M’Cheyne Bible Reading Plan
33 ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ตัวเจ้ากับประชาชนที่เจ้าพาออกมาจากอียิปต์จงไปจากที่นี่ ไปยังดินแดนที่เราสัญญาไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบว่า ‘เราจะยกให้แก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า’ 2 และเราจะให้ทูตสวรรค์ผู้หนึ่งไปล่วงหน้าเจ้า เราจะขับไล่ชาวคานาอัน ชาวอาโมร์ ชาวฮิต ชาวเปริส ชาวฮีว และชาวเยบุส 3 จงขึ้นไปยังดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง แต่เราจะไม่ขึ้นไปกับพวกเจ้า เกรงว่าเราจะกำจัดพวกเจ้าระหว่างทางเพราะว่าพวกเจ้าเป็นคนหัวรั้น”
4 เมื่อประชาชนได้ยินเช่นนั้นจึงร้องคร่ำครวญและไม่มีผู้ใดสวมเครื่องประดับเลย 5 เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกชาวอิสราเอลว่า ‘เจ้าเป็นคนหัวรั้น ถ้าเราขึ้นไปด้วยกันกับเจ้าแม้เพียงขณะเดียว เราก็คงจะกำจัดเจ้าเสีย ฉะนั้นจงถอดเครื่องประดับออกจากตัวเจ้า แล้วเราจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรกับเจ้าต่อไป’” 6 ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงถอดเครื่องประดับของตนออกจนหมดที่ภูเขาโฮเรบ
กระโจมที่นัดหมาย
7 โมเสสมักจะตั้งกระโจมไว้ที่นอกค่าย และเรียกว่า กระโจมที่นัดหมาย ทุกคนที่แสวงหาพระผู้เป็นเจ้าก็จะออกไปยังกระโจมที่นัดหมายซึ่งอยู่ที่นอกค่าย 8 เมื่อใดที่โมเสสออกไปยังกระโจมหลังนั้น ประชาชนทั้งปวงจะลุกขึ้น ทุกคนยืนอยู่ที่ทางเข้ากระโจมของตนมองตามโมเสส จนท่านเข้าไปในกระโจม 9 ครั้นโมเสสเข้าไปในกระโจม เมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลักก็ลอยเคลื่อนลงมา และหยุดอยู่ที่ทางเข้ากระโจม แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็สนทนากับโมเสส 10 เวลาประชาชนทั้งปวงเห็นเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลักอยู่ที่ประตูกระโจม พวกเขาทุกคนจะยืนขึ้น แล้วก้มลงกราบนมัสการอยู่ที่ทางเข้ากระโจม 11 พระผู้เป็นเจ้าสนทนากับโมเสสต่อหน้าเช่นเดียวกับคนหนึ่งพูดกับสหาย แล้วโมเสสกลับไปยังค่ายอีก ส่วนผู้ช่วยหนุ่มของท่านชื่อโยชูวาบุตรของนูนยังอยู่ในกระโจม
โมเสสและพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้า
12 โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์ดูเถิด พระองค์พูดกับข้าพเจ้าไว้ว่า ‘จงพาชนชาติพวกนี้ออกไป’ แต่พระองค์ยังไม่ได้ให้ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์จะให้ใครไปกับข้าพเจ้า กระนั้นพระองค์ยังกล่าวอีกว่า ‘เรารู้จักเจ้าดีแม้แต่ชื่อของเจ้า และเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของเราด้วย’ 13 ฉะนั้นบัดนี้หากว่าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ โปรดให้ข้าพเจ้าทราบความประสงค์ของพระองค์เถิด ข้าพเจ้าจะได้รู้จักพระองค์และเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ต่อไป ขอพระองค์ระลึกด้วยว่าประชาชาตินี้เป็นชนชาติของพระองค์โดยแท้จริง” 14 พระองค์กล่าวว่า “เราจะไปกับเจ้าเอง และเราจะให้เจ้าได้หยุดพัก” 15 ท่านตอบว่า “ถ้าพระองค์ไม่ไปกับข้าพเจ้า ก็ขออย่าให้พวกข้าพเจ้าต้องออกไปจากที่นี่เลย 16 จะมีใครทราบได้อย่างไรว่าข้าพเจ้าและชนชาติของพระองค์เป็นที่โปรดปรานของพระองค์ นอกจากว่าพระองค์จะไปกับพวกเรา ข้าพเจ้าและชนชาติของพระองค์แตกต่างกับชนชาติอื่นบนพื้นโลกก็เนื่องจากพระองค์ไปกับพวกเรามิใช่หรือ”
17 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “เราจะทำสิ่งที่เจ้าขอมานี้ เพราะเจ้าเป็นที่โปรดปรานของเราและเรารู้จักเจ้าดีแม้แต่ชื่อของเจ้า” 18 โมเสสตอบว่า “ขอพระองค์โปรดให้ข้าพเจ้าเห็นพระบารมีของพระองค์เถิด” 19 พระองค์กล่าวว่า “เราจะทำให้คุณความดีของเราทั้งหมดปรากฏต่อหน้าเจ้า และจะประกาศในนามพระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าเจ้า เรามีความเมตตาให้กับผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น และเรามีความสงสารให้กับผู้ใด เราก็จะสงสารผู้นั้น” 20 พระองค์กล่าวว่า “แต่เจ้าจะมองไม่เห็นหน้าเรา เพราะไม่มีผู้ใดที่เห็นเราแล้วจะมีชีวิตอยู่รอด” 21 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ดูเถิด มีที่ที่เจ้าจะยืนอยู่ใกล้เราได้คือบนหินนั้น 22 และขณะที่พระบารมีของเรากำลังผ่านไป เราจะให้เจ้าอยู่ที่ซอกหิน เราจะบังตัวเจ้าด้วยมือของเราจนกว่าเราจะผ่านไป 23 แล้วเราจะเอามือของเราออก เจ้าก็จะเห็นหลังเรา แต่จะเห็นหน้าเราไม่ได้”
น้ำมันหอมชโลมเท้า
12 ก่อนเทศกาลปัสกาได้ 6 วัน พระเยซูได้มาที่หมู่บ้านเบธานีซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัส ผู้ที่พระเยซูได้ให้ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 2 มีคนจัดอาหารเย็นให้พระองค์ที่นั่น และลาซารัสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมรับประทานกับพระองค์ที่โต๊ะ ขณะที่มาร์ธารับใช้อยู่ด้วย 3 มารีย์เอาน้ำมันหอมนาราดาบริสุทธิ์ราคาแพงมาก หนักประมาณครึ่งกิโลกรัมมาชโลมเท้าของพระเยซู และเช็ดเท้าของพระองค์ด้วยผมของเธอ ทำให้ทั่วบ้านฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันหอม 4 แต่คนหนึ่งในบรรดาสาวกของพระองค์ชื่อยูดาสอิสคาริโอท ซึ่งเป็นคนที่ตั้งใจจะทรยศพระองค์พูดขึ้นว่า 5 “ทำไมไม่เอาน้ำหอมนี้ไปขาย จะได้ราคา 300 เหรียญเดนาริอัน และเอาเงินไปแจกแก่ผู้ยากไร้เล่า” 6 ที่เขาพูดขึ้นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเขาเอาใจใส่ผู้ยากไร้ แต่เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนหัวขโมย และเมื่อมีหน้าที่ดูแลรักษากล่องเก็บเงิน เขาจึงเคยยักยอกเงินที่เก็บสะสมไว้ 7 ดังนั้นพระเยซูจึงกล่าวว่า “ปล่อยนางเถิด นางเก็บน้ำหอมไว้สำหรับวันฝังศพของเรา 8 พวกเจ้ามีผู้ยากไร้อยู่ด้วยเสมอ แต่เราไม่ได้อยู่กับพวกเจ้าตลอดไป”
9 ฝูงชนชาวยิวจำนวนมากทราบว่าพระองค์อยู่ที่นั่นจึงได้พากันมา มิใช่เพียงเพื่อพบพระเยซูเท่านั้น แต่ด้วยความอยากเห็นลาซารัสที่พระองค์ให้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายด้วย 10 และพวกมหาปุโรหิตเองก็หมายจะฆ่าลาซารัสเช่นกัน 11 เพราะลาซารัสนี่เองที่ทำให้ชาวยิวหลายคนหันเหไปเชื่อในพระเยซู
พระเยซูเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม
12 วันรุ่งขึ้นเมื่อมหาชนที่มาร่วมงานเทศกาลได้ยินว่า พระเยซูกำลังจะมายังเมืองเยรูซาเล็ม 13 จึงถือกิ่งอินทผลัมออกไปต้อนรับพระองค์แล้วก็เริ่มร้องว่า “โฮซันนา[a] ขอพระองค์ผู้มาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นสุข ขอกษัตริย์ของอิสราเอลจงเป็นสุขเถิด”[b] 14 พระเยซูจึงนั่งบนลูกลาที่ได้มา ตามที่มีบันทึกไว้ว่า
15 “ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย
ดูเถิด กษัตริย์ของเจ้ากำลังมา
นั่งบนหลังลูกลา”[c]
16 ตอนแรก บรรดาสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อพระเยซูได้รับพระบารมีแล้ว พวกเขาจึงจำได้ว่าสิ่งที่เขียนไว้นั้น ระบุถึงพระองค์และสิ่งที่ประชาชนได้กระทำต่อพระองค์ 17 พวกคนที่อยู่กับพระองค์ในเวลาที่พระองค์เรียกลาซารัสออกมาจากถ้ำเก็บศพ และให้เขาฟื้นคืนชีวิตจากความตายนั้น ก็กำลังยืนยันถึงเรื่องราวของพระองค์ 18 ด้วยเหตุนี้ฝูงชนจึงพากันไปหาพระองค์ เพราะเขาได้ยินกันว่าพระองค์ได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์นั้น 19 พวกฟาริสีจึงพูดโต้ตอบกันว่า “ท่านเห็นไหมว่าท่านทำอะไรไม่ได้เลย ดูสิ ทั้งโลกได้ติดตามเขาไปแล้ว”
พระเยซูแจ้งมรณกาลของพระองค์ล่วงหน้า
20 ในบรรดาผู้คนที่ขึ้นไปนมัสการในงานเทศกาลนั้นมีชาวกรีกร่วมไปด้วย 21 พวกเขาได้ไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี และพูดกับเขาว่า “นายท่าน พวกเราอยากจะเห็นพระเยซู” 22 ฟีลิปไปบอกอันดรูว์ แล้วทั้งฟีลิปกับอันดรูว์ก็ไปบอกพระเยซู 23 พระเยซูตอบเขาทั้งสองว่า “ถึงกำหนดเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระบารมี 24 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ถ้าเมล็ดข้าวสาลีไม่ตกลงบนพื้นดินและตายไป เมล็ดนั้นก็จะอยู่เพียงเมล็ดเดียว แต่ถ้าเมล็ดตายไปก็จะเกิดผลงอกงาม 25 ผู้ที่รักชีวิตของตนจะสูญเสียชีวิตนั้นไป และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้จะรักษาชีวิตไว้ได้ชั่วนิรันดร์ 26 ถ้าผู้ใดรับใช้เราก็ให้ติดตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะให้เกียรติแก่ผู้นั้น
27 ขณะนี้จิตใจของเราเป็นทุกข์ จะให้เราพูดอย่างไรดี จะให้พูดว่า ‘พระบิดา โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากช่วงเวลานี้เถิด’ อย่างนั้นหรือ ก็ไม่ได้ เป็นเพราะเหตุนี้เราจึงได้มาเผชิญช่วงเวลานี้อยู่ 28 พระบิดา ขอพระนามของพระองค์ได้รับพระบารมีเถิด” ในขณะนั้นได้มีเสียงจากสวรรค์ว่า “เราทั้งได้รับบารมีแล้ว และจะได้รับอีก” 29 บางคนในฝูงชนที่ยืนฟังอยู่พูดกันว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง บ้างก็ว่าทูตสวรรค์ได้พูดกับพระองค์ 30 พระเยซูตอบว่า “เสียงนี้ไม่ได้เปล่งออกมาเพื่อเรา แต่เพื่อพวกท่าน 31 บัดนี้การกล่าวโทษอยู่กับโลกนี้ และบัดนี้ผู้ครองโลก[d]จะถูกโยนออกไปแล้ว 32 เมื่อเราถูกชูขึ้นเหนือโลก เราจะนำให้ทุกคนมาหาเรา” 33 พระองค์กล่าวเช่นนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าพระองค์จะต้องสิ้นชีวิตอย่างไร 34 ฝูงชนจึงตอบว่า “เราได้ยินจากกฎบัญญัติว่าพระคริสต์จะดำรงอยู่ตลอดกาล และท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกชูขึ้น’ บุตรมนุษย์คือใคร” 35 พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ในเมื่อความสว่างยังอยู่กับท่านยาวนานขึ้นอีกชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง จงเดินขณะที่ยังมีความสว่างอยู่ เพื่อว่าความมืดจะได้เอาชนะท่านไม่ได้ ผู้ที่เดินอยู่ในความมืดย่อมไม่รู้ว่าจะไปทางไหน 36 ขณะที่มีความสว่าง ก็จงเชื่อในความสว่าง เพื่อว่าท่านจะได้เป็นพวกบุตรของความสว่าง” หลังจากที่พระเยซูกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้แล้วก็จากไปเพื่อหลบซ่อนให้พ้นจากพวกเขา
ความไม่เชื่อของชาวยิว
37 ถึงแม้ว่าพระองค์ได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์หลายสิ่งต่อหน้าพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อพระองค์ 38 ซึ่งเป็นไปตามคำที่อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ากล่าวไว้คือ
“พระผู้เป็นเจ้า ใครบ้างที่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากพวกเราแล้ว
และอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏแจ้งแก่ผู้ใด”[e]
39 ด้วยเหตุนี้พวกเขาไม่อาจจะเชื่อในสิ่งเหล่านี้ เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้อีกว่า
40 “พระองค์ได้ทำให้พวกเขาตาบอด
และทำใจของเขาให้แข็งกระด้าง
พวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นด้วยตา
หรือเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมา
แล้วเราจะรักษาเขาให้หายขาด”[f]
41 อิสยาห์พูดถึงพระองค์และกล่าวอ้างถึงสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะว่าได้เห็นพระบารมีของพระองค์แล้ว
42 แม้จะมีผู้คนจำนวนมากในบรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองที่เชื่อในพระองค์ แต่เป็นเพราะพวกฟาริสี พวกเขาจึงไม่กล้ายอมรับกัน ด้วยเกรงว่าจะถูกขับไล่ออกจากศาลาที่ประชุม ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย 43 ผู้คนเหล่านั้นยังปรารถนาที่จะได้รับการยกย่องจากคนมากกว่าพระเจ้า
44 แล้วพระเยซูก็เปล่งเสียงดังว่า “ผู้ที่เชื่อเราหาได้เชื่อในเราเท่านั้นไม่ แต่เชื่อในพระองค์ผู้ส่งเรามาด้วย 45 และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ส่งเรามา 46 เราได้มายังโลกนี้ในฐานะที่เป็นความสว่าง เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อเราจะได้ไม่อยู่ในความมืด 47 ถ้าผู้ใดได้ยินคำพูดของเราและไม่กระทำตาม เราก็จะไม่กล่าวโทษผู้นั้น เพราะเราไม่ได้มาเพื่อจะกล่าวโทษโลก แต่มาเพื่อช่วยโลกให้รอดพ้น 48 มีการกล่าวโทษสำหรับคนที่ไม่ยอมรับเราและคำของเราอยู่แล้ว คำที่เราพูดไว้จะกล่าวโทษเขาในวันสุดท้าย 49 เราไม่ได้พูดตามใจของเราเอง แต่พระบิดาผู้ส่งเรามาได้สั่งว่าเราจะพูดอะไรและพูดอย่างไร 50 เรารู้ว่าคำสั่งของพระองค์เป็นชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ฉะนั้นอะไรก็ตามที่เราพูดเป็นสิ่งที่พระบิดาได้กล่าวกับเรา”
ความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าคือการเริ่มต้นของสติปัญญา
9 สติปัญญาได้สร้างบ้านของเธอเองแล้ว
เธอได้สกัดหลักค้ำทั้งเจ็ดให้ตั้งตระหง่าน
2 เธอได้เตรียมฉลองโดยฆ่าสัตว์และผสมเหล้าองุ่น
เธอจัดโต๊ะไว้ด้วย
3 เธอได้ส่งสาวใช้ออกไป เธอร้องเรียก
จากยอดสูงสุดในตัวเมืองว่า
4 “ให้บรรดาคนเขลาหันมาทางนี้”
เธอพูดกับคนสิ้นคิดว่า
5 “มาเถิด มารับประทานอาหารของเรา
และดื่มเหล้าองุ่นที่เราผสมไว้แล้ว
6 จงเลิกจากวิถีทางอันเขลา แล้วจงมีชีวิต
และดำเนินต่อไปในการหยั่งรู้”
7 ผู้ตักเตือนคนเย้ยหยันจะได้รับการดูถูกกลับมา
และผู้ห้ามปรามคนชั่วร้ายจะได้รับการสบประมาท
8 อย่าตักเตือนว่ากล่าวคนเย้ยหยัน เพราะเขาจะเกลียดเจ้า
จงตักเตือนว่ากล่าวคนที่มีสติปัญญา แล้วเขาจะรักเจ้า
9 จงให้คำแนะนำแก่ผู้มีสติปัญญา แล้วเขาก็จะเป็นผู้มีสติปัญญายิ่งขึ้น
จงสอนผู้มีความชอบธรรม แล้วเขาก็จะเพิ่มพูนการเรียนรู้
10 ความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าคือจุดเริ่มต้นของสติปัญญา
และการเรียนรู้วิถีขององค์ผู้บริสุทธิ์คือการหยั่งรู้
11 ด้วยว่า จำนวนวันของเจ้าจะทวีขึ้นได้ก็เพราะเรา
และจำนวนปีแห่งชีวิตจะเพิ่มพูนขึ้นแก่เจ้า
12 ถ้าเจ้ามีสติปัญญาดี เจ้าก็มีสติปัญญาเพื่อตัวของเจ้าเอง
ถ้าเจ้าเย้ยหยัน เจ้าก็จะต้องทนทุกข์เอง
13 หญิงโง่ส่งเสียงดัง
เสเพลและไม่รู้สึกละอาย
14 นางนั่งอยู่ที่ทางเข้าบ้านของนาง
บนที่นั่งจากยอดสูงสุดในตัวเมือง
15 นางร้องเรียกบรรดาผู้ที่กำลังผ่านมา
และกำลังไปตามทางของเขาว่า
16 “ให้พวกคนเขลาหันมาทางนี้”
และนางพูดกับคนสิ้นคิดว่า
17 “น้ำที่ขโมยมาได้นั้นหวาน
และอาหารที่กินในที่ลับก็อร่อย”
18 แต่เขาไม่รู้ว่าบรรดาคนตายอยู่ที่นั่น
และผู้ที่เป็นแขกของนางตกอยู่ในแดนคนตาย
มีชีวิตได้ด้วยพระคุณ
2 เมื่อก่อน ท่านตายแล้วเพราะการล่วงละเมิดและการกระทำบาปทั้งปวง 2 ดังที่ท่านเคยปฏิบัติมาแต่ก่อน ในยามที่ยังใช้ชีวิตทางโลก และดำเนินตามวิถีผู้อยู่ในระดับปกครองแห่งอำนาจในย่านอากาศ[a] และเป็นวิญญาณที่กำลังจัดการพวกบุตรที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า 3 แต่ก่อนพวกเราเคยดำเนินชีวิตในกิเลสฝ่ายเนื้อหนัง[b]เหมือนกับคนเหล่านั้น คือทำตามความต้องการของเนื้อหนังและความคิดเห็น และตามธรรมชาติแล้วเราก็เป็นพวกที่ถูกลงโทษเหมือนกับคนอื่นๆ นั่นแหละ 4 แต่เพราะพระเจ้าเป็นผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อพวกเรา 5 ได้โปรดให้เรามีชีวิตด้วยกันกับพระคริสต์ แม้เราตายแล้วเพราะการล่วงละเมิด พวกท่านมีชีวิตรอดพ้นได้ด้วยพระคุณ 6 และให้เราฟื้นคืนชีวิตในพระองค์ และให้เรานั่งกับพระองค์ในอาณาเขตสวรรค์ เพราะเราผูกพันในพระเยซูคริสต์ 7 เพื่อว่าในยุคต่อๆ ไปพระองค์จะได้แสดงพระคุณอันยิ่งใหญ่ซึ่งเกินที่จะเปรียบเทียบได้ จากการที่พระองค์กรุณาต่อเราในพระเยซูคริสต์ 8 ด้วยว่าท่านได้รับความรอดพ้นโดยพระคุณอันเกิดจากความเชื่อ ไม่ได้มาจากการปฏิบัติตนของพวกท่านเอง แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้ 9 ไม่ใช่ผลที่ได้จากการปฏิบัติตนซึ่งไม่มีใครจะเอามาอวดอ้างได้ 10 เพราะเราเป็นผลงานของพระองค์ซึ่งสร้างขึ้นให้ผูกพันในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ปฏิบัติสิ่งที่ดีงามอันเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ
เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์
11 ฉะนั้น จงจำไว้ว่าแต่ก่อนพวกท่านเป็นบรรดาผู้ที่เป็นคนนอกฝ่ายกาย และพวกที่ถือว่าตนเป็น “พวกที่เข้าสุหนัต” ได้เรียกท่านว่า “พวกที่ไม่เข้าสุหนัต” โดยที่พวกเขาเข้าสุหนัตด้วยฝีมือมนุษย์ 12 จงจำไว้ว่าในเวลานั้นพวกท่านแยกไปจากพระคริสต์ ไม่มีส่วนร่วมกับชาติอิสราเอล และเป็นคนแปลกถิ่นต่อพันธสัญญาที่พระองค์ได้สัญญาไว้ ท่านอยู่ในโลกโดยไม่มีความหวัง โดยไม่มีพระเจ้า 13 ครั้งหนึ่งท่านเคยอยู่ห่างไกล แต่บัดนี้ด้วยความผูกพันในพระเยซูคริสต์ โลหิตของพระคริสต์ได้นำท่านเข้ามาใกล้ 14 ด้วยว่าพระองค์เป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ที่ทำให้เราทั้งสองฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวกัน และทำลายกำแพงกั้นแห่งความเป็นปฏิปักษ์ โดยการสละกายของพระองค์ 15 พระองค์ทำให้กฎแห่งพระบัญญัติและข้อบังคับต่างๆ เป็นโมฆะ เพื่อให้คนจากสองฝ่ายถูกผสานเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เป็นการทำให้เกิดสันติสุข 16 และเพื่อทำให้ทั้งสองฝ่ายคืนดีกับพระเจ้าในลักษณะของความเป็นหนึ่งโดยผ่านไม้กางเขน ซึ่งเป็นการทำลายความเป็นปฏิปักษ์ 17 และพระองค์ได้มาประกาศสันติสุขแก่พวกท่านทั้งที่อยู่ห่างไกลและแก่บรรดาผู้อยู่ใกล้ 18 โดยทางพระองค์ทำให้เราทั้งสองฝ่ายมีโอกาสเข้าถึงพระบิดาได้โดยพระวิญญาณองค์เดียว 19 ดังนั้นพวกท่านไม่ใช่คนแปลกถิ่นหรือชาวต่างแดน แต่ท่านเป็นพี่น้องร่วมชาติด้วยกันกับบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า และเป็นคนในครอบครัวของพระเจ้า 20 ได้รับการเสริมสร้างขึ้นบนฐานรากของพวกอัครทูตและบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก 21 พระองค์เป็นผู้ทำให้ทั้งเรือนเชื่อมต่อกันและขยายต่อเติมขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์แด่พระผู้เป็นเจ้า 22 พวกท่านก็กำลังถูกสร้างขึ้นด้วยกันในพระองค์ ให้เป็นที่สถิตของพระวิญญาณของพระเจ้าเช่นกัน
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation