M’Cheyne Bible Reading Plan
ที่ภูเขาซีนาย
19 หลังจากชาวอิสราเอลออกเดินทางจากแผ่นดินอียิปต์ไปแล้ว เมื่อถึงวันแรกของเดือนที่สาม พวกเขาก็มาถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย 2 เมื่อชาวอิสราเอลเดินทางออกจากเรฟีดิมมาจนถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย พวกเขาก็ได้ตั้งค่ายอยู่ที่เชิงเขาในถิ่นทุรกันดาร 3 โมเสสขึ้นไปพบกับพระเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าก็เปล่งเสียงจากภูเขาเรียกท่าน และกล่าวว่า “จงบอกครอบครัวของยาโคบ และจงบอกชาวอิสราเอลว่า 4 เจ้าได้เห็นสิ่งที่เรากระทำต่อชาวอียิปต์ และเราประคับประคองเจ้าไว้ดั่งอยู่บนปีกนกอินทรีได้อย่างไร จนกระทั่งนำเจ้าออกมาอยู่กับเราที่นี่ 5 บัดนี้ถ้าพวกเจ้าเชื่อฟังเสียงเราและรักษาพันธสัญญาของเรา เจ้าก็จะเป็นสมบัติอันมีค่าของเราท่ามกลางชนชาติทั้งปวง ด้วยเหตุว่าโลกทั้งโลกเป็นของเรา 6 และพวกเจ้าจะเป็นอาณาจักรแห่งปุโรหิตทั้งหลาย และเป็นประชาชาติที่บริสุทธิ์ นี่คือสิ่งที่เจ้าจะต้องพูดกับชาวอิสราเอล”
7 ดังนั้น โมเสสจึงเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของประชาชน และบอกเรื่องที่พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งท่านไว้ 8 แล้วประชาชนต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวว่า “เราจะทำทุกสิ่งตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้” โมเสสจึงรายงานกับพระผู้เป็นเจ้าตามคำพูดของประชาชน 9 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะมาพบกับเจ้าท่ามกลางเมฆหนาทึบ เพื่อให้ประชาชนได้ยินเสียงที่เราพูดกับเจ้า ตั้งแต่นี้ไปเขาจะเชื่อเจ้าด้วย”
โมเสสจึงบอกประชาชนตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ 10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกให้ประชาชนชำระตัวให้บริสุทธิ์ทั้งวันนี้และพรุ่งนี้ และพวกเขาต้องซักเสื้อผ้า 11 จงเตรียมให้พร้อมภายในวันที่สาม เพราะวันที่สามพระผู้เป็นเจ้าจะลงมาที่ภูเขาซีนายต่อหน้าประชาชนทั้งปวง 12 เจ้าต้องกำหนดเขตแก่ประชาชนโดยรอบบริเวณและบอกว่า ‘อย่าขึ้นไปบนภูเขาหรือแม้แต่จะแตะต้องเชิงเขา ใครที่แตะต้องภูเขาจะต้องตาย 13 เขาจะถูกหินขว้างจนตายหรือไม่ก็ถูกยิงด้วยธนู และก็อย่าให้ใครถูกต้องตัวคนนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์ที่แตะต้องเชิงเขา ก็อย่าให้มีชีวิตอยู่เลย’ แต่เมื่อได้ยินเสียงแตรงอน[a]เป่ายาวๆ ก็ให้พวกเขาขึ้นมาบนภูเขา” 14 โมเสสจึงลงจากภูเขาไปหาประชาชน บอกให้พวกเขาชำระตัวให้บริสุทธิ์และซักเสื้อผ้าด้วย 15 ท่านพูดกับประชาชนว่า “จงเตรียมตัวให้พร้อมในวันที่สาม จงอยู่ห่างผู้หญิงเข้าไว้”
16 เช้าของวันที่สามก็เกิดฟ้าแลบฟ้าร้อง มีเมฆหนาก้อนหนึ่งปกคลุมอยู่บริเวณภูเขา เสียงแตรงอนดังกึกก้องจนทำให้ประชาชนทั้งปวงที่อยู่ในค่ายหวาดกลัว 17 โมเสสพาประชาชนออกจากค่ายเพื่อไปพบกับพระเจ้า และพวกเขาก็ยืนกันอยู่ที่เชิงเขา 18 ภูเขาซีนายทั้งลูกมืดครึ้มด้วยหมอกควัน เพราะพระผู้เป็นเจ้าลงมาอยู่ที่นั่นในรูปลักษณ์ของเปลวไฟ ควันพลุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาผิง และภูเขาทั้งลูกก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง 19 ขณะที่เสียงแตรงอนดังขึ้นเรื่อยๆ โมเสสพูดและพระเจ้าตอบท่านเป็นเสียงฟ้าร้อง 20 พระผู้เป็นเจ้าลงมายังภูเขาซีนาย ณ ที่ยอดเขา และพระผู้เป็นเจ้าเรียกโมเสสขึ้นไปที่ยอดภูเขา โมเสสก็ขึ้นไป
21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ลงไปเตือนประชาชนว่าอย่าล้ำเขตเข้ามาจ้องดูพระผู้เป็นเจ้า มิฉะนั้นพวกเขาจะพากันตายหลายคน 22 แล้วให้บรรดาปุโรหิตที่เข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้าชำระตัวให้บริสุทธิ์ด้วย มิฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษพวกเขา” 23 โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “ประชาชนจะขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้ เพราะพระองค์กำชับไว้แล้วว่า ‘จงกำหนดเขตรอบภูเขาให้เป็นที่บริสุทธิ์’” 24 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ลงไปเถิด แล้วพาอาโรนขึ้นมากับเจ้าด้วย แต่อย่าให้บรรดาปุโรหิตและประชาชนล้ำเขตขึ้นมาถึงพระผู้เป็นเจ้า มิฉะนั้นเราจะลงโทษพวกเขา” 25 ดังนั้น โมเสสจึงลงไปบอกประชาชน
ยูดาสผู้ทรยศ
22 เมื่อเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ[a]ซึ่งเรียกว่าเทศกาลปัสกาใกล้จะถึง 2 บรรดามหาปุโรหิตและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติกำลังหาทางกำจัดพระเยซูอย่างลับๆ เพราะกลัวผู้คน
3 ซาตานก็เข้าไปสิงอยู่ในยูดาสอิสคาริโอทผู้เป็นหนึ่งในอัครทูตทั้งสิบสอง 4 ยูดาสไปหาพวกมหาปุโรหิตและพวกนายทหารประจำพระวิหาร เพื่อปรึกษาดูว่าเขาจะมอบพระองค์ให้แก่พวกเขาได้อย่างไร 5 เขาทั้งหลายยินดีและตกลงให้เงินแก่เขา 6 ยูดาสยินยอม และรอโอกาสที่จะทรยศแล้วมอบพระเยซูให้แก่พวกเขาเมื่อไม่มีผู้คน
วันปัสกากับสาวก
7 เมื่อถึงเทศกาลขนมปังไร้เชื้อซึ่งมีการสังเวยลูกแกะปัสกา 8 พระเยซูให้เปโตรและยอห์นไปโดยกล่าวว่า “จงไปเตรียมอาหารวันปัสกาให้พวกเรารับประทานกันเถิด” 9 เขาทั้งสองถามว่า “พระองค์ประสงค์จะให้พวกเราเตรียมไว้ที่ไหน” 10 พระองค์ตอบว่า “ขณะที่เจ้าเข้าไปในตัวเมือง จะมีชายคนหนึ่งแบกโถน้ำมาพบเจ้า ถ้าเขาเข้าไปบ้านใดก็จงตามไปบ้านนั้น 11 จงพูดกับเจ้าของบ้านว่า ‘อาจารย์ถามว่า ห้องรับรองที่เราจะรับประทานอาหารวันปัสกากับเหล่าสาวกของเราอยู่ที่ไหน’ 12 เขาจะชี้ให้เจ้าเห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว จงเตรียมไว้ที่นั่น” 13 เขาทั้งสองก็ไปและพบตามสิ่งที่พระองค์ได้บอกพวกเขาไว้ เขาจึงเตรียมอาหารวันปัสกากัน
14 เมื่อถึงเวลา พระเยซูและอัครทูตของพระองค์ก็เอนกายลงรับประทาน 15 และพระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะรับประทานอาหารวันปัสกาครั้งนี้กับเจ้า ก่อนที่เราจะทนทุกข์ทรมาน 16 เราขอบอกเจ้าว่า เราจะไม่รับประทานปัสกาอีกจนกว่าความหมายของปัสกาจะบรรลุผลในอาณาจักรของพระเจ้า” 17 พระองค์หยิบถ้วย กล่าวขอบคุณพระเจ้าและกล่าวต่อไปว่า “จงเอาถ้วยนี้ไปแบ่งกันดื่ม 18 เราขอบอกเจ้าว่า เราจะไม่ดื่มน้ำจากผลของเถาองุ่นอีกจนกว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึง” 19 ครั้นพระองค์หยิบขนมปังและกล่าวขอบคุณพระเจ้าแล้ว ก็บิเป็นชิ้น ยื่นให้แก่เหล่าสาวก พลางกล่าวว่า “นี่เป็นกายของเราซึ่งมอบไว้เพื่อพวกเจ้า จงปฏิบัติเช่นนี้เพื่อระลึกถึงเรา” 20 ในทำนองเดียวกัน หลังจากอาหารเย็น พระองค์หยิบถ้วยพลางกล่าวว่า “ถ้วยนี้เป็นพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเราซึ่งได้หลั่งเพื่อพวกเจ้า 21 แต่ดูเถิด มือของคนที่กำลังจะทรยศเราอยู่ด้วยกันกับมือของเราบนโต๊ะ 22 เพราะว่าบุตรมนุษย์ก้าวไปสู่ทางที่ได้กำหนดไว้แล้ว วิบัติจะเกิดกับคนที่ทรยศท่าน” 23 เขาทั้งหลายก็เริ่มถามกันและกันว่าคนใดในพวกเขาเป็นคนที่จะกระทำการนี้
24 เหล่าสาวกได้ถกเถียงกันว่าคนใดในพวกเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด 25 พระเยซูกล่าวว่า “เหล่ากษัตริย์ของบรรดาคนนอกมีสิทธิอำนาจในการปกครองเหนือผู้คน และพวกที่แสดงอำนาจเรียกตนว่าเป็นผู้อุปถัมภ์ 26 แต่ว่าพวกเจ้าไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพวกเจ้าควรเป็นอย่างผู้ที่เยาว์ที่สุด และเป็นผู้ที่ปกครองที่มีน้ำใจรับใช้ 27 ใครจะเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่ากัน ผู้ที่เอนกายลงรับประทานหรือผู้ที่รับใช้ มิใช่ผู้ที่เอนกายลงรับประทานหรือ แต่ว่าเราเป็นอย่างผู้รับใช้ในท่ามกลางพวกเจ้า
28 เจ้าเป็นพวกที่ยืนเคียงข้างเราเวลาที่เราเผชิญความลำบาก 29 เรามอบหมายอาณาจักรให้แก่เจ้าดังที่พระบิดาของเราได้มอบหมายให้แก่เรา 30 เพื่อว่าเจ้าจะได้กินและดื่มที่โต๊ะในอาณาจักรของเรา และนั่งบนบัลลังก์ตัดสินความ 12 เผ่าของอิสราเอล
31 ซีโมน ซีโมนเอ๋ย ซาตานได้เรียกร้องที่จะฝัดร่อนพวกเจ้าเหมือนฝัดข้าวสาลี 32 แต่เราได้อธิษฐานให้เจ้า เพื่อว่าความเชื่อจะได้คงอยู่ และเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ก็จงให้กำลังใจพวกพี่น้องเถิด” 33 เปโตรตอบว่า “พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าพร้อมที่จะไปทุกแห่งกับพระองค์ไม่ว่าที่คุมขังหรือความตายก็ตาม” 34 พระเยซูตอบว่า “เปโตร เราขอบอกเจ้าว่า ก่อนไก่จะขันในวันนี้ เจ้าจะปฏิเสธ 3 ครั้งว่าเจ้าไม่รู้จักเรา”
35 แล้วพระเยซูถามพวกเขาว่า “เวลาที่เราส่งเจ้าออกไปโดยไม่มีถุงเงิน ย่าม หรือรองเท้า เจ้าขัดสนอะไรบ้างหรือเปล่า” เขาตอบว่า “เปล่าเลย” 36 พระองค์กล่าวกับสาวกว่า “แต่เวลานี้ถ้าเจ้ามีถุงเงินก็เอาไปด้วย ย่ามก็เช่นกัน และถ้าเจ้าไม่มีดาบก็จงขายเสื้อตัวนอกเพื่อเอาไปซื้อดาบ 37 มีบันทึกไว้ว่า ‘พระองค์ถูกนับอยู่ในพวกคนล่วงละเมิด’[b] และเราขอบอกเจ้าว่าสิ่งที่กล่าวไว้จะต้องเป็นไปตามนั้น ใช่แล้ว สิ่งใดที่ได้มีบันทึกไว้เกี่ยวกับเรากำลังจะสำเร็จลุล่วงอย่างบริบูรณ์” 38 พวกสาวกพูดว่า “พระองค์ท่าน นี่แน่ะมีดาบ 2 เล่ม” พระองค์ตอบว่า “นั่นก็พอแล้ว”
พระเยซูอธิษฐานที่ภูเขามะกอก
39 พระเยซูไปยังภูเขามะกอกตามเคย เหล่าสาวกก็ติดตามพระองค์ไปด้วย 40 เมื่อถึงที่นั่นแล้ว พระองค์กล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “จงอธิษฐานขอว่า เจ้าจะพ้นจากสิ่งยั่วยุ” 41 พระองค์เดินเลยพวกเขาไปได้ไกลประมาณขว้างก้อนหินตก และคุกเข่าลงอธิษฐาน 42 “พระบิดา ถ้าพระองค์ประสงค์ โปรดเอาถ้วยนี้ไปจากข้าพเจ้าเถิด ถึงกระนั้น ขออย่าให้เป็นไปตามความประสงค์ของข้าพเจ้า แต่ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของพระองค์เถิด” 43 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งจากสวรรค์มาปรากฏแก่พระองค์ และช่วยให้มีกำลังใจดีขึ้น 44 พระเยซูปวดร้าวทุกข์ใจยิ่งนัก พระองค์จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานมากยิ่งขึ้น เหงื่อของพระองค์เป็นดุจโลหิตหยาดหยดลงดิน 45 เมื่อพระเยซูลุกขึ้นหลังจากที่ได้อธิษฐาน พระองค์ก็เดินมาหาเหล่าสาวก และพบว่าพวกเขากำลังนอนหลับกันด้วยความเศร้า 46 พระองค์ถามว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงนอนหลับกัน ลุกขึ้นและอธิษฐานเถิดว่าพวกเจ้าจะไม่ตกอยู่ในสิ่งยั่วยุ”
พระเยซูถูกจับกุม
47 พระองค์ยังกล่าวไม่ทันขาดคำ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมา และยูดาสหนึ่งในสาวกทั้งสิบสองก็กำลังเดินนำหน้ามา เขาเข้ามาใกล้เพื่อจูบแก้มพระองค์ 48 พระเยซูถามเขาว่า “ยูดาสเอ๋ย เจ้ากำลังทรยศบุตรมนุษย์ด้วยการจูบแก้มหรือ” 49 เมื่อพวกที่อยู่ด้วยกันกับพระเยซูเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นจึงพูดขึ้นว่า “พระองค์ท่าน จะให้พวกเราเอาดาบฟันพวกเขาดีไหม” 50 คนหนึ่งในพวกเขาก็ฟันหูขวาของผู้รับใช้หัวหน้ามหาปุโรหิตขาด 51 แต่พระเยซูตอบว่า “พอเสียทีเถิด” พระองค์แตะหูของชายคนนั้น แล้วรักษาให้หาย 52 แล้วพระเยซูกล่าวกับพวกมหาปุโรหิต นายทหารประจำพระวิหาร และพวกผู้ใหญ่ ซึ่งมาจับกุมพระองค์ว่า “พวกท่านเอาดาบและไม้ตะบองแล้วพากันมาจับกุมเรา เหมือนกับว่าเราเป็นโจรอย่างนั้นหรือ 53 ทุกวันเราเคยอยู่กับท่านในบริเวณพระวิหาร ท่านก็ไม่ได้จับกุมเรา แต่นี่เป็นเวลาของท่านเมื่อความมืดครอบครอง”
เปโตรปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระเยซู
54 เขาทั้งหลายจับกุมพระองค์เพื่อนำไปยังบ้านของหัวหน้ามหาปุโรหิต เปโตรก็ได้ติดตามไปอยู่ห่างๆ 55 แต่เมื่อเขาทั้งหลายได้ก่อไฟที่กลางลานบ้านและนั่งลงด้วยกันแล้ว เปโตรก็นั่งกับพวกเขา 56 สาวใช้คนหนึ่งเห็นเปโตรนั่งอยู่ที่นั่น เธอก็อาศัยแสงไฟมองดูเขาอย่างใกล้ชิดและพูดว่า “ชายคนนี้อยู่ด้วยกันกับเยซู” 57 แต่เขาปฏิเสธว่า “หญิงเอ๋ย เราไม่รู้จักท่าน” 58 ไม่นานหลังจากนั้น อีกคนก็เห็นเขาจึงพูดว่า “ท่านเป็นคนหนึ่งในพวกเขาด้วย” เปโตรตอบว่า “ท่านเอ๋ย ไม่ใช่เรา” 59 ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมา อีกคนยืนยันว่า “แน่แล้ว ชายคนนี้อยู่ด้วยกันกับเยซู ด้วยว่าเขาเป็นชาวกาลิลี” 60 เปโตรตอบว่า “ท่านเอ๋ย เราไม่รู้ว่าท่านพูดเรื่องอะไร” ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ไก่ก็ขัน 61 พระเยซูเจ้าหันและมองตรงไปยังเปโตร แล้วเปโตรก็นึกถึงคำซึ่งพระเยซูเจ้าได้กล่าวไว้กับเขาว่า “ก่อนไก่จะขันในวันนี้ เจ้าจะปฏิเสธ 3 ครั้งว่าเจ้าไม่รู้จักเรา” 62 เปโตรจึงออกไปข้างนอกแล้วร้องไห้ด้วยความปวดร้าวใจยิ่งนัก
63 ฝ่ายคนที่คุมพระเยซูได้เริ่มเยาะเย้ยและโบยตีพระองค์ 64 เขาเหล่านั้นเอาผ้าปิดตาพระองค์และถามว่า “จงพยากรณ์ซิว่าใครเป็นคนตบตีท่าน” 65 และพวกเขาได้กล่าววาจาดูหมิ่นต่างๆ นานา
ปีลาตและเฮโรดสอบสวนพระเยซู
66 ครั้นรุ่งเช้าคณะผู้ใหญ่ของประชาชน รวมทั้งพวกมหาปุโรหิตและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติได้ประชุมร่วมกัน และพระเยซูถูกนำไปยังศาสนสภา[c] 67 เขาพูดว่า “ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ ก็จงบอกพวกเราเถิด” พระเยซูตอบว่า “ถ้าเราบอกท่าน ท่านก็จะไม่เชื่อเรา 68 และถ้าเราถามท่าน ท่านก็จะไม่ตอบเรา 69 แต่ว่าตั้งแต่นี้ไปบุตรมนุษย์จะนั่งอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าผู้มีอานุภาพ” 70 เขาทั้งปวงถามกันว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นบุตรของพระเจ้าหรือ” พระองค์ตอบว่า “ท่านพูดถูกต้องแล้วที่ว่าเราเป็น” 71 แล้วเขาทั้งหลายพูดว่า “ทำไมเราจะต้องมีคำยืนยันต่อไปอีก พวกเราได้ยินจากปากของเขาเองแล้ว”
เอลีฮูประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
37 เรื่องนี้ทำให้ใจข้าพเจ้าสั่นระรัว
และทำให้ใจหายใจคว่ำ
2 ฟังเสียงของพระองค์เป็นเสียงฟ้าร้องกระหึ่ม
และเสียงกึกก้องมาจากปากของพระองค์
3 พระองค์ให้ฟ้าแลบไปทั่วใต้ฟ้าสวรรค์
และแสงฟ้าแลบไปทั่วแหล่งหล้า
4 เสียงของพระองค์ดังกระหึ่มตามไป
พระองค์ทำเสียงฟ้าร้องด้วยอานุภาพ
และพระองค์ไม่ยั้งสายฟ้าแลบเมื่อคนได้ยินเสียงของพระองค์
5 พระเจ้าเปล่งเสียงเป็นเสียงฟ้าร้องที่น่าอัศจรรย์ใจ
พระองค์กระทำสิ่งอันยิ่งใหญ่ซึ่งเราไม่สามารถเข้าใจได้
6 เพราะพระองค์กล่าวกับหิมะว่า ‘จงตกลงบนแผ่นดินโลก’
เช่นเดียวกับฝนที่เทกระหน่ำลงมา
7 พระองค์ห้ามมือมนุษย์ทุกคนไว้
เพื่อเขาทุกคนที่พระองค์สร้างขึ้นจะได้หยุดพักจากการงาน
8 และพวกสัตว์ป่าก็เข้าถ้ำของมัน
และพักอยู่ในที่ของมัน
9 พายุหมุนพัดมาจากทิศใต้
และความหนาวมาจากทิศเหนือ
10 น้ำแข็งได้มาจากลมหายใจของพระเจ้า
และแผ่นน้ำอันกว้างใหญ่ก็แข็งตัว
11 พระองค์สะสมความชื้นในเมฆอันหนาทึบ
พระองค์แผ่สายฟ้าแลบออกไปในหมู่เมฆ
12 เมฆล่องลอยไปมาตามแผนการของพระองค์
เพื่อบรรลุทุกสิ่งที่พระองค์บัญชา
อยู่เหนือแผ่นดินโลก
13 ไม่ว่าจะเพื่อการลงโทษ หรือเพื่อรดแผ่นดิน
หรือเพื่อแสดงความรัก พระองค์เป็นผู้ทำให้บังเกิดขึ้น
14 โอ โยบ ขอท่านฟังเรื่องนี้เถิด
ขอท่านหยุดนิ่งและพิจารณาสิ่งมหัศจรรย์ของพระเจ้า
15 ท่านทราบไหมว่า พระเจ้าทำให้เมฆเคลื่อนที่ไป
และทำให้แสงฟ้าแลบออกจากเมฆได้อย่างไร
16 ท่านทราบไหมว่า เมฆลอยอยู่ได้อย่างไร
สิ่งมหัศจรรย์ขององค์ผู้มีความรู้อันบริบูรณ์
17 ท่านเองรู้สึกร้อนภายใต้เสื้อผ้าที่สวมอยู่
เมื่อแผ่นดินแน่นิ่งและร้อนผ่าวจากลมทิศใต้
18 ท่านแผ่ท้องฟ้าออกไปเหมือนกับที่พระองค์ทำได้ไหม
เป็นแผ่นกว้างเหมือนแผ่นเหล็กสะท้อนแสง
19 บอกพวกเราเถิดว่า เราน่าจะพูดอะไรกับพระองค์
พวกเราไม่สามารถเตรียมคดีได้เพราะทุกอย่างมืดแปดด้าน
20 ควรหรือที่จะบอกพระองค์ว่า ข้าพเจ้าจะขอพูด
มีใครบ้างที่อยากจะพินาศ
21 บัดนี้ก็ไม่มีผู้ใดจ้องมองแสง
เมื่อท้องฟ้าส่องสว่างจ้า
และเมื่อลมพัดเมฆผ่านไปแล้ว
22 ความเรืองรองดั่งทองคำปรากฏจากทิศเหนือ
พระเจ้าทรงเครื่องด้วยความยิ่งใหญ่อันน่าเกรงขาม
23 องค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ พวกเราเอื้อมไม่ถึงพระองค์ พระองค์มีอานุภาพยิ่งใหญ่นัก
พระองค์เที่ยงธรรมและมีความชอบธรรมมาก ฉะนั้นพระองค์ไม่ทำให้คนมีความทุกข์
24 ดังนั้น ผู้คนจึงยำเกรงพระองค์
พระองค์ไม่เชื่อถือผู้ที่คิดในใจว่าตนเรืองปัญญานัก”
7 ท่านที่รักทั้งหลาย ในเมื่อเราได้รับพระสัญญาเช่นนี้แล้ว เรามาชำระตัวให้พ้นจากสิ่งที่เป็นมลทินทั้งฝ่ายกายและวิญญาณเถิด และทำตนให้บริสุทธิ์เพียบพร้อมด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า
เปาโลยินดี
2 จงเปิดใจรับเราเถิด เราไม่ได้กระทำผิดต่อผู้ใด หรือทำให้ใครเสียคนไป หรือเอาเปรียบผู้ใดเลย 3 ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้เพื่อกล่าวโทษพวกท่าน เพราะตามที่ข้าพเจ้าเคยพูดไว้แล้วว่า เรารักท่านมาก แม้จะเป็นหรือตายด้วยกันกับท่านก็ตาม 4 ข้าพเจ้ามั่นใจและภูมิใจในตัวท่านมาก ข้าพเจ้ามีกำลังใจ แม้ว่าเราเผชิญความลำบากทุกอย่าง ข้าพเจ้าก็มีความยินดีเป็นล้นพ้น
5 เมื่อเรามายังแคว้นมาซิโดเนีย ร่างกายของเราไม่ได้พักผ่อน เราประสบความลำบากตลอดเวลา มีการวิวาทรอบข้างเรา และมีความกลัวอยู่ในใจ 6 แต่พระเจ้าผู้ปลอบโยนพวกที่ท้อถอยได้ปลอบโยนพวกเราโดยให้ทิตัสมาหาเรา 7 ไม่เพียงการมาของเขาเท่านั้น แต่การปลอบโยนที่พวกท่านได้ให้แก่เขา ทิตัสบอกพวกเราว่าท่านคิดถึงข้าพเจ้า ท่านเศร้าโศก และห่วงใยข้าพเจ้าซึ่งทำให้ข้าพเจ้ายินดีมากยิ่งขึ้น 8 ถ้าแม้ว่าจดหมายฉบับก่อนของข้าพเจ้าทำให้ท่านเศร้าใจ ข้าพเจ้าก็ไม่เสียใจ แม้จะเสียใจบ้างก่อนหน้านี้ก็ตาม เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าจดหมายนั้นทำให้ท่านเศร้าใจเพียงชั่วครู่เท่านั้น 9 มิใช่ว่าท่านเศร้าใจจึงทำให้ข้าพเจ้ายินดีในเวลานี้ แต่เป็นเพราะท่านเศร้าใจจนถึงกับกลับใจ ท่านเศร้าใจตามความประสงค์ของพระเจ้า ฉะนั้นท่านไม่ได้เสียหายเพราะเราแต่อย่างใด
10 ด้วยเหตุว่าความเศร้าใจที่เป็นไปตามความประสงค์ของพระเจ้านั้น ทำให้เกิดการกลับใจซึ่งนำไปสู่ความรอดพ้น ซึ่งจะทำให้ไม่มีใครเสียใจในเรื่องนี้ แต่ความเศร้าใจอันเนื่องมาจากวิสัยโลกนำไปสู่ความตาย 11 ดูเถิดว่าความเศร้าใจที่เป็นไปตามความประสงค์ของพระเจ้าทำให้เกิดอะไรในตัวท่าน ทั้งความเอาจริงเอาจัง ความกระตือรือร้นเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ทั้งความโกรธ ความกลัว ความคิดถึง ความห่วงใย ความพร้อมที่จะเห็นการตัดสินอย่างยุติธรรม ท่านเองได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ท่านไม่มีความผิดในเรื่องเหล่านี้ 12 แม้ข้าพเจ้าเขียนจดหมายฉบับนั้นถึงท่าน ก็มิใช่เพื่อคนที่กระทำผิด หรือเพื่อคนที่ได้รับทุกข์จากการกระทำนั้น แต่เพื่อท่านจะได้เห็นเองว่าท่านจริงใจกับเราเพียงไรในสายตาของพระเจ้า 13 ฉะนั้น เราจึงมีกำลังใจ
นอกจากเราจะมีกำลังใจแล้ว เรายังยินดีมากที่เห็นว่าทิตัสมีความสุขเพียงไร เพราะท่านทั้งหลายทำให้จิตวิญญาณของเขาชุ่มชื่น 14 ข้าพเจ้าได้โอ้อวดเรื่องท่านแก่ทิตัสแล้ว และท่านก็ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าขายหน้า แต่ทุกสิ่งที่เราบอกท่านแล้วนั้นเป็นความจริง สิ่งที่เราอวดไว้กับทิตัสก็เป็นจริงเช่นกัน 15 ทิตัสจำได้ว่าพวกท่านมีความเกรงกลัวและหวาดหวั่นในการต้อนรับเขา และพวกท่านทุกคนพร้อมที่จะเชื่อฟังเป็นอย่างดี ดังนั้นความรักของทิตัสที่มีต่อท่านก็เพิ่มพูนยิ่งขึ้น 16 ข้าพเจ้ายินดีเพราะมีความมั่นใจในตัวท่านอย่างบริบูรณ์
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation