M’Cheyne Bible Reading Plan
พระบัญญัติสิบประการ
20 พระเจ้ากล่าวตามคำพูดดังนี้ว่า
2 “เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า คือผู้ที่นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากบ้านเรือนแห่งความเป็นทาส
3 นอกจากเราแล้ว เจ้าจงอย่านมัสการเทพเจ้าใดๆ
4 อย่าสร้างรูปเคารพหรือสิ่งใดที่มีลักษณะเหมือนสิ่งที่อยู่ในสวรรค์เบื้องบน หรืออยู่ในโลกเบื้องล่าง หรืออยู่ในน้ำใต้โลกให้แก่ตนเอง 5 อย่าก้มกราบหรือบูชาสิ่งเหล่านั้น เพราะเราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า พระเจ้าผู้หวงแหน เราจะทำให้บาปของบิดาตกทอดถึงบุตรของเขาต่อเนื่องไปจน 3 และ 4 ชั่วอายุของผู้ที่เกลียดชังเรา 6 แต่เราจะแสดงความรักอันมั่นคงนับพันๆ ชั่วอายุของผู้ที่รักเราและปฏิบัติตามบัญญัติของเรา
7 อย่าใช้ชื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าในทางที่ผิด เพราะพระองค์จะถือโทษต่อคนที่นำชื่อของพระองค์ไปใช้ในทางที่ผิด
8 จงระลึกถึงวันสะบาโตโดยนับว่าเป็นวันบริสุทธิ์ 9 เจ้าจะลงแรงทำงานทั้งสิ้นของเจ้า 6 วัน 10 แต่วันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโตสำหรับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า เจ้าอย่าทำงานใดๆ ในวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวเจ้า บุตรชายบุตรหญิง ผู้รับใช้ชายและหญิง หรือแม้แต่สัตว์ใช้งานของเจ้า และคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในเมืองของเจ้า 11 เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าได้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทะเลและทุกสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้นในเวลา 6 วัน แล้วพระองค์พักผ่อนในวันที่เจ็ด ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าให้พรวันสะบาโตและทำให้เป็นวันบริสุทธิ์
12 จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้มีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้ามอบให้แก่เจ้า[a]
13 อย่าฆ่าคน
14 อย่าผิดประเวณี
15 อย่าขโมย
16 อย่าเป็นพยานเท็จกล่าวหาเพื่อนบ้านของเจ้า[b]
17 อย่าโลภ[c]อยากได้บ้านเรือนของเพื่อนบ้านเจ้า อย่าโลภอยากได้ภรรยาของเพื่อนบ้านเจ้า หรือผู้รับใช้ชายและหญิงของเขา โคหรือลาของเขา หรืออะไรก็ตามที่เป็นของเพื่อนบ้านของเจ้า”
18 เมื่อประชาชนเห็นฟ้าร้อง ฟ้าแลบและได้ยินเสียงแตรงอน อีกทั้งเห็นควันพลุ่งขึ้นจากภูเขา พวกเขาก็กลัวจนตัวสั่นและยืนอยู่ห่างๆ 19 พลางพูดกับโมเสสว่า “ท่านพูดกับเราเถิด เราจะฟัง แต่อย่าให้พระเจ้าพูดกับเราโดยตรงเลย เพราะเกรงว่าพวกเราจะถึงกาลวิบัติ” 20 โมเสสพูดกับประชาชนว่า “อย่ากลัวเลย เพราะพระเจ้ามาทดสอบท่าน เพื่อท่านจะได้ยำเกรงพระองค์ และไม่ทำบาป” 21 ประชาชนยืนอยู่ห่างๆ ในขณะที่โมเสสเดินเข้าไปใกล้ความมืดมิดที่พระเจ้าสถิต
รูปเคารพและแท่นบูชา
22 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “เจ้าจงพูดกับชาวอิสราเอลว่า ‘พวกเจ้าเองเห็นแล้วว่า เราได้พูดกับเจ้าจากท้องฟ้า 23 อย่าหล่อเทวรูปเงินขึ้นมาเทียบเคียงข้างเรา และอย่าหล่อเทวรูปทองคำให้ตนเองเช่นกัน 24 แต่จงใช้ดินก่อเป็นแท่นบูชาสำหรับเรา และถวายเครื่องสักการะด้วยแกะและโคที่จะเผาเป็นของถวายและเนื้อสัตว์ที่เป็นของถวายเพื่อสามัคคีธรรม ที่ใดก็ตามที่เราหมายจะให้เจ้าระลึกถึงชื่อของเรา เราก็จะมาหาเจ้าและอวยพรเจ้า 25 และถ้าเจ้าจะใช้หินก่อเป็นแท่นบูชาสำหรับเรา เจ้าก็อย่าสร้างขึ้นจากหินที่แต่งแล้ว เพราะหากว่าเจ้าใช้เครื่องมือแต่งหิน เท่ากับเจ้าทำให้หินเป็นมลทิน 26 และอย่าขึ้นสู่แท่นบูชาของเราทางขั้นบันได เพราะคนจะเห็นกายของเจ้าที่ไม่ปกปิดให้มิดชิด’
23 ที่ประชุมทั้งหมดจึงลุกขึ้นแล้วนำพระองค์ไปหาปีลาต 2 เขาเหล่านั้นเริ่มกล่าวหาพระองค์ว่า “พวกเราเห็นว่าชายผู้นี้เป็นผู้นำชาติของเราไปในทางที่ผิด เขาฝ่าฝืนการจ่ายภาษีให้แก่ซีซาร์และก็อ้างว่าเป็นพระคริสต์ กษัตริย์ผู้หนึ่ง” 3 ดังนั้นปีลาตถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” พระองค์กล่าวตอบว่า “เป็นตามที่ท่านพูด” 4 แล้วปีลาตประกาศต่อพวกมหาปุโรหิตและปวงชนว่า “เราเห็นว่าชายผู้นี้ไม่มีความผิด” 5 แต่เขาทั้งหลายยืนกรานว่า “เขาทำให้ผู้คนทั่วแคว้นยูเดียปั่นป่วนวุ่นวายเพราะการสอนของเขา เขาเริ่มจากแคว้นกาลิลีและมาตลอดทางจนถึงที่นี่”
6 เมื่อปีลาตได้ยินเช่นนั้น เขาถามว่าชายผู้นี้เป็นชาวกาลิลีหรือไม่ 7 เมื่อเขารู้ว่าพระเยซูอยู่ในแขวงที่เฮโรดปกครอง จึงได้ส่งพระองค์ไปยังเฮโรดซึ่งอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มด้วยในเวลานั้น 8 เมื่อเฮโรดเห็นพระเยซู ก็มีความยินดียิ่งเพราะใคร่จะได้เห็นพระเยซูมานานแล้ว และเท่าที่ได้ยินเรื่องราวของพระองค์มานั้น ท่านหวังจะเห็นการทำสิ่งอัศจรรย์จากพระองค์ 9 จึงซักไซ้ไล่เลียงพระองค์ด้วยคำถามมากมาย แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ 10 พวกมหาปุโรหิตและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยก็กล่าวหาพระองค์อย่างรุนแรง 11 เฮโรดและพวกทหารของท่านพากันหัวเราะเยาะและล้อเลียน เขาเอาเสื้อตัวนอกชุดหรูคลุมกายพระองค์ แล้วจึงส่งกลับไปหาปีลาต 12 จากวันนั้นเองเฮโรดและปีลาตก็กลายเป็นเพื่อนกันทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ทั้งสองเคยเป็นศัตรูกัน
13 ปีลาตได้เรียกมหาปุโรหิตประชุมร่วมกับพวกที่อยู่ในระดับปกครองและประชาชน 14 และประกาศในที่ประชุมว่า “ท่านนำชายผู้นี้มาราวกับว่าเขาเป็นผู้ยุยงประชาชนให้แข็งข้อ เราได้สอบถามเขาต่อหน้าท่านแล้ว และเราเห็นว่าชายผู้นี้ไม่มีความผิดในสิ่งที่ท่านกล่าวหาเขา 15 ทั้งเฮโรดก็เช่นกันจึงได้ส่งเขากลับมา พวกท่านก็เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งใดอันมีโทษถึงชีวิต 16 ฉะนั้นเราจะลงโทษแล้วจึงปล่อยเขาไป” [17 ปีลาตมีข้อผูกพันที่จะปล่อยชาย 1 คนให้พวกเขาในงานเทศกาล][a]
18 ผู้คนร้องขึ้นเป็นเสียงเดียวว่า “กำจัดคนนี้เสีย ปล่อยบารับบัสให้พวกเราเถิด” 19 บารับบัสถูกโยนเข้าคุกก็เพราะการกบฏในเมืองและการฆาตกรรม 20 ปีลาตต้องการจะปล่อยพระเยซูจึงได้กล่าวแย้งขึ้นอีก 21 แต่ฝูงชนยังตะโกนอยู่อีกว่า “ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสีย”[b] 22 ปีลาตได้พูดอีกเป็นครั้งที่สามว่า “ทำไมเล่า เขาทำอะไรชั่วร้ายหรือ เราไม่เห็นว่าเขาผิดจนต้องรับโทษถึงตาย ฉะนั้นเราจะให้เขารับโทษแล้วก็ปล่อยไป” 23 แต่ผู้คนยิ่งส่งเสียงดังรบเร้าให้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขน แล้วเสียงตะโกนของพวกเขาก็สำเร็จผล 24 ในที่สุดปีลาตก็กระทำตามมติมหาชน 25 โดยปล่อยคนที่เคยติดคุกกรณีกบฏและฆาตกรรมตามคำเรียกร้อง และมอบพระเยซูให้แก่มหาชนตามความประสงค์ของพวกเขา
ไม้กางเขน
26 ขณะที่พวกเขาพาพระองค์ไปก็ได้คว้าตัวซีโมนชาวไซรีนซึ่งกำลังเดินทางมาจากชนบท และวางไม้กางเขนบนหลังซีโมนเพื่อให้แบกตามพระเยซูไป 27 ไม่เพียงหมู่สตรีซึ่งร้องคร่ำครวญและร้องไห้ฟูมฟายเท่านั้นที่ตามพระองค์ไป แต่ยังมีประชาชนจำนวนมากอีกด้วย 28 พระเยซูหันกลับมาเพื่อกล่าวกับเหล่าสตรีว่า “ลูกหญิงของเมืองเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้เพื่อเราเลย จงร้องไห้เพื่อพวกเจ้าและลูกๆ ของเจ้าเองเถิด 29 ด้วยว่าจะถึงเวลาที่เจ้าจะพูดว่า ‘พวกผู้หญิงที่เป็นหมัน ท้องที่ไม่เคยอุ้ม และอกที่ไม่เคยให้น้ำนมก็เป็นสุข’ 30 แล้ว ‘เขาทั้งหลายจะพูดกับภูเขาว่า ปกคลุมเราเถิด และพูดกับเนินเขาว่า กลิ้งลงมาทับเราเถิด’[c] 31 ถ้าหากว่าคนกระทำสิ่งเหล่านี้เมื่อต้นไม้ยังเขียวชอุ่ม แล้วอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อมันแห้งลง”
32 ชายคนร้ายอีก 2 คนถูกนำตัวไปกับพระองค์ด้วยเพื่อประหาร 33 เมื่อพวกเขามายังสถานที่ที่เรียกว่ากะโหลกศีรษะ ที่นั่นแหละที่พวกเขาตรึงพระเยซูร่วมกับคนร้าย คนหนึ่งทางด้านขวา และคนหนึ่งทางด้านซ้ายของพระองค์ 34 พระเยซูกล่าวว่า “พระบิดา ช่วยยกโทษให้แก่พวกเขาด้วยเถิด เพราะเขาต่างไม่ทราบว่าตนกำลังทำอะไรอยู่” และพวกเขาจับฉลากเพื่อแบ่งปันเสื้อตัวนอกของพระองค์ 35 ประชาชนต่างยืนดู และแม้แต่พวกที่อยู่ในระดับปกครองยังพูดดูหมิ่นพระองค์ว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดชีวิตได้ ถ้าหากว่าเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้าได้เลือกละก็ ให้เขาช่วยตัวเองให้รอดสิ” 36 พวกทหารก็ล้อเลียนพระองค์แล้วเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวมาให้ 37 เขาพูดว่า “ถ้าท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ก็ช่วยตัวเองให้รอดสิ”
38 เหนือร่างของพระองค์มีข้อความจารึกไว้ว่า
“นี่คือกษัตริย์ของชาวยิว”
39 ผู้ร้ายคนหนึ่งซึ่งถูกตรึงอยู่ที่นั่นได้กล่าววาจาดูหมิ่นพระองค์ว่า “ท่านไม่ใช่พระคริสต์หรอกหรือ ช่วยตัวท่านเองแล้วช่วยเราให้รอดด้วยสิ” 40 คนร้ายอีกคนห้ามเขาว่า “เจ้าไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือ ในเมื่อเจ้าก็ถูกโทษเช่นเดียวกัน 41 เราถูกลงโทษอย่างยุติธรรม เพราะว่าเราสมควรจะได้รับโทษตามสิ่งที่เราทำไป แต่ท่านผู้นี้ไม่ได้ทำผิดแต่อย่างใดเลย” 42 แล้วเขาพูดว่า “พระเยซู เวลาพระองค์เข้าสู่อาณาจักรของพระองค์ โปรดระลึกถึงข้าพเจ้าด้วยเถิด” 43 พระเยซูตอบเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า วันนี้เจ้าจะไปอยู่กับเราในสวนสวรรค์”
พระเยซูสิ้นชีวิต
44 ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน แต่ความมืดปกคลุมไปทั่วแผ่นดินจนถึงบ่าย 3 โมง 45 ดวงอาทิตย์หยุดส่องแสง ผ้าม่านในพระวิหารขาดออกเป็น 2 ท่อน 46 พระเยซูร้องเสียงดังว่า “พระบิดา ข้าพเจ้าขอฝากวิญญาณของข้าพเจ้าไว้ในมือของพระองค์ด้วย” พระองค์กล่าวจบพร้อมกับหายใจเฮือกสุดท้าย 47 นายร้อยเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็สรรเสริญพระเจ้าและพูดว่า “จริงทีเดียว ชายผู้นี้เป็นผู้มีความชอบธรรม” 48 คนทั้งปวงได้ชุมนุมกันเพื่อจะดูเหตุการณ์ เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้ตีอกชกตัวแล้วก็จากไป 49 คนทั้งปวงที่รู้จักพระองค์ รวมทั้งพวกผู้หญิงซึ่งได้ติดตามพระองค์ไปจากแคว้นกาลิลีก็ยืนอยู่ห่างๆ เฝ้าดูเหตุการณ์เหล่านั้น
โยเซฟนำร่างของพระเยซูไปเก็บไว้
50 มีชายผู้หนึ่งชื่อโยเซฟซึ่งเป็นสมาชิกในศาสนสภา เป็นคนดีและมีความชอบธรรม 51 โยเซฟไม่เห็นด้วยกับการตัดสินและการกระทำของเขาเหล่านั้น เขาเป็นชาวเมืองอาริมาเธียซึ่งเป็นเมืองของชาวยิว และกำลังรอคอยอาณาจักรของพระเจ้า 52 เขาไปหาปีลาตเพื่อขอร่างของพระเยซู 53 เขาวางร่างลงแล้วพันหุ้มด้วยผ้าป่าน ใส่ในถ้ำเก็บศพซึ่งเจาะเข้าไปในหินและยังไม่เคยมีร่างอื่นวางไว้มาก่อน 54 วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม[d]ซึ่งใกล้วันสะบาโตแล้ว 55 พวกผู้หญิงที่มากับพระเยซูจากแคว้นกาลิลีก็ตามโยเซฟไป และเห็นถ้ำเก็บศพ อีกทั้งเห็นด้วยว่าเขาวางร่างของพระองค์ไว้อย่างไร 56 แล้วเขาเหล่านั้นจึงกลับบ้านไปเพื่อเตรียมเครื่องหอมกับน้ำหอม และจะพักผ่อนในวันสะบาโตตามพระบัญญัติ
พระผู้เป็นเจ้าตอบโยบ
38 พระผู้เป็นเจ้าจึงตอบเป็นเสียงจากพายุว่า
2 “นี่ใครกัน ที่สงสัยแผนการของเรา
ด้วยการพูดจาที่ปราศจากความรู้
3 จงเตรียมพร้อมอย่างลูกผู้ชาย
เราจะถามเจ้า
และเจ้าจงตอบเรา
4 เจ้าอยู่ที่ไหนเวลาที่เราวางฐานรากของแผ่นดินโลก
บอกเราสิ ถ้าเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ดี
5 ใครตัดสินใจขนาดของมัน เจ้าต้องรู้แน่เชียว
หรือใครวัดขนาดที่แผ่กว้างบนแผ่นดินโลก
6 ฐานของโลกตั้งอยู่บนอะไร
หรือใครเป็นผู้วางศิลามุมเอก
7 เมื่อดวงดาวยามย่ำรุ่งร้องประสานเสียงกัน
และบรรดาบุตรของพระเจ้า[a]โห่ร้องด้วยความยินดี
8 หรือใครใช้ประตูปิดกั้นทะเลไว้
เมื่อน้ำทะลักออกจากท้องทะเล
9 เมื่อเราสร้างเมฆให้เป็นดั่งเครื่องนุ่งห่ม
และพันด้วยความมืดมิดดั่งผ้าพันทารก
10 และสั่งให้มีขอบเขตจำกัด
ด้วยสลักดาลประตู
11 และบอกทะเลว่า ‘เจ้าออกมาได้เพียงเท่านี้ ห้ามเลยออกไปอีก
และพลังคลื่นที่คึกคะนองก็หยุดอยู่ที่นั่น’
12 ตั้งแต่เจ้าเกิดมา เจ้าเคยบัญชาให้เกิดเวลาเช้าหรือ
และสั่งให้รุ่งอรุณรู้จักตำแหน่งหน้าที่ของมันหรือ
13 และให้รุ่งอรุณครอบคลุมทั่วแหล่งหล้า
และสลัดคนชั่วออกไปจากโลกหรือ
14 แผ่นดินโลกเปลี่ยนไปเหมือนดินเผาที่มีตราประทับ
และมีลักษณะเด่นชัดดั่งเครื่องนุ่งห่ม
15 คนชั่วถูกยึดแสงไป
และพวกเขาถูกตัดกำลัง
16 เจ้าเคยเข้าไปถึงตาน้ำในทะเล
หรือเรียนรู้ถึงความลึกลับซับซ้อนของห้วงน้ำลึกหรือ
17 ประตูแดนคนตายถูกเปิดเผยให้เจ้ารู้แล้วหรือ
เจ้าเคยเห็นประตูแห่งความมืดมิดแล้วหรือ
18 เจ้าเคยเข้าใจถึงโดมกว้างใหญ่ของโลกไหม
ถ้าเจ้ารู้ทุกสิ่งในเรื่องนี้ก็บอกเราสิ
19 เจ้าไปทางไหนจึงจะพบความสว่างได้
และความมืดอยู่ที่ไหน
20 เจ้าจะได้พามันไปยังเขตแดนของมัน
และจะได้รู้ทางกลับไปยังที่ของมัน
21 เจ้ารู้สินะ เพราะในเวลานั้นเจ้าก็เกิดแล้ว
และเจ้าก็มีอายุมากเสียเหลือเกิน
22 เจ้าเคยเข้าไปในแหล่งเก็บหิมะ
หรือเจ้าเคยเห็นแหล่งเก็บลูกเห็บไหม
23 เป็นที่ซึ่งเราเก็บสำรองไว้ในยามคับขัน
ในยามต่อสู้และสงคราม
24 เจ้ารู้จักทางไปยังที่ซึ่งเราแจกจ่ายกระแสฟ้าแลบ
หรือที่ซึ่งลมทะเลทรายถูกพัดไปบนแผ่นดินโลกไหม
25 ใครเบิกทางให้ฝนกระหน่ำลง
และเปิดทางให้ฟ้าผ่า
26 เพื่อนำฝนลงมาบนแผ่นดินที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่
บนทะเลทรายซึ่งหามีผู้คนไม่
27 เพื่อทำให้ที่ร้างอันแร้นแค้นได้ชุ่มชื่น
และทำให้พื้นดินมีหญ้างอกขึ้นมา
28 ฝนมีพ่อหรือ
หรือใครทำให้หยดน้ำค้างเกิดขึ้น
29 น้ำแข็งออกมาจากครรภ์ของผู้ใด
และใครให้กำเนิดน้ำค้างแข็งแห่งฟ้าสวรรค์
30 น้ำกลายเป็นน้ำแข็งดั่งหิน
และผิวห้วงน้ำลึกก็แข็งตัว
31 เจ้าสามารถผูกมัดดาวลูกไก่
หรือแก้มัดสายดาวไถได้หรือ
32 เจ้าสามารถนำกลุ่มดาวออกมาตามฤดูกาลของมันได้หรือ
เจ้าสามารถนำทางดาวจระเข้ออกมากับลูกๆ ของมันได้หรือ
33 เจ้ารู้กฎเกณฑ์ของดวงสว่างบนฟ้าสวรรค์ไหม
เจ้าสามารถใช้กฎของมันเป็นกฎบนแผ่นดินโลกได้หรือ
34 เจ้าสามารถตะโกนสั่งหมู่เมฆ
เพื่อให้ฝนตกหนักท่วมตัวเจ้าได้หรือ
35 เจ้าสามารถสั่งสายฟ้าให้แลบและมันก็ทำตามเจ้า
และจะตอบเจ้าอีกด้วยว่า ‘พวกเราอยู่นี่’ อย่างนั้นหรือ
36 ใครสร้างสติปัญญาไว้ในส่วนลึก
หรือให้ความเข้าใจแก่ความนึกคิด
37 ใครสามารถนับจำนวนเมฆด้วยปัญญา
หรือใครสามารถเอียงถุงเก็บน้ำในท้องฟ้าได้
38 ยามที่ฝุ่นกลายเป็นโคลน
และก้อนดินเกาะติดกันแน่น
39 เจ้าสามารถล่าเหยื่อให้สิงโต
และทำให้สิงโตหนุ่มหายหิวได้หรือ
40 เมื่อพวกมันหมอบอยู่ในถ้ำ
หรือนอนซุ่มพร้อมจะกระโจน
41 ใครจัดหาเหยื่อให้อีกา
เมื่อพวกลูกน้อยของมันร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
และเร่ร่อนไปมาเพราะขาดอาหาร
ให้ด้วยความเอื้อเฟื้อ
8 พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้พวกเราอยากจะให้ท่านทราบถึงพระคุณของพระเจ้า ซึ่งมีต่อบรรดาคริสตจักรในแคว้นมาซิโดเนีย 2 แม้ว่าพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานมาก แต่ก็ยังมีความยินดียิ่ง และจากความยากไร้อย่างสุดแสนของเขากลับเบ่งบานออกมาเป็นความเอื้อเฟื้ออย่างมหาศาล 3 ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่า พวกเขาได้ให้ตามความสามารถ และตั้งใจเผื่อแผ่ให้เกินตัวเสียอีก 4 เขาขอร้องเราครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ให้พวกเขามีส่วนร่วมช่วยเหลือบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า 5 พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติอย่างที่เราได้คาดไว้ แต่พวกเขากลับอุทิศตนต่อพระผู้เป็นเจ้าก่อน แล้วจึงอุทิศตนให้เราตามความประสงค์ของพระเจ้า 6 เราขอให้ทิตัสไปปฏิบัติงานอันพรั่งพร้อมด้วยพระคุณในหมู่ท่านให้เสร็จบริบูรณ์ เพราะเขาเป็นคนเริ่มไว้ก่อนแล้ว 7 แต่ตามที่ท่านเพียบพร้อมด้วยทุกสิ่ง ทั้งความเชื่อ วาจา และความรู้ ความเอาจริงเอาจัง และความรักของท่านที่มีต่อเรา จงดูด้วยว่าท่านพรั่งพร้อมด้วยพระคุณในการให้เช่นกัน
8 ข้าพเจ้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เป็นการออกคำสั่ง แต่ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ความรักแท้ของท่านเมื่อเทียบกับความเอาจริงเอาจังของผู้อื่น 9 เพราะพวกท่านทราบถึงพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า แม้พระองค์จะมั่งคั่ง แต่เพราะเห็นแก่ท่าน พระองค์จึงมาเป็นผู้ยากไร้ เพื่อท่านจะได้มั่งคั่งเพราะความยากไร้ของพระองค์ 10 ข้าพเจ้าให้ความเห็นเรื่องนี้ เพื่อผลประโยชน์ของท่าน ปีที่แล้วท่านไม่เป็นเพียงพวกแรกที่เริ่มกระทำการนี้เท่านั้น แต่ยังปรารถนาที่จะทำด้วย 11 และเวลานี้ท่านจงกระทำให้เสร็จเถิด เพื่อว่าความตั้งใจที่พร้อมอยู่แล้วนั้นจะได้คู่ไปกับการกระทำให้เสร็จบริบูรณ์ ตามความสามารถของท่าน 12 เพราะถ้ามีความตั้งใจพร้อมที่จะให้ พระเจ้าก็รับเท่าที่เขามี มิใช่สิ่งที่เขาไม่มี
ทิตัสและผู้ร่วมงาน
13 เราไม่ได้หมายความว่าให้ผู้อื่นเบาใจ และให้ท่านหนักใจ แต่ควรจะมีความเสมอภาคกัน 14 ในเวลานี้ ท่านมีอย่างบริบูรณ์ซึ่งจะช่วยเหลือเขาตามความจำเป็นได้ เพื่อว่าเวลาเขามีอย่างบริบูรณ์ เขาจะได้ช่วยท่านตามความจำเป็นเช่นกัน จะได้มีความเสมอภาคกัน 15 ตามที่มีบันทึกไว้ว่า “คนที่เก็บสะสมมากไม่ได้มีเหลือเฟือ และคนที่เก็บสะสมเพียงเล็กน้อยก็ไม่ขัดสน”[a]
16 แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ทิตัสมีความกระตือรือร้นเหมือนกับที่ข้าพเจ้ามีต่อท่าน 17 เขาไม่เพียงรับคำขอร้องของเรา แต่เขามีความกระตือรือร้นมาก จึงได้ไปหาท่านตามใจปรารถนาของเขาเอง 18 เราจะให้พี่น้องคนหนึ่งผู้มีชื่อเสียงในหมู่คริสตจักรทั้งปวงในด้านการประกาศข่าวประเสริฐไปกับเขา 19 ยิ่งกว่านั้นคริสตจักรต่างๆ ก็ได้เลือกเขาให้เป็นผู้เดินทางไปกับเรา เพื่องานที่พรั่งพร้อมด้วยพระคุณครั้งนี้ ซึ่งเราเป็นฝ่ายจัดการเพื่อเป็นเกียรติแก่พระผู้เป็นเจ้าเอง และเพื่อแสดงความกระตือรือร้นของเราด้วย 20 เราต้องระวังไม่ให้มีใครติเตียนเราได้ ในการจัดการเงินเรี่ยไรจำนวนมากเช่นนี้ 21 เราใส่ใจกับสิ่งอันมีเกียรติ มิใช่เพียงต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่ต่อหน้ามนุษย์ด้วย 22 เราได้ให้พี่น้องของเราคนหนึ่งมากับเขาทั้งสองด้วย เราได้ทดสอบคนนี้หลายครั้ง และพบว่าเขาเอาจริงเอาจังกับหลายสิ่ง และเวลานี้เขาเอาจริงเอาจังมากยิ่งขึ้น เพราะเขามีความมั่นใจในตัวท่านมาก 23 สำหรับทิตัสแล้ว เขาเป็นผู้ร่วมงานของข้าพเจ้า เขาทำงานร่วมกับข้าพเจ้าในหมู่ท่าน ส่วนพี่น้อง 2 คนนั้นเป็นตัวแทนของคริสตจักรทั้งหลาย และพระคริสต์เป็นผู้ได้รับเกียรติ 24 ดังนั้นจงพิสูจน์ให้ชายเหล่านี้เห็นความรักของท่าน และความภูมิใจที่เรามีต่อพวกท่าน เพื่อคริสตจักรต่างๆ จะได้เห็น
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation