M’Cheyne Bible Reading Plan
กระโจมที่พำนัก
26 เจ้าจงสร้างกระโจมที่พำนักโดยให้มีม่าน 10 ผืนซึ่งเย็บด้วยผ้าป่านทอเนื้อดี ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด จงปักภาพเครูบให้งดงามด้วยช่างผู้ชำนาญ 2 ผ้าม่านมีขนาดเท่ากันทุกผืนคือ ยาว 28 ศอก และกว้าง 4 ศอก 3 เย็บม่าน 5 ผืนให้ติดกันตามความกว้าง อีก 5 ผืนก็เย็บแบบเดียวกัน 4 เย็บหูม่านด้วยผ้าสีน้ำเงิน ติดไว้ที่ข้างหนึ่งของม่านนอกสุดชุดที่หนึ่ง ส่วนชุดที่สอง ก็จงเย็บแบบเดียวกัน 5 ม่านแต่ละชุดควรมีหูม่าน 50 อันติดไว้ที่ความกว้างของม่าน ชุดที่สอง ก็ควรมี 50 หูติดไว้เช่นกัน ด้านที่มีหูม่านควรอยู่ตรงข้ามกัน 6 แล้วตีขอเกี่ยวด้วยทองคำ 50 อัน เกี่ยวม่าน 2 ชุดให้ติดกันเป็นผ้าคลุมผืนเดียวของกระโจมที่พำนัก
7 จงเย็บม่านขนแพะ 11 ผืนเป็นที่คลุมกระโจมที่พำนัก 8 เย็บม่าน 11 ผืนขนาดเท่ากันทุกผืน ให้ได้ความยาว 30 ศอก และกว้าง 4 ศอก 9 เย็บม่าน 5 ผืนให้ติดกัน ส่วนอีก 6 ผืนก็เย็บให้ติดกันเป็นอีก 1 ชุด แล้วทบม่านผืนที่หกไว้ศอกหนึ่งไว้ที่หน้ากระโจม 10 จงเย็บหูม่าน 50 อันติดไว้ที่ด้านหนึ่งของม่านด้านนอกสุดชุดที่หนึ่ง ส่วนอีก 50 อันติดไว้ที่ด้านของม่านชุดที่สอง
11 จงตีขอเกี่ยวด้วยทองสัมฤทธิ์ 50 อัน และเกี่ยวไว้ที่หูม่าน เพื่อกระชับกับกระโจมให้แน่น 12 ส่วนความยาวม่านในกระโจมที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ก็ปล่อยให้ระพื้นที่ด้านหลังกระโจมที่พำนัก 13 ม่านกระโจมยาวกว่าม่านผ้าป่านด้านละ 1 ศอก ทำให้ห้อยที่ด้านข้างกระโจมที่พำนักและคลุมมิดได้ทั้ง 2 ข้าง 14 จงเย็บที่คลุมกระโจมด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมแดง และใช้อีกผืนคลุมทับด้วยหนังปลาโลมา
15 จงสร้างกรอบไม้สีเสียดให้เป็นโครงกระโจมที่พำนักสำหรับค้ำม่าน 16 ให้แต่ละกรอบสูง 10 ศอก กว้างศอกครึ่ง 17 แต่ละกรอบมีเดือย 2 อันอยู่ตอนล่างสำหรับติดเข้ากับฐาน สร้างกรอบกระโจมที่พำนักให้เหมือนกันหมดทุกกรอบ 18 สร้างกรอบ 20 อันสำหรับด้านใต้ของกระโจมที่พำนัก 19 และเจ้าจงหล่อฐานเงิน 40 อันรองรับกรอบ 20 อัน ให้ฐาน 2 อันรองรับกรอบ 1 อัน สำหรับรองรับเดือยทั้งสอง 20 ด้านที่สองของกระโจมที่พำนักคือด้านเหนือ ก็สร้างกรอบ 20 อัน 21 และฐานเงินอีก 40 อัน ให้ฐาน 2 อันรองรับกรอบ 1 อัน 22 จงสร้างกรอบ 6 อันสำหรับด้านท้ายกระโจมที่พำนักที่หันไปทางทิศตะวันตก 23 สร้างกรอบอีก 2 อันสำหรับมุมที่ท้ายกระโจมที่พำนัก 24 ให้กรอบทั้งสองนี้ตั้งขนานคู่กันตั้งแต่พื้นจรดยอด เป็นเสมือนกรอบเดียวกัน ทั้ง 2 มุมให้ทำเหมือนกันตามนี้ 25 ฉะนั้นจะมีกรอบ 8 อัน และฐานเงิน 16 อัน ฐาน 2 อันต่อกรอบ 1 อัน
26 จงสร้างคานด้วยไม้สีเสียด 5 ตัวสำหรับกรอบทางด้านหนึ่งของกระโจมที่พำนัก 27 คานอีก 5 ตัวสำหรับกรอบอีกด้านหนึ่งของกระโจมที่พำนัก และคาน 5 ตัวสำหรับกรอบที่ด้านข้างของกระโจมที่พำนักสำหรับด้านหลังทางทิศตะวันตก 28 คานตัวกลางที่รับน้ำหนักตอนกลางของกรอบจะต้องให้ยาวตลอดจากปลายด้านหนึ่งจรดอีกด้านหนึ่ง 29 จงหุ้มกรอบไม้สีเสียดด้วยทองคำ และตีห่วงทองคำสำหรับร้อยคานที่จะหุ้มด้วยทองคำเช่นกัน 30 เจ้าจงสร้างกระโจมที่พำนักขึ้นตามแบบที่แสดงให้เห็นที่ภูเขา
31 จงเย็บม่านกั้นผืนหนึ่ง โดยใช้ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด และผ้าป่านทอเนื้อดี ภาพเครูบก็ให้ปักให้งดงามด้วยช่างผู้ชำนาญ 32 แล้วเจ้าจงแขวนไว้ด้วยขอเกี่ยวทองคำบนเสาหลักทั้งสี่ที่เป็นไม้สีเสียดหุ้มทองคำซึ่งตั้งบนฐานเงิน 33 และเจ้าจงแขวนม่านกั้นผืนนี้ที่ใต้ขอเกี่ยวจากเพดาน และจงวางหีบพันธสัญญาภายในบริเวณม่านกั้น ม่านกั้นนี้แยกระหว่างวิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถาน 34 จงวางฝาหีบแห่งการชดใช้บาปไว้บนหีบพันธสัญญาในอภิสุทธิสถาน 35 จงวางโต๊ะไว้นอกม่านกั้น วางคันประทีปไว้ที่ด้านทิศใต้ของกระโจมที่พำนักตรงข้ามกับโต๊ะ วางโต๊ะไว้ทางทิศเหนือ
36 เจ้าจงเย็บม่านบังตาขึ้นผืนหนึ่งสำหรับประตูทางเข้ากระโจมด้วยด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด และผ้าป่านทอเนื้อดีปักลวดลาย 37 เจ้าจงสร้างเสาหลัก 5 ต้นด้วยไม้สีเสียดแล้วหุ้มทองคำ ที่ม่านนั้นให้มีขอเกี่ยวทองคำ และจงหล่อฐาน 5 อันด้วยทองสัมฤทธิ์รองรับเสา
พระเยซูรักษาชายอัมพาต
5 หลังจากนั้นก็ถึงเทศกาลของชาวยิวและพระเยซูเดินทางขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม
2 บริเวณใกล้ประตูแกะในเมืองเยรูซาเล็ม มีสระน้ำชื่อตามภาษาฮีบรูคือ เบธซาธา เป็นสถานที่ซึ่งมีศาลา 5 แห่ง 3 ที่นั่นมีคนป่วยจำนวนมากคือคนตาบอด คนง่อย และคนที่เป็นอัมพาต [รอให้น้ำกระเพื่อม 4 บางครั้งทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าลงมากวนน้ำในสระ หลังจากที่ได้กวนน้ำแล้ว ใครก็ตามที่เป็นคนแรกก้าวลงในน้ำ ก็หายจากโรคที่เป็น][a] 5 มีชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่น เขาได้ป่วยมานาน 38 ปีแล้ว 6 เมื่อพระเยซูเห็นชายผู้นั้นนอนอยู่ และทราบว่าเขาอยู่ในสภาพนั้นเป็นเวลานานแล้ว พระองค์ก็กล่าวกับเขาว่า “เจ้าอยากจะหายหรือไม่” 7 คนป่วยตอบว่า “นายท่าน เวลาน้ำกระเพื่อมไม่มีผู้ใดเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในน้ำ แต่เวลาที่ข้าพเจ้ากำลังไป คนอื่นก็ก้าวลงไปเสียก่อน”
8 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “จงลุกขึ้น หยิบเสื่อของเจ้าไป แล้วเดินเถิด” 9 ในทันใดนั้น ชายคนนั้นก็หายจากโรค เขาหยิบเสื่อขึ้น แล้วก็เดินไป
วันนั้นเป็นวันสะบาโต[b] 10 ฉะนั้นชาวยิวจึงพูดกับคนที่หายจากโรคว่า “นี่เป็นวันสะบาโตและผิดกฎบัญญัติที่เจ้าหยิบเสื่อขึ้น” 11 แต่เขาตอบชาวยิวว่า “ผู้ที่ทำให้ข้าพเจ้าหายเป็นผู้บอกข้าพเจ้าว่า ‘จงหยิบเสื่อขึ้นแล้วเดินเถิด’” 12 พวกเขาจึงถามว่า “ใครเป็นผู้ที่บอกให้เจ้าหยิบเสื่อขึ้นแล้วเดิน” 13 แต่ชายที่หายจากโรคไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด เพราะว่าพระเยซูได้ปลีกตัวออกไปขณะที่มีฝูงชนหนาแน่นอยู่ 14 ต่อมาพระเยซูพบเขาที่พระวิหารและกล่าวว่า “ดูเถิด เจ้าหายดีแล้ว ต่อไปก็อย่าได้ทำบาปอีก มิฉะนั้นเจ้าจะได้รับทุกข์ที่สาหัสยิ่งกว่านี้” 15 ชายผู้นั้นจากไปและได้บอกชาวยิวว่า พระเยซูเป็นผู้ที่ทำให้เขาหายจากโรค 16 และด้วยเหตุนี้ชาวยิวจึงกดขี่ข่มเหงพระเยซู เพราะว่าพระองค์ได้ทำสิ่งเหล่านี้ในวันสะบาโต 17 แต่พระองค์ตอบเขาเหล่านั้นว่า “พระบิดาของเรายังกระทำสิ่งเหล่านี้อยู่จนถึงบัดนี้ และเราเองก็เช่นกัน” 18 เหตุฉะนั้นชาวยิวพยายามรอโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ เพราะนอกจากพระองค์จะฝ่ากฎวันสะบาโตแล้ว ยังเรียกพระเจ้าเป็นพระบิดาของตนอีก ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นการทำตนเสมอพระเจ้า
บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจ
19 พระเยซูกล่าวตอบพวกเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า พระบุตรไม่อาจกระทำสิ่งใดตามลำพังเอง นอกจากจะเป็นสิ่งที่เห็นพระบิดากระทำ ด้วยว่าสิ่งใดก็ตามที่พระบิดากระทำ พระบุตรก็กระทำสิ่งเหล่านั้นด้วย 20 พระบิดารักพระบุตร และแสดงทุกสิ่งที่พระองค์กระทำอยู่ให้พระบุตรเห็น และจะแสดงสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ให้พระบุตรเห็น เพื่อว่าพวกท่านจะได้อัศจรรย์ใจ 21 ตามที่พระบิดาทำให้คนตายฟื้นคืนชีวิตและมอบชีวิตให้เช่นใด พระบุตรก็ให้ชีวิตแก่ผู้ที่พระองค์โปรดได้เช่นกัน 22 ยิ่งกว่านั้นพระบิดาจะไม่กล่าวโทษผู้ใด แต่กลับได้มอบคำกล่าวโทษไว้กับพระบุตร 23 เพื่อว่าทุกคนจะให้เกียรติแด่พระบุตร เหมือนได้ให้เกียรติแด่พระบิดา ผู้ใดไม่ให้เกียรติแด่พระบุตร ก็ถือว่าไม่ได้ให้เกียรติแด่พระบิดาผู้ส่งพระบุตรมา 24 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ผู้ที่ได้ยินคำกล่าวของเรา และเชื่อพระองค์ผู้ส่งเรามา ผู้นั้นจะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์และจะไม่ถูกกล่าวโทษ แต่ผ่านพ้นจากความตายไปสู่ชีวิต
25 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า จะถึงเวลาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่คนตายจะได้ยินเสียงของพระบุตรของพระเจ้า และบรรดาผู้ที่ได้ยินจะมีชีวิต 26 พระบิดาเองเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตเช่นใด พระองค์ก็ได้มอบให้พระบุตรเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตเช่นนั้น 27 และได้มอบสิทธิอำนาจให้กล่าวโทษเพราะว่าพระองค์เป็นบุตรมนุษย์ 28 อย่าประหลาดใจในเรื่องนี้เลย เพราะว่าจะถึงเวลาที่ทุกคนที่อยู่ในหลุมศพจะได้ยินเสียงของพระองค์ 29 และจะออกมา บรรดาผู้ที่ได้กระทำความดีไว้จะฟื้นขึ้นและมีชีวิตอีก บรรดาผู้ที่ได้ทำความชั่วจะฟื้นขึ้นและถูกกล่าวโทษ 30 เราไม่อาจกระทำสิ่งใดตามลำพังเราเอง เรากล่าวโทษตามที่เราได้ยินและด้วยความยุติธรรม เราไม่ทำตามอำเภอใจของเราเอง แต่ตามความประสงค์ของพระองค์ผู้ส่งเรามา
คำยืนยันของพระเยซู
31 ถ้าเรายืนยันเพื่อตัวเราเอง คำของเราก็ไม่จริง 32 มีอีกผู้หนึ่งที่ยืนยันเพื่อเรา และเรารู้ว่าคำยืนยันเรื่องของเราที่ผู้นั้นให้ไว้เป็นความจริง 33 พวกท่านได้ส่งคนไปหายอห์น และยอห์นก็ได้ยืนยันถึงความจริง 34 แต่มิใช่ว่าเราต้องรับคำยืนยันที่มาจากมนุษย์ ที่เรากล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อให้พวกท่านทั้งหลายได้รอดพ้น 35 เมื่อก่อนยอห์นเป็นเสมือนตะเกียงที่จุดอยู่ และปรากฏแสงส่องสว่าง ซึ่งพวกท่านตั้งใจที่จะชื่นชมยินดีในความสว่างของเขาชั่วขณะหนึ่ง 36 แต่คำยืนยันของเรายิ่งใหญ่กว่าคำยืนยันของยอห์นเสียอีก ด้วยว่างานที่พระบิดามอบให้เราทำให้เสร็จบริบูรณ์ ซึ่งเราก็กำลังทำงานนี้อยู่ เป็นหลักฐานยืนยันว่า พระบิดาได้ส่งเรามา 37 พระบิดาผู้ส่งเรามาก็ได้ยืนยันเพื่อเรา แต่พวกท่านไม่เคยได้ยินเสียงและไม่เคยเห็นว่าพระองค์มีรูปลักษณ์อย่างไร 38 ในตัวพวกท่านไม่มีคำกล่าวของพระองค์อยู่ในจิตใจ เพราะความไม่เชื่อในองค์ผู้ที่พระบิดาส่งมา 39 ท่านค้นหาในพระคัมภีร์เพราะคิดว่าจะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ในนั้น แต่พระคัมภีร์นั้นเองที่ยืนยันถึงเรา 40 ท่านทั้งหลายกลับไม่ยอมที่จะมาหาเราเพื่อจะให้ได้ชีวิต 41 เราไม่รับบารมีจากมนุษย์ 42 เรารู้ว่าพวกท่านเป็นอย่างไร คือท่านไม่มีความรักของพระเจ้าอยู่ในตัวท่าน 43 เรามาในพระนามของพระบิดาของเรา แต่พวกท่านไม่รับเรา ในขณะที่ผู้อื่นมาในนามของเขาเอง ท่านกลับจะรับเขา 44 พวกท่านจะเชื่อกันได้อย่างไร ในเมื่อท่านได้รับคำสรรเสริญจากกันและกัน โดยไม่ได้แสวงหาคำสรรเสริญที่มาจากพระเจ้าแต่พระองค์เดียว 45 อย่าคิดว่าเราจะมากล่าวหาท่านต่อหน้าพระบิดา โมเสสซึ่งท่านได้ฝากความหวังไว้ต่างหากได้กล่าวหาพวกท่าน 46 ถ้าพวกท่านเชื่อในโมเสสแล้ว ท่านก็จะเชื่อในเรา เพราะโมเสสเคยเขียนไว้เกี่ยวกับเรา 47 แต่ถ้าหากท่านไม่เชื่อสิ่งที่โมเสสเขียนแล้ว ท่านจะเชื่อคำกล่าวของเราได้อย่างไร”
สติปัญญาจะปกป้องเจ้า
2 ลูกเอ๋ย ถ้าเจ้ารับคำพูดของเรา
และถนอมคำบัญญัติของเราไว้กับตัวเจ้าเป็นอย่างดี
2 เจ้าก็จงตั้งใจเงี่ยหูรับเอาสติปัญญา
น้อมใจของเจ้าเพื่อรับการหยั่งรู้
3 ใช่แล้ว ถ้าเจ้าร้องขอการหยั่งรู้
และเปล่งเสียงของเจ้าขึ้นเพื่อจะได้รับความเข้าใจ
4 ถ้าเจ้าแสวงหาสติปัญญาดั่งที่เจ้าแสวงหาเงิน
ดั่งที่เจ้าขุดค้นหาสมบัติที่ซ่อนไว้
5 แล้วเจ้าก็จะเข้าใจความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า
และจะพบความรู้ของพระเจ้า
6 ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าให้สติปัญญา
ความรู้และความเข้าใจมาจากปากของพระองค์
7 พระองค์สะสมสติปัญญาอันบริบูรณ์ไว้สำหรับบรรดาผู้มีความชอบธรรม
พระองค์เป็นดั่งโล่สำหรับผู้ถือสัจจะ
8 พระองค์ปกป้องหนทางแห่งความเที่ยงธรรม
และคุ้มกันทางของบรรดาผู้ภักดีของพระองค์
9 แล้วเจ้าจะได้เข้าใจความชอบธรรม ความเที่ยงธรรม
และความยุติธรรม คือทุกวิถีทางที่ดี
10 ด้วยว่าสติปัญญาจะอยู่ในใจเจ้า
และความรู้จะเป็นสิ่งน่าชื่นชมของจิตวิญญาณของเจ้า
11 ปฏิภาณจะคุ้มกันเจ้า
และการหยั่งรู้จะปกป้องเจ้า
12 สติปัญญาจะให้เจ้าหลุดพ้นจากหนทางอันชั่วร้าย
จากคนที่พูดจาบิดเบือน
13 จากคนที่ผละไปจากหนทางแห่งความชอบธรรม
เพื่อมุ่งไปในหนทางแห่งความมืด
14 จากผู้ที่ยินดีกับการกระทำอันเลวร้าย
และชื่นชมกับความจอมปลอมของความชั่ว
15 ซึ่งหนทางของเขาก็เคี้ยวคด
เขาเป็นคนยอกย้อนไปตามวิถีทางของเขา
16 สติปัญญาจะให้เจ้าหลุดพ้นจากหญิงที่ล่วงประเวณี
จากหญิงโสเภณีที่มีคำพูดอันระรื่นหู
17 ซึ่งได้ทอดทิ้งคู่ชีวิตจากวัยแรกรุ่นของนาง
และลืมคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับพระเจ้าของนาง
18 ด้วยว่าบ้านเรือนของนางจมลงสู่ความตาย
และวิถีทางของนางก็นำไปสู่โลกแห่งคนตาย
19 ไม่มีใครที่ไปหานางแล้วจะกลับออกมาได้อีก
ทั้งไม่อาจไปถึงทางแห่งชีวิตได้
20 ฉะนั้น เจ้าจะเดินไปบนหนทางของคนดี
ใช้ทางของผู้มีความชอบธรรม
21 ด้วยว่า ผู้มีความชอบธรรมจะใช้ชีวิตอยู่ในแผ่นดิน
และผู้ถือสัจจะจะอยู่ ณ ที่นั้น
22 แต่คนชั่วจะถูกกำจัดออกจากแผ่นดิน
และคนใจหินก็จะถูกถอนเสียจากที่นั่น
การทักทายของเปาโล
1 ข้าพเจ้าเปาโลอัครทูตซึ่งไม่ได้มาจากมนุษย์ หรือโดยผ่านมนุษย์ แต่โดยผ่านพระเยซูคริสต์และพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาผู้โปรดให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 2 ข้าพเจ้าและพี่น้องทั้งปวงที่อยู่กับข้าพเจ้าฝากความคิดถึงมายังคริสตจักรทั้งหลายในแคว้นกาลาเทีย
3 ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า จงมีแก่ท่านทั้งหลายเถิด 4 พระเยซูคริสต์ได้สละชีวิตของพระองค์เองเพื่อบาปทั้งปวงของเรา เพื่อว่าพระองค์จะได้ช่วยเราให้พ้นจากยุคปัจจุบันอันชั่วนี้ ตามความประสงค์ของพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาของเรา 5 ขอพระบารมีจงมีแด่พระบิดาชั่วนิรันดร์กาลเถิด อาเมน
ไม่มีข่าวประเสริฐอื่น
6 ข้าพเจ้าแปลกใจที่ท่านด่วนเอาใจออกห่างจากพระองค์ ผู้ได้เรียกท่านโดยพระคุณของพระคริสต์ และท่านกลับไปเชื่อข่าวประเสริฐที่แตกต่างออกไป 7 ซึ่งความจริงแล้ว ไม่มีข่าวประเสริฐอื่นใดอีก มีบางคนกำลังทำให้ท่านสับสน และอยากบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ 8 หากว่าพวกเราหรือทูตจากสวรรค์จะประกาศข่าวประเสริฐซึ่งแตกต่างไปจากข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่พวกท่านแล้ว ก็ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งเถิด 9 ตามที่พวกเราได้พูดไปแล้ว เวลานี้ข้าพเจ้าขอพูดอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าใครประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านแตกต่างไปจากที่ท่านได้รับแล้ว ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งเถิด
10 ข้าพเจ้าพยายามทำให้ใครเห็นดีด้วยเล่า มนุษย์หรือพระเจ้า หรือว่าข้าพเจ้าพยายามเอาใจมนุษย์ ถ้าข้าพเจ้ายังเอาใจมนุษย์อยู่ ข้าพเจ้าคงจะไม่เป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์หรอก
พระเยซูเผยข่าวประเสริฐให้เปาโลประกาศ
11 พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่า ข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศนั้นไม่ใช่ข่าวสารที่มนุษย์แต่งขึ้น 12 ข้าพเจ้าไม่ได้รับรู้มาจากมนุษย์คนใด ไม่มีใครสอนข้าพเจ้า แต่พระเยซูคริสต์เป็นผู้เผยให้ข้าพเจ้าทราบ 13 ด้วยว่าพวกท่านได้ทราบถึงวิถีชีวิตเดิมของข้าพเจ้า ครั้งที่ยังเชื่อในศาสนายิว ข้าพเจ้าเคยกดขี่ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้าอย่างรุนแรง และพยายามจะทำลายคริสตจักรให้สาบสูญไป 14 ในทางศาสนายิว ข้าพเจ้าก้าวหน้ากว่าพวกพ้องที่อยู่ในวัยเดียวกันอยู่หลายคน อีกทั้งยังเคร่งครัดต่อประเพณีนิยมของบรรพบุรุษของข้าพเจ้าอย่างที่สุด 15 แต่เมื่อพระองค์ผู้แต่งตั้งข้าพเจ้าตั้งแต่ข้าพเจ้าอยู่ในครรภ์มารดา มีความยินดี และเรียกข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์ 16 โปรดให้ข้าพเจ้าเห็นพระบุตรของพระองค์ เพื่อข้าพเจ้าจะได้ประกาศเรื่องของพระองค์ในหมู่คนนอก[a] ข้าพเจ้าไม่ได้ขอคำแนะนำจากมนุษย์คนใด 17 ข้าพเจ้าไม่ได้ขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็มเพื่อพบกับบรรดาผู้เป็นอัครทูตรุ่นก่อนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าได้เข้าไปในอาณาเขตอาระเบีย และกลับมายังเมืองดามัสกัสอีกครั้งหนึ่ง
18 สามปีต่อมาข้าพเจ้าขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็มเพื่อทำความคุ้นเคยกับเคฟาส[b] และพักอยู่กับเขาเป็นเวลา 15 วัน 19 ข้าพเจ้าไม่ได้พบอัครทูตอื่นๆ ยกเว้นยากอบน้องชายของพระเยซูเจ้า 20 สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนถึงพวกท่านต่อหน้าพระเจ้า ข้าพเจ้าพูดความจริงทั้งสิ้น 21 หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เข้าไปยังเขตแดนแคว้นซีเรียและซีลีเซีย 22 ในหมู่คริสตจักรของพระคริสต์ในแคว้นยูเดีย ยังไม่เคยมีใครรู้จักข้าพเจ้ามาก่อน 23 พวกเขาเพียงแต่ได้ยินกันว่า “บัดนี้ คนที่เคยกดขี่ข่มเหงพวกเรา กลับเปลี่ยนมาประกาศความเชื่อที่เขาเคยพยายามทำลายล้างมาก่อน” 24 พวกเขาเหล่านั้นจึงสรรเสริญพระเจ้า เพราะสิ่งที่พระองค์กระทำผ่านข้าพเจ้า
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation