Print Page Options Listen to Reading
Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the NLT. Switch to the NLT to read along with the audio.

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 พงศ์กษัตริย์ 17:1-18:12

โฮเชยาปกครองอิสราเอล

17 โฮเชยาลูกชายของเอลาห์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลในเมืองสะมาเรีย ตรงกับปีที่สิบสองที่กษัตริย์อาหัสปกครองยูดาห์ โฮเชยาครองราชย์อยู่เก้าปี เขาทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ แต่ไม่เลวร้ายเท่ากับกษัตริย์องค์อื่นๆของอิสราเอลที่เคยทำก่อนหน้าเขา

กษัตริย์แชลมาเนเสอร์[a]ของอัสซีเรียได้ขึ้นมาสู้รบกับกษัตริย์โฮเชยาและเอาชนะเขาได้ กษัตริย์โฮเชยาจึงยอมตกเป็นเมืองขึ้นและยอมส่งส่วยให้กับกษัตริย์อัสซีเรีย แต่ต่อมากษัตริย์อัสซีเรีย พบว่าโฮเชยาหักหลังเขา เพราะโฮเชยาได้ส่งทูตไปหากษัตริย์โสของประเทศอียิปต์ และไม่ยอมส่งส่วยให้กับกษัตริย์อัสซีเรียเหมือนที่เคยทำมาทุกๆปี แชลมาเนเสอร์ก็เลยจับตัวโฮเชยาขังไว้ในคุก

อัสซีเรียต้อนอิสราเอลไปเป็นเชลย

กษัตริย์อัสซีเรียได้บุกเข้าไปทั่วแผ่นดินอิสราเอล เข้าไปถึงเมืองสะมาเรียและล้อมเมืองไว้นานถึงสามปี แล้วกษัตริย์อัสซีเรียก็ยึดเมืองสะมาเรียไว้ได้ ในปีที่เก้าที่โฮเชยาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล กษัตริย์อัสซีเรียกวาดต้อนเอาชาวอิสราเอลไปไว้ที่อัสซีเรีย เขาให้คนอิสราเอลตั้งรกรากอยู่ในฮาลาห์ ในเมืองโกซานที่อยู่ติดกับแม่น้ำฮาโบร์และในเมืองต่างๆของชาวเมดัย

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะชาวอิสราเอลทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา ผู้ที่นำพวกเขาออกมาจากประเทศอียิปต์ ออกจากภายใต้อำนาจของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ แต่พวกอิสราเอลกลับไปนมัสการพระอื่นๆ และไปทำตัวตามธรรมเนียมประเพณีของพวกชนชาติทั้งหลาย ที่พระยาห์เวห์ได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าพวกเขา รวมทั้งทำตัวตามธรรมเนียมประเพณีทั้งหลาย ที่บรรดากษัตริย์ของอิสราเอลได้นำเข้ามา ชาวอิสราเอลแอบทำสิ่งต่างๆที่ไม่ถูกต้องและขัดขืนต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา พวกเขาสร้างสถานที่นมัสการหลายแห่งขึ้นสำหรับตัวเอง ตามเมืองต่างๆของพวกเขาตั้งแต่เมืองเล็กๆที่มีแค่หอเฝ้ายามไปจนถึงเมืองใหญ่ที่มีป้อมปราการ

10 พวกเขาจัดตั้งหินศักดิ์สิทธิ์และพวกเสาเจ้าแม่อาเชราห์บนเนินเขาสูงทุกแห่งและใต้ต้นไม้ใบร่มทุกต้น 11 พวกเขาเผาเครื่องหอมบนสถานนมัสการทุกแห่งเหมือนกับพวกชนชาติที่พระยาห์เวห์ได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าพวกเขา เคยทำกันมาก่อน พวกอิสราเอลทำสิ่งที่เลวร้ายที่ยั่วยุให้พระยาห์เวห์โกรธ 12 พวกเขาไปบูชาพวกรูปเคารพทั้งๆที่พระยาห์เวห์เคยพูดเอาไว้ว่า “พวกเจ้าต้องไม่ทำอย่างนั้น”

13 พระยาห์เวห์เคยเตือนอิสราเอลและยูดาห์ ผ่านทางพวกผู้พูดแทนพระเจ้าและพวกผู้ที่เห็นมิมิตทุกคนว่า “ให้หันไปจากทางที่ชั่วร้ายทั้งหลายของเจ้า และรักษาคำสั่งต่างๆและกฎทั้งหลายของเรา ให้ทำตามกฎทั้งหมดที่เราได้สั่งให้บรรพบุรุษของเจ้าเชื่อฟัง ที่เราได้ส่งให้กับเจ้าผ่านมาทางพวกผู้พูดแทนพระเจ้าที่เป็นผู้รับใช้ของเรา”

14 แต่พวกเขาไม่ยอมฟังและยังดื้อดึงเหมือนกับบรรพบุรุษของพวกเขาที่ไม่ยอมไว้วางใจในพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา 15 พวกเขาดูหมิ่นกฎต่างๆของพระองค์และข้อตกลงที่พระองค์เคยทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา รวมทั้งคำเตือนต่างที่พระองค์เคยให้กับเขา พวกเขาได้ไปติดตามพวกรูปเคารพที่ไร้ค่าเหล่านั้นซึ่งทำให้ตัวพวกเขาเองไร้ค่าไปด้วย พวกเขาไปเลียนแบบชนชาติต่างๆที่อยู่รอบๆ ถึงแม้พระยาห์เวห์จะเคยสั่งไว้แล้วว่า “อย่าทำตัวเหมือนกับที่พวกนั้นทำกัน”

16 พวกเขาละทิ้งคำสั่งทั้งหลายของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา และได้หล่อรูปเคารพสำหรับตัวพวกเขาเองเป็นลูกวัวสองตัว และยังมีเสาเจ้าแม่อาเชราห์ด้วย พวกเขาไปก้มกราบพวกดวงดาวทั้งหลายและไปบูชาพระบาอัล 17 พวกเขาเอาลูกชายลูกสาวของตัวเองมาเผาไฟเป็นเครื่องบูชายัญ[b] พวกเขาได้ดูหมอ ใช้เวทมนตร์ และยอมขายตัวเองเพื่อทำในสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์ ซึ่งยุให้พระองค์โกรธ 18 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงโกรธอิสราเอลมาก และไล่พวกเขาให้พ้นไปจากสายตาของพระองค์ เหลือแต่คนเผ่ายูดาห์เท่านั้น

19 และแม้แต่ยูดาห์เองก็ไม่ยอมรักษาคำสั่งต่างๆของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา พวกเขาได้ไปทำตามธรรมเนียมประเพณีที่อิสราเอลนำเข้ามา

20 พระยาห์เวห์ได้ละทิ้งชาวอิสราเอลทั้งหมด พระองค์ลงโทษพวกเขา และมอบพวกเขาไว้ในกำมือของคนที่มาปล้นพวกเขา ในที่สุดพระองค์ได้ผลักไสโยนพวกเขาออกไปจากหน้าพระองค์จนหมด 21 ตอนที่พระองค์ได้ฉีกอิสราเอลไปจากครอบครัวของดาวิด พวกเขาก็ได้ตั้งเยโรโบอัมลูกชายของเนบัทขึ้นเป็นกษัตริย์ของพวกเขา เยโรโบอัมได้ชักนำอิสราเอลให้หันเหไปจากพระยาห์เวห์ และทำให้พวกอิสราเอลทำบาปอย่างใหญ่หลวง 22 ชาวอิสราเอลทั้งหลายยืนกรานที่จะทำบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัม และไม่ยอมหันออกจากบาปเหล่านั้น 23 จนกระทั่งพระยาห์เวห์ได้ไล่อิสราเอลให้พ้นไปจากสายตาพระองค์ ตามที่พระองค์เคยพูดไว้ล่วงหน้าแล้วผ่านทางพวกผู้พูดแทนพระเจ้าทั้งหลาย ที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ประชาชนอิสราเอลจึงถูกกวาดต้อนไปจากแผ่นดินของพวกตนไปเป็นเชลยในประเทศอัสซีเรีย และพวกเขาก็ยังคงอยู่ที่นั่นจนถึงทุกวันนี้

อัสซีเรียส่งคนต่างชาติยึดสะมาเรีย

24 กษัตริย์ของอัสซีเรียได้กวาดต้อนคนอิสราเอลออกไปจากสะมาเรีย และนำเอาประชาชนเหล่านี้เข้ามาอยู่แทน คือประชาชนจากบาบิโลน คูธาห์ อัฟวา ฮามัท เสฟารวาอิม พวกนี้เข้ายึดเมืองสะมาเรียไว้และได้อาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆเหล่านั้น 25 เมื่อคนพวกนี้เข้ามาอาศัยอยู่ในช่วงแรกๆ พวกเขาไม่ยอมนมัสการพระยาห์เวห์ พระองค์จึงได้ส่งพวกสิงโตเข้ามาท่ามกลางพวกเขา และพวกสิงโตได้ฆ่าพวกเขาไปบ้าง 26 จึงมีคนไปบอกกับกษัตริย์ของอัสซีเรียว่า “ชนชาติต่างๆที่ท่านได้จับตัวไป และเอาไปใส่ไว้ในเมืองต่างๆของสะมาเรีย ไม่รู้ว่าพระของแผ่นดินนั้นต้องการอะไร พระองค์นั้นก็เลยส่งพวกสิงโตเข้าไปในท่ามกลางพวกเขา สิงโตเหล่านั้นกำลังฆ่าพวกเขาอยู่ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพระของแผ่นดินนั้นต้องการอะไร”

27 กษัตริย์ของอัสซีเรียจึงออกคำสั่งไปว่า “ไปเอานักบวชคนหนึ่งจากท่ามกลางนักบวชที่เจ้าจับตัวมาจากสะมาเรีย และส่งเขากลับไปอยู่ที่สะมาเรีย ให้เขาคอยสั่งสอนประชาชนว่าพระของแผ่นดินนั้นต้องการอะไร”

28 นักบวชคนหนึ่งที่เคยถูกกวาดต้อนไปจากเมืองสะมาเรียจึงได้กลับมาอาศัยอยู่ในเมืองเบธเอล และได้สอนให้พวกนั้นรู้ว่าจะนมัสการพระยาห์เวห์อย่างไร

29 แต่อย่างไรก็ตาม แต่ละชนชาติก็ยังคงสร้างพระของพวกเขาเองไว้ตามเมืองต่างๆที่พวกเขาไปตั้งบ้านเรือนอยู่ และได้นำพระเหล่านั้นไปตั้งไว้ในศาลเจ้าที่ชาวเมืองสะมาเรียได้สร้างไว้ตามสถานที่สูงทั้งหลาย 30 คนจากบาบิโลนได้สร้างพระสุคคท-เบโนท ชาวคูทได้สร้างพระเนอร์กัล และชาวฮามัทได้สร้างพระอาชิมา 31 ชาวอัฟวาได้สร้างพระนิบหัสและพระทารทัก ส่วนชาวเสฟารวาอิมได้เผาลูกๆของพวกเขาเป็นเครื่องบูชายัญให้กับพระอัดรัมเมเลคและพระอานัมเมเลคที่เป็นพระของชาวเสฟารวาอิม

32 และพวกเขาก็นมัสการพระยาห์เวห์ไปด้วย พวกเขาแต่งตั้งพวกนักบวชขึ้นจากคนทุกประเภทที่อยู่ท่ามกลางพวกเขา เพื่อถวายเครื่องบูชาแทนพวกเขาในศาลเจ้าตามที่สูงเหล่านั้น 33 อย่างนี้ พวกเขาก็ได้นมัสการพระยาห์เวห์ แต่ก็ยังไปบูชาพวกพระของพวกเขาเองตามธรรมเนียมของชนชาติของพวกเขาก่อนที่จะถูกจับมา

34 แล้วพวกเขาก็ยังทำตามประเพณีดั้งเดิมเหล่านั้นของพวกเขามาจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาไม่ได้ยำเกรงพระยาห์เวห์อย่างที่ควรจะเป็น และไม่ทำตามคำสั่งสอน และข้อบังคับต่างๆรวมทั้งกฎและคำสั่งทุกๆข้อที่พระยาห์เวห์ได้ให้ไว้กับพวกลูกหลานของยาโคบ ที่พระองค์ให้อีกชื่อหนึ่งว่าอิสราเอล 35 พระยาห์เวห์ได้ทำข้อตกลงไว้กับชาวอิสราเอล พระองค์สั่งพวกเขาไว้ว่า “อย่าไปนมัสการพระอื่นๆหรือไปก้มกราบพระเหล่านั้น อย่าไปรับใช้หรือบูชาพวกมัน 36 แต่ให้นมัสการพระยาห์เวห์ ผู้ที่นำพวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ด้วยฤทธิ์อำนาจและแขนที่ยื่นออกมาช่วย พวกเจ้าต้องก้มกราบพระองค์และถวายสัตวบูชาแก่พระองค์ 37 พวกเจ้าต้องระมัดระวังอยู่เสมอที่จะรักษาคำสั่งสอนและข้อบังคับต่างๆ รวมทั้งกฎและคำสั่งที่พระองค์ได้เขียนไว้เพื่อพวกเจ้า อย่าไปนมัสการพระอื่นๆ 38 อย่าลืมข้อตกลงที่เราได้ทำไว้กับพวกเจ้า และอย่าไปนมัสการพระอื่นๆ 39 พวกเจ้าต้องนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าเท่านั้น แล้วพระองค์จะช่วยพวกเจ้าให้รอดพ้นจากกำมือของศัตรูทั้งหมดของพวกเจ้า”

40 แต่พวกเขาไม่ยอมฟัง พวกเขายังคงทำตามแบบเดิมๆที่พวกเขาทำมา 41 ชนชาติเหล่านั้นนมัสการพระยาห์เวห์ แต่พวกเขาก็ยังรับใช้รูปแกะสลักของพวกเขาไปด้วย จนถึงทุกวันนี้ ลูกหลานของพวกเขาก็ยังทำตามสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยทำกัน

เฮเซคียาห์ปกครองยูดาห์

(2 พศด. 29:1-2; 31:1)

18 เฮเซคียาห์ลูกชายของอาหัสขึ้นเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ ตรงกับปีที่สาม ที่โฮเชยา ลูกชายของเอลาห์ เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ตอนที่เฮเซคียาห์ ขึ้นเป็นกษัตริย์นั้น เขามีอายุยี่สิบห้าปี และเขาครองราชย์อยู่ในเยรูซาเล็มเป็นเวลายี่สิบเก้าปี แม่ของเขามีชื่อว่าอาบี[c] นางเป็นลูกสาวของเศคาริยาห์

เฮเซคียาห์ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระยาห์เวห์ เหมือนกับที่ดาวิดบรรพบุรุษของเขาเคยทำไว้

เขารื้อพวกสถานที่นมัสการต่างๆลง ทุบหินศักดิ์สิทธิ์จนแตกละเอียดและโค่นเสาเจ้าแม่อาเชราห์ลง เขาทำลายงูทองสัมฤทธิ์ที่โมเสสเคยสร้างไว้ เพราะในเวลานั้นชาวอิสราเอลเริ่มเผาเครื่องหอม ให้กับมันแล้ว (มันมีชื่อว่าเนหุชทาน[d])

เฮเซคียาห์ไว้วางใจในพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ไม่มีกษัตริย์องค์ไหนอีกแล้วในพวกกษัตริย์ของยูดาห์ที่เป็นเหมือนเขา ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้ไป เขาได้ยึดพระยาห์เวห์ไว้แน่นและไม่ยอมหยุดที่จะติดตามพระองค์ เขาได้รักษาคำสั่งทุกข้อที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้กับโมเสส และพระยาห์เวห์ก็สถิตอยู่กับเขา เขาประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ

เฮเซคียาห์ได้กบฏต่อกษัตริย์อัสซีเรียและไม่ยอมรับใช้เขาอีกต่อไป เฮเซคียาห์เอาชนะชาวฟีลิสเตีย ตลอดทางไปจนถึงกาซาและเขตแดนรอบๆมัน เขาชนะเมืองทั้งหมดของฟีลิสเตีย ตั้งแต่เมืองเล็กๆที่มีแค่หอเฝ้ายามไปจนถึงเมืองใหญ่ที่มีป้อมปราการ

ชาวอัสซีเรียยึดเมืองสะมาเรีย

ในปีที่สี่ที่เฮเซคียาห์เป็นกษัตริย์ของยูดาห์ ตรงกับปีที่เจ็ด ที่โฮเชยาลูกชายของเอลาห์ เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล กษัตริย์แชลมาเนเสอร์[e]ของอัสซีเรียได้ยกทัพมาสู้รบกับเมืองสะมาเรียและได้ปิดล้อมเมืองนี้เอาไว้ 10 เมื่อล้อมเมืองอยู่สามปี ชาวอัสซีเรียก็ยึดเมืองนี้ได้ เมืองสะมาเรียจึงถูกยึดไปในช่วงปีที่หกที่เฮเซคียาห์ เป็นกษัตริย์ของยูดาห์ ตรงกับปีที่เก้าที่โฮเชยาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล 11 กษัตริย์ของอัสซีเรียได้กวาดต้อนเอาคนอิสราเอลไปไว้ที่อัสซีเรียและได้ให้พวกเขาตั้งรกรากอยู่ในเมืองฮาลาห์ ในเมืองโกซานที่ติดกับแม่น้ำฮาโบร์และในเมืองต่างๆของชาวเมดัย 12 เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะพวกอิสราเอลไม่ยอมเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา พวกเขาฝ่าฝืนข้อตกลงของพระองค์ทุกข้อที่โมเสสผู้รับใช้พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ พวกเขาไม่ยอมฟังคำสั่งเหล่านั้นและไม่ยอมทำตามด้วย

กิจการ 20

เปาโลเดินทางไปแคว้นมาซิโดเนียและกรีก

20 เมื่อความวุ่นวายสงบลง เปาโลเรียกพวกศิษย์ของพระเยซูมาพบกัน หลังจากพูดให้กำลังใจพวกเขาแล้ว เปาโลก็บอกลาและไปที่แคว้นมาซิโดเนีย เปาโลได้ให้กำลังใจกับพวกศิษย์ของพระเยซูตามที่ต่างๆที่เขาผ่านไปนั้น จนมาถึงแคว้นกรีก เขาพักอยู่ที่นั่นสามเดือน และเมื่อเขาเตรียมที่จะลงเรือไปซีเรีย เขารู้ว่ามีพวกยิววางแผนจะฆ่าเขา เปาโลจึงตัดสินใจวกกลับไปทางแคว้นมาซิโดเนียแทน เขามีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยคือ โสปาเทอร์ลูกชายของปีรัสชาวเมืองเบโรอา อาริสทารคัส กับเสคุนดัสชาวเมืองเธสะโลนิกา กายอัสจากเดอร์บี และทิโมธี ทีคิกัสกับโตรฟีมัสที่มาจากแคว้นเอเชีย คนทั้งหมดนี้เดินทางล่วงหน้าไปคอยพวกเราที่เมืองโตรอัส หลังจากวันเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ พวกเราก็ลงเรือออกจากเมืองฟีลิปปี ห้าวันต่อมา พวกเราไปสมทบกับพวกเขาที่เมืองโตรอัส และพักอยู่ที่นั่นเจ็ดวัน

เปาโลไปเยี่ยมเมืองโตรอัสเป็นครั้งสุดท้าย

ในวันอาทิตย์[a] ขณะที่เราประชุมกันเพื่อหักขนมปัง เปาโลคุยกับพวกเขาจนถึงเที่ยงคืน เพราะเปาโลตั้งใจจะออกจากเมืองในวันรุ่งขึ้น ในห้องชั้นบนที่เราประชุมกันนั้น มีตะเกียงอยู่หลายดวง ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อยุทิกัส นั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง เขาง่วงนอนมาก จึงหลับไปขณะที่เปาโลยังพูดอยู่ และตกลงมาจากหน้าต่างชั้นที่สาม เมื่อยกตัวเขาขึ้นมาก็พบว่าเขาตายเสียแล้ว 10 เปาโลจึงลงไปและก้มตัวลงไปกอดร่างของยุทิกัสแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเขายังมีชีวิตอยู่” 11 จากนั้นเปาโลก็ขึ้นไปชั้นบน หักขนมปังและกินอาหารกัน และพูดกับพวกนั้นต่อไปจนถึงเช้ามืดแล้วจึงจากไป 12 พวกเขาก็พาชายหนุ่มคนที่ฟื้นจากความตายกลับบ้าน และทุกคนก็รู้สึกปลาบปลื้มใจมาก

การเดินทางจากเมืองโตรอัสไปเมืองมิเลทัส

13 เปาโลตั้งใจจะเดินทางไปเมืองอัสโสสทางบก จึงจัดการให้พวกเราขึ้นเรือล่วงหน้าไปก่อน แล้วค่อยแวะรับเขาขึ้นเรือที่นั่น 14 เมื่อเปาโลพบพวกเราที่เมืองอัสโสส เรารับเขาขึ้นเรือมุ่งหน้าไปเมืองมิทิเลนี 15 ในวันรุ่งขึ้น เราแล่นเรือออกจากมิทิเลนี ไปถึงบริเวณฝั่งตรงข้ามกับเกาะคิโอส พอวันต่อมาเราก็แล่นเรือมาถึงเกาะสามอส และอีกวันต่อมาเราได้มาถึงเมืองมิเลทัส 16 เปาโลตัดสินใจว่าจะแล่นผ่านเมืองเอเฟซัสไปเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาที่แคว้นเอเชีย เพราะถ้าเป็นไปได้ เขาจะรีบไปให้ถึงเมืองเยรูซาเล็มก่อนวันเพ็นเทคอสต์

เปาโลพบกับคณะผู้นำอาวุโสของหมู่ประชุมเอเฟซัส

17 ตอนเปาโลอยู่ที่เมืองมิเลทัส เปาโลฝากข้อความไปให้พวกผู้นำอาวุโสที่หมู่ประชุมของพระเจ้าในเมืองเอเฟซัสให้มาเจอกันที่นั่น 18 เมื่อพวกนั้นมาถึง เปาโลพูดว่า “คุณก็รู้ว่า ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับพวกคุณผมใช้ชีวิตอย่างไร นับตั้งแต่วันแรกที่ผมมาถึงแคว้นเอเชียนี้ 19 ผมรับใช้องค์เจ้าชีวิตอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนและน้ำตาไหล ผมผ่านความทุกข์ยากลำบากมากมายจากแผนร้ายต่างๆของพวกยิว 20 คุณก็รู้ว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์กับพวกคุณ ผมไม่เคยลังเลที่จะบอกให้รู้เลย ซ้ำยังสอนให้ทั้งในที่สาธารณะ และที่บ้านอีกด้วย 21 ผมเตือนหมดทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนยิว หรือคนกรีกให้กลับตัวกลับใจ กลับมาหาพระเจ้า และให้ไว้วางใจในพระเยซูเจ้าของพวกเรา 22 ตอนนี้ผมจะต้องไปเมืองเยรูซาเล็ม ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ สั่ง ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผมที่นั่นบ้าง 23 รู้แต่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เตือนผมในทุกเมืองที่ไปว่า ทั้งคุก ทั้งความทุกข์ยากลำบาก กำลังรอผมอยู่ที่เมืองเยรูซาเล็ม 24 แต่ผมไม่สนใจหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของผม ขอเพียงแต่ให้ผมวิ่งถึงเส้นชัย และทำงานที่พระเยซูเจ้ามอบหมายไว้ให้สำเร็จก็พอแล้ว งานนั้นก็คือการประกาศข่าวดีเรื่องความเมตตากรุณาของพระเจ้า

25 ผมรู้ว่าต่อไปนี้จะไม่มีใครเลยในพวกคุณ ที่ผมได้ตระเวนไปประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าให้ฟังนั้น จะได้เห็นหน้าผมอีก 26 ดังนั้นผมขอบอกให้รู้ตอนนี้เลยว่า ถ้าหากมีใครในพวกคุณหลงหาย อย่ามาโทษผมก็แล้วกัน 27 เพราะผมได้บอกเรื่องที่พระเจ้าอยากให้พวกคุณรู้อย่างครบถ้วนแล้ว 28 ระวังตัวเองกับฝูงชนทั้งหลายที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ตั้งให้คุณเป็นผู้ดูแลเลี้ยงดู ซึ่งก็คือหมู่ประชุมของพระเจ้า[b]ที่พระองค์ได้ซื้อมาด้วยเลือดของพระบุตรของพระองค์เอง[c] 29 ผมรู้ว่าเมื่อผมจากไป จะมีคนอื่นที่เป็นเหมือนฝูงหมาป่าดุร้ายเข้ามาทำร้ายฝูงชนของพระเจ้า 30 แม้แต่พวกคุณเองบางคน ก็จะพูดบิดเบือนความจริง เพื่อล่อพวกศิษย์ของพระเยซูให้ไปติดตามพวกเขาแทน 31 ฉะนั้น ระวังตัวไว้ให้ดี จำไว้ว่าตลอดเวลาสามปีมานี้ ผมได้ตักเตือนพวกคุณแต่ละคนด้วยน้ำตามาตลอด ไม่เคยหยุดเลยทั้งกลางวันและกลางคืน

32 และเดี๋ยวนี้ ผมขอมอบพวกคุณไว้กับพระเจ้า และกับพระคำเรื่องความเมตตากรุณาของพระองค์ ที่จะทำให้คุณเข้มแข็งขึ้น และจะทำให้คุณเป็นผู้รับมรดกร่วมกับคนพวกนั้นทั้งหมดที่พระเจ้าได้แยกออกมาไว้เป็นของพระองค์ 33 ผมไม่เคยคิดอยากจะได้เงินทอง หรือเสื้อผ้าของใครเลย 34 พวกคุณก็รู้ว่า ผมได้ทำงานเลี้ยงดูตัวเองและคนที่อยู่กับผม ด้วยมือทั้งสองของผมนี้ 35 ที่ผมทำอย่างนี้ ก็เพื่อพวกคุณจะได้เห็นว่าเราจะต้องทำงานหนักเพื่อจะได้ช่วยเหลือคนที่ขัดสน จำคำพูดของพระเยซูเจ้าไว้ให้ดีที่ว่า ‘การให้เป็นเกียรติมากยิ่งกว่าการรับ’” 36 หลังจากเปาโลพูดเสร็จแล้ว เขาก็คุกเข่าลงพร้อมกับทุกคน และเขาได้อธิษฐาน 37 ทุกคนร้องไห้สะอึกสะอื้นพากันกอดคอและจูบเปาโล 38 พวกเขาเสียใจมากที่เปาโลบอกว่า จะไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกแล้ว จากนั้นก็พากันไปส่งเปาโลที่เรือ

สดุดี 148

ทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด

สรรเสริญพระยาห์เวห์ สรรเสริญพระยาห์เวห์จากฟ้าสวรรค์เถิด
    สรรเสริญพระองค์ในที่สูงเบื้องบนเถิด
พวกทูตสวรรค์ทั้งปวงของพระองค์เอ๋ย สรรเสริญพระองค์เถิด
    ทุกท่านในกองทัพแห่งฟ้าสวรรค์เอ๋ย สรรเสริญพระองค์เถิด

ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เอ๋ย สรรเสริญพระองค์เถิด
    ดวงดาวระยิบระยับทั้งปวงเอ๋ย สรรเสริญพระองค์เถิด
ฟ้าสวรรค์ชั้นสูงสุดและน้ำที่อยู่เหนือฟ้าสวรรค์เอ๋ย
    สรรเสริญพระองค์เถิด

ขอให้ทั้งหมดนี้ สรรเสริญชื่อของพระยาห์เวห์เถิด
    เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นมาตามคำสั่งของพระองค์
พระองค์ตั้งให้สิ่งเหล่านั้นอยู่ในที่ของมันตลอดกาล
    พระองค์ตั้งกฎต่างๆให้กับสิ่งเหล่านั้นที่มันไม่อาจฝ่าฝืนได้

เจ้าที่เป็นสัตว์ยักษ์ในทะเลและทะเลลึกทั้งปวงเอ๋ย
    สรรเสริญพระยาห์เวห์จากแผ่นดินโลกเถิด
ฟ้าแลบ ลูกเห็บเอ๋ย หิมะและควัน[a] เอ๋ย
    ลมพายุที่ทำตามคำสั่งของพระองค์เอ๋ย

พวกภูเขาและเนินเขาทุกลูกเอ๋ย
    พวกต้นผลไม้ และสนซีดาร์ทุกต้นเอ๋ย
10 พวกสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงทุกชนิดเอ๋ย
    พวกสัตว์เลื้อยคลานและพวกนกทั้งหลายเอ๋ย

11 กษัตริย์ทั้งหลายของแผ่นดินโลกและชนชาติทั้งปวงเอ๋ย
    พวกเจ้าฟ้าและพวกผู้พิพากษาทั้งหมดของโลกเอ๋ย
12 หนุ่มสาวทั้งหลายเอ๋ย
    พวกคนแก่และเด็กๆเอ๋ย

13 ขอให้ทั้งหมดนี้ สรรเสริญชื่อของพระยาห์เวห์เถิด
    เพราะมีแต่ชื่อของพระองค์เท่านั้นที่สมควรจะได้รับการยกย่องเชิดชู
    พระบารมีของพระองค์สูงเหนือแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์
14 พระองค์ทำให้คนของพระองค์เข้มแข็ง
    ขอให้คนเหล่านั้นที่สัตย์ซื่อต่อพระองค์ สรรเสริญพระองค์เถิด
    ขอให้พระองค์ได้รับการสรรเสริญจากชาวอิสราเอลซึ่งเป็นชนชาติที่ใกล้ชิดพระองค์ที่สุด
สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด

สุภาษิต 18:6-7

คำพูดของคนโง่นำสู่การทะเลาะวิวาท
    ปากของเขาชวนให้ถูกตี
ปากของคนโง่ทำให้ตัวเองต้องพินาศ
    ริมฝีปากของเขาเป็นกับดักตัวเอง

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International