M’Cheyne Bible Reading Plan
ประทับตราพันธสัญญา
24 พระองค์กล่าวกับโมเสสว่า “ตัวเจ้ากับอาโรนจงขึ้นมาหาพระผู้เป็นเจ้า พร้อมทั้งนาดับ อาบีฮู และบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 70 คนของอิสราเอล และกราบนมัสการอยู่ห่างๆ 2 โมเสสผู้เดียวที่จะเข้ามาใกล้พระผู้เป็นเจ้า ส่วนคนอื่นๆ อย่าเข้ามาใกล้ และอย่าให้ประชาชนขึ้นมากับโมเสสเลย”
3 โมเสสไปบอกประชาชนถึงคำสั่งทุกประการและทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าว ประชาชนตอบเป็นเสียงเดียวว่า “พวกเราจะทำตามทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าว” 4 โมเสสเขียนบันทึกทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ ท่านลุกขึ้นแต่เช้าตรู่เพื่อสร้างแท่นบูชาที่เชิงเขา และก่อเสาหินขึ้น 12 ต้น ตามจำนวน 12 เผ่าของอิสราเอล 5 ครั้นแล้วท่านก็ให้ชายหนุ่มชาวอิสราเอลไปมอบสัตว์ที่จะเผาเป็นของถวาย และมอบโคตัวผู้เป็นของถวายเพื่อสามัคคีธรรมแด่พระผู้เป็นเจ้า 6 โมเสสเทเลือดสัตว์ครึ่งหนึ่งลงในอ่าง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งท่านสาดลงที่แท่นบูชา 7 แล้วหยิบพันธสัญญาเล่มที่เขียนไว้ เพื่ออ่านให้ประชาชนฟัง พวกเขาพูดว่า “เราจะเชื่อฟังและจะทำทุกอย่างตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าว” 8 โมเสสจึงประพรมเลือดสัตว์ที่ตัวประชาชนและกล่าวว่า “นี่คือเลือดแห่งพันธสัญญาซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทำไว้กับพวกท่านตามทุกสิ่งที่พระองค์กล่าว”
9 ครั้นแล้ว โมเสส อาโรน นาดับ อาบีฮู และบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 70 คนของอิสราเอลก็ขึ้นเขาไป 10 แล้วพวกเขาก็มองเห็นพระเจ้าของอิสราเอล บริเวณพื้นที่พระองค์ยืนอยู่เป็นดั่งนิลสีครามและสุกใสเหมือนฟ้าสวรรค์ 11 พระองค์ไม่ได้ทำอันตรายบรรดาผู้นำของอิสราเอลแต่อย่างใด พวกเขาเห็นพระเจ้าและยังได้ดื่มกินด้วย
12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ขึ้นมาพบเราบนภูเขาและรออยู่ที่นั่น เราจะให้แผ่นศิลาที่เราเขียนสั่งพวกเขาเกี่ยวกับกฎบัญญัติและคำบัญญัติไว้กับเจ้า” 13 โมเสสจึงลุกขึ้นพร้อมกับโยชูวาผู้ช่วยคนสำคัญของท่าน แล้วโมเสสขึ้นไปบนภูเขาของพระเจ้า 14 ท่านพูดกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ว่า “ท่านรอเราอยู่ที่นี่เถิด จนกว่าเราจะกลับมาหาท่าน อาโรนและฮูร์ก็อยู่กับท่าน ถ้าใครมีปัญหาก็ให้เขาไปหาทั้ง 2 คนได้”
15 โมเสสขึ้นภูเขาไป มีเมฆปกคลุมภูเขา 16 พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าสถิตบนภูเขาซีนาย เมฆปกคลุมภูเขาอยู่ 6 วัน พอวันที่เจ็ดพระองค์เรียกโมเสสจากก้อนเมฆ 17 บัดนี้พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่สายตาประชาชนชาวอิสราเอลดั่งเปลวไฟลุกโพลงที่ยอดภูเขา 18 โมเสสเดินเข้าไปในก้อนเมฆ ขึ้นเขาไป ท่านอยู่บนภูเขา 40 วัน 40 คืน
พระเยซูและนิโคเดมัส
3 มีฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส ซึ่งเป็นผู้อยู่ในระดับปกครองของชาวยิว 2 เขาได้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนและกล่าวว่า “รับบี พวกเราทราบว่าท่านเป็นอาจารย์ที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีผู้ใดสามารถแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ เหมือนที่ท่านกระทำได้ เว้นแต่ว่า พระเจ้าจะอยู่กับผู้นั้น” 3 พระเยซูตอบว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ นอกเสียจากว่าผู้นั้นจะเกิดใหม่” 4 นิโคเดมัสพูดขึ้นว่า “คนชราแล้วจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เขาจะกลับเข้าไปในท้องแม่เป็นครั้งที่สอง แล้วเกิดใหม่อย่างนั้นหรือ” 5 พระเยซูตอบว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ไม่มีผู้ใดที่จะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้ นอกเสียจากว่าเขาจะเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ 6 สิ่งที่เกิดจากเนื้อหนังก็จะเป็นฝ่ายเนื้อหนัง และสิ่งที่เกิดจากพระวิญญาณก็จะเป็นฝ่ายวิญญาณ 7 อย่าประหลาดใจที่เราพูดกับท่านว่า ‘ท่านจะต้องเกิดใหม่’ 8 ลมจะพัดไปทางไหนก็พัดไป ท่านได้ยินเสียงลมพัดแต่ไม่อาจทราบได้ว่าพัดมาจากไหน และจะพัดไปที่ไหน เช่นเดียวกับทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณ”
9 นิโคเดมัสถามพระองค์ว่า “สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้อย่างไร” 10 พระเยซูตอบว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชาวอิสราเอลแล้วยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ 11 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า พวกเราพูดถึงสิ่งที่พวกเรารู้ และยืนยันในสิ่งที่พวกเราได้เห็น แต่ท่านทั้งหลายก็ยังไม่ยอมรับคำยืนยันของเรา 12 เราพูดให้ท่านฟังถึงสิ่งต่างๆ ทางโลก แต่พวกท่านไม่เชื่อ แล้วจะเชื่ออย่างไรถ้าเราพูดถึงสิ่งต่างๆ ในสวรรค์ 13 ไม่มีผู้ใดเคยขึ้นไปสวรรค์ เว้นแต่ผู้ที่ลงมาจากสวรรค์คือบุตรมนุษย์ 14 โมเสสชูงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรมนุษย์ต้องถูกชูขึ้นฉันนั้น[a] 15 เพื่อทุกคนที่เชื่อในท่านจะได้มีชีวิตอันเป็นนิรันดร์
16 เพราะว่า พระเจ้ารักโลกยิ่งนัก จึงได้มอบพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อว่าผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 17 ด้วยเหตุว่า พระเจ้ามิได้ส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลกเพื่อกล่าวโทษ แต่เพื่อให้โลกได้รอดพ้นโดยผ่านพระองค์ 18 ผู้ที่เชื่อในพระองค์ก็ไม่ถูกกล่าวโทษ แต่ผู้ใดไม่เชื่อก็ถูกกล่าวโทษแล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า 19 คำกล่าวโทษก็คือ ความสว่างได้ส่องมายังโลกแล้ว แต่คนมักชอบความมืดมากกว่าความสว่าง เพราะพวกเขาชอบทำความชั่ว 20 ทุกคนที่ทำความชั่วจะเกลียดความสว่าง และจะไม่เดินเข้าหาความสว่าง เพราะกลัวว่าการกระทำของเขาจะปรากฏแจ้ง 21 แต่คนที่ประพฤติถูกต้องตามความจริงจะเดินเข้าหาความสว่าง เพื่อให้การกระทำของเขาในพระเจ้าเป็นที่ปรากฏแจ้ง”
พระเยซูและยอห์นผู้ให้บัพติศมา
22 หลังจากนั้น พระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์ได้เข้าไปในดินแดนของแคว้นยูเดีย ซึ่งพระองค์ใช้เวลาอยู่กับพวกเขา และให้บัพติศมา 23 ยอห์นเองก็กำลังให้บัพติศมาที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิมเพราะว่าที่นั่นอุดมไปด้วยน้ำ และผู้คนก็พากันมารับบัพติศมา 24 ด้วยว่า ยอห์นยังไม่ถูกจำขัง
25 เกิดการถกเถียงกันเรื่องพิธีชำระระหว่างพวกสาวกของยอห์นและชาวยิวผู้หนึ่ง 26 พวกเขาจึงมาหายอห์นและถามว่า “รับบี บุคคลที่อยู่กับท่านที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนด้านตะวันออกที่ท่านยืนยันนั้น กำลังให้บัพติศมาอยู่ และผู้คนต่างก็พากันไปหาท่านด้วย” 27 ยอห์นตอบว่า “คนเราจะไม่ได้รับสิ่งใดเลยนอกจากพระเจ้าจะมอบจากสวรรค์ให้แก่เขา 28 พวกท่านเองก็ยืนยันเพื่อข้าพเจ้าได้ในคำพูดของข้าพเจ้าที่ว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์ แต่พระเจ้าส่งข้าพเจ้ามาล่วงหน้าพระองค์’ 29 ท่านที่มีเจ้าสาวก็คือเจ้าบ่าว แต่เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าวอยู่ก็ชื่นชมยินดียิ่งนัก เพราะได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว ฉะนั้นความยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยมแล้ว 30 พระองค์จะต้องยิ่งใหญ่ขึ้น ในขณะที่ข้าพเจ้าจะด้อยลง
31 พระองค์ผู้มาจากเบื้องบนย่อมเป็นใหญ่เหนือสิ่งทั้งปวง ผู้มาจากฝ่ายโลกย่อมเป็นฝ่ายโลกและพูดถึงฝ่ายโลก พระองค์ผู้มาจากสวรรค์เป็นใหญ่เหนือสิ่งทั้งปวง 32 พระองค์ยืนยันในสิ่งที่พระองค์ได้เห็นและได้ยิน แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับคำยืนยันของพระองค์ 33 คนที่รับคำยืนยันก็ยอมรับแล้วว่า เขาเชื่อว่าสิ่งที่พระเจ้ากล่าวไว้เป็นความจริง 34 ด้วยว่าองค์ที่พระเจ้าได้ส่งมาก็คือผู้ประกาศคำกล่าวของพระเจ้า เพราะพระองค์มอบพระวิญญาณให้อย่างไร้ขอบเขตจำกัด 35 พระบิดารักพระบุตรและได้มอบทุกสิ่งไว้ในมือของพระบุตรแล้ว 36 ผู้ใดก็ตามที่เชื่อในพระบุตรจะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ แต่ผู้ที่ปฏิเสธพระบุตรก็จะไม่เห็นชีวิต เพราะการลงโทษของพระเจ้าจะตกอยู่กับเขา”
โยบสารภาพและกลับใจ
42 โยบจึงตอบพระผู้เป็นเจ้าว่า
2 “ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์กระทำทุกสิ่งได้
และไม่มีสิ่งใดขัดขวางความประสงค์ของพระองค์ได้
3 พระองค์ถามว่า ‘นี่ใครกัน ที่สงสัยแผนการโดยปราศจากความรู้’
เป็นเพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงได้พูดพล่ามถึงสิ่งที่ไม่เข้าใจ
สิ่งที่วิเศษเกินไปสำหรับข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่ตระหนัก
4 ขอพระองค์ฟังเถิด และข้าพเจ้าจะพูด
ข้าพเจ้าจะถามพระองค์
และพระองค์โปรดตอบข้าพเจ้า
5 ข้าพเจ้าเคยได้ยินถึงพระองค์จากผู้อื่น
แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ด้วยตาตนเอง
6 ฉะนั้น ข้าพเจ้าตำหนิตัวเอง
ขอกลับตัวกลับใจในฝุ่นและเถ้าถ่าน”
พระผู้เป็นเจ้าห้ามปรามเพื่อนของโยบ
7 หลังจากที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวสิ่งเหล่านี้กับโยบแล้ว พระองค์กล่าวกับเอลีฟัสชาวเทมานว่า “เราโกรธเจ้าและเพื่อนของเจ้าทั้งสองคนมาก เพราะพวกเจ้าไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง อย่างที่โยบผู้รับใช้ของเราได้พูด 8 ฉะนั้น พวกเจ้าจงเอาโคหนุ่ม 7 ตัว และแกะตัวผู้ 7 ตัว แล้วไปหาโยบผู้รับใช้ของเรา และมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายสำหรับพวกเจ้า และโยบผู้รับใช้ของเราจะอธิษฐานให้เจ้า เพราะเราจะรับคำอธิษฐานของเขา และจะไม่กระทำต่อพวกเจ้าตามความเขลาของเจ้า ด้วยว่าพวกเจ้าไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง อย่างที่โยบผู้รับใช้ของเราได้พูด” 9 ดังนั้น เอลีฟัสชาวเทมาน และบิลดัดชาวชูอัค และโศฟาร์ชาวนาอามาธ จึงไปและทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งพวกเขา และพระผู้เป็นเจ้ารับคำอธิษฐานของโยบ
พระผู้เป็นเจ้าให้ความมั่งมีของโยบกลับคืน
10 และพระผู้เป็นเจ้าโปรดให้ความมั่งมีของโยบกลับคืนมา เมื่อเขาอธิษฐานให้เพื่อนๆ ของเขา และพระผู้เป็นเจ้ามอบแก่โยบเป็นสองเท่าจากที่เขาเคยมี 11 แล้วบรรดาพี่น้องชายหญิงของโยบและทุกคนที่เคยรู้จักเขาก่อนหน้านี้ ก็มาหาเขา และรับประทานอาหารกับเขาที่บ้าน และเขาทั้งปวงแสดงความเห็นใจและปลอบใจโยบ ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ให้เขาประสบความวิบัติ และแต่ละคนก็ได้มอบ 1 เหรียญเงินและตุ้มหูทองคำ 1 วงแก่โยบ
12 และพระผู้เป็นเจ้าได้ให้พรแก่โยบในบั้นปลายชีวิตของเขามากกว่าตอนเริ่มต้นชีวิต เขามีแกะ 14,000 ตัว อูฐ 6,000 ตัว โคตัวผู้ 1,000 คู่ และลาตัวเมีย 1,000 ตัว 13 เขามีบุตรชาย 7 คน บุตรหญิง 3 คน 14 เขาตั้งชื่อบุตรหญิงคนแรกว่า เยมีมาห์ และคนที่สองชื่อ เคสิยาห์ คนที่สามชื่อ เคเรนหัปปุค 15 ไม่มีผู้หญิงคนใดในแผ่นดินที่งามเท่ากับบุตรหญิงของโยบ และโยบได้มอบมรดกให้แก่พวกนาง เช่นเดียวกับที่พี่น้องผู้ชายได้รับ
16 หลังจากนั้น โยบมีชีวิตอยู่อีก 140 ปี และเขาได้เห็นบรรดาบุตรหลานของเขาถึง 4 ชั่วอายุคน 17 โยบสิ้นชีวิตเมื่อชราและมีอายุยืนนาน
ภาพนิมิตและหนามในกายของเปาโล
12 การโอ้อวดเป็นสิ่งจำเป็น แม้จะไม่เกิดประโยชน์ก็ตาม แต่ข้าพเจ้าจะพูดต่อไปในเรื่องภาพนิมิตต่างๆ ที่ได้เห็นและการเผยความซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้า 2 ข้าพเจ้ารู้จักชายผู้หนึ่งที่อยู่ในพระคริสต์ เมื่อ 14 ปีมาแล้ว มีผู้มารับตัวเขาขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นสาม ไปทั้งร่างกายหรือไม่นั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่พระเจ้าทราบ 3 และข้าพเจ้าทราบว่ามีผู้มารับชายคนนี้ขึ้นสู่สวนสวรรค์ ไม่ว่าไปทั้งร่างกายหรือไม่นั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่พระเจ้าทราบ 4 เขาได้ยินสิ่งซึ่งบรรยายไม่ถูกและบอกต่อไม่ได้ 5 ข้าพเจ้าจะโอ้อวดเรื่องของชายเช่นนี้ แต่ข้าพเจ้าจะไม่โอ้อวดถึงตัวข้าพเจ้าเอง เว้นแต่อวดถึงความอ่อนแอของข้าพเจ้า 6 ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าอยากจะโอ้อวด ข้าพเจ้าก็จะไม่ใช่คนเขลา เพราะข้าพเจ้าจะพูดถึงความจริง แต่ข้าพเจ้าจะไม่โอ้อวด เพื่อว่าจะไม่มีใครคิดยกย่องข้าพเจ้าเกินกว่าที่เขาเห็นข้าพเจ้ากระทำ หรือได้ยินข้าพเจ้าพูด 7 และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้าฮึกเหิม เนื่องจากพระเจ้าได้เปิดเผยหลายสิ่งที่ยิ่งใหญ่แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงรับทุกข์ทางกายเหมือนมีหนามยอก มันเป็นดั่งทูตสื่อสารจากซาตานเพื่อรังควานข้าพเจ้า จนทำให้ไม่อาจฮึกเหิมได้ 8 ข้าพเจ้าอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าถึง 3 ครั้งเพื่อให้หนามหลุดไป 9 แต่พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “ความรักยิ่งที่เรามีต่อเจ้านั้นก็เพียงพอแล้ว เพราะอานุภาพของเราจะบริบูรณ์เพียบพร้อมได้ก็ในความอ่อนแอ” ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงยินดีโอ้อวดความอ่อนแอของตัวเองมากยิ่งขึ้น เพื่อว่าอานุภาพของพระคริสต์จะได้อยู่กับข้าพเจ้า 10 ฉะนั้นข้าพเจ้ายินดีกับความอ่อนแอ การถูกดูหมิ่น ความทุกข์ยาก การกดขี่ข่มเหงและความลำบากเพื่อพระคริสต์ เพราะเวลาข้าพเจ้าอ่อนแอ ข้าพเจ้าก็แข็งแกร่งขึ้น
เปาโลห่วงใยชาวโครินธ์
11 ข้าพเจ้ากลายเป็นคนโง่เขลา แต่ที่เป็นไปดังนั้นก็เพราะท่าน พวกท่านต่างหากที่ควรยกย่องข้าพเจ้าเอง เพราะข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ด้อยกว่า “อัครทูตชั้นเยี่ยม” เหล่านั้น แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ใช่คนวิเศษอะไรเลย 12 ปรากฏการณ์อัศจรรย์ สิ่งมหัศจรรย์ และฤทธานุภาพต่างๆ เป็นที่ประจักษ์ในหมู่พวกท่านแล้ว ก็เนื่องมาจากความบากบั่นสูงสุดของข้าพเจ้า และสิ่งเหล่านั้นพิสูจน์ได้ถึงความเป็นอัครทูตแท้ 13 ข้าพเจ้าปฏิบัติต่อพวกท่านไม่ดีเท่าคริสตจักรอื่นๆ อย่างไรบ้างหรือ มีสิ่งเดียวคือข้าพเจ้าไม่ได้เป็นภาระให้กับพวกท่าน ข้าพเจ้าก็ขออภัยด้วย
14 เวลานี้ข้าพเจ้าพร้อมจะมาเยี่ยมพวกท่านเป็นครั้งที่สาม และจะไม่เป็นภาระให้กับท่าน เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการนั้นไม่ใช่สรรพสิ่งที่เป็นของท่าน แต่เป็นตัวท่านเอง เพราะลูกๆ ไม่ต้องรับผิดชอบจัดหาให้บิดามารดา แต่บิดามารดาต่างหากที่ต้องจัดหาให้ลูกๆ 15 ข้าพเจ้ายินดียิ่งที่จะสละทุกสิ่งที่ข้าพเจ้ามี และทุ่มเทตนเองเช่นกันเพื่อช่วยเหลือท่าน ถ้าหากข้าพเจ้ารักท่านยิ่งขึ้น แล้วท่านจะรักข้าพเจ้าน้อยลงหรือ 16 ท่านจะเห็นด้วยว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นภาระให้กับท่าน แต่ก็มีคนพูดว่าข้าพเจ้ามีเล่ห์อุบายและล่อลวงท่าน 17 ข้าพเจ้าเอาเปรียบท่านผ่านคนที่ข้าพเจ้าส่งมาหาท่านหรือ 18 ข้าพเจ้าขอให้ทิตัสไปพร้อมทั้งส่งพี่น้องผู้หนึ่งไปด้วย ทิตัสเอาเปรียบท่านหรือ พวกเราไม่ได้ปฏิบัติด้วยจิตมุ่งหวังเดียวกันและวิธีการเดียวกันหรือ
19 ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้พวกท่านคิดว่าเราแก้ตัวกัน แต่ความจริงแล้ว พวกเราพูดต่อหน้าพระเจ้าเช่นผู้รับใช้ของพระคริสต์ เพื่อประโยชน์แก่ท่านที่รักทั้งหลาย 20 ข้าพเจ้าเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าอาจจะไม่เห็นว่าท่านเป็นเหมือนที่ข้าพเจ้าปรารถนา และท่านก็อาจจะไม่เห็นว่าข้าพเจ้าเป็นเหมือนที่ท่านปรารถนา คืออาจจะมีการทะเลาะวิวาท อิจฉา ฉุนเฉียว ก้าวร้าว ว่าร้าย ครหานินทา หยิ่งยโส และความไร้ระเบียบ 21 ข้าพเจ้าเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้ามาอีก พระเจ้าของข้าพเจ้าอาจจะทำให้ข้าพเจ้าต้องอับอายต่อหน้าท่าน และอาจเศร้าใจที่หลายคนได้กระทำบาปก่อนหน้านี้ และไม่ได้สำนึกผิดในเรื่องมลทิน เรื่องการประพฤติผิดทางเพศและความมักมากในกามซึ่งพวกเขาได้ปฏิบัติกัน
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation