Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
อพยพ 27

แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์

27 เจ้าจงสร้างแท่นบูชาด้วยไม้สีเสียดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีขนาดยาว 5 ศอก กว้าง 5 ศอก และสูง 3 ศอก เชิงงอนเป็นรูปเขาสัตว์ที่มุมทั้งสี่ทำเป็นชิ้นเดียวกันกับตัวแท่น แล้วหุ้มแท่นด้วยทองสัมฤทธิ์ จงหล่อหม้อรองรับขี้เถ้า ทัพพี อ่างน้ำ ส้อม และถาดเก็บถ่านร้อน จงผลิตเครื่องอุปกรณ์ทุกชิ้นจากทองสัมฤทธิ์ จงตีตะแกรงกับห่วง 4 อันจากทองสัมฤทธิ์ โดยให้ห้อยห่วงแต่ละอันติดไว้ที่มุมทั้งสี่ เจ้าจงติดตะแกรงไว้ต่ำลงจากขอบแท่น โดยห้อยลงมาอยู่ระดับครึ่งหนึ่งของความสูงของแท่น แล้วสร้างคานหามสำหรับแท่นบูชาด้วยไม้สีเสียดหุ้มทองสัมฤทธิ์ สอดไม้คานไว้ในห่วง ไม้แต่ละชิ้นก็จะอยู่ในตำแหน่งด้านข้างของแท่นบูชาขณะหาม ใช้ไม้กระดานทำแท่นเป็นลักษณะกล่องเปิดโล่ง รายละเอียดตามที่ได้แจ้งแก่เจ้าแล้วที่ภูเขา จงทำไปตามนั้น

ลานรอบกระโจมที่พำนัก

เจ้าจงสร้างลานรอบกระโจมที่พำนัก ทางด้านทิศใต้ให้แขวนผ้าป่านทอเนื้อดียาว 100 ศอก 10 ใช้เสาหลัก 20 ต้นกับฐานทองสัมฤทธิ์ 20 อัน ส่วนขอเกี่ยวและราวตีด้วยเงิน 11 ทางด้านเหนือให้ทำเหมือนกันคือแขวนผ้าป่านยาว 100 ศอก เสาหลัก 20 ต้นกับฐานทองสัมฤทธิ์ 20 อัน ส่วนขอเกี่ยวและราวตีด้วยเงิน 12 สำหรับลานที่ด้านตะวันตกให้แขวนผ้ากว้าง 50 ศอกตามความกว้างของลาน และใช้เสาหลัก 10 ต้นกับฐาน 10 อัน 13 ลานด้านหน้าทางทิศตะวันออกมีความกว้าง 50 ศอก 14 ผ้าแขวนสำหรับด้านหนึ่งของประตูมีขนาด 15 ศอก มีเสาหลัก 3 ต้นพร้อมด้วยฐาน 3 อัน 15 อีกด้านก็มีผ้าแขวนขนาด 15 ศอก กับเสาหลัก 3 ต้นและฐาน 3 อันเช่นกัน 16 ประตูทางเข้าลานให้ใช้ม่านบังตายาว 20 ศอก ทอจากด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด และผ้าป่านทอเนื้อดีปักลวดลาย แขวนบนราวที่เชื่อมระหว่างเสาหลัก 4 ต้นและฐาน 4 อัน 17 เสาหลักทุกต้นรอบลานให้มีราวและขอเกี่ยวตีด้วยเงิน ฐานหล่อจากทองสัมฤทธิ์ 18 สร้างลานให้มีความยาว 100 ศอก กว้าง 50 ศอก และสูง 5 ศอก ม่านทอจากผ้าป่านเนื้อดี และฐานทองสัมฤทธิ์ 19 เครื่องใช้ทุกชิ้นที่ใช้ประกอบพิธีในกระโจมที่พำนัก หมุดทุกตัวและหมุดทั้งหมดที่ใช้บนลานให้ตีด้วยทองสัมฤทธิ์

