Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
อพยพ 22

กฎเกณฑ์เกี่ยวกับสิ่งที่มีเจ้าของ

22 ถ้าผู้ใดขโมยโคหรือแกะไปฆ่าหรือขาย เขาจะต้องชดใช้ด้วยโค 5 ตัวแทนโคที่ขโมยไป 1 ตัว และแกะ 4 ตัวแทนแพะแกะที่ถูกขโมย 1 ตัว ถ้าขโมยถูกจับได้ขณะบุกรุกขึ้นบ้านและถูกซ้อมตาย ผู้ทุบตีจะไม่มีความผิด แต่ถ้าเกิดเรื่องหลังจากดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ผู้ที่ทำให้เขาตายจะเป็นฝ่ายผิด ขโมยจะต้องจ่ายค่าเสียหายโดยเด็ดขาด แต่ถ้าเขาไม่มีให้ เขาต้องขายตัวเองเป็นค่าเสียหายเพื่อชดใช้ของที่ตนขโมย ถ้าพบว่าสัตว์ที่ถูกขโมยมีชีวิตและยังอยู่กับเขา ไม่ว่าจะเป็นโค ลา หรือแกะก็ตาม เขาจะต้องจ่ายคืนเป็นสองเท่า

ถ้าผู้ใดให้ฝูงสัตว์เล็มหญ้าในนาหรือสวนองุ่น โดยปล่อยให้มันหลงเข้าไปเล็มหญ้าในที่นาของคนอื่น เขาจะต้องยกผลผลิตที่ดีที่สุดจากทุ่งนาหรือสวนองุ่นของตนให้เป็นการชดใช้

ถ้าเกิดไฟไหม้ลุกลามทั่วกอหนาม จนทำให้กองฟาง นาข้าวหรือทั้งไร่นาถูกเผาผลาญ คนที่จุดไฟจะต้องจ่ายค่าเสียหาย

ถ้าผู้ใดขอให้เพื่อนบ้านของตนช่วยเก็บเงินหรือสิ่งของมีค่าไว้ แล้วสิ่งเหล่านั้นถูกขโมยไปจากบ้านของเขา ถ้าขโมยถูกจับได้ก็ต้องจ่ายคืนเป็นสองเท่า แต่ถ้าจับขโมยไม่ได้ เจ้าของบ้านจะถูกนำตัวมา ณ เบื้องหน้าพระเจ้า[a] เพื่อชี้ให้เห็นว่าเขาเป็นคนหยิบของจากเพื่อนบ้านไปหรือไม่ เพราะการล่วงละเมิดในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นโค ลา แพะแกะ เสื้อผ้า หรือสิ่งใดก็ตามที่หายไปโดยมีผู้หนึ่งอ้างว่า ‘นี่เป็นของเรา’ คู่กรณีจะต้องมา ณ เบื้องหน้าพระเจ้า คนที่พระเจ้าตัดสินว่าผิดจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่เพื่อนบ้านของเขาเป็นสองเท่า

10 ถ้าผู้ใดขอให้เพื่อนบ้านของตนเลี้ยงลา โค แพะแกะ หรือสัตว์เลี้ยงใดๆ แล้วถ้าสัตว์ตาย บาดเจ็บหรือถูกต้อนหนีไปโดยไม่มีใครเห็น 11 เรื่องระหว่างคนทั้งสองต้องจบสิ้นลงที่คำสาบาน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้เห็นว่าเขาได้ขโมยของจากเพื่อนบ้านไปหรือไม่ และเจ้าของสัตว์จะรับคำสาบาน และอีกฝ่ายก็ไม่ต้องชดใช้ 12 แต่ถ้าถูกขโมยไปจริง ผู้นั้นจะต้องชดใช้ให้แก่เจ้าของสัตว์ 13 ถ้าถูกสัตว์ป่าฆ่าตาย ก็ต้องเอาหลักฐานมาให้ดู และไม่จำเป็นต้องชดใช้แต่อย่างใด

14 ถ้าใครขอยืมสิ่งใดจากเพื่อนบ้าน และถ้ามันเกิดบาดเจ็บหรือตายในระหว่างที่เจ้าของไม่อยู่ด้วย คนนั้นต้องชดใช้คืนเท่าเดิม 15 ถ้าเจ้าของอยู่ด้วย เขาก็ไม่ต้องชดใช้ แต่ถ้าสัตว์นั้นเช่ามา ผู้นั้นก็เสียเพียงค่าเช่า

การรับผิดชอบต่อสังคม

16 ถ้าพรหมจาริณีซึ่งเดิมมิได้หมั้นหมายอยู่กับผู้ใด แล้วเธอถูกชายคนหนึ่งล่อลวงไปทำมิดีมิร้าย ชายนั้นจะต้องจ่ายค่าสินสอด และรับเธอไว้เป็นภรรยา 17 ถ้าบิดาของเธอยืนกรานปฏิเสธที่จะยกเธอให้เขา เขาจะต้องจ่ายเงินในจำนวนที่เท่ากับค่าสินสอดสำหรับพรหมจาริณี

18 เจ้าไม่ควรให้หญิงใดที่ใช้วิทยาคมมีชีวิตอยู่

19 ใครก็ตามที่มีเพศสัมพันธ์กับสัตว์จะต้องรับโทษถึงตาย

20 ใครก็ตามที่ถวายเครื่องสักการะแก่พวกเทพเจ้า ซึ่งไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้า เขาจะต้องถูกกำหนดให้พินาศ

21 เจ้าอย่ากระทำการอันไม่สมควรต่อคนต่างด้าวหรือบีบบังคับเขา เพราะพวกเจ้าล้วนเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์ 22 เจ้าอย่าเอาเปรียบหญิงม่ายหรือเด็กกำพร้าคนใด 23 ถ้าเจ้าเอาเปรียบพวกเขา แล้วเขาร้องเรียกถึงเรา เราย่อมได้ยินเสียงร้องของเขาอย่างแน่นอน 24 ความกริ้วของเราจะพลุ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถฆ่าเจ้าด้วยคมดาบ ภรรยาของเจ้าจะกลายเป็นม่าย และลูกๆ ของเจ้าจะกำพร้าพ่อ

25 ถ้าเจ้าให้ผู้ยากไร้ในหมู่ชนชาติของเรายืมเงิน เจ้าจะต้องไม่ทำตัวเป็นเจ้าหนี้ และไม่เค้นเอาดอกเบี้ยจากเขา 26 ถ้าเจ้ายึดเสื้อคลุมของเพื่อนบ้านไว้เป็นของประกัน เจ้าจะต้องคืนให้เขาก่อนตะวันตกดิน 27 เพราะนั่นเป็นเครื่องนุ่งห่มชิ้นเดียวของเขา มันเป็นเครื่องนุ่งห่มสำหรับกายของเขา แล้วเขาจะใช้อะไรนุ่งนอน ถ้าเขาร้องเรียกถึงเรา เราย่อมได้ยิน เพราะเรามีเมตตา

28 อย่าพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าหรือสาปแช่งบุคคลชั้นปกครอง

29 อย่าตระหนี่ผลผลิตอันอุดมที่ได้จากธัญพืช เหล้าองุ่นและน้ำมันมะกอก จงถวายบุตรชายคนแรกให้แก่เรา 30 จงทำเช่นเดียวกันกับฝูงโค และแพะแกะของเจ้าด้วย คือปล่อยให้อยู่กับแม่ของมัน 7 วัน แล้วจึงถวายให้เราในวันที่แปด

31 พวกเจ้าจงเป็นคนบริสุทธิ์เพื่อเรา ดังนั้นอย่ารับประทานเนื้อที่ถูกสัตว์ป่าขย้ำตายในทุ่งนา แต่จงทิ้งให้สุนัขกิน[b]

ยอห์น 1

คำกล่าวแห่งชีวิต

คำกล่าวดำรงอยู่นับแต่ครั้งปฐมกาล คำกล่าวนั้นดำรงอยู่กับพระเจ้า และคำกล่าวนั้นคือพระเจ้า พระองค์ได้ดำรงอยู่กับพระเจ้านับแต่ครั้งปฐมกาล ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้ก็เพราะพระองค์ ถ้าปราศจากพระองค์แล้ว สิ่งที่เป็นอยู่นี้จะมีขึ้นมาไม่ได้ พระองค์เป็นแหล่งกำเนิดแห่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดก็ไม่อาจเอาชนะความสว่างได้

มีชายคนหนึ่งชื่อยอห์นผู้ซึ่งพระเจ้าใช้มา ท่านได้มาเพื่อเป็นพยาน และเป็นผู้ยืนยันถึงความสว่างนั้น เพื่อคนทั้งปวงจะได้มีความเชื่อ[a]โดยผ่านท่าน ท่านเองไม่ใช่ความสว่าง แต่มาเพื่อเป็นผู้ยืนยันถึงความสว่างเท่านั้น

ความสว่างแท้ซึ่งทอแสงไปยังมนุษย์ทุกคน กำลังเข้ามาในโลก 10 พระองค์ดำรงอยู่ในโลก แม้ว่าพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาโดยผ่านพระองค์ แต่โลกกลับไม่รู้จักพระองค์ 11 พระองค์มาสู่บ้านเมืองของพระองค์ แต่ชนชาติของพระองค์กลับไม่ต้อนรับ 12 ส่วนคนที่ต้อนรับและเชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ให้ได้รับสิทธิ์เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือบุตรที่ไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อที่เป็นมนุษย์หรือความต้องการฝ่ายเนื้อหนัง[b] หรือความประสงค์ของฝ่ายชาย แต่เกิดจากพระเจ้า

14 คำกล่าวนั้นได้มาเกิดเป็นมนุษย์และพำนักอยู่ท่ามกลางเรา พวกเราได้เห็นพระบารมีของพระองค์ อันเป็นพระบารมีของพระบุตรองค์เดียวผู้มาจากพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง 15 ยอห์นร้องประกาศเพื่อยืนยันถึงพระองค์ว่า “พระองค์คือผู้ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงว่า ‘ผู้ที่มาภายหลังข้าพเจ้าเหนือยิ่งกว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’” 16 จากความบริบูรณ์ของพระองค์ เราทุกคนจะได้รับพระคุณเพิ่มแล้วเพิ่มอีกเสมอไป 17 ด้วยว่า กฎบัญญัติถูกมอบให้โดยผ่านโมเสส[c] ส่วนพระคุณและความจริงมาได้โดยผ่านพระเยซูคริสต์[d] 18 ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า แต่พระบุตรองค์เดียวผู้ดำรงความเป็นพระเจ้า ผู้อยู่ในอ้อมอกของพระบิดา ได้ทำให้พระบิดาเป็นที่รู้จัก

คำยืนยันของยอห์น

19 นี่เป็นคำยืนยันของยอห์น เมื่อชาวยิวจากเมืองเยรูซาเล็มส่งพวกปุโรหิต[e]และพวกเลวี[f]ไปถามว่า ท่านคือใคร 20 ท่านยอมรับ และตอบตามความจริงว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์” 21 พวกเขาจึงถามต่อไปว่า “แล้วท่านคือใครเล่า เป็นเอลียาห์หรือ” ท่านตอบว่า “ไม่ใช่” “ท่านเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้นั้นหรือ” ท่านตอบว่า “ไม่ใช่” 22 ในที่สุดเขาเหล่านั้นพูดว่า “ท่านเป็นใคร โปรดให้คำตอบแก่เราเพื่อกลับไปบอกบรรดาผู้ที่ส่งเรามาเถิด ท่านอ้างว่าท่านเป็นใคร” 23 ยอห์นตอบตามคำกล่าวของอิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเป็นเสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า ‘จงทำทางให้ตรงเพื่อพระผู้เป็นเจ้าเถิด’”[g]

24 ส่วนคนที่พวกฟาริสี[h]ส่งมา 25 ได้ถามยอห์นว่า “ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์ หรือเอลียาห์ หรือผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้นั้น แล้วทำไมท่านจึงให้บัพติศมา[i]เล่า” 26 ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่ผู้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางพวกท่าน ท่านกลับไม่รู้จัก 27 พระองค์เป็นผู้ที่มาภายหลังข้าพเจ้า แม้แต่เชือกผูกรองเท้าของพระองค์ ข้าพเจ้าก็มิบังควรที่จะแก้ออก” 28 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานีทางด้านตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน อันเป็นที่ซึ่งยอห์นกำลังให้บัพติศมาอยู่

