Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the GNT. Switch to the GNT to read along with the audio.

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 พงศาวดาร 6:12-8:10

คำอธิษฐานของซาโลมอน

(1 พกษ. 8:22-53)

12-13 ซาโลมอนสร้างปะรำยกพื้นจากทองสัมฤทธิ์ขึ้น ยาวห้าศอก กว้างห้าศอก และสูงสามศอก และวางมันไว้ตรงกลางของลานด้านนอก เขายืนอยู่บนปะรำนั้นและก็คุกเข่าลงต่อหน้าชุมนุมอิสราเอลทั้งหมด และชูแขนทั้งสองข้างขึ้นบนฟ้าสวรรค์ 14 เขาพูดว่า

“ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนอีกแล้ว ที่จะเหมือนกับพระองค์ ไม่ว่าจะบนสวรรค์เบื้องบนหรือแผ่นดินโลกเบื้องล่าง พระองค์รักษาสัญญาแห่งความรักกับเหล่าผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ที่เชื่อฟังพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจของเขา 15 พระองค์ยังรักษาสัญญากับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ ที่เป็นพ่อของข้าพเจ้า พระองค์สัญญาด้วยปากของพระองค์และในวันนี้พระองค์ได้ทำให้คำสัญญานั้นสำเร็จลุล่วงด้วยมือของพระองค์ 16 ตอนนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ขอพระองค์รักษาสัญญาอื่นๆที่พระองค์ได้ทำไว้กับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ที่เป็นพ่อของข้าพเจ้าด้วยเถิด เมื่อครั้งที่พระองค์ได้พูดว่า ‘ดาวิด ถ้าลูกหลานของเจ้าระมัดระวังในทุกๆสิ่งที่พวกเขาทำ เพื่อจะทำตามกฎของเราเหมือนกับที่เจ้าได้ทำ เจ้าจะไม่มีวันขาดคนที่จะมานั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอลต่อหน้าเราเลย’ 17 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ในตอนนี้ ขอให้พระองค์ทำให้คำพูดของพระองค์ที่ได้สัญญาไว้กับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์เป็นจริงขึ้นมาด้วยเถิด

18 แต่พระเจ้า พระองค์จะอาศัยอยู่บนพื้นโลกกับมนุษย์ได้จริงๆหรือ เพราะฟ้าสวรรค์หรือแม้แต่สวรรค์ชั้นสูงสุดยังไม่สามารถรองรับพระองค์ได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับวิหารแห่งนี้ที่ข้าพเจ้าได้สร้างเล่า 19 ถึงกระนั้น ขอพระองค์โปรดฟังคำอธิษฐานและคำอ้อนวอนของผู้รับใช้คนนี้ของพระองค์ด้วยเถิด ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า โปรดฟังเสียงร่ำร้องและคำอธิษฐานที่ผู้รับใช้ของพระองค์ กำลังอธิษฐานอยู่ต่อหน้าพระองค์ 20 ขอให้ดวงตาของพระองค์เฝ้ามองวิหารหลังนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน มันเป็นสถานที่ที่พระองค์ได้พูดไว้ว่าจะวางชื่อของพระองค์ไว้ที่นี่ ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานที่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์อธิษฐานตอนหันหน้าเข้าหาสถานที่แห่งนี้ด้วยเถิด 21 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้พระองค์ฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้าผู้รับใช้พระองค์และอิสราเอลชนชาติของพระองค์ เมื่อพวกเขาอธิษฐานหันหน้ามายังสถานที่นี้ด้วยเถิด ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานในฟ้าสวรรค์ ซึ่งเป็นที่อาศัยของพระองค์ และเมื่อพระองค์ได้ยินแล้ว ขอโปรดยกโทษให้กับพวกเราด้วยเถิด

22 เมื่อคนหนึ่งคนใดทำผิดต่อเพื่อนบ้านของเขา และต้องสาบาน เมื่อเขามาสาบานต่อหน้าแท่นบูชาของพระองค์ในวิหารแห่งนี้ 23 ขอโปรดรับฟังจากบนฟ้าสวรรค์ และตัดสินพวกผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยเถิด ขอพระองค์ตอบแทนคนที่ทำผิด โดยให้ความผิดของเขาตกลงบนหัวของเขาเอง และขอให้พระองค์ประกาศความบริสุทธิ์ของคนที่บริสุทธิ์ โดยให้รางวัลกับเขาตามความบริสุทธิ์ของเขา

24 ถ้าประชาชนชาวอิสราเอลของพระองค์พ่ายแพ้ต่อศัตรูเพราะทำความผิดบาปต่อพระองค์ และถ้าพวกเขาหันกลับมายอมรับชื่อของพระองค์ มาอธิษฐานร้องขอต่อพระองค์ในวิหารแห่งนี้ 25 โปรดฟังพวกเขาจากฟ้าสวรรค์ และอภัยให้กับความบาปของอิสราเอลชนชาติของพระองค์ และนำพวกเขากลับมาสู่แผ่นดินที่พระองค์ได้ให้ไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาด้วยเถิด

26 หรือเมื่อพระองค์ปิดสวรรค์ ไม่ให้ฝนตกลงมา เพราะประชาชนของพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ ถ้าพวกเขาหันหน้ามาทางวิหารอธิษฐาน และสรรเสริญชื่อของพระองค์ และหันจากบาปของพวกเขา เพราะพระองค์ได้ลงโทษพวกเขา 27 ก็ขอโปรดฟังจากฟ้าสวรรค์ และอภัยบาปให้กับพวกผู้รับใช้พระองค์คืออิสราเอลชนชาติของพระองค์ด้วยเถิด โปรดสอนพวกเขาให้ใช้ชีวิตในทางที่ถูกต้อง และช่วยส่งฝนให้ตกลงมาบนแผ่นดินที่พระองค์ได้ให้ไว้เป็นมรดกกับประชาชนของพระองค์ด้วยเถิด

28 เมื่อเกิดภาวะอดอยาก[a] หรือเกิดโรคระบาดขึ้นในแผ่นดิน หรือเกิดโรคซีดในพืช หรือเกิดเชื้อราทำลายพืช หรือ เกิดตั๊กแตนวัยบินหรือวัยคลานมาทำลายพืช หรือมีพวกศัตรูมาปิดล้อมเมืองทั้งหลายของพวกเขาไว้ ไม่ว่าจะเป็นความหายนะใดๆหรือโรคร้ายใดๆที่เกิดขึ้นก็ตาม 29 และเมื่ออิสราเอลหรือคนหนึ่งคนใดได้สำนึกผิดเพราะได้รับความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวด และเขาได้ยื่นมือไปยังวิหารแห่งนี้ และอธิษฐานหรืออ้อนวอนต่อพระองค์ 30 ขอพระองค์ได้โปรดฟังจากสวรรค์ที่เป็นที่อาศัยของพระองค์ และโปรดยกโทษและช่วยพวกเขาด้วย มีแต่พระองค์เท่านั้นที่รู้จิตใจของมนุษย์ทุกคน อย่างนั้นได้โปรดตอบแทนพวกเขาตามการกระทำของพวกเขาด้วยเถิด 31 เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรงพระองค์และจะได้เดินตามทางของพระองค์ตลอดเวลาที่พวกเขามีชีวิตอยู่ในแผ่นดินที่พระองค์ได้ยกให้กับบรรพบุรุษของพวกเรา

32 ส่วนคนต่างชาติที่ไม่ใช่อิสราเอลชนชาติของพระองค์ พวกเขาจะเดินทางมาจากแดนไกล เพราะพวกเขาจะได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของพระองค์และมือที่เต็มไปด้วยอำนาจกับแขนที่กางออกของพระองค์ เมื่อคนต่างชาตินั้นหันหน้ามาทางวิหารนี้และอธิษฐาน 33 ขอพระองค์โปรดฟังจากฟ้าสวรรค์ ซึ่งเป็นที่อาศัยของพระองค์ และโปรดทำตามสิ่งที่ชาวต่างชาติคนนั้นขอจากพระองค์ด้วยเถิด เพื่อชนทุกชาติบนโลกนี้จะได้รู้จักชื่อเสียงของพระองค์ และยำเกรงพระองค์ เหมือนกับที่อิสราเอลชนชาติของพระองค์ทำ และเพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่า วิหารหลังนี้ที่ข้าพเจ้าได้สร้างขึ้นมาเป็นของพระองค์

34 เมื่อประชาชนของพระองค์ไปทำสงครามกับพวกศัตรูของพวกเขา ไม่ว่าพระองค์จะส่งพวกเขาไปที่ใดก็ตาม และเมื่อพวกเขาอธิษฐานกับพระองค์ โดยหันหน้ามาทางเมืองนี้ที่พระองค์ได้เลือกไว้ และหันไปทางวิหารที่ข้าพเจ้าได้สร้างไว้เพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของพระองค์แล้ว 35 ขอให้พระองค์ฟังคำอธิษฐานและคำอ้อนวอนของพวกเขาจากฟ้าสวรรค์และช่วยเหลือพวกเขาด้วยเถิด

36 เมื่อพวกเขาทำบาปต่อพระองค์ เพราะคงไม่มีใครที่ไม่ทำบาปเลย และพระองค์ก็โกรธพวกเขา และได้ส่งพวกเขาไปตกอยู่ในกำมือของศัตรูที่เข้ามาจับตัวพวกเขาไปเป็นเชลยและนำตัวพวกเขาไปสู่ดินแดนอื่นไม่ว่าจะใกล้หรือไกลก็ตาม 37 และพวกเขาสำนึกผิดตอนอยู่บนแผ่นดินที่พวกเขาถูกจับตัวไปนั้น และพวกเขาได้กลับตัวกลับใจ และได้อธิษฐานต่อพระองค์ในแผ่นดินของผู้ที่จับตัวพวกเขาไปนั้น และพวกเขาพูดว่า ‘พวกเราได้ทำบาปและทำผิดไปแล้ว พวกเราได้ทำตัวเลวมาก’ 38 และถ้าพวกเขาหันกลับมาหาพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจของพวกเขาในแผ่นดินที่พวกเขาถูกจับตัวไปนั้น และได้อธิษฐานโดยหันหน้าไปยังแผ่นดินที่พระองค์ได้ยกให้กับบรรพบุรุษของพวกเขา และได้หันไปทางเมืองที่พระองค์ได้เลือกไว้ และหันไปทางวิหารที่ข้าพเจ้าได้สร้างไว้เพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของพระองค์ 39 ก็ขอให้พระองค์ฟังคำอธิษฐานและคำอ้อนวอนของพวกเขาจากบนฟ้าสวรรค์ ซึ่งเป็นที่อาศัยของพระองค์นั้น และช่วยเหลือพวกเขาด้วยเถิด และโปรดยกโทษให้กับชนชาติของพระองค์ ที่ได้ทำบาปต่อพระองค์ด้วย 40 และตอนนี้ พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอให้ดวงตาของพระองค์เปิดขึ้นและขอให้หูของพระองค์ได้รับฟังคำอธิษฐานที่ถวายให้ในที่นี้

41 ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้เป็นพระเจ้า ตอนนี้ขอลุกขึ้นเถิด และมาสู่สถานที่พักผ่อนของพระองค์
    ทั้งพระองค์และหีบแห่งอำนาจของพระองค์
ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้เป็นพระเจ้า ขอให้เหล่านักบวชของพระองค์ได้สวมใส่ความช่วยเหลือ
    ขอให้เหล่าศิษย์แท้จริงของพระองค์
    ยินดีในความดีของพระองค์
42 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ผู้เป็นพระเจ้า ขออย่าได้ปฏิเสธผู้ที่พระองค์ได้แต่งตั้งเลย
    ขอจดจำความรักอันยิ่งใหญ่ที่ได้สัญญาไว้กับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยเถิด”

อุทิศวิหารให้กับพระยาห์เวห์

(1 พกษ. 8:62-66)

เมื่อซาโลมอนอธิษฐานเสร็จ ก็มีไฟลงมาจากสวรรค์

และมาเผาเครื่องเผาบูชา กับพวกเครื่องสัตวบูชาและรัศมีของพระยาห์เวห์ ก็แผ่ออกมาเต็มวิหาร พวกนักบวชไม่สามารถเข้าไปในวิหารของพระยาห์เวห์ได้ เพราะรัศมีของพระยาห์เวห์เต็มวิหารไปหมด เมื่อชาวอิสราเอลทั้งหมดได้เห็นไฟที่พุ่งลงมาและรัศมีของพระยาห์เวห์เหนือวิหารแห่งนั้น พวกเขาก็คุกเข่าลงและก้มหน้าลงกับพื้นหิน พวกเขานมัสการและขอบคุณพระยาห์เวห์ โดยพูดว่า

“พระองค์ทรงดี
    ความรักมั่นคงของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไป”[b]

แล้วกษัตริย์กับประชาชนทั้งหมดก็ถวายเครื่องสัตวบูชาต่อหน้าพระยาห์เวห์ และกษัตริย์ซาโลมอนได้ถวายวัวสองหมื่นสองพันตัว และแกะกับแพะอีกหนึ่งแสนสองหมื่นตัว แล้วกษัตริย์กับประชาชนทั้งหมดก็ได้อุทิศวิหารนี้ให้กับพระเจ้า พวกนักบวชได้เข้าประจำตำแหน่งของตน เหมือนกับพวกชาวเลวี ซึ่งมีพวกเครื่องดนตรีของพระยาห์เวห์ ซึ่งกษัตริย์ดาวิดได้ทำขึ้นไว้เพื่อใช้สรรเสริญพระยาห์เวห์ และใช้เมื่อเขาต้องการขอบคุณพระองค์ พวกเขาร้องเพลงว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไป” แล้วพวกนักบวชที่ยืนอยู่ตรงข้ามพวกเลวี ก็เป่าแตรขึ้น และชาวอิสราเอลทั้งหมดก็กำลังยืนอยู่

ซาโลมอนได้อุทิศส่วนกลางของลานที่อยู่ด้านหน้าวิหารของพระยาห์เวห์นั้นให้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจะได้ถวายเครื่องเผาบูชาและไขมันของเครื่องสังสรรค์บูชา เพราะแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ที่เขาได้สร้างขึ้นนั้นไม่พอสำหรับวางเครื่องเผาบูชา เครื่องบูชาจากเมล็ดพืช รวมทั้งส่วนไขมันเหล่านั้นได้ทั้งหมด

แล้วซาโลมอนก็ฉลองเทศกาลนั้นอยู่เจ็ดวัน และชาวอิสราเอลทั้งหมดก็อยู่กับเขา เป็นกลุ่มคนขนาดใหญ่มหึมาที่มาจากทุกที่ตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัท จนถึงลำธารแห่งอียิปต์ ในวันที่แปดพวกเขามีการชุมนุมกัน เพราะพวกเขาได้เฉลิมฉลองการอุทิศแท่นบูชามาแล้วเจ็ดวัน แล้วฉลองเทศกาลต่อไปอีกเจ็ดวัน 10 ในวันที่ยี่สิบสามของเดือนที่เจ็ด ซาโลมอนได้ส่งประชาชนเหล่านั้นกลับไปบ้านของพวกเขาด้วยจิตใจที่ร่าเริงยินดี เพราะสิ่งดีๆที่พระยาห์เวห์ได้ทำให้กับดาวิด กับซาโลมอนและกับชาวอิสราเอลประชากรของพระองค์

พระยาห์เวห์มาหาซาโลมอนครั้งที่สอง

(1 พกษ. 9:1-9)

11 เมื่อซาโลมอนสร้างวิหารของพระยาห์เวห์และวังกษัตริย์เสร็จ และทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาคิดไว้ว่าจะทำในวิหารของพระยาห์เวห์และในวังของเขาเองจนหมดแล้ว 12 พระยาห์เวห์ได้ปรากฏแก่เขาในตอนกลางคืนและพูดว่า

“เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้า และได้เลือกสถานที่นี้สำหรับตัวเราให้เป็นวิหารสำหรับการถวายเครื่องบูชา 13 เมื่อเราปิดสวรรค์เพื่อไม่ให้มีฝนตก หรือสั่งฝูงตั๊กแตนให้มากลืนกินแผ่นดินของเจ้า หรือส่งโรคระบาดให้ลงมาในหมู่ประชาชนของเรา 14 ถ้าประชาชนของเราผู้ที่เราได้ประทับชื่อเราไว้ ถ่อมตัวลงและอธิษฐาน และเริ่มแสวงหาใบหน้าของเรา และหันเหออกจากวิถีทางชั่วทั้งหลายของพวกเขา เราก็จะรับฟังจากสวรรค์ และจะยกโทษบาปของพวกเขาและจะรักษาแผ่นดินของพวกเขา 15 ตอนนี้ดวงตาของเราจะเปิดอยู่ และหูของเราก็จะรับฟังคำอธิษฐานที่พวกเขาอธิษฐานต่อเราในสถานที่แห่งนี้ 16 เราได้เลือกและอุทิศวิหารนี้ให้เป็นเกียรติกับชื่อของเราตลอดไป ดวงตาและหัวใจของเราจะอยู่ที่นั่นเสมอ

17 ส่วนตัวเจ้า ถ้าเจ้าเดินอยู่ต่อหน้าเรา เหมือนกับที่ดาวิดพ่อของเจ้าเคยทำ และทำตามทุกอย่างที่เราสั่ง และรักษาข้อบังคับกับกฎทุกข้อของเรา 18 เราจะทำให้บัลลังก์ของราชวงศ์เจ้ามั่นคงเหมือนกับที่เราได้สัญญาไว้กับดาวิดพ่อของเจ้า เมื่อครั้งที่เราพูดว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดผู้สืบเชื้อสายที่จะมาปกครองเหนือชนชาติอิสราเอล’

19 แต่ถ้าพวกเจ้าหันเหไป และละทิ้งข้อบังคับต่างๆและกฎทั้งหลายที่เราได้ให้พวกเจ้าไว้ และไปรับใช้และนมัสการพระอื่นๆ 20 เราก็จะถอนรากชนชาติอิสราเอลออกจากแผ่นดินของเราที่เราได้ยกให้กับพวกเขาไว้ และจะขว้างทิ้งวิหารแห่งนี้ที่เราได้อุทิศไว้ให้เป็นเกียรติกับชื่อของเราให้พ้นไปจากสายตาเรา เราจะทำให้มันเป็นที่หัวเราะเยาะและเย้ยหยันในหมู่ชนชาติทั้งหลาย 21 ถึงแม้ว่าวิหารแห่งนี้จะใหญ่โตสง่างาม แต่ทุกๆคนที่ผ่านไปมาจะต้องกลัวและพูดว่า ‘ทำไมพระยาห์เวห์ต้องทำถึงขนาดนี้กับดินแดนและวิหารแห่งนี้’ 22 คนก็จะตอบว่า ‘เป็นเพราะพวกเขาได้ละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา พระเจ้าผู้ที่ได้นำพวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ และพวกเขาได้ไปโอบกอดอยู่กับพระอื่นๆทั้งนมัสการและรับใช้พวกมัน นั่นเป็นเหตุที่พระองค์ถึงได้นำความหายนะทั้งหมดนี้มาสู่พวกเขา’”

ความสำเร็จอื่นๆของซาโลมอน

(1 พกษ. 9:10-28)

ในตอนปลายปีที่ยี่สิบซึ่งเป็นช่วงที่ซาโลมอนได้สร้างวิหารของพระยาห์เวห์ กับวังของเขาเองนั้น ซาโลมอนได้ซ่อมแซมหมู่บ้านต่างๆที่ฮีรามได้ให้เขาไว้และได้ให้ชาวอิสราเอลเข้าไปตั้งรกรากอยู่ในหมู่บ้านเหล่านั้น แล้วซาโลมอนก็ได้ไปที่ฮามัทโศบาห์และไปยึดเอาเมืองนั้นไว้ เขายังสร้างเมืองทัดโมร์ขึ้นในทะเลทรายและเมืองสำหรับเก็บของหลายเมืองในฮามัท เขาสร้างเมืองเบธโฮโรนบน กับเมืองเบธโฮโรนล่างขึ้นมาใหม่ ให้เป็นเมืองป้อมปราการที่มีกำแพงเมือง กับประตูเมือง และลูกกรงเหล็ก ยังมีเมืองบาอาลัท รวมทั้งสร้างเมืองต่างๆที่ใช้สำหรับเก็บข้าวของและเมืองทั้งหลายสำหรับไว้รถรบ และม้าศึกทั้งหลายของเขา และสร้างทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาอยากจะสร้าง ทั้งในเยรูซาเล็ม ในเลบานอน และตลอดทั่วทั้งเขตแดนที่เขาปกครองอยู่

ประชาชนทั้งหมดที่เป็นชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์และชาวเยบุสนั้น (คนเหล่านี้ไม่ใช่คนอิสราเอล) คือ ลูกหลานของคนเผ่าเหล่านี้ ที่ชาวอิสราเอลไม่ได้ทำลายจนหมดสิ้น แต่ยังเหลืออยู่ในแผ่นดิน ซาโลมอนได้เกณฑ์คนเหล่านี้มาเป็นทาสที่ใช้แรงงานจนถึงทุกวันนี้ แต่ซาโลมอนไม่ได้ใช้ชาวอิสราเอลมาทำงานเป็นทาสในงานของเขา ชาวอิสราเอลได้เป็นนักรบ แม่ทัพของกองทหารของเขา และเป็นแม่ทัพของกองรถรบกับกองทหารของรถรบ 10 มีเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าที่คอยดูแลโครงการต่างๆของกษัตริย์ซาโลมอน พวกเขามีทั้งหมดสองร้อยห้าสิบคน

โรม 7:14-8:8

14 เรารู้ว่ากฎนั้นมาจากพระวิญญาณ แต่ผมเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆที่ถูกขายไปเป็นทาสอยู่ใต้อำนาจของบาป 15 ผมไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมผมถึงทำในสิ่งที่ผมทำ เพราะสิ่งที่ผมอยากทำผมก็ไม่ได้ทำ แต่ผมกลับไปทำในสิ่งที่ผมเกลียด 16 ถ้าผมทำในสิ่งที่ผมไม่อยากทำ นั่นแสดงว่าผมเห็นด้วยกับกฎและยอมรับว่ากฎนั้นดี 17 ความจริงแล้ว ไม่ใช่ตัวผมหรอกที่ทำสิ่งนี้ แต่บาปที่อยู่ในตัวผมต่างหากที่ทำ 18 ใช่ ผมรู้ว่าสิ่งที่ดีนั้นไม่ได้อยู่ในตัวผมหรอก (คือในสันดานของผมที่เป็นมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังนี้) ผมอยากจะทำดีแต่ก็ทำไม่ได้ 19 สิ่งดีๆที่ผมอยากทำนั้น ผมไม่ได้ทำ แต่กลับไปทำในสิ่งที่ชั่วร้ายที่ผมไม่อยากทำ 20 เพราะฉะนั้นถ้าผมทำในสิ่งที่ผมไม่อยากทำ ก็แสดงว่าไม่ใช่ผมที่เป็นคนทำ แต่เป็นบาปที่อยู่ในผมต่างหากที่ทำ

21 ผมเลยค้นพบกฎข้อหนึ่งว่า เมื่อไรก็ตามที่ผมอยากจะทำดี ความชั่วจะอยู่ที่นั่นกับผมเสมอ 22 ในใจผมเห็นด้วยกับกฎของพระเจ้า 23 แต่ผมก็เห็นอีกกฎหนึ่งที่ทำงานอยู่ในตัวผม มันต่อสู้กับกฎของพระเจ้าที่จิตใจของผมยอมรับอยู่ แล้วมันก็ทำให้ผมเป็นนักโทษของกฎแห่งบาปที่ทำงานอยู่ในตัวผมนี้ 24 ผมนี่น่าสมเพชจริงๆใครจะช่วยชีวิตผมให้พ้นจากร่างกายนี้ที่นำความตายมาให้กับผมได้บ้าง 25 ขอบคุณพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ใจของผมนั้นเป็นทาสของกฎของพระเจ้า แต่สันดานของผมนั้นเป็นทาสของกฎแห่งบาป

ชีวิตที่นำโดยพระวิญญาณ

แล้วเดี๋ยวนี้คนทั้งหลายที่มีส่วนในพระเยซูคริสต์จะไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะในพระเยซูคริสต์ กฎที่มาจากพระวิญญาณที่ให้ชีวิตนั้น ได้ปลดปล่อยให้คุณ[a]เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปที่นำไปสู่ความตายแล้ว สิ่งที่กฎของโมเสสช่วยไม่ได้ เพราะสันดานของเราทำให้กฎอ่อนแอไป พระเจ้าก็ได้ทำแล้ว พระองค์ได้ส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นมนุษย์เหมือนกับเราที่เป็นคนบาป และส่งมาเพื่อจัดการกับบาป พระเจ้าได้ตัดสินลงโทษบาปโดยใช้ร่างที่เป็นมนุษย์ของพระเยซู เพื่อสิ่งที่กฎสั่งไว้จะได้สำเร็จในชีวิตของเราผู้ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตตามสันดาน แต่ตามพระวิญญาณ

เพราะคนที่ใช้ชีวิตตามสันดานก็มัวแต่คิดถึงความต้องการของกิเลส แต่คนที่ใช้ชีวิตตามพระวิญญาณก็จะคิดถึงแต่เรื่องที่พระวิญญาณต้องการ จิตใจที่สันดานควบคุมอยู่นั้นนำไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่พระวิญญาณควบคุมนำไปสู่ชีวิตและสันติสุข จิตใจที่สันดานควบคุมนั้นเป็นศัตรูกับพระเจ้า เพราะจิตใจนั้นไม่ยอมทำตามกฎของพระเจ้า และความจริงแล้วมันก็ไม่สามารถที่จะทำตามกฎนั้นได้ด้วย คนที่มีชีวิตตามสันดานจึงไม่สามารถทำให้พระเจ้าพอใจได้

สดุดี 18:1-15

ขอบคุณพระยาห์เวห์สำหรับชัยชนะ

(2 ซมอ. 22:1-51)

ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงของดาวิด ผู้รับใช้พระยาห์เวห์ ดาวิดร้องเพลงบทนี้ให้กับพระยาห์เวห์ ในวันที่พระองค์ช่วยท่านให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกศัตรูทั้งหมด และจากเงื้อมมือของซาอูล

ดาวิดพูดว่า ข้าแต่พระยาห์เวห์ ผู้เป็นกำลังของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้ารักพระองค์
พระยาห์เวห์ คือหินกำบังของข้าพเจ้า คือป้อมปราการของข้าพเจ้า คือผู้ช่วยชีวิตของข้าพเจ้า
    พระเจ้าของข้าพเจ้า คือหินกำบังที่ข้าพเจ้าเข้าไปลี้ภัย คือโล่กำบังของข้าพเจ้า
    คือฤทธิ์อำนาจ[a] ที่ช่วยกู้ชีวิตข้าพเจ้า คือที่ซ่อนที่ปลอดภัยของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ผู้ที่ควรค่าแก่การสรรเสริญ
    แล้วพระองค์ก็ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากพวกศัตรู

เชือกแห่งความตายได้มัดตัวข้าพเจ้าไว้
    และกระแสน้ำแห่งความตายกำลังจะทำให้ข้าพเจ้าจม
เชือกแห่งแดนคนตายพันอยู่รอบๆตัวข้าพเจ้า
    กับดักแห่งความตายอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า
เมื่อข้าพเจ้าตกอยู่ในความทุกข์ยาก ข้าพเจ้าร้องเรียกพระยาห์เวห์
    ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าของข้าพเจ้า
พระองค์ได้ยินเสียงของข้าพเจ้าจากวังของพระองค์นั้น
    เสียงร้องของข้าพเจ้าได้ยินไปถึงหูของพระองค์

แล้วแผ่นดินโลกก็สั่นสะเทือน
    พวกฐานรากของภูเขาก็สั่นไหวเพราะพระเจ้าโกรธ
มีควันพุ่งออกจากจมูกของพระองค์
    ไฟที่เผาผลาญพุ่งออกมาจากปากของพระองค์
    ถ่านหินลุกแดงพุ่งออกมา
พระองค์แหวกท้องฟ้า และเสด็จลงมา
    พร้อมด้วยเมฆทึบสีดำใต้เท้าของพระองค์
10 แล้วพระองค์ก็ขึ้นขี่ทูตสวรรค์ที่มีปีก แล้วเหาะลงมา
    พระองค์ก็ร่อนอยู่บนปีกของลม
11 พระองค์ทรงซ่อนตัวอยู่ในหมู่เมฆฝนที่มืดครึ้ม
    ที่ปกคลุมพระองค์ไว้เหมือนกับเต็นท์
12 แล้วรัศมีอันเจิดจ้าของพระองค์ก็ส่องทะลุหมู่เมฆลงมา
    พร้อมกับลูกเห็บ และถ่านหินลุกแดง
13 แล้วพระยาห์เวห์ทำให้ฟ้าร้องดังกึกก้องท้องฟ้า
    พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดก็เปล่งเสียงดังไปทั่ว[b]
14 พระเจ้ายิงธนูของพระองค์ออกไปซึ่งทำให้พวกศัตรูแตกกระเจิง
    พระองค์ทำสายฟ้าผ่าหลายหนจนพวกนั้นแตกกระเจิง สับสนวุ่นวายไปทั่ว

15 ข้าแต่พระยาห์เวห์ เมื่อพระองค์ตะโกนคำสั่งของพระองค์ออกไป
    เมื่อลมที่พวยพุ่งออกมาจากจมูกของพระองค์
ทำให้น้ำทะเลถอยร่นกลับไป
    ก้นทะเลและรากฐานของโลกปรากฏขึ้น

สุภาษิต 19:24-25

24 คนขี้เกียจซุกมือไว้ในชาม
    และไม่ยอมแม้แต่จะยกอาหารเข้าปาก
25 ถ้าตีสอนคนหยิ่งจองหอง คนอ่อนต่อโลกจะได้เห็นแล้วรู้จักคิด
    ว่ากล่าวคนหัวไวแล้วเขาจะฉลาดขึ้น

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International