Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
อพยพ 13

13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงถวายบุตรชายคนแรกทุกคนให้แก่เรา ทุกชีวิตแรกในครรภ์ของชาวอิสราเอลเป็นของเรา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ตาม”

เทศกาลขนมปังไร้เชื้อ

โมเสสกล่าวแก่ประชาชนว่า “จงรำลึกถึงวันนี้ วันที่ท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากเรือนแห่งความเป็นทาส เพราะพระผู้เป็นเจ้านำพวกท่านออกมาจากที่นั่นด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ อย่ารับประทานขนมปังที่มีเชื้อยีสต์ วันนี้ท่านทั้งหลายออกไปในเดือนอาบีบ เมื่อพระผู้เป็นเจ้านำพวกท่านเข้าไปในดินแดนของชาวคานาอัน ชาวฮิต ชาวอาโมร์ ชาวฮีว และชาวเยบุส ซึ่งพระองค์ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษว่าจะยกให้แก่ท่าน เป็นดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง ท่านควรรักษาพิธีนี้ในเดือนนี้ ท่านควรรับประทานขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลา 7 วัน และในวันที่เจ็ดต้องมีพิธีเลี้ยงฉลองเพื่อพระผู้เป็นเจ้า จะต้องรับประทานขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลา 7 วัน อย่ามีเชื้อยีสต์เก็บไว้ในอาณาเขตใดๆ ที่เป็นของท่าน และท่านจะต้องบอกบุตรของท่านในวันนั้นว่า ‘เป็นเพราะสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากระทำเพื่อเราตอนออกมาจากอียิปต์’ การรักษาพิธีจะเป็นดั่งเครื่องหมายที่มือของท่าน และเป็นเครื่องเตือนใจที่หน้าผากเพื่อว่าพวกท่านจะได้พูดถึงและเรียนรู้กฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้นำพวกท่านออกจากอียิปต์ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 10 ฉะนั้นท่านควรรักษากฎเทศกาลนี้ไว้ตามเวลาที่กำหนดทุกๆ ปี

การถวายบุตรหัวปี

11 เมื่อพระผู้เป็นเจ้านำพวกท่านสู่ดินแดนของชาวคานาอัน ดังที่พระองค์ได้ปฏิญาณไว้กับท่านและบรรพบุรุษของท่าน และจะมอบให้แก่ท่าน 12 ท่านต้องถวายทุกชีวิตแรกในครรภ์แด่พระผู้เป็นเจ้า สัตว์เลี้ยงตัวผู้ตัวแรกทุกตัวจะต้องเป็นของพระผู้เป็นเจ้า 13 ท่านจะต้องไถ่ลาตัวผู้ตัวแรกทุกตัวด้วยลูกแกะ ถ้าท่านไม่ต้องการไถ่ลูกลา ท่านจะต้องหักคอมันเสีย ท่านต้องไถ่บุตรชายคนแรกของท่านทุกคน 14 จะถึงเวลาเมื่อบุตรชายของท่านถามว่า ‘ทำไมท่านจึงทำอย่างนี้’ จงตอบว่า ‘พระผู้เป็นเจ้านำพวกเราออกจากอียิปต์และจากเรือนแห่งความเป็นทาสด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 15 เมื่อฟาโรห์ดื้อรั้นไม่ยอมปล่อยให้พวกเราไป พระผู้เป็นเจ้าสังหารบุตรชายหัวปีทุกคนในแผ่นดินอียิปต์ ทั้งบุตรชายหัวปีของมนุษย์และลูกสัตว์เลี้ยงตัวผู้ตัวแรก ฉะนั้นเราจึงถวายทุกชีวิตแรกในครรภ์เป็นเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า แต่เราไถ่บุตรชายคนแรกทุกคนของเรา’ 16 การกระทำเช่นนี้เป็นดั่งเครื่องหมายที่มือหรือที่หน้าผากของท่าน เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้นำพวกเราออกจากอียิปต์ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์”

เมฆและเพลิงไฟขนาดมหึมา

17 เมื่อฟาโรห์ปล่อยประชาชนไป พระเจ้าไม่ได้นำพวกเขาผ่านไปทางดินแดนของชาวฟีลิสเตียแม้จะเป็นระยะทางที่สั้นกว่า เพราะพระเจ้ากล่าวว่า “เกรงว่าพวกเขาจะเปลี่ยนใจเมื่อเห็นว่าจะต้องต่อสู้และจะหันกลับไปยังอียิปต์” 18 แต่พระเจ้านำเขาอ้อมไปในแถบถิ่นทุรกันดารทางไปทะเลแดง และชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินอียิปต์พร้อมที่จะสู้รบ 19 โมเสสเอากระดูกของโยเซฟไปด้วย เพราะโยเซฟได้ให้บรรดาลูกหลานของอิสราเอลสาบานด้วยความจริงใจว่า “พระเจ้าจะมาเยี่ยมเยียนพวกเจ้า และเจ้าจะต้องนำเอากระดูกของเราติดตัวพวกเจ้าไปจากที่นี่”[a] 20 พวกเขาออกไปจากเมืองสุคคท และตั้งค่ายอยู่ที่เอธามติดกับถิ่นทุรกันดาร 21 พระผู้เป็นเจ้าออกนำทางล่วงหน้าพวกเขาในตอนกลางวันในรูปลักษณ์ของเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลัก และในตอนกลางคืนในรูปลักษณ์ของเพลิงไฟขนาดมหึมาดั่งเสาหลักเพื่อส่องความสว่างให้แก่พวกเขาเพื่อให้เดินทางได้ตลอดทั้งวันและคืน 22 เมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลักในตอนกลางวัน และเพลิงไฟขนาดมหึมาดั่งเสาหลักในตอนกลางคืนนำทางพวกเขาไปตลอดเวลา

ลูกา 16

อุปมาเรื่องผู้ดูแลผลประโยชน์ผู้คดโกง

16 พระเยซูเล่าให้พวกสาวกของพระองค์ฟังว่า “คนมั่งมีคนหนึ่งได้กล่าวหาว่า ผู้ดูแลผลประโยชน์ทำลายทรัพย์สินของเขาเสียหาย ดังนั้นเขาจึงเรียกตัวมาถามว่า ‘เรื่องที่เราได้ยินเกี่ยวกับเจ้านั้นเป็นอย่างไร จงส่งบัญชีที่เจ้าดูแลผลประโยชน์อยู่คืนมา เพราะว่าเราจะไม่ให้เจ้าทำอีกแล้ว’ ผู้ดูแลผลประโยชน์รำพึงกับตนเองว่า ‘แล้วเราจะทำอย่างไรดี นายปลดเราออกจากงาน แต่เราไม่แข็งแรงพอที่จะขุดดิน และก็อายเกินกว่าจะไปขอทาน เรารู้แล้วว่าเราจะทำอย่างไรดี เพื่อว่าเมื่อเราออกจากงานไป ผู้คนยังคงยินดีต้อนรับเราเข้าบ้านพวกเขาอีก’ เขาจึงเรียกทุกคนที่เป็นลูกหนี้ของนายมา แล้วก็ถามคนแรกว่า ‘ท่านเป็นหนี้นายของเราเท่าไหร่’ เขาตอบว่า ‘น้ำมันมะกอก 100 ถัง’ ผู้ดูแลผลประโยชน์บอกว่า ‘เอาบัญชีของท่านออกมาเถิด รีบๆ นั่งลง แล้วแก้เป็น 50 ถัง’ เขาถามคนที่สองว่า ‘ท่านเป็นหนี้เท่าไหร่’ ลูกหนี้ตอบว่า ‘ข้าวสาลี 1,000 กระสอบ’ เขาก็ว่า ‘เอาบัญชีออกมาเถิด แล้วแก้เป็น 800 กระสอบ’ นายคนนั้นยกย่องผู้ดูแลผลประโยชน์ผู้คดโกง เพราะว่าปฏิบัติอย่างฉลาดเพื่อผลประโยชน์ของตน ด้วยว่าคนในโลกนี้ใช้ความฉลาด เพื่อการคบค้าสมาคมกับคนประเภทเดียวกับเขาเองมากกว่าคนของความสว่าง เราขอบอกเจ้าว่า จงใช้ความมั่งมีในโลกในการหามิตร เพื่อว่าเมื่อใช้หมดแล้ว เจ้าจะได้รับการต้อนรับเข้าในที่อันเป็นนิรันดร์

10 ใครก็ตามที่เป็นคนที่ไว้ใจได้ในสิ่งเล็กน้อย ก็จะเป็นที่ไว้ใจได้ในสิ่งที่ใหญ่ และใครก็ตามที่ไม่มีความซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย ก็จะไม่มีความซื่อสัตย์ในสิ่งที่ใหญ่ 11 ฉะนั้นถ้าเจ้าไม่เป็นที่ไว้ใจในการจัดการความมั่งมีในโลกได้แล้ว ใครจะไว้ใจเจ้าได้กับความมั่งมีที่แท้จริง 12 และถ้าเจ้าไม่เป็นที่ไว้ใจได้ในสินสมบัติของคนอื่นแล้ว ใครจะให้สินสมบัติที่จะเป็นของเจ้าเอง 13 ไม่มีผู้รับใช้คนใดจะรับใช้นาย 2 คนได้ เขาจะเกลียดคนหนึ่งและรักอีกคนหนึ่ง หรือไม่ก็จะทุ่มเทให้คนหนึ่งและดูหมิ่นอีกคนหนึ่ง เจ้าจะรับใช้ทั้งพระเจ้าและเงินทองด้วยกันไม่ได้”

14 พวกฟาริสีผู้รักเงินได้ยินดังนั้นก็เยาะเย้ยพระเยซู 15 พระองค์กล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “ท่านชอบแก้ตัวในสายตาของมนุษย์ แต่พระเจ้าย่อมตระหนักดีถึงใจของท่าน อะไรก็ตามที่นับว่ามีค่าสำหรับมนุษย์ ก็เป็นที่น่าชังในสายตาของพระเจ้า

16 หมวดกฎบัญญัติและหมวดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า[a]ถูกประกาศจนกระทั่งถึงยอห์น และนับแต่กาลบัดนั้นข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าก็กำลังถูกประกาศ และทุกคนก็พยายามฟันฝ่าเข้าไปในอาณาจักรนั้น 17 สวรรค์และโลกจะสูญไปง่ายเสียยิ่งกว่าที่กฎบัญญัติจุดหนึ่งจะถูกตัดออกไป

18 ผู้ใดที่หย่าร้างจากภรรยาของตนและไปสมรสกับหญิงอื่นนับว่าผิดประเวณี เช่นเดียวกับชายที่สมรสกับหญิงที่หย่าร้างแล้ว

อุปมาเรื่องชายผู้มั่งมีกับลาซารัส

19 ครั้งหนึ่งมีคนมั่งมีผู้หนึ่งนุ่งห่มด้วยผ้าสีม่วงและผ้าป่านเนื้อดีและใช้ชีวิตอย่างหรูหราทุกวัน 20 ส่วนลาซารัสเป็นชายขอทานที่มีแผลเต็มตัว ได้มานอนอยู่ที่หน้าประตูบ้านของคนมั่งมี 21 เขามักจะคอยกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของคนมั่งมี แม้แต่พวกสุนัขก็ยังมาเลียแผลของเขา 22 เมื่อชายขอทานตายลง บรรดาทูตสวรรค์มารับเขาไปอยู่ใกล้ทรวงอกของอับราฮัม คนมั่งมีก็ตายเช่นกันและถูกฝัง 23 เขาอยู่ในแดนคนตายซึ่งเต็มด้วยความทุกข์ทรมาน เมื่อเขาแหงนหน้าขึ้นเห็นอับราฮัมอยู่ไกลๆ โดยมีลาซารัสอยู่ข้างๆ 24 เขาจึงร้องเรียกว่า ‘คุณพ่ออับราฮัม โปรดสงสารข้าพเจ้าด้วย ช่วยส่งลาซารัสมาหยดน้ำจากปลายนิ้วสู่ลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็นชุ่มหน่อย ข้าพเจ้าทรมานเหลือเกินที่อยู่ท่ามกลางไฟนรกเช่นนี้’ 25 แต่อับราฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย จำไว้ด้วยว่าในชีวิตของเจ้า เจ้าได้รับความสบาย ขณะที่ลาซารัสได้รับสิ่งตรงกันข้าม ขณะนี้ ณ ที่นี้เขาได้รับความสำราญ และเจ้าทนทุกข์ทรมาน 26 และนอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ยังมีเหวลึกซึ่งกั้นระหว่างเราและเจ้า ผู้ที่ปรารถนาจะข้ามจากที่นี่ไปหาเจ้าก็มิอาจทำได้ และใครจะข้ามจากที่โน่นมาหาเราก็มิอาจทำได้’ 27 เขาจึงตอบว่า ‘ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอร้องท่าน คุณพ่ออับราฮัมช่วยส่งลาซารัสไปยังบ้านคุณพ่อของข้าพเจ้าเถิด 28 เพื่อตักเตือนน้องชายอีก 5 คน พวกเขาจะได้ไม่ต้องมาทรมานในที่นี้ด้วย’ 29 อับราฮัมตอบว่า ‘คนพวกนั้นมีโมเสสและเหล่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า จงให้น้องๆ ของเจ้าฟังพวกเขาเถิด’ 30 เขาพูดว่า ‘อย่าเลย คุณพ่ออับราฮัม ถ้าคนที่ตายแล้วไปบอกพวกเขา เขาจะได้กลับใจ’ 31 อับราฮัมตอบว่า ‘ถ้าเขาไม่ฟังโมเสสและเหล่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า แม้จะมีผู้ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย เขาก็จะไม่มีวันเชื่อ’”

โยบ 31

โยบสรุปครั้งสุดท้าย

31 ฉันได้สาบานไว้กับดวงตาของฉันแล้ว
    ฉะนั้นฉันจะมองผู้หญิงด้วยตัณหาได้อย่างไร
อะไรจะเป็นส่วนที่ฉันได้รับจากพระเจ้าเบื้องบน
    และเป็นมรดกจากองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพเบื้องสูง
ความวิบัติเป็นของผู้ไม่มีความชอบธรรม
    และสิ่งเลวร้ายเป็นของคนทำความชั่วมิใช่หรือ
พระองค์เห็นวิถีชีวิตของฉัน
    และทราบทุกสิ่งที่ฉันกระทำมิใช่หรือ

ถ้าฉันดำเนินชีวิตอย่างไม่ถูกต้อง
    และตีสองหน้าแล้ว
(ขอพระเจ้าพิจารณาฉันตามความถูกต้อง
    และให้พระองค์ทราบถึงความซื่อตรงของฉันเถิด)
ถ้าฉันหันไปจากวิถีทางของพระองค์
    และใจของฉันกระทำตามที่ตามองเห็น
    และถ้ามือของฉันด่างพร้อยด้วยบาป
ก็จงให้ฉันเป็นผู้หว่าน แต่ให้ผู้อื่นเก็บเกี่ยวไปกิน
    และสิ่งที่ฉันปลูกไว้ ก็ให้ฉันถูกถอนรากทิ้งเสีย

ถ้าใจของฉันถูกล่อไปหาผู้หญิง
    และรอคอยอยู่ที่ประตูของเพื่อนบ้าน
10 ก็จงให้ภรรยาของฉันรับใช้ชายอื่น
    และให้คนอื่นสมสู่กับนางเสีย
11 เพราะนั่นเป็นอาชญากรรมที่ร้ายกาจ
    ซึ่งจะเป็นบาปที่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ
12 เพราะจะถือว่าเป็นไฟที่เผาผลาญไปไกลถึงอาบัดโดน
    และมันจะเผาทุกสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นมา

13 ถ้าฉันไม่ยอมฟังคำร้องของผู้รับใช้ชายและหญิง
    เมื่อพวกเขาร้องทุกข์ต่อฉัน
14 แล้วฉันจะทำอย่างไรเมื่อพระเจ้าตัดสิน
    เมื่อพระองค์ไต่สวน ฉันจะตอบพระองค์อย่างไร
15 พระองค์ผู้บันดาลฉันขึ้นมาในครรภ์ ก็เป็นผู้สร้างพวกเขามิใช่หรือ
    พระองค์มิใช่หรือที่สร้างเราทั้งหลายขึ้นในครรภ์

16 ถ้าฉันไม่ช่วยเหลือผู้ยากไร้
    หรือปล่อยให้หญิงม่ายหมดหวังในชีวิต
17 หรือเก็บอาหารของฉันไว้กินเพียงผู้เดียว
    โดยไม่แบ่งปันให้แก่เด็กกำพร้า
18 (ตั้งแต่ฉันเป็นเด็ก ฉันยังเลี้ยงดูเขาราวกับพ่อคนหนึ่ง
    และฉันได้ดูแลบรรดาหญิงม่ายตั้งแต่ฉันเกิดมา)
19 ถ้าฉันเห็นผู้ขัดสนเจียนตายเพราะขาดเสื้อผ้า
    หรือผู้ยากไร้ขาดเครื่องนุ่งห่ม
20 และถ้าเขาไม่ได้ยกย่องสรรเสริญฉัน
    เมื่อเขาได้รับความอบอุ่นจากขนสัตว์จากฝูงแกะของฉัน
21 ถ้าฉันข่มขู่เด็กกำพร้า
    เพราะฉันมีพรรคพวกที่ประตูเมือง
22 ก็ให้กระดูกไหล่ของฉันหลุดออกจากบ่า
    และให้แขนของฉันหักจากข้อต่อ
23 เพราะว่าฉันกลัวความวิบัติจากพระเจ้า
    ฉันจึงไม่อาจทำเช่นนั้น

24 ถ้าฉันวางใจในทองคำ
    หรือมั่นใจในทองเนื้อแท้
25 ถ้าฉันชื่นชมยินดีเพราะฉันมีสมบัติมหาศาล
    หรือเพราะฉันหาเงินได้มากมาย
26 ถ้าฉันชมดวงอาทิตย์เมื่อมันส่องสว่าง
    หรือมองดวงจันทร์เรืองรองล่องลอยไป
27 และใจของฉันถูกหลอกล่ออย่างลับๆ
    และฉันจูบมือตนเองแสดงความเคารพต่อมัน
28 บาปเช่นนี้จะถูกพิพากษาลงโทษ
    เพราะฉันก็จะถูกนับว่าเป็นผู้ไม่ภักดีต่อพระเจ้าเบื้องบน
29 ถ้าฉันยินดีกับความพินาศของคนที่เกลียดชังฉัน
    หรือพอใจเมื่อเขาพบกับความย่อยยับ
30 (ฉันไม่ทำบาปด้วยการปริปาก
    ขอสาปแช่งชีวิตของเขา)
31 ถ้าคนในครัวเรือนของฉันไม่ได้พูดว่า
    ‘ใครบ้างที่ไม่ได้รับประทานสิ่งดีๆ ที่นั่น’
32 (คนค้างแรมไม่ได้พักที่ข้างถนน
    ฉันเปิดประตูบ้านให้แก่คนเดินทาง)
33 ถ้าฉันได้ปิดบังการล่วงละเมิดของฉันอย่างอาดัมทำ
    ด้วยการซ่อนเร้นบาปของฉันในทรวงอก
34 เพราะฉันกลัวฝูงชน
    และฉันกลัวการดูหมิ่นจากครอบครัว
    ฉันจึงได้นิ่งเงียบ และไม่ได้ออกไปนอกบ้าน

35 โอ ฉันอยากมีใครสักคนที่ฟังฉัน
    (ฉันรับประกันได้ ให้องค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพตอบฉันเถิด)
    โอ ฉันอยากให้ผู้ที่กล่าวหาฉันทำเป็นลายลักษณ์อักษร
36 ฉันจะได้แบกมันไว้บนบ่า
    ฉันจะมัดมันไว้บนศีรษะเป็นมงกุฎอย่างแน่นอน
37 ฉันจะรายงานทุกเรื่องที่ฉันกระทำ
    ฉันจะเข้าหาพระองค์อย่างภาคภูมิ

38 ถ้าแผ่นดินของฉันได้ฟ้องร้องต่อต้านฉัน
    และร่องนาร่วมกันร้องไห้
39 ถ้าฉันกินผลจากไร่นาโดยไม่เสียค่าอะไร
    และเอาเปรียบเจ้าของที่ดิน
40 ก็ขอให้หนามงอกแทนต้นข้าว
    และวัชพืชชนิดเลวขึ้นมาแทนข้าวบาร์เลย์เถิด”

โยบกล่าวจบ

2 โครินธ์ 1

การทักทายของเปาโล

ข้าพเจ้าเปาโลอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามความประสงค์ของพระเจ้า กับทิโมธีน้องชายของเรา

เรียน คริสตจักรของพระเจ้าที่เมืองโครินธ์และผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าทุกคนที่อยู่ทั่วแคว้นอาคายา

ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า จงมีแก่ท่านทั้งหลายเถิด

พระเจ้าแห่งการปลอบโยน

สรรเสริญพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระบิดาแห่งความเมตตาและพระเจ้าแห่งการปลอบโยนในทุกด้าน พระองค์ปลอบโยนพวกเราเมื่อเรามีความทุกข์ยากลำบากสารพัน เพื่อว่าเราจะสามารถปลอบโยนบรรดาผู้ที่ตกอยู่ในความลำบากได้ เพราะเราเองก็ได้รับการปลอบโยนจากพระเจ้าแล้ว เพราะเมื่อเรามีส่วนทนทุกข์กับพระคริสต์มากฉันใด เราก็มีส่วนรับการปลอบโยนผ่านพระคริสต์มากฉันนั้น ถ้าเราต้องทนทุกข์ก็เป็นเพื่อว่า ท่านจะได้รับการปลอบโยนและความรอดพ้น ถ้าเราได้รับการปลอบโยนก็เป็นเพื่อว่า ท่านจะได้รับการปลอบโยน ในยามที่ท่านทนทรมานกับความทุกข์ยากแบบเดียวกับที่เราเผชิญ เรามั่นใจในตัวท่านมาก เพราะเราทราบว่าขณะที่ท่านมีความทุกข์ยากร่วมกับเรา ท่านก็ได้รับการปลอบโยนของเราด้วย

เราอยากให้ท่านพี่น้องตระหนักถึงการทนทุกข์ทรมานซึ่งเกิดขึ้นกับเราในแคว้นเอเชีย เราตกอยู่ภายใต้ความกดดันเกินขีดจำกัดของเรา ถึงขนาดว่าเราหมดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เรารู้สึกเหมือนว่าเราต้องโทษประหารชีวิต แต่นั่นก็เป็นไปเพื่อช่วยให้เราไม่วางใจในตัวเอง แต่วางใจในพระเจ้าผู้ทำให้คนตายฟื้นคืนชีวิต 10 พระองค์ได้ช่วยเราให้พ้นจากภัยอันตรายถึงชีวิต และจะช่วยเราให้รอดปลอดภัย เรามีความหวังในพระองค์ว่าจะช่วยเราให้พ้นภัยต่อไปอีก 11 ในเมื่อพวกท่านช่วยเราในการอธิษฐานด้วย คนจำนวนมากก็จะกล่าวขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระพรที่เราได้รับเนื่องจากคำอธิษฐานของคนจำนวนมาก

เปาโลเลื่อนเวลาเยี่ยมเยียน

12 สิ่งที่เราโอ้อวดได้คือ มโนธรรมของเราเป็นพยานให้เห็นแล้วว่า เราได้ประพฤติตนอย่างสมควรในโลกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประพฤติต่อท่าน ทั้งในด้านความบริสุทธิ์และความจริงใจที่มาจากพระเจ้า เราไม่ได้ประพฤติโดยปัญญาของโลก แต่โดยพระคุณของพระเจ้า 13 เราเขียนถึงเฉพาะสิ่งที่ท่านอ่านได้และเข้าใจ และข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะเข้าใจโดยตลอด 14 ดังที่ท่านเข้าใจเรามาบ้างแล้ว ว่าในวันที่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้ากลับมา ท่านจะโอ้อวดเกี่ยวกับเราได้ เช่นเดียวกับที่เราจะโอ้อวดเกี่ยวกับท่าน

15 เราแน่ใจในเรื่องนี้มากจึงได้ตั้งใจมาหาท่านก่อน ท่านจะได้รับพระพรสองต่อ 16 คือตั้งใจแวะหาท่านระหว่างเดินทางไปยังแคว้นมาซิโดเนีย และขากลับจากมาซิโดเนีย ก็จะมาแวะหาท่านอีก และได้รับความช่วยเหลือจากท่านเวลาเดินทางไปยังแคว้นยูเดีย 17 เมื่อข้าพเจ้าเตรียมการที่จะกระทำนั้นข้าพเจ้าลังเลใจหรือ หรือว่าข้าพเจ้าเตรียมการที่จะกระทำตามใจชอบ นาทีหนึ่งบอกว่าจะมา และอีกนาทีหนึ่งก็ว่าจะไม่มาเสียอย่างนั้นหรือ 18 ตราบที่พระเจ้ารักษาคำมั่นสัญญาฉันใด คำประกาศที่เราให้ไว้กับท่านก็มั่นคงฉันนั้น 19 ด้วยว่าทั้งข้าพเจ้าเอง สิลวานัส และทิโมธี ได้ประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าว่า เป็นองค์ผู้ไม่กลับกลอก แต่ตรงกันข้ามคือพระองค์เป็นจริงเสมอ 20 ฉะนั้นไม่ว่าพระเจ้าให้สัญญาไว้มากเพียงไร ในพระคริสต์แล้วเป็นจริงทั้งนั้น ฉะนั้นเราจึงพูดคำว่า “อาเมน” ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เมื่อเราสรรเสริญพระเจ้า 21 พระเจ้าเป็นผู้ให้ทั้งเราและท่านทั้งหลายยืนหยัดในพระคริสต์ พระองค์ได้เจิมเรา[a] 22 และได้ประทับตราแสดงความเป็นเจ้าของในตัวเรา ให้พระวิญญาณของพระองค์อยู่ในจิตใจของเรา เป็นหลักประกันสำหรับสิ่งที่จะมาภายหลัง

23 ข้าพเจ้าขอให้พระเจ้าผู้รู้อย่างลึกซึ้งถึงจิตใจเป็นพยานว่า ที่ข้าพเจ้าไม่ได้กลับมายังเมืองโครินธ์ก็เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องลำบาก 24 เราไม่ได้บังคับว่าท่านควรจะเชื่ออะไร แต่เราทำงานร่วมกับท่านเพื่อความสุขของท่าน เพราะท่านยืนหยัดในความเชื่อ

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation