Print Page Options Listen to Reading
Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the NLT. Switch to the NLT to read along with the audio.

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 พงศ์กษัตริย์ 22:3-23:30

โยสิยาห์สั่งให้ซ่อมแซมวิหาร

(2 พศด. 34:9-13)

ในปีที่สิบแปด ที่โยสิยาห์เป็นกษัตริย์ เขาได้ส่งเลขานุการ ชื่อว่าชาฟานไปยังวิหารของพระยาห์เวห์ ชาฟานเป็นลูกชายของอาซาลิยาห์ ที่เป็นลูกชายของเมชุลลาม โยสิยาห์สั่งชาฟานว่า “ขึ้นไปหาฮิลคียาห์นักบวชสูงสุด บอกให้เขาเตรียมเงินที่ได้เก็บไว้ในวิหารของพระยาห์เวห์ ที่พวกคนเฝ้าประตูเก็บรวบรวมมาจากประชาชนนั้น ให้เขาเอาเงินพวกนั้นไปให้กับพวกหัวหน้าคนงานที่ได้รับมอบหมายให้มาดูแลคนที่มาซ่อมแซมวิหารของพระยาห์เวห์ และให้หัวหน้าคนงานพวกนี้ เอาเงินไปจ่ายให้พวกคนงานที่มาซ่อมแซมวิหารของพระยาห์เวห์ ซึ่งมีทั้งช่างไม้ ช่างก่อสร้าง ช่างอิฐ และให้พวกเขานำไปซื้อไม้และหินที่ตัดแต่งแล้วเพื่อนำไปใช้ซ่อมแซมวิหาร บอกพวกเขาว่าไม่ต้องทำบัญชีเกี่ยวกับเงินที่ให้พวกเขาไว้ เพราะพวกเขาล้วนทำงานด้วยความซื่อสัตย์”

พบหนังสือธรรมบัญญัติในวิหาร

(2 พศด. 34:14-21)

ฮิลคียาห์นักบวชสูงสุดได้พูดกับชาฟานที่เป็นเลขาว่า “เราได้พบหนังสือธรรมบัญญัติ[a] อยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์” เขาได้มอบหนังสือเล่มนั้นให้กับชาฟาน และชาฟานก็อ่านมัน

แล้วชาฟานที่เป็นเลขาก็ไปพบกษัตริย์และบอกกับกษัตริย์ว่า “พวกข้าราชการได้เอาเงินที่อยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์ ไปมอบให้กับพวกคนงานและหัวหน้างานที่วิหารแล้ว” 10 แล้วเลขาชาฟานก็บอกข่าวกับกษัตริย์ว่า “นักบวชฮิลคียาห์ได้มอบหนังสือเล่มหนึ่งให้กับข้าพเจ้า” และชาฟานก็อ่านให้กษัตริย์ฟัง

11 เมื่อกษัตริย์ได้ฟังคำพูดต่างๆในหนังสือธรรมบัญญัติเล่มนั้นแล้ว เขาก็ฉีกเสื้อผ้าออกด้วยความโศกเศร้า 12 เขาได้สั่งนักบวชฮิลคียาห์ อาหิคัมลูกชายของชาฟาน อัคโบร์ลูกชายของมีคายาห์ และเลขาชาฟาน รวมทั้งอาสายาห์ผู้รับใช้ของกษัตริย์ว่า 13 “ไปปรึกษาพระยาห์เวห์ดูสิว่าเราควรทำยังไงดี ไปปรึกษาให้กับเรา ให้กับประชาชนและให้กับชาวยูดาห์ทั้งหมดด้วย เกี่ยวกับสิ่งที่เขียนอยู่ในหนังสือที่ถูกพบเล่มนี้ เพราะที่ความโกรธอันยิ่งใหญ่ของพระยาห์เวห์ได้เผาผลาญพวกเรานี้ ก็เพราะบรรพบุรุษของพวกเราไม่ยอมเชื่อฟังคำพูดในหนังสือเล่มนี้ พวกเขาไม่ยอมทำตามทุกสิ่งที่ถูกเขียนอยู่ในหนังสือเล่มนี้ที่พวกเราจะต้องทำ”

เรื่องกษัตริย์โยสิยาห์กับนางฮุลดาห์

(2 พศด. 34:22-28)

14 นักบวชฮิลคียาห์ อาหิคัม อัคโบร์ ชาฟานและอาสายาห์ได้ไปพูดกับฮุลดาห์หญิงผู้พูดแทนพระเจ้า นางเป็นเมียของชัลลูมลูกชายของทิกวาห์ซึ่งเป็นลูกชายของฮารฮัส ชัลลูมมีหน้าที่ดูแลเรื่องเสื้อผ้าของนักบวช ฮุลดาห์อาศัยอยู่ในเขตที่สองของเมืองเยรูซาเล็ม

15 นางพูดกับพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลพูดว่าอย่างนี้ ‘ให้บอกกับชายที่ส่งพวกเจ้ามาหาเราว่า 16 “พระยาห์เวห์พูดว่า เรากำลังจะนำความหายนะมาสู่สถานที่แห่งนี้และคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ตามที่ได้เขียนไว้ในหนังสือที่กษัตริย์ของยูดาห์ได้อ่านไปแล้วนั้น 17 ความโกรธของเราจะเผาผลาญสถานที่แห่งนี้และจะดับไม่ได้ เพราะพวกเขาละทิ้งเราและไปเผาเครื่องหอม ให้กับพระอื่นๆและมายั่วยุให้เราโกรธด้วยพวกรูปเคารพที่พวกเขาได้สร้างขึ้นกับมือ”

18 ให้บอกกับกษัตริย์ของยูดาห์ ที่ได้ส่งพวกเจ้ามาปรึกษาพระยาห์เวห์ ให้บอกกับเขาว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ได้พูดคำเหล่านั้นที่เจ้าได้ยินไปแล้ว 19 เมื่อเจ้าได้ยินถึงสิ่งที่เราพูดต่อต้านสถานที่แห่งนี้และคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ว่าสถานที่นี้จะรกร้าง และประชาชนเหล่านี้จะถูกสาปแช่ง เมื่อเจ้าได้ยินอย่างนี้ จิตใจของเจ้าก็สงสาร และถ่อมตัวลงต่อหน้าพระยาห์เวห์ เจ้าได้ฉีกเสื้อผ้าด้วยความโศกเศร้า และได้ร้องไห้ต่อหน้าเรา เราก็เลยฟังเจ้า” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนี้ 20 ดังนั้นเราจะรวมเจ้าไปอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า และศพของเจ้าจะถูกฝังอย่างสงบสุข ตาของเจ้าจะไม่ต้องเห็นความหายนะที่เรากำลังจะนำมาสู่สถานที่แห่งนี้’” แล้วพวกเขาได้เอาข้อความนี้ไปบอกกับกษัตริย์

ประชาชนฟังหนังสือข้อตกลง

(2 พศด. 34:29-32)

23 แล้วกษัตริย์โยสิยาห์เรียกพวกผู้ใหญ่ของยูดาห์และของเยรูซาเล็มทั้งหมดมารวมตัวกัน เขาขึ้นไปที่วิหารของพระยาห์เวห์กับคนเหล่านั้นของยูดาห์ และทุกคนที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม รวมทั้งพวกนักบวชและเหล่าผู้พูดแทนพระเจ้า คือประชาชนทั้งหมดตั้งแต่ชนชั้นระดับล่างไปจนถึงคนระดับสำคัญๆ โยสิยาห์ได้อ่านทุกคำในหนังสือข้อตกลงที่พบในวิหารของพระยาห์เวห์นั้นให้กับทุกคนฟัง

กษัตริย์ยืนอยู่ข้างเสาและได้ทำข้อตกลงใหม่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ ว่าจะติดตามพระยาห์เวห์และจะรักษาคำสั่งทุกข้อของพระองค์ กฎและข้อบังคับต่างๆอย่างสุดจิตสุดใจ และจะทำตามคำพูดของข้อตกลงที่เขียนอยู่ในหนังสือเล่มนี้ แล้วประชาชนทั้งหมดก็ได้ขานรับข้อตกลงนั้น

กษัตริย์โยสิยาห์กำจัดรูปเคารพ

(2 พศด. 34:3-7)

กษัตริย์สั่งฮิลคียาห์ซึ่งเป็นนักบวชสูงสุด เหล่านักบวชคนอื่นๆที่มีตำแหน่งรองๆลงมาและพวกคนเฝ้าประตู ให้ย้ายเครื่องใช้ทุกอย่างที่สร้างขึ้นให้แก่พระบาอัล ให้แก่เจ้าแม่อาเชราห์และให้แก่พวกดวงดาวทั้งหลาย ออกจากวิหารของพระยาห์เวห์ โยสิยาห์ได้เผาสิ่งเหล่านั้นนอกเมืองเยรูซาเล็ม ในทุ่งของหุบเขาขิดโรน แล้วขนเอาขี้เถ้าของมันไปที่เมืองเบธเอล

โยสิยาห์ได้กำจัดพวกนักบวชที่รับใช้พวกรูปเคารพที่กษัตริย์ทั้งหลายของยูดาห์ได้แต่งตั้งให้มาทำหน้าที่เผาเครื่องหอม อยู่บนสถานนมัสการต่างๆในเมืองทั้งหลายของยูดาห์ และเมืองที่อยู่รอบๆเมืองเยรูซาเล็ม รวมถึงพวกนักบวชที่เป็นคนเผาเครื่องหอมให้กับพระบาอัล ให้กับพระอาทิตย์และพระจันทร์ ให้กับพวกหมู่ดาวและดวงดาวทั้งหมดบนท้องฟ้า

โยสิยาห์เอาเสาเจ้าแม่อาเชราห์ ออกจากวิหารของพระยาห์เวห์ และเอาไปไว้ที่หุบเขาขิดโรนที่อยู่นอกเมืองเยรูซาเล็มและเผามันทิ้งที่นั่น เขาทุบมันจนแตกละเอียดเป็นผุยผงและเอาขี้เถ้าของมันโปรยลงบนหลุมฝังศพของคน[b]

โยสิยาห์ยังทำลายที่พักทั้งหลายของพวกโสเภณีผู้ชายซึ่งอยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์ ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่พวกผู้หญิงใช้ทอผ้าให้กับพระแม่อาเชราห์

โยสิยาห์นำตัวพวกนักบวชทั้งหมดมาจากเมืองต่างๆของยูดาห์ แล้วมาไว้ที่เยรูซาเล็ม และทำให้สถานนมัสการทั้งหลายเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ลง ตั้งแต่ในเกบาไปจนถึงเบเออร์เชบา ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกนักบวชนั้นใช้เผาเครื่องหอม โยสิยาห์ทำลายพวกสถานที่ที่นมัสการรูปปั้นแพะ ที่ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของประตูเมือง ที่อยู่ตรงทางเข้าของประตูโยชูวาเจ้าเมือง ถึงแม้ว่าเหล่านักบวชของสถานนมัสการเหล่านั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะรับใช้อยู่ที่แท่นบูชาของพระยาห์เวห์ในเมืองเยรูซาเล็ม แต่พวกเขาก็ได้กินขนมปังไม่ใส่เชื้อฟูกับเหล่านักบวชญาติๆของเขา

10 โทเฟทเป็นสถานที่หนึ่งที่ตั้งอยู่ในหุบเขาของเบนฮินโนม โยสิยาห์ทำให้สถานที่นี้เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ลง จึงไม่มีใครสามารถกลับมาใช้สถานที่นี้ เพื่อเอาลูกชายหรือลูกสาวของตัวเองมาเผาไฟเป็นเครื่องบูชาให้กับพระโมเลค[c] ได้อีกต่อไป 11 ในอดีต กษัตริย์ของยูดาห์ชอบเอาพวกรูปปั้นม้าและรถรบมาตั้งอยู่ที่ทางเข้าวิหารของพระยาห์เวห์ ที่อยู่ใกล้กับห้องของเจ้าหน้าที่ที่สำคัญคนหนึ่งชื่อ นาธันเมเลค ทั้งรูปปั้นม้าและรถรบนี้มีไว้อุทิศให้กับดวงอาทิตย์[d] โยสิยาห์ย้ายพวกรูปปั้นม้าออกไป และเผารถรบพวกนี้จนหมด

12 ในอดีต กษัตริย์ของยูดาห์ได้สร้างพวกแท่นบูชาไว้บนดาดฟ้าของตึกอาหัส กษัตริย์มนัสเสห์ก็ได้สร้างแท่นบูชาไว้ที่ลานทั้งสองข้างของวิหารของพระยาห์เวห์ โยสิยาห์รื้อแท่นบูชาเหล่านั้น และทุบพวกมันทิ้งจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและก็โยนเศษหินลงในหุบเขาขิดโรน

13 ในอดีตกษัตริย์ซาโลมอนได้สร้างพวกสถานนมัสการไว้ทางใต้เนินเขาแห่งการทำลาย ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเมืองเยรูซาเล็ม ที่อยู่ใกล้กับเมืองเยรูซาเล็ม กษัตริย์ซาโลมอนของอิสราเอลได้สร้างสถานนมัสการพวกนี้ให้กับพระอัชโทเรทอันน่าสะอิดสะเอียน ที่ชาวไซดอนนับถือกัน และสร้างให้กับพระเคโมช อันน่าสะอิดสะเอียน ที่พวกโมอับนับถือกัน และสร้างให้กับพระโมเลค อันน่าสะอิดสะเอียน ที่ชาวอัมโมนนับถือกัน 14 โยสิยาห์ทุบพวกหินศักดิ์สิทธิ์เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและโค่นพวกเสาเจ้าแม่อาเชราห์ลงและเอากระดูกคนมาทิ้งให้กระจัดกระจายในที่นั้น

15 โยสิยาห์ได้รื้อทิ้งแม้แต่แท่นบูชาที่เมืองเบธเอล สถานนมัสการที่เยโรโบอัมลูกชายของเนบัทได้สร้างขึ้น ซึ่งทำให้อิสราเอลพลอยทำบาปไปด้วย[e] เขาเผาสถานนมัสการ และทุบมันจนแตกละเอียดเป็นผุยผง และเผาเสาเจ้าแม่อาเชราห์ทิ้งด้วย 16 แล้วโยสิยาห์ก็มองไปรอบๆและเมื่อเขาเห็นหลุมฝังศพมากมายที่อยู่ด้านข้างเนินเขา เขาก็ให้ย้ายเอากระดูกออกจากที่นั่น และเผามันบนแท่นบูชาเพื่อทำให้แท่นบูชาเสื่อมไป ซึ่งเป็นไปตามคำพูดของพระยาห์เวห์ที่เคยทำนายไว้ผ่านทางคนของพระเจ้า[f] ตอนที่กษัตริย์เยโรโบอัมยืนอยู่ข้างๆแท่นบูชาในช่วงเทศกาล แล้วโยสิยาห์ก็หันไปดูอุโมงค์ของคนของพระเจ้าคนนั้นที่ได้ทำนายถึงสิ่งเหล่านี้

17 กษัตริย์โยสิยาห์ถามว่า “หินที่ระลึกที่เราเห็นนั้นคืออะไรหรือ”

พวกคนในเมืองบอกไปว่า “มันเป็นอุโมงค์ฝังศพของคนของพระเจ้าที่มาจากยูดาห์ และได้ทำนายถึงสิ่งต่างๆที่ท่านได้ทำไปแล้วกับแท่นบูชาของเมืองเบธเอล”

18 กษัตริย์จึงพูดว่า “ปล่อยให้เขาพักอยู่ตรงนั้นแหละ อย่าให้ใครไปรบกวนกระดูกของเขาเลย” พวกเขาก็เลยไม่รบกวนกระดูกของคนของพระเจ้าคนนั้น และกระดูกของผู้พูดแทนพระเจ้าที่ออกมาจากเมืองสะมาเรีย

19 โยสิยาห์ก็ทำลายพวกศาลเจ้าตามสถานที่สูงในเมืองต่างๆของสะมาเรีย ซึ่งพวกกษัตริย์ของอิสราเอลเคยสร้างขึ้น แล้วยั่วยุให้พระยาห์เวห์โกรธ เขาจัดการกับที่เหล่านั้นอย่างกับที่เขาทำกับสถานที่นมัสการของเบธเอล

20 โยสิยาห์ฆ่านักบวชทุกคนของสถานนมัสการเหล่านั้นบนแท่นบูชา และเผากระดูกคนบนแท่นบูชาเหล่านั้น แล้วเขาก็กลับเมืองเยรูซาเล็ม

ชาวยูดาห์ฉลองเทศกาลปลดปล่อย

(2 พศด. 35:1-19)

21 กษัตริย์โยสิยาห์มีคำสั่งถึงประชาชนทั้งหมดว่า “ให้เฉลิมฉลองเทศกาลปลดปล่อยเพื่อเป็นเกียรติให้กับพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเจ้า ตามที่ได้กำหนดไว้ในหนังสือข้อตกลงนี้”

22 นับตั้งแต่สมัยพวกผู้นำวินิจฉัยนำอิสราเอล ตลอดจนสมัยของพวกกษัตริย์แห่งอิสราเอลและของพวกกษัตริย์แห่งยูดาห์ ยังไม่เคยมีการเฉลิมฉลองเทศกาลวันปลดปล่อยเลย 23 แต่ในปีที่สิบแปดที่โยสิยาห์เป็นกษัตริย์ ก็ได้มีการเฉลิมฉลองเทศกาลวันปลดปล่อยเพื่อเป็นเกียรติให้กับพระยาห์เวห์ในเมืองเยรูซาเล็ม

24 นอกจากนี้ โยสิยาห์ยังกำจัดพวกคนทรงเจ้าและหมอผี บรรดาพระในบ้านและพวกรูปเคารพทั้งหลายรวมทั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นที่เห็นในยูดาห์และในเยรูซาเล็มออกไปจนหมด เขาได้ทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ เพื่อให้เป็นไปตามกฎที่ได้เขียนไว้ในหนังสือที่นักบวชฮิลคียาห์ได้ค้นพบในวิหารของพระยาห์เวห์

25 ไม่เคยมีกษัตริย์องค์ไหนหันเข้ามาหาพระยาห์เวห์ด้วยสุดจิตสุดใจและสุดกำลัง อย่างที่กฏของโมเสสสั่งไว้ มากเท่ากับที่โยสิยาห์ได้ทำ ไม่ว่าจะก่อนหน้าเขาหรือหลังจากเขาก็ตาม

26 แต่อย่างไรก็ตาม พระยาห์เวห์ไม่ได้หันเหไปจากความดุดันแห่งความโกรธเกรี้ยวอันมหาศาลของพระองค์ที่เผาผลาญต่อยูดาห์ เนื่องจากการยั่วยุทั้งหมดที่มนัสเสห์ได้ทำต่อพระองค์ 27 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราจะกำจัดยูดาห์ออกไปจากสายตาเรา เหมือนกับที่เราได้กำจัดอิสราเอลไปแล้ว และเราจะปฏิเสธเมืองเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเมืองที่เราได้เลือกไว้ รวมทั้งวิหารแห่งนี้ที่เราเคยพูดไว้ว่า ‘เราจะให้ชื่อของเราอยู่ที่นั่น’”

28 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในสมัยของโยสิยาห์ และทุกสิ่งที่เขาได้ทำไป ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์

ความตายของโยสิยาห์

(2 พศด. 35:20-36:1)

29 ในสมัยที่โยสิยาห์เป็นกษัตริย์ ฟาโรห์เนโค กษัตริย์ของอียิปต์ได้ขึ้นมาที่แม่น้ำยูเฟรติสเพื่อช่วยเหลือกษัตริย์ของอัสซีเรีย กษัตริย์โยสิยาห์ยกทัพออกไปสู้กับฟาโรห์เนโค เมื่อฟาโรห์เนโคเห็นโยสิยาห์ ก็ฆ่าเขาตายที่เมืองเมกิดโด 30 พวกผู้รับใช้ของโยสิยาห์นำศพของเขาขึ้นรถรบคันหนึ่งและขับจากเมกิดโดไปจนถึงเยรูซาเล็มและฝังศพของโยสิยาห์ไว้ในหลุมศพของเขาเอง

และประชาชนของแผ่นดินนั้น ก็ยกเยโฮอาหาสลูกชายของโยสิยาห์ขึ้นมาและเจิมแต่งตั้ง ให้เขาเป็นกษัตริย์ต่อจากพ่อของเขา

กิจการ 21:37-22:16

37 เมื่อเปาโลกำลังจะถูกนำตัวเข้าไปในค่ายทหาร เขาพูดกับผู้พันกองทัพทหารโรมันว่า “ผมขอพูดอะไรกับท่านหน่อยได้ไหมครับ” ผู้พันถามว่า “เจ้าพูดกรีกได้ด้วยหรือ 38 ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ใช่ชาวอียิปต์คนนั้น ที่เมื่อก่อนได้ก่อการกบฏและนำผู้ก่อการร้ายสี่พันคนหนีไปที่ทะเลทรายนะสิ” 39 เปาโลตอบว่า “ผมเป็นคนยิว มาจากเมืองทาร์ซัสในแคว้นซีลีเซีย ผมเป็นพลเมืองของเมืองที่สำคัญนั้น ขอให้ผมพูดกับฝูงชนนั่นหน่อยเถิดครับ” 40 เมื่อผู้พันกองทัพทหารโรมันอนุญาตแล้ว เปาโลยืนขึ้นตรงบันไดและโบกมือให้ทุกคนเงียบ เมื่อทุกคนเงียบแล้ว เปาโลได้พูดกับพวกเขาเป็นภาษาอารเมค[a] ว่า

เปาโลพูดกับประชาชน

22 “ท่านผู้อาวุโสและพี่น้องทั้งหลาย โปรดฟังคำอธิบายของผมสักนิดเถอะ” เมื่อพวกเขาได้ยินเปาโลพูดเป็นภาษาอารเมค พวกเขายิ่งเงียบลง จากนั้นเปาโลพูดว่า “ผมเป็นคนยิว เกิดที่เมืองทาร์ซัสแคว้นซีลีเซีย แต่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูในเมืองเยรูซาเล็มนี้ ผมเป็นศิษย์ของกามาลิเอล[b] และเขาได้อบรมสั่งสอนผมให้ทำตามกฎของบรรพบุรุษของพวกเราอย่างเคร่งครัด ผมเป็นคนที่เคร่งต่อพระเจ้ามาก เหมือนกับพวกท่านในตอนนี้ ผมเคยข่มเหงคนที่เดินตามแนวทางขององค์เจ้าชีวิตจนถึงตาย และจับพวกเขาทั้งชายและหญิงไปขังคุก ทั้งหัวหน้านักบวชสูงสุด และผู้นำอาวุโสทั้งหมดเป็นพยานให้กับผมได้ พวกเขาได้ออกจดหมายแนะนำตัวผมให้กับพี่น้องชาวยิวในเมืองดามัสกัส ผมจะได้ไปที่นั่นเพื่อจับคนพวกนั้นที่เดินตามทางของพระเยซู แล้วส่งกลับมาเข้าคุกที่เมืองเยรูซาเล็ม

ทำไมเปาโลถึงมาติดตามพระเยซู

เมื่อผมเดินทางใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส เป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน จู่ๆก็มีแสงสว่างจ้าจากท้องฟ้าส่องลงมารอบตัวผม ผมก็ล้มลงบนพื้นและได้ยินเสียงพูดว่า ‘เซาโล เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม’ ผมถามไปว่า ‘พระองค์เป็นใครกัน’ พระองค์ตอบว่า ‘เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธ คนที่เจ้าข่มเหงไง’ คนทั้งหลายที่อยู่กับผมก็เห็นแสงสว่างนั้นด้วย แต่พวกเขาไม่เข้าใจเสียงที่พูดกับผมนั้น 10 ผมถามว่า ‘แล้วข้าพเจ้าจะต้องทำอะไร องค์เจ้าชีวิต’ องค์เจ้าชีวิตก็บอกว่า ‘ลุกขึ้นและเข้าไปในเมืองดามัสกัส ที่นั่นจะมีคนบอกเองว่าเจ้าจะต้องทำอะไรบ้าง’ 11 เพราะความจ้าของแสงนั้นทำให้ผมมองอะไรไม่เห็นเลย เพื่อนร่วมทางของผมต้องมาจูงผมเข้าไปในเมืองดามัสกัส

12 มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนีย[c] เป็นคนที่ทำตามกฎของโมเสสอย่างเคร่งครัด และเป็นคนที่มีชื่อเสียงดีในหมู่คนยิวในเมืองนั้น 13 เขามาหาผม และยืนอยู่ข้างๆพูดว่า ‘น้องเซาโล ขอให้กลับเห็นได้อีก’ แล้วผมก็มองเห็นเขาทันที 14 เขาพูดว่า ‘พระเจ้าของบรรพบุรุษเรา ได้เลือกน้องให้รู้ถึงความต้องการของพระองค์ และให้น้องเห็นพระเยซูผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้า และให้น้องได้ยินเสียงของพระองค์ด้วย 15 เพื่อน้องจะได้บอกให้กับทุกคนรู้ถึงสิ่งที่น้องได้เห็นและได้ยินมาเกี่ยวกับพระองค์ 16 ตอนนี้น้องยังมัวคอยอะไรอยู่อีก ลุกขึ้นและเข้าพิธีจุ่มน้ำเพื่อล้างบาปของน้องให้หมดไป คือร้องเรียกให้องค์เจ้าชีวิตช่วย’

สดุดี 1

หนังสือเล่มที่หนึ่ง

(สดุดี 1-41)

คนดีและคนชั่ว

คนอย่างนี้มีเกียรติจริงๆคือ
    คนที่ไม่ทำตามคำแนะนำของคนชั่ว
คนที่ไม่เดินในทางของคนผิดบาป
    คนที่ไม่เข้าไปนั่งอยู่ในที่ของคนที่หยิ่งยโส
แต่ เขามีความสุขในคำสอนของพระยาห์เวห์
    เขาเฝ้าครุ่นคิดถึงแต่คำสอนของพระองค์ทั้งวันทั้งคืน
เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ
    ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล ใบจะไม่เหี่ยวเฉา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ จะประสบผลสำเร็จ

แต่คนชั่วจะไม่เป็นอย่างนั้น
    พวกเขาจะเป็นเหมือนแกลบที่ลมพัดปลิวฟุ้งไป
ดังนั้น คนชั่วจะไม่รอดในวันแห่งการพิพากษา
    พวกคนบาปจะไม่มีส่วนในชุมชนของพวกคนบริสุทธิ์
เพราะพระยาห์เวห์ เฝ้าดูแลทางของคนบริสุทธิ์
    แต่ทางของคนชั่วจะนำไปสู่ความพินาศ

สุภาษิต 18:11-12

11 ทรัพย์สมบัติของคนร่ำรวยเป็นป้อมปราการคุ้มกันเขา
    เขาคิดว่าเป็นเหมือนกำแพงสูง
12 จิตใจที่เย่อหยิ่งจะมาก่อนความพินาศ
    ความนอบน้อมถ่อมตนจะมาก่อนเกียรติยศ

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International