น้ำมันสำหรับดวงประทีป

20 จงบัญชาชาวอิสราเอลให้นำน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์สกัดแล้ว มาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อให้ไฟจุดดวงประทีปต่อเนื่องโดยไม่ขาด 21 ภายในกระโจมที่นัดหมาย ณ บริเวณนอกม่านกั้นที่อยู่หน้าหีบพันธสัญญา อาโรนและบรรดาบุตรจะต้องดูแลดวงประทีปให้จุดอยู่ตั้งแต่เย็นจนถึงรุ่งเช้า ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และจงให้ชาวอิสราเอลถือเป็นกฎเกณฑ์ของทุกชาติพันธุ์ของพวกเจ้าไปตลอดกาล

ยอห์น 6

มหาชนกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัว

หลังจากนั้นพระเยซูได้เดินทางไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบกาลิลี ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าทะเลสาบทิเบเรียส ผู้คนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป เพราะพวกเขาได้เห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งพระองค์กระทำต่อบรรดาคนป่วย แล้วพระเยซูขึ้นไปนั่งบนภูเขากับบรรดาสาวกของพระองค์ ในเวลานั้นใกล้ถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิวแล้ว เมื่อพระเยซูเงยหน้าขึ้นก็พบว่าผู้คนจำนวนมากได้พากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงกล่าวกับฟีลิปว่า “เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้รับประทานได้” คำถามนี้พระองค์ได้ถามเพื่อเป็นการลองใจเขาดู เพราะจริงๆ แล้วพระองค์ทราบแล้วว่าจะทำอย่างไร ฟีลิปตอบพระองค์ว่า “200 เหรียญเดนาริอัน[a]ก็ไม่พอซื้ออาหารให้ทุกคนรับประทานคนละเล็กละน้อยได้” อันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งได้พูดกับพระองค์ว่า “เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังลูกเดือย 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว เพียงเท่านั้นจะพอสำหรับคนมากอย่างนี้หรือ” 10 พระเยซูกล่าวว่า “ให้ทุกคนนั่งลง” 5,000 คนก็นั่งบนบริเวณที่มีหญ้าซึ่งกว้างขวางเพียงพอ 11 พระเยซูหยิบขนมปัง และเมื่อขอบคุณพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็แจกขนมปังและปลาแก่คนที่นั่งลง ได้มากพอตามที่ต้องการกัน 12 เมื่อคนรับประทานกันจนอิ่มแล้ว พระองค์จึงกล่าวกับบรรดาสาวกว่า “จงรวบรวมอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้เสียของ” 13 พวกเขาจึงรวบรวมขนมปังใส่ในตะกร้าได้ 12 ใบเต็มๆ เป็นอาหารที่คนรับประทานเหลือจากขนมปังลูกเดือย 5 ก้อน 14 ฉะนั้นเมื่อผู้คนเห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่พระองค์ได้กระทำ จึงพูดว่า “นี่เป็นผู้เผยคำกล่าวที่แท้จริงของพระเจ้าซึ่งได้รับมอบหมายให้มาในโลก” 15 พระเยซูทราบว่า เขาเหล่านั้นตั้งใจที่จะใช้กำลังจับกุมพระองค์ไปเพื่อให้เป็นกษัตริย์ จึงได้ปลีกตัวออกไปยังภูเขาแต่เพียงลำพังอีก

พระเยซูเดินบนผิวน้ำในทะเลสาบ

16 ครั้นถึงเวลาเย็นพวกสาวกของพระองค์ก็เดินลงไปยังทะเลสาบ 17 แล้วลงเรือข้ามทะเลสาบไปยังเมืองคาเปอร์นาอุม จนมืดแล้วพระเยซูก็ยังไม่ได้กลับมาหาพวกเขา 18 ลมพายุได้ทำให้เกิดคลื่นลมแรงในทะเลสาบ 19 เมื่อพวกสาวกตีกรรเชียงไปได้ห้าหกกิโลเมตร ก็เห็นพระเยซูเดินบนผิวน้ำเข้าไปใกล้เรือ พวกเขาพากันตกใจกลัวยิ่งนัก 20 แต่พระองค์กล่าวกับเขาว่า “นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 21 พวกเขาจะรับพระองค์ขึ้นเรือ แต่พริบตาเดียวเท่านั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปกัน

22 วันรุ่งขึ้นฝูงชนที่ยังพักอยู่อีกฟากของทะเลสาบเห็นว่า ก่อนหน้านั้นมีเพียงเรือลำเดียวจอดอยู่ และพวกสาวกได้ใช้เรือลำนั้นออกกันไป พระเยซูไม่ได้ไปด้วย 23 หลังจากนั้นมีเรือจากเมืองทิเบเรียสลำอื่นๆ จอดอยู่ที่ฝั่งใกล้บริเวณที่พระเยซูเจ้าได้กล่าวขอบคุณพระเจ้าสำหรับขนมปังที่พวกเขาได้รับประทานกัน 24 เมื่อฝูงชนเห็นว่า พระเยซูและบรรดาสาวกไม่อยู่ที่นั่น พวกเขาจึงลงเรือกันไปตามหาพระเยซูที่เมืองคาเปอร์นาอุม

อาหารแห่งชีวิต

25 เมื่อพวกเขาพบพระองค์ที่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ จึงพูดกับพระองค์ว่า “รับบี ท่านมาที่นี่เมื่อไร” 26 พระเยซูกล่าวตอบว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ที่ท่านตามหาเรามิใช่เพราะท่านเห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ แต่เป็นเพราะท่านได้รับประทานขนมปังจนอิ่ม 27 อย่าลงทุนลงแรงเพื่ออาหารที่เน่าเสียได้ แต่เพื่ออาหารที่จะดำรงถึงชีวิตอันเป็นนิรันดร์ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่พวกท่าน ด้วยว่าพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาได้ประทับตราแสดงถึงการยอมรับพระบุตรแล้ว” 28 เขาเหล่านั้นจึงพูดกับพระองค์ว่า “พวกเราควรจะทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติงานของพระเจ้าได้” 29 พระเยซูกล่าวตอบว่า “งานของพระเจ้าคือการเชื่อในผู้ที่พระเจ้าได้ส่งมา” 30 ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงพูดกับพระองค์ว่า “แล้วท่านจะแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์อะไรให้เราดูได้บ้าง เราจะได้เชื่อท่าน ท่านจะทำอะไรได้บ้าง 31 บรรพบุรุษของเราได้กินมานา[b]ในถิ่นทุรกันดารตามที่มีบันทึกไว้ว่า ‘พระองค์ให้พวกเขากินอาหารจากสวรรค์’”[c] 32 พระเยซูจึงกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า โมเสสไม่ได้ให้อาหารจากสวรรค์แก่ท่าน แต่เป็นพระบิดาของเราที่ให้อาหารแท้จริงจากสวรรค์ 33 เพราะว่าอาหารของพระเจ้าคือผู้ที่ลงมาจากสวรรค์และมอบชีวิตให้แก่โลก” 34 ดังนั้นพวกเขาจึงพูดกับพระองค์ว่า “พระองค์ท่าน โปรดให้อาหารนี้แก่พวกเราเสมอไปเถิด”

35 พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เราคืออาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่มีวันหิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่มีวันกระหาย 36 แต่เราขอบอกท่านว่า ท่านได้เห็นเราแล้ว และยังไม่เชื่อ 37 ทุกคนที่พระเจ้ามอบให้แก่เราจะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เขาออกไปเลย 38 เราได้ลงมาจากสวรรค์มิใช่เพื่อทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่ตามความประสงค์ของพระองค์ผู้ส่งเรามา 39 ความประสงค์ของพระองค์ผู้ส่งเรามาคือ เราไม่ควรให้ผู้ใดที่พระองค์ได้มอบให้แก่เราต้องหลงหายไปแม้เพียงคนเดียว แต่เราจะให้เขาฟื้นคืนชีวิตในวันสุดท้าย 40 ความประสงค์ของพระบิดาของเราคือ ทุกคนที่หันเข้าหาพระบุตร และเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ และเราเองจะให้ผู้นั้นฟื้นคืนชีวิตในวันสุดท้าย”

41 ชาวยิวจึงพากันบ่นพึมพำต่อกันเมื่อพระองค์กล่าวว่า “เราคืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์” 42 เขาเหล่านั้นพูดว่า “นี่เยซูบุตรของโยเซฟที่เรารู้จักทั้งบิดามารดาไม่ใช่หรือ แล้วขณะนี้พูดได้อย่างไรว่า ‘เราได้ลงมาจากสวรรค์’” 43 พระเยซูกล่าวตอบว่า “อย่ามัวแต่บ่นพึมพำกันอยู่ในหมู่ท่านเลย 44 ไม่มีผู้ใดที่มาหาเราได้นอกจากพระบิดาผู้ส่งเรามา เป็นผู้นำให้เขามาหาเรา และเราจะให้เขาฟื้นคืนชีวิตในวันสุดท้าย 45 มีบันทึกในหมวดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า ‘พระเจ้าจะสั่งสอนเขาทุกคน’[d] ทุกคนที่ได้ยินและเรียนรู้จากพระบิดาก็มาหาเรา 46 มิใช่ว่ามีใครเคยเห็นพระบิดา เว้นแต่ผู้ที่มาจากพระเจ้าเท่านั้นที่ได้เห็นพระบิดาแล้ว 47 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ผู้ที่เชื่อจึงมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 48 เราคืออาหารแห่งชีวิต 49 บรรพบุรุษของท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารและได้ตายไป 50 นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ คนที่กินก็จะไม่ตาย 51 เราคืออาหารที่มีชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ผู้ใดกินอาหารนี้ก็จะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล และอาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกด้วยก็คือ เลือดเนื้อของเรา”

52 ในยามนี้ชาวยิวเริ่มโต้เถียงกันว่า “ชายผู้นี้สามารถให้เลือดเนื้อเรากินได้อย่างไร” 53 พระเยซูจึงกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่านเอง 54 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ และเราจะให้ฟื้นคืนชีวิตในวันสุดท้าย 55 เพราะว่าเนื้อของเราคืออาหารแท้เช่นเดียวกับโลหิตของเราที่เป็นของดื่มแท้ 56 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็ดำรงอยู่ในเรา และเราก็ดำรงอยู่ในผู้นั้น 57 พระบิดาผู้ดำรงชีวิตได้ส่งเรามา และเราดำรงชีวิตก็เพราะพระบิดา ดังนั้นผู้ที่กินเราจะมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเรา 58 นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนอาหารที่บรรพบุรุษกินและตายไป ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล” 59 พระองค์กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ ขณะที่สั่งสอนในศาลาที่ประชุมที่เมืองคาเปอร์นาอุม

สาวกบางคนเลิกติดตามพระเยซู

60 เมื่อสาวกจำนวนมากของพระองค์ได้ยินจึงพูดว่า “ถ้อยคำเหล่านี้ยากที่จะเข้าใจ ใครจะยอมรับได้” 61 แต่พระเยซูทราบดีว่า พวกสาวกแอบบ่นพึมพำกันในเรื่องนี้อยู่ จึงกล่าวกับพวกเขาว่า “สิ่งนี้เป็นเหตุให้เจ้าต้องลำบากใจหรือ 62 ถ้าเจ้าเห็นบุตรมนุษย์ขึ้นไปยังที่ซึ่งท่านอยู่แต่ก่อน แล้วเจ้าจะว่าอย่างไร 63 พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต ฝ่ายเนื้อหนังไม่ได้รับประโยชน์อันใด คำกล่าวที่เราได้บอกให้เจ้าฟังเป็นวิญญาณและชีวิต 64 แต่พวกเจ้าบางคนก็ไม่เชื่อ” พระเยซูทราบแต่แรกแล้วว่ามีใครบ้างที่ไม่เชื่อ และทราบดีว่าผู้ใดจะทรยศพระองค์ 65 พระองค์กล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้เราจึงบอกเจ้าว่า ไม่มีผู้ใดที่มาหาเราได้ นอกจากพระบิดาจะโปรดให้ผู้นั้นมา”

66 ด้วยเหตุนี้เองบรรดาสาวกจำนวนมากของพระองค์จึงได้ปลีกตัวออกไป และไม่ได้ติดตามพระองค์ต่อไปอีก 67 พระเยซูจึงกล่าวกับสาวกทั้งสิบสองว่า “เจ้าอยากจะจากเราไปด้วยหรือ” 68 ซีโมนเปโตรตอบว่า “พระองค์ท่าน เราจะไปหาใครได้ พระองค์มีคำกล่าวแห่งชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 69 พวกเราเชื่อและทราบว่า พระองค์เป็นองค์ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า” 70 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “เราเองเป็นผู้ที่เลือกพวกเจ้าทั้งสิบสองมิใช่หรือ แต่ถึงอย่างนั้นคนหนึ่งในพวกเจ้าก็เป็นพญามาร”[e] 71 พระองค์หมายถึงยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่จะทรยศพระองค์ และเป็นคนหนึ่งในสาวกทั้งสิบสอง

สุภาษิต 3

ไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้า

ลูกเอ๋ย อย่าลืมคำสั่งสอนของเรา
    และให้ใจของเจ้ารักษาคำบัญญัติของเรา
ด้วยว่าระยะเวลาของวันและปีในชีวิต
    และสันติสุขจะเพิ่มพูนแก่เจ้า

อย่าให้ความรักอันมั่นคงและความสัตย์จริงผละจากเจ้าไป
    แต่จงคล้องไว้กับคอของเจ้า
    และจารึกมันไว้ในหัวใจของเจ้า
แล้วเจ้าจะเป็นที่พอใจและได้รับการยกย่อง
    ในสายตาของพระเจ้าและมนุษย์

จงไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ
    และอย่าพึ่งการหยั่งรู้ของตนเอง
จงระลึกถึงพระองค์ในทุกเรื่อง
    และพระองค์จะทำทางของเจ้าให้ตรง
อย่าหลงไปว่าตนเองฉลาด
    จงเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า และหลีกเลี่ยงการทำความชั่ว
เพื่อให้ความสมบูรณ์แก่ร่างกายของเจ้า
    และความสดชื่นแก่กระดูกของเจ้า
จงถวายเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้าด้วยทรัพย์สมบัติที่เจ้ามี
    และด้วยผลแรกของผลผลิตของเจ้า
10 แล้วฉางของเจ้าจะเต็มแน่น
    และถังเหล้าองุ่นของเจ้าจะเปี่ยมล้นด้วยเหล้าองุ่นใหม่

11 ลูกเอ๋ย อย่าดูหมิ่นวินัยของพระผู้เป็นเจ้า
    และอย่าท้อถอยเพราะการว่ากล่าวตักเตือนของพระองค์
12 เพราะพระผู้เป็นเจ้าฝึกคนที่พระองค์รักให้มีวินัย
    เหมือนบิดาที่ชื่นชมในตัวลูกของเขา[a]

คนที่พบสติปัญญาเป็นผู้มีความสุข

13 คนที่พบสติปัญญา และได้รับการหยั่งรู้
    ก็เป็นคนมีความสุข
14 เพราะผลประโยชน์ที่ได้ดีกว่าผลประโยชน์ที่ได้จากเงิน
    และผลที่ได้รับดีกว่าทองเนื้อแท้
15 สติปัญญามีคุณค่ามากกว่าเพชรนิลจินดา
    และไม่มีสิ่งอันน่าพึงปรารถนาใดๆ จะเปรียบเทียบกับเธอได้
16 ชีวิตที่ยั่งยืนอยู่ในมือขวาของเธอ
    ความมั่งมีและเกียรติอยู่ในมือซ้าย
17 หนทางของสติปัญญาเป็นหนทางที่สดใส
    และทุกทางของเธอมีสันติสุข
18 สติปัญญาคือต้นไม้แห่งชีวิตสำหรับผู้ที่ยึดไว้เป็นหลัก
    และผู้ที่ยึดเธอไว้ให้มั่นจะเป็นผู้มีความสุข
19 พระผู้เป็นเจ้าได้วางฐานรากของแผ่นดินโลกด้วยสติปัญญา
    พระองค์สร้างฟ้าสวรรค์ด้วยการหยั่งรู้
20 ด้วยความรู้ของพระองค์น้ำส่วนลึกใต้โลกเปิดออก
    และท้องฟ้าโปรยหยาดน้ำค้าง

21 ลูกเอ๋ย อย่าให้สิ่งเหล่านี้ห่างไปจากสายตาของเจ้า
    จงเก็บรักษาสติปัญญาอันบริบูรณ์และปฏิภาณไว้
22 ทั้งสองสิ่งนี้จะเป็นชีวิตแก่จิตวิญญาณของเจ้า
    และเป็นเช่นอาภรณ์ประดับคอ
23 แล้วเจ้าจะเดินไปตามทางของเจ้าได้อย่างปลอดภัย
    และเท้าของเจ้าจะไม่สะดุด
24 เวลาเจ้าเอนกายลง เจ้าจะไม่มีความกลัว
    เวลานอนลง เจ้าก็จะหลับสบาย
25 อย่าตระหนกกับสิ่งน่ากลัวที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
    หรือภัยดั่งพายุที่เกิดกับคนชั่ว
26 ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าคือความเชื่อมั่นในใจของเจ้า
    และพระองค์จะคุ้มกันเท้าของเจ้าไม่ให้ติดกับดัก

27 อย่าเหนี่ยวรั้งสิ่งดีไว้จากบรรดาผู้สมควรได้รับ
    เมื่ออำนาจอยู่ในมือของเจ้าเอง
28 อย่าบอกเพื่อนบ้านของเจ้าว่า
    “ไปก่อนเถิด แล้วค่อยกลับมาใหม่พรุ่งนี้เราถึงจะให้เจ้า”
    ในเมื่อเจ้าก็มีของนั้นติดตัวอยู่
29 อย่าเป็นผู้ก่อเหตุร้ายให้เกิดกับเพื่อนบ้านของเจ้า
    ทั้งๆ ที่เขาอาศัยอยู่ใกล้เจ้าด้วยความไว้วางใจ
30 อย่าก่อเรื่องกับใครโดยไม่มีสาเหตุ
    ในเมื่อเขาไม่เคยทำร้ายเจ้าเลย

31 อย่าอิจฉาคนโหดร้าย
    และอย่าเลือกทางของเขาเลย
32 เพราะคนคดโกงเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า
    แต่พระองค์ให้คำปรึกษาเป็นส่วนตัวกับผู้มีความชอบธรรม
33 พระผู้เป็นเจ้าสาปแช่งบ้านของคนชั่วร้าย
    และให้พรแก่ที่อาศัยของผู้มีความชอบธรรม
34 พระองค์เย้ยหยันคนที่เย้ยหยัน
    แต่แสดงพระคุณแก่คนที่ถ่อมตน[b]
35 ผู้ที่มีสติปัญญาจะได้รับเกียรติ
    แต่คนโง่ส่อให้เห็นความอัปยศ

กาลาเทีย 2

เปาโลและอัครทูตอื่น

สิบสี่ปีต่อมา ข้าพเจ้าขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็มอีก โดยที่ครั้งนี้มีบาร์นาบัสไปด้วย และได้พาทิตัสเดินทางไปพร้อมกัน ข้าพเจ้าไปก็เพราะสิ่งที่พระเจ้าได้เผยความไว้ ข้าพเจ้าจึงได้ไปพบกับบรรดาผู้นำ (เป็นการส่วนตัว) และได้อธิบายถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่บรรดาคนนอก เพื่อจะได้แน่ใจว่าข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งมาแล้วหรือกำลังวิ่งโดยเปล่าประโยชน์ ทิตัสร่วมเดินทางไปกับข้าพเจ้า แม้จะเป็นชาวกรีกแต่ก็ไม่ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต แม้กระนั้นก็ยังมีบางคนที่ได้เป็นพี่น้องจอมปลอม แต่ก็ได้แอบมาสอดแนมดูความเป็นอิสระของเราที่มีในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะทำให้เราตกอยู่ภายใต้ความเป็นทาส พวกเราไม่ได้ยอมทำตามพวกเขาแม้เพียงขณะเดียว เพื่อว่าความจริงของข่าวประเสริฐจะได้คงอยู่กับท่าน แต่สำหรับบรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเป็นคนสำคัญ สถานภาพของเขาไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขาสำคัญแต่อย่างไร เพราะพระเจ้าไม่ตัดสินจากลักษณะภายนอก คนที่ดูเหมือนว่าเป็นที่ยอมรับกันนั้น ไม่ได้เพิ่มเติมสิ่งใดให้ข้าพเจ้าเลย แต่ตรงกันข้ามคือ เขาเห็นว่า ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ทำนองเดียวกับที่เปโตรประกาศให้แก่พวกที่เข้าสุหนัต ด้วยว่าพระเจ้าได้ส่งเปโตรไปเป็นอัครทูตสำหรับฝ่ายที่เข้าสุหนัตเช่นไร พระองค์ก็ได้ส่งข้าพเจ้าให้ไปเป็นอัครทูตสำหรับบรรดาคนนอกเช่นนั้น เมื่อยากอบ เคฟาส และยอห์นผู้ซึ่งคนยอมรับกันว่าเป็นเสาหลักตระหนักว่า ข้าพเจ้าได้รับพระคุณแล้ว จึงจับมือขวาของข้าพเจ้าและบาร์นาบัสเพื่อแสดงความเป็นเพื่อนร่วมงานกัน พวกเขาตกลงว่าเราควรจะไปยังบรรดาคนนอก และพวกเขาไปยังคนที่เข้าสุหนัต 10 พวกเขาเพียงแต่ขอให้เราห่วงใยผู้ยากไร้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ามุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะกระทำอยู่แล้ว

