M’Cheyne Bible Reading Plan
เครื่องสักการะบูชาที่กระโจม
25 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 2 “จงไปบอกชาวอิสราเอลให้นำของถวายมาให้เรา เจ้าจะรับของถวายจากทุกคนที่จะให้เราด้วยใจจริง 3 ของถวายที่เจ้าจะรับจากพวกเขาคือ ทองคำ เงิน และทองสัมฤทธิ์ 4 ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด ผ้าป่านทอเนื้อดี และขนแพะ 5 หนังแกะตัวผู้ย้อมแดง หนังปลาโลมา ไม้สีเสียด 6 น้ำมันสำหรับจุดดวงประทีป เครื่องเทศสำหรับน้ำมันเจิม และสำหรับเครื่องหอม 7 พลอยหลากสี และเพชรพลอยสำหรับประดับชุดคลุมและทับทรวง 8 ให้พวกเขาสร้างที่พำนักให้เรา เราจะได้อยู่ท่ามกลางพวกเขา 9 พวกเจ้าจงสร้างตามที่เราบอกทุกประการ ทั้งในเรื่องแบบของกระโจมที่พำนักและเครื่องใช้ทุกชิ้น
หีบพันธสัญญา
10 ให้พวกเขาสร้างหีบขึ้นใบหนึ่งด้วยไม้สีเสียด ให้ได้ความยาว 2 ศอกคืบ กว้างศอกคืบ และสูงศอกคืบ 11 จงกรุภายในและภายนอกหีบด้วยแผ่นทองคำบริสุทธิ์ และจงหล่อขอบทองคำรอบหีบ 12 จงหล่อห่วงทองคำ 4 อันติดไว้ที่หีบทั้ง 4 มุม ด้านละ 2 อัน 13 จงทำคานหามด้วยไม้สีเสียด และหุ้มคานด้วยทองคำ 14 สอดคานเข้าที่ห่วงซึ่งติดอยู่ข้างหีบทั้ง 2 ด้าน สำหรับใช้ยกหาม 15 ให้คานหามสอดไว้ที่ห่วงข้างหีบ ไม่ต้องดึงออกจากห่วง 16 พันธสัญญาที่เราจะให้แก่เจ้า เจ้าก็จงเก็บไว้ในหีบใบนั้น
17 จงหล่อฝาหีบแห่งการชดใช้บาปด้วยทองคำบริสุทธิ์ ให้มีขนาดยาว 2 ศอกคืบ กว้างศอกคืบ 18 จงขึ้นรูปเครูบ[a]ทองคำ 2 ตัวด้วยค้อน แล้วตั้งไว้บนปลายฝาหีบแห่งการชดใช้บาปข้างละตัว 19 จงขึ้นรูปเครูบ 2 ตัว ตั้งไว้บนปลายฝาหีบข้างละตัว โดยที่เครูบทั้งสองเชื่อมติดกับฝาหีบแห่งการชดใช้บาป 20 เครูบทั้งสองกางปีกขึ้นโน้ม ปกป้องฝาหีบด้วยปีก หันหน้าเข้าหากัน และต่างก็ก้มหน้าเข้าหาฝาหีบ 21 จงวางฝาหีบไว้บนหีบพันธสัญญา และเจ้าจงเก็บพันธสัญญาที่เราจะให้แก่เจ้าไว้ในหีบใบนั้น 22 เราจะพบกับเจ้าที่นั่น เราจะพูดกับเจ้าในทุกเรื่องที่เราบัญชาประชาชนชาวอิสราเอล ณ เบื้องบนของฝาหีบ ตรงระหว่างเครูบ 2 ตัวบนหีบพันธสัญญา
โต๊ะ
23 เจ้าจงสร้างโต๊ะด้วยไม้สีเสียด มีความยาว 2 ศอก กว้าง 1 ศอก และสูงศอกคืบ 24 จงหุ้มโต๊ะด้วยทองคำบริสุทธิ์ มีขอบทองคำโดยรอบ 25 ตีกรอบหนา 1 ฝ่ามือโดยรอบ และหล่อขอบทองคำรอบกรอบ 26 เจ้าจงตีห่วงทองคำ 4 อัน และติดห่วงไว้ที่มุมใกล้ขาทั้งสี่ 27 ติดห่วงนั้นไว้ใกล้กรอบ เพื่อสอดคานหามโต๊ะ 28 จงสร้างคานหามด้วยไม้สีเสียด และหุ้มคานด้วยทองคำ ใช้สำหรับหามโต๊ะ 29 เจ้าจงตีจานและถาด โถ และหล่ออ่างน้ำสำหรับรินเครื่องบูชา ทำสิ่งเหล่านี้ด้วยทองคำบริสุทธิ์ 30 เจ้าจงวางขนมปังอันบริสุทธิ์ไว้บนโต๊ะ ณ เบื้องหน้าเราเสมอไป
คันประทีป
31 จงตีคันประทีปด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งเชิงและก้านคันประทีปขึ้นรูปด้วยค้อน ถ้วยน้ำมันขนาดย่อมที่ติดกับก้าน กระเปาะที่ก้นดอกและกลีบดอกให้ทำเป็นชิ้นเดียวกัน 32 คันประทีปมี 6 ก้านยื่นออกทางด้านข้าง ด้านหนึ่งมี 3 ก้าน และอีกด้านหนึ่งมี 3 ก้าน 33 แต่ละก้านมีดอกอัลมอนด์จำลอง 3 ดอกที่มีทั้งกระเปาะและกลีบดอกซึ่งเป็นเหมือนถ้วยขนาดย่อม ทั้ง 6 ก้านยื่นจากคันประทีป 34 และที่คันประทีปก็มีถ้วยขนาดย่อมทำเป็นดอกอัลมอนด์จำลอง 4 ดอก มีทั้งกระเปาะและกลีบดอก 35 ให้ดอกพร้อมกระเปาะของมันตั้งอยู่ที่โคนก้านทั้ง 6 ก้านที่ยื่นจากคันประทีป 36 เชื่อมกระเปาะ ก้าน และคันประทีปให้เป็นชิ้นเดียวกันด้วยทองคำบริสุทธิ์ โดยขึ้นรูปด้วยค้อน 37 จงติดดวงประทีป 7 ดวงไว้ที่คันประทีป และจัดให้ดวงประทีปส่องแสงออกทางด้านหน้า 38 กรรไกรตัดไส้ดวงประทีปและถาดที่ใช้เก็บถ่านร้อนควรตีด้วยทองคำบริสุทธิ์ 39 จงตีคันประทีปและภาชนะทุกชิ้นดังกล่าวด้วยทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ตะลันต์[b] 40 จงแน่ใจว่าเจ้าต้องทำทุกสิ่งตามแบบที่แสดงให้เห็นบนภูเขา
พระเยซูและหญิงชาวสะมาเรีย
4 เมื่อพระเยซูทราบว่าพวกฟาริสีได้ยินว่า พระองค์ให้บัพติศมา และได้สาวกมากกว่ายอห์น 2 (ความจริงพระเยซูไม่ได้ให้บัพติศมา แต่สาวกของพระองค์ต่างหากที่เป็นผู้ให้) 3 พระองค์จึงออกไปจากแคว้นยูเดียและไปยังแคว้นกาลิลีอีก 4 พระองค์จำต้องเดินทางผ่านแคว้นสะมาเรีย[a] 5 ดังนั้นเมื่อได้เดินทางมาถึงเมืองหนึ่งชื่อสิคาร์ในแคว้นสะมาเรียใกล้ๆ ที่ดินซึ่งยาโคบให้แก่โยเซฟผู้เป็นบุตร 6 เวลาประมาณ 6 โมงเย็น[b] พระเยซูเหนื่อยล้าจากการเดินทางจึงได้นั่งลงที่ข้างๆ บ่อน้ำของยาโคบ
7 พระเยซูได้กล่าวกับหญิงชาวสะมาเรียผู้หนึ่งที่มาตักน้ำว่า “ขอน้ำให้เราดื่มหน่อยเถิด” 8 เนื่องจากในขณะนั้นพวกสาวกของพระองค์กำลังไปซื้ออาหารในเมือง 9 หญิงชาวสะมาเรียผู้นั้นพูดกับพระองค์ว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่ท่านผู้เป็นชาวยิวจะมาขอน้ำดื่มจากข้าพเจ้า ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นหญิงชาวสะมาเรีย” (ด้วยเหตุว่าชาวยิวไม่คบหากับชาวสะมาเรีย) 10 พระเยซูตอบนางว่า “ถ้าเจ้ารู้จักของประทานจากพระเจ้า และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มหน่อยเถิด’ เจ้าก็คงจะขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็จะให้น้ำอันก่อให้เกิดชีวิตแก่เจ้า” 11 นางพูดกับพระองค์ว่า “นายท่าน ท่านไม่มีอะไรมาตักน้ำ มิหนำซ้ำบ่อก็ลึกเสียด้วย แล้วท่านจะเอาน้ำอันก่อให้เกิดชีวิตมาจากไหน 12 ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้มอบบ่อน้ำนี้ให้แก่เราหรือ ยาโคบเองได้ดื่มน้ำจากบ่อนี้รวมทั้งบรรดาบุตรและพวกแพะแกะด้วย”
13 พระเยซูตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 14 แต่ผู้ใดก็ตามที่ดื่มน้ำที่เราให้จะไม่มีวันกระหาย น้ำที่เราให้แก่เขาจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขา พุ่งขึ้นสู่ชีวิตอันเป็นนิรันดร์” 15 หญิงนั้นพูดกับพระองค์ว่า “นายท่าน โปรดให้น้ำนี้แก่ข้าพเจ้าเถิด จะได้ไม่กระหายหรือต้องมาตักน้ำที่นี่อยู่ร่ำไป”
16 พระองค์บอกนางว่า “จงไปเรียกสามีเจ้ามานี่เถิด” 17 นางตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่มีสามี” พระเยซูกล่าวกับนางว่า “เจ้าพูดถูกแล้วที่ว่าไม่มีสามี 18 ความจริงเจ้ามีมาแล้วถึง 5 คน และชายที่เจ้ามีเวลานี้ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า สิ่งที่เจ้าพูดมานี้จริงทีเดียว” 19 หญิงนั้นพูดว่า “นายท่าน ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 20 บรรพบุรุษของเราได้นมัสการที่ภูเขานี้ และพวกท่านพูดว่าเมืองเยรูซาเล็มเป็นสถานที่ที่ควรใช้ในการนมัสการ” 21 พระเยซูกล่าวกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิดว่า จะถึงเวลาที่พวกเจ้าจะนมัสการพระบิดาในที่ซึ่งไม่ใช่ภูเขานี้หรือที่เมืองเยรูซาเล็ม 22 พวกเจ้านมัสการอะไรที่เจ้าไม่รู้จัก แต่พวกเรานมัสการสิ่งที่เรารู้จัก เพราะความรอดพ้นมาจากพวกชาวยิว 23 แต่จะถึงเวลา ที่จริงบัดนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่พวกนมัสการแท้จะนมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาแสวงหาผู้คนเหล่านี้ให้เป็นผู้นมัสการพระองค์ 24 พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ดังนั้นบรรดาผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยวิญญาณและความจริง” 25 หญิงนั้นพูดว่า “ข้าพเจ้าทราบว่าพระเมสสิยาห์กำลังจะมา (คือผู้ที่เรียกว่าพระคริสต์) พระองค์จะประกาศทุกสิ่งแก่เราเมื่อมาถึง” 26 แล้วพระเยซูกล่าวกับนางว่า “เราที่พูดอยู่กับเจ้าคือผู้นั้น”[c]
27 ขณะนั้นบรรดาสาวกของพระองค์กลับมาและประหลาดใจที่พบว่าพระองค์กำลังพูดอยู่กับผู้หญิง แต่ไม่มีผู้ใดถามว่า “พระองค์มีประสงค์อะไร” หรือ “ทำไมพระองค์จึงพูดกับนาง” 28 หญิงนั้นทิ้งหม้อน้ำไว้ แล้วกลับเข้าไปในเมืองเพื่อบอกผู้คนว่า 29 “มาเถิด มาดูชายผู้บอกข้าพเจ้าถึงทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กระทำไป ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์หรือไม่” 30 ผู้คนก็ออกจากเมืองไปหาพระองค์
31 ในขณะเดียวกันบรรดาสาวกก็ขอร้องพระองค์ว่า “รับบี เชิญรับประทาน” 32 แต่พระองค์กล่าวว่า “เรามีอาหารสำหรับรับประทานที่เจ้าไม่รู้จัก” 33 บรรดาสาวกพูดโต้ตอบกันว่า “ไม่มีผู้ใดนำอาหารมาให้พระองค์มิใช่หรือ” 34 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “อาหารของเราคือการกระทำตามความประสงค์ของพระองค์ผู้ส่งเรามา และทำงานของพระองค์ให้เสร็จบริบูรณ์ 35 เจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้หรือว่า ‘อีก 4 เดือนก็จะถึงฤดูเกี่ยวข้าวแล้ว’ เราขอบอกเจ้าว่า จงเปิดตาดูทุ่งนาอันเหลืองอร่ามเถิดว่าถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว 36 ผู้เก็บเกี่ยวก็จะได้รับค่าแรง และรวบรวมพืชผลสำหรับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ และเพื่อทั้งคนหว่านและคนเก็บเกี่ยวก็จะได้ชื่นชมยินดีร่วมกัน 37 ในกรณีนี้ คำกล่าวนั้นเป็นความจริงที่ว่า ‘คนหนึ่งหว่าน และอีกคนเก็บเกี่ยว’ 38 เราส่งพวกเจ้าไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่เจ้าไม่ได้ลงแรง คนอื่นๆ ได้ลงแรง และเจ้าได้รับประโยชน์จากแรงของเขา”
39 ชาวสะมาเรียจำนวนมากในเมืองนั้นเชื่อในพระองค์ เพราะคำพูดของหญิงคนนั้นที่ได้ยืนยันว่า “ท่านได้บอกทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กระทำ” 40 ดังนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาหาพระองค์ ก็ได้ขอให้พระองค์พักอยู่ด้วย พระองค์จึงอยู่ที่นั่น 2 วัน 41 และมีคนอีกมากมายที่เชื่อเพราะคำกล่าวของพระองค์ 42 พวกเขาพูดกับหญิงนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไป มิใช่เพราะสิ่งที่ท่านพูดที่ทำให้พวกเราเชื่อ แต่เป็นเพราะเราได้ยินด้วยตนเอง จึงทราบว่าท่านผู้นี้เป็นองค์ผู้ช่วยโลกให้รอดพ้นที่แท้จริง”
พระเยซูรักษาบุตรของข้าราชการ
43 ครั้นล่วงไป 2 วันพระองค์ได้เดินทางไปยังแคว้นกาลิลี 44 เพื่อยืนยันว่า ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าไม่เป็นที่ยอมรับนับถือในถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง 45 ดังนั้นเมื่อพระองค์มายังแคว้นกาลิลีก็พบว่าชาวเมืองต้อนรับพระองค์ เพราะพวกเขาได้ไปงานเทศกาลปัสกามา และได้เห็นทุกสิ่งที่พระองค์กระทำที่งานเทศกาลในเมืองเยรูซาเล็ม
46 เมื่อพระองค์เดินทางกลับมายังหมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี อันเป็นสถานที่ซึ่งพระองค์ได้ทำให้น้ำกลายเป็นเหล้าองุ่น และมีข้าราชการคนหนึ่งในเมืองคาเปอร์นาอุมซึ่งบุตรชายกำลังป่วยอยู่ 47 เขาได้ยินว่าพระเยซูได้ออกจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลี เขาจึงไปหาพระองค์เพื่อขอร้องให้รักษาบุตรชายของเขาที่กำลังจะตาย 48 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “พวกท่านจะไม่เชื่อแน่ นอกจากว่าจะได้เห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์และสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ” 49 ข้าราชการผู้นั้นพูดกับพระองค์ว่า “นายท่าน โปรดลงมาก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะตาย” 50 พระเยซูกล่าวว่า “จงกลับไปเถิด บุตรชายของท่านไม่ตาย” ชายผู้นั้นเชื่อในคำที่พระเยซูกล่าวจึงกลับไป 51 ขณะที่เขากลับลงไป พวกผู้รับใช้ก็มาพบเขาและบอกว่าบุตรชายของเขายังมีชีวิตอยู่ 52 เขาจึงถามพวกผู้รับใช้ว่าเป็นเวลาใดที่บุตรชายเริ่มรู้สึกดีขึ้น พวกเขาตอบว่า “ไข้หายเมื่อวานนี้เวลาหนึ่งทุ่ม”[d] 53 บิดาจึงทราบว่าเป็นเวลาเดียวกันกับที่พระเยซูได้บอกเขาว่า “บุตรของท่านไม่ตาย” ข้าราชการผู้นั้นและทั้งครัวเรือนก็พากันเชื่อในพระเยซู 54 นี่ก็เป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ครั้งที่สอง ที่พระเยซูได้กระทำในแคว้นกาลิลี หลังจากที่พระองค์ได้ออกมาจากแคว้นยูเดียแล้ว
จุดเริ่มต้นของความรู้
1 สุภาษิตของซาโลมอน[a] บุตรของกษัตริย์ดาวิดแห่งอิสราเอล
2 เพื่อเรียนรู้เรื่องสติปัญญาและระเบียบวินัย
เพื่อจะได้หยั่งรู้ในคำสั่งสอนอันเปี่ยมด้วยสติปัญญา
3 เพื่อรับเอาระเบียบวินัยด้วยความเข้าใจ
ความชอบธรรม ความเที่ยงธรรม และความยุติธรรม
4 เพื่อมอบความฉลาดรอบคอบแก่คนเขลา
ให้ความรู้และปฏิภาณแก่ผู้เยาว์
5 ผู้มีสติปัญญาย่อมจะฟังและเรียนรู้มากขึ้น
และผู้ที่หยั่งรู้จะต้องหาคำปรึกษาที่ดี
6 เพื่อเข้าใจสุภาษิต คำอุปมา
ถ้อยคำของผู้มีสติปัญญา อีกทั้งไขข้อปริศนาของเขาได้
7 ความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าคือจุดเริ่มต้นของความรู้
คนโง่ดูหมิ่นสติปัญญาและระเบียบวินัย
ฟังคำสั่งสอนของบิดามารดา
8 ลูกเอ๋ย จงฟังคำสั่งสอนของบิดาของเจ้าเถิด
และอย่าละเลยคำสอนของมารดาของเจ้า
9 เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นดั่งพวงมาลัยอันงามสง่าบนศีรษะของเจ้า
และเป็นเสมือนสร้อยที่คล้องคอเจ้า
10 ลูกเอ๋ย ถ้าพวกคนบาปมาล่อใจเจ้า
ก็อย่าหลงตามเขาไป
11 ถ้าพวกเขาพูดว่า “มากับพวกเรา มาดักซุ่มเพื่อรอทำร้ายคนให้เลือดตก
เรามาดักโจมตีคนไร้ความผิดกันเถอะ
12 เรามากลืนกินพวกเขาทั้งเป็นดั่งหลุมลึกแห่งแดนคนตายกัน
และจัดการเสียให้ราบคาบเหมือนกับพวกที่ลงไปในหลุมฝังศพ
13 พวกเราจะพบของมีค่านานาชนิด
และจะนำของที่ปล้นได้มาเก็บไว้ในบ้านของเราให้เต็ม
14 มาเสี่ยงทายกับพวกเราเถิด
เราทุกคนจะได้ใช้จ่ายจากกระเป๋าเดียวกัน”
15 ลูกเอ๋ย อย่าเดินไปทางเดียวกับพวกเขา
จงยั้งเท้าของเจ้าให้ห่างจากทางของเขา
16 เพราะว่าเท้าของพวกเขาวิ่งไปในทางที่ชั่ว
และรีบเร่งเพื่อทำร้ายให้เลือดตก
17 ไร้ประโยชน์ที่จะเหวี่ยงตาข่าย
ให้นกเห็น
18 แต่คนพวกนี้ดักซุ่มเพื่อรอทำร้ายให้เลือดตัวเองตก
เขาก็ทำร้ายชีวิตของตนเองด้วย
19 นั่นแหละคือจุดจบของทุกคนที่กอบโกยหาผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม
ซึ่งจะคร่าชีวิตของพวกเขาไปด้วย
คำเตือนเรื่องการปฏิเสธสติปัญญา
20 สติปัญญาร้องเสียงดังอยู่ข้างนอก
เธอป่าวร้องอยู่ที่ลานชุมนุม
21 เธอกำลังเปล่งเสียงที่หัวถนนซึ่งมีเสียงอึกทึกครึกโครม
และที่ทางเข้าประตูเมืองเธอก็ร้องด้วยว่า
22 “เจ้าคนเขลาเอ๋ย เจ้าจะรักความเซ่อไปนานแค่ไหน
คนช่างเย้ยหยันจะชื่นชอบการเย้ยหยันไปอีกนานแค่ไหน
และคนโง่จะเกลียดชังความรู้ไปนานเพียงไร
23 จงใส่ใจในคำเตือนของเรา
ดูเถิด เราจะหลั่งวิญญาณของเราสู่เจ้าทั้งหลาย
เราจะทำให้เจ้ารู้คำกล่าวของเรา
24 เป็นเพราะเราได้เรียกเจ้า แต่เจ้ากลับปฏิเสธ
เรายื่นมือของเราออกมาให้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดสนใจ
25 พวกเจ้าเพิกเฉยกับคำแนะนำของเรา
และไม่ต้องการคำเตือนของเรา
26 แม้แต่เราก็จะยังหัวเราะเยาะความวิบัติของเจ้า
เราจะล้อเลียนเมื่อภัยพิบัติมาถึงตัวเจ้า
27 เมื่อภัยพิบัติกระหน่ำสู่เจ้าดั่งพายุ
และความวิบัติถาโถมเข้าหาเจ้าดั่งพายุหมุน
เมื่อความยากลำบากและความทุกข์มาถึงตัวเจ้า
28 ถึงแม้พวกเขาจะเรียกหาเรา เราก็จะไม่ตอบ
ถึงเขาจะเพียรค้นหา ก็จะไม่พบเรา
29 ก็เพราะว่าพวกเขาเกลียดความรู้
และไม่ได้เลือกความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า
30 พวกเขาไม่ยอมรับคำแนะนำของเรา
และปฏิเสธคำเตือนของเรา
31 ฉะนั้น พวกเขาจะกินผลจากการเลือกของเขาเอง
และจะอิ่มจากผลของแผนการที่ตนได้วางไว้
32 ด้วยว่าคนเขลาถูกฆ่าตายเพราะไม่ยอมฟัง
และการไม่เดือดเนื้อร้อนใจของคนโง่จะทำลายเขาเอง
33 แต่สำหรับผู้ที่ฟังเราก็จะอยู่อย่างปลอดภัย
และไม่ต้องสะทกสะท้านต่อความเลวร้าย”
เปาโลตักเตือนชาวโครินธ์เป็นครั้งสุดท้าย
13 ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ที่ข้าพเจ้ามาเยี่ยมท่าน “ข้อกล่าวหาทุกข้อจะต้องมีพยานปาก 2 หรือ 3 คน จึงจะถือเป็นหลักฐานยืนยันได้”[a] 2 คราวที่ข้าพเจ้ามาเยี่ยมท่านในครั้งที่สอง ข้าพเจ้าได้เตือนพวกที่ทำบาปมาก่อน และคนอื่นๆ ด้วย บัดนี้ขอเตือนในขณะที่ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ด้วยว่า ถ้าข้าพเจ้ากลับมาอีกครั้ง ข้าพเจ้าจะไม่ละเว้นพวกเขาแน่ 3 เนื่องจากท่านต้องการพิสูจน์ว่า พระคริสต์กล่าวผ่านข้าพเจ้า พระองค์ไม่ได้ปฏิบัติต่อท่านอย่างอ่อนแอ แต่มีอานุภาพยิ่งท่ามกลางพวกท่าน 4 จริงทีเดียว พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขนในความอ่อนแอ แต่พระองค์มีชีวิตอยู่ด้วยอานุภาพของพระเจ้า ในวิธีเดียวกันคือ เราอ่อนแอด้วยกับพระองค์ แต่ด้วยอานุภาพของพระเจ้า เราก็จะมีชีวิตอยู่ด้วยกันกับพระองค์เพื่อรับใช้ท่าน
5 จงพิจารณาตนเอง ท่านมีความเชื่อหรือไม่ จงทดสอบตนเอง ท่านไม่ตระหนักหรือว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวท่าน นอกเสียจากว่าท่านจะไม่ผ่านการทดสอบ 6 ข้าพเจ้าหวังว่า ท่านจะตระหนักว่าเราเองผ่านการทดสอบ 7 เราอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อท่านจะไม่ประพฤติผิด มิใช่เพื่อให้ดูเหมือนว่า เราผ่านการทดสอบแล้ว แต่เพื่อท่านจะได้ประพฤติอย่างถูกต้อง แม้จะทำให้ดูราวกับว่าเราเองก็ไม่ผ่านการทดสอบก็ตาม 8 เพราะเราไม่สามารถกระทำสิ่งใดที่แย้งกับความจริง แต่ทำเพื่อความจริงเท่านั้น 9 เรายินดีเมื่อเราเองอ่อนแอในยามที่พวกท่านแข็งแรง เราอธิษฐานด้วยว่า พระเจ้าจะทำให้พวกท่านบรรลุถึงความเพียบพร้อมทุกประการ 10 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงเขียนเรื่องเหล่านี้เมื่อข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับท่าน เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยจะได้ไม่ต้องกร้าวกับท่าน เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ให้อำนาจที่ข้าพเจ้าได้รับมอบเพื่อเสริมสร้างท่าน ไม่ใช่เพื่อทำลาย
คำลงท้าย
11 ในที่สุด พี่น้องเอ๋ย จงยินดีเถิด จงมุ่งมั่นที่จะเป็นคนดีเพียบพร้อมทุกประการ ทำตามคำแนะนำของข้าพเจ้า จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อยู่กันอย่างสันติสุขเถิด แล้วพระเจ้าแห่งความรักและสันติสุขจะอยู่กับท่าน 12 จงทักทายกันด้วยการจูบแก้ม[b]อันบริสุทธิ์ 13 บรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าทุกคนฝากความคิดถึงมายังพวกท่าน
14 ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า ความรักของพระเจ้า และสามัคคีธรรมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงอยู่กับท่านทุกคนเถิด
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation