Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
อพยพ 16

มานาและนกกระทา

16 ชาวอิสราเอลทั้งมวลเดินทางต่อไปจากเอลิม และเมื่อถึงวันที่สิบห้าของเดือนที่สอง คือนับตั้งแต่เวลาที่พวกเขาไปจากอียิปต์ พวกเขาก็ได้มาถึงถิ่นทุรกันดารสีนซึ่งอยู่ระหว่างเอลิมและซีนาย ชาวอิสราเอลทั้งมวลก็บ่นไม่พอใจต่อว่าโมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร และพูดขึ้นว่า “ถ้าแม้ว่าพวกเราจะตายด้วยฝีมือของพระผู้เป็นเจ้าที่อียิปต์ เราก็ยังจะได้นั่งรับประทานเนื้อสัตว์กับขนมปังจนอิ่มหนำ แต่ท่านกลับพาพวกเราออกมาอดอยากจนตายในถิ่นทุรกันดารแห่งนี้”

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะโปรยขนมปังลงมาจากฟ้าดั่งเม็ดฝนให้พวกเจ้า และผู้คนจะออกไปเก็บให้พอรับประทานในแต่ละวันได้ ก็เพราะเราจะทดสอบพวกเขาดูว่าจะปฏิบัติตามกฎบัญญัติของเราหรือไม่ ในวันที่หก ให้เขาเก็บและเตรียมอาหารมากกว่าวันอื่นๆ เป็นสองเท่า” ดังนั้น โมเสสและอาโรนจึงบอกชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ตอนเย็นพวกท่านจะรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ที่นำท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ และรุ่งเช้าท่านจะเห็นพระสง่าราศีของพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ได้ยินท่านบ่นไม่พอใจต่อว่าพระผู้เป็นเจ้า เราทั้งสองเป็นใครหรือ ท่านจึงได้บ่นต่อว่าเรา” โมเสสพูดต่ออีกว่า “การที่พระผู้เป็นเจ้าให้เนื้อสัตว์แก่พวกท่านรับประทานในเวลาเย็นและขนมปังในเวลาเช้าจนอิ่มหนำ ก็เป็นเพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ยินท่านบ่นไม่พอใจต่อว่าพระองค์ เราทั้งสองเป็นใครหรือ เวลาท่านบ่นไม่พอใจก็มิใช่เป็นการต่อว่าเรา แต่เป็นการต่อว่าพระผู้เป็นเจ้า

โมเสสพูดกับอาโรนว่า “บอกชาวอิสราเอลทั้งมวลว่า ‘จงมาอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ได้ยินท่านบ่นไม่พอใจแล้ว’” 10 และขณะที่อาโรนกำลังพูดอยู่กับชาวอิสราเอลทั้งมวล พวกเขามองไปทางถิ่นทุรกันดาร ดูเถิด พระสง่าราศีของพระผู้เป็นเจ้าปรากฏอยู่ในเมฆ 11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 12 “เราได้ยินชาวอิสราเอลบ่นไม่พอใจ จงบอกพวกเขาว่า ‘ในเวลาโพล้เพล้พวกเจ้าจะรับประทานเนื้อสัตว์ และเวลาเช้าเจ้าจะรับประทานอาหารจนอิ่ม แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า’”

13 ครั้นพอตกเย็นจะมีนกกระทาบินลงมาอยู่เต็มค่าย และในยามเช้าน้ำค้างก็จะตกอยู่รายรอบค่าย 14 เมื่อน้ำค้างแห้งเหือดไปแล้วก็มีเกล็ดบางๆ ละเอียดราวกับน้ำค้างแข็งเกาะอยู่บนพื้นดินทั่วถิ่นทุรกันดาร 15 เมื่อชาวอิสราเอลเห็นก็พากันถามไถ่ว่า “นี่อะไร” เหตุเพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร โมเสสจึงบอกพวกเขาว่า “เป็นอาหารเกล็ดที่พระผู้เป็นเจ้าให้พวกท่านรับประทาน 16 พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ว่า ‘ทุกคนจงเก็บอาหารเกล็ดนี้ไว้ให้พอที่พวกเจ้าจะรับประทาน คือประมาณคนละ 1 โอเมอร์[a]และเก็บได้ตามจำนวนคนในกระโจมของตน’” 17 ชาวอิสราเอลทำตามคำนั้น บางคนเก็บมาก บางคนเก็บน้อย 18 แต่เมื่อเขาใช้โอเมอร์ตวงแล้ว คนที่เก็บสะสมมากไม่ได้มีเหลือเฟือ และคนที่เก็บสะสมเพียงเล็กน้อยก็ไม่ขัดสน แต่ละคนเก็บได้พอเพียงเท่าที่ตนจะรับประทาน 19 แล้วโมเสสพูดกับพวกเขาว่า “อย่าให้ใครมีอาหารเกล็ดเหลือไว้จนรุ่งเช้า” 20 แต่พวกเขาไม่ฟังโมเสส บางคนเก็บไว้จนรุ่งเช้า จึงเกิดหนอนขึ้นและส่งกลิ่นเหม็น โมเสสจึงโกรธพวกเขา 21 ทุกเช้าแต่ละคนเก็บอาหารเกล็ดมากเท่าที่ตนจะรับประทานได้ แต่เมื่อแดดร้อนจัด อาหารเกล็ดก็ละลาย

22 ในวันที่หกพวกเขาเก็บอาหารเกล็ดมากเป็นสองเท่า คือคนละ 2 โอเมอร์ แล้วบรรดาหัวหน้าของมวลชนมารายงานแก่โมเสส 23 ท่านบอกพวกเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาว่า ‘พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพักที่แท้จริง เป็นวันสะบาโตที่บริสุทธิ์สำหรับพระผู้เป็นเจ้า อะไรที่ท่านจะอบหรือต้มก็แล้วแต่ ท่านควรเก็บสิ่งที่เหลือไว้จนถึงเช้า’” 24 พวกเขาจึงเก็บอาหารเกล็ดไว้จนถึงเช้า ตามที่โมเสสสั่ง อาหารเกล็ดไม่มีกลิ่นเหม็นและไม่ขึ้นหนอน 25 โมเสสกล่าวว่า “วันนี้รับประทานอาหารเกล็ดที่เหลือเก็บไว้ เพราะเป็นวันสะบาโตสำหรับพระผู้เป็นเจ้า วันนี้ในทุ่งนาจะไม่มีอาหารเกล็ดให้พวกท่านหาอีก 26 ฉะนั้นท่านสามารถเก็บอาหารเกล็ดได้ 6 วัน ส่วนวันที่เจ็ดซึ่งเป็นสะบาโตจะไม่มีอาหารเกล็ดให้เก็บ”

27 ในวันที่เจ็ดมีบางคนออกไปเก็บอาหารอีก แต่ก็ไม่พบ 28 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะยังไม่ปฏิบัติตามคำบัญญัติและกฎบัญญัติของเราไปอีกนานแค่ไหน 29 จงใส่ใจว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ให้วันสะบาโตแก่เจ้า ฉะนั้นในวันที่หก พระองค์ให้อาหารเกล็ดแก่เจ้าพอสำหรับ 2 วัน ทุกคนในพวกเจ้าจงอยู่กับที่ของตนเอง อย่าให้ใครออกไปจากที่ของตนในวันที่เจ็ด” 30 ดังนั้นผู้คนจึงพักผ่อนในวันที่เจ็ด

31 ชาวอิสราเอลเรียกชื่ออาหารเกล็ดว่า มานา[b] ซึ่งมีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชีสีขาว รสชาติเหมือนอาหารเกล็ดกรอบผสมน้ำผึ้ง 32 โมเสสพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ว่า ‘จงเก็บมานาไว้ 1 โอเมอร์สำหรับทุกชาติพันธุ์ของเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้รู้จักอาหารเกล็ดที่เราให้พวกเจ้ารับประทานในถิ่นทุรกันดาร ในช่วงเวลาที่เราพาเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์’” 33 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “เอาภาชนะมาใส่มานา 1 โอเมอร์ แล้ววางไว้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเก็บไว้ให้ทุกชาติพันธุ์ของพวกท่าน” 34 อาโรนวางมานาไว้ที่หน้าหีบพันธสัญญาเพื่อเก็บไว้ตามคำพระผู้เป็นเจ้าที่สั่งไว้กับโมเสส 35 ชาวอิสราเอลรับประทานมานาเป็นเวลา 40 ปี จนกระทั่งเคลื่อนย้ายมาถึงดินแดนที่จะตั้งรกรากอยู่ได้ พวกเขารับประทานมานาจนเดินทางมาถึงชายแดนของดินแดนคานาอัน 36 (1 โอเมอร์ เท่ากับ หนึ่งส่วนสิบเอฟาห์)

ลูกา 19

ศักเคียสหัวหน้าคนเก็บภาษี

19 ขณะที่พระเยซูกำลังเดินทางผ่านเข้าไปในเมืองเยรีโค มีชายผู้หนึ่งชื่อศักเคียสเป็นหัวหน้าคนเก็บภาษีผู้มั่งมีอยู่ที่นั่น เขาอยากจะเห็นว่าพระเยซูคือใคร แต่เขาเป็นคนเตี้ยจึงมองไม่เห็นเพราะมีผู้คนมุงอยู่เนืองแน่น ศักเคียสจึงวิ่งไปปีนขึ้นต้นมะเดื่อ เพื่อจะได้เห็นพระเยซูเมื่อพระองค์กำลังเดินผ่านมาทางนั้น เมื่อพระเยซูมาถึงจุดนั้นก็มองเห็นเขา และกล่าวว่า “ศักเคียสเอ๋ย จงรีบลงมาเถิด วันนี้เราจะต้องไปพักอยู่ที่บ้านเจ้า” ศักเคียสจึงรีบลงมาเพื่อต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี ทุกคนที่เห็นก็เริ่มบ่นพึมพำว่า “พระองค์ไปเป็นผู้รับเชิญของคนบาปแล้ว” แต่ศักเคียสยืนขึ้นและพูดกับพระเยซูเจ้าว่า “ดูเถิด พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าจะมอบทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของข้าพเจ้าแก่คนยากไร้ทันที ถ้าหากว่าข้าพเจ้าได้โกงสิ่งใดจากผู้ใดก็ตาม ข้าพเจ้าจะจ่ายคืนเป็น 4 เท่า” พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “วันนี้ความรอดพ้นมาถึงบ้านนี้แล้ว เพราะชายคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วย 10 ด้วยว่าบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อแสวงหาและช่วยผู้หลงหายให้รอดพ้น”

อุปมาเรื่องผู้รับใช้ 10 คนกับเงินมินา

11 เพราะพระองค์เข้าใกล้เมืองเยรูซาเล็ม ผู้คนที่กำลังฟังอยู่จึงคิดว่า อาณาจักรของพระเจ้าจะปรากฏขึ้นทันที พระองค์จึงกล่าวเป็นอุปมาต่อไปอีก 12 พระองค์กล่าวว่า “มีชายผู้หนึ่งเกิดมาในตระกูลขุนนาง ท่านเดินทางไปยังต่างแดนเพื่อรับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ แล้วจะกลับมาอีก 13 ดังนั้นจึงเรียกผู้รับใช้ 10 คนมาและมอบเงินให้แก่พวกเขา 10 มินา[a] และกล่าวว่า ‘จงใช้เงินนี้ให้เป็นประโยชน์ จนกว่าเราจะกลับมา’ 14 แต่ชาวเมืองนั้นเกลียดท่านและได้ส่งกลุ่มตัวแทนมาบอกว่า ‘พวกเราไม่ต้องการให้ชายผู้นี้มาเป็นกษัตริย์ของเรา’ 15 อย่างไรก็ตาม ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ และได้เดินทางกลับไป ท่านให้ตามหาพวกผู้รับใช้ซึ่งได้รับเงินไว้ เพื่อดูว่าแต่ละคนได้ผลกำไรเท่าไหร่ 16 คนแรกมาบอกว่า ‘นายท่าน มินาของท่านเพิ่มอีก 10 มินาแล้ว’ 17 ท่านตอบเขาว่า ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดี เป็นเพราะว่าเจ้าได้รับการไว้วางใจในสิ่งเล็กน้อยแล้ว จงดูแล 10 เมืองเถิด’ 18 คนที่สองมาบอกว่า ‘นายท่าน มินาของท่านเพิ่มอีก 5 มินาแล้ว’ 19 ท่านตอบว่า ‘เจ้าจงดูแล 5 เมืองเถิด’ 20 แล้วผู้รับใช้อีกคนมาบอกว่า ‘นายท่าน มินาของท่านอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าได้เก็บห่อไว้ในผ้า 21 ข้าพเจ้าเกรงกลัวเพราะว่าท่านเป็นคนเข้มงวด ท่านหยิบสิ่งที่ไม่ได้วางไว้ และเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่าน’ 22 ท่านตอบว่า ‘เราจะตัดสินเจ้าด้วยคำพูดของเจ้าเอง เจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ชั่วช้า เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าเราเป็นคนเข้มงวด หยิบสิ่งที่เราไม่ได้วางไว้ และเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราไม่ได้หว่าน 23 แล้วทำไมเจ้าจึงไม่ฝากเงินไว้ในธนาคาร เพื่อว่าเวลาที่เรากลับมา เราจะได้มาเอาเงินพร้อมดอกเบี้ยด้วย’ 24 แล้วท่านกล่าวกับพวกที่กำลังยืนอยู่ด้วยว่า ‘จงเอามินาของเขาไปให้กับคนที่มี 10 มินา’ 25 เขาทั้งหลายพูดว่า ‘นายท่าน เขามี 10 มินาแล้ว’ 26 ท่านตอบว่า ‘เราขอบอกเจ้าว่า ทุกคนที่มีก็จะได้รับมากขึ้น แต่สำหรับผู้ที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่เขามีก็จะถูกริบไปจากเขา 27 แต่จงนำตัวศัตรูที่ไม่อยากให้เราเป็นกษัตริย์มาฆ่าต่อหน้าเราที่นี่’”

พระเยซูเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม

28 หลังจากที่พระเยซูกล่าวจบแล้ว ก็เดินนำหน้าพวกเขาไปเพื่อขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 29 ขณะที่พระองค์เข้ามาใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและเบธานีที่อยู่ในบริเวณภูเขามะกอก พระองค์ส่งสาวก 2 คนไปโดยกล่าวว่า 30 “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเข้าไปแล้วเจ้าจะได้พบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ที่นั่น เป็นลาที่ยังไม่เคยมีผู้ใดขึ้นขี่เลย จงแก้เชือกมันแล้วจูงมาที่นี่ 31 ถ้ามีผู้ใดถามว่า ‘ทำไมท่านจึงแก้เชือกมัน’ จงบอกเขาว่า ‘พระองค์ท่านจำเป็นต้องใช้มัน’” 32 เมื่อสาวกไปก็ได้พบตามสิ่งที่พระองค์ได้กล่าวไว้ 33 ขณะที่พวกเขากำลังแก้เชือกลูกลาอยู่ เจ้าของก็ถามพวกเขาว่า “ทำไมท่านจึงแก้เชือกลูกลา” 34 เหล่าสาวกตอบว่า “พระองค์ท่านจำเป็นต้องใช้มัน” 35 แล้วได้นำตัวมันมาให้พระเยซู พวกเขาปูเสื้อตัวนอกของเขาเองบนลูกลา แล้วจึงยกพระองค์ขึ้นลา 36 ขณะที่พระองค์ขึ้นลาไป ผู้คนต่างก็ปูเสื้อตัวนอกของพวกเขาลงบนถนน 37 เมื่อพระองค์เข้ามาใกล้ถนนที่เป็นทางลงจากภูเขามะกอก สาวกกลุ่มใหญ่ก็เริ่มสรรเสริญพระเจ้าอย่างรื่นเริงด้วยเสียงอันดัง เพราะเขาเหล่านั้นได้เห็นสิ่งอัศจรรย์ทั้งปวงแล้ว 38 “ขอกษัตริย์ผู้มาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นสุขเถิด”[b] “สันติสุขจงบังเกิดในสวรรค์และพระบารมีในที่สูงสุด” 39 ฟาริสีบางคนในกลุ่มพูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์ จงห้ามพวกสาวกของท่านเถิด” 40 พระองค์ตอบว่า “เราขอบอกท่านว่า ถ้าเขานิ่งเงียบแล้วพวกหินก็จะส่งเสียงร้องเอง”

41 ขณะที่พระองค์เข้าไปใกล้จนเห็นตัวเมือง พระองค์ร้องไห้ด้วยความสงสารต่อเมืองนั้น 42 และกล่าวว่า “โธ่..แม้แต่ตัวเจ้าเอง หากว่าในวันนี้เจ้ารู้ว่า อะไรจะนำสันติสุขมาสู่เจ้า แต่ขณะนี้สิ่งเหล่านั้นกลับถูกซ่อนไว้จากสายตาของเจ้า 43 วันนั้นจะมาถึงเมื่อพวกศัตรูของเจ้าก่อรั้วกั้น ตีโอบ และล้อมเจ้าไว้ทุกด้าน 44 พวกเขาจะทำลายเจ้าและแม้แต่ลูกๆ โดยสิ้นเชิงภายในเขตกำแพงของเจ้า และเขาจะไม่ปล่อยให้หินตั้งซ้อนกันอยู่ เพราะเจ้าไม่รู้ว่าเป็นเวลาที่พระเจ้ามาเยี่ยมพวกเจ้า”

พระเยซูขับไล่พวกพ่อค้าที่พระวิหาร

45 พระเยซูเข้าไปในบริเวณพระวิหารและเริ่มขับไล่พวกพ่อค้าพาณิชย์ 46 พระองค์กล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “มีบันทึกไว้ว่า ‘ตำหนักของเราจะเป็นตำหนักอธิษฐาน’[c] แต่พวกท่านได้ทำให้กลายเป็น ‘ถ้ำโจร’”[d]

47 ทุกๆ วันพระองค์จะสอนที่พระวิหาร ขณะที่บรรดามหาปุโรหิต อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและผู้นำมวลชนได้พยายามที่จะฆ่าพระองค์เสีย 48 แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถหาทางได้ เพราะว่าผู้คนทั้งปวงล้วนตั้งใจฟังคำพูดของพระองค์

โยบ 34

เอลีฮูตำหนิพวกเพื่อนๆ

34 ครั้นแล้วเอลีฮูก็กล่าวต่อไปว่า

“พวกท่านผู้เรืองปัญญา ฟังสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดเถิด
    พวกท่านคิดว่าท่านรู้ เงี่ยหูฟังข้าพเจ้าเถิด
ด้วยว่าหูทดสอบคำพูด
    เช่นเดียวกับลิ้นที่ลิ้มรสอาหาร
เราควรเลือกสิ่งที่ถูกต้อง
    เราควรตัดสินใจเองว่าอะไรดี

เพราะโยบพูดว่า ‘ฉันเป็นฝ่ายถูก
    และพระเจ้ายึดสิทธิของฉันไป
ทั้งๆ ที่ฉันเป็นฝ่ายถูก
    ฉันถูกนับว่าเป็นคนพูดปด
บาดแผลของฉันรักษาไม่หาย
    แม้ว่าฉันไม่ได้ล่วงละเมิดก็ตาม’
มีใครบ้างที่เหมือนโยบ
    ผู้ดื่มการเยาะเย้ยเหมือนดื่มน้ำ
ผู้ดำเนินไปกับคนทำความชั่ว
    และคบค้ากับคนเลว
เพราะเขาพูดว่า ‘มนุษย์ไม่ได้รับประโยชน์อะไร
    จากการที่เขาชื่นชมในพระเจ้า’

10 ฉะนั้น พวกท่านมีความเข้าใจดีนัก ฟังข้าพเจ้าเถิด
    ไม่มีวันที่พระเจ้าจะกระทำความชั่ว
    และไม่มีวันที่องค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพจะทำผิด
11 พระองค์จะตอบสนองตามการกระทำของมนุษย์
    และพระองค์ปฏิบัติต่อเขาตามที่เขาควรได้รับ
12 ความจริงก็คือ พระเจ้าจะไม่กระทำความชั่ว
    และองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพจะไม่บิดเบือนความเป็นธรรม
13 ใครแต่งตั้งพระองค์ให้ดูแลแผ่นดินโลก
    และใครให้พระองค์รับผิดชอบทั่วทั้งโลก
14 ถ้าหากว่าพระองค์จะตั้งใจเอา
    วิญญาณและลมหายใจของเขาไป
15 สิ่งมีชีวิตทั้งปวงก็จะตายทันที
    และมนุษย์ก็จะกลับเป็นฝุ่น

16 ถ้าท่านมีความเข้าใจ ขอท่านฟังสิ่งต่อไปนี้
    ฟังว่าข้าพเจ้าจะพูดอะไร
17 ผู้ที่เกลียดชังความเที่ยงธรรมควรเป็นผู้ปกครองหรือ
    ท่านจะตำหนิองค์ผู้มีความชอบธรรมและมีอานุภาพหรือ
18 พระองค์พูดกับกษัตริย์ได้ว่า ‘คนไร้ค่า’
    และพูดกับผู้สูงศักดิ์ว่า ‘คนชั่ว’
19 พระองค์ไม่ลำเอียงต่อบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่
    และไม่สนใจคนมั่งมีมากกว่าคนยากไร้
    เพราะพระองค์สร้างเขาเหล่านั้นขึ้นมา
20 พวกเขาสิ้นชีวิตได้อย่างทันควันในยามค่ำคืน
    ผู้คนล้มเจ็บและสิ้นใจ
    และคนมีอำนาจถูกปลดอย่างง่ายดาย

21 เพราะพระองค์สังเกตดูวิถีทางของเขา
    และพระองค์เห็นเขาทุกฝีก้าว
22 คนทำความชั่วไม่อาจหลบซ่อนตัวในที่มืด
    หรือเงาแห่งความตายในที่ใดได้
23 ด้วยว่า พระองค์ไม่จำเป็นต้องพิจารณามนุษย์มากไปกว่านั้น
    ที่จะให้เขาไปยืน ณ เบื้องหน้าพระเจ้าในการตัดสิน
24 พระองค์ถล่มผู้มีอำนาจโดยไม่ต้องสืบสวน
    และตั้งผู้อื่นขึ้นแทนที่เขา
25 ฉะนั้น พระองค์ทราบได้จากการกระทำของพวกเขา
    พระองค์จึงล้มล้างพวกเขาชั่วคืนเดียว และพวกเขาก็พินาศ
26 พวกที่ทำความชั่วถูกพระองค์ลงโทษ
    ต่อหน้าสาธารณชน
27 เพราะพวกเขาเลิกติดตามพระองค์
    และไม่สนใจวิถีทางของพระองค์
28 พวกเขาทำให้ผู้ยากไร้ต้องร้องเรียนต่อพระองค์
    และพระองค์ได้ยินเสียงร้องของคนที่รับทุกข์
29 เมื่อพระองค์เฉยเสีย ใครจะตำหนิพระองค์ได้
    เมื่อพระองค์ซ่อนหน้า แล้วใครจะทำอะไรได้
ไม่ว่าจะเป็นคนทั้งประชาชาติหรือคนๆ เดียว
30     พระองค์ไม่ให้คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าขึ้นครอง
    ไม่ให้เขาเป็นเหตุให้ประชาชนตกในบ่วงแร้ว

31 มีใครพูดกับพระเจ้าบ้างว่า
    ‘ข้าพเจ้าเป็นคนบาป แต่ข้าพเจ้าจะหยุดทำบาป
32 ช่วยชี้ให้ข้าพเจ้าเห็นว่า ข้าพเจ้าทำอะไรที่เป็นบาปโดยไม่รู้ตัว
    ถ้าข้าพเจ้าทำบาปไปแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ทำอีกต่อไป’
33 ในเมื่อท่านไม่เห็นด้วยกับวิธีการของพระเจ้า
    ท่านหวังว่าจะได้สิ่งที่ท่านต้องการหรือ
การตัดสินใจเป็นของท่าน ไม่ใช่ข้าพเจ้า
    ฉะนั้น ท่านบอกเถิดว่าท่านคิดเช่นไร

34 บรรดาผู้ที่เข้าใจจะพูดกับข้าพเจ้า
    และคนเรืองปัญญาได้ยินข้าพเจ้า
    เขาก็จะพูดว่า
35 ‘โยบพูดอย่างไร้ความรู้
    คำพูดของเขาไร้ความเข้าใจลึกซึ้ง’
36 โอ โยบถูกทดสอบเรื่อยไป
    เพราะเขาตอบอย่างคนชั่ว
37 เพราะนอกจากบาปแล้ว เขายังดื้อด้านอีกด้วย
    เขาโต้เถียงในหมู่เรา
    และพูดพร่ำต่อว่าพระเจ้า”

2 โครินธ์ 4

ความสว่างส่องออกมาจากความมืด

ฉะนั้น เรารับใช้งานนี้ได้โดยความเมตตาของพระเจ้า พวกเราไม่ท้อถอย เราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งอันน่าอับอายและเร้นลับ เราไม่หลอกลวงคนหรือพลิกแพลงคำกล่าวของพระเจ้า แต่เราประกาศความจริงอย่างเปิดเผย เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักด้วยมโนธรรมของเขาว่า เราเป็นอย่างไรในสายตาของพระเจ้า ถึงแม้ว่าข่าวประเสริฐของเราถูกปิดบังไว้ แต่ก็ถูกปิดบังไว้เฉพาะคนที่กำลังพินาศเท่านั้น ในกรณีของคนพวกนี้ เจ้าแห่งยุคนี้[a]พรางความคิดของเขา จึงทำให้ไม่เห็นความสว่างจากข่าวประเสริฐแห่งพระสง่าราศีของพระคริสต์ ผู้มีคุณลักษณะเหมือนพระเจ้าทุกประการ เราไม่ประกาศเรื่องตัวเราเอง แต่เป็นเรื่องของพระเยซูคริสต์ว่า พระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้า และตัวเราเองเป็นผู้รับใช้ของท่านเพื่อพระเยซู เพราะพระเจ้าผู้กล่าวไว้ว่า “ให้ความสว่างส่องออกมาจากความมืด”[b] ก็คือองค์ที่ได้ส่องเข้าไปในจิตใจของเรา เพื่อให้เราทราบถึงพระสง่าราศีของพระเจ้า ที่เปล่งจากใบหน้าของพระคริสต์

แต่เรามีสมบัติอันมีค่านี้อยู่ในหม้อดิน เพื่อจะได้แสดงให้เห็นว่าอานุภาพอันใหญ่ยิ่งนั้นมาจากพระเจ้า มิใช่มาจากตัวเราเอง เราทนทุกข์ทรมานทุกทางแต่ก็ไม่พ่ายแพ้ แม้จะงุนงงแต่ก็ไม่สิ้นหวัง ถูกกดขี่ข่มเหงแต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้ง ถูกทำให้ล้มลงแต่ก็ไม่ถูกทำลาย 10 เราแบกความตายของพระเยซูไว้ในตัวเราเสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะได้ปรากฏในตัวเราด้วย 11 ขณะที่เราดำเนินชีวิต เราเสี่ยงกับความตายเพื่อพระเยซูอยู่เสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะได้ปรากฏในร่างกายของเราที่ตายได้ 12 ดังนั้นความตายกำลังปฏิบัติงานในตัวเราอยู่ แต่ชีวิตกำลังปฏิบัติงานในตัวท่านทั้งหลาย

13 เพราะเรามีวิญญาณแห่งความเชื่อเดียวกัน ตามที่มีบันทึกไว้ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงประกาศ”[c] เราก็เชื่อด้วย ดังนั้นเราจึงประกาศด้วย 14 เราทราบว่า พระองค์ผู้ให้พระเยซูฟื้นคืนชีวิตจะให้เราฟื้นคืนชีวิตกับพระเยซูด้วย และนำเราไปเข้าเฝ้าพระองค์พร้อมกับพวกท่าน 15 สิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของท่าน เพื่อว่าขณะที่พระคุณได้แผ่ขยายไปยังคนมากยิ่งขึ้นนั้น ก็จะทำให้มีคนขอบคุณพระเจ้าเพิ่มขึ้นเพื่อพระบารมีของพระเจ้า

16 ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย แม้ว่าส่วนกายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ส่วนลึกในใจของเรากำลังถูกเสริมสร้างใหม่ทุกวัน 17 เพราะความลำบากเล็กน้อยเพียงชั่วขณะหนึ่งนี้ กำลังเตรียมเราให้พร้อมเพื่อบารมีอันเป็นนิรันดร์ซึ่งไม่มีอะไรมาเทียบเทียมได้ 18 ดังนั้นเราจึงไม่จับตาดูสิ่งที่มองเห็น แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นเป็นนิรันดร์

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation