Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
อพยพ 21

21 ต่อไปนี้เป็นคำสั่งที่เจ้าจะต้องแจ้งให้พวกเขารู้ เวลาเจ้าซื้อทาสชาวฮีบรู เขาจะรับใช้ได้นานถึง 6 ปี แต่พอปีที่เจ็ด เขาจะเป็นอิสระโดยไม่ต้องจ่ายค่าไถ่ถอนอะไรเลย ถ้าเขามาเพียงลำพัง เขาก็ไปเพียงลำพังคนเดียว แต่ถ้าเขามากับภรรยา เขาก็ควรพาภรรยาไปด้วย ถ้านายของเขาหาภรรยาให้เขา และนางมีบุตรชายบุตรหญิงกับเขา ทั้งภรรยาและลูกๆ ของนางจะต้องเป็นของนาย และเขาจะต้องไปเพียงลำพัง ถ้าทาสผู้นั้นบอกว่า ‘ข้าพเจ้ารักนาย ภรรยาและลูกๆ ของข้าพเจ้า และไม่ต้องการมีอิสระ’ นายของเขาจะต้องให้เขาไปหาพระเจ้า ให้เขาไปที่ประตูหรือวงกบประตู นายของเขาจะเจาะหูเขาข้างหนึ่งด้วยเหล็กแหลม แล้วเขาจะรับใช้นายของเขาไปตลอดชีวิต

ถ้าชายใดขายบุตรหญิงของตนเป็นทาส เธอจะไม่ได้รับการปลดปล่อยให้มีอิสระเหมือนทาสชาย ถ้านายไม่พอใจจะรับเธอไว้เป็นภรรยา เขาก็จะต้องให้บิดาซื้อเธอกลับไป เขาจะไม่มีสิทธิ์ขายเธอให้กับชนชาติอื่น เพราะเขาไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่เธอ ถ้าเขาตกลงใจจะให้เธอเป็นของบุตรชายของเขา เขาจะต้องปฏิบัติต่อเธอเสมอด้วยบุตรหญิง 10 ถ้าเขามีภรรยาเพิ่มขึ้นอีก ก็ต้องไม่ลดจำนวนอาหาร เสื้อผ้าหรือสิทธิ์ของภรรยาคนเก่าให้น้อยลง 11 ถ้าหากว่าเขาไม่ปฏิบัติทั้ง 3 ข้อนี้ต่อเธอ เธอจะเป็นอิสระโดยไม่ต้องเสียเงิน

การทำร้ายผู้อื่น

12 ใครก็ตามที่ทุบตีผู้อื่นจนตายต้องรับโทษถึงตาย 13 แต่ถ้าเขาไม่ได้ตั้งใจทำ และพระเจ้าปล่อยให้เกิดขึ้น เราก็จะเลือกที่แห่งหนึ่งเพื่อให้เขาหลบหนีไปอยู่ได้ 14 แต่ถ้าผู้ใดทำร้ายผู้อื่นโดยจงใจฆ่าให้ตาย เจ้าจะลากตัวเขาไปจากแท่นบูชาของเรา ให้เขาต้องโทษถึงตายได้

15 ใครก็ตามที่ทุบตีบิดามารดาของตนต้องรับโทษถึงตาย

16 ใครก็ตามที่ลักตัวคนไปขายหรือถูกจับได้ว่า คนที่ถูกลักไปอยู่ด้วยกับเขา เขาจะต้องรับโทษถึงตาย

17 ใครก็ตามที่สาปแช่งบิดามารดาของตนจะได้รับโทษถึงตาย[a]

18 ถ้าคนวิวาทกัน คนใดคนหนึ่งขว้างก้อนหินหรือชกอีกคนด้วยหมัดจนบาดเจ็บสาหัส แต่ยังไม่ถึงตาย 19 ถ้าเขายังลุกขึ้นยันไม้เท้าเดินไปมาได้อีก คนที่ทุบตีเขาก็จะพ้นโทษ แต่จะต้องชดใช้ค่าป่วยการและเป็นธุระจนกว่าเขาจะหายดี

20 หากชายใดทุบตีทาสชายและทาสหญิงของตนด้วยไม้จนตายคามือ เขาจะต้องถูกลงโทษ 21 แต่ถ้าทาสนั้นมีชีวิตอยู่ได้ต่ออีกวันสองวัน เขาจะไม่ถูกลงโทษ เพราะทาสเป็นสมบัติของเขา

22 ถ้าผู้ชายต่อสู้กัน แล้วหญิงมีครรภ์ต้องแท้งลูกด้วยเหตุจากถูกลูกหลง แต่ไม่ได้มีรอยบาดเจ็บอื่นใด คนที่ทำให้นางแท้งต้องถูกปรับตามแต่สามีของหญิงผู้นั้นจะเรียกร้อง เขาจะต้องจ่ายตามที่ผู้ตัดสินความเห็นสมควร 23 แต่ถ้านางเกิดบาดเจ็บสาหัส เจ้าจะต้องทดแทนชีวิตด้วยชีวิต 24 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน[b] มือต่อมือ เท้าต่อเท้า 25 รอยไหม้ต่อรอยไหม้ บาดแผลต่อบาดแผล รอยช้ำต่อรอยช้ำ

26 ถ้าชายใดชกต่อยที่นัยน์ตาของทาสชายหรือทาสหญิงของตนจนนัยน์ตาบอด เขาจะต้องปล่อยทาสให้มีอิสระเป็นการชดใช้ตา 27 ถ้าเขาทำให้ทาสต้องฟันหลุด ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ตาม เขาจะต้องปล่อยทาสไปให้มีอิสระเป็นการชดใช้ฟัน

28 ถ้าโคขวิดชายหรือหญิงจนตาย โคตัวนั้นต้องถูกหินขว้าง แล้วห้ามรับประทานเนื้อของมัน เจ้าของโคก็จะไม่ถูกลงโทษ 29 แต่ถ้าโคตัวนั้นเคยขวิดคนมาก่อน และมีการเตือนเจ้าของแล้ว แต่เขาไม่ขังมันไว้ เมื่อมันขวิดชายหรือหญิงคนใดจนตาย มันก็ต้องถูกหินขว้าง รวมทั้งเจ้าของก็ต้องได้รับโทษถึงตายด้วย 30 ถ้าเขาถูกเรียกร้องให้ชดใช้เป็นเงิน เขาจะต้องแลกชีวิตคืนด้วยการจ่ายเงินตามคำเรียกร้อง 31 ถ้าโคตัวนั้นขวิดลูกชายหรือลูกหญิง มันก็รับโทษตามกฎเดียวกันนี้ 32 ถ้าโคขวิดทาสชายหรือหญิง เจ้าของโคต้องจ่ายเหรียญเงินหนัก 30 เชเขล[c]แก่นายของทาส แล้วโคก็จะถูกหินขว้างตาย

33 ถ้าชายใดเปิดบ่อทิ้งไว้หรือขุดบ่อแล้วไม่ปิดปากบ่อ เมื่อโคหรือลาตกลงไปในนั้น 34 เจ้าของบ่อต้องจ่ายค่าเสียหายแก่เจ้าของสัตว์ และสัตว์ที่ตายก็ตกเป็นของเขา

35 ถ้าโคของชายคนหนึ่งทำร้ายโคของอีกคนหนึ่งจนตาย ทั้ง 2 คนต้องขายโคที่เป็นอยู่ แล้วแบ่งเงินกัน ส่วนโคที่ตายแล้วก็แบ่งเนื้อกัน 36 แต่ถ้ารู้ว่าโคนั้นเคยขวิดอะไรมาก่อน และเจ้าของไม่ได้ขังมันไว้ ค่าเสียหายที่เขาจะต้องใช้คือโคเป็นๆ ส่วนสัตว์ที่ตายแล้วก็ตกเป็นของเขา

ลูกา 24

การฟื้นคืนชีวิต

24 รุ่งอรุณวันแรกของสัปดาห์ พวกผู้หญิงก็นำเครื่องหอมที่ได้เตรียมไว้ไปยังถ้ำเก็บศพ พวกนางพบว่า หินได้กลิ้งพ้นจากทางเข้าถ้ำเก็บศพแล้ว แต่เมื่อได้เข้าไปข้างในก็ไม่พบร่างของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ขณะที่กำลังฉงนใจอยู่ ในทันใดนั้นก็มีชาย 2 คนยืนอยู่ข้างๆ มีเสื้อผ้าอันเป็นประกายเจิดจ้า นางเหล่านั้นตกใจและก้มหน้าลงซบพื้น ชายทั้งสองพูดขึ้นว่า “ทำไมพวกท่านจึงแสวงหาคนเป็นในเหล่าคนตาย พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ เพราะได้ฟื้นคืนชีวิตแล้ว จงระลึกถึงสิ่งที่พระองค์กล่าวไว้กับท่านขณะที่ยังอยู่กับท่านในแคว้นกาลิลี บุตรมนุษย์จะต้องตกอยู่ในมือของพวกคนบาป จะถูกตรึงบนไม้กางเขน และในวันที่สามจะฟื้นคืนชีวิตอีก’” หญิงเหล่านั้นจึงระลึกถึงคำพูดของพระองค์ได้ เมื่อพวกเขากลับจากถ้ำเก็บศพก็ได้เล่าให้อัครทูตทั้งสิบเอ็ดและผู้ติดตามทั้งปวงฟังด้วย 10 ผู้ที่บอกเหตุการณ์นี้กับพวกอัครทูตคือ มารีย์ชาวมักดาลา โยอันนา มารีย์มารดาของยากอบ และหญิงอื่นๆ ที่อยู่กับพวกเขา 11 แต่พวกเขาไม่เชื่อและคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล 12 อย่างไรก็ตาม เปโตรได้ลุกขึ้นวิ่งไปยังถ้ำเก็บศพ และขณะที่ก้มมองดูข้างใน เขาก็เห็นริ้วผ้าป่านวางแยกไว้ แล้วเปโตรก็เดินจากไป คิดฉงนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

ระหว่างทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส

13 ในวันเดียวกันนั้นเองสาวก 2 คนได้เดินทางไปยังหมู่บ้าน ชื่อเอมมาอูสซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเยรูซาเล็ม 11 กิโลเมตร 14 เขาทั้งสองกำลังคุยกันเกี่ยวกับทุกสิ่งที่ได้เกิดขึ้น 15 ขณะที่คุยโต้ตอบกันอยู่ พระเยซูเองเดินเข้ามาใกล้และร่วมเดินทางไปด้วยกัน 16 แต่ด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาทั้งสองจำพระองค์ไม่ได้ 17 พระองค์ถามว่า “ท่านเดินคุยอะไรกันอยู่” เขาทั้งสองหยุดยืนนิ่งหน้าสลด 18 คนที่ชื่อเคลโอปัสถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นผู้เยี่ยมเยียนเมืองเยรูซาเล็มเพียงผู้เดียวเท่านั้นหรือที่ไม่ทราบถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นที่นั่น” 19 พระองค์ถามว่า “สิ่งใด” เขาตอบว่า “เกี่ยวกับพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ พระองค์เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้มีอานุภาพทั้งวาจาและการกระทำต่อหน้าพระเจ้าและคนทั่วไป 20 พวกมหาปุโรหิตและพวกที่อยู่ในระดับปกครองของเราได้มอบพระองค์ไปให้ประหาร แล้วเขาทั้งหลายก็ตรึงพระองค์บนไม้กางเขน 21 พวกเราได้แต่หวังว่าพระองค์เป็นผู้ที่จะไถ่อิสราเอล และยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็เป็นวันที่สามตั้งแต่สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้น 22 อีกอย่างคือพวกผู้หญิงบางคนในหมู่เราทำให้เราแปลกใจที่วันนี้เขาไปยังถ้ำเก็บศพกันแต่เช้าตรู่ 23 แต่ก็ไม่พบร่างของพระองค์ แล้วยังมาบอกพวกเราว่า ได้เห็นเหล่าทูตสวรรค์ในภาพนิมิต แจ้งการคืนชีวิตของพระเยซู 24 เพื่อนของเราบางคนได้ไปที่ถ้ำเก็บศพก็เห็นว่าเป็นจริงตามที่พวกผู้หญิงได้พูดไว้ คือไม่เห็นพระองค์” 25 พระเยซูกล่าวกับเขาทั้งสองว่า “เจ้าคนเขลา เจ้าช่างเชื่อยากนักกับสิ่งทั้งปวงที่บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้พูดไว้ 26 จำเป็นไม่ใช่หรือ ที่พระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมานกับสิ่งเหล่านี้ แล้วจึงเข้าสู่พระบารมีของพระองค์” 27 พระองค์จึงได้อธิบายให้พวกเขาฟังสิ่งที่พระคัมภีร์ระบุไว้เกี่ยวกับพระองค์โดยทั่ว โดยเริ่มจากฉบับที่โมเสสบันทึกไว้ อีกทั้งฉบับของผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าทุกท่าน

28 เมื่อจวนจะถึงหมู่บ้านที่กำลังจะไป พระเยซูแสดงทีท่าว่าจะเดินทางต่อไปอีก 29 แต่เขาได้คะยั้นคะยอพระองค์ว่า “อยู่กับพวกเราเถิด นี่ก็จวนค่ำแล้ว ตะวันจวนจะตกแล้ว” พระองค์จึงเข้าไปพักอยู่กับพวกเขา 30 เมื่อพระเยซูเอนกายลงรับประทานกับเขาทั้งสอง พระองค์ได้หยิบขนมปัง แล้วกล่าวขอบคุณพระเจ้า บิและยื่นให้แก่เขา 31 เขาก็รู้แจ้งและจำพระองค์ได้ แล้วพระองค์ก็หายร่างไปจากสายตาของเขา 32 พวกเขาต่างก็ถามกันและกันว่า “ใจของพวกเราไม่เร่าร้อนกันบ้างหรือ ขณะที่พระองค์พูดกับเราที่ถนน และอธิบายความหมายในพระคัมภีร์ให้เราฟัง” 33 เขาทั้งสองลุกขึ้น แล้วก็กลับไปยังเมืองเยรูซาเล็มทันที และได้พบกับอัครทูตทั้งสิบเอ็ดและคนอื่นๆ ร่วมประชุมอยู่ด้วยที่นั่น 34 พวกเขาพูดกันว่า “พระเยซูเจ้าฟื้นคืนชีวิตแล้วจริงๆ และได้ปรากฏแก่ซีโมน” 35 แล้ว 2 คนนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ว่าพวกเขาจำพระองค์ได้ ก็ตอนที่พระองค์บิขนมปังนั่นเอง

พระเยซูปรากฏแก่สาวก

36 ขณะที่เขาเหล่านั้นกำลังพูดกันอยู่ พระเยซูก็ยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาและกล่าวว่า “สันติสุขจงอยู่กับเจ้า” 37 พวกเขาตกใจกลัวคิดว่าเป็นผี 38 พระองค์กล่าวขึ้นว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงคิดกังวลและมีความสงสัยอยู่ในใจ 39 ดูมือและเท้าของเราสิ นี่เป็นตัวเราเอง แตะต้องตัวเราดู ผีไม่มีเนื้อหนังและกระดูกเหมือนที่เห็น” 40 พระองค์กล่าวจบแล้วก็ให้พวกเขาดูมือและเท้าของพระองค์ 41 เขาเหล่านั้นก็ยังไม่เชื่อ แต่ก็ยังรู้สึกยินดี อีกทั้งประหลาดใจอยู่ พระองค์ก็ถามเขาว่า “เจ้ามีอะไรรับประทานที่นี่บ้างไหม” 42 เขาทั้งหลายให้ปลาย่างชิ้นหนึ่งแก่พระองค์ 43 พระองค์ก็รับประทานต่อหน้าพวกเขา

44 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “สิ่งที่เราได้บอกเจ้าไว้ขณะที่เรายังอยู่กับเจ้าก็คือ ทุกสิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราในหมวดกฎบัญญัติของโมเสส หมวดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และหมวดสดุดี จะเกิดขึ้นสำเร็จตามนั้น”[a] 45 ครั้นแล้วพระองค์ก็ทำให้เขาเหล่านั้นเข้าใจถึงพระคัมภีร์ 46 และพระองค์กล่าวว่า “นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ พระคริสต์จะทนทุกข์ทรมานและฟื้นคืนชีวิตจากความตายในวันที่สาม 47 การกลับใจและการยกโทษบาปจะถูกประกาศแก่ชนทุกชาติในพระนามของพระองค์ เริ่มจากเมืองเยรูซาเล็ม 48 พวกเจ้าเป็นพยานของสิ่งเหล่านี้ 49 เรากำลังจะส่งคำมั่นสัญญาซึ่งพระบิดาของเราได้ให้ไว้สำหรับพวกเจ้า แต่จงอยู่ในตัวเมืองจนกว่าเจ้าจะพร้อมด้วยอานุภาพจากเบื้องบน”

50 พระองค์นำพวกเขาออกไปยังใกล้เขตหมู่บ้านเบธานีแล้วยกมือขึ้นอำนวยพรให้ 51 ขณะที่อำนวยพรพวกเขา พระองค์ก็จากไป และถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ 52 เขาทั้งหลายนมัสการพระองค์และกลับไปยังเมืองเยรูซาเล็มด้วยความยินดียิ่ง 53 และอยู่ที่พระวิหารเรื่อยไป และสรรเสริญพระเจ้า

โยบ 39

39 เจ้ารู้ไหมว่าพวกแพะป่าตกลูกเมื่อไหร่
    เจ้าสังเกตกวางตัวเมียออกลูกหรือเปล่า
เจ้ารู้ไหมว่าสัตว์เหล่านี้ตั้งท้องนานกี่เดือน
    เจ้ารู้เวลาที่มันตกลูกไหม
เวลาที่มันโก้งโค้งตกลูก
    และหย่อนลูกน้อยลงบนพื้น
พวกลูกน้อยของมันแข็งแรงขึ้น เติบโตในที่โล่งกว้าง
    พวกมันออกไปและไม่กลับมาหามันอีก

ใครให้ลาป่าออกไปอย่างมีอิสระ
    ใครแก้เชือกและปล่อยให้ลาไป
เราให้ที่ร้างอันแร้นแค้นเป็นบ้านของพวกมัน
    และให้ที่ดินเค็มเป็นที่อาศัย
มันสบประมาทเสียงอึกทึกในเมือง
    มันไม่ได้ยินเสียงตะโกนของคนคุมสัตว์
มันเสาะหาอาหารตามภูเขา
    และมันเสาะหาใบหญ้าเขียวชอุ่ม

โคป่ายอมรับใช้เจ้าหรือ
    มันจะค้างแรมอยู่ที่รางหญ้าของเจ้าหรือ
10 เจ้าสามารถใช้เชือกผูกโคป่าให้มันไถร่องได้หรือ
    หรือมันจะลากคันไถตามหลังเจ้าไปหรือ
11 เจ้าจะไว้ใจมันได้เพราะกำลังอันมหาศาลของมันหรือ
    เจ้าจะมอบหมายงานหนักของเจ้าไว้กับมันหรือ
12 เจ้าเชื่อในตัวมันหรือว่ามันจะเก็บเกี่ยวข้าวให้เจ้าได้
    และรวบรวมไปที่ลานนวดข้าวของเจ้าได้

13 นกกระจอกเทศโบกสะบัดปีกของมันอย่างร่าเริงใจ
    ปีกและขนของมันเทียบเทียมกับนกกระสาหรือ
14 เพราะมันวางไข่ไว้ใต้ดิน
    และปล่อยให้ไข่รับความอุ่นจากพื้นดิน
15 ไม่ได้นึกว่าเท้าอาจจะเหยียบไข่นกแตก
    หรือสัตว์ป่าอาจจะเหยียบย่ำมันก็ได้
16 แม่นกนั้นโหดร้ายต่อลูกของมันเหมือนว่าไม่ใช่ลูกของมันเอง
    และไม่เสียดายว่ามันเสียแรงไปเปล่าๆ
17 เป็นเพราะเราทำให้มันลืมปัญญา
    และไม่ได้ให้มันมีสัญชาตญาณ
18 เวลาที่มันกระพือปีกขณะวิ่งไป
    มันก็หัวเราะเยาะม้ากับคนขี่

19 เจ้าให้พลังแก่ม้าหรือ
    เจ้าปกคอม้าด้วยขนที่ยาวของมันหรือ
20 เจ้าทำให้มันกระโดดโผไปอย่างตั๊กแตนหรือ
    เสียงดังพรืดๆ ทางจมูกของมันน่าสะพรึงกลัวนัก
21 มันยันพื้นดินและโลดขึ้นด้วยกำลังของมัน
    มันวิ่งออกไปผจญสงคราม
22 มันไม่กลัว ไม่ตกใจ
    มันไม่หันหลังให้กับการสู้รบ
23 บนหลังของมันมีเสียงเขย่าของแล่งธนู
    หอกและหอกซัดวาววับ
24 มันห้อไปด้วยฝีเท้าที่ว่องไว มันคึกและเดือดดาล
    มันยืนนิ่งไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงแตรงอน
25 เมื่อเสียงแตรงอนดังขึ้น มันก็ทำเสียง ‘ฮี้’
    มันได้กลิ่นสงครามแต่ไกล
    ผู้นำทัพตะโกนออกคำสั่งเสียงกึกก้อง

26 เป็นเพราะปัญญาของเจ้าหรือที่เหยี่ยวโผบินสูงขึ้น
    และกางปีกออกบินไปทางทิศใต้ได้
27 เป็นเพราะคำบัญชาของเจ้าหรือที่นกอินทรีโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
    และสร้างรังของมันบนที่สูงสุดได้
28 มันอาศัยและสร้างบ้านของมันบนหินสูง
    ที่ผาหินและที่ปลอดภัย
29 มันสอดส่องหาเหยื่อจากที่นั่น
    มันมองเห็นเหยื่อได้แต่ไกล
30 ลูกๆ ของมันดูดกินเลือด
    และที่ไหนมีร่างที่ถูกฆ่า มันก็อยู่ที่นั่น”

2 โครินธ์ 9

ไม่มีความจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องเขียนถึงท่านเรื่องการช่วยเหลือบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าในด้านนี้ เพราะข้าพเจ้าทราบว่าท่านมีความตั้งใจพร้อมอยู่แล้ว ข้าพเจ้ายังโอ้อวดให้พี่น้องชาวมาซิโดเนียฟังเสมอว่า พี่น้องในแคว้นอาคายาพร้อมจะให้ตั้งแต่ปีที่แล้ว และความกระตือรือร้นของท่านได้กระตุ้นพวกเขาเกือบทุกคน แต่ข้าพเจ้าได้ส่งให้พี่น้องมา เพื่อว่าที่เราได้โอ้อวดเรื่องพวกท่านจะไม่เสียเปล่า ท่านจะเตรียมตัวพร้อมอย่างที่ข้าพเจ้าได้บอกไปแล้ว ถ้าพี่น้องชาวมาซิโดเนียมากับเรา และเห็นว่าท่านไม่พร้อม ไม่เพียงท่านเท่านั้นที่ขายหน้า พวกเราจะขายหน้าด้วยที่มีความมั่นใจในพวกท่านถึงขนาดนี้ ดังนั้นข้าพเจ้าคิดว่าจำเป็นต้องขอให้พี่น้องมาเยี่ยมท่านล่วงหน้าก่อน เพื่อให้ท่านเตรียมเงินเรี่ยไรด้วยความเอื้อเฟื้อให้พร้อม ตามที่ท่านได้สัญญาไว้ แล้วเงินที่ให้ก็จะได้มาจากใจจริง มิใช่มาจากการฝืนใจ

ให้ด้วยใจยินดี

ข้าพเจ้าขอบอกเรื่องนี้ว่า คนที่หว่านน้อยย่อมเก็บเกี่ยวได้น้อย และคนที่หว่านมากจะเก็บเกี่ยวได้มาก แต่ละคนควรให้ตามที่ตั้งใจไว้ มิใช่ด้วยความลังเลหรือเพราะถูกกดดัน เพราะพระเจ้ารักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี พระเจ้าสามารถให้พรท่านอย่างเต็มเปี่ยม เพื่อท่านจะได้มีเพียงพอในทุกสิ่งเสมอ และท่านจะได้มีอย่างล้นเหลือเพื่อช่วยผู้อื่นได้อีกด้วย ตามที่บันทึกไว้คือ

“เขาเอื้อเฟื้อแก่ผู้ยากไร้
    ความชอบธรรมของเขาคงอยู่เป็นนิตย์”[a]

10 พระองค์ผู้จัดหาเมล็ดให้คนหว่านพืช และขนมปังเพื่อให้เป็นอาหาร ก็จะจัดหาและเพิ่มพูนเมล็ดให้ท่านนำไปหว่าน และเพิ่มปริมาณการเก็บเกี่ยวความชอบธรรมของท่าน 11 ท่านจะมั่งคั่งในทุกด้านเพื่อท่านจะได้เอื้อเฟื้อในทุกโอกาส เมื่อท่านเอื้อเฟื้อโดยผ่านเราแล้ว ผลที่ได้คือหลายคนจะขอบคุณพระเจ้า

12 การรับใช้ด้านนี้ไม่เพียงจัดหาสิ่งจำเป็นให้ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น แต่หลายคนจะกล่าวขอบคุณพระเจ้าอย่างเหลือล้น 13 เป็นเพราะท่านได้พิสูจน์ตนในด้านการรับใช้นี้แล้ว ผู้คนจึงจะสรรเสริญพระเจ้าเพราะความเชื่อของท่าน และการปฏิบัติตัวสอดคล้องกับการที่ท่านยืนยันในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และความเอื้อเฟื้อที่ท่านมีต่อพวกเขาและคนทั่วไป 14 เมื่อพวกเขาอธิษฐานเผื่อท่าน เขาระลึกถึงท่านอย่างจริงใจ เพราะพระเจ้ามีพระคุณต่อพวกท่านยิ่งนัก 15 ขอบคุณพระเจ้าสำหรับของประทานของพระองค์ซึ่งเกินจะพรรณนา

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation