M’Cheyne Bible Reading Plan
พันธสัญญาบนศิลาแผ่นใหม่
34 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงสลักศิลา 2 แผ่นเหมือนครั้งแรก แล้วเราจะเขียนคำบนแผ่นศิลาเช่นเดียวกับศิลา 2 แผ่นแรกที่เจ้าทำแตก 2 จงเตรียมพร้อมแต่เช้า และขึ้นไปบนภูเขาซีนายในเช้านั้น ยืนพบเราที่ยอดภูเขานั่น 3 อย่าให้ใครมากับเจ้า และอย่าให้มีผู้ใดอยู่ที่ภูเขานั้น อย่าให้ฝูงสัตว์ใดๆ เล็มหญ้าอยู่แม้แต่ที่เชิงเขา” 4 ดังนั้น โมเสสสลักแผ่นศิลา 2 แผ่นเหมือนครั้งแรก ท่านลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ถือแผ่นศิลาขึ้นไปบนภูเขาซีนายตามที่พระผู้เป็นเจ้าสั่ง 5 พระผู้เป็นเจ้าลงมาในลักษณะของก้อนเมฆ พระองค์ยืนอยู่กับท่านที่นั่นและประกาศพระนามคือพระผู้เป็นเจ้า 6 พระผู้เป็นเจ้าผ่านไปข้างหน้าท่านและประกาศว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความสงสารและความเมตตา ไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรักอันมั่นคงและความสัตย์จริง 7 รักษาความรักอันมั่นคงหลายพันชั่วอายุคน ให้อภัยการกระทำผิด การล่วงละเมิด และบาป แต่ก็ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดรอดตัวไปได้ และเราจะทำให้บาปของบิดาตกทอดถึงบุตรของเขาไปจนถึง 3 และ 4 ชั่วอายุคน” 8 โมเสสก็รีบก้มศีรษะและกราบนมัสการแทบพื้นดิน 9 และพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ ขอพระองค์โปรดร่วมทางไปกับพวกเราแม้ว่าจะเป็นพวกหัวรั้น และให้อภัยการกระทำผิดและบาปของพวกเรา และรับเราเป็นผู้สืบมรดกของพระองค์เถิด”
10 พระองค์ตอบว่า “เราจะทำพันธสัญญา เราจะทำสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ให้ชนชาติทั้งปวงของเจ้าเห็นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในโลกหรือประชาชาติอื่นใด และชนชาติทั้งปวงที่เจ้าอยู่ด้วยก็จะเห็นการกระทำของพระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าสิ่งที่เราจะทำกับเจ้านั้นจะเป็นสิ่งที่น่าเกรงขาม
11 จงทำในสิ่งที่เราสั่งเจ้าไว้ในวันนี้ ดูเถิด เราจะขับไล่ชาวอาโมร์ ชาวคานาอัน ชาวฮิต ชาวเปริส ชาวฮีว และชาวเยบุสไปให้พ้นหน้าเจ้า 12 จงระวังตัวให้ดี เกรงว่าเจ้าจะทำพันธสัญญากับบรรดาผู้อยู่อาศัยในดินแดนที่เจ้าไป แล้วพวกเขาก็จะเป็นกับดักต่อเจ้าเอง 13 เจ้าจงทำลายแท่นบูชาของพวกเขา จงทุบเสาหินให้แตก และโค่นเทวรูปอาเชราห์[a]ทั้งปวงของพวกเขาลงเสีย 14 และอย่านมัสการเทพเจ้าใดๆ เพราะพระผู้เป็นเจ้า ผู้มีชื่อว่า ผู้หวงแหน เป็นพระเจ้าผู้หวงแหน 15 เกรงว่าเจ้าจะทำพันธสัญญากับบรรดาผู้อยู่อาศัยของดินแดน เมื่อพวกเขาปันใจไปเชื่อในบรรดาเทพเจ้าประหนึ่งหญิงแพศยา และถวายเครื่องสักการะแก่เทพเจ้าของพวกเขา แล้วเขาเชื้อเชิญเจ้าไป เจ้าก็รับประทานสิ่งที่เขาถวายบูชา 16 เจ้ารับบุตรหญิงของพวกเขาให้แก่บุตรของเจ้า แล้วบรรดาบุตรหญิงของเขาปันใจไปเชื่อในบรรดาเทพเจ้าของพวกเขาประหนึ่งหญิงแพศยา ซึ่งทำให้บรรดาบุตรของเจ้าปันใจไปเชื่อในบรรดาเทพเจ้าของพวกเขาประหนึ่งหญิงแพศยาไปด้วย
17 เจ้าอย่าหล่อรูปเคารพให้แก่ตนเองเลย
18 เจ้าจงฉลองเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ จงรับประทานขนมปังไร้เชื้อในระยะ 7 วันตามที่เราสั่งเจ้าในเวลาที่กำหนดไว้ในเดือนอาบีบ เพราะเจ้าออกจากอียิปต์ในเดือนนั้น 19 ทุกชีวิตแรกในครรภ์เป็นของเรา รวมถึงสัตว์ตัวผู้ทุกตัวในฝูงปศุสัตว์ของเจ้า โค แพะ และแกะหัวปี 20 เจ้าจงไถ่ลูกลาตัวผู้ตัวแรกด้วยลูกแกะ ถ้าเจ้าไม่ต้องการไถ่ลูกลา เจ้าจะต้องหักคอมันเสีย เจ้าต้องไถ่บุตรชายคนแรกของเจ้าทุกคน อย่าให้ใครมาอยู่เบื้องหน้าเราโดยมือเปล่า
21 เจ้าจะลงแรงทำงานทั้งสิ้นของเจ้า 6 วัน แต่วันที่เจ็ด เจ้าจงเว้นจากงาน ทั้งในฤดูไถนาและฤดูเก็บเกี่ยวก็จงเว้นจากงาน 22 และเจ้าจงฉลองงานเทศกาลครบ 7 สัปดาห์ โดยถวายผลแรกของข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวได้ และฉลองเทศกาลเก็บรวมตอนปลายปี 23 ชายทุกคนในพวกเจ้าต้องมา ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าของอิสราเอลปีละ 3 ครั้ง 24 ด้วยว่าเราจะขับไล่บรรดาประชาชาติออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า และจะขยายเขตแดนของเจ้าให้กว้างออกไป จะไม่มีผู้ใดละโมบเอาดินแดนของเจ้าไปในยามที่เจ้าขึ้นไปหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าปีละ 3 ครั้ง
25 อย่าถวายเลือดสัตว์จากเครื่องสักการะของเราปะปนกับสิ่งใดๆ ที่มีเชื้อยีสต์ หรือปล่อยให้มีสัตว์ที่เผาเป็นของถวายในงานปัสกาเหลืออยู่จนถึงรุ่งเช้า 26 จงนำผลแรกที่พิเศษสุดจากนาที่เจ้าเก็บเกี่ยวได้มายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า อย่าต้มลูกแพะในน้ำนมของแม่มัน”
27 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “เจ้าจงเขียนคำเหล่านี้ไว้ เพราะเราทำพันธสัญญาไว้กับเจ้าและกับอิสราเอลแล้วตามคำเหล่านี้” 28 และท่านอยู่ที่นั่นกับพระผู้เป็นเจ้า 40 วัน 40 คืน โดยไม่ได้รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำเลย แล้วท่านเขียนคำแห่งพันธสัญญาบนแผ่นศิลา คือบัญญัติสิบประการ
ใบหน้าของโมเสสเปล่งประกาย
29 เมื่อโมเสสลงมาจากภูเขาซีนายพร้อมกับถือแผ่นศิลาแห่งพันธสัญญา 2 แผ่นไว้ในมือขณะที่ท่านลงมาจากภูเขา โมเสสไม่ทราบว่าผิวหน้าของท่านเปล่งประกายเนื่องจากการสนทนากับพระเจ้า 30 ดูเถิด ครั้นอาโรนและประชาชนชาวอิสราเอลเห็นผิวหน้าของโมเสสที่เปล่งประกาย ก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ 31 แต่โมเสสเรียกพวกเขามา ฉะนั้นอาโรนและหัวหน้าทั้งปวงของมวลชนจึงกลับมาหาท่าน โมเสสจึงพูดกับพวกเขา 32 หลังจากนั้นประชาชนชาวอิสราเอลทุกคนก็เข้ามาใกล้ และโมเสสให้คำบัญญัติทุกข้อที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านที่ภูเขาซีนาย 33 ครั้นโมเสสพูดกับพวกเขาจบแล้ว ท่านก็ใช้ผ้าคลุมหน้าของท่าน
34 แต่เวลาโมเสสเข้าไปสนทนา ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็เปิดผ้าคลุมหน้าออกจนกว่าจะกลับออกมา จากนั้นท่านก็บอกชาวอิสราเอลว่าท่านได้รับคำสั่งอะไรบ้าง 35 ชาวอิสราเอลเห็นโมเสสและเห็นว่าผิวหน้าของท่านเปล่งประกาย โมเสสจะใช้ผ้าคลุมหน้าของท่านอีก จนกว่าจะเข้าไปสนทนากับพระองค์
พระเยซูล้างเท้าของสาวก
13 ก่อนถึงงานเทศกาลปัสกา พระเยซูทราบว่า ถึงกำหนดเวลาแล้วที่จะจากโลกนี้กลับไปหาพระบิดา พระองค์รักคนของพระองค์ที่อยู่ในโลกนี้มาโดยตลอด จนถึงที่สุด 2 ในระหว่างอาหารค่ำ พญามารได้ดลใจให้ยูดาสอิสคาริโอทบุตรของซีโมนทรยศพระองค์ 3 พระเยซูทราบว่า พระบิดามอบทุกสิ่งไว้ในมือของพระองค์ พระองค์มาจากพระเจ้า และกำลังจะกลับไปหาพระเจ้า 4 พระองค์จึงลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร ถอดเสื้อตัวนอกวางไว้ คาดผ้าเช็ดตัวไว้ที่เอว 5 เทน้ำลงในอ่างและล้างเท้าของสาวก พร้อมทั้งใช้ผ้าที่คาดเอวไว้ซับเท้าด้วย 6 เมื่อพระองค์มาถึงซีโมนเปโตร เขาพูดว่า “พระองค์ท่าน พระองค์จะล้างเท้าของข้าพเจ้าหรือ” 7 พระเยซูกล่าวตอบว่า “สิ่งที่เรากระทำขณะนี้เจ้าไม่เข้าใจ แต่เจ้าจะเข้าใจในภายหลัง” 8 เปโตรพูดกับพระองค์ว่า “พระองค์จะมาล้างเท้าของข้าพเจ้าไม่ได้” พระเยซูตอบเขาว่า “ถ้าเราไม่ล้างเท้าเจ้า เจ้าจะไม่มีส่วนกับเราเลย” 9 ซีโมนเปโตรพูดว่า “พระองค์ท่าน ไม่เพียงแต่เท้าของข้าพเจ้าเท่านั้น แต่มือและศีรษะของข้าพเจ้าด้วย” 10 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ผู้ที่ได้อาบน้ำแล้วเหลือเพียงเท้าเท่านั้นที่ต้องล้าง เพราะทั้งตัวสะอาดหมด พวกเจ้าก็สะอาด แต่ไม่ใช่ทุกคน” 11 พระองค์ทราบดีว่าใครกำลังจะทรยศพระองค์ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงกล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่ทุกคนในพวกเจ้าที่สะอาด”
12 เมื่อพระองค์ได้ล้างเท้าของพวกเขาเสร็จแล้ว ก็สวมเสื้อตัวนอกที่ได้ถอดวางไว้ แล้วเอนกายลงอีก พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “เจ้าเข้าใจสิ่งที่เราได้กระทำต่อเจ้าไหม 13 เจ้าเรียกเราว่า อาจารย์ และพระองค์ท่าน เจ้าเรียกถูกต้องแล้วเพราะว่าเราเป็นเช่นนั้นจริง 14 ฉะนั้นถ้าเราคือทั้งพระองค์ท่านและอาจารย์ของพวกเจ้าซึ่งได้ล้างเท้าของเจ้า เจ้าเองควรจะล้างเท้าให้กันและกันด้วย 15 เพราะเราได้เป็นตัวอย่างให้แก่เจ้า ดังนั้น เจ้าควรทำตามอย่างดังที่เราได้กระทำต่อเจ้าแล้ว 16 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ทาสรับใช้ไม่ยิ่งใหญ่กว่านายของเขา และผู้ที่ถูกส่งออกไปก็ไม่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่ส่งเขาไปเช่นกัน 17 เจ้ารู้สิ่งเหล่านี้แล้ว และถ้าปฏิบัติตาม เจ้าก็จะเป็นสุข
พระเยซูทราบว่ายูดาสจะทรยศพระองค์
18 เราไม่ได้พูดถึงทุกคนในพวกเจ้า เรารู้จักบรรดาผู้ที่เราได้เลือกไว้แล้ว แต่เพื่อให้เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่ว่า ‘คนที่รับประทานอาหารของข้าพเจ้าได้ยกส้นเท้าต่อต้านข้าพเจ้า’[a] 19 จากนี้ไปเราจะบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้เจ้ารู้ ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงๆ เพื่อว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้วเจ้าจะได้เชื่อว่า เราคือผู้นั้น[b] 20 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ผู้ที่รับคนที่เราส่งออกไปเสมือนได้รับเรา และถือว่าผู้นั้นรับพระองค์ผู้ส่งเรามาเช่นกัน”
21 เมื่อพระเยซูกล่าวเช่นนั้นแล้ว ก็ทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่งจึงกล่าวยืนยันว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า คนหนึ่งในพวกเจ้าจะทรยศเรา” 22 พวกสาวกเริ่มมองหน้ากันสงสัยว่าพระองค์หมายถึงใคร 23 สาวกคนหนึ่งที่พระเยซูรักก็กำลังเอนกายใกล้ทรวงอกของพระองค์ 24 ซีโมนเปโตรจึงพยักหน้าพูดกับคนนั้นว่า “บอกเราเถิดว่าพระองค์กล่าวถึงผู้ใด” 25 เขาเอนหลังพิงทรวงอกของพระเยซู แล้วพูดว่า “พระองค์ท่าน คนนั้นคือใคร” 26 พระเยซูจึงตอบว่า “คือผู้ที่เราจะเอาขนมปังนี้จิ้มในถ้วยให้” แล้วพระเยซูก็จิ้มขนมปัง และยื่นให้แก่ยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท 27 เมื่อยูดาสรับประทานขนมปังเข้าไป ซาตาน[c]ก็เข้าสิงในตัวเขา พระเยซูจึงกล่าวกับเขาว่า “อะไรที่เจ้าจะทำก็ทำเร็วๆ เถิด” 28 พวกที่เอนกายอยู่ ณ ที่นั้นไม่ทราบว่าพระองค์ได้กล่าวเช่นนั้นกับเขาด้วยจุดประสงค์อะไร 29 หรืออาจเป็นเพราะยูดาสถือกล่องเก็บเงิน บางคนจึงคิดว่าพระเยซูกล่าวว่า “จงซื้อสิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้สำหรับงานเทศกาลนี้” หรือไม่ก็บอกว่า เขาควรให้ทานแก่ผู้ยากไร้ 30 หลังจากยูดาสได้รับขนมปังแล้วก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน
พระเยซูทราบว่าเปโตรจะปฏิเสธพระองค์
31 เมื่อยูดาสจากไปแล้ว พระเยซูจึงกล่าวว่า “บัดนี้บุตรมนุษย์ได้รับพระบารมีแล้ว และให้พระเจ้าได้รับพระบารมีด้วย 32 หากว่าบุตรมนุษย์ให้พระเจ้าได้รับพระบารมี พระเจ้าเองก็จะมอบพระบารมีให้แก่บุตรมนุษย์ด้วย และจะมอบให้ทันที 33 บรรดาลูกที่รักเอ๋ย เราอยู่กับเจ้ายาวนานอีกสักประเดี๋ยวหนึ่ง เจ้าจะแสวงหาเรา และเราจะบอกเจ้าอีกครั้งเหมือนกับที่เคยพูดกับชาวยิวแล้วว่า ‘ที่ซึ่งเราจะไป เจ้าไม่อาจไปถึงได้’ 34 บัญญัติใหม่ที่เราให้แก่เจ้า คือเจ้าจงรักซึ่งกันและกัน พวกเจ้าต้องรักซึ่งกันและกันดังที่เรารักเจ้า 35 ถ้าเจ้ามีความรักให้กันและกันแล้ว ทุกคนจะได้รู้ว่าพวกเจ้าเป็นสาวกของเรา”
36 ซีโมนเปโตรพูดว่า “พระองค์ท่าน พระองค์จะไปไหน” พระเยซูตอบว่า “ที่ซึ่งเราจะไป เจ้าตามไปไม่ได้ในเวลานี้ แต่จะตามไปในภายหลัง” 37 เปโตรพูดว่า “พระองค์ท่าน ทำไมในเวลานี้ข้าพเจ้าจึงตามพระองค์ไปไม่ได้ ข้าพเจ้าจะสละชีวิตให้แก่พระองค์” 38 พระเยซูตอบว่า “เจ้าจะสละชีวิตของเจ้าให้แก่เราหรือ เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ไก่จะไม่ขันจนกว่าเจ้าจะปฏิเสธเรา 3 ครั้ง
สุภาษิตของซาโลมอน
10 สุภาษิตของซาโลมอน
ลูกที่มีสติปัญญาทำให้บิดายินดี
แต่ลูกที่โง่เง่าทำให้มารดาเป็นทุกข์
2 สมบัติที่ได้มาจากความชั่วร้ายไม่มีประโยชน์อันใด
แต่ความชอบธรรมช่วยให้พ้นจากความตาย
3 พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ปล่อยให้คนมีความชอบธรรมหิวโหย
แต่ทำให้คนชั่วร้ายผิดหวังเมื่อเกิดความอยาก
4 มือของคนเกียจคร้านนำมาซึ่งความยากจน
แต่มือของคนขยันนำความมั่งมีมาสู่ตน
5 คนที่เก็บสะสมในฤดูร้อนเป็นลูกที่ชาญฉลาด
แต่คนที่นอนหลับในฤดูเก็บเกี่ยวเป็นลูกที่น่าอับอาย
6 พระพรเป็นดั่งมงกุฎบนศีรษะของผู้มีความชอบธรรม
แต่ปากของคนชั่วร้ายปกปิดความโหดร้าย
7 ผู้มีความชอบธรรมเป็นพระพรซึ่งอยู่ในความทรงจำของเรา
แต่ชื่อของผู้ชั่วร้ายจะไม่ยั่งยืน
8 จิตใจของผู้มีสติปัญญายอมรับคำบัญญัติ
แต่คนโง่ปากพล่อยย่อมประสบกับความพินาศ
9 คนดำเนินชีวิตด้วยสัจจะย่อมมีชีวิตที่ดำเนินไปด้วยความปลอดภัย
แต่คนที่คดโกงจะถูกจับได้
10 คนหลิ่วตาก่อปัญหา
และคนโง่ปากพล่อยย่อมประสบกับความพินาศ
11 ปากของผู้มีความชอบธรรมเป็นเสมือนน้ำพุแห่งชีวิต
แต่ปากของคนชั่วร้ายปกปิดความโหดร้าย
12 ความเกลียดชังก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท
แต่ความรักให้อภัยการกระทำผิดทุกอย่าง[a]
13 จะพบสติปัญญาได้ที่ริมฝีปากของผู้หยั่งรู้
แต่ไม้เรียวมีไว้สำหรับหลังของผู้ขาดความเข้าใจ
14 คนมีสติปัญญาสะสมความรู้ไว้
แต่ปากของคนโง่นำความเสียหายมาสู่ตนเอง
15 ความมั่งมีของคนรวยเป็นเสมือนเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง
แต่ความยากไร้เป็นความเสียหายของคนจน
16 ค่าแรงของผู้มีความชอบธรรมคือการได้มาซึ่งชีวิต
สิ่งที่คนชั่วร้ายได้รับคือการลงโทษ
17 หนทางที่นำไปสู่ชีวิตเป็นของคนที่เอาใจใส่ในคำสั่งสอน
แต่คนที่ปฏิเสธคำตักเตือนจะหลงผิดไป
18 คนที่ปกปิดความเกลียดชังของตนเป็นคนโกหก
และคนที่พูดว่าร้ายเป็นคนเบาปัญญา
19 การใช้คำพูดหลายคำย่อมเปิดโอกาสให้ทำผิดได้
แต่คนที่ยับยั้งปากไว้ได้เป็นคนฉลาดรอบคอบ
20 ลิ้นของผู้มีความชอบธรรมเป็นเสมือนแร่เงินอันบริสุทธิ์
ใจของคนชั่วร้ายมีค่าเพียงน้อยนิด
21 คำพูดจากปากของผู้มีความชอบธรรมเป็นคำสอนที่ดีสำหรับคนเป็นจำนวนมาก
แต่คนโง่ตายเพราะไร้ความคิด
22 พระพรของพระผู้เป็นเจ้าทำให้คนมั่งมี
และพระองค์ไม่เพิ่มเติมความทุกข์ลงไปในความมั่งมีนั้น
23 คนโง่เพลิดเพลินกับการกระทำที่เลวร้าย
แต่คนหยั่งรู้ชื่นชอบในสติปัญญา
24 สิ่งที่คนชั่วร้ายหวาดกลัวจะมาถึงตัวเขา
และบรรดาผู้มีความชอบธรรมจะได้รับสิ่งที่เขาพึงปรารถนา
25 เมื่อลมพายุผ่านพ้นไป คนชั่วร้ายจะสูญหายไปหมด
แต่ผู้มีความชอบธรรมมั่นคงไปชั่วนิรันดร์
26 น้ำส้มสายชูสัมผัสฟัน และควันสัมผัสตาเป็นเช่นไร
คนเกียจคร้านก็เป็นเช่นนั้นต่อนายของเขา
27 ความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าทำให้มีชีวิตยั่งยืนนาน
ในขณะที่จำนวนปีของผู้ชั่วร้ายจะสั้นลง
28 ความหวังของบรรดาผู้มีความชอบธรรมก่อให้เกิดความยินดี
แต่การคาดหมายของคนชั่วร้ายเป็นการสูญเปล่า
29 หนทางของพระผู้เป็นเจ้าเป็นที่พึ่งของผู้มีสัจจะ
แต่หายนะเป็นของผู้กระทำความชั่ว
30 ผู้มีความชอบธรรมไม่มีวันที่จะหวั่นไหว
แต่คนชั่วร้ายจะไม่มีหลักแหล่งอยู่บนแผ่นดินโลก
31 ปากของผู้มีความชอบธรรมหลั่งคำพูดซึ่งแสดงถึงสติปัญญา
แต่ลิ้นที่บิดเบือนจะถูกตัดออก
32 ริมฝีปากของผู้มีความชอบธรรมย่อมรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่เหมาะสม
แต่ปากของคนชั่วร้ายมีแต่ความบิดเบือน
เปาโลประกาศแก่คนนอก
3 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นนักโทษเนื่องจากการรับใช้พระเยซูคริสต์เพื่อผลประโยชน์ของพวกท่านซึ่งเป็นคนนอก 2 ท่านเคยได้ยินแล้วมิใช่หรือว่า ด้วยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จึงได้ให้ข้าพเจ้าจัดการแผนงานนี้เพื่อท่าน 3 คือความลึกลับซับซ้อนที่พระเจ้าได้เผยแก่ข้าพเจ้า ตามที่ข้าพเจ้าได้เขียนย่อๆ ไว้แล้ว 4 เมื่อท่านอ่านแล้ว ท่านก็จะเข้าใจถึงความเห็นแจ้งที่ข้าพเจ้ามีในเรื่องความลึกลับซับซ้อนของพระคริสต์ 5 ซึ่งคนในยุคอื่นๆ ไม่ได้รับทราบอย่างที่พระวิญญาณได้เผยให้บรรดาอัครทูตและผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ได้ทราบ 6 ความลึกลับนั้นก็คือ บรรดาคนนอกได้เป็นผู้ร่วมรับมรดก ได้เป็นสมาชิกของกายเดียวกัน และได้มีส่วนร่วมกับพระสัญญาในพระเยซูคริสต์ก็โดยข่าวประเสริฐ
7 ข้าพเจ้ามาเป็นผู้รับใช้ของข่าวประเสริฐนี้ได้โดยพระคุณของพระเจ้า อันเป็นสิ่งที่พระองค์มอบให้แก่ข้าพเจ้าตามอานุภาพของการกระทำของพระองค์ 8 แม้ข้าพเจ้าจะเป็นคนด้อยสุดในบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้ายังได้รับพระคุณนี้ เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่อันมิอาจหยั่งถึงของพระคริสต์แก่บรรดาคนนอก 9 และแสดงให้คนทั้งปวงเห็นแผนงานอันลึกลับซับซ้อนซึ่งพระเจ้าผู้สร้างทุกสิ่งไม่ได้เผยให้ผู้ใดทราบมาเป็นเวลาหลายยุค 10 เพื่อว่าบัดนี้พวกที่อยู่ในระดับปกครอง และบรรดาผู้มีสิทธิอำนาจในอาณาเขตสวรรค์ จะได้ประจักษ์ถึงพระปัญญารอบด้านของพระเจ้าโดยผ่านคริสตจักร 11 ตามจุดประสงค์อันเป็นนิรันดร์ของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทำให้ประสบผลสำเร็จในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 12 เราจะได้เข้าถึงพระเจ้าได้อย่างเสรีและด้วยความมั่นใจ เมื่อเรามีความผูกพันในพระองค์และมีความเชื่อในพระองค์ 13 ฉะนั้นข้าพเจ้าขอให้ท่านอย่าได้ท้อใจที่ข้าพเจ้าทนทุกข์ทรมานเพื่อท่าน ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติของท่านเอง
เปาโลอธิษฐานให้ชาวเอเฟซัส
14 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าลง ณ เบื้องหน้าพระบิดา 15 ซึ่งได้โปรดให้ทุกตระกูลทั้งในสวรรค์และโลกมนุษย์ได้รับนามของตน 16 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า พระองค์จะให้อานุภาพแก่ท่านด้วยพระวิญญาณของพระองค์เพื่อให้ส่วนลึกในใจของท่านเข้มแข็ง ตามความยิ่งใหญ่แห่งพระบารมีของพระองค์ 17 เพื่อพระคริสต์จะสถิตในใจท่านเนื่องจากการที่ท่านมีความเชื่อ และเมื่อท่านได้รับการปลูกฝังและวางรากฐานในความรัก 18 แล้วท่านก็จะได้หยั่งรู้อย่างบริบูรณ์ถึงความรักของพระคริสต์ว่าลึกซึ้งเพียงใดพร้อมไปกับบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าทุกคน 19 และจะได้ทราบถึงความรักนี้ว่าลึกซึ้งเกินหยั่งถึง เพื่อท่านจะได้รับความบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
20 แด่พระองค์ผู้มีอานุภาพที่สำแดงอยู่ในพวกเรา พระองค์สามารถกระทำกิจได้มากมายโดยมิอาจประมาณได้ และเกินกว่าที่เราจะขอหรือคาดคิดได้ 21 ขอพระบารมีจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักรและในพระเยซูคริสต์ทุกชั่วอายุคนชั่วนิรันดร์กาลเถิด อาเมน
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation