Bible in 90 Days
ชาวยิวบางคนต่อต้านสเทเฟน
8 สเทเฟน คนที่เต็มไปด้วยความเมตตาและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ทำสิ่งมหัศจรรย์และปาฏิหาริย์มากมายต่อหน้าประชาชน 9 แต่มีบางคนที่มาจากที่ประชุมชาวยิวที่เป็นอิสระจากการเป็นทาสแล้ว (เป็นชื่อที่เขาเรียกกัน) พวกเขาเป็นพวกยิวที่มาจากเมืองไซรีน เมืองอเล็กซานเดรีย แคว้นซิลีเซีย และเอเชียได้มาโต้เถียงกับสเทเฟน 10 แต่พวกเขาเถียงสู้สเทเฟนไม่ได้ เพราะสเทเฟนพูดด้วยสติปัญญาที่มาจากพระวิญญาณ 11 ดังนั้นพวกเขาจึงติดสินบนชายบางคนให้พูดว่า “เราได้ยินชายคนนี้พูดดูหมิ่นโมเสสและพระเจ้า” 12 พวกนี้ยุยงให้ประชาชน ผู้นำอาวุโสและครูสอนกฎปฏิบัติ จับสเทเฟนและเอาตัวไปที่สภา 13 พวกเขานำพยานเท็จมาปรักปรำว่า “ชายคนนี้พูดต่อต้านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และต่อต้านกฎปฏิบัติตลอดเวลาไม่เคยหยุดเลย 14 เพราะพวกเราได้ยินเขาพูดว่า เยซูชาวนาซาเร็ธจะทำลายสถานที่แห่งนี้และจะเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมปฏิบัติที่โมเสสให้กับเราไว้” 15 ทุกคนที่นั่งอยู่ในสภาต่างจ้องไปที่สเทเฟน และเห็นว่าใบหน้าของเขาดูเหมือนใบหน้าของทูตสวรรค์
สเทเฟนพูดต่อหน้าสภา
7 หัวหน้านักบวชสูงสุดถามสเทเฟนว่า “เป็นจริงอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า” 2 เขาก็ตอบว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย และพวกพี่น้อง ฟังผมก่อน พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้ปรากฏตัวต่ออับราฮัมบรรพบุรุษของเราตอนที่ท่านยังอยู่ที่เมโสโปเตเมีย ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่ฮาราน 3 พระองค์ได้พูดกับอับราฮัมว่า ‘ออกจากประเทศและพาญาติพี่น้องของเจ้าไปยังดินแดนที่เราจะแสดงให้เจ้าได้เห็น’[a] 4 ดังนั้นอับราฮัมจึงออกจากดินแดนของชาวเคลเดียและมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองฮาราน หลังจากที่พ่อของอับราฮัมตาย พระเจ้าก็ให้เขาออกจากที่นั่น มายังดินแดนที่พวกท่านอาศัยอยู่เดี๋ยวนี้ 5 ในตอนนั้นพระเจ้าไม่ได้ให้อับราฮัมครอบครองที่ดินตรงนี้แม้แต่ฝ่าเท้าเดียว แต่พระองค์สัญญาที่จะให้แผ่นดินทั้งหมดนี้กับเขาและลูกหลานของเขา ทั้งๆที่ตอนนั้นอับราฮัมยังไม่มีลูกเลย 6 พระเจ้าพูดกับเขาว่า ‘ลูกหลานของเจ้าจะเป็นคนแปลกหน้าในดินแดนต่างด้าว ผู้คนที่นั่นจะบังคับพวกเขาให้เป็นทาส และจะทำต่อลูกหลานของเจ้าอย่างเลวร้ายเป็นเวลาสี่ร้อยปี 7 แต่เราจะลงโทษชนชาตินั้น ที่ทำให้ลูกหลานของเจ้าต้องตกเป็นทาส’[b] พระเจ้ายังบอกอีกว่า ‘หลังจากนั้นพวกเขาจะออกจากดินแดนแห่งนั้น และมากราบไหว้บูชาเราในสถานที่แห่งนี้’[c] 8 พระเจ้าได้ทำข้อตกลงกับอับราฮัม การขลิบเป็นเครื่องหมายของข้อตกลงนี้ แล้วอับราฮัมมีลูกชื่ออิสอัค พออิสอัคเกิดได้แปดวัน อับราฮัมก็ขลิบให้กับเขา ต่อมาอิสอัค มีลูกคือยาโคบ และยาโคบก็มีลูกสิบสองคน ที่เป็นต้นตระกูลต่างๆของเรานั่นเอง 9 ต้นตระกูลพวกนี้ ต่างก็อิจฉาโยเซฟน้องชายของตน จึงขายโยเซฟให้ไปเป็นทาสในอียิปต์ แต่พระเจ้าอยู่กับโยเซฟ 10 พระองค์ช่วยให้โยเซฟพ้นจากความทุกข์ยากทุกอย่าง พระเจ้าทำให้โยเซฟเฉลียวฉลาด และทำให้ฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ชอบโยเซฟ ถึงกับแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ปกครองดูแลทั่วทั้งอียิปต์ รวมทั้งทุกอย่างในวังของพระองค์ด้วย 11 ต่อมาทั่วอียิปต์และคานาอันเกิดความอดอยาก ทำให้เดือดร้อนอย่างหนัก บรรพบุรุษของเราไม่มีอาหารกิน 12 เมื่อยาโคบได้ยินว่ามีข้าวในอียิปต์ ก็ส่งบรรพบุรุษของเราไปที่นั่น นี่เป็นเที่ยวแรก 13 ในเที่ยวที่สอง โยเซฟเปิดเผยตัวเองให้พี่น้องของเขารู้ และฟาโรห์ก็ได้รู้จักครอบครัวของโยเซฟด้วย 14 โยเซฟส่งคนไปเชิญยาโคบพ่อของเขา และญาติพี่น้องของเขารวมทั้งหมดเจ็ดสิบห้าคนมาด้วย 15 จากนั้นยาโคบก็ย้ายไปอยู่ที่อียิปต์ และที่นั่นเอง ยาโคบและบรรพบุรุษของเราตายลง 16 ศพของพวกเขาถูกนำกลับไปที่เมืองเชเคม และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพที่อับราฮัมใช้เงินก้อนหนึ่งซื้อมาจากพวกลูกชายของฮาโมร์ในเชเคม 17 เมื่อใกล้ถึงเวลาที่สัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับอับราฮัมจะเป็นจริง จำนวนคนของเราก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในอียิปต์ 18 ในตอนนั้นมีกษัตริย์องค์อื่นที่ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับโยเซฟขึ้นปกครองแผ่นดินอียิปต์ 19 เขาเจ้าเล่ห์หลอกลวงคนของเรา และทารุณโหดร้ายต่อบรรพบุรุษของเรา ด้วยการบังคับให้เอาทารกน้อยของพวกเขาไปทิ้งข้างนอกให้ตาย 20 โมเสสเกิดมาในช่วงนั้น เขาเป็นเด็กที่พิเศษมาก เขาได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในบ้านพ่อของเขาจนอายุครบสามเดือน 21 แล้วก็ถูกนำไปทิ้งข้างนอก ลูกสาวของฟาโรห์เก็บเขาได้ และเอาไปเลี้ยงเป็นลูก 22 โมเสสจึงได้รับการสั่งสอนวิชาความรู้ทั้งหมดของชาวอียิปต์ และเขาก็เป็นคนที่เก่งกาจมากทั้งในด้านคำพูดและการกระทำต่างๆ
23 เมื่อโมเสสมีอายุได้สี่สิบปี เขาตัดสินใจไปเยี่ยมเยียนพี่น้องชาวอิสราเอลของเขา 24 เมื่อเขาเห็นชาวอิสราเอลคนหนึ่งถูกชาวอียิปต์คนหนึ่งรังแก เขาก็เข้าไปช่วยและได้ฆ่าชายชาวอียิปต์คนนั้นเป็นการแก้แค้น 25 โมเสสคิดว่าพี่น้องชาวอิสราเอลคงรู้แล้วว่าพระเจ้าจะใช้เขามาปลดปล่อยให้พวกเขาเป็นอิสระ แต่กลายเป็นว่าชาวอิสราเอลไม่รู้เรื่องเลย 26 พอวันรุ่งขึ้นโมเสสผ่านมาเห็นชาวอิสราเอลสองคนกำลังทะเลาะกัน เขาพยายามเข้าไปไกล่เกลี่ยให้คืนดีกัน โดยพูดว่า ‘นี่ คุณเป็นพี่น้องกัน ทำไมถึงทำร้ายกันล่ะ’ 27 แต่ชายคนที่ทำร้ายเพื่อนบ้านของตนได้ผลักโมเสสออกไป แล้วพูดว่า ‘ใครตั้งให้แกเป็นผู้ปกครองและผู้ตัดสินเรา 28 แกจะฆ่าเราเหมือนที่ฆ่าคนอียิปต์เมื่อวานนี้หรือ’[d] 29 เมื่อโมเสสได้ยินอย่างนั้น ก็หนีไปอาศัยอยู่ในดินแดนมีเดียนในฐานะคนต่างชาติ และเขาก็มีลูกชายสองคนที่นั่น
30 สี่สิบปีผ่านไป ทูตสวรรค์มาปรากฏให้โมเสสเห็นในเปลวไฟที่ลุกอยู่ในพุ่มไม้ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง ใกล้ภูเขาซีนาย 31 เมื่อโมเสสเห็นก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อจะได้เห็นชัดๆก็ได้ยินเสียงขององค์เจ้าชีวิตพูดว่า 32 ‘เราคือพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ’[e] โมเสสกลัวจนตัวสั่นไม่กล้ามองที่พุ่มไม้ 33 แล้วองค์เจ้าชีวิต พูดกับโมเสสอีกว่า ‘ถอดรองเท้า เพราะที่ที่เจ้ายืนอยู่นี้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ 34 เราได้เห็นชาวอียิปต์ข่มเหงประชาชนของเรา และได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพวกเขา เราจึงลงมาเพื่อปลดปล่อยให้พวกเขาเป็นอิสระ มาสิ เราจะส่งเจ้าไปอียิปต์’[f]
35 โมเสสคนนี้แหละที่ถูกชาวอิสราเอลพูดตอกหน้ามาว่า ‘ใครตั้งแกให้เป็นผู้ปกครองและผู้ตัดสินเรา’[g] เขาเป็นคนที่พระเจ้าส่งมาให้เป็นผู้ปกครองและผู้ช่วยชีวิตชาวอิสราเอล โดยพระเจ้าได้พูดผ่านทางทูตสวรรค์ที่ได้มาปรากฏให้เขาเห็นในพุ่มไม้ไฟ 36 โมเสสคือคนที่นำชาวอิสราเอลออกมา เขาทำสิ่งอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ต่างๆในดินแดนอียิปต์ที่ทะเลแดง และในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งเป็นเวลาถึงสี่สิบปี 37 เขาคือโมเสสคนนั้นที่พูดกับประชาชนชาวอิสราเอลว่า ‘พระเจ้าจะส่งผู้พูดแทนพระเจ้าเหมือนอย่างผมให้กับท่านทั้งหลาย ผู้พูดแทนพระเจ้าคนนี้จะมาจากท่ามกลางพี่น้องของท่าน’[h] 38 เขาคือโมเสสคนนั้นที่อยู่กับหมู่ชนชาวอิสราเอลในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง เขาอยู่กับบรรพบุรุษของเราและอยู่กับทูตสวรรค์ที่พูดกับเขาบนภูเขาซีนาย เขาเป็นคนรับถ้อยคำแห่งชีวิตของพระเจ้ามาให้เรา 39 แต่บรรพบุรุษของเราไม่ยอมเชื่อฟังเขา และไม่ยอมรับเขา ในจิตใจบรรพบุรุษเราคิดแต่จะกลับไปอียิปต์ 40 พวกเขาพูดกับอาโรนว่า ‘ช่วยสร้างพวกเทพเจ้าให้มานำทางเราด้วย เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสสคนที่นำเราออกมาจากอียิปต์’[i] 41 ในเวลานั้นพวกเขาปั้นรูปลูกวัวขึ้นมา และเซ่นไหว้รูปปั้นนั้น พวกเขาเฉลิมฉลองสิ่งที่พวกเขาปั้นขึ้นมากับมือ 42 แต่พระเจ้าหันหน้าหนีพวกเขา และพระองค์ปล่อยให้พวกเขากราบไหว้หมู่ดาวในท้องฟ้าตามที่มีเขียนไว้แล้วในหนังสือของผู้พูดแทนพระเจ้าว่า
‘ประชาชนชาวอิสราเอลทั้งหลาย
สัตว์ที่พวกเจ้าฆ่าแล้วเอามาบูชายัญในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งเป็นเวลาถึงสี่สิบปีนั้น
พวกเจ้าไม่ได้บูชาให้กับเราหรอก
43 พวกเจ้าแบกเต็นท์ของพระโมเลค
และเอาดวงดาวของเทพเจ้าเรฟานของพวกเจ้ามาด้วย
ของพวกนี้เป็นรูปบูชาที่พวกเจ้าทำขึ้นมากราบไหว้
ดังนั้นเราจะส่งพวกเจ้าให้ไปเป็นเชลยไกลพ้นเมืองบาบิโลนไปอีก’[j]
44 บรรพบุรุษของพวกเราในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งมีเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย ซึ่งเป็นเต็นท์ที่พระเจ้าบอกให้โมเสสทำขึ้นตามแบบที่พระองค์แสดงให้เขาเห็น 45 เมื่อบรรพบุรุษของเราได้เต็นท์มา ก็นำเข้าไปไว้ในดินแดนที่บรรพบุรุษของเราได้ยึดครองมาจากชนชาติต่างๆที่พระเจ้าได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าบรรพบุรุษของเราโดยการนำของโยชูวา และเต็นท์นี้ก็ได้อยู่ที่นั่นเรื่อยมาจนถึงสมัยของกษัตริย์ดาวิด 46 พระเจ้าชอบใจดาวิดมาก ดาวิดขอสร้างบ้านให้กับพระเจ้าของยาโคบ 47 แต่กลับกลายเป็นซาโลมอนที่สร้างบ้านให้พระองค์ 48 อย่างไรก็ตาม องค์ผู้สูงสุดไม่ได้อยู่ในบ้านที่สร้างด้วยมือของมนุษย์หรอก เหมือนกับที่ผู้พูดแทนพระเจ้า[k] พูดไว้ว่า
49 ‘สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา
และโลกคือแท่นรองเท้าของเรา
องค์เจ้าชีวิตถามว่า แล้วพวกเจ้าจะสร้างบ้านแบบไหนให้กับเราล่ะ
หรือจะให้เราพักผ่อนที่ไหนล่ะ
50 ไม่ใช่มือเราหรอกหรือที่สร้างสรรพสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา’[l]
51 พวกคุณหัวแข็ง ใจแข็งกระด้างและดื้อดึง พวกคุณได้แต่ต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนกับบรรพบุรุษของคุณ 52 มีผู้พูดแทนพระเจ้าคนไหนบ้าง ที่บรรพบุรุษของคุณไม่ได้ข่มเหง พวกเขาฆ่าแม้กระทั่งคนพวกนั้นที่นานมาแล้วได้ประกาศถึงการมาขององค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ และตอนนี้พวกคุณก็ได้ทรยศและฆ่าพระองค์แล้ว 53 พวกคุณนั่นแหละ เป็นพวกที่ได้รับกฎปฏิบัติที่พวกทูตสวรรค์นำมา แต่พวกคุณก็ไม่ยอมเชื่อฟังกฎนั้น”
สเทเฟนถูกฆ่า
54 เมื่อผู้นำชาวยิวได้ยินอย่างนั้น ต่างก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พวกเขาแยกเขี้ยวยิงฟันเข้าใส่สเทเฟน 55 แต่สเทเฟนเต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขามองขึ้นบนท้องฟ้า และได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเห็นพระเยซูยืนอยู่ด้านขวาของพระองค์ 56 เขาจึงพูดขึ้นว่า “ดูนั่นสิ ผมเห็นสวรรค์เปิด และบุตรมนุษย์ยืนอยู่ด้านขวาของพระเจ้า” 57 ขณะเดียวกัน พวกนั้นก็แหกปากร้องตะโกน เอามืออุดหู และต่างวิ่งกรูกันเข้าใส่สเทเฟน 58 พวกเขาลากสเทเฟนออกนอกเมืองและเอาหินขว้างเขา พวกที่พูดปรักปรำใส่ร้ายเขาต่างก็ทิ้งเสื้อคลุมของตนไว้ที่เท้าของชายหนุ่มที่ชื่อเซาโล 59 จากนั้นพวกเขาได้เอาก้อนหินขว้างสเทเฟน ที่กำลังอธิษฐานว่า “พระเยซูเจ้า รับจิตวิญญาณของข้าพเจ้าด้วย” 60 แล้วเขาก็คุกเข่า ร้องเสียงดังว่า “องค์เจ้าชีวิต อย่าถือโทษที่พวกเขาทำบาปครั้งนี้เลย” พออธิษฐานจบ สเทเฟนก็ตาย
8 เซาโลก็เห็นด้วยกับการฆ่าสเทเฟน
ความยุ่งยากในหมู่ผู้เชื่อ
ในช่วงเวลานั้นการข่มเหงหมู่ประชุมของพระเจ้าครั้งยิ่งใหญ่เริ่มต้นในเมืองเยรูซาเล็ม เหล่าผู้เชื่อทั้งหมด ยกเว้นพวกศิษย์เอก ต่างกระจัดกระจายไปทั่วแคว้นยูเดีย และแคว้นสะมาเรีย 2 มีชายบางคนที่ยำเกรงพระเจ้าจัดการฝังศพของสเทเฟน และร้องไห้คร่ำครวญถึงเขาอย่างน่าเวทนา 3 ส่วนเซาโลก็เริ่มทำลายล้างหมู่ประชุมของพระเจ้า ด้วยการฉุดกระชากลากถูทั้งหญิงและชายจากบ้านนั้นบ้านนี้เอาไปขังไว้ในคุก
ฟีลิปประกาศข่าวดีในสะมาเรีย
4 ส่วนผู้เชื่อที่กระจัดกระจายไป ก็ได้ไปประกาศพระคำที่เป็นข่าวดีในที่ทุกหนทุกแห่ง 5 ฟีลิป[m] ไปที่เมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย และประกาศเรื่องกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ให้ผู้คนที่นั่นฟัง 6 เมื่อฝูงชนได้ยินเขาพูดและเห็นปาฏิหาริย์ที่เขาทำ ก็ตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด 7 พวกผีร้ายที่สิงคนต่างกรีดร้องเสียงดัง และออกจากร่างของคนเหล่านั้นไป พวกคนเป็นอัมพาตและคนง่อยได้รับการรักษาจนหาย 8 แล้วเมืองนั้นก็เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี
9 มีชายคนหนึ่งชื่อซีโมน เขาอยู่เมืองนั้นมานานแล้ว และใช้เวทมนตร์คาถาจนทำให้ชาวสะมาเรียทึ่งในตัวเขามาก เขาอ้างตัวเองว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ 10 ประชาชนทุกคนตั้งแต่คนชั้นต่ำจนถึงคนชั้นสูง ต่างก็ให้ความสนใจในตัวเขามาก และพูดกันว่า “ชายคนนี้มีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่เรียกว่า ‘อำนาจมหาศาล’” 11 ผู้คนสนใจซีโมน เพราะเขาทำให้คนทึ่งในเวทมนตร์คาถาของเขามานานแล้ว 12 แต่เมื่อคนพวกนี้มาเชื่อฟีลิปในเรื่องข่าวดีเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และชื่อของพระเยซูกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาทั้งชายและหญิงก็เข้าพิธีจุ่มน้ำ 13 แม้แต่ซีโมนก็เชื่อด้วย และหลังจากเข้าพิธีจุ่มน้ำแล้ว เขาก็ตามฟีลิปไปทุกแห่ง เขาก็ทึ่งเมื่อเห็นปาฏิหาริย์และการอัศจรรย์ที่ฟีลิปทำ
14 เมื่อพวกศิษย์เอกที่เมืองเยรูซาเล็มได้ยินข่าวว่า ชาวสะมาเรียยอมรับพระคำของพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็ส่งเปโตรและยอห์นมา 15 เมื่อเปโตรและยอห์นมาถึงก็อธิษฐานให้กับผู้เชื่อชาวสะมาเรีย เพื่อพวกเขาจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ 16 เพราะว่ายังไม่มีใครได้รับพระวิญญาณ ได้แต่เข้าพิธีจุ่มน้ำในนามของพระเยซูเจ้าเท่านั้น 17 เมื่อเปโตรและยอห์นวางมือลงบน[n] ชาวสะมาเรีย แล้วคนทั้งหมดก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
18 เมื่อซีโมนเห็นพวกศิษย์เอกวางมือลงบนคนพวกนั้นแล้ว พวกเขาก็ได้รับพระวิญญาณ ซีโมนก็เอาเงินมาเสนอให้กับพวกศิษย์เอก 19 บอกว่า “ขอให้ผมมีอำนาจอย่างนี้ด้วย เพื่อว่าทุกคนที่ผมวางมือจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์”
20 เปโตรตวาดซีโมนว่า “ขอให้คุณและเงินของคุณพินาศตลอดไป เพราะคุณคิดว่าเงินสามารถซื้อของประทานของพระเจ้าได้ 21 คุณจะไม่มีวันได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด เพราะใจของคุณไม่ซื่อกับพระเจ้า 22 กลับตัวกลับใจจากความชั่วร้ายแบบนี้ซะ แล้วอธิษฐานถึงองค์เจ้าชีวิต หวังว่าพระองค์อาจจะอภัยให้กับความคิดที่อยู่ในใจคุณ 23 เพราะผมเห็นว่าคุณเต็มไปด้วยพิษของความบาป และมันครอบงำคุณไปทั้งตัว” 24 แล้วซีโมนก็ตอบว่า “พวกท่านช่วยอธิษฐานต่อองค์เจ้าชีวิตให้ผมด้วย เพื่อผมจะได้ไม่เป็นไปอย่างที่ท่านพูด”
25 เมื่อเปโตรและยอห์นได้เป็นพยานและประกาศพระคำขององค์เจ้าชีวิตแล้ว พวกเขาก็กลับไปเมืองเยรูซาเล็ม ในระหว่างทางนั้น พวกเขาบอกข่าวดี ในหมู่บ้านของชาวสะมาเรียหลายแห่ง
ฟีลิปสอนชาวเอธิโอเปีย
26 ทูตสวรรค์ขององค์เจ้าชีวิตองค์หนึ่งพูดกับฟีลิปว่า “เตรียมตัวเดินทางไปทางทิศใต้ตามเส้นทางจากเมืองเยรูซาเล็มถึงเมืองกาซา” (เป็นเส้นทางรกร้าง) 27 ฟีลิปจึงเตรียมพร้อมและออกเดินทาง ที่นั่นมีชายชาวเอธิโอเปียคนหนึ่งซึ่งเป็นขันที เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของพระนางคานดาสี ราชินีของเอธิโอเปีย เขามีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนาง เขาไปกราบไหว้บูชาพระเจ้าที่เมืองเยรูซาเล็มมา 28 ระหว่างที่นั่งรถม้ากลับนั้น เขากำลังอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้าอยู่ 29 แล้วพระวิญญาณพูดกับฟีลิปว่า “เข้าไปใกล้ๆรถม้าคันนั้น” 30 เมื่อฟีลิปวิ่งเข้าไปที่รถม้า ก็ได้ยินเขากำลังอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า ฟีลิปจึงถามว่า “ท่านเข้าใจในสิ่งที่ท่านอ่านหรือเปล่า” 31 เขาตอบว่า “จะเข้าใจได้อย่างไร ไม่มีใครอธิบายให้ฟัง” แล้วเขาก็เชิญฟีลิปขึ้นไปนั่งบนรถม้ากับเขา 32 นี่คือข้อความในพระคัมภีร์ที่เขากำลังอ่านอยู่
“เขาถูกนำไปเหมือนกับแกะที่ถูกเอาไปฆ่า
และเหมือนกับลูกแกะที่สงบนิ่งอยู่ต่อหน้าคนตัดขน
เขาไม่ได้เปิดปากพูดสักคำเดียว
33 เขาถูกทำให้อับอายขายหน้า และไม่ได้รับความยุติธรรม
ใครจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับเชื้อสายของเขาได้
เพราะชีวิตของเขาถูกพรากไปจากโลกนี้แล้ว”[o][p]
34 ขันทีพูดกับฟีลิปว่า “ช่วยบอกหน่อยว่า ผู้พูดแทนพระเจ้ากำลังพูดถึงตัวเอง หรือพูดถึงคนอื่น” 35 แล้วฟีลิปก็เริ่มพูด โดยเริ่มจากพระคัมภีร์ข้อนี้ และอธิบายเรื่องข่าวดีของพระเยซูให้ขันทีฟัง 36 ในระหว่างที่นั่งรถม้าไปตามทางนั้น ก็ผ่านที่ที่มีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงพูดขึ้นว่า “นั่นไงน้ำ มีอะไรขัดข้องไหม ถ้าผมจะเข้าพิธีจุ่มน้ำ” 37 [q] 38 แล้วเขาก็สั่งให้หยุดรถม้า จากนั้นคนทั้งสองคือขันทีกับฟีลิปก็เดินลงไปในน้ำ แล้วฟีลิปก็ทำพิธีจุ่มน้ำให้ขันที 39 เมื่อพวกเขาขึ้นมาจากน้ำ พระวิญญาณขององค์เจ้าชีวิตก็พาฟีลิปไป แล้วขันทีก็ไม่ได้เห็นหน้าฟีลิปอีกเลย จากนั้นขันทีก็เดินทางต่อไปด้วยความดีใจ 40 ส่วนฟีลิปก็มาถึงที่เมืองอาโซทัส และเขาก็ได้เดินทางไปทั่วทุกเมือง ประกาศข่าวดีจนกระทั่งมาถึงเมืองซีซารียา
เซาโลมาเป็นลูกศิษย์พระเยซู
9 ในระหว่างนั้นเซาโลยังคงขู่ฆ่าพวกศิษย์ขององค์เจ้าชีวิต เขาไปหาหัวหน้านักบวชสูงสุด 2 เพื่อขอจดหมายแนะนำตัวต่อผู้นำในที่ประชุมต่างๆของชาวยิวในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าเขาพบคนที่ติดตามแนวทางขององค์เจ้าชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เขาก็จะได้จับกุมตัวกลับมาที่เมืองเยรูซาเล็ม 3 ทันทีที่เซาโลเดินทางใกล้ถึงเมืองดามัสกัส ก็มีแสงสว่างจ้าจากท้องฟ้าส่องลงมารอบตัวเขา 4 เขาล้มลงกับพื้น และได้ยินเสียงพูดว่า “เซาโล เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม”
5 เซาโลพูดว่า “ท่านเป็นใครกัน” พระองค์ตอบว่า “เราคือเยซู คนที่เจ้าข่มเหงไง 6 ลุกขึ้นแล้วเข้าไปในเมือง จะมีคนมาบอกเจ้าเองว่าจะต้องทำอะไรต่อไป”
7 พวกคนที่เดินทางมากับเซาโลยืนงงพูดอะไรไม่ออกเพราะได้ยินเสียง แต่ไม่เห็นตัวคนพูด 8 เซาโลลุกขึ้น แต่เมื่อลืมตาเขากลับมองอะไรไม่เห็นเลย พวกนั้นจึงจูงมือเซาโลพาไปที่เมืองดามัสกัส 9 เซาโลมองอะไรไม่เห็นและไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเป็นเวลาสามวัน
10 ในเมืองดามัสกัส มีศิษย์คนหนึ่งของพระเยซู ชื่ออานาเนีย องค์เจ้าชีวิตได้พูดกับเขาทางนิมิตว่า “อานาเนีย” แล้วเขาก็ตอบว่า “ผมอยู่นี่ครับ องค์เจ้าชีวิต”
11 พระองค์สั่งว่า “ลุกขึ้น ไปที่บ้านของยูดาส[r] ที่อยู่บนถนนตรง ถามหาชายที่ชื่อเซาโลที่มาจากทาร์ซัส ซึ่งตอนนี้เขากำลังอธิษฐานอยู่ 12 เซาโลก็เห็นนิมิตเหมือนกัน เขาเห็นชายชื่ออานาเนีย กำลังเข้ามาในบ้านและวางมือบนตัวเขา เพื่อเขาจะกลับมามองเห็นได้อีก”
13 อานาเนียตอบว่า “องค์เจ้าชีวิต ผมได้ยินเกี่ยวกับเรื่องชั่วๆที่ชายคนนี้ทำกับคนที่เป็นของพระองค์ในเมืองเยรูซาเล็มจากปากของหลายคนแล้ว 14 เขาได้รับอำนาจจากพวกผู้นำนักบวชให้มาจับกุมทุกคนที่ไว้วางใจในพระองค์[s] ที่นี่”
15 แต่องค์เจ้าชีวิตบอกกับอานาเนียว่า “ไปเถอะ เพราะเราได้เลือกชายคนนี้มาเป็นเครื่องมือที่จะไปส่งข่าวเรื่องของเราให้กับคนที่ไม่ใช่ยิว พวกกษัตริย์ และประชาชนชาวอิสราเอล 16 เราเองจะทำให้เซาโลรู้ว่าเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเราขนาดไหน”
17 แล้วอานาเนียก็ไป เขาได้เข้าไปในบ้าน วางมือลงบนเซาโลแล้วพูดว่า “น้องเซาโล พระเยซูเจ้าผู้ที่ได้ปรากฏตัวให้น้องเห็นในระหว่างทางที่มานั้น ได้ส่งผมมาเพื่อทำให้น้องกลับมองเห็นได้อีก และทำให้น้องเต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” 18 มีบางสิ่งดูเหมือนกับเกล็ดตกลงมาจากตาของเซาโลทันที และเขาก็มองเห็นได้อีกครั้ง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาเข้าพิธีจุ่มน้ำ 19 หลังจากกินอาหารแล้ว เขาก็รู้สึกดีขึ้น
เซาโลสั่งสอนในเมืองดามัสกัส
เซาโลพักอยู่กับพวกศิษย์ของพระเยซูในเมืองดามัสกัสหลายวัน 20 แล้วเขาก็ตรงรี่ไปที่ประชุมชาวยิว เริ่มประกาศเรื่องของพระเยซู เขาบอกว่า “พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า”
21 ทุกคนที่ได้ยินเซาโลพูดอย่างนั้น ก็แปลกใจและพูดกันว่า “ไอ้หมอนี่ไม่ใช่หรือ ที่พยายามจะทำลายคนที่เชื่อเยซูที่เมืองเยรูซาเล็ม แล้วที่เขามาที่นี่ ก็เพราะตั้งใจจะมาจับคนพวกนั้นกลับไปให้กับพวกผู้นำนักบวชไม่ใช่หรือ”
22 เซาโลเทศนาอย่างมีพลังมากยิ่งขึ้นว่าพระเยซูคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ จนทำให้คนยิวในเมืองดามัสกัสถึงกับเถียงไม่ออก
23 ต่อมาหลายวัน พวกยิววางแผนที่จะฆ่าเซาโล 24 แต่เซาโลรู้แผนนั้นเสียก่อน พวกนั้นคอยเฝ้าอยู่ที่ประตูเมืองทั้งกลางวันกลางคืนเพื่อจะฆ่าเซาโล 25 แต่พวกศิษย์บางคนที่เซาโลเคยสอนได้พาเขาหนีไปตอนกลางคืน โดยให้เขานั่งในเข่ง แล้วค่อยๆหย่อนเข่งนั้นผ่านช่องกำแพงเมืองลงไปข้างล่าง
เซาโลอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม
26 เมื่อเซาโลกลับมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม เขาพยายามจะเข้าร่วมกับพวกศิษย์ของพระเยซู แต่พวกนั้นต่างหวาดกลัว เพราะไม่เชื่อว่าเซาโลเป็นศิษย์ของพระเยซูจริง 27 แต่บารนาบัสพาเขาไปพบพวกศิษย์เอก และอธิบายให้ฟังว่า ในระหว่างทางเซาโลเจอองค์เจ้าชีวิตได้อย่างไร แล้วพระองค์พูดอะไรกับเซาโลบ้าง บารนาบัสยังเล่าอีกว่า ตอนอยู่ที่เมืองดามัสกัสนั้น เซาโลสอนเรื่องของพระเยซูด้วยความกล้าขนาดไหน 28 พวกศิษย์ก็เลยยอมรับเซาโลมาอยู่ด้วย เขาไปไหนมาไหนอย่างอิสระในเมืองเยรูซาเล็ม และสอนเรื่องขององค์เจ้าชีวิตอย่างกล้าหาญ 29 เขาพูดโต้แย้งกับพวกยิวที่พูดภาษากรีก แต่พวกนั้นกลับพยายามที่จะฆ่าเขา 30 เมื่อพวกพี่น้องรู้เรื่องนี้เข้าก็พาเซาโลลงไปที่เมืองซีซารียา และส่งเขาต่อไปที่เมืองทาร์ซัส
31 จากนั้นหมู่ประชุมของพระเจ้าทั่วทั้งแคว้นยูเดีย กาลิลีและสะมาเรีย ก็อยู่ในช่วงเวลาที่สงบสุข และมีกำลังเข้มแข็งขึ้น เพราะหมู่ประชุมของพระเจ้ามีความเคารพยำเกรงองค์เจ้าชีวิต และได้รับกำลังใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงทำให้มีคนที่เชื่อในพระเยซูเพิ่มมากขึ้น
เปโตรเยี่ยมเมืองลิดดาและยัฟฟา
32 เมื่อเปโตรเดินทางไปทั่วทุกหนทุกแห่งแล้ว เขาได้ไปเยี่ยมคนที่เป็นของพระเจ้าที่อยู่ในเมืองลิดดา 33 ที่นั่นเขาพบชายคนหนึ่งชื่อไอเนอัส ซึ่งเป็นอัมพาตนอนอยู่บนที่นอนมาแปดปีแล้ว 34 เปโตรพูดกับเขาว่า “ไอเนอัส พระเยซูผู้เป็นพระคริสต์ได้รักษาคุณแล้ว ลุกขึ้นมาเก็บที่นอนเถอะ” แล้วไอเนอัสก็ลุกขึ้นมาทันที 35 เมื่อทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองลิดดาและเมืองชาโรนเห็นไอเนอัส พวกเขาก็หันมาติดตามองค์เจ้าชีวิต
36 ที่เมืองยัฟฟา มีศิษย์คนหนึ่งชื่อทาบิธา ตามภาษากรีกเรียกว่า “โดรคัส”[t] เธอหมั่นทำความดีอยู่เสมอและให้ทานกับคนยากจน 37 ในช่วงนั้น เธอไม่สบายและตายไป พวกเขาจึงอาบน้ำศพ และวางร่างเธอไว้ในห้องชั้นบนเพื่อรอจะเอาไปฝัง 38 เมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา เมื่อพวกศิษย์ของพระเยซูได้ยินว่าเปโตรอยู่ในเมืองลิดดา พวกเขาก็ส่งชายสองคนไปอ้อนวอนเขาว่า “ช่วยมากับเราเร็วๆด้วยเถิด” 39 เปโตรจึงจัดของและเดินทางไปกับพวกเขา เมื่อไปถึง พวกเขาก็พาเปโตรขึ้นไปที่ห้องชั้นบน มีพวกแม่ม่ายยืนร้องไห้รอบๆเปโตรอยู่ และชี้ให้เปโตรดูเสื้อคลุมและเสื้อผ้าต่างๆที่โดรคัสทำไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ 40 เปโตรจึงให้ทุกคนออกไปนอกห้อง แล้วเขาก็คุกเข่าลงอธิษฐาน โดยหันหน้าไปที่ศพแล้วพูดว่า “ทาบิธา ลุกขึ้น” เธอก็ลืมตาขึ้นมาทันที และเมื่อเห็นเปโตรเธอก็ลุกขึ้นนั่ง 41 เปโตรจึงยื่นมือช่วยพยุงเธอลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เรียกพวกคนที่เป็นของพระเจ้าและพวกแม่ม่ายเข้ามา และให้พวกเขาเห็นว่าโดรคัสฟื้นจากความตายแล้ว 42 เรื่องนี้รู้กันไปทั่วเมืองยัฟฟาทำให้มีคนมาไว้วางใจในองค์เจ้าชีวิตเป็นจำนวนมาก 43 เปโตรอยู่บ้านของซีโมนช่างฟอกหนังในเมืองยัฟฟาต่อไปอีกหลายวัน
เปโตรและโครเนลิอัส
10 ที่เมืองซีซารียามีนายร้อยคนหนึ่งชื่อโครเนลิอัส เป็นผู้คุมกองร้อยที่มีชื่อเรียกว่า “กองทหารชาวอิตาลี” 2 เขาเป็นคนที่เคร่งศาสนามาก ทั้งเขาและครอบครัวต่างก็เคารพยำเกรงพระเจ้า เขาบริจาคช่วยเหลือคนจน และอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่เสมอ 3 ตอนนั้นเวลาบ่ายสามโมง โครเนลิอัสได้เห็นนิมิตอย่างชัดเจน คือเขาเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าเข้ามาพูดกับเขาว่า “โครเนลิอัส”
4 โครเนลิอัสมองทูตสวรรค์ด้วยความเกรงกลัว และถามว่า “อะไรหรือครับท่าน” ทูตสวรรค์จึงพูดกับเขาว่า “พระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของคุณแล้ว และชอบใจที่คุณได้บริจาคช่วยเหลือคนจน 5 ตอนนี้ให้ส่งคนไปที่เมืองยัฟฟา ไปพาชายชื่อซีโมนที่คนเรียกว่าเปโตรมาหาคุณ 6 เขาพักอยู่กับช่างฟอกหนังชื่อซีโมน บ้านอยู่ริมทะเล” 7 เมื่อทูตสวรรค์พูดกับโครเนลิอัสแล้วก็จากไป โครเนลิอัสจึงเรียกคนใช้ในบ้านมาสองคน พร้อมกับทหารคนสนิทที่เคร่งศาสนามาคนหนึ่ง 8 และเขาก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พวกเขาฟัง จากนั้นก็ส่งพวกเขาไปเมืองยัฟฟา
9 วันต่อมาขณะที่คนพวกนี้กำลังเดินทางใกล้ถึงเมืองยัฟฟา เป็นเวลาเดียวกับที่เปโตรได้ขึ้นไปอธิษฐานบนดาดฟ้า ตอนใกล้เที่ยงวัน 10 เขาเริ่มหิวและอยากกินอาหาร ขณะที่คนในบ้านกำลังเตรียมอาหารอยู่นั้น เปโตรก็เคลิ้มหลับไป 11 เขาเห็นท้องฟ้าเปิด และเห็นสิ่งที่ดูเหมือนกับผ้าผืนใหญ่ลอยลงมา ผ้าผืนนั้นถูกยึดไว้ทั้งสี่มุมและหย่อนลงมาที่พื้นโลก 12 ในนั้นมีสัตว์ทุกชนิด ทั้งสัตว์เลื้อยคลานและนก 13 และมีเสียงพูดว่า “เปโตร ลุกขึ้นมาฆ่าสัตว์พวกนี้กินสิ” 14 เปโตรตอบว่า “ไม่ได้หรอกครับองค์เจ้าชีวิต เพราะผมไม่เคยกินสิ่งพวกนี้ที่เป็นของต้องห้ามหรือแปดเปื้อนตามกฎของโมเสส”
15 เสียงนั้นก็พูดอีกครั้งว่า “ของอะไรที่พระเจ้าทำให้สะอาดแล้ว เจ้าไม่ควรถือว่ามันไม่สะอาด” 16 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นถึงสามครั้ง แล้วของทั้งหมดก็ถูกนำกลับขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที
17 เปโตรกำลังงงงวยว่านิมิตที่เห็นนี้หมายถึงอะไร พอดีคนที่โครเนลิอัสส่งมาก็กำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู และถามหาบ้านของซีโมน 18 ชายกลุ่มนั้นร้องถามว่า “ซีโมนที่คนเรียกว่าเปโตรพักอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ”
19 พระวิญญาณพูดกับเปโตรที่ยังคิดถึงเรื่องนิมิตอยู่ว่า “ฟังสิ มีชายสามคนมาถามหาเจ้าอยู่ 20 ลุกขึ้น ลงไปข้างล่างเถอะ และให้ไปกับพวกเขาโดยไม่ต้องลังเลอะไรเลย เพราะเราเป็นคนเรียกให้พวกเขามาเอง” 21 แล้วเปโตรก็ลงไปพูดกับพวกเขาว่า “ผมเองที่พวกคุณตามหา มีธุระอะไรหรือ”
22 พวกเขาตอบว่า “นายร้อยโครเนลิอัส เป็นคนส่งพวกเรามา เขาเป็นคนดี แล้วเขาเคารพยำเกรงพระเจ้า ชาวยิวยกย่องนับถือเขาทุกคน ทูตสวรรค์ที่ศักดิ์สิทธิ์บอกให้เขามาเชิญท่านไปที่บ้าน เพื่อจะได้ฟังเรื่องที่ท่านจะเล่า” 23 เปโตรก็เลยชวนชายทั้งสามพักที่บ้าน วันรุ่งขึ้น เปโตรได้จัดของและไปกับพวกเขา มีพี่น้องบางคนจากเมืองยัฟฟาตามไปด้วย 24 ถัดมาอีกวันหนึ่งพวกเขาก็มาถึงเมืองซีซารียา ขณะนั้นโครเนลิอัสกำลังคอยพวกเขาอยู่ เขาเชิญญาติพี่น้องและเพื่อนสนิทมาด้วย 25 เมื่อโครเนลิอัสเห็นเปโตรเดินเข้ามาในบ้าน เขาก็ก้มลงกราบที่เท้าของเปโตร 26 แต่เปโตรพยุงเขาขึ้นและพูดว่า “ลุกขึ้นเถิด ผมก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น” 27 ตอนที่เปโตรพูดกับโครเนลิอัส เขาก็เดินเข้าไปข้างใน และพบกับกลุ่มคนที่มารวมกันอยู่ที่นั่นมากมาย 28 เปโตรพูดกับพวกเขาว่า “คุณก็รู้ว่า มันผิดกฎนะ ที่คนยิวจะไปคบค้าสมาคมหรือมาเยี่ยมเยียนคนที่ไม่ใช่ยิว แต่พระเจ้าได้แสดงให้ผมเห็นว่า ไม่ควรจะเรียกใครว่าคนต้องห้าม หรือไม่สะอาด 29 ดังนั้นพอมีคนไปเชิญผมมา ผมก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แต่ผมขอถามหน่อยว่า คุณเชิญผมมาทำไม”
30 โครเนลิอัสจึงตอบว่า “เมื่อสี่วันก่อน เวลานี้ตอนบ่ายสามโมง ผมกำลังอธิษฐานอยู่ในบ้าน จู่ๆก็มีชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าแพรวพราวมายืนอยู่ตรงหน้า 31 เขาพูดว่า ‘โครเนลิอัส พระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว และสิ่งของที่เจ้าบริจาคช่วยเหลือคนจนนั้น ก็ทำให้พระเจ้านึกถึงเจ้า 32 ให้เจ้าส่งคนไปเมืองยัฟฟา เพื่อเชิญซีโมนที่คนเรียกว่าเปโตรมาที่นี่ เขาพักอยู่ที่บ้านของซีโมนช่างฟอกหนัง ที่ติดทะเลนั้น’ 33 ผมจึงส่งคนไปเชิญท่านมาทันที และท่านก็กรุณามากที่มา ตอนนี้พวกเราก็ได้อยู่กันพร้อมแล้วที่นี่ต่อหน้าพระเจ้า เพื่อฟังทุกสิ่งที่องค์เจ้าชีวิตสั่งให้ท่านพูด”
เปโตรประกาศข่าวดีที่บ้านของโครเนลิอัส
34 เปโตรจึงเริ่มพูดว่า “ตอนนี้ผมเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าพระเจ้าไม่ได้ลำเอียง 35 พระองค์ยอมรับคนทุกชาติที่เคารพยำเกรงพระองค์ และทำตามความต้องการของพระองค์ 36 คุณรู้ถึงพระคำที่พระเจ้าได้มอบให้กับชาวอิสราเอล ที่พูดถึงข่าวดีแห่งสันติภาพที่ผ่านมาทางพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์ผู้เป็นองค์เจ้าชีวิตของมนุษย์ทุกคน 37 คุณรู้ถึงเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วแคว้นยูเดีย เริ่มตั้งแต่แคว้นกาลิลีหลังจากที่ยอห์นได้ประกาศเรื่องการทำพิธีจุ่มน้ำ 38 คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูชาวนาซาเร็ธว่าพระเจ้าเจิมพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธิ์อำนาจอย่างไร และพระเยซูได้ทำสิ่งดีๆไปทั่ว และรักษาทุกคนที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของมารร้าย ที่พระองค์ทำได้ก็เพราะพระองค์มีพระเจ้าอยู่ด้วย 39 เราก็ได้เห็นและเป็นพยานถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทำในดินแดนของชาวยิวและในเมืองเยรูซาเล็ม พวกเขาฆ่าพระองค์โดยจับไปตรึงบนไม้กางเขน 40 แต่พระเจ้าทำให้พระองค์ฟื้นจากความตายในวันที่สาม และให้พระองค์มาปรากฏตัวให้เห็น 41 แต่ไม่ใช่กับคนยิวทุกคน พระองค์ปรากฏตัวเฉพาะกับคนที่พระเจ้าได้เลือกไว้ก่อนหน้านี้ที่จะให้มาเป็นพยานเท่านั้น พยานพวกนี้ก็คือพวกเราที่ได้กินและดื่มกับพระองค์หลังจากที่พระองค์ฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว 42 พระเยซูสั่งให้พวกเราออกไปประกาศกับคนทั่วไป และเป็นพยานว่า พระองค์เป็นคนนั้นที่พระเจ้าได้แต่งตั้งไว้ให้เป็นผู้ตัดสินทั้งคนเป็นและคนตาย 43 พวกผู้พูดแทนพระเจ้าทุกคนต่างเป็นพยานให้พระองค์ว่า พระเยซูจะยกโทษบาปให้กับทุกคนที่ไว้วางใจในพระองค์”
คนที่ไม่ใช่ยิวได้รับพระวิญญาณ
44 ขณะที่เปโตรกำลังพูดอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ลงมาอยู่กับทุกคนที่ได้ฟังพระคำของพระเจ้า 45 พวกยิวที่เชื่อในพระเยซูที่มากับเปโตรต่างพากันประหลาดใจ เพราะพระเจ้าได้เทของขวัญแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับคนที่ไม่ใช่ยิวด้วย 46 เพราะพวกเขาได้ยินคนที่ไม่ใช่ยิวพวกนี้พูดภาษาที่ไม่รู้จัก[u] และยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เปโตรพูดขึ้นว่า 47 “ใครจะห้ามคนพวกนี้ ไม่ให้เข้าพิธีจุ่มน้ำได้ล่ะ ในเมื่อพวกเขาก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนกับพวกเรา” 48 เปโตรจึงสั่งให้พวกเขาเข้าพิธีจุ่มน้ำในนามของพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์ จากนั้นพวกเขาก็ได้ชวนให้เปโตรพักอยู่กับพวกเขาอีกสองสามวัน
เปโตรกลับเมืองเยรูซาเล็ม
11 พวกศิษย์เอกและพวกพี่น้องที่อยู่ทั่วแคว้นยูเดียได้ยินว่า คนที่ไม่ใช่ยิวยอมรับพระคำของพระเจ้าด้วยเหมือนกัน 2 ดังนั้นเมื่อเปโตรกลับมาที่เมืองเยรูซาเล็ม ชาวยิวก็พากันต่อว่าเขา 3 ว่า “คุณเข้าไปในบ้านของพวกที่ไม่ได้เข้าพิธีขลิบ และยังกินอาหารร่วมกับพวกเขาด้วย”
4 เปโตรจึงเริ่มอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟังว่า 5 “ตอนที่ผมกำลังอธิษฐานอยู่ที่เมืองยัฟฟานั้น ผมเคลิ้มไปและได้เห็นนิมิต มีสิ่งที่ดูเหมือนกับผ้าผืนใหญ่ลอยลงมา ผ้าผืนนั้นถูกยึดไว้ทั้งสี่มุมหย่อนลงมาหาผมจากฟ้า 6 ผมจ้องเข้าไปในผ้าผืนนั้นอย่างจดจ่อ ก็เห็นสัตว์บกสี่เท้า สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลานและพวกนกต่างๆ 7 แล้วผมก็ได้ยินเสียงพูดว่า ‘ลุกขึ้นเปโตร ฆ่าสัตว์พวกนี้กินสิ’ 8 แต่ผมตอบว่า ‘ไม่ได้หรอกองค์เจ้าชีวิต ผมไม่เคยกินของต้องห้ามหรือแปดเปื้อนตามกฎของโมเสส อย่างสัตว์พวกนี้เลย’ 9 มีเสียงพูดจากท้องฟ้าเป็นครั้งที่สองว่า ‘สิ่งที่พระเจ้าทำให้สะอาดแล้ว เจ้าไม่ควรถือว่าไม่สะอาด’ 10 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแบบเดียวกันถึงสามครั้ง แล้วทุกอย่างก็ถูกดึงกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า 11 ทันใดนั้นก็มีคนสามคนมาถึงบ้านที่ผมอยู่ พวกเขาถูกส่งมาจากเมืองซีซารียาเพื่อมาหาผม 12 พระวิญญาณบอกให้ผมไปกับพวกเขาโดยไม่ต้องลังเล พี่น้องทั้งหกคนนี้จึงไปกับผมด้วย และพวกเราเข้าไปในบ้านของโครเนลิอัส 13 โครเนลิอัสบอกพวกเราว่า เขาได้เห็นทูตสวรรค์ยืนอยู่ในบ้านของเขาและพูดว่า ‘ให้ส่งคนไปที่เมืองยัฟฟา ไปพาซีโมนที่คนเรียกว่าเปโตรมา 14 เขาจะบอกข่าวสารที่จะทำให้ท่านและสมาชิกในครอบครัวของท่านได้รับความรอด’ 15 เมื่อผมเริ่มพูด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ลงมาบนพวกเขา เหมือนกับที่มาหาพวกเราในตอนเริ่มต้น[v] 16 ทำให้ผมคิดได้ถึงสิ่งที่องค์เจ้าชีวิตพูดไว้ว่า ‘ยอห์นได้ทำพิธีจุ่มด้วยน้ำ แต่พวกเจ้าจะได้เข้าพิธีจุ่มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ 17 ดังนั้นถ้าพระเจ้าให้ของขวัญกับพวกเขาแบบเดียวกับที่พระองค์ให้กับพวกเราตอนที่พวกเราไว้วางใจในพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์และองค์เจ้าชีวิตแล้วละก็ ผมเป็นใครล่ะ ที่จะไปขัดขวางพระเจ้า”
18 เมื่อพวกชาวยิวที่ไว้วางใจในพระเยซูได้ยินอย่างนั้น พวกเขาก็เลิกต่อว่าเปโตร แล้วต่างสรรเสริญพระเจ้าว่า “ถ้าอย่างนั้น พระเจ้าก็ได้ให้โอกาส แม้แต่คนที่ไม่ใช่ยิว ที่จะกลับตัวกลับใจเสียใหม่เพื่อจะได้มีชีวิตรอดด้วย”
ข่าวดีมาถึงเมืองอันทิโอก
19 พวกที่ไว้วางใจในพระเยซูที่ได้กระจัดกระจายไปในช่วงที่มีการข่มเหงเกิดขึ้นหลังจากที่สเทเฟนตาย ต่างก็พากันไปไกลถึงดินแดนฟีนีเซีย เกาะไซปรัสและเมืองอันทิโอก พวกนี้ได้ไปประกาศพระคำของพระเจ้าให้แต่เฉพาะคนยิวเท่านั้น 20 บางคนในพวกที่เชื่อนี้ ก็มาจากเกาะไซปรัสและไซรีน และเมื่อพวกเขามาถึงเมืองอันทิโอก พวกเขาก็เริ่มประกาศข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าให้กับคนกรีกด้วย 21 พวกเขาเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจขององค์เจ้าชีวิต ทำให้มีคนมาเชื่อและหันกลับมาหาองค์เจ้าชีวิตเป็นจำนวนมาก 22 เมื่อหมู่ประชุมของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็มรู้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ได้ส่งบารนาบัสมาที่เมืองอันทิโอก 23 เมื่อบารนาบัสมาถึง และเห็นว่าพระเจ้าได้อวยพรคนที่นั่นขนาดไหน เขาก็ดีใจและให้กำลังใจกับคนที่เชื่อในพระเยซูทุกๆคนที่เมืองอันทิโอก และบอกให้รักษาความเชื่อที่มีต่อองค์เจ้าชีวิตอย่างสุดหัวใจ 24 บารนาบัสเป็นคนดี เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และมีความเชื่อที่เข้มแข็ง แล้วมีคนมากมายได้มาเชื่อในองค์เจ้าชีวิต
25 จากนั้นบารนาบัสไปหาเซาโลที่เมืองทาร์ซัส 26 เมื่อพบเซาโลแล้ว เขาพาเซาโลไปที่เมืองอันทิโอก และทั้งสองคนร่วมประชุมอยู่กับหมู่ประชุมของพระเจ้าในเมืองอันทิโอกเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม พวกเขาสั่งสอนคนเป็นจำนวนมาก และที่เมืองอันทิโอกนี่เองที่พวกศิษย์ของพระเยซูได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนครั้งแรก
27 ในช่วงนี้ มีผู้พูดแทนพระเจ้าบางคนเดินทางจากเมืองเยรูซาเล็มมาที่เมืองอันทิโอก 28 คนหนึ่งในนั้นชื่อว่าอากาบัส ได้ยืนทำนายผ่านทางพระวิญญาณว่า จะเกิดการกันดารอาหารอย่างรุนแรงทั่วโลก (ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นในสมัยของจักรพรรดิคลาวดิอัส[w]) 29 ดังนั้นศิษย์แต่ละคนจึงได้ตกลงกันที่จะส่งความช่วยเหลือไปให้กับพี่น้องที่อาศัยในแคว้นยูเดียมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 30 พวกเขาได้ทำตามที่ตกลงกัน และฝากของเหล่านั้นไปกับบารนาบัสและเซาโล เพื่อเอาไปให้ผู้นำอาวุโสของหมู่ประชุมของพระเจ้าที่นั่น
กษัตริย์เฮโรดข่มเหงศิษย์พระคริสต์
12 ในช่วงเวลานั้นกษัตริย์เฮโรด[x]ได้ข่มเหงทำร้ายหมู่ประชุมของพระเจ้า 2 พระองค์สั่งให้ตัดหัวยากอบพี่ชายของยอห์น 3 เมื่อเฮโรดเห็นว่าชาวยิวชอบใจการกระทำครั้งนี้ พระองค์จึงให้จับเปโตรไปด้วย (ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ) 4 หลังจากเฮโรดจับเปโตรแล้ว ก็เอาไปขังไว้ในคุก เฮโรดให้ทหารสี่หมู่ หมู่ละสี่คนเฝ้าเปโตรไว้ เฮโรดตั้งใจว่าจะนำตัวเปโตรออกไปตัดสินต่อหน้าประชาชนหลังจากพิธีฉลองเทศกาลวันปลดปล่อยเสร็จสิ้นลง 5 เปโตรจึงถูกขังไว้ในคุก และหมู่ประชุมของพระเจ้าต่างพากันอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างจริงจังเพื่อเปโตร
เปโตรออกจากคุก
6 คืนก่อนที่เฮโรดจะนำเปโตรออกมาจากคุกเพื่อตัดสินลงโทษ เปโตรกำลังนอนหลับอยู่โดยมีทหารสองคนขนาบข้าง มีโซ่สองเส้นล่ามเขาไว้ และมีทหารยามเฝ้าอยู่หน้าประตูคุก 7 ทันใดนั้นทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์เจ้าชีวิตก็มายืนอยู่ตรงนั้น และมีแสงสว่างส่องเข้ามาในห้องขัง ทูตสวรรค์กระทุ้งสีข้างของเปโตรให้ตื่นและพูดว่า “ลุกขึ้นเร็ว” ทันใดนั้นโซ่ก็หลุดออกจากมือของเปโตร 8 ทูตสวรรค์พูดกับเขาว่า “แต่งตัวและสวมรองเท้าสิ” เปโตรทำตาม จากนั้นทูตสวรรค์พูดอีกว่า “สวมเสื้อคลุม แล้วตามเรามา” 9 เปโตรจึงตามทูตสวรรค์ออกไป โดยไม่รู้ว่า ที่ทูตสวรรค์กำลังทำนั้นเป็นความจริง เพราะเขาคิดว่าเห็นนิมิตอยู่ 10 ทั้งสองเดินผ่านยามชั้นที่หนึ่งและยามชั้นที่สอง จนมาถึงประตูเหล็กที่นำเข้าไปในเมือง ประตูนั้นก็เปิดออกเองให้ทั้งสองออกไป ทั้งสองเดินไปตามถนนสายหนึ่ง แล้วทูตสวรรค์ก็หายไปทันที
11 เปโตรรู้สึกตัวและพูดว่า “ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันเป็นความจริง องค์เจ้าชีวิตได้ส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาช่วยชีวิตผมให้รอดพ้นจากอำนาจของเฮโรด และจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวยิวกำลังคาดหวังจะให้เกิดขึ้นกับผม”
12 เมื่อเปโตรคิดได้แล้ว เขาก็ไปที่บ้านของมารีย์แม่ของยอห์น หรือที่คนเรียกว่า มาระโก ที่นั่นมีคนจำนวนมากชุมนุมและอธิษฐานกันอยู่ 13 เปโตรมาเคาะประตู มีหญิงคนใช้ชื่อว่า โรดา เดินมาถามว่าใครมา 14 เมื่อเธอจำได้ว่าเป็นเสียงของเปโตร ก็วิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความดีใจโดยไม่ได้เปิดประตูให้เขาก่อน เธอไปบอกกับทุกๆคนว่าเปโตรกำลังยืนอยู่ที่ประตู 15 คนเหล่านั้นย้อนเธอว่า “จะบ้าหรือ” แต่เธอยืนยันว่าเป็นความจริง พวกเขาจึงว่า “น่าจะเป็นทูตสวรรค์ของเปโตร”
16 ส่วนเปโตรยังคงเคาะประตูอยู่ เมื่อพวกเขาเปิดประตูและเห็นเปโตรก็พากันประหลาดใจมาก 17 เปโตรโบกมือให้เงียบ แล้วก็เล่าให้พวกเขาฟังว่า องค์เจ้าชีวิตช่วยเขาออกมาจากคุกได้อย่างไร แล้วเปโตรพูดอีกว่า “ไปเล่าเรื่องนี้ให้ยากอบกับพวกพี่น้องรู้ด้วย” จากนั้นเปโตรก็จากไปที่อื่น
18 พอรุ่งเช้าพวกทหารต่างสับสนอลหม่าน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเปโตร 19 หลังจากเฮโรดค้นหาเปโตร แต่หาไม่พบ พระองค์จึงไต่สวนพวกทหารยามและสั่งให้นำทหารยามไปฆ่า
กษัตริย์เฮโรดตาย
หลังจากนั้นเฮโรดได้เดินทางจากแคว้นยูเดียไปพักอยู่ที่เมืองซีซารียาชั่วคราว 20 กษัตริย์เฮโรดโกรธประชาชนชาวไทระและชาวเมืองไซดอนมาก พวกชาวเมืองจึงได้ไปเกลี้ยกล่อมบลัสตัสคนใช้ส่วนตัวของกษัตริย์เฮโรดให้เข้าข้างพวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาจึงส่งกลุ่มตัวแทนมาขอคืนดีกับเฮโรด เพราะว่าต้องพึ่งอาหารจากดินแดนของเฮโรด
21 เมื่อถึงวันนัดหมาย เฮโรดแต่งตัวชุดกษัตริย์เต็มยศ นั่งอยู่บนบัลลังก์ และพูดกับประชาชน 22 ผู้คนต่างพากันตะโกนเสียงดังว่า “นี่คือเสียงของพระเจ้า ไม่ใช่เสียงของมนุษย์” 23 แต่เฮโรดไม่ได้ให้เกียรติกับพระเจ้า ทูตสวรรค์ขององค์เจ้าชีวิตก็เลยทำให้เฮโรดล้มป่วยทันที แล้วสุดท้ายร่างของเฮโรดก็ถูกพยาธิกัดกินจนตาย
24 แต่พระคำขององค์เจ้าชีวิตได้แพร่กระจายไปมากขึ้นๆ
25 เมื่อบารนาบัสและเซาโลทำงานในเมืองเยรูซาเล็มเสร็จแล้ว ก็เดินทางกลับไปเมืองอันทิโอก แล้วพายอห์น ซึ่งคนเรียกว่ามาระโกไปด้วย
บารนาบัสและเซาโลได้รับมอบหมายให้ทำงานพิเศษ
13 มีพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และพวกครูในหมู่ประชุมของพระเจ้าที่เมืองอันทิโอก คือ บารนาบัส สิเมโอนหรือที่คนเรียกว่าดำ[y] ลูสิอัสชาวเมืองไซรีน มานาเอน (เพื่อนสนิทของกษัตริย์เฮโรดตั้งแต่เป็นเด็ก) และเซาโล 2 ขณะที่พวกเขานมัสการองค์เจ้าชีวิตและถือศีลอดอาหารอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็พูดว่า “ให้แยกบารนาบัสและเซาโลออกมาสำหรับงานที่เราจะเรียกให้พวกเขาทำ” 3 หลังจากที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้าและพวกครูถือศีลอดอาหารและอธิษฐานเสร็จแล้ว พวกเขาวางมือบนบารนาบัสและเซาโล จากนั้นก็ส่งพวกเขาไป
บารนาบัสและเซาโลไปอยู่ที่เกาะไซปรัส
4 เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ส่งพวกเขาออกไปแล้ว บารนาบัสและเซาโลก็เดินทางลงไปที่เมืองเซลูเคีย และพวกเขานั่งเรือจากที่นั่นต่อไปที่เกาะไซปรัส 5 เมื่อมาถึงเมืองซาลามิส พวกเขาได้ประกาศพระคำของพระเจ้าในที่ประชุมชาวยิว ยอห์นไปกับพวกเขาด้วยในฐานะผู้ช่วย 6 พวกเขาเดินทางรอบเกาะไปจนถึงเมืองปาโฟส ที่นี่เขาได้พบคนยิวชื่อว่าบารเยซูที่ใช้เวทมนตร์คาถาและอ้างว่าตัวเองเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า 7 เขาเป็นที่ปรึกษาของท่านผู้ว่าชื่อ เสอร์จีอัสเปาโล ซึ่งเป็นคนฉลาดหลักแหลม เสอร์จีอัสเปาโลเรียกบารนาบัสและเซาโลมา เพราะอยากฟังพระคำของพระเจ้า 8 แต่เอลีมาสนักเวทมนตร์ขัดขวางเซาโลและบารนาบัส (เอลีมาสเป็นชื่อกรีกที่แปลมาจากบารเยซู) เขาพยายามที่จะยับยั้งท่านผู้ว่าไม่ให้เชื่อในองค์เจ้าชีวิต 9 จากนั้นเซาโลที่คนเรียกว่าเปาโล ก็เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาได้จ้องไปที่เอลีมาส 10 แล้วพูดว่า “ตัวแกเต็มไปด้วยการหลอกลวงและเล่ห์กลชั่วร้ายต่างๆนานา แกเป็นลูกของมาร เป็นศัตรูของความถูกต้องทุกอย่าง แกจะไม่เลิกบิดเบือนหนทางแห่งความถูกต้องขององค์เจ้าชีวิตใช่ไหม 11 ดูสิ มือขององค์เจ้าชีวิตอยู่บนตัวแกแล้ว แกจะตาบอดมองไม่เห็นแสงอาทิตย์ไปสักพัก” ทันใดนั้นความมืดมิดก็เกิดขึ้นกับเอลีมาสทันที เขาเดินคลำไปรอบๆพยายามหาคนมาช่วยจูงมือให้ 12 เมื่อท่านผู้ว่าเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท่านจึงเกิดความเชื่อ เพราะรู้สึกอัศจรรย์ใจในคำสอนเกี่ยวกับองค์เจ้าชีวิต
เปาโลและบารนาบัสไปเมืองอันทิโอกในแคว้นปิสิเดีย
13 เปาโลและเพื่อนๆของเขา นั่งเรือจากเมืองปาโฟสไปที่เมืองเปอร์กาในแคว้นปัมฟีเลีย แต่ยอห์นได้จากพวกเขากลับไปเมืองเยรูซาเล็ม 14 จากเมืองเปอร์กาพวกเขายังคงเดินทางต่อไปจนถึงเมืองอันทิโอกในแคว้นปิสิเดีย และในวันหยุดทางศาสนาเปาโลและบารนาบัส ได้เข้าไปนั่งอยู่ในที่ประชุมชาวยิว 15 หลังจากที่มีการอ่านกฎปฏิบัติของโมเสส และข้อเขียนของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าแล้ว พวกเจ้าหน้าที่ของที่ประชุมชาวยิวได้ส่งบางคนมาบอกกับพวกเขาว่า “พี่น้องครับ ถ้าท่านมีคำพูดที่ให้กำลังใจผู้คน ขอให้พูดออกมาด้วย” 16 เปาโลยืนขึ้นโบกมือ[z] และพูดว่า “ฟังให้ดีชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติที่เคารพยำเกรงพระเจ้า 17 พระเจ้าของเราชาวอิสราเอลเลือกบรรพบุรุษของเรา และทำให้คนของเรายิ่งใหญ่ตอนที่พวกเขาอาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ และพระองค์ก็นำพวกเขาออกจากแผ่นดินนั้นด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 18 พระองค์อดทนกับพวกเขาในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งเป็นเวลาประมาณสี่สิบปี 19 พระองค์ทำลายเจ็ดชนชาติในแผ่นดินคานาอัน และมอบแผ่นดินของชนชาติเหล่านั้นให้กับชาวอิสราเอลไว้ครอบครองเป็นเวลาสี่ร้อยห้าสิบปี 20 หลังจากนั้น พระองค์ได้ให้พวกผู้วินิจฉัยมาปกครองดูแลพวกเขา จนกระทั่งถึงช่วงสมัยของซามูเอลผู้พูดแทนพระเจ้า 21 พวกอิสราเอลก็ร้องขอให้มีกษัตริย์ พระเจ้าจึงมอบซาอูลบุตรชายของคีชที่มาจากเผ่าเบนยามิน ให้เป็นกษัตริย์ปกครองดูแลพวกเขาอยู่ประมาณสี่สิบปี 22 หลังจากที่พระเจ้าปลดซาอูลออกจากตำแหน่งแล้ว ก็ได้ตั้งดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ของชาวอิสราเอล พระองค์พูดเกี่ยวกับดาวิดว่า ‘เราพบว่าดาวิดบุตรของเจสซีคนนี้เป็นคนที่เราชอบมาก เพราะเขาจะทำทุกอย่างที่เราต้องการให้เขาทำ’ 23 จากเชื้อสายของดาวิดนี่แหละ พระเจ้าได้สัญญาไว้ว่า จะให้พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดมาเกิดเพื่อคนอิสราเอล 24 ก่อนที่พระเยซูจะมา ยอห์นได้ประกาศกับคนอิสราเอลทุกคนเรื่องการเข้าพิธีจุ่มน้ำเพื่อแสดงถึงการกลับตัวกลับใจ 25 เมื่อยอห์นทำงานของเขาเสร็จแล้ว เขาพูดว่า ‘พวกคุณคิดว่าผมเป็นใครกัน ผมไม่ใช่คนนั้นที่พระเจ้าสัญญาไว้ แต่จะมีอีกคนหนึ่งที่มาภายหลังผม ซึ่งตัวผมเองยังไม่มีค่าพอที่จะถอดรองเท้าให้เขาเลย’ 26 พี่น้องทั้งหลายผู้เป็นลูกหลานของอับราฮัม และพวกท่านคนต่างชาติที่เคารพยำเกรงพระเจ้า พระเจ้าได้ส่งพระคำแห่งความรอดนี้มาให้กับพวกเรานี่แหละ 27 ส่วนพวกที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ตลอดจนพวกผู้นำของเขาก็ไม่รู้ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พวกเขาได้ประณามพระองค์นั้น ก็ได้เป็นจริงตามคำพูดของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าที่อ่านกันทุกครั้งในวันหยุดทางศาสนา 28 ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะประหารชีวิตพระองค์ แต่พวกเขาก็ยังร้องขอให้ปีลาตฆ่าพระองค์อยู่ดี 29 เมื่อพวกเขาทำทุกอย่างสำเร็จตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้เกี่ยวกับพระเยซูแล้ว พวกเขาเอาร่างของพระองค์ลงมาจากไม้กางเขน และเอาไปวางไว้ในอุโมงค์ฝังศพ 30 แต่พระเจ้าทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย 31 พระเยซูปรากฏตัวให้กับคนที่ติดตามพระองค์ที่มาจากเมืองเยรูซาเล็มและจากแคว้นกาลิลี ได้เห็นเป็นเวลาหลายวัน และตอนนี้พวกเขาได้เล่าเรื่องของพระองค์ให้คนอิสราเอลได้รู้ 32 พวกเราได้บอกพวกคุณเกี่ยวกับข่าวดีที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับบรรพบุรุษของเรา 33 พระเจ้าได้ทำให้คำสัญญานี้เป็นจริงกับพวกเราผู้เป็นลูกหลานของพวกเขาโดยให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย เหมือนกับที่ได้เขียนไว้ในหนังสือสดุดีบทที่สองว่า
‘ท่านเป็นลูกของเรา
วันนี้เราเป็นผู้ให้กำเนิดท่าน’[aa]
34 พระเจ้าได้ทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย และจะไม่มีวันเน่าเปื่อยอีกเลย พระเจ้าประกาศอย่างนี้ว่า
‘เราจะให้พรอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายกับพวกเจ้าอย่างแน่นอนตามที่เราได้สัญญาไว้กับดาวิด’[ab]
35 ยังมีอีกที่หนึ่งในพระคัมภีร์ที่พูดถึงสิ่งนี้ด้วยว่า
‘พระองค์จะไม่ยอมให้ร่างของผู้รับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ต้องเน่าเปื่อย’[ac]
36 ในช่วงที่ดาวิดมีชีวิตอยู่ เขาได้ทำตามความต้องการของพระเจ้า ต่อมาเมื่อเขาตาย และถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษ ร่างของเขาก็เน่าเปื่อยไป 37 แต่พระเยซูที่พระเจ้าทำให้ฟื้นขึ้นจากความตายนั้นไม่เน่าเปื่อย 38 ดังนั้นพี่น้องครับ ผมอยากจะบอกให้รู้ว่า ก็เพราะพระเยซูนี่แหละ บาปของพวกคุณถึงได้รับการยกโทษ กฎของโมเสสไม่สามารถช่วยให้ใครหลุดพ้นจากบาปได้หรอก 39 แต่พระเยซูทำให้ทุกคนที่ไว้วางใจในพระองค์ ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาปเหล่านั้นได้ 40 ระวังให้ดี อย่าให้สิ่งที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้าพูดไว้เกิดขึ้นกับคุณ นั่นคือ
41 ‘ดูก่อน พวกที่ชอบเยาะเย้ยถากถาง
เจ้าจะต้องประหลาดใจและจากนั้นก็ตายไป
เพราะเรากำลังทำสิ่งหนึ่งในช่วงชีวิตของเจ้า
เป็นสิ่งที่เจ้าจะไม่ยอมเชื่อ ถึงแม้มีคนมาบอกก็ตาม’”[ad]
42 เมื่อเปาโลกับบารนาบัสกำลังจะไปจากที่ประชุมชาวยิว ผู้คนได้มาขอให้พวกเขา พูดเรื่องพวกนี้อีกในวันหยุดทางศาสนาครั้งหน้า 43 เมื่อการประชุมเลิกแล้ว มีชาวยิว และพวกที่เปลี่ยนมานับถือศาสนายิวหลายคนติดตามเปาโลและบารนาบัสไป ทั้งสองพูดคุยและกระตุ้นให้พวกเขายึดมั่นอยู่ในความเมตตากรุณาของพระเจ้าต่อไป 44 เมื่อวันหยุดทางศาสนามาถึงอีกครั้งหนึ่ง คนเกือบทั้งเมืองได้มาชุมนุมกันเพื่อฟังพระคำของพระเจ้า 45 เมื่อชาวยิวเห็นฝูงชนมากันแน่นขนัด ก็เกิดความอิจฉา จึงพูดดูถูกดูแคลนและคัดค้านคำพูดของเปาโล 46 แต่เปาโลและบารนาบัสก็พูดอย่างกล้าหาญว่า “เราจำเป็นที่จะต้องประกาศพระคำของพระเจ้าให้พวกคุณฟังก่อน แต่เมื่อคุณไม่ยอมเชื่อและตัดสินว่าตนเองไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่กับพระเจ้าตลอดไป ตอนนี้เราก็จะหันไปหาคนที่ไม่ใช่ยิว 47 เพราะองค์เจ้าชีวิตได้สั่งพวกเราว่า
‘เราทำให้เจ้าเป็นแสงสว่างกับคนที่ไม่ใช่ยิว
เพื่อเจ้าจะได้นำความรอดไปทุกหนทุกแห่งในโลก’”[ae]
48 เมื่อคนที่ไม่ใช่ยิวได้ยินอย่างนี้ก็ดีใจ และยกย่องพระคำขององค์เจ้าชีวิต ส่วนคนที่พระเจ้าได้เลือกไว้ให้มีชีวิตกับพระองค์ตลอดไปนั้น พวกเขาก็ได้มาไว้วางใจ
49 พระคำขององค์เจ้าชีวิต ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วแคว้นนั้น 50 พวกยิวได้ไปยุยงพวกผู้หญิงที่เคร่งศาสนาและมีอิทธิพลกับพวกผู้ชายที่เป็นผู้นำในเมืองนั้น ให้มากดขี่ข่มเหงเปาโลและบารนาบัส และไล่ทั้งสองคนออกไปจากดินแดนของเขา 51 เปาโลและบารนาบัสสะบัดฝุ่นออกจากเท้า เป็นการประท้วงต่อคนเหล่านั้น แล้วทั้งสองก็ไปเมืองอีโคนียูม 52 แต่พวกศิษย์ของพระเยซูในเมืองอันทิโอก ต่างก็มีความสุขอย่างล้นพ้น และเต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
เปาโลและบารนาบัสอยู่ในเมืองอีโคนียูม
14 ในเมืองอีโคนียูมก็เหมือนกัน เปาโลและบารนาบัสได้เข้าไปในที่ประชุมชาวยิว และ พูดป่าวประกาศ จนคนยิวและคนกรีกจำนวนมากเกิดความเชื่อ 2 แต่พวกยิวที่ไม่เชื่อได้ยุยงคนกรีกให้โกรธเคืองพวกพี่น้องของเราที่เชื่อ 3 เปาโลและบารนาบัสอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน และประกาศเรื่องขององค์เจ้าชีวิตอย่างกล้าหาญ และพระองค์ก็ให้เปาโลกับบารนาบัสทำสิ่งอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ต่างๆได้ เพื่อยืนยันให้คนรู้ว่าพระคำเรื่องความเมตตากรุณาของพระองค์ที่ทั้งสองคนพูดนั้นเป็นเรื่องจริง 4 คนในเมืองก็แตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเข้าข้างพวกยิว อีกฝ่ายหนึ่งเข้าข้างพวกศิษย์เอกของพระเยซู
5 คนกรีก คนยิว และพวกผู้นำของพวกเขา คบคิดกันที่จะเอาหินขว้างทำร้ายเปาโลกับบารนาบัส 6 แต่ทั้งสองคนล่วงรู้แผนการนี้เสียก่อน จึงหนีไปที่เมืองลิสตราและเมืองเดอร์บีในแคว้นลิคาโอเนียและดินแดนแถวๆนั้น 7 พวกเขาก็ยังคงประกาศข่าวดีที่นั่นต่อไป
เปาโลอยู่ในเมืองลิสตราและเดอร์บี
8 ที่เมืองลิสตรา มีชายขาพิการคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาเป็นง่อยเดินไม่ได้มาตั้งแต่เกิด 9 ชายคนนี้ฟังเปาโลพูด เปาโลจ้องมาที่ชายคนนี้ และเห็นว่าเขามีความเชื่อที่จะทำให้เขาได้รับการรักษาให้หายได้ 10 เปาโลจึงพูดเสียงดังว่า “ลุกขึ้นยืน” แล้วชายเป็นง่อยก็กระโดดขึ้นและเริ่มเดิน 11 เมื่อฝูงชนเห็นสิ่งที่เปาโลทำ พวกเขาก็ส่งเสียงร้องเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า “พวกพระได้แปลงร่างเป็นมนุษย์ลงมาหาพวกเรา” 12 พวกเขาเรียกบารนาบัสว่า พระซุส และเรียกเปาโลว่า พระเฮอร์เมส[af] เพราะเปาโลเป็นคนพูดก่อน 13 นักบวชของวัดพระซุส ที่ตั้งอยู่หน้าเมืองได้นำพวกวัวตัวผู้ที่สวมพวงมาลัยไปที่ประตูเมือง นักบวชและฝูงชนอยากที่จะถวายเครื่องบูชาให้กับเปาโลและบารนาบัส 14 แต่เมื่อบารนาบัสและเปาโลศิษย์เอกของพระเยซูได้ยินเรื่องนี้ ก็ฉีกเสื้อผ้าของตน แล้ววิ่งเข้าไปในฝูงชนพร้อมกับร้องตะโกนว่า 15 “พวกคุณทำอย่างนี้ทำไม เราก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆเหมือนกับพวกคุณ เรามาที่นี่เพื่อประกาศข่าวดีกับพวกคุณ เพื่อพวกคุณจะได้หันจากสิ่งที่ไม่มีค่าพวกนี้ไปหาพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ พระองค์เป็นผู้สร้างท้องฟ้า พื้นดิน ทะเลและทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในนั้น 16 ในอดีตพระองค์ได้ปล่อยให้คนแต่ละชาติทำตามใจชอบ 17 ถึงแม้พระองค์จะปล่อยพวกคุณไว้ แต่พระองค์ก็ทำให้คุณรู้ว่าพระองค์มีอยู่จริง โดยดูได้จากสิ่งดีๆที่พระองค์ได้ทำให้กับพวกคุณ เช่น ให้ฝนตกจากท้องฟ้า และให้มีพืชผลตามฤดูกาล พระองค์ให้พวกคุณมีอาหารกินและทำให้ใจของคุณเต็มไปด้วยความชื่นบานยินดี” 18 ถึงแม้จะพูดให้ฟังอย่างนี้แล้ว เปาโลกับบารนาบัส ก็ยังเกือบจะห้ามพวกเขาไม่อยู่ ที่จะไม่ให้พวกเขาเอาเครื่องบูชามาถวายให้กับพวกเขาทั้งสองคน 19 แต่มีชาวยิวบางคนที่มาจากเมืองอันทิโอกและเมืองอีโคนียูม ได้ชักชวนฝูงชนให้มาอยู่ฝ่ายพวกเขา และได้เอาหินขว้างเปาโล แล้วลากเปาโลออกไปนอกเมือง เพราะคิดว่าตายแล้ว 20 เมื่อพวกศิษย์ของพระเยซูมายืนล้อมเปาโล เปาโลก็ลุกขึ้นมาและเดินเข้าไปในเมือง พอวันรุ่งขึ้นเปาโลกับบารนาบัสก็เดินทางไปที่เมืองเดอร์บี
เดินทางกลับเมืองอันทิโอกในแคว้นซีเรีย
21 เปาโลกับบารนาบัสได้ไปประกาศข่าวดีในเมืองเดอร์บี และมีคนเป็นจำนวนมากได้มาเป็นศิษย์ขององค์เจ้าชีวิต จากนั้นเขาทั้งสองได้เดินทางกลับไปเมืองลิสตรา เมืองอีโคนียูม และเมืองอันทิโอก 22 ไปให้กำลังใจกับพวกศิษย์ของพระเยซู และกระตุ้นให้ยืนหยัดในความเชื่อต่อไป เขาพูดว่า “เราจะต้องผ่านความทุกข์ยากมากมาย ก่อนที่จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า” 23 เปาโลและบารนาบัสแต่งตั้งผู้นำอาวุโสขึ้นในแต่ละหมู่ประชุมของพระเจ้า เขาทั้งสองอธิษฐานและถือศีลอดอาหาร และมอบผู้นำพวกนี้พร้อมกับหมู่ประชุมต่างๆไว้กับองค์เจ้าชีวิตที่พวกเขาไว้วางใจ
24 แล้วเปาโลและบารนาบัสได้เดินทางผ่านแคว้นปิสิเดียไปที่แคว้นปัมฟีเลีย 25 หลังจากที่ได้ประกาศพระคำในเมืองเปอร์กาแล้ว ก็เดินทางลงไปที่เมืองอัททาลิยา 26 จากที่นี่ พวกเขาได้นั่งเรือกลับไปที่เมืองอันทิโอก ซึ่งหมู่ประชุมของพระเจ้าที่นั่นเคยฝากพวกเขาไว้ให้พระเจ้าดูแลงานที่เพิ่งทำเสร็จไปนี้
27 เมื่อเปาโลและบารนาบัสมาถึง ได้เรียกหมู่ประชุมของพระเจ้ามาประชุมกัน และเล่าทุกอย่างที่พระเจ้าทำร่วมกับพวกเขาให้ฟัง และที่พระเจ้าเปิดโอกาสให้กับคนที่ไม่ใช่ยิวได้รับความเชื่อด้วย 28 แล้วเขาทั้งสองคนก็พักอยู่ที่นั่นกับพวกศิษย์ของพระเยซูเป็นเวลานาน
การประชุมในเมืองเยรูซาเล็ม
15 มีบางคนเดินทางมาจากแคว้นยูเดีย และได้มาสั่งสอนพวกพี่น้องว่า “ถ้าพวกคุณไม่ได้เข้าพิธีขลิบตามกฎของโมเสส พวกคุณก็จะไม่รอด” 2 เปาโลและบารนาบัสไม่เห็นด้วยกับพวกเขา จึงเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ พี่น้องจึงแต่งตั้งเปาโล บารนาบัสกับบางคนในพวกเขาให้ไปหารือกับพวกศิษย์เอกของพระเยซูและพวกผู้นำอาวุโส ที่เมืองเยรูซาเล็มเกี่ยวกับปัญหานี้
3 หมู่ประชุมของพระเจ้าได้ส่งพวกนี้ออกเดินทางไป เมื่อผ่านแคว้นฟีนีเซียและแคว้นสะมาเรีย พวกเขาก็ได้เล่าเรื่องที่คนที่ไม่ใช่ยิวหันไปหาพระเจ้า ทำให้พี่น้องทุกคนดีใจมาก 4 เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม ก็ได้รับการต้อนรับจากหมู่ประชุมของพระเจ้า จากพวกศิษย์เอกของพระเยซู และจากพวกผู้นำอาวุโส พวกเขาเล่าทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทำร่วมกับพวกเขา 5 ศิษย์ของพระเยซูบางคน ที่เป็นพวกฟารีสียืนขึ้นพูดว่า “พวกคนที่ไม่ใช่ยิวจะต้องเข้าพิธีขลิบ และต้องทำตามกฎของโมเสสด้วย” 6 พวกศิษย์เอกของพระเยซูและพวกผู้นำอาวุโส จึงได้ประชุมหารือกันเกี่ยวกับปัญหานี้ 7 หลังจากโต้เถียงกันอยู่นาน เปโตรก็ยืนขึ้นพูดว่า “พี่น้องครับ คุณก็รู้อยู่ว่าก่อนหน้านี้พระเจ้าได้เลือกผมจากท่ามกลางพวกคุณให้ไปประกาศพระคำแห่งข่าวดีให้กับพวกคนที่ไม่ใช่ยิวฟัง เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อ 8 พระเจ้าผู้รู้จิตใจของมนุษย์ดี ได้แสดงให้เห็นว่า พระองค์ยอมรับคนที่ไม่ใช่ยิว พระองค์ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์กับพวกเขาเหมือนที่ให้กับพวกเรา 9 สำหรับพระเจ้าแล้ว เรากับพวกนั้น ไม่ได้แตกต่างกันเลย พระองค์ชำระจิตใจของพวกเขาด้วยความเชื่อเหมือนกัน 10 ถ้าอย่างนั้น พวกคุณลองดีกับพระเจ้าทำไม คือเอาแอก[ag] ที่พวกเราหรือบรรพบุรุษของเราเอง ก็ยังแบกไม่ไหวไปสวมคอของพวกศิษย์ที่ไม่ใช่ยิว 11 แต่เราเชื่อว่า เรารอดโดยความเมตตากรุณาของพระเยซูผู้เป็นองค์เจ้าชีวิต และเราก็เชื่อว่าพวกคนที่ไม่ใช่ยิวก็รอดโดยวิธีนี้เหมือนกัน” 12 คนทั้งหมดจึงเริ่มเงียบ และตั้งใจฟังบารนาบัสและเปาโลเล่าเกี่ยวกับปาฏิหาริย์และสิ่งอัศจรรย์ทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทำผ่านพวกเขาในหมู่คนที่ไม่ใช่ยิว 13 เมื่อพวกเขาพูดจบ ยากอบก็พูดขึ้นว่า “พี่น้องทั้งหลาย ฟังผมหน่อย 14 ซีโมน[ah] ได้เล่าให้พวกเราฟังว่า พระเจ้าได้แสดงความห่วงใยต่อคนที่ไม่ใช่ยิวอย่างไรในครั้งแรก ก็ด้วยการเลือกเอาคนไม่ใช่ยิวบางคนมาเป็นชนชาติของพระองค์ 15 ซึ่งตรงกับที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้าได้เขียนไว้
16 ‘หลังจากนี้เราจะกลับมา
และเราจะสร้างบ้านของดาวิดที่พังทลายลงขึ้นมาใหม่
เราจะซ่อมแซมส่วนที่ปรักหักพัง
เราจะตั้งมันขึ้นมาใหม่
17 ดังนั้นมนุษย์ที่เหลือทุกคน
รวมถึงคนที่ไม่ใช่ยิวทุกคนที่เราได้เรียกให้มาเป็นของเรา
ก็จะแสวงหาเรา องค์เจ้าชีวิต
นี่เป็นคำพูดขององค์เจ้าชีวิตผู้ทำสิ่งเหล่านี้[ai]
18 ซึ่งเป็นที่รู้กันมาตั้งนานแล้ว’[aj]
19 ดังนั้นผมขอตัดสินว่า เราควรเลิกสร้างปัญหาให้กับคนที่ไม่ใช่ยิวเหล่านั้น ที่กำลังหันมาหาพระเจ้า 20 แต่เราควรจะเขียนจดหมายไปบอกพวกเขาว่า
อย่ากินอาหารที่สกปรกในสายตาพระเจ้า เพราะเคยเอาไปเซ่นไหว้รูปเคารพ
อย่าทำผิดบาปทางเพศ[ak]
อย่ากินเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอ
และอย่ากินเลือด
21 เพราะกฎพวกนี้ของโมเสส ก็ได้สั่งสอนกันอยู่แล้วในทุกๆเมือง ตั้งแต่สมัยโบราณและยังคงอ่านกันอยู่ในที่ประชุมชาวยิวทุกๆวันหยุดทางศาสนา”
จดหมายถึงผู้เชื่อที่ไม่ใช่ยิว
22 แล้วพวกศิษย์เอกของพระเยซู พวกผู้นำอาวุโส และหมู่ประชุมของพระเจ้าทั้งหมด ตัดสินใจเลือกผู้ชายบางคนในกลุ่มพวกเขาให้เดินทางไปที่เมืองอันทิโอกกับเปาโลและบารนาบัส พวกเขาเลือกยูดาสที่คนเรียกว่าบารซับบาสและสิลาส ผู้นำสองคนในหมู่พี่น้อง 23 พวกเขาฝากจดหมายไปกับสองคนนี้ด้วย ในจดหมายเขียนว่า
จากพวกศิษย์เอกของพระเยซู และพวกผู้นำอาวุโส ผู้เป็นพี่น้องของคุณ
สวัสดีพี่น้องที่ไม่ใช่ยิวในเมืองอันทิโอก ซีเรียและซิลีเซีย
24 เนื่องจากเราได้ยินว่า มีบางคนจากที่นี่ได้มาหาพวกคุณ และพูดบางอย่างที่สร้างปัญหาให้กับคุณ ทำให้คุณวุ่นวายใจ แต่เราไม่ได้ส่งพวกเขามา 25 พวกเราทั้งหมดจึงได้ตกลงใจที่จะเลือกผู้ชายบางคน เพื่อส่งมาหาคุณ พร้อมกับบารนาบัสและเปาโลคนที่เรารัก 26 ที่เสี่ยงชีวิตเพื่อพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์และองค์เจ้าชีวิตของเรา 27 ดังนั้นเราจึงส่งยูดาสและสิลาสมา พวกเขาจะมาเล่าเองยืนยันถึงสิ่งต่างๆที่เราได้เขียนมา 28 ทั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์และพวกเราเห็นดีด้วยกันว่าจะไม่วางภาระอะไรให้กับพวกคุณเลย นอกจากสิ่งที่จำเป็นพวกนี้ คือ
29 คุณควรหลีกเลี่ยงจากการกินเครื่องเซ่นไหว้รูปเคารพ
อย่ากินเลือด อย่ากินเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย
อย่าทำบาปทางเพศ
ถ้าพวกคุณอยู่ห่างเสียจากสิ่งพวกนี้ พวกคุณก็ทำดีแล้ว ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข
30 แล้วหมู่ประชุมของพระเจ้าก็ส่งบารนาบัส เปาโล ยูดาส และสิลาส ไปเมืองอันทิโอก พวกเขาได้เรียกหมู่ประชุมของพระเจ้ามาประชุมกัน และให้จดหมายนั้นกับพวกเขา 31 เมื่อได้อ่านจดหมายแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกพอใจและมีกำลังใจ 32 ยูดาสและสิลาส ที่เป็นผู้พูดแทนพระเจ้าด้วย ก็พูดกับพวกพี่น้องเป็นเวลานาน ให้กำลังใจและช่วยให้พวกเขามีความเชื่อมากขึ้น 33 หลังจากที่ยูดาสและสิลาสอยู่ที่นั่นสักพักหนึ่ง ก็ถึงเวลาที่จะกลับไปหาพี่น้องที่ส่งพวกเขามา พี่น้องที่เมืองอันทิโอกก็ได้อวยพรให้เขาเดินทางกลับไปด้วยความปลอดภัย 34 [al]
35 แต่เปาโลและบารนาบัสยังอยู่ในเมืองอันทิโอก ได้สั่งสอนและประกาศพระคำขององค์เจ้าชีวิตเป็นข่าวดีร่วมกับคนอื่นๆอีกหลายคน
เปาโลและบารนาบัสแยกกันทำงาน
36 เวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง เปาโลพูดกับบารนาบัสว่า “ให้เรากลับไปเยี่ยมพี่น้องในเมืองต่างๆที่เราเคยไปประกาศพระคำขององค์เจ้าชีวิตไว้กันเถอะ ไปดูสิว่าพวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง” 37 บารนาบัสอยากจะพายอห์นที่คนเรียกว่ามาระโกไปด้วย 38 แต่เปาโลคิดว่าทางที่ดีไม่ควรพายอห์นไป เพราะยอห์นเคยทิ้งพวกเขาไปตอนที่อยู่เมืองปัมฟีเลีย และไม่ยอมช่วยงานต่อ 39 ทำให้เปาโลกับบารนาบัส ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงจนถึงขั้นต้องแยกทางกัน บารนาบัสจึงพามาระโก นั่งเรือไปเกาะไซปรัส 40 ส่วนเปาโลเลือกสิลาส แล้วก็ไปจากเมืองนี้หลังจากที่พี่น้องฝากเปาโลไว้ให้องค์เจ้าชีวิตดูแลแล้ว 41 เปาโลเดินทางไปทั่วแคว้นซีเรียและแคว้นซิลีเซีย เพื่อช่วยหมู่ประชุมต่างๆของพระเจ้าให้เข้มแข็งขึ้นในความเชื่อ
ทิโมธีทำงานร่วมกับเปาโลและสิลาส
16 เปาโลไปเมืองเดอร์บีและเมืองลิสตราด้วย ที่นั่นมีศิษย์คนหนึ่งของพระเยซู ชื่อทิโมธี เป็นลูกชายของหญิงชาวยิวที่เชื่อถือในพระเยซู แต่พ่อของเขาเป็นชาวกรีก 2 ทิโมธีเป็นที่ยกย่องของพี่น้องในเมืองลิสตราและเมืองอีโคนียูม 3 เปาโลอยากได้ทิโมธีเดินทางไปด้วย จึงได้พาทิโมธีไปทำพิธีขลิบ เพราะเห็นแก่คนยิวที่อยู่ที่นั่น เพราะพวกเขาทุกคนรู้ว่าพ่อของทิโมธีเป็นคนกรีก 4 เมื่อพวกเขาผ่านไปตามเมืองต่างๆก็ได้บอกให้พวกที่นับถือพระเยซู รู้ถึงกฎต่างๆที่พวกศิษย์เอกของพระเยซูและพวกผู้นำอาวุโสในเมืองเยรูซาเล็มได้ตกลงกันไว้ 5 จึงทำให้หมู่ประชุมของพระเจ้าทั้งหลายมีความเชื่อมากยิ่งขึ้น และมีคนมาเชื่อพระเยซูเพิ่มขึ้นทุกๆวัน
พระเจ้าเรียกเปาโลไปมาซิโดเนีย
6 เปาโลและคนอื่นๆที่ไปด้วย เดินทางผ่านแคว้นฟรีเจียและกาลาเทีย พระวิญญาณบริสุทธิ์ ห้ามพวกเขาไม่ให้เข้าไปประกาศพระคำขององค์เจ้าชีวิตในแคว้นเอเชีย 7 เมื่อพวกเขามาถึงชายแดนของแคว้นมิเซียแล้ว พวกเขาพยายามจะเข้าไปในแคว้นบิธีเนีย แต่พระวิญญาณของพระเยซูก็ห้ามไว้อีก 8 ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางผ่านแคว้นมิเซีย ไปที่เมืองโตรอัส 9 ในตอนกลางคืนเปาโลเห็นนิมิตว่า มีชายคนหนึ่งจากมาซิโดเนียได้มายืนอ้อนวอนเปาโลว่า “มาช่วยพวกเราที่แคว้นมาซิโดเนียด้วยเถิด” 10 หลังจากที่เปาโลเห็นนิมิตแล้ว พวกเรา[am] ก็ตัดสินใจไปที่แคว้นมาซิโดเนียทันที โดยสรุปว่า พระเจ้าเรียกพวกเราให้ไปประกาศข่าวดีกับชาวมาซิโดเนีย
ลิเดียมาเป็นลูกศิษย์ขององค์เจ้าชีวิต
11 จากเมืองโตรอัส พวกเรานั่งเรือตรงไปที่เกาะสาโมธรัส พอวันถัดมาพวกเราก็นั่งเรือต่อไปที่เมืองเนอาโปลิส 12 จากที่นั่นพวกเราเดินทางไปที่เมืองฟีลิปปี ซึ่งเป็นเมืองสำคัญอันดับหนึ่งในแถบนั้นของแคว้นมาซิโดเนีย และเป็นเมืองขึ้นของโรม พวกเราใช้เวลาอยู่ในเมืองนี้หลายวัน
13 เมื่อถึงวันหยุดทางศาสนา พวกเราออกนอกประตูเมืองไปที่แม่น้ำ เราคิดว่าที่นั่นคงมีที่สำหรับอธิษฐาน พวกเรานั่งลงพูดคุยกับพวกผู้หญิงที่มาชุมนุมกันอยู่ที่นั่น 14 มีผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่น ชื่อลิเดีย เป็นคนขายผ้าสีม่วง เธอมาจากเมืองธิยาทิรา เธอเป็นคนที่นับถือพระเจ้า เมื่อเธอกำลังฟังพวกเราอยู่นั้น องค์เจ้าชีวิตก็ได้เปิดใจของเธอให้ตั้งใจฟังในสิ่งที่เปาโลกำลังพูด 15 หลังจากที่เธอและคนในบ้านทั้งหมดเข้าพิธีจุ่มน้ำแล้ว เธอขอร้องพวกเราว่า “ถ้าพวกท่านถือว่า ดิฉันมีความเชื่อในองค์เจ้าชีวิตจริง ก็ขอให้มาพักที่บ้านของดิฉันด้วยเถิด” แล้วเธอคะยั้นคะยอให้พวกเราไป
เปาโลและสิลาสอยู่ในคุก
16 วันหนึ่งเมื่อพวกเรากำลังจะไปสถานที่อธิษฐาน ทาสสาวคนหนึ่งพบกับพวกเรา เธอมีผีหมอดูสิงอยู่ ทำให้เธอสามารถทำนายอนาคตได้ เธอหาเงินให้กับพวกเจ้านายของเธอเป็นจำนวนมากด้วยการทำนายโชคชะตา 17 เธอเดินตามเปาโลกับพวกเรา และร้องตะโกนว่า “คนพวกนี้เป็นทาสของพระเจ้าสูงสุด พวกเขามาประกาศหนทางที่จะหลุดพ้นจากบาปให้กับพวกคุณรู้” 18 เธอทำอย่างนี้อยู่หลายวัน จนเปาโลทนไม่ไหว จึงหันไปพูดกับวิญญาณที่สิงเธออยู่ว่า “ในนามของพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์ เราขอสั่งให้เจ้าออกมาจากร่างของเธอเดี๋ยวนี้” แล้ววิญญาณตนนั้นก็ออกจากร่างของเธอทันที
19 เมื่อพวกเจ้านายของเธอเห็นว่าโอกาสที่จะหาเงินนั้นหลุดลอยไปแล้ว พวกเขาจึงคว้าตัวเปาโลและสิลาส แล้วลากตัวไปหาเจ้าหน้าที่ที่ตลาด 20 เมื่อพวกเขานำเปาโลและสิลาสไปหาคณะผู้พิพากษาแล้ว พวกเขาก็พูดว่า “ไอ้พวกนี้เป็นชาวยิวที่เข้ามาก่อกวนในบ้านเมืองของเรา 21 พวกมันมาโฆษณาชวนเชื่อถึงประเพณีต่างๆที่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ที่พวกเราชาวโรมันไม่สามารถจะรับหรือทำตามได้”
22 แล้วฝูงชนก็เข้ามารุมทำร้ายเปาโลกับสิลาส คณะผู้พิพากษาเข้ามาฉีกเสื้อผ้าของเปาโลและสิลาสออก แล้วสั่งให้เฆี่ยนตี 23 หลังจากเฆี่ยนตีไปหลายครั้งแล้ว ได้เอาตัวไปขังไว้ในคุก แล้วสั่งให้นายคุกเฝ้าควบคุมไว้อย่างแน่นหนา 24 เมื่อนายคุกได้รับคำสั่งแล้ว เขาก็ได้คุมตัวคนทั้งสองไปขังไว้ที่ห้องขังชั้นใน และใส่ขื่อที่เท้าของพวกเขาอย่างแน่นหนา
25 ประมาณเที่ยงคืน ในขณะที่เปาโลและสิลาสกำลังอธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า โดยมีนักโทษคนอื่นๆกำลังฟังอยู่นั้น 26 ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จนรากฐานของคุกสั่นสะเทือน แล้วประตูคุกทุกบานก็เปิดออกทันที โซ่ที่ล่ามนักโทษทุกคนหลุด 27 นายคุกก็ตื่น และเมื่อเขาเห็นประตูคุกเปิดก็คิดว่านักโทษหนีออกไปหมดแล้ว เขาจึงชักดาบออกมาเพื่อจะฆ่าตัวตาย 28 แต่เปาโลตะโกนเสียงดังว่า “อย่าทำร้ายตัวเองเลย พวกเรายังอยู่ที่นี่ครบทุกคน”
29 ผู้คุมจึงร้องขอคบไฟ แล้วเขาก็วิ่งเข้าไปข้างในตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เขาหมอบลงต่อหน้าเปาโลและสิลาส 30 แล้วนำคนทั้งสองออกมาจากคุกและถามว่า “ท่านครับ ผมต้องทำอย่างไร ถึงจะรอดได้”
31 พวกเขาตอบว่า “ให้ไว้วางใจในพระเยซูผู้เป็นองค์เจ้าชีวิต แล้วท่านจะได้หลุดพ้นจากบาป รวมทั้งคนในครัวเรือนของท่านด้วย” 32 แล้วพวกเขาประกาศพระคำของพระเจ้า ให้นายคุกรวมทั้งทุกคนที่อยู่ในครัวเรือนของเขาฟัง 33 ในคืนนั้นเอง นายคุกพาเปาโลและสิลาสไปล้างแผล แล้วเขาและทุกคนในครัวเรือนของเขาก็เข้าพิธีจุ่มน้ำในทันที 34 หลังจากนั้นนายคุกก็พาคนทั้งสองไปที่บ้าน และหาอาหารมาให้กิน เขาและทุกคนในครัวเรือนต่างก็พากันดีใจ เพราะได้ไว้วางใจในพระเจ้าแล้ว
35 พอถึงวันรุ่งขึ้น คณะผู้พิพากษาส่งเจ้าหน้าที่มาบอกว่า “ปล่อยตัวสองคนนั้นไปได้แล้ว”
36 นายคุกจึงไปบอกกับเปาโลว่า “ผู้พิพากษาส่งคนมาบอกให้ปล่อยตัวพวกท่านแล้ว ออกมาเถอะ ขอให้ไปเป็นสุขนะ”
37 แต่เปาโลพูดกับพวกเจ้าหน้าที่ว่า “พวกเขาเฆี่ยนตีเราในที่สาธารณะ ทั้งๆที่ไม่มีความผิด มิหนำซ้ำเราก็เป็นคนสัญชาติโรมันด้วย แล้วยังโยนเราเข้าคุกอีกด้วย และตอนนี้จะมาแอบปล่อยเราไปอย่างลับๆได้อย่างไร ยอมไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาเองควรจะมาพาพวกเราออกไป”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International