เปาโลคัดค้านเปโตร

11 แต่เมื่อเคฟาสมายังเมืองอันทิโอก ข้าพเจ้าคัดค้านเขาต่อหน้า เพราะเขาทำผิดอย่างเห็นได้ชัด 12 ก่อนหน้านี้ เขาเคยรับประทานร่วมกับคนนอก แต่เมื่อคนของยากอบมาถึง เขากลับแยกตัวออกไปจากพวกคนนอก เพราะเขากลัวกลุ่มคนที่สนับสนุนการเข้าสุหนัต 13 ครั้นแล้วชาวยิวอื่นๆ ก็พากันทำตัวเป็นคนประเภทหน้าไหว้หลังหลอกตามเขาไปด้วย จนแม้แต่บาร์นาบัส ก็ถูกชักนำไปเพราะความหน้าไหว้หลังหลอกของเขาเหล่านั้น 14 แต่เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่า เขาเหล่านั้นไม่ประพฤติสอดคล้องกับความจริงของข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าจึงได้พูดกับเคฟาสต่อหน้าทุกคนว่า “ถ้าท่านเป็นชาวยิวแต่ดำเนินชีวิตเป็นอย่างคนนอก คือไม่เป็นอย่างชาวยิว แล้วท่านจะบังคับให้พวกคนนอกดำเนินชีวิตตามอย่างชาวยิวได้อย่างไร”

15 พวกเราเป็นชาวยิวโดยกำเนิด ไม่ได้เป็น “คนบาป” อย่างที่คนนอกเป็น 16 เราทราบว่ามนุษย์ไม่ได้พ้นผิดโดยการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ แต่พ้นผิดเพราะมีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ดังนั้น พวกเราจึงได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าเราจะพ้นผิดได้โดยการเชื่อในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ ด้วยว่าไม่มีใครที่จะพ้นผิดได้จากการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ

17 ถ้าในขณะที่เราหาหนทางที่จะพ้นผิดโดยผ่านพระคริสต์แล้ว กลับพบว่าเราเป็นคนบาป หมายความว่า พระคริสต์เป็นผู้ส่งเสริมให้เราทำบาปอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่แน่ 18 ถ้าข้าพเจ้าสร้างสิ่งที่ข้าพเจ้าทำลายขึ้นมาใหม่ ก็หมายความว่าข้าพเจ้าเป็นคนละเมิดกฎ 19 เพราะโดยกฎบัญญัติแล้ว ข้าพเจ้าตายจากกฎบัญญัติ เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า 20 ข้าพเจ้าถูกตรึงบนไม้กางเขนด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว และไม่ใช่ข้าพเจ้าที่ดำรงชีวิตอยู่ แต่พระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวข้าพเจ้า และชีวิตที่ข้าพเจ้าดำรงอยู่ในร่างกายนี้ ข้าพเจ้าดำรงอยู่ด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้รักข้าพเจ้า และสละชีวิตเพื่อข้าพเจ้า 21 ข้าพเจ้าไม่ยอมปฏิเสธพระคุณของพระเจ้า เพราะถ้าความชอบธรรมได้มาโดยทางกฎบัญญัติแล้ว การที่พระคริสต์สิ้นชีวิตก็ไร้ประโยชน์

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation