าโมเสสเสียอีก เหมือนกับคนที่สร้างบ้านได้รับเกียรติมากกว่าตัวบ้านเอง แน่นอน บ้านทุกหลังจะต้องมีคนสร้าง แต่พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง

โมเสสนั้นซื่อสัตย์ในหน้าที่ทุกอย่าง ในฐานะคนรับใช้ในครัวเรือนของพระเจ้า และเขามีหน้าที่บอกให้คนรู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าจะเปิดเผยในอนาคต แต่พระคริสต์นั้นซื่อสัตย์ในฐานะที่เป็นบุตรที่อยู่เหนือครัวเรือนของพระเจ้า แล้วเรานั่นแหละคือครัวเรือนของพระองค์ ถ้าหากเรายังยึดมั่นในความกล้าหาญและในความภาคภูมิใจของเราที่เกิดจากความหวังที่เรามีอยู่นั้น

ให้เราติดตามพระเจ้าต่อไป

อย่างนั้นตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ พูดว่า

“วันนี้ ถ้าพวกเจ้าได้ยินเสียงของพระเจ้า
ก็อย่ามีใจดื้อรั้น เหมือนกับตอนนั้นที่เจ้ากบฏต่อพระเจ้า
    ในวันนั้นที่เจ้าได้ลองดีกับพระเจ้า ในที่เปล่าเปลี่ยว”

พระเจ้าพูดว่า

“บรรพบุรุษของพวกเจ้าได้ลองดีและท้าทายเราในที่เปล่าเปลี่ยวนั้น
    ทั้งๆที่พวกเขาได้เห็นเราทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ตลอดสี่สิบปี
10 นั่นเป็นเหตุที่เราโกรธคนรุ่นนั้น และเราพูดว่า
    ‘ใจของเขาหลงผิดเสมอ คนพวกนี้ไม่เคยเข้าใจวิถีทางของเรา’
11 ดังนั้น ตอนที่เราโกรธ เราได้สาบานว่า
    ‘พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าไปหยุดพักผ่อน[p]กับเรา’”[q]

12 พี่น้องครับ ระวังให้ดี อย่าให้ใครสักคนในหมู่พวกคุณมีใจที่ชั่วและไม่วางใจพระเจ้า เพราะใจอย่างนี้จะทำให้คุณหันไปจากพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ 13 แต่ให้กำลังใจกันและกันทุกๆวัน ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ใน “วันนี้”[r] เพื่อบาปจะไม่หลอกใจพวกคุณให้แข็งกระด้างไป 14 เพราะเราทุกคนมีส่วนร่วมในพระคริสต์ ถ้าเรายังยึดความมั่นใจที่เรามีตั้งแต่แรกนั้นจนถึงที่สุด 15 เหมือนกับที่พระคัมภีร์ พูดไว้ว่า

“วันนี้ ถ้าเจ้าได้ยินเสียงของพระเจ้า
    ก็อย่ามีใจดื้อรั้น เหมือนตอนนั้นที่เจ้ากบฏต่อพระเจ้า”[s]

16 ใครกันที่ได้ยินเสียงพระเจ้า แล้วยังกล้ากบฏอีก ก็พวกนั้นทุกคนที่โมเสสพาออกมาจากประเทศอียิปต์ ไม่ใช่หรือ 17 แล้วใครกันที่พระเจ้าโกรธตลอดสี่สิบปี ก็คนบาปพวกนั้นที่ล้มตายลงในที่เปล่าเปลี่ยว ไม่ใช่หรือ 18 แล้วใครกันที่พระเจ้าสาบานว่าจะไม่มีวันได้เข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระองค์ ก็พวกที่ไม่ยอมเชื่อฟังนั้น ไม่ใช่หรือ 19 เราเห็นว่า ที่พวกนั้นเข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระเจ้าไม่ได้ ก็เพราะพวกเขาไม่ไว้วางใจนั่นเอง

คำสัญญาที่พระเจ้าจะให้เราเข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระองค์นั้น ยังไม่ได้ถูกยกเลิก ถ้าอย่างนั้นให้ระวังตัวให้ดี เพื่อจะได้ไม่มีใครในหมู่พวกคุณพลาดโอกาสนั้นไป ทั้งเราและคนอิสราเอลก็ได้ยินข่าวดีเหมือนกัน แต่ข่าวดีนั้นไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกเขา เพราะคนที่ได้ยินก็ไม่ได้ไว้วางใจในพระเจ้า แต่พวกเราที่ไว้วางใจแล้ว กำลังเข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระเจ้า ส่วนคนที่ไม่ได้ไว้วางใจจะเป็นเหมือนกับที่พระเจ้าได้พูดไว้ว่า

“ตอนที่เราโกรธ เราได้สาบานว่า
    ‘พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าไปหยุดพักผ่อนกับเรา’”[t]

ถึงแม้พระเจ้าได้หยุดพักผ่อนจากการงานของพระองค์แล้วตั้งแต่ตอนที่พระองค์สร้างโลกเสร็จ เพราะมีข้อหนึ่งในพระคัมภีร์ที่พระองค์ได้พูดถึงวันที่เจ็ดว่า “แล้วในวันที่เจ็ด พระเจ้าหยุดพักจากการงานทั้งหมดของพระองค์”[u] แต่ในข้อข้างบนที่เราอ้างไปแล้วนั้น พระองค์พูดว่า “พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าไปหยุดพักผ่อนกับเรา”

เนื่องจากคำสัญญาที่พระเจ้าบอกว่าจะให้คนของพระองค์หยุดพักผ่อน ยังไม่ได้เกิดขึ้นในตอนนั้น เพราะคนที่ได้รับข่าวดีก่อนหน้านี้ ไม่ได้เชื่อฟังจึงไม่ได้เข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระองค์ พระเจ้าจึงกำหนดอีกวันหนึ่งที่จะให้คนเข้าไปหยุดพักผ่อน แล้วพระองค์เรียกมันว่า “วันนี้” อีกหลายปีต่อมา พระองค์ก็พูดถึง “วันนี้” ผ่านดาวิด ตามที่ได้ยกมาข้างบนนี้แล้วว่า

“วันนี้ ถ้าเจ้าได้ยินเสียงพระเจ้า ก็อย่ามีใจดื้อรั้น”[v]

เรารู้ว่าโยชูวา[w]ไม่ได้นำพวกอิสราเอลเข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระองค์หรอก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น พระองค์คงไม่พูดถึงวันหยุดพักผ่อนอื่นอีกหลังจากนั้น แสดงว่ายังมีวันหยุดพักผ่อนพิเศษ[x]นั้น รอคนของพระเจ้าอยู่ 10 เพราะคนที่เข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระเจ้านั้น จะหยุดพักผ่อนจากการงานของตน เหมือนกับที่พระเจ้าได้หยุดพักผ่อนจากการงานของพระองค์ 11 ดังนั้น ขอให้เราทุกคนพยายามทุกวิถีทางที่จะได้เข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระองค์ จะได้ไม่มีใครถูกทำลาย เพราะไปทำตามตัวอย่างของชาวอิสราเอลพวกนั้นที่ไม่ยอมเชื่อฟัง

12 ถ้อยคำของพระเจ้า[y]นั้นมีชีวิต และเกิดผลมาก คมยิ่งกว่าดาบสองคมทุกชนิด มันแทงทะลุจิตและวิญญาณ ตลอดจนถึงข้อต่อและไขกระดูก มันสามารถแยกแยะแม้แต่ความนึกคิดต่างๆและเจตนาทั้งหลายในใจ 13 ทุกอย่างที่พระองค์สร้างขึ้นมา ไม่มีอะไรที่หลบซ่อนไปจากสายตาของพระองค์ได้ ทุกอย่างถูกเปิดโปงและตีแผ่ต่อสายตาของพระองค์ ผู้ที่เราจะต้องรายงานตัวด้วย

พระเยซูเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุดของเรา

14 เรามีหัวหน้านักบวชสูงสุดที่ยิ่งใหญ่คือพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่ได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์แล้ว ดังนั้น ขอให้เรายึดมั่นในความเชื่อที่เราได้ยอมรับไว้แล้ว 15 เพราะหัวหน้านักบวชสูงสุดของเราคนนี้เข้าใจและเห็นใจในจุดอ่อนทั้งหลายของเรา เพราะพระองค์ก็เคยถูกทดลองเหมือนกับเราทุกอย่าง แต่ไม่ได้ทำบาปเลย 16 ดังนั้นขอให้เราทุกคนเข้ามายืนด้วยความมั่นใจต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้าผู้มีความเมตตากรุณา เพื่อเราจะได้รับความปรานี และพบกับความเมตตากรุณาที่พระเจ้าจะช่วยเราในเวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือ

หัวหน้านักบวชสูงสุดแต่ละคน ก็เป็นคนเหมือนกับเรานี่แหละ แต่พวกเขาได้รับคัดเลือกมาเป็นตัวแทนของเราต่อหน้าพระเจ้า คือนำของขวัญและถวายเครื่องบูชาจัดการกับบาป มาให้พระเจ้า เขาสามารถเห็นอกเห็นใจและช่วยคนที่ไม่รู้เรื่องและคนที่หลงผิด เพราะเขาเองมีจุดอ่อนเหมือนกัน แล้วเป็นเพราะจุดอ่อนของเขา เขาถึงต้องถวายเครื่องบูชาจัดการกับบาปของตัวเองก่อน แล้วค่อยทำให้กับประชาชนทีหลัง

เรื่องตำแหน่งที่มีเกียรตินี้ ไม่ใช่ใครอยากจะชิงเอาเพื่อได้หน้าก็ทำได้ แต่ต้องเป็นพระเจ้าเองที่เรียกผู้นั้น เหมือนกับที่พระองค์เคยเรียกอาโรน พระคริสต์ไม่ได้ตั้งตัวเองเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุด พระองค์ไม่ได้หาเกียรติให้กับตัวเอง แต่พระเจ้าได้พูดกับพระองค์ว่า

“เจ้าเป็นลูกของเรา
    วันนี้เราได้เป็นพ่อของเจ้าแล้ว”[z]

พระเจ้าได้พูดไว้ในพระคัมภีร์ อีกตอนหนึ่งว่า

“เจ้าเป็นนักบวชตลอดไป เหมือนกับเมลคีเซเดค”[aa]

ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลกนี้ พระองค์อธิษฐานและอ้อนวอนเสียงดังและด้วยน้ำตา ถึงพระเจ้าผู้ที่สามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ แล้วพระเจ้าก็รับฟัง เพราะพระเยซูเคารพและยำเกรงพระองค์ ถึงแม้พระองค์จะเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง แต่พระองค์ก็ยอมทนทุกข์ยาก เพื่อจะได้เรียนรู้ถึงความหมายของคำว่าเชื่อฟัง หลังจากที่พระเจ้าทำให้พระเยซูสมบูรณ์แบบแล้ว พระเยซูก็กลายเป็นแหล่งของความรอดที่จะได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไป สำหรับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์ 10 พระเจ้าได้ประกาศแต่งตั้งให้พระองค์เป็นหัวหน้านักบวชสูงสุดเหมือนกับเมลคีเซเดค

การเตือนไม่ให้หลงผิดไป

11 เรายังมีอีกหลายอย่างที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มันยากที่จะอธิบายให้เข้าใจเพราะพวกคุณหัวทึบไปซะแล้ว 12 อันที่จริง ตอนนี้พวกคุณน่าจะเป็นครูกันแล้ว แต่กลับต้องการให้คนมาสอนถึงบทเรียนเบื้องต้นเกี่ยวกับคำสอนของพระเจ้าอีก คุณยังต้องดื่มนมแทนที่จะกินอาหารแข็ง 13 คนที่ยังดื่มนมก็ยังเป็นเด็กทารกอยู่ และยังไม่คุ้นเคยกับคำสอนที่เกี่ยวกับชีวิตที่พระเจ้าชอบใจ 14 แต่ตรงกันข้าม อาหารแข็งนั้นมีไว้สำหรับผู้ใหญ่ที่ได้รับการฝึกฝนจิตใจมาแล้ว ทำให้รู้จักแยกแยะว่าอะไรดีอะไรชั่ว

ถ้าอย่างนั้น ให้เรามุ่งหน้าต่อไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ อย่าได้วนเวียนอยู่อีกเลยกับคำสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์ อย่าให้เราต้องวางพื้นฐานกันใหม่อีกเลย คือเรื่องการกลับตัวกลับใจจากการกระทำที่นำไปสู่ความตาย และเรื่องการไว้วางใจพระเจ้า อย่าให้เราต้องสอนกันใหม่เลยในเรื่องพิธีจุ่มน้ำ เรื่องพิธีวางมือ[ab] เรื่องการฟื้นขึ้นจากความตาย และเรื่องการถูกตัดสินลงโทษถาวรตลอดไป ถ้าพระเจ้าอนุญาต เราก็จะมุ่งหน้าต่อไป

บางคนเคยอยู่ในความสว่างของพระเจ้า เคยลิ้มรสของขวัญจากสวรรค์ เคยมีส่วนร่วมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เคยได้ลิ้มรสคำพูดที่ดีของพระเจ้า และฤทธิ์อำนาจของยุคที่กำลังจะมา แต่ก็ได้ทิ้งพระคริสต์ไป เป็นไปไม่ได้ที่จะนำคนอย่างนี้กลับมาหาพระเจ้าได้อีก เพราะพวกเขากำลังตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนอีกครั้งหนึ่ง ทำให้พระองค์ต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าทุกคน

ผืนดินที่ดูดซึมน้ำฝนที่ตกลงมา แล้วเกิดพืชผลที่ให้ประโยชน์แก่ผู้ปลูก ก็จะได้รับพระพรจากพระเจ้า แต่ผืนดินที่เกิดต้นหนามใหญ่น้อย ก็ไร้ค่าและดีไม่ดีจะโดนสาปแช่ง ในที่สุดก็จะเอาไปเผาไฟเสีย

เพื่อนที่รัก ถึงเราจะพูดอย่างนี้ เรายังมั่นใจว่าคุณจะเกิดผลดีและจะรอด 10 เพราะพระเจ้านั้นยุติธรรม พระองค์จะไม่ลืมการงานที่พวกคุณได้ทำและความรักที่คุณมีต่อพระองค์ คือที่พวกคุณได้ช่วยเหลือคนที่เป็นของพระเจ้าจนถึงเดี๋ยวนี้ 11 แต่เราอยากให้คุณแต่ละคนเอาจริงเอาจังอย่างนี้ต่อไปตลอดชีวิต เพื่อจะได้รับสิ่งที่หวังไว้อย่างแน่นอน 12 เราไม่อยากให้พวกคุณขี้เกียจ แต่ให้เอาอย่างคนพวกนั้นที่ไว้วางใจและอดทน จนกว่าจะได้รับสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้เป็นมรดก

13 ตอนที่พระเจ้าทำสัญญากับอับราฮัมนั้น พระองค์สาบานโดยอ้างถึงตัวเองเพราะไม่มีใครที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าพระองค์อีกแล้ว 14 พระองค์พูดว่า “เราจะอวยพรเจ้าและจะให้ลูกหลานของเจ้าทวีคูณมากยิ่งขึ้น”[ac] 15 อับราฮัมก็ได้รับตามที่พระเจ้าสัญญาไว้ หลังจากที่เขารอคอยด้วยความอดทน

16 เมื่อคนเราจะสาบานกัน ก็จะอ้างถึงผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าตน เพราะคำสาบานทำให้คำพูดของเขาน่าเชื่อถือและจะหยุดการโต้เถียงทุกอย่างลง 17 พระเจ้าก็ได้สาบานเหมือนกัน เป็นการรับรองคำสัญญาของพระองค์ เพื่อทายาทของคำสัญญาจะได้แน่ใจว่าพระองค์จะไม่มีวันเปลี่ยนใจอย่างเด็ดขาด 18 ดังนั้นพระเจ้าได้ให้เราทั้งคำสัญญาและคำสาบาน ทั้งสองอย่างนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะพูดโกหก ดังนั้น เราที่ได้หนีมาพึ่งความหวังที่พระองค์ยื่นให้นั้น จะได้มีกำลังใจอย่างมากมาย 19 ความหวังของเรานี้เป็นเหมือนสมอเรือที่มั่นคงและติดแน่น ความหวังนี้ได้นำเราผ่านเข้าไปหลังม่านสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสวรรค์ 20 พระเยซูได้เข้าไปในนั้นก่อนแล้วเพื่อเรา พระองค์จึงเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุดตลอดไป เหมือนกับเมลคีเซเดค

นักบวชเมลคีเซเดค

เมลคีเซเดคคนนี้เป็นกษัตริย์เมืองซาเล็ม เป็นนักบวชของพระเจ้าสูงสุด ท่านได้พบกับอับราฮัม ในขณะที่อับราฮัมกลับมาหลังจากที่ได้รบชนะกษัตริย์ต่างๆ แล้วท่านได้อวยพรให้อับราฮัม อับราฮัมแบ่งของที่ยึดมาได้ให้กับเมลคีเซเดคไปหนึ่งในสิบ ชื่อของเมลคีเซเดค หมายถึง “กษัตริย์ที่ทำตามใจพระเจ้า” และท่านเป็นกษัตริย์ของเมืองซาเล็มด้วย ซึ่งหมายถึง “กษัตริย์แห่งสันติสุข” ไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่และตระกูลของท่าน[ad] ชีวิตของท่านไม่มีวันเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ เมลคีเซเดคจึงเหมือนกับพระบุตรของพระเจ้า ตรงที่ว่าเป็นนักบวชตลอดไป

ดูสิว่าท่านยิ่งใหญ่ขนาดไหน แม้แต่อับราฮัมผู้เป็นต้นตระกูลของเรา ยังได้แบ่งของที่ยึดมาได้ให้กับท่านไปหนึ่งในสิบเลย พวกนักบวชที่มาจากเผ่าเลวี[ae]นั้น กฎของโมเสสสั่งให้เขาเก็บส่วนแบ่งหนึ่งในสิบจากประชาชน ซึ่งก็คือพี่น้องของเขานั่นเอง ทั้งๆที่พวกเขาทั้งหมดสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม แต่เมลคีเซเดคไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากเผ่าเลวี แต่ก็ยังได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในสิบจากอับราฮัม และท่านยังได้อวยพรให้กับอับราฮัมคนที่ได้รับคำสัญญาจากพระเจ้า ซึ่งเรารู้ว่า ผู้ใหญ่จะเป็นคนที่อวยพรให้กับผู้น้อย ในกรณีของนักบวชชาวเลวีที่ได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในสิบนั้น เป็นแค่คนธรรมดาที่ต้องตาย แต่ในกรณีของเมลคีเซเดคที่ได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในสิบนั้น คือคนที่พระคัมภีร์ได้พูดไว้ว่า จะยังคงมีชีวิตอยู่[af]ต่อไป อาจจะพูดได้ว่าเลวีคนที่ได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในสิบนั้น จริงๆแล้วได้ให้ส่วนแบ่งหนึ่งในสิบกับเมลคีเซเดคด้วยโดยผ่านทางอับราฮัม 10 ถึงแม้ตอนที่เมลคีเซเดคพบกับอับราฮัมนั้น เลวียังไม่เกิดเลยแต่ก็อยู่ในสายเลือดของอับราฮัมบรรพบุรุษของเขา

11 ชาวอิสราเอลได้รับกฎของโมเสส ซึ่งกฎนั้นขึ้นอยู่กับระบอบนักบวชของเลวี แต่ระบอบนี้ไม่สามารถทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบนั้นได้ เพราะถ้ามันทำได้ ทำไมยังต้องมีนักบวชอีกคนหนึ่งมา ซึ่งเป็นไปตามแบบของเมลคีเซเดค ไม่ใช่ตามแบบของอาโรน 12 เมื่อเปลี่ยนระบอบนักบวชไป กฎก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นด้วย 13 เราเห็นได้ว่าระบอบนั้นเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพราะพระเยซูคนที่เราพูดถึงนี้ มาจากอีกเผ่าหนึ่งที่ไม่ใช่เผ่าเลวี และยังไม่มีใครเลยในเผ่าของพระเยซู ที่เคยเป็นนักบวชคอยรับใช้อยู่ที่หน้าแท่นบูชา 14 มันก็เห็นชัดว่า องค์เจ้าชีวิตของเราสืบเชื้อสายมาจากเผ่ายูดาห์ และโมเสสก็ไม่เคยพูดว่าจะมีนักบวชมาจากเผ่านี้เลย

พระเยซูเป็นนักบวชเหมือนเมลคีเซเดค

15 การเปลี่ยนแปลงนี้ยิ่งเห็นชัดมากขึ้น เมื่อมีนักบวชคนหนึ่งเกิดขึ้นตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค 16 ซึ่งคนนี้ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักบวชตามกฎ คือกฎที่จะต้องสืบเชื้อสายมาจากเผ่าเลวี แต่เป็นเพราะฤทธิ์อำนาจของชีวิตที่ไม่สามารถทำลายได้ 17 เหมือนกับที่ในพระคัมภีร์ได้พูดถึงคนนี้ว่า “เจ้าเป็นนักบวชตลอดไป ตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค”[ag]

18 ข้อบังคับอันเก่า ตอนนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว เนื่องจากมันอ่อนแอและไร้ประโยชน์ 19 อันที่จริงแล้วกฎของโมเสสไม่ได้ทำให้อะไรสมบูรณ์แบบได้เลย แต่ตอนนี้เราได้รับความหวังที่หวังในสิ่งที่ดีกว่า เพราะความหวังนี้เราจึงเข้าใกล้พระเจ้าได้

20 ที่สำคัญคือว่า พระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูให้เป็นหัวหน้านักบวชสูงสุดตามคำสาบานของพระองค์ ในขณะที่คนอื่นๆได้เป็นนักบวชนั้น โดยไม่มีคำสาบาน 21 แต่พระเยซูได้เป็นหัวหน้านักบวช เมื่อพระเจ้าสาบานกับพระเยซูว่า

“องค์เจ้าชีวิตได้สาบานไว้แล้ว
    และจะไม่มีวันเปลี่ยนใจเลย
‘พระองค์เป็นนักบวชตลอดไป’”[ah]

22 คำสาบานนี้หมายความว่า พระเยซูเป็นผู้ประกันว่าสัญญา[ai]อันใหม่นี้ดีกว่าสัญญาอันเก่า

23 เหตุที่มีหัวหน้านักบวชหลายคน ก็เพราะพวกเขาต้องตายไป แล้วทำหน้าที่ต่อไม่ได้ 24 แต่พระเยซูนั้นมีชีวิตตลอดไปจึงทำหน้าที่หัวหน้านักบวชได้ตลอดไป 25 ดังนั้น ทุกๆคนที่มาหาพระเจ้า โดยผ่านทางพระเยซู พระองค์สามารถที่จะช่วยชีวิตของเขาได้ครบถ้วน[aj] เพราะพระองค์อยู่เสมอที่จะขอความเมตตาให้กับพวกเขา

26 เราต้องการหัวหน้านักบวชสูงสุดอย่างพระเยซูนี่แหละ เพราะพระองค์เป็นที่พอใจของพระเจ้า ไม่มีที่ติ ไม่มีจุดด่างพร้อย แยกจากคนบาปทั้งหลาย และได้รับการยกขึ้นอยู่เหนือฟ้าสวรรค์ 27 พระองค์ไม่ต้องถวายเครื่องบูชาทุกวัน เหมือนกับพวกหัวหน้านักบวชอื่นๆทำ คืออย่างแรกพวกนั้นต้องถวายเครื่องบูชาจัดการกับบาปของตัวเองก่อน แล้วถึงค่อยทำให้กับประชาชน แต่พระเยซูถวายเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวสำหรับทุกๆคน พระเยซูทำอย่างนี้ตอนที่พระองค์ถวายชีวิตของพระองค์เอง 28 จริงๆแล้วกฎของโมเสสได้แต่งตั้งมนุษย์ที่มีความอ่อนแอ ให้มาเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุด แต่คำสาบานที่มาภายหลังกฎของโมเสสนั้น ได้แต่งตั้งพระบุตรผู้ที่พระเจ้าได้ทำให้สมบูรณ์แบบทุกอย่างตลอดไป

พระเยซูเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุดตลอดไป

ประเด็นที่เรากำลังพูดถึงคือ เรามีหัวหน้านักบวชสูงสุดอย่างนี้ ผู้ที่นั่งอยู่ทางขวาของบัลลังก์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในสวรรค์ หัวหน้านักบวชสูงสุดนี้ ทำหน้าที่รับใช้อยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือในเต็นท์[ak]ที่แท้จริง ที่มนุษย์ไม่ได้ตั้งขึ้นแต่องค์เจ้าชีวิตตั้งขึ้นเอง

หัวหน้านักบวชสูงสุดทุกคนได้รับการแต่งตั้งให้เอาของขวัญและเครื่องบูชามาถวาย ดังนั้นจึงจำเป็นที่หัวหน้านักบวชสูงสุดของเราคนนี้ จะต้องมีของที่จะเอามาถวายด้วย ถ้าพระองค์อยู่ในโลก พระองค์คงไม่ได้เป็นนักบวชหรอก เพราะนักบวชที่คอยถวายของขวัญตามกฎของโมเสสมีอยู่แล้ว แต่พวกเขาทำงานรับใช้ในที่ที่เป็นแค่สิ่งที่เลียนแบบ และเป็นเงาของสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ เหมือนกับเมื่อโมเสสกำลังจะตั้งเต็นท์ พระเจ้าได้เตือนว่า “ระวังให้ดี ให้ทำทุกอย่างตามแบบที่ได้แสดงให้เจ้าดูบนภูเขา[al]นั้น” แต่งานในหน้าที่ของนักบวชที่พระเยซูได้รับนั้น ยิ่งใหญ่กว่างานของนักบวชพวกนั้นมากนัก เช่นเดียวกับคำสัญญาของพระเจ้าที่พระเยซูได้เป็นคนกลางนำมานั้น ก็ดีกว่าคำสัญญาเดิมมากนัก เพราะพระเจ้าได้ตั้งคำสัญญาใหม่นี้ไว้บนคำสัญญาที่ชี้ถึงสิ่งที่ดีกว่า

ถ้าหากคำสัญญาเดิมนั้นไม่บกพร่องแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องหาคำสัญญาอันที่สองมาแทน แต่พระเจ้าติเตียนประชาชนชาวอิสราเอลว่า

“องค์เจ้าชีวิตพูดว่า ‘เวลาที่เราจะทำสัญญาใหม่
    กับชาวอิสราเอลและชาวยูดาห์กำลังจะมาถึงแล้ว
ซึ่งจะไม่เหมือนกับคำสัญญา ที่เราเคยทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา
    ตอนที่เราจูงมือพวกเขาออกมาจากประเทศอียิปต์
เพราะพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อคำสัญญาของเราอีกต่อไป
    เราจึงหันหลังไม่สนใจพวกเขา’ องค์เจ้าชีวิตพูดอย่างนี้แหละ
10 นี่เป็นคำสัญญาใหม่ที่เราจะทำกับประชาชนชาวอิสราเอล
หลังจากเวลานั้น องค์เจ้าชีวิตพูดอย่างนี้
    เราจะใส่กฎของเราเข้าไปในจิตใจของพวกเขา
    เราจะเขียนพวกมันลงไปในหัวใจของพวกเขา
    เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นคนของเรา
11 เขาจะไม่ต้องมาสอนเพื่อนบ้าน หรือพี่น้องของเขาว่า
‘มารู้จักองค์เจ้าชีวิตสิ’ เพราะตั้งแต่คนต่ำต้อยที่สุด
    จนถึงคนยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเขาทุกคนก็จะรู้จักเรา
12 เพราะเราจะยกโทษให้กับความชั่วของพวกเขา
    และเราจะไม่จดจำความบาปของพวกเขาอีกต่อไป”[am]

13 เมื่อพระองค์เรียกคำสัญญานี้ว่า “อันใหม่” แสดงว่าพระองค์เคยทำให้คำสัญญาเดิม[an]นั้นล้าสมัยไปแล้ว สิ่งที่ล้าสมัยและเก่าแก่ไปแล้ว ก็กำลังจะสูญหายไปในไม่ช้า

การนมัสการแบบเก่า

คำสัญญาเดิมนั้น มีกฎระเบียบสำหรับการนมัสการ และมีสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้ เพราะมีเต็นท์ที่กางขึ้นมา เต็นท์นี้มีสองห้อง ห้องแรกเรียกว่า “ห้องที่ศักดิ์สิทธิ์” ภายในห้องแรกนี้มีโคมไฟตั้งพื้น มีโต๊ะและขนมปังศักดิ์สิทธิ์วางอยู่ ส่วนห้องที่สองนั้นมีม่านกั้นอยู่ ห้องนี้มีชื่อเรียกว่า “ห้องที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด” ภายในห้องที่สองนี้ มีแท่นบูชาทองคำ[ao] เอาไว้เผาเครื่องหอม และมีหีบแห่งคำสัญญา หีบนี้หุ้มด้วยทองคำทั้งหมด ภายในหีบมีโถทองคำที่ใส่อาหารทิพย์[ap]ไว้ มีไม้เท้าของอาโรนที่มีใบอ่อนงอกออกมา และมีแผ่นหินสองแผ่นของคำสัญญาที่สลักกฎปฏิบัติสิบประการไว้ บนหีบนั้นมีรูปปั้นเครูบ ที่อยู่ต่อหน้าสง่าราศีของพระเจ้า ปีกทั้งสองของทูตสวรรค์นั้นกางออกคลุมฝาหีบตรงที่ที่บาปได้รับการยกโทษ[aq] ตอนนี้เราไม่สามารถอธิบายถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดได้

เมื่อจัดสิ่งพวกนี้เข้าที่แล้ว พวกนักบวชจะเข้าไปในห้องแรก ทำหน้าที่รับใช้พระเจ้าเป็นประจำ ส่วนในห้องที่สองนั้น มีแต่หัวหน้านักบวชสูงสุดคนเดียวที่เข้าไปได้ แต่เข้าไปปีละครั้งเท่านั้น และเขาจะต้องเอาเลือดเข้าไปด้วย เพื่อจัดการกับบาปของตัวเอง และบาปของประชาชนอิสราเอลที่ได้ทำไปโดยไม่รู้ตัว จากเรื่องนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ชี้ให้เห็นว่า ทางที่จะเข้าไปในห้องที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้น จะยังไม่เปิดเผยให้รู้ ตราบใดที่ห้องแรกยังใช้ทำพิธีศาสนากันอยู่ นี่เป็นเรื่องเปรียบเทียบให้เห็นว่าของถวายและเครื่องบูชาที่เอามาถวายให้กับพระเจ้านั้น ไม่สามารถชำระจิตใจของคนที่เอาเครื่องบูชามา ให้บริสุทธิ์ได้หรอก 10 เพราะมันเป็นแค่เรื่องของอาหาร เครื่องดื่มและพิธีชำระล้างต่างๆซึ่งล้วนแต่เป็นกฎที่เกี่ยวกับเรื่องภายนอกที่ใช้กันจนกว่าจะถึงเวลาของระบบใหม่

การนมัสการแบบใหม่

11 แต่ตอนนี้พระคริสต์ได้มาในฐานะหัวหน้านักบวชสูงสุด สิ่งดีๆพวกนี้ที่มาถึงแล้ว พระองค์ได้นำเข้าไปในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่สมบูรณ์แบบกว่า เป็นเต็นท์ที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์ และไม่ได้เป็นของโลกที่ถูกสร้างมานี้ 12 พระองค์เข้าไปในห้องที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้นเพียงครั้งเดียวก็พอสำหรับตลอดไป พระองค์ไม่ได้เอาเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ได้ถวายเลือดของพระองค์เอง พระองค์จึงทำให้เราเป็นอิสระจากบาปตลอดไป 13 ถ้าเลือดของแพะและวัวตัวผู้ และขี้เถ้าของวัวตัวเมียที่เอามาประพรมลงบนคนที่ไม่สะอาดตามพิธีทางศาสนา ยังทำให้เขาสะอาดภายนอกได้ 14 แล้วเลือดของพระคริสต์ล่ะ จะชำระเรายิ่งกว่านั้นอีกขนาดไหน พระองค์ได้ถวายตัวเองให้กับพระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่ไม่มีตำหนิ ผ่านทางพระวิญญาณที่คงอยู่ตลอดไป ดังนั้นเลือดของพระองค์จะชำระล้างจิตใจของเราจากการกระทำที่นำไปถึงความตาย เพื่อเราจะได้มารับใช้พระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่

15 นี่เป็นเหตุที่พระคริสต์ได้นำคำสัญญาใหม่[ar]มาให้ พระองค์เป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เพื่อให้คนที่พระเจ้าเรียกมานั้น ได้รับมรดกถาวรตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ ความตายของพระเยซูทำให้มนุษย์ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระพ้นจากบาปที่ได้ทำไปภายใต้คำสัญญาแรก[as]แล้ว

16 มีพินัยกรรมอยู่ที่ไหนก็จำเป็นจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า คนทำพินัยกรรมนั้นตายแล้ว 17 เพราะพินัยกรรมจะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อคนทำตายแล้วเท่านั้น แต่ถ้าคนทำพินัยกรรมนั้นยังอยู่ มันก็ไม่มีผลบังคับอะไรเลย 18 นั่นเป็นเหตุที่ถ้าไม่มีเลือด คำสัญญาแรกก็ยังไม่มีผลบังคับใช้ 19 เมื่อโมเสสได้ประกาศคำสั่งทุกข้อให้กับประชาชนแล้ว ท่านก็เอาเลือดของลูกวัวและแพะพร้อมกับน้ำและขนแกะสีแดงและกิ่งหุสบมาประพรมหนังสือม้วนของคำสัญญาและประชาชนทุกคน 20 โมเสสพูดว่า “นี่คือเลือดแห่งคำสัญญา คำสัญญานี้พระเจ้าได้สั่งให้พวกคุณรักษาไว้”[at] 21 แล้วโมเสสก็ได้ประพรมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ และของทุกอย่างที่ใช้ในการนมัสการพระเจ้า 22 อันที่จริง ตามกฎของโมเสสนั้นถือว่าเกือบทุกอย่างที่จะต้องใช้เลือดชำระล้างให้บริสุทธิ์ และถ้าไม่มีการหลั่งเลือดออกมาก็จะไม่มีการยกโทษให้

พระคริสต์กำจัดบาปได้

23 ดังนั้น ของพวกนี้ที่จำลองแบบมาจากของจริงในสวรรค์ จำเป็นที่ต้องเอาเลือดของสัตว์มาชำระมัน แต่กับของจริงที่อยู่ในสวรรค์นั้นจะต้องใช้เครื่องบูชาที่ดีกว่านี้ชำระ 24 เพราะพระคริสต์ไม่ได้เข้าไปในห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่มือมนุษย์สร้าง หรือที่จำลองแบบจากของจริง แต่ตอนนี้พระองค์ได้เข้าไปอยู่ต่อหน้าพระเจ้าในสวรรค์ที่แท้จริงเพื่อเรา 25 พระองค์ไม่ได้เข้าไปถวายพระองค์เองซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนกับที่หัวหน้านักบวชสูงสุดต้องเอาเลือดที่ไม่ใช่ของเขาเองเข้าไปในห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุดทุกๆปี 26 เพราะไม่อย่างนั้น พระคริสต์ก็ต้องถวายตัวเองหลายต่อหลายครั้งแล้ว นับตั้งแต่สร้างโลกมา แต่ตอนนี้ซึ่งเป็นยุคสุดท้ายแล้ว พระองค์ได้ปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวก็พอสำหรับตลอดไป เพื่อถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชากำจัดบาปให้หมดไป 27 มนุษย์ตายแค่ครั้งเดียวแล้วเจอกับการพิพากษา 28 พระคริสต์ก็เหมือนกัน ที่ถวายตัวเองเพียงครั้งเดียว เพื่อกำจัดบาปของคนเป็นจำนวนมาก และพระองค์จะมาปรากฏตัวอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อมากำจัดบาป แต่มาช่วยคนพวกนั้นให้รอด คือคนที่กำลังรอพระองค์อย่างใจจดใจจ่ออยู่

พระคริสต์ถวายตัวเองครั้งเดียวก็พอสำหรับตลอดไป

10 กฎของโมเสสเป็นแค่เงาของสิ่งดีๆที่กำลังจะมาถึง มันไม่ใช่ของจริง ดังนั้นกฎของโมเสสที่สั่งให้คนต้องเอาเครื่องบูชาแบบเดิมๆมาถวายพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกในทุกๆปีนั้น ไม่มีวันทำให้คนที่มาเข้าเฝ้าพระเจ้าสมบูรณ์แบบได้ เพราะถ้ากฎทำให้คนสมบูรณ์แบบได้จริง คนคงจะเลิกถวายเครื่องบูชาไปแล้ว เพราะเขาคงได้รับการชำระครั้งเดียวก็พอแล้ว และใจของเขาคงไม่รู้สึกผิดต่อบาปที่เขาได้ทำ แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เครื่องบูชากลับกลายเป็นสิ่งที่เตือนให้เขาระลึกถึงบาปที่ได้ทำทุกๆปี เพราะเลือดของวัวตัวผู้และเลือดของแพะจะมาล้างบาป ก็เป็นไปไม่ได้

ดังนั้น เมื่อพระคริสต์ได้เข้ามาในโลกนี้ พระองค์พูดว่า

“พระองค์ (พระเจ้า) ไม่ต้องการเครื่องบูชา และของถวาย
    แต่พระองค์ได้เตรียมร่างกายสำหรับข้าพเจ้า
พระองค์ไม่ได้พอใจกับเครื่องเผาบูชา
    และเครื่องบูชาเพื่อจัดการกับบาป
แล้วข้าพเจ้า (พระคริสต์) ก็พูดว่า
‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่
    ข้าพเจ้ามาเพื่อทำตามความต้องการของพระองค์
เหมือนกับที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับข้าพเจ้าในหนังสือม้วน’”[au]

ครั้งแรกพระองค์ (พระคริสต์) พูดว่า “พระองค์ (พระเจ้า) ไม่ต้องการและไม่ได้พอใจในเครื่องสัตวบูชาที่นำมาบูชา เครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาเพื่อจัดการกับบาป” (ถึงแม้กฎของโมเสสสั่งให้ทำอย่างนี้) แล้วต่อมาพระองค์ (พระคริสต์) ได้พูดอีกว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าพเจ้ามาเพื่อทำตามความต้องการของพระองค์” ดังนั้น พระเจ้าจึงยกเลิกระบบแรกเสีย เพื่อจะจัดตั้งระบบอันที่สองขึ้นมา 10 เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ เพราะพระเยซูคริสต์ได้ทำในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ทำ และพระองค์ได้เสียสละร่างกายของพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอสำหรับตลอดไป

11 นักบวชชาวยิวทุกคนยืนทำหน้าที่รับใช้พระเจ้าทุกวัน และเขาถวายเครื่องบูชาอย่างเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่มันไม่สามารถจะกำจัดบาปได้ 12 แต่หลังจากที่พระคริสต์ได้สละตัวเองเป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเพื่อจัดการกับบาปตลอดไป พระองค์ได้นั่งอยู่ทางขวามือของพระเจ้า 13 พระองค์จะนั่งรอจนกว่าพระเจ้าจะทำให้ศัตรูของพระองค์มาเป็นที่วางเท้าของพระองค์ 14 เพราะเมื่อพระองค์ถวายตัวเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้นสมบูรณ์แบบตลอดกาล

15 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เป็นพยานยืนยันกับเราในเรื่องนี้ พระองค์ได้พูดว่า

16 “นี่คือคำสัญญาใหม่ที่เราจะทำกับประชาชนของเราหลังจากสมัยนั้น
    เราจะใส่กฎของเราเข้าไปในจิตใจของพวกเขา
และจะเขียนพวกมันลงไปในหัวใจของพวกเขา”[av]

17 “และเราจะลืมบาป และการกระทำที่ผิดๆของพวกเขาตลอดไป”[aw]

18 เมื่อพระเจ้าอภัยบาปให้แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีการถวายเครื่องบูชาเพื่อจัดการกับบาปอีกต่อไป

เข้ามาใกล้ๆพระเจ้า

19 ดังนั้น พี่น้องครับ เรามีความมั่นใจที่จะเข้าไปในห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุดโดยเลือดของพระเยซู 20 เราเข้าไปได้ตามทางใหม่ที่ให้ชีวิต ซึ่งพระองค์ได้เปิดให้เราผ่านเข้าไปทางม่านนั้น คือที่พระองค์ได้สละร่างกายเป็นเครื่องบูชา 21 เรามีหัวหน้านักบวชผู้ยิ่งใหญ่ ที่คอยจัดการดูแลครัวเรือนของพระเจ้า 22 ดังนั้นขอให้เราทุกคนเข้ามาใกล้ๆพระเจ้าด้วยความจริงใจ และมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ มีใจที่ได้รับการประพรมให้สะอาดจากความรู้สึกผิดๆเพราะบาป และมีร่างกายที่ได้ชำระด้วยน้ำให้บริสุทธิ์แล้ว 23 ขอให้เราทุกคนยึดมั่นในความหวังที่เราได้ยอมรับไว้แล้วอย่างไม่หวั่นไหว เพราะพระองค์ผู้ที่ให้สัญญากับเรานั้นซื่อสัตย์

ช่วยกันและกันให้เข้มแข็ง

24 ขอให้เราทุกคนพิจารณากันและกัน เพื่อจะได้กระตุ้นกันให้มีความรักและทำแต่ความดี 25 ขออย่าให้เราทิ้งการประชุมไปเหมือนกับที่บางคนทำอยู่ แต่ให้กำลังใจกันและกันมากยิ่งขึ้น ยิ่งพวกคุณรู้อยู่แล้วว่าวันนั้น[ax]กำลังใกล้มาถึงแล้ว ก็ยิ่งน่าจะทำอย่างนี้

อย่าหนีพระเจ้าไป

26 แต่ถ้าเรายังตั้งใจทำผิดอยู่หลังจากที่เรารู้เรื่องความจริงแล้ว ก็จะไม่มีเครื่องบูชาจัดการกับบาปให้อีกแล้ว 27 มีแต่จะรอคอยการพิพากษาด้วยความหวาดกลัว และรอคอยไฟร้อนแรงที่จะเผาผลาญคนที่ต่อต้านพระเจ้า 28 คนไหนที่ไม่ยอมเชื่อฟังกฎของโมเสส และมีพยานสักสองสามปาก คนนั้นก็ถูกประหารชีวิตอย่างไร้ความเมตตา 29 คิดดูสิว่า คนที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า และมองเลือดของคำสัญญาใหม่ที่ได้ชำระเขาให้บริสุทธิ์นั้นว่าไร้ค่า แถมยังดูถูกพระวิญญาณแห่งความเมตตากรุณา คนพวกนี้สมควรจะได้รับโทษหนักกว่าคนพวกนั้นขนาดไหน 30 เพราะเรารู้จักพระองค์ที่พูดว่า “การแก้แค้นเป็นเรื่องของเรา เราจะตอบสนองพวกเขาเอง”[ay] และได้พูดอีกว่า “องค์เจ้าชีวิตจะพิพากษาประชาชนของพระองค์”[az] 31 เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งนักที่จะตกอยู่ในมือของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่นั้น

ขอให้มีความกล้าและอดทนไว้

32 ขอให้คิดถึงสมัยก่อนตอนที่เพิ่งได้รับความสว่าง พวกคุณได้อดทนต่อความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส 33 บางครั้งคุณก็ถูกประจานให้ขายหน้าและคนดูถูกข่มเหง บางครั้งคุณก็ช่วยเหลือคนอื่นที่ถูกข่มเหง 34 คุณไม่ได้แค่ช่วยเหลือและร่วมทุกข์กับคนที่ติดคุก แต่ยังยินดียอมให้คนมายึดเอาทรัพย์สินของคุณไป เพราะรู้ว่าตัวเองได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ยอดเยี่ยมกว่านั้น และเป็นทรัพย์สินที่จะอยู่ถาวรตลอดไป

35 ดังนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจไป เพราะมันจะนำรางวัลอันยิ่งใหญ่มาให้ 36 พวกคุณต้องอดทน เพื่อว่าเมื่อคุณได้ทำตามความต้องการของพระเจ้าแล้ว คุณก็จะได้รับสิ่งที่พระองค์สัญญาไว้ 37 พระเจ้าบอกว่า

“อีกไม่นานนัก พระองค์ผู้ที่กำลังจะมานั้นก็จะมาถึงแล้ว
    พระองค์จะไม่ชักช้า
38 แต่คนที่เรายอมรับนั้น จะใช้ชีวิตด้วยความไว้วางใจ
    และถ้าเขาหันหลังเลิกไว้วางใจ เราจะไม่พอใจในตัวเขาเลย”[ba]

39 แต่เราไม่ใช่คนพวกนั้นที่เลิกไว้วางใจ แล้วต้องถูกทำลายไป แต่เราเป็นคนพวกนั้นที่ยังไว้วางใจอยู่ แล้วได้รับชีวิต

ความไว้วางใจ

11 ดังนั้น ความไว้วางใจรับประกันว่าเราจะได้รับสิ่งที่เราหวังไว้ และความไว้วางใจเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้นมีจริง เป็นเพราะคนในสมัยก่อนไว้วางใจนี่เอง พระเจ้าถึงได้ยกย่องเขา

เป็นเพราะเราไว้วางใจนี่เอง เราถึงได้เข้าใจว่า พระเจ้าสร้างจักรวาลนี้ขึ้นมาโดยคำสั่งของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเกิดมาจากสิ่งที่มองไม่เห็น

เป็นเพราะอาเบลไว้วางใจนี่เอง เขาถึงได้นำเครื่องบูชาที่ดีกว่าของคาอินมาถวายพระเจ้า และเพราะเขาไว้วางใจแบบนั้น พระเจ้าถึงได้ยกย่องเขาว่าเป็นคนที่ทำตามใจพระองค์ และยอมรับของถวายของเขา เป็นเพราะเขาไว้วางใจนี่เอง ถึงแม้เขาจะตายไปแล้ว เขาก็ยังพูดอยู่

เป็นเพราะเอโนคไว้วางใจนี่เอง พระเจ้าถึงได้รับเขาขึ้นไปอยู่กับพระองค์ ดังนั้น เอโนคจึงไม่เคยตาย และไม่มีใครหาเขาเจออีกเลย เพราะพระเจ้าได้รับเขาไปแล้ว แต่ก่อนที่พระองค์จะรับเขาขึ้นไปนั้น เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นคนหนึ่งที่พระเจ้าพอใจ แต่ถ้าไม่มีความไว้วางใจแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอใจ เพราะคนที่มาเข้าเฝ้าพระเจ้าจะต้องเชื่อว่าพระองค์มีจริง และต้องเชื่อว่าพระองค์จะให้รางวัลกับทุกคนที่แสวงหาพระองค์

เป็นเพราะโนอาห์ไว้วางใจนี่เอง เมื่อพระเจ้าเตือนเขาให้รู้ถึงเหตุการณ์ที่ยังมองไม่เห็น เขาก็เคารพยำเกรงพระเจ้า และได้ต่อเรือใหญ่เพื่อช่วยชีวิตคนในครอบครัวของเขา เพราะเขามีความไว้วางใจนี่เอง เขาถึงเป็นผู้ที่ทำให้เห็นว่าโลกนี้ผิด และพระเจ้าได้ยอมรับเขาแบบที่พระองค์ได้ยอมรับคนที่ไว้วางใจพระองค์

เป็นเพราะอับราฮัมไว้วางใจนี่เอง เมื่อพระเจ้าเรียกเขาออกเดินทางไปที่แผ่นดินที่เขาจะได้รับเป็นมรดก เขาก็เชื่อฟังและออกเดินทางไป แม้ไม่รู้ว่ากำลังจะไปไหน เป็นเพราะอับราฮัมไว้วางใจนี่เอง เขาถึงได้มาอยู่อย่างคนต่างด้าวในแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาไว้ เขาได้พักอยู่ในเต็นท์เหมือนกับอิสอัคและยาโคบลูกหลานของเขา ผู้ที่จะได้รับมรดกร่วมกันกับอับราฮัมตามสัญญาอันเดียวกันที่พระเจ้าให้นั้น 10 ที่อับราฮัมทำอย่างนี้ ก็เพราะเขากำลังรอคอยเมือง[bb]ที่มีรากฐานมั่นคงถาวร เป็นเมืองที่พระเจ้าออกแบบและสร้างเอง

11 เป็นเพราะอับราฮัมไว้วางใจนี่เอง เขาถึงเชื่อว่าพระเจ้าซื่อสัตย์และจะทำตามสัญญา พระเจ้าถึงให้อับราฮัมมีลูกได้ ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะแก่เกินกว่าที่จะมีลูกได้แล้ว และซาราห์เองก็เป็นหมัน 12 ด้วยเหตุนี้ จากชายคนเดียวกันนี้ที่มีสภาพเหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว ยังสามารถที่จะมีลูกหลานเกิดขึ้นมากมายเท่ากับดวงดาวในท้องฟ้า และมากมายเท่ากับเม็ดทรายบนฝั่งทะเลที่นับไม่ถ้วน

13 คนพวกนี้ทั้งหมดตายไปในขณะที่ยังไว้วางใจอยู่ ถึงแม้พวกเขายังไม่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ เพียงแค่ได้เห็นแต่ไกลและยินดีต้อนรับสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญานั้นไว้ พวกเขายังยอมรับอีกว่าตัวพวกเขาเองเป็นแค่คนแปลกหน้าและคนต่างด้าวในโลกนี้ 14 ที่เขาพูดอย่างนี้แสดงว่าพวกเขากำลังแสวงหาบ้านเมืองที่จะเป็นของเขาเอง 15 ถ้าพวกเขาคิดถึงบ้านเมืองที่พวกเขาจากมา เขาก็ยังมีโอกาสที่จะกลับไปได้ 16 แต่พวกเขากำลังใฝ่ฝันถึงบ้านเมืองที่ดีกว่านั้น คือเมืองแห่งสวรรค์ พระเจ้าถึงไม่อับอายที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าของพวกเขา เพราะพระองค์ได้เตรียมบ้านเมืองไว้สำหรับพวกเขาแล้ว

17-18 เป็นเพราะอับราฮัมไว้วางใจนี่เอง เมื่อพระเจ้ามาลองใจเขา เขาก็ได้ถวายอิสอัคลูกชายเพียงคนเดียวเป็นเครื่องบูชา เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พระเจ้าได้สัญญากับอับราฮัมว่า “ลูกหลานของเจ้าจะสืบเชื้อสายมาจากอิสอัค”[bc] อับราฮัมรับคำสัญญาแล้ว แต่ก็ยังพร้อมที่จะถวายลูกชายเพียงคนเดียว 19 เพราะอับราฮัมถือว่าพระเจ้าสามารถทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้ อาจจะพูดได้ว่า เขาก็ได้รับอิสอัคกลับคืนมาจากความตาย

20 เป็นเพราะอิสอัคไว้วางใจนี่เอง เขาถึงได้ให้พรกับทั้งยาโคบและเอซาว แก่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

21 เป็นเพราะยาโคบไว้วางใจนี่เอง เมื่อเขากำลังจะตาย เขาถึงได้ให้พรกับลูกทั้งสองคนของโยเซฟ และได้นมัสการพระเจ้าขณะที่พิงอยู่ที่ปลายไม้เท้าของเขา

22 เป็นเพราะโยเซฟไว้วางใจนี่เอง ในบั้นปลายชีวิตเขาได้พูดถึงเรื่องที่ประชาชนอิสราเอลจะอพยพออกจากอียิปต์ และสั่งเสียให้เอากระดูกของเขาไปด้วย

23 เป็นเพราะพ่อแม่ของโมเสสไว้วางใจนี่เอง เมื่อโมเสสเกิดมา พวกเขาถึงได้ซ่อนตัวเด็กไว้ถึงสามเดือน เพราะพ่อแม่เห็นว่าเขาเป็นเด็กที่มีหน้าตาโดดเด่น และพวกเขากล้าขัดคำสั่งของกษัตริย์

24 เป็นเพราะโมเสสไว้วางใจนี่เอง เมื่อเขาโตขึ้น เขาถึงได้ยอมสละฐานะลูกของลูกสาวฟาโรห์ 25 เขาเลือกที่จะถูกกดขี่ข่มเหงร่วมกับประชาชนของพระเจ้า แทนที่จะมีความสนุกสนานชั่วคราวกับความบาป 26 เขาถือว่าความอับอายขายหน้าเพื่อพระคริสต์ มีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติของประเทศอียิปต์ เพราะเขามองไปข้างหน้าถึงรางวัลที่จะได้รับ 27 เป็นเพราะโมเสสไว้วางใจนี่เอง เขาถึงได้ออกจากประเทศอียิปต์โดยไม่เกรงกลัวความโกรธของฟาโรห์ เขามีใจมานะอดทนราวกับว่าเขาได้เห็นพระเจ้าผู้ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ 28 เป็นเพราะโมเสสไว้วางใจนี่เอง เขาถึงได้จัดตั้งเทศกาลวันปลดปล่อย และสั่งให้ประพรมเลือดที่ประตู เพื่อไม่ให้ทูตแห่งความตาย[bd]มาแตะต้องลูกชายหัวปีของประชาชนอิสราเอล

29 เป็นเพราะคนอิสราเอลไว้วางใจนี่เอง พวกเขาถึงได้เดินข้ามทะเลแดงเหมือนกับเดินอยู่บนพื้นดินแห้ง แต่เมื่อพวกอียิปต์พยายามที่จะทำอย่างนั้นบ้าง พวกเขาก็จมน้ำตายหมด

30 เป็นเพราะคนอิสราเอลไว้วางใจนี่เอง หลังจากที่พวกเขาเดินรอบกำแพงเมืองเยริโคเป็นเวลาเจ็ดวัน กำแพงนั้นก็พังลงมา

31 เป็นเพราะราหับหญิงโสเภณีไว้วางใจนี่เอง เธอถึงไม่ถูกฆ่าตายไปพร้อมๆกับคนที่ไม่เชื่อฟังพวกนั้น เพราะเธอได้ต้อนรับและช่วยคนสอดแนมอย่างเป็นมิตร

32 จะให้พูดอะไรมากกว่านี้อีกหรือ มีเวลาไม่พอที่จะเล่าถึงเรื่องกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด ซามูเอล และพวกผู้พูดแทนพระเจ้า 33 เป็นเพราะพวกเขาไว้วางใจนี่เอง พวกเขาเหล่านี้ถึงได้รับชัยชนะเหนือดินแดนต่างๆและได้ทำสิ่งที่ถูกต้องยุติธรรม และได้รับสิ่งต่างๆที่พระเจ้าสัญญาไว้ และได้ปิดปากสิงโต 34 พวกเขาได้ดับไฟที่โหมไหม้อย่างรุนแรง และรอดตายจากคมดาบ เขาได้รับกำลังจากพระเจ้าเมื่ออ่อนแอ และมีกำลังในสนามรบ และขับไล่กองทัพต่างชาติให้แตกกระเจิดกระเจิงไป 35 พวกผู้หญิงก็ได้รับคนที่เขารักนั้นกลับฟื้นขึ้นจากความตาย บางคนก็ยอมถูกทรมานจนตาย ไม่ยอมออกมาจากคุก เพื่อที่จะได้ฟื้นขึ้นจากความตายอย่างถาวรไม่ใช่แค่ชั่วคราว 36 บางคนต้องทนถูกเยาะเย้ยและถูกเฆี่ยนด้วยแส้ ในขณะที่บางคนถูกล่ามโซ่และถูกขังคุก 37 บางคนโดนหินขว้าง บางคนถูกเลื่อยออกเป็นสองท่อน บางคนถูกดาบฟัน บางคนยากจนขัดสน บางคนร่อนเร่พเนจรนุ่งหนังแพะหนังแกะ ถูกกดขี่ข่มเหง และถูกทารุณอย่างไม่ยุติธรรม 38 โลกนี้ไม่คู่ควรกับคนพวกนี้เลย พวกเขาร่อนเร่ไปตามที่เปล่าเปลี่ยวและภูเขา อยู่ตามถ้ำตามโพรงในพื้นดิน

39 พวกเขาทุกคนได้รับการยกย่อง เพราะพวกเขาได้ไว้วางใจ แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ 40 พระเจ้าได้วางแผนที่จะให้สิ่งที่ดียิ่งกว่านั้นสำหรับเรา เพราะพวกเขาจะสมบูรณ์แบบได้ก็ต่อเมื่อมีเรารวมอยู่ด้วยเท่านั้น

ให้ทำตามแบบอย่างของพระเยซู

12 ดังนั้น เมื่อเรามีพยานมากมายล้อมรอบเราอยู่อย่างนี้แล้ว ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงเราไว้ และบาปที่เกาะติดเราแน่น และขอให้วิ่งแข่งด้วยความมานะอดทนไปตามทางที่อยู่ข้างหน้าเรา ขอให้เราจ้องอยู่ที่พระเยซู ซึ่งเป็นผู้นำความเชื่อของเราและเป็นผู้ที่ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์แบบ พระองค์ได้อดทนต่อการถูกตรึงบนไม้กางเขน เพื่อความยินดีที่รอพระองค์อยู่ พระองค์ไม่สนใจกับความอับอายที่ต้องตายบนไม้กางเขน และในตอนนี้พระองค์ได้นั่งอยู่ทางขวาของบัลลังก์ของพระเจ้า ขอให้ใคร่ครวญถึงพระองค์ผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจากคนบาปที่ต่อต้านพระองค์ เพื่อพวกคุณจะได้ไม่ท้อใจหรือยอมแพ้

พระเจ้าเป็นเหมือนพ่อ

ในเรื่องที่พวกคุณต้องต่อสู้กับบาปนั้น คุณยังไม่ต้องต่อสู้จนถึงกับเลือดตกยางออกเลย พวกคุณคงจะลืมคำที่ให้กำลังใจ คำพูดนี้เป็นคำที่ได้พูดกับคุณในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้าว่า

“ลูกเอ๋ย อย่าถือว่าการตีสอนขององค์เจ้าชีวิตนั้นเป็นเรื่องเล่นๆ
    และอย่าหมดกำลังใจเมื่อพระองค์มาตักเตือนเจ้า
เพราะองค์เจ้าชีวิตจะตีสอนคนที่พระองค์รัก
    และจะลงโทษทุกคนที่พระองค์รับเป็นลูก”[be]

ให้อดทนต่อความยากลำบาก เพราะเป็นการตีสอน แสดงว่าพระเจ้ากำลังทำกับพวกคุณเหมือนเป็นลูกของพระองค์ มีลูกคนไหนบ้างที่พ่อไม่เคยตีสอน ถ้าคุณไม่ถูกตีสอนเหมือนกับลูกทั่วๆไป แสดงว่าไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ แต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ เราทุกคนมีพ่อที่เป็นมนุษย์ที่คอยตีสอนเรา แต่เราก็ยังเคารพเขาอยู่ดี ยิ่งกว่านั้นอีกสักเท่าไร เราควรจะเชื่อฟังพระบิดาของจิตวิญญาณเรา เพื่อเราจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป 10 พ่อของเราที่เป็นมนุษย์จะตีสอนเราแค่ชั่วคราวตามที่เห็นว่าควร แต่พระเจ้าจะตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อเราจะได้มีลักษณะเหมือนพระองค์ 11 ตอนที่ถูกตีสอนนั้น ไม่มีใครชอบหรอกเพราะมันเจ็บ แต่ภายหลังการตีสอนนั้นจะฝึกฝนเรา แล้วผลที่ออกมาก็คือสันติสุข และชีวิตที่พระเจ้าชอบใจ

ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง

12 ดังนั้น ให้ยกมือที่ไม่มีแรงขึ้นมา และทำหัวเข่าที่อ่อนแอให้มีกำลังขึ้นมา 13 ทำทางเดินให้ตรงไปสำหรับเท้า เพื่อว่าเท้าที่เป็นง่อยนั้นจะได้ไม่พลิก แต่จะหายเป็นปกติ

14 พยายามอยู่กับคนทั้งหลายอย่างสงบสุข และพยายามอุทิศตัวเองกับพระเจ้า เพราะถ้าปราศจากการอุทิศตัวกับพระองค์ก็จะไม่มีใครเห็นองค์เจ้าชีวิต 15 ระวังตัวให้ดี อย่าให้ใครพลาดไปจากความเมตตากรุณาของพระเจ้า แล้วระวังอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมาก่อปัญหา ที่จะทำให้คนจำนวนมากต้องด่างพร้อย 16 ระวังอย่าให้ใครทำผิดทางเพศ หรือหมกมุ่นแต่เรื่องของโลกนี้เหมือนกับเอซาวที่ขายสิทธิ์ลูกชายหัวปี เพราะเห็นแก่อาหารเพียงมื้อเดียว 17 พวกคุณก็รู้ว่า ต่อมาเมื่อเอซาวอยากได้พรนั้น เขาก็ถูกปฏิเสธ เพราะว่าเขาไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เขาได้ทำลงไปแล้ว ถึงแม้เขาจะต้องการมากจนน้ำตานองหน้า

18 พวกคุณไม่ได้มาถึงภูเขาที่แตะต้องได้ ไม่ได้มาถึงไฟที่ไหม้อยู่ ไม่ได้มาถึงที่มืด ความมืดมิดอันน่ากลัวหรือพายุ 19 ไม่ได้มาถึงเสียงแตร หรือเสียงพูดของพระองค์ ที่คนที่ได้ยินนั้นอ้อนวอนไม่ให้พูดกับเขาอีก 20 เพราะเขาทนคำสั่งของพระองค์ไม่ไหวที่ว่า “แม้แต่สัตว์ ถ้าแตะต้องภูเขานี้ ก็จะต้องถูกหินขว้าง”[bf] 21 สิ่งที่เห็นนั้นน่ากลัวจริงๆ จนโมเสสพูดว่า “ผมกลัวจนตัวสั่น”[bg]

22 แต่พวกคุณได้มาถึงภูเขาศิโยน[bh] มาถึงเมืองของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ คือเมืองเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์[bi] และได้มาถึงที่ที่ทูตสวรรค์นับพันนับหมื่นชุมนุมรื่นเริงกัน 23 ได้มาถึงหมู่ประชุมของบุตรหัวปีทั้งหลาย ซึ่งชื่อของพวกเขาจารึกอยู่ในสวรรค์ มาถึงพระเจ้าผู้พิพากษามนุษย์ทั้งหลาย และมาถึงวิญญาณของคนที่ทำตามใจพระเจ้า ที่พระเจ้าทำให้สมบูรณ์แบบแล้ว 24 ได้มาถึงพระเยซูคนกลางสำหรับคำสัญญาใหม่ และมาถึงเลือดที่ประพรม[bj]ซึ่งบอกถึงสิ่งที่ดีกว่าเลือดของอาเบล[bk]ได้บอก

25 ระวังให้ดี อย่าปฏิเสธที่จะฟังพระองค์ที่กำลังพูดกับพวกคุณอยู่ ถ้าคนพวกนั้นที่ปฏิเสธไม่ยอมฟังคำเตือนของพระองค์ในโลกนี้ ยังหนีการลงโทษไม่พ้นเลย แล้วเราล่ะ คิดว่าถ้าเมินหน้าหนีจากพระองค์ที่เตือนเรามาจากสวรรค์นั้น จะหนีพ้นหรือ 26 ในครั้งก่อนนั้น เสียงของพระองค์ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน แต่ตอนนี้พระองค์ได้สัญญาว่า “เราจะทำให้สั่นสะเทือนอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแต่โลกนี้เท่านั้น แต่สวรรค์ด้วย”[bl] 27 คำพูดที่ว่า “อีกครั้งหนึ่ง” แสดงว่าสิ่งที่สั่นสะเทือนได้ หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์สร้างขึ้นมา จะถูกทำลายให้หมดไป เพื่อจะได้เหลือแต่สิ่งที่ไม่มีอะไรมาสั่นสะเทือนได้

28 เนื่องจากเรากำลังได้รับอาณาจักรที่ไม่มีอะไรสามารถมาสั่นสะเทือนมันได้ ก็ขอให้เรากตัญญูรู้คุณพระเจ้า นมัสการพระองค์อย่างเคารพยำเกรง ในทางที่พระเจ้าชอบใจ 29 เพราะพระเจ้าของเรานั้นเป็นไฟที่เผาผลาญ

13 ขอให้เรารักกันอย่างพี่น้องต่อไป อย่าลืมที่จะเลี้ยงดูแขกแปลกหน้าที่มาบ้าน เพราะบางคนที่ทำอย่างนั้นได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว อย่าลืมช่วยดูแลคนเหล่านั้นที่ถูกขังคุกอยู่เหมือนกับถูกขังร่วมกับเขาด้วย ให้เราช่วยเหลือคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงราวกับว่าถูกกดขี่ข่มเหงเสียเอง

ขอให้ทุกคนให้เกียรติกับชีวิตสมรส และขอให้เตียงสมรสนั้นบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าจะลงโทษคนที่มีชู้และทำผิดทางเพศ อย่าเป็นคนที่รักเงิน แต่ให้พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เพราะว่าพระเจ้าได้พูดว่า

“เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า
    เราจะไม่หนีเจ้าไป”[bm]

ดังนั้น เราจึงพูดด้วยความมั่นใจได้ว่า

“องค์เจ้าชีวิตเป็นผู้ช่วยของผม ผมจะไม่กลัวอะไร
    มนุษย์จะทำอะไรผมได้”[bn]

ให้ระลึกถึงพวกผู้นำของคุณ คนที่เคยประกาศถ้อยคำของพระเจ้าให้กับคุณ ให้สังเกตดูชีวิตของเขาว่าเขาอยู่และตายอย่างไร แล้วให้เลียนแบบความเชื่อของคนเหล่านั้น

พระเยซูคริสต์เหมือนเดิมเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวานนี้ วันนี้ หรือตลอดไป

อย่าปล่อยให้คำสอนที่แปลกๆนำพวกคุณให้หลงไป เพราะความเมตตากรุณาของพระเจ้านั้นดีอยู่แล้ว ทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งขึ้น แต่การกินอาหารตามธรรมเนียมพิธีนั้นไม่ได้ช่วยจิตใจของคนที่ถืออย่างนั้นเลย

10 เรามีแท่นบูชาที่คนที่รับใช้อยู่ในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ไม่มีสิทธิ์ที่จะกินจากแท่นนั้นได้ 11 หัวหน้านักบวชสูงสุดนำเลือดของสัตว์เข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาจัดการกับบาป แต่ร่างของสัตว์นั้น เขาเอาออกไปเผานอกค่าย 12 ก็เหมือนกับที่พระเยซูต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นอกประตูเมือง และใช้เลือดของพระองค์ชำระประชาชนให้บริสุทธิ์ 13 ดังนั้น ขอให้เราออกไปหาพระองค์นอกค่ายกันเถอะ และยอมทนต่อความอับอายขายหน้าเพื่อพระองค์ 14 เพราะในโลกนี้ เราไม่มีเมืองที่ถาวร แต่เรากำลังแสวงหาเมืองที่กำลังจะมาถึง 15 ดังนั้น เพราะสิ่งที่พระเยซูทำ เราควรถวายเครื่องบูชาต่อพระเจ้าเสมอ เครื่องบูชานั้นคือคำสรรเสริญที่ออกมาจากริมฝีปากที่ยกย่องพระองค์ 16 อย่าลืมทำความดีและแบ่งปันสิ่งของให้กับคนอื่นด้วย เพราะการทำอย่างนี้เป็นการถวายเครื่องบูชาต่อพระเจ้าจริงๆ

17 ให้เชื่อฟังและอยู่ในโอวาทพวกผู้นำของพวกคุณ เพราะพวกเขาเฝ้าดูแลชีวิตคุณอยู่ เหมือนกับคนที่ต้องรายงานตัวต่อพระเจ้า ขอให้ทำอย่างนี้ เพื่อพวกเขาจะได้ทำงานด้วยความสุขและไม่ต้องนั่งถอนใจ เพราะถ้าเขาต้องเป็นอย่างนั้น มันก็จะไม่เป็นประโยชน์อะไรกับพวกคุณเลย

18 ให้อธิษฐานเผื่อเรา เพราะเราแน่ใจว่าเรามีใจที่บริสุทธิ์ คือเราอยากจะทำตัวดีในทุกเรื่องตลอดเวลา 19 ผมขอร้องเป็นพิเศษให้พวกคุณอธิษฐานเพื่อผมจะได้กลับไปอยู่กับพวกคุณเร็วขึ้น

20-21 พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข พระองค์ทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย เพราะพระองค์ได้สละเลือดของพระองค์เองเพื่อทำสัญญาอันถาวร พระเยซูเป็นองค์เจ้าชีวิตของเราและเป็นหัวหน้าคนเลี้ยงแกะ ขอให้พระเจ้าให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีๆกับพวกคุณ เพื่อเตรียมคุณให้พร้อมที่จะทำตามใจของพระองค์ ขอให้พระองค์ทำสิ่งที่เป็นเรื่องชอบใจต่อหน้าพระองค์ให้สำเร็จท่ามกลางพวกเราผ่านทางพระเยซูคริสต์ ขอให้พระองค์ได้รับเกียรติตลอดไป อาเมน

22 พี่น้องครับ ผมอ้อนวอนให้ฟังคำเตือนนี้ ซึ่งผมได้เขียนให้พี่น้องเพียงย่อๆเท่านั้น 23 อยากให้คุณรู้ว่า พวกเขาปล่อยทิโมธีน้องของเราออกจากคุกแล้ว ถ้าเขามาที่นี่ทัน ผมจะพาเขาไปหาพวกคุณพร้อมกับผม

24 ผมขอฝากความคิดถึงมายังพวกผู้นำของพวกคุณ และคนที่เป็นของพระเจ้าทุกคน พวกพี่น้องที่มาจากอิตาลีก็ฝากความคิดถึงมาให้ทุกคนด้วย

25 ขอพระเจ้ามีความเมตตากรุณากับพวกคุณทุกคนเถิด

จากยากอบผู้รับใช้ของพระเจ้า และของพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์และองค์เจ้าชีวิต

ถึงคนทั้งสิบสองเผ่าของพระเจ้าที่ได้กระจัดกระจายไปทั่วโลก

สวัสดีครับ

ความซื่อสัตย์และความเฉลียวฉลาด

พี่น้องครับ เมื่อคุณถูกลองใจในเรื่องต่างๆ ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะคุณก็รู้อยู่แล้วว่า การถูกลองใจนั้นจะทดสอบความเชื่อของคุณ ซึ่งจะช่วยให้คุณเกิดความอดทนอดกลั้น คุณต้องเรียนรู้ที่จะอดทนอดกลั้นกับทุกอย่าง เพื่อจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ จะได้ไม่ขาดตกบกพร่องอะไรเลย แต่ถ้าคนไหนในพวกคุณขาดความฉลาด ก็ให้ขอจากพระเจ้า แล้วพระองค์จะให้ เพราะพระองค์ใจดีและจะให้กับทุกคนโดยไม่ต่อว่าเลย แต่คนนั้นจะต้องขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะคนที่สงสัยพระเจ้าก็เหมือนกับคลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปซัดมา คนอย่างนั้นไม่ต้องหวังว่าจะได้รับอะไรจากองค์เจ้าชีวิตเลย เพราะเป็นคนโลเล เอาแน่เอานอนไม่ได้สักเรื่อง

ความร่ำรวยที่แท้จริง

พี่น้องที่ยากจนก็ควรจะโอ้อวดที่พระเจ้าได้ทำให้เขาร่ำรวยฝ่ายวิญญาณ 10 ส่วนคนที่ร่ำรวย เมื่อพระเจ้าทำให้เขาตกต่ำลง ก็ควรจะโอ้อวดด้วยเหมือนกัน เพราะคนร่ำรวยนี้จะร่วงโรยไปเหมือนดอกหญ้า 11 เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น แสงแดดก็จะแผดเผาต้นหญ้าให้เหี่ยวแห้งไป ดอกของมันร่วงโรยไป และความสวยงามของมันก็ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น คนรวยก็เหมือนกัน จะต้องตายไปในขณะที่กำลังวุ่นอยู่กับงานของเขา

การล่อลวงไม่ได้มาจากพระเจ้า

12 สำหรับคนที่ทนต่อการทดลองและการล่อลวงต่างๆได้ ก็ถือว่ามีเกียรติจริงๆเพราะเมื่อเขาผ่านการทดลองนี้ไปได้ เขาจะได้รับรางวัล[bo]แห่งชีวิตแท้ เป็นรางวัลที่พระเจ้าได้สัญญาว่าจะให้กับคนที่รักพระองค์ 13 อย่าให้คนที่กำลังถูกล่อลวงพูดว่า “พระเจ้าล่อลวงฉัน” เพราะพระเจ้าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องชั่วร้ายและพระองค์ก็ไม่เคยล่อลวงใครด้วย 14 แต่เป็นเพราะกิเลสของตัวเองต่างหากที่มาล่อลวงและชักนำให้หลงไป 15 เมื่อกิเลสตั้งท้อง มันก็จะคลอดความบาปออกมา แล้วเมื่อความบาปโตเต็มที่ มันก็จะคลอดความตายออกมา

16 พี่น้องที่รัก อย่าให้ถูกหลอกเอาล่ะ 17 ของดีๆและยอดเยี่ยมทุกอย่างลงมาจากพระเจ้าเบื้องบน พระองค์เป็นผู้สร้างดวงสว่างต่างๆในฟ้าสวรรค์ แต่พระองค์ไม่เหมือนกับดวงสว่างเหล่านั้นหรือเงาของมันที่เคลื่อนไหวไปมา เพราะพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง 18 พระเจ้าได้เลือกเราให้เกิดเป็นลูกของพระองค์ โดยถ้อยคำแห่งความจริง เพื่อในสิ่งสารพัดที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาแล้วนั้น เราจะเป็นสิ่งแรก[bp]ที่ได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่

ให้รับฟังและเชื่อฟัง

19 พี่น้องที่รัก จำไว้ว่าให้ทุกคนว่องไวในการฟัง ช้าในการพูด และช้าในการโกรธ 20 เพราะความโกรธนั้น ไม่ได้ช่วยทำให้ใครมีชีวิตที่พระเจ้าชอบใจหรอก 21 กำจัดความสกปรกเลวทรามทุกชนิดและความชั่วร้ายอันล้นเหลือออกจากชีวิตให้หมดสิ้น แล้วยอมรับให้ถ้อยคำของพระเจ้าฝังลงไปในใจคุณแทนอย่างสุภาพนอบน้อม เพราะถ้อยคำของพระเจ้าสามารถช่วยให้คุณรอดได้ 22 ให้ทำตามคำสั่งสอนของพระเจ้าอยู่เสมอ อย่าเอาแต่ฟังเฉยๆเพราะนั่นเป็นการหลอกตัวเอง 23 เพราะคนที่ฟังคำสั่งสอนของพระเจ้า แล้วไม่ทำตาม ก็เหมือนกับคนที่ส่องหน้าตัวเองในกระจก 24 พอส่องเสร็จ เดินไปก็ลืมแล้วว่าหน้าตาเป็นอย่างไร 25 แต่คนที่เอาใจใส่ในกฎของพระเจ้า เป็นกฎที่สมบูรณ์แบบและให้เสรีภาพ แล้วสำรวจมันอย่างถี่ถ้วน ไม่ใช่เป็นคนฟังที่ขี้หลงขี้ลืม แต่ทำตามคำสั่งสอน คนนั้นจะได้รับเกียรติในสิ่งที่เขาทำ

ศาสนาที่แท้จริง

26 ถ้าใครคิดว่าเขาเป็นคนเคร่งศาสนา แต่ไม่รู้จักควบคุมลิ้นของตัวเอง เขาก็หลอกลวงตัวเอง การเคร่งศาสนาของเขา ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

27 ศาสนาที่บริสุทธิ์ และแท้จริงตามแบบของพระเจ้าพระบิดา คือ การช่วยเหลือเด็กกำพร้าและแม่ม่ายที่เดือดร้อน และการรักษาตัวเองไม่ให้แปดเปื้อนกับความชั่วร้ายของโลกนี้

ความรักต่อผู้อื่น

พี่น้องครับ ในฐานะที่คุณเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์องค์เจ้าชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ของเรา อย่าลำเอียง สมมุติว่า มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในที่ประชุมของคุณ เขาสวมใส่แหวนทองคำและเสื้อผ้าอย่างดี และมีคนจนคนหนึ่งเข้ามา สวมใส่เสื้อผ้าที่สกปรกมอมแมม แล้วคุณก็เอาใจใส่คนที่แต่งตัวดีเป็นพิเศษ และพูดกับเขาว่า “เชิญนั่งตรงนี้ครับ” แต่คุณพูดกับคนยากจนว่า “ยืนอยู่นั่นแหละ” หรือ “มานั่งตรงพื้นนี่มา” ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณก็แบ่งชนชั้นและตัดสินคนด้วยความคิดที่ชั่วร้าย

ฟังให้ดีนะ พี่น้องที่รัก พระเจ้าได้เลือกคนที่คนอื่นเห็นว่ายากจน ให้มาเป็นคนร่ำรวยในความเชื่อ และให้มารับอาณาจักรที่พระเจ้าได้สัญญาว่าจะให้กับคนที่รักพระองค์ แต่คุณกลับดูถูกคนยากจนเหล่านั้น ก็ไม่ใช่พวกคนรวยหรอกหรือ ที่ข่มเหงและลากคอคุณไปขึ้นศาล แล้วยังดูหมิ่นองค์เจ้าชีวิตของพวกคุณอีกด้วย

พระคัมภีร์ว่า “ให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”[bq] ถ้าพวกคุณทำตามกฎข้อนี้ คุณก็ทำถูกต้องแล้ว แต่ถ้าคุณลำเอียง คุณก็ทำบาปและถือว่าเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎ 10 เพราะเมื่อคุณพยายามรักษากฎทุกข้อ แต่ผิดแค่ข้อเดียวก็ถือว่าผิดกฎทั้งหมดด้วย 11 เพราะพระเจ้าที่พูดว่า “อย่าเป็นชู้ผัวเมียเขา”[br] ก็พูดว่า “อย่าฆ่าคน”[bs]ด้วย ถ้าคุณไม่ได้เป็นชู้ผัวเมียเขา แต่กลับไปฆ่าคน คุณก็กลายเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎอยู่ดี 12 ไม่ว่าคุณจะพูดหรือทำอะไรก็ตาม ก็ให้จำเอาไว้ว่า พระเจ้าจะตัดสินคุณด้วยกฎที่จะทำให้คุณเป็นอิสระ 13 เพราะฉะนั้น คุณก็ควรมีเมตตากับคนอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นพระเจ้าก็จะไม่เมตตาคุณเหมือนกัน แต่ถ้าคุณมีความเมตตา คุณก็ไม่ต้องกลัวคำตัดสินของพระเจ้า

ความเชื่อและการกระทำ

14 พี่น้องครับ มันจะมีประโยชน์อะไรกันถ้าคนหนึ่งอ้างว่า เขามีความเชื่อ แต่เขาไม่ทำอะไรเลย แล้วความเชื่อนั้นจะช่วยให้เขารอดได้หรือ เป็นไปไม่ได้ 15 ถ้าพี่น้องไม่มีเสื้อผ้าใส่ และไม่มีอาหารกิน 16 แล้วคุณคนหนึ่งพูดว่า “ขอให้มีความสุข ขอให้อบอุ่นกายและขอให้อิ่มหนำสำราญ” แต่ไม่ช่วยอะไรเลย แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร 17 ความเชื่อก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีการกระทำด้วย ก็ตายแล้วในตัวของมันเอง

18 อาจจะมีบางคนพูดว่า “คนหนึ่งมีความเชื่อ อีกคนมีการกระทำ” ผมจะบอกเขาว่า “ไหน แสดงความเชื่อของคุณที่ไม่ต้องทำอะไรเลยให้ดูหน่อย แล้วเดี๋ยวผมจะแสดงความเชื่อที่คู่กับการกระทำของผมให้คุณดู” 19 คุณเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวหรือ ดีจังเลย โธ่เอ๋ย แม้แต่พวกปีศาจก็เชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน แล้วมันก็กลัวจนตัวสั่นด้วย

20 เจ้าคนโง่ อยากรู้หรือว่าความเชื่อที่ไม่ต้องทำอะไรเลยนั้น มันไม่ดีตรงไหน 21 พระเจ้ายอมรับอับราฮัมบรรพบุรุษของเรา ก็เพราะการกระทำของท่าน ตอนที่ท่านถวายลูกชายคืออิสอัคบนแท่นบูชา 22 เห็นไหมว่า ความเชื่อกับการกระทำของท่านนั้นไปด้วยกัน และเพราะการกระทำนั้นเอง จึงทำให้ความเชื่อของท่านสมบูรณ์ 23 นี่ทำให้เห็นชัดเจนถึงความหมายของข้อพระคัมภีร์ที่ว่า “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และความเชื่อของท่าน ก็ทำให้พระเจ้ายอมรับท่าน”[bt] และด้วยเหตุนี้ ท่านถึงได้ชื่อว่าเป็น “เพื่อนของพระเจ้า”[bu] 24 เห็นไหมว่า คนที่พระเจ้าจะยอมรับนั้น จะต้องมีการกระทำด้วย ไม่ใช่มีแต่ความเชื่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

25 ดูอย่างราหับสิ เธอเป็นหญิงโสเภณี แต่พระเจ้าก็ยอมรับเธอเพราะการกระทำของเธอ ตอนที่เธอให้ที่พักกับพวกผู้สอดแนม และช่วยให้พวกเขาหลบหนีไปทางอื่น

26 ดูอย่างร่างกายที่ไม่มีวิญญาณสิ ก็ตายแล้ว ความเชื่อที่ไม่มีการกระทำก็ตายแล้วเหมือนกัน

ให้ระมัดระวังคำพูด

พี่น้องครับ อย่าอยากเป็นครูกันมากนักเลย เพราะรู้กันอยู่แล้วว่า พวกครูทั้งหลายจะถูกตัดสินเข้มงวดกว่าคนอื่นๆ เพราะเราทุกคนทำผิดพลาดกันอยู่เรื่อย ถ้าใครที่บังคับลิ้นไม่ให้พูดผิดพลาดได้ คนๆนั้นก็เป็นคนดีพร้อม เขาก็จะบังคับส่วนอื่นๆในตัวเขาได้ด้วย ดูอย่างม้าสิ ถ้าเราอยากให้มันเชื่อฟัง เราก็เอาบังเหียนใส่ไว้ในปากของมัน เท่านี้เราก็บังคับมันได้ทั้งตัวแล้ว ดูอย่างเรือสิ ถึงแม้จะลำใหญ่โตแล่นไปด้วยกระแสลมแรง แต่ก็ถูกบังคับด้วยหางเสืออันเล็กๆเท่านั้น คนขับก็บังคับให้แล่นไปไหนมาไหนได้ตามชอบใจ ก็เหมือนกับลิ้น ถึงแม้จะเป็นอวัยวะเล็กๆแต่โม้เรื่องใหญ่โตได้ คิดดูสิ ไฟป่าที่ลุกลามใหญ่โตนั้นเกิดจากเปลวไฟเล็กๆเท่านั้น ลิ้นก็คือไฟนี่แหละ มันเป็นโลกของความชั่วร้าย ที่อยู่ท่ามกลางอวัยวะอื่นๆของร่างกายเรา และมันทำให้ทั้งร่างของเราเสื่อมไป มันเผาเราทั้งชีวิตด้วยไฟที่ตรงมาจากนรก สัตว์ทุกชนิดทำให้เชื่องได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น นก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์น้ำ แล้วก็มีคนเคยทำให้พวกมันเชื่องมาแล้วด้วย แต่กับลิ้นนี่ ไม่มีใครทำให้มันเชื่องได้เลย มันดุร้ายและชั่วช้า เต็มไปด้วยพิษสงถึงตายได้ เราใช้ลิ้นสรรเสริญองค์เจ้าชีวิต และพระบิดา และเราก็ใช้มันสาปแช่งคนที่พระเจ้าสร้างมาตามแบบของพระองค์ด้วย 10 ปากอันเดียวกันนี้แหละ ที่มีทั้งคำสรรเสริญ และคำสาปแช่งออกมา ขออย่าให้เป็นอย่างนี้เลยครับพี่น้อง 11 จะให้น้ำจืดและน้ำเค็มพุ่งออกมาจากตาน้ำอันเดียวกันได้อย่างไร 12 พี่น้องครับ จะให้ต้นมะเดื่อออกลูกเป็นมะกอกเทศ หรือจะให้ต้นองุ่นออกลูกเป็นมะเดื่อได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ น้ำพุที่ให้น้ำเค็มจะให้น้ำจืดด้วย ก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International