ลูกแกะของพระเจ้า

29 วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเดินตรงมาหาท่าน จึงกล่าวว่า “ดูสิ ลูกแกะของพระเจ้า เป็นผู้ที่รับเอาบาปของโลกไป 30 นี่คือผู้ที่ข้าพเจ้าพูดถึงว่า ‘ผู้มาภายหลังข้าพเจ้าคือผู้ที่เหนือยิ่งกว่าข้าพเจ้า เพราะพระองค์ดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’ 31 ข้าพเจ้าเองแม้ไม่รู้จักพระองค์มาก่อน แต่เหตุที่ข้าพเจ้ามาให้บัพติศมาด้วยน้ำ ก็เพื่อให้พระองค์ได้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกชนชาติอิสราเอล” 32 แล้วยอห์นก็กล่าวยืนยันว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณลงมาจากสวรรค์ในรูปลักษณ์ของนกพิราบ และสถิตกับพระองค์ 33 ข้าพเจ้าเองแม้ไม่รู้จักพระองค์มาก่อน แต่ผู้ที่ส่งข้าพเจ้ามาเพื่อให้บัพติศมาด้วยน้ำได้บอกข้าพเจ้าไว้ว่า ‘เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณลงมาสถิตกับผู้ใด ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’[j] 34 ข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว และขอยืนยันว่า ผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

สาวกกลุ่มแรกของพระเยซู

35 ในวันรุ่งขึ้น ยอห์นยืนอยู่ที่นั่นอีกกับสาวก 2 คน 36 เมื่อท่านเห็นพระเยซูเดินผ่านไป ท่านกล่าวว่า “ดูสิ ลูกแกะของพระเจ้า” 37 เมื่อสาวกทั้งสองได้ยิน ก็ติดตามพระเยซูไป 38 พระเยซูหันมาพบว่า พวกเขาเดินตามมา จึงถามว่า “เจ้าแสวงหาอะไร” เขาตอบว่า “รับบี” (ซึ่งแปลว่า อาจารย์) “ท่านพักอยู่ที่ไหน” 39 พระองค์ตอบว่า “มาเถิด แล้วเจ้าจะได้เห็นเอง” ดังนั้นสาวกทั้งสองจึงได้ตามไปและเห็นว่า พระองค์พักอยู่ที่ไหน ในวันนั้นเขาก็ได้พักอยู่กับพระองค์ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 10 โมงเช้า[k] 40 หนึ่งในสองคนที่ได้ยินยอห์นพูดและได้ติดตามพระองค์ไป คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร 41 อันดรูว์จึงไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อนเพื่อบอกเขาว่า “เราได้พบพระเมสสิยาห์ (ซึ่งแปลว่า พระคริสต์) แล้ว” 42 ครั้นแล้ว ก็พาซีโมนมาหาพระเยซู พระเยซูมองเขาและกล่าวว่า “เจ้าคือซีโมนบุตรของยอห์น เจ้าจะได้รับชื่อว่า เคฟาส” (ซึ่งแปลว่า เปโตร)

ฟีลิปและนาธานาเอลติดตามพระเยซู

43 วันรุ่งขึ้นพระเยซูตั้งใจจะไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์พบฟีลิปจึงกล่าวขึ้นว่า “จงตามเรามาเถิด” 44 ฟีลิปมาจากเมืองเบธไซดา เช่นเดียวกับอันดรูว์และเปโตร 45 ฟีลิปพบนาธานาเอลและบอกเขาว่า “เราได้พบผู้ที่โมเสสเขียนถึงในหมวดกฎบัญญัติ และที่บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเขียนถึงด้วย คือพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธผู้เป็นบุตรของโยเซฟ” 46 นาธานาเอลถามว่า “สิ่งดีอันใดจะมาจากเมืองนาซาเร็ธได้หรือ” ฟีลิปบอกเขาว่า “มาดูสิ” 47 เมื่อพระเยซูเห็นนาธานาเอลเดินเข้ามาใกล้ พระองค์จึงกล่าวว่า “คนนี้เป็นชาวอิสราเอลแท้ หามีเล่ห์เหลี่ยมไม่” 48 นาธานาเอลจึงถามว่า “ท่านรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร” พระเยซูตอบว่า “เราเห็นเจ้าเวลาเจ้าอยู่ใต้ต้นมะเดื่อก่อนที่ฟีลิปจะไปเรียกเสียอีก” 49 นาธานาเอลตอบพระองค์ว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล” 50 พระเยซูกล่าวว่า “เจ้าเชื่อเพราะเราบอกว่า เราเห็นเจ้าอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ เจ้าจะเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้” 51 พระองค์กล่าวต่อไปอีกว่า “เราขอบอกความจริงกับพวกเจ้าว่า เจ้าจะเห็นสวรรค์เปิด และบรรดาทูตสวรรค์[l]ของพระเจ้าจะขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์[m]

โยบ 40

40 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยบว่า

“คนช่างติเตียนจะโต้แย้งกับผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพหรือ
    คนที่โต้เถียงพระเจ้า ก็จงตอบเถิด”

โยบจึงตอบพระผู้เป็นเจ้าว่า

“ดูเถิด ข้าพเจ้าไร้ค่า ข้าพเจ้าจะตอบอะไรพระองค์ได้
    ข้าพเจ้าจะปิดปากข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าพูดแล้วครั้งหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าไม่มีคำตอบ
    พูดสองครั้ง แต่ข้าพเจ้าจะไม่พูดอีก”

แล้วพระผู้เป็นเจ้าตอบโยบเป็นเสียงจากพายุว่า

“จงเตรียมพร้อมอย่างลูกผู้ชาย
    เราจะถามเจ้า และเจ้าจงตอบเรา

เจ้ากำลังพยายามพิสูจน์ให้ได้ว่าเราผิดหรือ
    เจ้าจะปรักปรำเราเพื่อว่าเจ้าจะถูกต้องหรือ
เจ้ามีพละกำลังเหมือนพระเจ้าหรือ
    เจ้าทำเสียงร้องกระหึ่มดั่งฟ้าร้องเหมือนเสียงของพระองค์ได้หรือ
10 จงแสดงตนให้เห็นว่า เจ้ายิ่งใหญ่และสูงส่ง
    จงแสดงให้เห็นว่า เจ้าสง่างามและรุ่งโรจน์
11 จงปล่อยความโกรธของเจ้าที่ล้นออกมา
    จงดูทุกคนที่หยิ่งยโส และทำให้เขายอมถ่อมลง
12 ดูทุกคนที่หยิ่งยโส และทำให้เขาถ่อมตัว
    และทำคนชั่วให้แบนราบเป็นหน้ากลอง
13 ฝังพวกเขาทุกคนลงในหลุมศพ
    และขังให้อยู่ในโลกของคนตาย
14 แล้วเราจะยกย่องเจ้าว่า
    เจ้าได้ชัยชนะด้วยมือของเจ้าเอง

15 ดูเถิด เบเฮโมท[a]
    ซึ่งเราสร้างขึ้นอย่างที่เราสร้างตัวเจ้า
    มันกินหญ้าอย่างที่โคกิน
16 ดูเถิด กำลังของมันอยู่ที่บั้นเอว
    และอำนาจของมันอยู่ที่กล้ามเนื้อที่ท้อง
17 มันเกร็งหางขึ้นได้อย่างต้นซีดาร์
    เอ็นที่ต้นขาของมันสานเข้าด้วยกัน
18 กระดูกของมันเป็นดั่งท่อทองสัมฤทธิ์
    ขาของมันเป็นเหมือนท่อนเหล็ก
19 มันเป็นหนึ่งในผลงานอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า
    ให้องค์ผู้สร้างมันกำราบมันเถิด
20 เทือกเขาเป็นแหล่งอาหารของมัน
    และเป็นที่ให้สัตว์ป่าทั้งปวงเริงร่า
21 มันนอนอยู่ใต้ต้นไม้หนาม
    ที่ใต้ดงอ้อและในหนองน้ำ
22 ต้นไม้หนามเป็นที่ร่มให้มันได้
    ต้นหลิวที่ลำธารล้อมรอบตัวมัน
23 ดูเถิด ถ้าแม่น้ำเชี่ยวกราก มันก็จะไม่ตกใจ
    มันไม่สะดุ้งแม้ว่าแม่น้ำจอร์แดนจะซัดเข้าปากของมัน
24 ใครจะสามารถจับตัวมันขณะที่มันมองด้วยความระมัดระวัง
    หรือคล้องจมูกดักมันไปได้

2 โครินธ์ 10

อำนาจที่ได้รับมอบเพื่อเสริมสร้าง

10 ข้าพเจ้าเปาโล ขอร้องท่านด้วยความเมตตาและความอ่อนโยนของพระคริสต์ คือแม้ท่านจะพูดว่า “เปาโลไม่ใช่คนกล้าเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเรา แต่ก็ใจกล้าเมื่ออยู่ห่างไกล” ข้าพเจ้าขออย่างหนึ่งคือ เวลาข้าพเจ้ามาหาท่าน ข้าพเจ้าไม่ต้องแสดงความอาจหาญอย่างที่คิดไว้ เพื่อจัดการคนที่กล่าวหาว่าพวกเราใช้ชีวิตตามวิสัยโลก แม้พวกเราใช้ชีวิตอยู่ในโลก เราก็ไม่สู้รบอย่างที่โลกต่อสู้ เพราะอาวุธที่เราใช้ในการสู้รบไม่ใช่อาวุธแบบโลก แต่เป็นฤทธานุภาพของพระเจ้าเพื่อทำลายที่มั่นอันแข็งแกร่งของศัตรู เราทำลายข้อโต้แย้งและทุกสิ่งที่คนหยิ่งยโสยกขึ้นมาต่อต้านความรู้ในเรื่องพระเจ้า และเราจับเอาความคิดทุกอย่างเข้ามาเป็นเชลยของพระคริสต์ เมื่อท่านเชื่อฟังเราดีแล้ว เราก็พร้อมที่จะลงโทษทุกคนที่ไม่เชื่อฟัง

ท่านเพียงแต่ดูสิ่งต่างๆ ตามที่เห็นภายนอก ถ้าผู้ใดมั่นใจในตนเองว่าเขาเป็นคนของพระคริสต์ เขาก็ควรคิดอีกว่า เราเป็นคนของพระคริสต์มากเท่ากับที่เขาเป็นคนของพระองค์ ถ้าแม้ข้าพเจ้าจะโอ้อวดมากหน่อยถึงอำนาจที่ได้รับมอบซึ่งพระผู้เป็นเจ้าให้แก่เรา เพื่อเสริมสร้างท่านและไม่ใช่ฉุดท่านให้ต่ำลง ข้าพเจ้าก็จะไม่ละอายใจเลย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ดูเหมือนว่า ข้าพเจ้าพยายามจะทำให้ท่านตกใจด้วยจดหมายของข้าพเจ้า 10 เพราะพวกเขาพูดกันว่า “จดหมายของเขาเคร่งครัดและเข้มงวด แต่เมื่อเห็นตัวแล้วไม่น่าประทับใจเลย พูดก็ไม่เก่ง” 11 ให้คนนั้นเข้าใจเถิดว่า อะไรก็ตามที่เราเขียนในจดหมายเมื่ออยู่ห่างไกล เราก็จะกระทำเช่นเดียวกันเมื่อเราอยู่กับท่าน 12 เราไม่กล้าพอที่จะจัดระดับหรือเปรียบตนเองกับบางคนที่โอ้อวดตน แต่เมื่อพวกเขาเอาตัวเป็นเครื่องวัดซึ่งกันและกันและเปรียบเทียบกัน ก็นับว่าพวกเขาขาดสติปัญญา

13 แต่อย่างไรก็ตาม เราจะไม่โอ้อวดเกินไป แต่จะให้อยู่ในขอบเขตซึ่งพระเจ้าได้ให้ไว้ ท่านก็อยู่ในขอบเขตนั้นด้วย 14 ด้วยว่า เราไม่ได้ทำเกินขอบเขตเมื่อเรามาหาท่าน เพราะเราเป็นพวกแรกที่นำข่าวประเสริฐของพระคริสต์มาให้ท่าน 15 เราไม่โอ้อวดเกินขอบเขตเรื่องงานที่คนอื่นทำเช่นกัน เรามีความหวังอยู่ว่า เมื่อความเชื่อของท่านเพิ่มขึ้น เราก็จะมีงานทำเพิ่มมากขึ้นในหมู่ท่าน 16 แล้วเราจะได้ประกาศข่าวประเสริฐนอกเหนือไปจากดินแดนของท่าน เพราะเราไม่ต้องการโอ้อวดถึงงานซึ่งคนอื่นได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว อันเป็นงานที่อยู่ในเขตแดนของผู้อื่น 17 “ผู้ที่โอ้อวด ก็จงให้เขาโอ้อวดพระผู้เป็นเจ้าเถิด”[a] 18 คนใดจะเป็นที่ยอมรับได้นั้น ต้องเป็นคนที่พระเจ้าชมเชย มิใช่คนที่ชมเชยตนเอง

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation