M’Cheyne Bible Reading Plan
เครื่องแต่งกายของปุโรหิต
28 ให้คนพาอาโรนพี่ชายของเจ้าพร้อมกับบรรดาบุตรของเขาคือ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ แยกพวกเขาออกจากหมู่ชนชาวอิสราเอลและให้มาอยู่ใกล้เจ้า เพื่อเป็นปุโรหิตรับใช้เรา 2 เจ้าจงจัดหาเครื่องแต่งกายอันบริสุทธิ์ งดงาม และสมเกียรติให้อาโรนพี่ชายของเจ้า 3 เจ้าจงบอกกับทุกคนที่มีความชำนาญและเป็นคนที่เราได้มอบจิตวิญญาณอันพรั่งพร้อมด้วยสติปัญญา เพื่อให้พวกเขาตัดเย็บเครื่องแต่งกายให้อาโรน ถวายตัวเขาให้รับตำแหน่งปุโรหิตสำหรับเรา 4 ให้พวกเขาจัดหาเครื่องแต่งกายตามนี้คือ ทับทรวง ชุดคลุม เสื้อคลุมยาว เสื้อยาวชั้นในปักลวดลาย ผ้าโพกศีรษะ และผ้าคาดเอว พวกเขาต้องจัดเตรียมเครื่องแต่งกายอันบริสุทธิ์ให้อาโรนพี่ชายของเจ้าและบรรดาบุตรของเขาเพื่อรับใช้เราเช่นปุโรหิต 5 ให้พวกเขาตัดเย็บเครื่องแต่งกายนั้นด้วยด้ายทอง ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด อีกทั้งผ้าป่านทอเนื้อดี
ชุดคลุม
6 ให้พวกเขาเย็บชุดคลุมด้วยด้ายทอง ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด และผ้าป่านทอเนื้อดีปักอย่างงดงามด้วยช่างผู้ชำนาญ 7 ติดแถบผ้าพาดบ่า 2 ชิ้นกับขอบชุดคลุมให้เป็นผืนเดียวกัน 8 ตอนบนเป็นผ้าคาดเอวซึ่งทอด้วยฝีมือชั้นดีสำหรับสวมให้กระชับกับชุดคลุม ใช้ผ้าและด้ายชนิดเดียวกันกับชุดคลุม ใช้ด้ายทอง ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด อีกทั้งผ้าป่านทอเนื้อดี 9 เจ้าจงสลักชื่อของบรรดาบุตรของอิสราเอลไว้บนแผ่นพลอยหลากสีจำนวน 2 แผ่น 10 แผ่นที่หนึ่งสลักชื่อ 6 ชื่อ อีก 6 ชื่อที่เหลือบนศิลาอีกแผ่น ให้เรียงตามลำดับอายุ 11 ให้ช่างแกะสลักเพชรสลักชื่อของบรรดาบุตรของอิสราเอลที่หน้าพลอย 2 แผ่นนี้ดังเช่นสลักตราประทับ และทำกรอบทองคำฉลุลวดลายโปร่งล้อมแผ่นพลอย 12 จงติดแผ่นพลอยดังกล่าวไว้ที่แถบผ้าพาดบ่าที่เชื่อมอยู่กับชุดคลุม เป็นดั่งพลอยแห่งการรำลึกถึงพงศ์พันธุ์อิสราเอล และอาโรนจะแบกชื่อพวกเขาไว้บนบ่าทั้งสอง ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ 13 เจ้าจงตีกรอบทองคำฉลุลวดลายโปร่ง 14 ตีสร้อยทองคำบริสุทธิ์ถักเป็นเกลียว 2 เส้น แล้วจงติดสร้อยทองไว้กับกรอบทองคำ
ทับทรวง
15 เจ้าจงตัดเย็บทับทรวงแห่งการตัดสินใจ 1 ผืนด้วยช่างผู้ชำนาญ ทำให้งดงามเหมือนกับที่ตัดเย็บชุดคลุม ด้วยด้ายทอง ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด อีกทั้งผ้าป่านทอเนื้อดี 16 ทับทรวงเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และพับทบเป็น 2 ชั้น ความยาว 1 คืบและกว้าง 1 คืบ 17 เจ้าจงฝังเพชรพลอย 4 แถวที่ทับทรวง แถวแรกเป็นทับทิม บุษราคัม และแก้วผลึกสีเขียวปนน้ำเงิน 18 แถวที่สองฝังพลอยสีฟ้า นิลสีคราม และเพชร 19 แถวที่สามฝังแก้วผลึกสีส้มปนแดง โมรา และพลอยสีม่วง 20 และแถวที่สี่ฝังโกเมน พลอยหลากสี และมณีสีเขียว จงฝังเพชรพลอยเหล่านี้ลงในกรอบทองคำฉลุลวดลายโปร่ง 21 ต้องมีเพชรพลอย 12 เม็ด แต่ละเม็ดสลักชื่อบุตรแต่ละคนของอิสราเอล สลักชื่อทุกชื่อดังเช่นสลักตราประทับ เป็นชื่อสำหรับ 12 เผ่า 22 เจ้าจงตีสายคล้องถักเป็นเกลียวด้วยทองคำบริสุทธิ์สำหรับโยงติดกับทับทรวง 23 และตีห่วงทองคำ 2 อันติดไว้ที่ทับทรวงทั้ง 2 มุม 24 จงติดสายคล้องทองคำทั้งสองไว้กับห่วง 2 อันที่มุมของทับทรวง 25 ปลายสายคล้องอีก 2 ข้างให้โยงไว้กับกรอบฉลุลวดลายโปร่งที่ด้านหน้าซึ่งติดอยู่กับแถบผ้าพาดบ่าที่เชื่อมกับชุดคลุม 26 เจ้าจงตีห่วงทองคำ 2 อันติดเข้ากับมุมล่างทั้งสองของทับทรวงที่ริมด้านในที่ติดกับชุดคลุม 27 ตีห่วงทองคำ 2 อันติดไว้ที่ด้านหน้าตอนล่างของแถบผ้าพาดบ่าที่ติดกับขอบชุดคลุมเหนือผ้าคาดเอวที่ทอขึ้นอย่างงดงาม 28 จงผูกห่วงที่ทับทรวงให้ติดกับห่วงที่ชุดคลุมด้วยสายเกลียวสีน้ำเงิน เพื่อให้ทับทรวงโยงติดกับผ้าคาดเอว และไม่หลุดจากชุดคลุม 29 ดังนั้น อาโรนจึงมีชื่อของบรรดาบุตรของอิสราเอลอยู่บนทับทรวงแห่งการตัดสินใจแนบอยู่กับใจเวลาเขาเข้าไปในวิสุทธิสถาน เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าเสมอไป 30 เจ้าจงแนบอูริมและทูมมิม[a]ไว้กับทับทรวงแห่งการตัดสินใจ เพื่อให้แนบใจของอาโรนเวลาเขาเข้าไปอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า การปฏิบัติเช่นนี้ทำให้อาโรนระลึกอยู่ในใจของเขาเสมอว่า เขามอบการตัดสินใจสำหรับชาวอิสราเอลไว้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า
เสื้อคลุมยาวใต้ชุดคลุม
31 เจ้าจงเย็บเสื้อคลุมยาวจากผ้าสีน้ำเงินสำหรับสวมไว้ใต้ชุดคลุม 32 เป็นเสื้อสวมหัว ขลิบรอบคอเสื้อด้วยผ้าทอเช่นเดียวกับเสื้อสวมชั้นใน เพื่อกันการขาดรุ่ย 33 โดยรอบชายเสื้อคลุมให้ใช้ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสดทำเป็นรูปทับทิม ติดลูกพรวนทองคำไว้ระหว่างลูกทับทิม 34 คือติดลูกพรวนทองคำ 1 ลูกสลับกันไปกับลูกทับทิม 1 ลูกโดยรอบชายเสื้อคลุม 35 อาโรนจะสวมเสื้อตัวนี้ในเวลาปฏิบัติงาน และเสียงลูกพรวนทองคำจะดังขณะที่เขาเข้าไปในวิสุทธิสถาน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และขณะที่เขาเดินออกมา เพื่อว่าเขาจะไม่ตายในสถานที่นั้น
36 เจ้าจงตีแผ่นทองคำบริสุทธิ์ และสลักด้วยคำว่า ‘บริสุทธิ์สำหรับพระผู้เป็นเจ้า’ ดังเช่นสลักตราประทับ 37 แล้วเจ้าจงผูกสายเกลียวสีน้ำเงินที่แผ่นทองคำให้ติดกับด้านหน้าของผ้าโพกศีรษะ 38 แผ่นทองคำที่อยู่ที่หน้าผากของอาโรน เสมือนหนึ่งอาโรนได้แบกความผิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับของถวายอันบริสุทธิ์ซึ่งชาวอิสราเอลมอบให้ แผ่นทองคำจะอยู่ที่หน้าผากของเขาเสมอไป และพระผู้เป็นเจ้าได้รับของถวายจากเขา
39 เจ้าจงเย็บเสื้อยาวชั้นในด้วยผ้าป่านเนื้อดีปักลวดลาย เย็บผ้าโพกศีรษะด้วยผ้าป่านเนื้อดี และเย็บผ้าคาดเอวปักลวดลาย
40 เจ้าจงเย็บเสื้อยาวชั้นใน ผ้าคาดเอว และผ้าโพกศีรษะสำหรับบุตรอาโรน เจ้าจงจัดทำให้งดงามและสมเกียรติ 41 เจ้าจงให้อาโรนพี่ชายของเจ้า และบุตรชายของเขาสวมเครื่องแต่งกายดังกล่าว ชโลมน้ำมันและแต่งตั้งพวกเขา อีกทั้งทำให้บริสุทธิ์ ให้เป็นปุโรหิตรับใช้เรา 42 เจ้าจงตัดเย็บกางเกงชั้นในด้วยผ้าป่านเพื่อปกปิดผิวกายของพวกเขาตั้งแต่เอวถึงขาอ่อน 43 อาโรนและบุตรของเขาต้องสวมกางเกงชั้นในเวลาเข้าไปในกระโจมที่นัดหมาย หรือเวลาที่พวกเขาเข้าใกล้แท่นบูชาเวลาปฏิบัติงานในวิสุทธิสถาน เพื่อไม่ให้พวกเขามีความผิดและตาย จงถือเป็นกฎเกณฑ์สำหรับเขาและผู้สืบเชื้อสายสืบต่อจากเขาตลอดไป
เทศกาลอยู่เพิง
7 หลังจากนั้นพระเยซูเดินทางไปตามแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ประสงค์ที่จะไปยังแคว้นยูเดีย เพราะชาวยิวหาโอกาสจะฆ่าพระองค์ 2 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงของชาวยิว 3 พวกน้องๆ ของพระเยซูพูดกับพระองค์ว่า “ท่านออกไปจากที่นี่เถิด แล้วไปยังแคว้นยูเดียเพื่อให้บรรดาสาวกของท่านเห็นงานที่ท่านกำลังกระทำอยู่ 4 ด้วยเหตุที่ว่าไม่มีผู้ใดกระทำการในที่ลับ ในเมื่อเขาต้องการให้เป็นที่ประจักษ์อย่างเปิดเผย หากท่านกระทำการเหล่านี้แล้ว ก็จงแสดงตนให้โลกเห็นเถิด” 5 แม้พวกน้องๆ ของพระองค์ก็ไม่เชื่อในพระองค์ 6 พระเยซูกล่าวกับน้องๆ ว่า “ยังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา แต่สำหรับเจ้าแล้วโอกาสใดก็ได้ 7 โลกจะเกลียดชังเจ้าไม่ได้ แต่จะเกลียดเราเพราะเรายืนยันในสิ่งชั่วร้ายที่โลกได้กระทำ 8 พวกเจ้าไปร่วมในงานเทศกาลกันเองเถิด เรายังไม่ไปที่งานเทศกาลนี้ เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา” 9 เมื่อกล่าวกับพวกเขาแล้วพระองค์ก็พักอยู่ที่แคว้นกาลิลีนั่นเอง
10 แต่เมื่อพวกน้องๆ ของพระองค์ไปที่งานเทศกาลแล้ว พระองค์ก็ขึ้นไปด้วยโดยไม่ให้ผู้คนทราบ แต่เป็นการลับ 11 ชาวยิวที่กำลังตามหาพระองค์ในงานเทศกาลพากันถามว่า “คนนั้นอยู่ที่ไหน” 12 ฝูงชนพากันซุบซิบเรื่องของพระองค์มากมาย บ้างพูดว่า “ท่านเป็นคนดี” บ้างก็พูดว่า “คนหลอกลวงประชาชน” 13 แต่ก็ไม่มีผู้ใดพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผย เพราะเกรงกลัวชาวยิว
14 แต่เมื่อถึงช่วงกลางๆ ของงานเทศกาล พระเยซูขึ้นไปที่พระวิหารแล้วเริ่มสั่งสอน 15 ชาวยิวต่างประหลาดใจกันจึงพูดว่า “ชายผู้นี้รู้สิ่งต่างๆ มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคยเรียนมาก่อน” 16 พระเยซูตอบว่า “การสั่งสอนของเราไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของพระองค์ผู้ส่งเรามา 17 ถ้าผู้ใดเลือกที่จะกระทำตามความประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นจะทราบว่าคำสั่งสอนของเรามาจากพระเจ้า หรือเราพูดตามความตั้งใจของเราเอง 18 ผู้ที่พูดจากความตั้งใจของตนเองย่อมแสวงหาบารมีให้แก่ตนเอง แต่ผู้ที่แสวงหาพระบารมีของพระองค์ผู้ที่ได้ส่งผู้นั้นมา ผู้นั้นมีแต่ความสัตย์และปราศจากความเท็จ 19 โมเสสได้ให้กฎบัญญัติไว้แก่พวกท่านมิใช่หรือ แต่ก็ไม่มีพวกท่านสักคนที่ปฏิบัติตามกฎบัญญัติ แล้วทำไมท่านจึงหาโอกาสฆ่าเรา” 20 ฝูงชนตอบว่า “ท่านมีมารสิงอยู่ ใครเล่าที่พยายามฆ่าท่าน” 21 พระเยซูกล่าวตอบว่า “เราแสดงสิ่งอัศจรรย์สิ่งเดียว พวกท่านก็พากันประหลาดใจ 22 โมเสสได้ให้ท่านเข้าสุหนัต (มิใช่เพราะว่าการเข้าสุหนัตมาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ) และในวันสะบาโตพวกท่านก็ยังให้บุตรของท่านเข้าสุหนัต 23 ถ้าบุตรของท่านเข้าสุหนัตในวันสะบาโตเพื่อไม่ให้ละเมิดหมวดกฎบัญญัติของโมเสสแล้ว พวกท่านโกรธเราเพราะว่า เราได้ทำให้ชายคนหนึ่งหายเป็นปกติในวันสะบาโตหรือ 24 อย่าตัดสินจากลักษณะภายนอก แต่จงตัดสินตามความเป็นจริงเถิด”
25 บางคนในเมืองเยรูซาเล็มพูดกันว่า “ชายผู้นี้มิใช่หรือที่ผู้คนพยายามฆ่า 26 ดูสิ ท่านกำลังพูดอย่างเปิดเผยและไม่มีใครว่าท่านเลย พวกที่อยู่ในระดับปกครองสรุปข้อเท็จจริงได้แล้วหรือว่า ผู้นี้เป็นพระคริสต์ 27 อย่างไรก็ตาม เราทราบว่าชายผู้นี้มาจากไหน แต่เมื่อใดก็ตามที่พระคริสต์มา ไม่มีใครเลยที่ทราบว่าพระองค์มาจากไหน” 28 พระเยซูกล่าวสั่งสอนด้วยเสียงอันดังในพระวิหารว่า “พวกท่านรู้จักเรา และรู้ด้วยว่าเรามาจากไหน และเราไม่ได้มาโดยลำพังตนเอง แต่พระองค์ผู้ส่งเรามานั้นเป็นจริง และพวกท่านก็ไม่รู้จักพระองค์ 29 เรารู้จักพระองค์เพราะว่าเรามาจากพระองค์ และพระองค์ส่งเรามา” 30 ด้วยเหตุนี้เองเขาเหล่านั้นจึงพยายามจะจับกุมพระเยซู แต่ไม่มีผู้ใดยื่นมือแตะต้องพระองค์ได้ เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์ 31 แต่มีหลายคนในฝูงชนที่เชื่อในพระเยซูและพูดกันว่า “เมื่อพระคริสต์มา พระองค์คงจะไม่แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์มากกว่าที่ชายผู้นี้ได้กระทำหรอก”
32 พวกฟาริสีได้ยินฝูงชนพากันซุบซิบเรื่องของพระองค์ พวกมหาปุโรหิตและฟาริสีจึงได้ส่งพวกเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าพระวิหารไปเพื่อจับกุมพระองค์ 33 ฉะนั้นพระเยซูกล่าวว่า “เราอยู่กับพวกท่านอีกเพียงประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วเราก็จะไปหาผู้ที่ส่งเรามา 34 พวกท่านจะแสวงหาเรา แต่จะไม่พบ และที่ซึ่งเราอยู่ พวกท่านไม่อาจไปถึงได้” 35 ดังนั้นชาวยิวจึงพูดโต้ตอบกันว่า “ชายผู้นี้ตั้งใจจะไปที่ไหนที่พวกเราจะหาไม่พบ จะตั้งใจไปหาพวกเราที่กระจัดกระจายไปอยู่กับชาวกรีก และสั่งสอนชาวกรีกหรือ 36 ท่านหมายความว่าอย่างไรที่กล่าวว่า ‘พวกท่านจะแสวงหาเรา แต่จะไม่พบ และที่ซึ่งเราอยู่ พวกท่านไม่อาจไปถึงได้’”
แม่น้ำแห่งชีวิต
37 ในวันสุดท้ายอันเป็นวันยิ่งใหญ่ของงานเทศกาลนั้น พระเยซูยืนขึ้นกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ถ้าผู้ใดกระหายก็ให้เขามาหาเราและดื่ม 38 ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า ผู้ที่เชื่อเรา ‘จะมีแม่น้ำที่มีน้ำแห่งชีวิตไหลจากภายในที่เป็นส่วนลึกสุดของเขา’” 39 สิ่งที่พระองค์กล่าวนี้หมายถึงพระวิญญาณซึ่งบรรดาคนที่เชื่อในพระองค์จะได้รับ ด้วยว่าพระเยซูยังไม่ได้รับพระบารมี จึงยังไม่ได้มอบพระวิญญาณให้
40 เมื่อฝูงชนได้ยินแล้ว บางคนก็พูดว่า “ผู้นี้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้นั้นอย่างแน่นอน” 41 บ้างก็พูดว่า “ผู้นี้เป็นพระคริสต์” คนอื่นๆ พูดว่า “พระคริสต์ไม่ได้มาจากแคว้นกาลิลีแน่ใช่ไหม 42 พระคัมภีร์ได้ระบุไว้แล้วมิใช่หรือว่า พระคริสต์สืบเชื้อสายมาจากดาวิดและจากหมู่บ้านเบธเลเฮมซึ่งดาวิดเคยอยู่” 43 ดังนั้นฝูงชนก็แบ่งพรรคแบ่งพวกกันเพราะเรื่องของพระเยซู 44 บางคนต้องการจะจับกุมพระองค์ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือออกไปแตะต้องพระองค์
ความไม่เชื่อของผู้นำชาวยิว
45 บรรดาเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าพระวิหารจึงมาหาพวกมหาปุโรหิตและฟาริสี เขาเหล่านั้นถามเจ้าหน้าที่ว่า “ทำไมพวกท่านจึงไม่นำตัวเขามา” 46 บรรดาเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าพระวิหารตอบว่า “ชายผู้นี้พูดไม่เหมือนใครเลย” 47 ฉะนั้นพวกฟาริสีตอบพวกเขาว่า “เจ้าถูกหลอกไปด้วยแล้วหรือ 48 มีผู้ใดในระดับปกครองหรือพวกฟาริสีที่เชื่อเขาบ้างไหม 49 แต่ฝูงชนกลุ่มนี้ไม่รู้กฎบัญญัติจึงถูกสาปแช่ง” 50 นิโคเดมัสเป็นผู้หนึ่งในพวกเขา ซึ่งเป็นคนที่มาหาพระเยซูก่อนหน้านี้และได้ถามพวกเขาว่า 51 “กฎบัญญัติของเราไม่ควรกล่าวโทษคน จนกว่าจะฟังเขาก่อนและรู้ว่าเขากระทำอะไรมิใช่หรือ” 52 เขาเหล่านั้นตอบนิโคเดมัสว่า “ท่านก็มาจากแคว้นกาลิลีด้วยหรือ จงค้นหาดูให้ดีเถิด แล้วท่านจะพบว่าไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้ใดที่มาจากแคว้นกาลิลี” 53 [จากนั้นทุกคนก็พากันกลับไปยังบ้านของตน
คำสั่งสอนของบิดา
4 ลูกๆ ของเราเอ๋ย จงฟังคำสั่งสอนของบิดา
และจงเอาใจใส่เพื่อให้ได้ความเข้าใจ
2 ด้วยว่า เราสั่งสอนเจ้าเป็นอย่างดี
ฉะนั้นอย่าละทิ้งกฎบัญญัติของเรา
3 เมื่อครั้งที่เราเป็นลูกอยู่กับบิดาของเรา
ทั้งยังอ่อนวัย และเป็นเพียงลูกคนเดียวของมารดาของเรา
4 บิดาสอนและบอกเราว่า
“จงให้ใจของเจ้ารับคำของเรา
จงรักษาคำบัญญัติของเรา และเจ้าจะมีชีวิต
5 จงรับเอาสติปัญญาไว้ จงรับเอาความเข้าใจไว้
อย่าลืมหรือหันเหไปจากคำพูดที่ออกจากปากของเรา
6 อย่าทอดทิ้งสติปัญญา และเธอจะปกป้องเจ้า
จงรักสติปัญญา และเธอจะคุ้มครองเจ้า
7 การเริ่มต้นของสติปัญญาคือ เจ้าต้องรับเอาสติปัญญาไว้
และเหนือสิ่งอื่นใด เจ้าจะต้องรับเอาความเข้าใจ
8 จงเห็นคุณค่าของสติปัญญา และเธอจะเชิดชูเจ้า
สติปัญญาจะให้เกียรติเจ้าหากว่าเจ้าโอบรับเธอไว้
9 สติปัญญาจะสวมมาลัยอันสง่างามบนศีรษะของเจ้า
และจะให้มงกุฎแห่งความงามแก่เจ้า”
10 ลูกเอ๋ย จงฟังและรับคำพูดของเราไว้
และชีวิตของเจ้าจะยืนยาว
11 เราได้แนะให้เจ้าไปในทางแห่งสติปัญญา
เราได้นำเจ้าไปในวิถีทางอันชอบธรรม
12 เวลาเจ้าเดิน ทุกก้าวที่เจ้าไปจะไม่ถูกขวางกั้น
ถ้าเจ้าวิ่ง เจ้าก็จะไม่สะดุด
13 จงยึดคำสั่งสอนไว้ อย่าปล่อยให้สูญไป
จงปกป้องไว้ เพราะคำสั่งสอนเป็นดั่งชีวิตของเจ้า
14 อย่าไปตามหนทางของคนชั่วร้าย
และอย่าถลำเข้าไปในทางของคนเลว
15 จงหลีกเลี่ยงเสีย อย่าเหยียบย่างไปในทางของพวกเขา
จงหันหลังให้ และไปตามทางของเจ้า
16 ด้วยว่า พวกเขานอนไม่หลับจนกว่าจะได้กระทำความชั่วช้า
และจะกินไม่ได้นอนไม่หลับหากว่าไม่ทำให้ใครสักคนพลาดพลั้ง
17 ด้วยว่า พวกเขากินขนมปังแห่งความชั่วร้าย
และดื่มเหล้าองุ่นแห่งความรุนแรง
18 แต่หนทางของผู้มีความชอบธรรมเป็นดั่งแสงแห่งรุ่งอรุณ
ซึ่งส่องสว่างยิ่งๆ ขึ้นกระทั่งยามสาย
19 ทางของคนชั่วร้ายมืดมิดนัก
เขาไม่รู้ว่าสะดุดอะไรบ้าง
20 ลูกเอ๋ย จงใส่ใจในคำพูดของเรา
เงี่ยหูของเจ้าฟังสิ่งที่เราพูด
21 อย่าให้พ้นไปจากสายตาของเจ้า
จงเก็บรักษาให้อยู่กลางใจของเจ้า
22 ด้วยว่าคำพูดของเราเป็นดั่งชีวิตสำหรับบรรดาผู้ที่หาพบ
และเป็นดั่งความสมบูรณ์แก่ร่างกายของเขาทุกคน
23 จงปกป้องใจของเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด
เพราะสิ่งที่ออกมาจากใจคือน้ำพุแห่งชีวิต
24 จงกำจัดคำหลอกลวงไปจากปากของเจ้า
และให้คำพูดเลวๆ อยู่ห่างจากริมฝีปากของเจ้า
25 จงให้ตาของเจ้ามองตรงไปข้างหน้า
และให้ดวงตาของเจ้าจับอยู่เบื้องหน้า
26 ทำทางเดินให้เรียบเพื่อเท้าของเจ้า[a]
และเจ้าจะถูกนำไปยังทางที่ถูกต้อง
27 อย่าหันซ้ายหรือขวา
แต่จงเบี่ยงเท้าของเจ้าไปเสียจากความชั่ว
กฎบัญญัติหรือความเชื่อ
3 ท่านชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย ใครเสกคาถาใส่ท่านไปแล้ว ท่านก็เห็นพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขนอย่างชัดเจนต่อหน้าต่อตา 2 ข้อเดียวที่ข้าพเจ้าอยากทราบจากท่านคือ ท่านรับพระวิญญาณโดยการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ หรือโดยการเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน 3 ท่านโง่เขลาเช่นนั้นเชียวหรือ ท่านเริ่มต้นโดยพระวิญญาณ แล้วท่านพยายามจะบรรลุถึงเป้าหมายโดยความสามารถของมนุษย์อย่างนั้นหรือ 4 ประสบการณ์ที่ท่านได้รับมาหลายอย่างนั้นไร้ประโยชน์หรือ แน่ละ มันต้องเป็นประโยชน์บ้าง 5 พระองค์มอบพระวิญญาณให้แก่ท่าน รวมทั้งแสดงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ท่ามกลางพวกท่าน เป็นเพราะท่านปฏิบัติตามกฎบัญญัติ หรือจากการที่ท่านเชื่อในสิ่งที่ท่านได้ยิน 6 เหมือนดังที่ “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์จึงนับว่าท่านเป็นผู้มีความชอบธรรม”[a]
7 ฉะนั้น ท่านจงเข้าใจด้วยว่า ผู้ที่เชื่อเป็นบุตรของอับราฮัม 8 และพระคัมภีร์ระบุกาลล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะให้บรรดาคนนอกพ้นผิดได้โดยความเชื่อ และได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมไว้ล่วงหน้าว่า “ประชาชาติทั้งปวงในโลกจะได้รับพรโดยผ่านเจ้า”[b] 9 ดังนั้นบรรดาผู้มีความเชื่อได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัมผู้มีความเชื่อ
10 ด้วยว่าทุกคนที่พึ่งการประพฤติตามกฎบัญญัติก็ถูกแช่งสาป เพราะมีบันทึกไว้ว่า “ทุกคนที่ไม่ทำตามทุกข้อที่เขียนไว้ในหมวดกฎบัญญัติต่อไปเรื่อยๆ ก็ถูกแช่งสาป”[c] 11 เป็นที่เห็นชัดแล้วว่า ต่อหน้าพระเจ้าแล้วไม่มีใครพ้นจากความผิดได้โดยกฎบัญญัติ เพราะว่า “ผู้มีความชอบธรรมจะมีชีวิตได้โดยความเชื่อ”[d] 12 กฎบัญญัติไม่มีรากฐานมาจากความเชื่อ แต่ตรงกันข้ามคือ “คนที่ถือตามก็จะมีชีวิตได้โดยการปฏิบัติตามนั้น”[e] 13 พระคริสต์ไถ่พวกเราจากการแช่งสาปของกฎบัญญัติ โดยการรับเป็นผู้ถูกแช่งสาปแทนเรา เพราะมีบันทึกไว้ว่า “ทุกคนที่ถูกแขวนบนต้นไม้[f]ก็ถูกแช่งสาป”[g] 14 เพื่อว่าพระพรที่ให้แก่อับราฮัมจะได้มาถึงบรรดาคนนอกโดยผ่านพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญาโดยความเชื่อ
กฎบัญญัติและพระสัญญา
15 พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างที่เป็นตามแบบของมนุษย์ แม้ว่าจะเป็นเพียงพันธสัญญาของมนุษย์ แต่เมื่อเป็นที่รับรองกันแล้ว ก็ไม่มีใครยกเลิกหรือเพิ่มเติมขึ้นอีก 16 สัญญาทั้งหลายที่พระเจ้าได้กล่าวไว้กับอับราฮัมและผู้สืบเชื้อสายของท่าน พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุว่า “และกับบรรดาผู้สืบเชื้อสาย” เหมือนกับอ้างถึงคนทั้งหลาย แต่เจาะจงถึงคนๆ เดียวคือ “และกับผู้สืบเชื้อสายของเจ้า”[h] ซึ่งผู้นั้นคือพระคริสต์ 17 ข้าพเจ้าหมายถึงว่า กฎบัญญัติที่เกิดขึ้นมาภายหลังถึง 430 ปีไม่ได้ทำให้พันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้รับรองไว้แล้วกลายเป็นโมฆะ เท่ากับว่าเป็นการยกเลิกพระสัญญาไป 18 ด้วยว่าถ้าการรับมรดกขึ้นอยู่กับกฎบัญญัติแล้ว ก็ไม่ขึ้นอยู่กับพระสัญญาอีก แต่พระเจ้าได้ให้แก่อับราฮัมทางพระสัญญา
19 แล้วกฎบัญญัติมีไว้เพื่ออะไร มีเพิ่มขึ้นมาไว้เพื่อให้เห็นว่าการกระทำใดเข้าข่ายการละเมิด จนกว่าผู้สืบเชื้อสายตามพระสัญญาที่อ้างถึงนั้นมาแล้ว บรรดาทูตสวรรค์เป็นผู้ที่ช่วยส่งกฎบัญญัติให้โดยมีคนกลาง 20 อย่างไรก็ตาม การจะใช้คนกลางได้ก็ต้องมีสองฝ่ายกระทำการ แต่พระเจ้าเป็นฝ่ายเดียว
21 ฉะนั้น กฎบัญญัติขัดแย้งกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ ไม่ใช่แน่ เพราะหากว่ากฎบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้นั้นสามารถนำมาซึ่งชีวิตแล้ว ความชอบธรรมก็จะได้มาโดยการปฏิบัติตามกฎบัญญัติอย่างแน่นอน 22 แต่พระคัมภีร์ได้ระบุไว้ว่า คนทั้งโลกถูกกักขังอยู่ภายใต้บาป ดังนั้นพระสัญญามีไว้สำหรับบรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์
23 ก่อนที่ความเชื่อจะมาถึง เราถูกกักขังอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ จนกระทั่งความเชื่อถูกเปิดเผยออกมา 24 ดังนั้นกฎบัญญัติจึงได้คอยควบคุมจนกระทั่งพระคริสต์มา เพื่อว่าเราจะพ้นผิดได้โดยความเชื่อ 25 แต่ขณะนี้ความเชื่อได้มาแล้ว เราจึงไม่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจผู้ควบคุมอีกแล้ว
บุตรทั้งหลายของพระเจ้า
26 เพราะท่านทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าได้ โดยการมีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะทุกๆ ท่านที่ได้รับบัพติศมาในพระคริสต์แล้ว ท่านก็มีคุณสมบัติของพระคริสต์อยู่ในตัวท่าน 28 ไม่ว่าชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่ว่าเป็นทาสหรืออิสระ ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ไม่แตกต่างกันเลย ด้วยว่าทุกๆ ท่านมีความเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ 29 และถ้าท่านเป็นของพระคริสต์แล้ว ท่านก็เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม คือเป็นผู้รับมรดกตามพระสัญญา
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation